ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 292-295

 ตอนที่ 292 ยื่นคำขาด

 

มีหรือหลินหันเยียนจะตัดใจ นางขอร้องอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าทีเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


หลังจากที่หลินจ้งคิดทบทวนและพิจารณาดูแล้ว สุดท้ายก็ไม่สามารถทำใจแข็งไม่สนใจได้ “ข้าจะไปหาหวงฝู่อวี้เสียก่อน หากว่าเขาก็มีใจคิดเช่นนั้น พี่ก็จะออกหน้าช่วยเหลือเจ้า แต่หากไม่ เจ้าก็จงรอแต่งงานกับคุณชายหลิวแต่โดยดีเถิด”


 


 


ท่าทีของหวงฝู่อวี้เมื่อสองครั้งก่อน ทำให้นางไม่มั่นใจว่าเขามีใจให้นางหรือไม่ จึงไม่หวังอยากจะให้หลินจ้งไปหาเขาอยู่แล้ว แต่เมื่อหลินจ้งเน้นย้ำ วานี่คือฟางเส้นสุดท้ายของเขา อย่างไรเขาก็ต้องแน่ใจก่อนว่าหวงฝู่อวี้คิดอย่างไรกับน้องสาวของตน จึงจะดำเนินขั้นต่อไปได้ มิเช่นนั้นแล้วล่ะก็ แม้ว่าเขาจะช่วยให้นางหนีออกมาได้ แต่หากหวงฝู่อวี้ไม่ยอมรับนาง แล้วนางจะมีที่ไปที่ใดอีก


 


 


หลินหันเยียนเถียงเขาไม่ได้ จึงจำต้องตกลงเขา และสั่งเน้นย้ำว่า “พี่ใหญ่ ท่านพูดกับพี่อวี้ดีๆ นะเจ้าคะ อย่าให้เกิดการปัญหาขึ้นได้”


 


 


แม้ว่าหลินจ้งจะทำเหมือนตกลงแล้ว แต่ในใจกลับโกรธเป็นอย่างมาก คุณหนูแห่งจวนราชเลขา ทั้งยังเป็นน้องสาวที่ข้าตามใจมาแต่เด็ก หวงฝู่อวี้กลับกล้าปฏิเสธนางถึงสองครั้ง หากพบหน้าจะต้องอัดเขาให้สะใจจนได้


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ ฝีเท้าที่ก้าวเดินออกไปจึงได้หนักเป็นพิเศษ ตึง ตึง ตึง เสียงนี้ตราตรึงในใจของหลินหันเยียนและบ่าวรับใช้ที่เฝ้านางอยู่


 


 


หลินหันเยียนมองเขาเดินออกจากเรือนของตนไปด้วยความกังวล ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา ในใจคิดว่าหากหลินจ้งทำจนเสียเรื่อง ไม่แน่ว่าหวงฝู่อวี้อาจไม่สนใจนางอีกเลยก็เป็นได้


 


 


คนเฝ้ายามกลับกลัวจนถดถอยไปหลายก้าว กลัวเพียงแค่หลินจ้งจะถีบตนเองอีกครั้ง อย่างนั้นทั้งสองคงจะต้องนอนเป็นผักปลาอยู่บนเตียงเป็นแน่


 


 


โชคดีที่หลังจากหลินจ้งเดินออกจากเรือนไปแล้ว ไม่มองพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ตรงไปยังประตูจวนทันที


 


 


ทั้งสองถอนหายใจออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็พบว่าไม่เพียงแค่ขาเท่านั้น แต่ทั้งร่างของพวกเขาก็กำลังสั่นอยู่


 


 


หลินจ้งออกจากจวนไป ควบม้าตรงไปยังจวนอ๋องโดยไม่ลังเล


 


 


เมื่อเห็นบนประตูจวนมีป้ายชื่อส่องสว่างเขียนว่า ‘จวนอ๋องฉี’ จึงได้คิดว่าที่นี่มิใช่ที่ที่ใครจะสามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ เมื่อใจสงบลง จึงลงมาจากม้า ใช้แซ่ม้าชี้ไปที่นายประตู สั่งด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “ไป ไปเรียกตัวหวงฝู่อวี้มา บอกว่าหลินจ้งมีเรื่องจะมาหารือกับเขา”


 


 


นายประตูเห็นว่ากิริยาของเขาไม่ดี จึงมิได้ตอบรับ ก้าวข้าเดินไปรายงานยังเรือนหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบ สายตาก็เป็นประกายขึ้นมา ไม่รอให้หวงฝู่อี้เซวียนพูด นางรีบโบกมือให้นายประตู “ไปบอกหลินจ้งว่าคุณชายรองอยู่ในจวน เจ้าพาเขาไปก็ได้”


 


 


นายประตูมองหวงฝู่อี้เซวียนเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเขามิคัดค้าน จึงได้รีบวิ่งออกไป นำคำของเมิ่งเชี่ยนโยวมาบอกหลินจ้ง


 


 


หลินจ้งไม่แม้แต่จะลังเล ก้าวเท้ายาวเข้าไปด้านในจวน


 


 


หลายปีก่อนนั้น เขาเองก็มักจะมาที่จวนนี้บ่อยครั้ง คุ้นเคยกับเรือนของหวงฝู่อวี้เป็นอย่างดี ต่อให้ไม่มีคนนำทาง เขาก็สามารถไปยังเรือนหวงฝู้อวี้ได้ถูก


 


 


หลังจากที่นายประตูจากไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกชิงหลวนเข้าพบ สั่งนางด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไปบอกพ่อบ้าน บอกว่า ไม่ว่าอีกครู่ในเรือนของคุณชายรองจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ต้องไปสนใจทั้งสิ้น และไปหาเฮ่ออีบอกว่าหากคุณชายรองไม่ถึงกับใกล้สิ้นใจ ก็อย่าเพิ่งยื่นมือเข้าช่วย”


 


 


ชิงหลวนเม้มปาก ตอบรับ และเดินจากไป


 


 


หวงฝู่อีเซวียนยิ้มพร้อมส่ายหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเปิดปากพูดอีกครั้ง แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับตัดบทนางว่า “เจ้าอยู่ในห้องเฉยๆ ก็พอ ข้าเกรงว่าวันนี้ทั้งสองคงจะพังบ้านจนได้ ข้าไม่อยากให้เจ้าได้รับอันตราย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก ขอร้องว่า “ไม่มีเรื่องน่าสนุกเช่นนี้มานานแล้วนะ ข้าจะพลาดได้อย่างไร เจ้าพาข้าไปดูทีเถิด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีปฏิกิริยา และไม่โต้ตอบ


 


 


ราวกับว่าในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวมีหญ้างอกขึ้นมา ทำให้นางคันอกคันใจ ดวงตานางกลอกไปมา ยืนขึ้น หวังจะไปใช้มารยาหญิงกับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองแผนของนางออก จึงได้เอนตัวบนพนักพิงอย่างสบายใจ น้ำเสียงอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยอำนาจ “ข้าเองอดทนมาหลายวันแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่านี่จะไม่ใช่การป้อนเนื้อเข้าปากเสือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตัวสั่นเทิ้ม เท้าที่ยกขึ้นมา ก็ถูกเก็บเข้าไปอย่างเรียบร้อย เผยรอยยิ้มออกมา “ข้า ข้า ข้าเพียงแค่อยากนั่งให้ห่างเจ้าน้อยลงเท่านั้นเอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ติดใจ จึงได้ถอนหายใจพูดเสียงต่ำ “โยวเอ๋อร์ ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ขอแค่ลูกคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ภายหน้าต่อให้เจ้าจะไปกระทุ้งฟ้าจนทะลุ ข้าก็จะยอมอ่อนให้เจ้า แต่ว่า บัดนี้ไม่ได้ ใจข้าเกรงกลัวเหลือเกิน กลัวว่าเจ้าจะเกิดเรื่องขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเพียงแต่ไปดูเรื่องสนุกเท่านั้น จะมีเรื่องไม่คาดคิดมากเพียงนั้นได้อย่างไร อีกอย่าง ข้าก็อยู่ข้างกายเจ้ามิใช่หรือ”


 


 


ที่จริงแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนนิ่งสงบ หากเป็นสมัยก่อน อย่าว่าแต่เรื่องเล็กเพียงนี้ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา นางเองก็จะเผชิญหน้าด้วยใจแน่นิ่ง แต่นับแต่ตั้งท้องขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นิสัยของนางเปลี่ยนไปไม่น้อย ชอบไปดูเรื่องสนุก หวงฝู่อี้เซวียนอยู่กับนางทุกวัน จะไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของนางได้อย่างไร จงได้ถอนหายใจยาวเหยียด ยอมถอยหนึ่งก้าว “รอให้พวกเขาทะเลาะกันเสร็จแล้ว เจ้าไปเจรจาดีหรือไม่”


 


 


แม้ว่าจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังดีกว่าไม่ได้ไปดู เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพยักหน้าด้วยความยินดี


 


 


หลินจ้งเป็นถึงทหาร และยังเป็นผู้มีอารมณ์ร้อน เมื่อไปถึงเรือนของหวงฝู่อวี้แล้ว ก็ยืนตะโกนอยู่หน้าประตูว่า “หวงฝู่อวี้ เจ้าไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”


 


 


หวงฝู่อวี้กำลังจิตใจวุ่นวาย นอนไม่ได้ นั่งไม่สงบ เมื่อได้ยินเสียงหลินจ้งเรียก จึงได้เปิดผ้าม่าน เดินออกมาจากเรือน เมื่อเห็นว่าเป็นหลินจ้งก็ตกใจขึ้นมา กำลังจะอ้าปากถาม ก็รู้สึกตาลายขึ้นทันที หลินจ้งชกเข้ามาที่หน้าของเขาหนึ่งหมัด


 


 


หวงฝู่อวี้หลบได้ทัน ความโกรธในใจได้สุมขึ้นมา จึงได้สวนกลับทันควัน


 


 


หลินจ้งคิดไม่ถึงว่าเขาจะต่อยกลับ ไม่ทันตั้งตัว จึงถูกเขาต่อยเข้า ทำได้เพียงคลำจมูกตนเองพร้อมเดินถอยหลังไป เลือดกำเดาสีแดงสดไหลออกมา


 


 


หวงฝู่อวี้ชะงักไป


 


 


หลินจ้งโกรธมาก พุ่งเข้าหาเขาโดยไม่สนอะไรอีก


 


 


หวงฝู่อวี้หลบไม่ทัน ถูกเขากอดรัดเอาไว้ ทั้งสองลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น


 


 


บ่าวรับใช้ตกใจเป็นอย่างมาก ต่างวิ่งเข้ามาพร้อมตะโกนเรียกว่า “คุณชายรอง”


 


 


“พวกเจ้าอย่าเข้ามา!” หวงฝู่อวี้ห้ามพวกเขาเอาไว้


 


 


ทั้งหมดยืนนิ่ง มองดูทั้งสองทุบต่อยกันอยู่กับพื้นราวกับเด็กๆ ด้วยใจสั่นเทา


 


 


เฮ่ออีที่ได้รับคำสั่งมากจากเมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ก็ต้องอ้าปากค้าง ทีแรกเขาคิดว่า…ไม่ว่าจะคิดว่าอย่างไร เขาก็คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะทะเลาะกันด้วยวิธีนี้


 


 


หลินจ้งได้เปรียบ เขากดหวงฝู่อวี้เอาไว้กับพื้น ดึงคอเสื้อของเขาขึ้นมา พูดด้วยความโกรธว่า “น้องข้ามีที่ใดไม่คู่ควรกับเจ้าอย่างนั้นหรือ เหตุใดเจ้าต้องหลบหน้านางด้วย”


 


 


หลายวันมานี้ ความโกรธที่อัดอั้นในใจของหวงฝู่อวี้ไม่มีที่ระบาย บัดนี้หลินจ้งมาหาถึงที่ ไฟโกรธของเขาก็มีที่ระบายแล้ว เขาออกแรงต่อสู้ พลิกตัว กดหลินจ้งไว้กับพื้น ขณะเดียวกันก็ตะโกนใส่เขาว่า “คนที่ไม่คู่ควรมิใช่เยียนเอ๋อร์ แต่เป็นข้า เป็นข้า เป็นข้า”


 


 


หลินจ้งไม่อยากแสดงออกว่าอ่อนแอ จึงได้ออกแรง หวงฝู่อวี้มาอยู่ใต้ร่างของเขาอีกครั้ง น้ำเสียงโกรธกว่าเมื่อครู่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดเจ้าต้องหลบหน้านาง”


 


 


พูดจบ ก็ต่อยเข้าไปที่หน้าของหวงฝู่อวี้เต็มแรง


 


 


หวงฝู่อวี้เบนหัวหลบ จากนั้นก็คืนเขาไปหนึ่งหมัด


 


 


หลินจ้งเอนตัวหลบ ทำให้หวงฝู่อวี้มีโอกาสหนี เขาออกแรง ผลักเขาออกจากร่างของตน


 


 


ความโกรธในใจของหลินจ้งยังไม่ถูกระบายออกมา เขาไม่ยอมหยุด ดีดตัวขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็รุดไปด้านหน้า หวังจะกดร่างหวงฝู่อวี้ไว้ใต้ร่างเขาอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อวี้กลิ้งไปอีกด้าน หลบเขามาได้


 


 


หลินจ้งล้มลงกับพื้น


 


 


หวงฝู่อวี้อาศัยจังหวะยืนขึ้น มองหลินจ้งด้วยสายตาเย็นชา พูดว่า “บ้าพอหรือยัง หากไม่มีธุระอะไร เชิญออกจากจวนข้าไป เห็นแก่หน้าของเยียนเอ๋อร์ ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้า”


 


 


แต่หลินจ้งไม่ยอม ใช้นิ้วชี้ไปที่ปลายจมูกเขา ด่าทอว่า “เจ้าคนใจไม้ไส้ระกำ น้องข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเจ้า และยังถูกพ่อกับแม่ขังตัวเอาไว้ แต่เจ้าไม่ถามถึงนางสักคำ”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ใจของหวงฝู่อวี้ก็เจ็บแปลบขึ้นมา มิน่าหลายวันมานี้ไม่เห็นนางมากวนใจเขา ที่แท้ก็เพราะว่าถูกขังเอาไว้ แต่ว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึมอยู่ ทำสีหน้าไม่ใสใจ “นางไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า ข้าก็ไม่ได้ทำให้นางเป็นเช่นนี้ เจ้ามาคิดบัญชีผิดคนเสียแล้ว”


 


 


หากบอกว่าเมื่อครู่หลินจ้งมีไฟโกรธสุมอยู่ เมื่อฟังคำจบแล้วหัวของเขาร้อนจนแทบระเบิด เขาขาดสติไปแล้ว เจ้าคนไร้ค่า น้องสาวของตนรักเขาได้ ถือเป็นบุญล้นหัว เขาไม่เพียงแต่ไม่สำนึก แต่ยังมาทำท่าทีรังเกียจอีก เขาพุ่งเข้าไปหาหวงฝู่อวี้ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้ ต่อยเข้าไปที่ใบหน้าขาวซีดของเขา


 


 


ครานี้หวงฝู่อวี้ไม่ได้หลบ ถูกต่อยเข้าจังที่ใบหน้า รู้สึกได้ทันทีว่าหน้าบวมขึ้นมา


 


 


หวงฝู่อวี้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม ไม่เคยถูกผู้ใดรังแกมาก่อน เขาหัวร้อน ใช้หัวของตนโขกเข้ากับหัวของหลินจ้ง


 


 


ปัง เสียงดังสนั่น ทั้งสองผละออกจากกัน ถอยกันไปคนละก้าว


 


 


คนในบริเวณนั้นต่างสูดปากกันอย่างเข้าใจความเจ็บ ยื่นมือมาลูบหน้าผากของตนเองเอาไว้ รู้สึกเจ็บเหลือเกิน


 


 


หลินจ้งและหวงฝู่อวี้กลับรู้สึกว่าตรงหน้าของพวกเขามีดาวอยู่รอบๆ มึนหัวตาลายทันที


 


 


สะบัดหัวเล็กน้อย มองทะลุสายตาพร่ามัว หลินจ้งคาดเดาตำแหน่งของหวงฝู่อวี้ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่อีกครั้ง


 


 


ดวงดาวตรงหน้าของหวงฝู่อวี้ยังคงหมุนอยู่ จึงไม่ทันได้หลบหลีก ถูกหลินจ้งพุ่งเข้าใส่อีกรอบ ทั้งสองทุบต่อยกันอีกครั้ง


 


 


ในหัวของเมิ่งเชี่ยนโยวจินตนาการภาพทั้งสองกำลังต่อสู้กัน จมูกบวมช้ำบ้างล่ะ แขนขาดขาขาดบ้างล่ะ หัวแตกเลือดออกบ้างล่ะ ที่คิดไม่ถึงก็คือทั้งสองจะทะเลาะกันด้วยวิธีโบราณเช่นนี้ เมื่อเห็นทั้งสองทะเลาะกันราวกับเด็ก ทุบตี เตะต่อยกันอยู่บนพื้น ปากก็สบถคำด่าออกมาไม่หยุด นางทนไม่ได้แล้ว


 


 


ครู่ใหญ่จึงได้หัวเราะออกมา ทั้งสองราวกับว่าเสียสติไปแล้ว รู้เพียงแต่ว่าคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่นั้นจะได้สติกลับมาเพราะเสียงหัวเราะ ทั้งคู่หยุดการกระทำ มองมาที่นางพร้อมกันด้วยสภาพที่มีหวงฝู่อวี้อยู่ด้านล่าง และมีหลินจ้งนั่งคร่อมอยู่ด้านบน


 


 


หลินจ้งรีบลุกขึ้นมาจากตัวของหวงฝู่อวี้ แต่ด้วยความกลัว ขาอ่อนแรงลง ลุกขึ้นได้ครึ่งหนึ่งก็ล้มลงอีก


 


 


หวฝู่อวี้กำลังจะลุกขึ้นนั่งพอดี ทั้งสองจึงชนกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ภาพนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวปิดตาลง ไม่กล้าดูอีกต่อไป


 


 


หลินจ้งกัดฟันกรอด ราวกับว่าตนถูกลงโทษหนัก


 


 


หวงฝู่อวี้ก็กุมหัวตนเองไว้ ไม่กล้าขยับอีก


 


 


คนตรงนั้นไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ตกใจจนพูดไม่ออก ตรงนั้นเงียบสงัดทั้งบริเวณ เงียบเสียจนหลินจ้งมีเหงื่อหยดลงมา ไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งไอ เพื่อกลบเกลื่อนบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าทั้งสอง ค่อยๆ ลุกขึ้นมาได้แล้วล่ะ”


 


 


ทั้งสองได้สติกลับมา ครานี้ฉลาดขึ้น หลินจ้งเบี่ยงตัวไปด้านข้างเสียก่อน จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นมา


 


 


หวงฝู่อวี้เช่นกัน รอให้หลินจ้งลุกขึ้นแล้ว เขาจึงค่อยพลิกตัวลุกขึ้น กลืนน้ำลายลงคอ พูดด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบรับ


 


 


แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มแฉ่งเดินไปด้านหน้า วนรอบตัวทั้งสอง ทำเสียงจิ้จ้ะในปาก ยิ้มพร้อมถามว่า “คุณชายรอง ท่านไปลักลอบปีนกำแพงบ้านเขา หรือว่าไปทำลายสุสานบรพบุรุษของเขาเล่า เขาจึงได้ทำกับท่านถึงเพียงนี้”

 

 

 


ตอนที่ 293 เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

 

หลินจ้งทำหน้าบูดบึ้ง แต่กลับไม่กล้าโมโหโวยวาย


 


 


หวงฝู่อวี้รู้สึกผิด ได้แต่ลูบหน้าฝั่งซ้ายที่บวมของตัวเอง ไม่กล้าพูดอะไร


 


 


“เจ็บไหม” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยเสียงที่อ่อนโยนอย่างเป็นห่วงเป็นใย


 


 


หวงฝู่อวี้ผงกศีรษะหลายครั้ง และตอบด้วยเสียงอันเศร้าสร้อย “เจ็บขอรับ”


 


 


“สมน้ำหน้า!” เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นด่าใส่เขา


 


 


ทุกคนต่างตกตะลึง


 


 


เฮ่ออี่ที่อยู่มุมมืดๆ เกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา จึงรีบเอามือป้องปากตัวเองไว้


 


 


ภายในน้ำเสียงที่เชื่องช้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแฝงด้วยการเหน็บแนม “เจ้านี่นะ ไม่มีวันใดที่ไม่ทำให้ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าต้องกังวลเลย บอกมาเถิด ครั้งนี้เจ้าก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว ทำให้คนอย่างคุณชายใหญ่หลินที่ทั้งสุขุมและทะนงตนต้องมาหาถึงบ้าน แล้วต่อยเจ้าจนหน้าบวมเป็นหัวหมูโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น”


 


 


หลินจ้งฟังออกว่าคำพูดของนางมีเจตนาเหน็บแนม แต่ก็อดทนไว้ ไม่กล้าโวยวาย ถ้าหากเป็นหวงฝู่อี้เซวียนที่กล้าออกหน้าเสียดสีเขาว่ามาโดยไม่แยกแยกผิดถูกเช่นนี้ เขาก็ลงมือใส่ตั้งนานแล้ว อย่างมากพรุ่งนี้ก็แค่ถูกฮ่องเต้ถอดถอนออกจากตำแหน่งราชการ ทว่า เมิ่งเชี่ยนโยวนั้น เขาไม่กล้า ไม่ต้องพูดถึงวิธีการจัดการคนเหล่านั้นของนาง แค่เห็นว่ามีเด็กน้อยๆ อยู่ในท้องของนาง เขาก็ไม่กล้าลงมือแล้ว ต้องรู้ว่า นี่เป็นถึงผู้สืบทอดแห่งจวนอ๋อง ถ้าหากเกิดอันเป็นไปอันใดด้วยน้ำมือของเขา อย่าว่าแต่ตำแหน่งทางราชการของเขาเลย เกรงว่าแม้แต่จวนราชเลขาก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกต่อไป


 


 


เห็นท่าทางที่เขาโมโหแต่ไม่กล้าเอ่ยปากนั่น ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกชอบใจยิ่ง ไม่รอให้หวงฝู่อวี้ตอบ ก็เดินอ้อยอิ่งเข้าไปตรงหน้าของเขา แม้ว่าจะทำหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงกลับเย็นชาและน่าขนลุก “คุณชายหลิน ท่านสามารถบอกให้ทราบได้หรือไม่ว่าวันนี้ท่านบุกเข้ามาในจวนอ๋อง แล้วทุบตีอวี้เอ๋อร์นั้นเป็นเพราะเหตุใดกัน”


 


 


หลินจ้งรู้สึกว่าเสื้อบนแผ่นหลังเปียกชุ่มอีกครั้ง เขาอ้าปากหลายรอบ กลับไม่รู้จะตอบอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถพูดได้ว่าน้องสาวของตัวเองถูกใจหวงฝู่อวี้ แต่หวงฝู่อวี้กลับไม่สนใจนาง ตัวเองจึงมาคิดบัญชี เพราะถ้าหากพูดออกไปเช่นนี้ คาดว่าคงจะต้องถูกเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนให้ตีจนพิกลพิการ ณ ที่แห่งนี้เป็นแน่


 


 


เห็นเขาไม่พูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดคิ้วและพูดกับตัวเอง “แปลกเสียจริง พวกเจ้าทั้งคู่ตีกันเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ไม่ใช่ว่าถูกผีเข้าสิงแล้วหรอกนะ หรือว่าระหว่างพวกเจ้าจะมีความรักใคร่ที่ผิดครรลองต่อกันโดยที่ไม่อาจบอกใครได้หรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว


 


 


หวงฝู่อวี้อ้าปากกว้าง พูดอะไรไม่ออก


 


 


ทุกคนรู้สึกแต่เพียงว่ามีเมฆดำลอยผ่านเป็นระลอกอยู่เหนือศีรษะ แล้วตามมาด้วยเสียงสายฟ้าฟาดดังกระหึ่ม สั่นสะท้านจนจิตใจของพวกเขาล้วนเต้นระรัว ซื่อจื่อเฟยก็กล้าพูดเกินไปแล้ว นี่ นี่ นี่…คุณชายหลินจะต้องโกรธจนคลุ้มคลั่งอย่างแน่นอน


 


 


แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ปลายเท้าของหลินจ้งพลันลื่น โซเซจนเกือบจะล้มลงพื้น เขาชี้ตัวเอง แล้วแผดเสียงร้องด้วยความเดือดดาล “ดูให้ชัดซะ ตัวข้าเป็นผู้ชาย ผู้ชายแท้ๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคล้ายว่าถูกทำให้ตกใจ ถอยหลังไปหลายก้าว และกุมหน้าอกของตัวเองไว้ หันศีรษะ ร้องเรียกราวกับอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ “อี้เซวียน”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนถมึงทึงขึ้น ตะโกนด้วยเสียงที่เยือกเย็น “โจวอัน!”


 


 


เงาร่างของโจวอันกระโจนเข้ามาจากด้านนอกเรือน แล้วพุ่งไปโจมตีหลินจ้งโดยตรง


 


 


ในขณะที่ตกใจ หลินจ้งก็รีบออกกระบวนท่าป้องกัน แล้วทั้งสองคนก็ปะทะต่อสู้กัน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโอบเมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาถึงระยะที่ปลอดภัยแล้ว ถึงจะหยุดฝีเท้าแล้วมองการต่อสู้ของทั้งสองคน


 


 


หน้าผากของหวงฝู่อวี้มีเหงื่อซึมออกมา อยากจะเข้าไปห้ามปรามก็ไม่กล้า อยากจะอ้อนวอนร้องขอเมตตากับหวงฝู่อี้เซวียน แต่เมื่อหันไปเห็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของเขา คำอ้อนวอนก็ติดชะงักอยู่ในลำคอ


 


 


หลินจ้งย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโจวอัน หลังจากสู้รบกันถึงยี่สิบกระบวนท่า ก็ถูกโจวอันโจมตีจนล้มลงไปกับพื้น


 


 


โจวอันออกจากเรือนไป


 


 


หลินจ้งนอนอยู่บนพื้น หอบหายใจถี่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโผล่ศีรษะออกมาจากในอ้อมอกของหวงฝู่อี้เซวียน ถาม “คุณชายหลิน ท่านคิดออกแล้วหรือยังว่าบุกเข้ามาในจวนอ๋องเพื่ออะไร”


 


 


ได้รับความอับอายติดต่อกัน หลินจ้งก็ไม่สนใจอะไรแล้ว ชี้ไปที่หวงฝู่อวี้ แล้วพูดออกมาโดยไม่คิด “ข้าก็มาหาเขานั่นแหละ เขาทิ้งน้องสาวข้าอย่างไม่ใยดี”


 


 


“อะไรนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงดังขึ้น เดินออกมาจากอ้อมอกของหวงฝู่อี้เซวียน “ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ น้องสาวของเจ้าก็คือหลินหันเยียนที่เป็นคุณหนูแห่งตระกูลหลินใช่หรือไม่ อวี้เอ๋อร์ทิ้งนางโดยไม่สนใจใยดี นี่เป็นเรื่องเมื่อไหร่กัน”


 


 


หลินจ้งปีนตัวขึ้นมาจากพื้นด้วยความกระฉับกระเฉง แล้วพูดด้วยความหอบ “ก็หลายวันก่อนอย่างไรล่ะ น้องสาวข้าไปหาเขาสองครั้ง เขากลับหนีไม่ยอมพบ หากนี่ไม่ใช่การทอดทิ้งอย่างไม่สนใจใยดีแล้วคืออะไรเล่า”


 


 


“ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ พูด อวี้เอ๋อร์ทอดทิ้งน้องสาวท่านโดยไม่สนใจใยดีอย่างไรหรือ”


 


 


แววตาของหลินจ้งเป็นประกายไหวสั่น “ก็คือ ก็คือ…”


 


 


“กล้าๆ พูดออกมาอย่างสบายใจเถิด ท่านวางใจได้ ถ้าหากอวี้เอ๋อร์ก่อเรื่องไว้กับคุณหนูหลินจริง วันนี้ข้าจะสั่งให้คนโบยเขาจนขาหักต่อหน้าท่าน”


 


 


หลินจ้งสะดุ้ง รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดนั้น ก็คือน้องสาวข้าอยากจะพบเขา เพียงแต่เขาหนีและไม่ออกมาพบเท่านั้น หาได้มีเรื่องอื่นไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เชื่อ จึงย้อนถาม “จริงหรือ”


 


 


หลินจ้งผงกศีรษะหงึกๆ “จริงสิ จริงสิ”


 


 


ถอนหายใจโล่งอก แล้วสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เริ่มบึ้งตึงแล้ว พูดว่า “คุณชายหลิน เช่นนี้ก็เป็นท่านที่เป็นฝ่ายไม่ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ อวี้เอ๋อร์เป็นคนที่กำลังจะหมั้นหมายแล้ว คุณหนูหลินยังจะมายุ่งเกี่ยวด้วย จึงเห็นได้ชัดเจนว่านางไม่รักษาธรรมเนียมของหญิงที่ดี ท่านกลับมาหาเรื่องที่จวนอ๋อง นี่ออกจะไม่ดูเป็นการรังแกคนอื่นเกินไปหน่อยหรือ”


 


 


เหงื่อบนกายของหลินจ้งซึมออกมาด้านนอก เสื้อผ้าด้านหลังก็เปียกชุ่มไปไม่รู้กี่ชั้นแล้ว ภาพลักษณ์ที่มาจากการกระทำความผิดเช่นนี้ ต่อให้วันนี้เขาไม่ตายก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่ดี


 


 


หวงฝู่อวี้คิดถึงขั้นนี้เช่นกัน จึงประคองหน้าด้านหนึ่งที่บวมแดงของเขา เดินมาตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว ร้องขอเมตตาแทนหลินจ้ง “พี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ ข้ากับพี่หลินจ้งเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ล้อเล่นจนเคยชินเสียแล้ว ระหว่างพวกเราเป็นเพียงแค่ขำขันกันเองเท่านั้นขอรับ มิได้จะลงมือทำร้ายกันจริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลากเสียง “อ๋อออ” ยาวอย่างเบาๆ พยักหน้า และชี้ที่หน้าฝั่งซ้ายที่บวมแดงของเขา จากนั้นชี้บนหน้าของหลินจ้งที่บวมจนคล้ายว่าจะเหลือแต่เพียงปลายจมูกที่เดียว อีกทั้งยังมีเลือดไหลเป็นสายออกมาทางจมูก และถามอย่างใคร่รู้ “พวกเจ้าทั้งคู่เพียงแต่เล่นขำขันกันก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว ถ้าหากไม่ล้อเล่นล่ะ จะมีสภาพเยี่ยงไรกัน”


 


 


หวงฝู่อวี้ชะงักงัน


 


 


หลินจ้งสำลักน้ำลายตัวเอง ไอออกมาไม่หยุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองพวกเขา แล้วพูด “ดูเหมือนว่าคุณชายหลินอยากจะแสดงให้ข้าดูเสียหน่อยสินะ”


 


 


หลินจ้งยิ่งไอดังขึ้นอีก พอเป็นเช่นนั้น ก็แทบอยากจะไอจนอวัยวะภายในสำรอกออกมาทั้งหมด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็มิได้รีบร้อน รอเขาอย่างเงียบๆ


 


 


ผ่านไปนาน หลินจ้งถึงจะหยุดไอ และประสานมือทั้งคู่ของตัวเองขึ้นอย่างอ่อนน้อม “ซื่อจื่อเฟย เป็นข้าเองที่ผิดไปแล้ว โปรดท่านอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับคนต่ำต้อย และขออย่าได้ถือสากับคนหยาบช้าอย่างข้านี่เลยขอรับ”


 


 


“คำพูดนี้ของคุณชายหลินช่างน่าขันจริง ท่านโกรธแทนน้องสาวของท่าน แล้วมาป้ายสีคุณชายรองของพวกเราว่าเป็นคนที่ทอดทิ้งนางโดยไม่สนใจใยดี หากคำพูดนี้มิได้พูดให้ชัดเจนในวันนี้ เกรงว่าต่อไปคนในจวนอ๋องฉีของพวกเราออกไปข้างนอกก็จะต้องเอาหม้อปิดหน้าเสียแล้วกระมัง”


 


 


นี่หมายความว่ายังคงไม่ยอมให้อภัย ในใจของหลินจ้งก็ลอบร้องว่าลำบากเสียแล้ว และแทบอยากจะยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองหลายที ตัวเองสวมใส่วิญญาณบ้าอะไร ถึงมาก่อเรื่องวุ่นวายที่จวนอ๋องฉี รู้ทั้งรู้ว่า แม่นางตรงหน้าเป็นนายหญิงที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ผู้ใดก็มิอาจหาญกล้ามาหาเรื่องด้วย แล้วมุมปากของเขาก็เผยรอยยิ้มที่ขมขื่น โค้งกายลง และพูดด้วยความนอบน้อม “ซื่อจื่อเฟย เป็นข้าน้อยเองที่ผิดไปแล้วจริงๆ ขอรับ ข้าน้อยเป็นชายหยาบคาย พูดจาไม่คิดไตร่ตรองด้วยสมอง ท่านเป็นผู้มีอำนาจใหญ่โต ขออย่าได้เอาความกับข้าเลยขอรับ”


 


 


หากเรื่องทั้งหมดจบลงตรงนี้ และปล่อยให้ผ่านไปก็จะแย่เอาได้ เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจถึงข้อนี้ดี จึงผ่อนน้ำเสียงลง “คุณหนูหลินมีพี่ใหญ่แบบท่านเช่นนี้เป็นวาสนาที่สั่งสมมาหลายชาติจริงๆ เช่นแล้วกัน เรื่องที่ท่านมาสร้างความวุ่นวายถึงที่ในวันนี้ พวกเราก็ถือว่าผ่านไปเสีย บัดนี้ ข้าเพียงแต่อยากจะถามเสียหน่อยว่าจุดประสงค์ที่มาวันนี้คืออันใดหรือ”


 


 


กวาดสายมองทุกคนภายในเรือนแวบหนึ่ง หลินจ้งก็เพียงแต่โค้งตัวขอบคุณอีกครั้ง และไม่พูดอะไรอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตระหนักได้ จึงสั่งทุกคน “ไปรินน้ำชาอย่างดีมา ส่วนคนที่เหลือก็ออกไปให้หมดเถิด”


 


 


ทุกคนรับคำ และถอยออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้หวงฝู่อวี้ “เชิญคุณชายหลินเข้าไปคุยในห้องเถิด”


 


 


พูดจบ หันตัวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองหลินจ้งและหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง แล้วเดินไปอยู่ข้างเมิ่งเชี่ยนโยว โอบนางเบาๆ เดินเข้าไปภายในห้อง


 


 


หลินจ้งมองหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง แล้วตามเข้าไปในห้อง


 


 


หวงฝู่อวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ลูบแก้มของตัวเอง แล้วถึงจะเดินเข้าไป


 


 


แต่ละคนนั่งลง สาวใช้ยกน้ำชามาวางไว้ตรงหน้าทีละคน โดยมีเพียงตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวที่วางน้ำเปล่าใบหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอนกายพิงพนักเก้าอี้ พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายหลิน ตอนนี้ไม่มีคนนอกแล้ว มีอะไรก็พูดตรงๆ เถิด”


 


 


เรื่องมาถึงตอนนี้ หากไม่พูดก็เกรงว่าวันนี้จะเดินออกจวนอ๋องฉีไม่ได้แล้ว อีกทั้ง วันนี้ตัวเองก็มาเพราะเรื่องการแต่งงานของหลินหันเยียน จึงเปิดเผยออกไปให้รู้แล้วรู้รอด บอกเรื่องที่หลินหันเยียนคิดต่อหวงฝู่อวี้ และสุดท้ายก็พูดว่า “ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะต้องการอยากจะถามเพียงคำถามเดียวว่า คุณชายรองมีความรู้สึกชอบพอกับน้องสาวข้าหรือไม่ ถ้าหากมีล่ะก็ ข้าจะช่วยพวกเจ้าอีกแรงหนึ่ง แต่หากไม่มี ข้าก็จะกลับไปบอกนางต่อ เพื่อให้นางตัดใจ แล้วหมั้นหมายกับคุณชายหลิวด้วยใจที่ซื่อตรง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อวี้ทั้งคู่


 


 


หวงฝู่อวี้เม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูด


 


 


ภายในห้องเงียบสงัด


 


 


ท้ายสุดก็เป็นหลินจ้งที่ยับยั้งอารมณ์ไม่ไหว จึงถามด้วยเสียงขรึม “คุณชายรอง เรื่องที่ควรทำและไม่ควรทำข้าก็ได้ทำทั้งสิ้นแล้ว ตอนนี้เจ้าพูดออกมาสักคำให้ข้าสบายใจเถิด ตกลงแล้วเจ้ามีใจให้แก่น้องสาวของข้าหรือไม่”


 


 


อันที่จริงแล้ว คนที่ตาไวก็ล้วนมองในใจของหวงฝู่อวี้ออก แม้แต่ราชเลขาหลินและฮูหยินก็มองออกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ถึงได้ขัดขวางการไปมาหาสู่ของหลินหันเยียนกับหวงฝู่อวี้ แต่หลินจ้งเป็นคนตรงไปตรงมา อีกทั้งปฏิบัติงานในกองทหาร ก็มีเรื่องมากมายอยู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้เท่าไรจริงๆ ดังนั้นวันนี้ถึงจะออกมาสอบถามถึงที่ด้วยตัวเอง


 


 


ในใจของหวงฝู่อวี้ได้เปลี่ยนความคิดอย่างนับไม่ถ้วน ทว่า ความคิดเหล่านี้ก็ถูกเขาหยุดยั้งเอาไว้ตลอด สุดท้ายก็เหลือแค่เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็คือเขาไม่อาจแต่งกับหลินหันเยียนได้ สถานการณ์ของจวนราชเลขาหลินกับจวนอ๋องในตอนนี้เป็นดั่งวารีและอัคคี ซึ่งอยู่ต่างขั้วอำนาจกัน ราชเลขาหลินก็หาสามีที่ดีให้แก่หลินหันเยียนแล้ว ถ้าหากตอนนี้เขายอมรับว่าในใจของตัวเองมีหลินหันเยียน อิงจากนิสัยของหลินจ้งก็ต้องช่วยหลินหันเยียนหนีออกมา แต่หลังจากนั้นเล่า นอกจากหลินหันเยียนจะต้องแบกรับคำกล่าวโทษว่าอกตัญญู ไร้ยางอายแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างจวนราชเลขากับจวนอ๋องก็ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมอีก แม้ว่าท่านพ่อกับพี่ใหญ่ของตัวเองจะไม่เกรงกลัวต่อราชเลขาหลิน แต่การเป็นปรปักษ์กับราชเลขาหลินเช่นนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดี ไม่รู้ว่าวันใดสักวันพวกเขาอาจจะแอบทำร้ายอะไรลับหลังท่านพ่อกับพี่ใหญ่ ใคร่ครวญถึงตรงนี้ ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูด “ขอบคุณในความรักที่คุณหนูหลินมีให้ หากแต่ข้ามิได้มีใจต่อคุณหนูหลินเลย”


 


 


เมื่อคำพูดนี้ของเขาออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นตะลึงโดยพลัน นางนึกว่าหวงฝู่อวี้จะถือโอกาสนี้แสดงความรู้สึกในใจที่มีต่อหลินหันเยียนเสียอีก


 


 


หลินจ้งฟังจบ ก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือว่าทุกข์ใจดี ที่ดีใจก็เพราะหวงฝู่อวี้ไม่ได้มีความรู้สึกต่อน้องสาวของตัวเอง เช่นนั้นนางก็สามารถตัดใจเสียที แต่ที่ทุกข์ใจก็คือ น้องสาวตัวเองมอบความรู้สึกให้ผิดคน บัดนี้ก็จะไม่รบกวนอีกแล้ว จึงลุกขึ้นยืน แล้วประสานมือคำนับต่อเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย วันนี้ข้าน้อยรบกวนแล้วขอรับ วันหลังมีเวลาข้าจะมาชดใช้โทษถึงที่อีกครั้ง”


 


 


พูดจบ ไม่รอให้ทั้งคู่ตอบ ก็หันหลังก้าวยาวๆ เดินออกไป


 


 


หวงฝู่อวี้นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอดถอนหายใจเบาๆ ไม่พูดอะไรสักคำ แล้วลุกขึ้นยืน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นตามด้วย ทั้งสองคนเดินออกไปด้านนอกด้วยกันอย่างเงียบๆ ขณะที่เดินมาถึงข้างกายของหวงฝู่อวี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อาจทนได้ จึงยื่นมือไปตบที่บ่าของเขา “อวี้เอ๋อร์ เจ้าต้องรู้นะว่าคำพูดของเจ้าในวันนี้พลาดพลั้งอะไรไป หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจภายหลัง”


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ได้เงยหน้าขึ้น และไม่ได้ขยับเช่นกัน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับทำหน้าบึ้ง มองมือที่นางตบเบาๆ บนบ่าของหวงฝู่อวี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกถึงความเยือกเย็นที่อึมครึม ในใจก็พลันหวาดหวั่น แล้วร้องในใจว่า แย่แล้วสิ จึงรีบถอนมือกลับมา แล้วคล้องแขนของหวงฝู่อี้เซวียนเอาไว้ พร้อมกับทำหน้ายิ้มอย่างเอาใจและพูดอย่างเริงร่า “ไปเถิด พวกเราไปอธิบายเรื่องนี้กับเสด็จแม่กัน”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับนาง แต่ช่วงขณะที่หันศีรษะไป มุมปากก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา


 


 


หลังจากที่ทั้งสองคนไปแล้ว ภายในห้องก็เงียบสงัด เวลาผ่านไปนาน หวงฝู่อวี้ถึงจะเงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แล้วพาดหัวกับพนักเก้าอี้ มองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด แต่ละหยดที่หนักอึ้งร่วงหล่นลงบนพื้นทีละเม็ดๆ


 


 


หลังจากที่หลินจ้งกลับถึงจวน หน้าตาก็ถมึงทึง พุ่งตัวไปที่เรือนของหลินหันเยียนทันที


 


 


คนที่รับผิดชอบเฝ้าประตูอยู่สองคนรู้สึกถึงมวลกายที่ไม่สบอารมณ์ของเขามาแต่ไกล จึงรีบหลบเข้าที่ต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง แล้วรอจนกระทั่งเห็นเขาเดินเข้าไปในเรือน ถึงจะเดินออกมาจากหลังต้นไม้ด้วยความหวาดหวั่น มองหน้ากันและกัน แล้วถาม “นี่นายน้อยไปทะเลาะกับคนอื่นมาหรือ”


 


 


ภายในเรือนตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของหลินหันเยียน “พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือเจ้าคะ”


 


 


หลินจ้งก็ไม่ได้ปิดบัง แล้วเอาคำพูดเดิมของหวงฝู่อวี้บอกนางโดยที่ไม่ตกหล่นไม่แม้แต่คำเดียว


 


 


หลังจากที่หลินหันเยียนได้ยิน ก็กระแทกนั่งลงบนเก้าอี้ พูดพึมพำอย่างไม่เชื่อ “จะเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร พี่อวี้จะไม่รู้สึกอะไรต่อข้าได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร…”

 

 

 


ตอนที่ 294 ได้พบปะ

 

หลินจ้งเห็นสภาพขวัญหนีดีฝ่อของนาง ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด แต่ก็จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงใช้เสียงที่นุ่มนวลอย่างสุดเท่าที่จะทำได้ขอร้องนาง “น้องเล็ก นี่เป็นคำพูดที่หวงฝู่อวี้พูดเองต่อหน้าข้า ซื่อจื่อ และซื่อจื่อเฟย มิได้เป็นความเท็จอย่างแน่นอน เจ้าตัดใจเสียเถิด ต่อไปก็อย่าได้คิดคะนึงถึงเขาอีกเลย”


 


 


หลินหันเยียนมีน้ำตาไหลออกมาเต็มหน้าแล้ว เดิมทีใบหน้าก็อิดโรยอยู่แล้ว ยังมีความเจ็บปวดขมขื่นมากขึ้นอีก นางยื่นมือหนึ่งออกมาจับมือของหลินจ้งไว้ และพูดอย่างสะอื้นไห้ “พี่ใหญ่ ข้าไม่เชื่อเจ้าค่ะ ข้าไม่เชื่อว่าพี่อวี้จะไม่มีใจให้แก่ข้า ที่เขาทำดีกับข้าเมื่อก่อนนั้นล้วนไม่เป็นจริงหรือเจ้าคะ”


 


 


หลินจ้งถอนหายใจ “น้องเล็ก เมื่อก่อนพวกเจ้าอายุยังน้อย เล่นกันด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวกับความรัก เจ้าลองนึกดู ตั้งแต่ที่เจ้ากับซื่อจื่อถอนหมั้นกัน เขายังมาหาเจ้าที่จวนอีกหรือไม่ ฟังคำของพี่ใหญ่นะ อย่าได้คิดถึงเขาอีก แล้วแต่งกับคุณชายหลิวแต่โดยดีเถิด”


 


 


ความสิ้นหวังในใจของหลินหันเยียนเป็นดั่งสายน้ำในแม่น้ำเจียงที่โถมเข้ามาใส่จนทำให้ทั้งร่างของนางจมลงไป นางร้องไห้หนักจนแทบจะขาดใจ พูดอะไรไม่ออก


 


 


หลินจ้งไม่รู้ว่าจะอ้อนวอนนางอย่างไร ได้แต่เพียงอยู่เป็นเพื่อน และถอนหายใจยาวๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในจวนอ๋องให้แก่พระชายาฉี


 


 


ในใจของพระชายาฉีก็เป็นกังวล “จะทำอย่างไรดีล่ะ ดูท่าว่าอวี้เอ๋อร์จะใจแข็งไม่ยอมข้องเกี่ยวอันใดกับเยียนเอ๋อร์อีกแล้ว”


 


 


มาถึงตอนนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไร้หนทาง จึงพูดและคิดไปด้วย “ดีที่ทั้งสองคนนั้นยังไม่ได้หมั้นหมายกันนะเจ้าคะ รออีกสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าอาจะเกิดความพลิกผันอันใหญ่หลวงขึ้นได้เจ้าได้ค่ะ”


 


 


พระชายาฉียิ่งไม่มีความคิดใดๆ จึงพยักหน้าอย่างห่อเ**่ยว “ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น”


 


 


รุ่งเช้าของวันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้นอนเกียจคร้าน หลังจากลุกขึ้นมาแต่เช้าตรู่และรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ก็มายังหนานเฉิงด้วยกันกับหวงฝู่อี้เซวียน แล้วรอฟังข่าวพร้อมกับทุกคน


 


 


ตั้งแต่ที่ครอบครัวเมิ่งต้าจินมา สองสามีภรรยาเมิ่งอี้ก็ตามมาพักอาศัยที่บ้านด้วย ในเวลานี้ เมิ่งอี้กลับเป็นคนที่ร้อนใจมากที่สุด เดินไปมาอยู่ในห้องไม่หยุดจนทำให้เมิ่งต้าจินตาลาย และพูดดุเขา “ไม่ต้องเดินไปเดินมาแล้ว ไปนั่งให้ดีๆ”


 


 


เมิ่งอี้หยุดฝีเท้าและลูบหลังศีรษะของตัวเอง พร้อมหัวเราะแหะๆ อย่างเขินอาย แล้วลองสอบถามอย่างระมัดระวัง “ท่านพ่อ พวกเรารอฟังข่าวอยู่ในบ้านยิ่งทำให้รู้สึกกระวนกระวายเหลือเกิน ไม่อย่างนั้น ข้าไปตรงที่ติดประกาศของราชสำนักดูเสียหน่อยดีหรือไม่ขอรับ”


 


 


จริงๆ แล้ว ในใจของเมิ่งต้าจินร้อนรนเสียยิ่งกว่าใคร อีกทั้งกระสับกระส่ายไปหมด แต่เพราะอยู่ต่อหน้าทุกคนจึงต้องแสร้งทำเป็นนิ่งขรึมเท่านั้น พอได้ฟังเมิ่งอี้พูดจบ ก็รีบโบกมือ แล้วพูดอย่างเสแสร้ง “เจ้ารีบไปเถิด จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาตรงหน้าข้าให้ข้าต้องปวดหัว”


 


 


เมิ่งอี้ดีใจจนร้องออกมา แล้วเปิดเท้าเตรียมวิ่งออกไปข้างนอกทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและร้องเรียกเขาไว้ “พี่เมิ่งอี้ รอก่อน!”


 


 


เมิ่งอี้หยุดฝีเท้าแล้วหันศีรษะกลับมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียน “พวกเราก็ไปด้วยเถิด ข้ารอคอยจนรู้สึกร้อนใจด้วยเหมือนกัน”


 


 


เมิ่งฉีก็พูดตามด้วย “ใช่ๆๆ พวกเราไปด้วยกัน”


 


 


เมิ่งเหรินกลับเป็นคนที่ไม่ได้กระวนกระวายที่สุด และเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้นยืน แล้วพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ไปเถิด พวกเราก็ไปด้วย”


 


 


แต่ละคนนั่งรถม้ามาถึงสถานที่ติดประกาศของราชสำนัก เวลายังเช้าอยู่นัก ประกาศของราชสำนักยังไม่ได้ติดออกมา แต่ข้างหน้าที่ติดประกาศนั้น ก็ได้ล้อมไปด้วยผู้คนที่เข้าร่วมสอบจอหงวนเต็มไปหมดตั้งนานแล้ว ทุกคนล้วนเขย่งปลายเท้า ชูคอยาว ชะเง้อมองไปด้านหนึ่ง เฝ้ารอให้รีบติดประกาศราชสำนักออกมา


 


 


ทันทีที่แต่ละคนลงจากลงม้าและเห็นเหตุการณ์นี้ ก็ไม่ใครเดินเข้าไป ต่างยืนอยู่ข้างรถม้า รอคอยอย่างเงียบๆ


 


 


ยังคงมีคนรีบร้อนวิ่งมาจากที่ไกลๆ ระหว่างที่เมิ่งฉีเงยหน้ามองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งหยุดจากที่ไกลๆ เหมือนกัน ผู้ชายคนหนึ่งลงจากบนรถม้า แล้วยื่นมือออก ช่วยประคองผู้หญิงคนหนึ่งที่อุ้มเด็กน้อยอยู่ลงมา ทั้งสองคนนี้หาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นฮั่วเซียงหลิงกับสามีของนาง


 


 


ทั้งสองยืนอยู่ข้างรถม้าเช่นเดียวกัน ด้านข้างมีบ่าวและสาวใช้หลายคน เด็กน้อยในอ้อมอกของฮั่วเซียงหลิงราวกับรู้สึกสงสัยใคร่รู้กับผู้คนที่มากมายขนาดนี้ แขนและขาเล็กๆ ก็สะบัดกันมั่ว อยากที่จะลงมา


 


 


ฮั่วเซียงหลิงก้มหน้าไปกล่อมอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยคล้ายว่าจะไม่ยอม ร่างเล็กๆ ก็ยิ่งดิ้นอย่างแรง


 


 


ไม่รู้ว่าชายหนุ่มพูดอะไรกับเด็ก เด็กน้อยยื่นแขนออกมา ส่งสัญญาณให้เขาอุ้ม


 


 


คนๆ นั้นเผยรอยยิ้มที่ละมุน รับเด็กมา แล้วให้เขานั่งอยู่บนบ่าอย่างระมัดระวัง


 


 


เด็กน้อยดีใจอย่างยิ่ง ปรบมือน้อยๆ แล้วร้องตะโกนอย่างชอบใจ


 


 


ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของฮั่วเซียงหลิงมองพ่อลูกทั้งคู่และเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นออกมาจากหัวใจโดยแท้จริง ทำให้ทั้งกายของนางเปล่งประกายด้วยราศีของคนเป็นแม่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เผยรอยยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน ดูท่าฮั่วเซียงหลิงจะเดินออกมาแล้วจริงๆ หลังจากทิ้งเหวินเปียวออกจากสมองได้ ก็รักและทะนุถนอมครอบครัวของตัวเองอย่างสุดใจ ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ


 


 


ขณะที่กำลังจะละสายตาออก ฮั่วเซียงหลิงกลับเห็นนางเข้า จึงผงะไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ หันฝีเท้า อยากจะเดินมาหา


 


 


ชายหนุ่มดึงนางเอาไว้ แล้วส่ายหน้าเบาๆ ให้นาง พลันหันไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวและพยักหน้าให้เล็กน้อยเพื่อทักทาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้ายิ้มให้ แล้วละสายตากลับมา


 


 


ฮั่วเซียงหลิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ชายหนุ่มกลับมีสีหน้าที่เป็นปกติ สั่งบ่าวรับใช้ติดตามอยู่ด้านข้างให้เขาไปสืบดูสถานการณ์ตรงหน้า


 


 


บ่าวรับใช้ติดตามรับคำ แล้วเดินตามฝูงคนไปข้างหน้า


 


 


รู้สึกว่าจวนจะถึงเวลาแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งโจวอันไปให้ตรวจดูข้างหน้าด้วย


 


 


โจวอันรับคำ และไปด้านหน้า เขามีวิชาการต่อสู้ติดตัว ย่อมแข็งแกร่งกว่าคนอื่นบ้าง ไม่นาน ก็เบียดเข้าไปในฝูงคน และหายไปโดยไม่เห็นเงา


 


 


ด้านหน้ามีคนตะโกนเสียงดัง “ประกาศราชสำนักออกมาแล้ว!”


 


 


ฝูงคนเบียดเสียดกัน คนข้างหน้ายังดูไม่ทันเสร็จ คนข้างหลังก็ใจร้อนอยากจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะเบียดเข้าไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิต


 


 


บนใบหน้าที่เคร่งเครียดของเมิ่งอี้เริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาแล้ว มองแต่ละคนแวบหนึ่ง ก็วิ่งเหยาะๆ เข้าไปข้างหลังของกลุ่มคน แล้วกระโดดหลายครั้ง พยายามที่จะมองดูชื่อที่อยู่บนประกาศราชสำนักด้านหน้าผ่านฝูงคนจำนวนมาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหน้า เมื่อปีนั้นที่อี้เซวียนสอบติดถงเซิง นางก็ได้เรียนรู้กับภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว อย่าว่าแต่กระโดดดูเลย แม้แต่ยืนอยู่บนยอดของรถม้าก็มองไม่เห็นด้านหน้า


 


 


มีคนๆ หนึ่งที่มีลักษณะเหมือนคุณชายพาบ่าวรับใช้หลายคน วิ่งผ่านข้างกายพวกเขาอย่างรีบร้อนไป เสื้อผ้าดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่าทางยังสะลึมสะลือละม้ายคล้ายว่ายังไม่ตื่นนอนดี ครั้นเห็นผู้คนมหาศาลเบื้องหน้า คุณชายคนนั้นก็กระโดดหลายครั้งเหมือนเมิ่งอี้ คงจะเป็นเพราะนอกจากศีรษะของคนแล้ว ก็มองไม่เห็นอะไรเลย จึงโมโห แล้วถีบบ่าวรับใช้คนหนึ่งในนั้นพร้อมพูดด่า “เมื่อคืนข้าไม่ได้บอกพวกเจ้าแล้วหรือว่าให้ปลุกข้าตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเจ้าฟังคำของข้าเหมือนกับเป็นลมผ่านหูเสียแล้วหรือ”


 


 


บ่าวรับใช้แต่ละคนถูกถีบ ก็ไม่กล้าส่งเสียงร้อง ยืนหดตัวอยู่ที่เดิม


 


 


“เจ้าพวกสวะไร้ประโยชน์ รีบมายกข้าขึ้น!” คุณชายคนนั้นสั่ง


 


 


คนใช้คนหนึ่งที่มีรูปร่างกำยำรีบย่อตัวลง ให้คุณชายคนนั้นขี่บนคอ แล้วออกแรงยืนขึ้นโดยที่มีคนอื่นช่วยเหลือด้วย แล้วมองไปด้านใน


 


 


ดูท่าว่ายังคงมองไม่เห็น คุณชายคนนั้นก็ใช้มือตีบ่าวที่ร่างกำยำหลายครั้งอย่างร้อนรน “โง่เสียจริง เดินเข้าไปข้างหน้าอีกหน่อยสิ”


 


 


ทว่า เบื้องหน้าก็คือกำแพงมนุษย์ ไหนเลยจะเบียดเข้าไปข้างหน้าให้สะทกสะท้านได้ ทคนทั้งหมดล้วนออกสุดแรง ก็เบียดเข้าไปไม่ได้ แต่กลับอาจจะเพราะมีคนข้างหน้าที่ดูเสร็จแล้ว และมีชื่อบนประกาศนั้นแล้ว จึงเบียดออกมาข้างนอกอย่างดีอกดีใจ ในครานี้ มิได้เป็นกำแพงหนาแน่น แต่ฝูงคนขยับไหวราวกับลูกคลื่น และเบียดชายฉกรรจ์ร่างกำยำจนไม่อาจทรงตัวได้อย่างมั่นคง แล้วทั้งตัวก็ล้มไปด้านหลัง แม้แต่คุณชายที่อยู่บนไหล่ของเขาก็ร่วงล้มตามไปด้วย


 


 


บ่าวแต่ละคนที่อยู่ด้านข้างอยากจะค้ำพวกเขาเอาไว้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ชายฉกรรจ์ล้มทื่อไปบนพื้น สะท้านจนแผ่นพื้นใต้เท้าของพวกเมิ่งเชี่ยนโยวไหวสั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณชายคนนั้นเลย ศีรษะกระแทกลงกับพื้นตรงๆ และส่งเสียงร้องโอดครวญราวกับหมูโดนเชือด


 


 


บ่าวคนอื่นๆ มือเท้าสับสนวุ่นวาย อยากจะมาพยุงคุณชายคนนั้นขึ้นมา นึกไม่ถึงว่ารีบเกินไป ศีรษะของแต่คนก็ชนเข้ากันแล้ว ได้ยินแต่เสียง โป๊ก ที่ดังขึ้น จากนั้นพวกเขาต่างก็ล้มไปด้านหลังและกระแทกนั่งลงกับพื้นทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเห็นทั้งหมดกับตา อยากจะหัวเราะ ก็รู้สึกว่าคนมากมายเช่นนี้คงจะเสียมารยาท จึงกลั้นขำจนปวดท้อง


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนปนหัวเราะ “อยากจะหัวเราะก็หัวเราะ ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอามือป้องปากตัวเองไว้ ยิ้มส่ายหน้า


 


 


องครักษ์ลับคนหนึ่งตาเบิกโตเดินเข้ามา ชี้ไปที่คุณชายที่นอนบนพื้นร้อง โอยๆๆ ไม่หยุด แล้วปากก็ด่าคนไปทั่วโดยที่ไม่เหลือภาพลักษณ์ใดๆ อีกคนนั้น แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย เขา…เขา…เขาคือคุณชายหลิวขอรับ”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวคลายลง หวงฝู่อี้เซวียนย่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้าดูแน่ชัดแล้วหรือว่านั่นคือคุณชายหลิว”


 


 


องครักษ์ลับขมวดคิ้วไปด้วย และเผยสีหน้าที่ลำบากใจ “ดูจากหน้าตาแล้วก็คือคุณชายหลิวขอรับ แต่ว่าดูจากกิริยาวาจาแล้วก็ไม่ใช่ บ่าวก็สับสนแล้วขอรับ”


 


 


ตอนแรกสั่งโจวอันไปลักพาตัวคุณชายหลิว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้แทรกแซง จึงไม่รู้ถึงหน้าตาที่แท้จริงของคุณชายหลิว แต่องครักษ์ลับพวกนี้เป็นคนที่คัดเลือกมาจากผู้คนมากมาย การรู้จักคนเป็นทักษะอย่างหนึ่ง จึงไม่อาจมองผิดได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น


 


 


“เจ้าลองไปสืบดูว่าคุณชายหลิวยังอยู่ในจวนราชเลขาหรือไม่” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเสียงขรึม


 


 


องครักษ์ลับรับคำ แล้วลอยตัวไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เมิ่งฉีกับเมิ่งเหรินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถาม เพียงแต่มองฝูงคนตรงหน้าด้วยความกังวล หวังให้โจวอันรีบออกมา


 


 


หลังจากที่บ่าวรับใช้หลายคนต่างอลหม่านกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง สุดท้ายก็สามารถพยุงคุณชายคนนั้นขึ้นมาได้ แน่นอนว่าก็ยังต้องโดนดุด่า โดยเฉพาะบ่าวที่รูปร่างกำยำนั่น คุณชายคนนั้นคิดถึงขั้นอยากจะบีบคอเขาให้ตายเสียแล้ว “เจ้าคนเดรัจฉาน ตัวเจ้าคนเดียวกินข้าวได้เท่าห้าคนกิน แต่แม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำให้ดีไม่ได้ ข้าเก็บเจ้าไว้แล้วจะมีประโยชน์อันใด วันนี้หลังจากกลับไป ก็เก็บข้าวเก็บของแล้วไสหัวออกไปจากบ้านของข้าเสีย อย่าให้ข้าได้เห็นเจ้าอีก”


 


 


บ่าวรับใช้ร่างกำยำตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไร


 


 


คุณชายคนนี้ยังคงไม่พอใจ จึงถีบเขาหลายครั้ง ถีบจนกระทั่งเขาล้มกลิ้งไปกับพื้น ถึงจะหยุด


 


 


ส่วนคนอื่นๆ ก็รู้ว่าเขากำลังโกรธขึ้นสมอง ก็ไม่กล้าอ้อนวอน ได้แต่เพียงมองบ่าวรูปร่างกำยำด้วยความเวทนา


 


 


แล้วก็มีฝูงคนที่ทะลักออกมาด้านนอกอีกระลอกหนึ่ง ครั้งนี้องค์ชายคนนั้นตกใจจนต้องถอยออกมาให้ห่างจากฝูงคนไกลหน่อย แต่ก็รู้สึกไม่ยอม จึงสั่งบ่าวรับใช้คนหนึ่ง “เจ้า รีบเบียดเข้าไป ไปดูว่ามีชื่อของข้าหรือไม่”


 


 


บ่าวคนนั้นไม่กล้าชักช้า รีบแทรกตัวเข้าไปในฝูงคนโดยเร็ว


 


 


โจวอันกระโดดลอยตัวออกมาจากฝูงคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี “มีชี่อของนายน้อยขอรับ อันดับที่ยี่สิบแปดขอรับ”


 


 


เมิ่งอี้ดีอกดีใจจนกระโดดตัวลอย เมื่อปลายเท้าถึงพื้นแล้วก็รุดตัวเข้าไปตรงหน้าของเมิ่งเหริน แล้วกอดเขาไว้ ร้องด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่ สอบติดแล้ว สอบติดแล้ว ข้าเป็นตัวแทนแห่งเกียรติให้แก่บรรพบุรุษตระกูลเมิ่งของพวกเราได้แล้ว”


 


 


เมิ่งฉีดีใจอย่างยิ่ง ตบบ่าของเมิ่งเหรินหลายครั้ง นัยน์ตามีน้ำตาแห่งความตื้นตัน “เมิ่งเหริน ทำได้ยอดเยี่ยมนัก”


 


 


เมิ่งเหรินก็ตื่นเต้นอย่างมาก พยักหน้าไม่หยุด ลำคอติดขัด พูดอะไรไม่ออก หลายปีมาแล้ว ในที่สุดก็ไม่ทำให้คนในตระกูลผิดหวัง และไม่ทำให้บรรพบุรุษตระกูลเมิ่งผิดหวังแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ


 


 


คุณชายคนนั้นมองดูภาพนี้ทั้งหมด กรอกตามองขึ้นอย่างใช้ความคิด แล้วเดินเข้ามายืนนิ่งตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน เผยรอยยิ้ม แล้วทำท่าทางเลียนแบบท่าทางของบัณฑิตด้วยการประสานสองมือเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมโค้งตัวให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนเพื่อแสดงความเคารพ “พี่ชายท่านนี้ขอรับ ขอรบกวนท่านได้หรือไม่ ให้บ่าวของท่านไปช่วยดูให้ข้าหน่อยขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอื้อมมือดึงชายเสื้อของเขาไว้เพื่อขวางไม่ให้เขาเอ่ยปาก แล้วพยักหน้ายิ้มให้ “ได้สิเจ้าคะ ขอทราบซื่อและแซ่ของคุณชายท่านนี้หน่อยเจ้าคะ”


 


 


ราวกับไม่คาดคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะรับคำ คุณชายคนนี้ก็ผงะไป เงยหน้าขึ้นมามองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง นัยน์ตาก็พลันลุกวาว แล้วพูดตอบโดยเร็ว “ข้าน้อยคือหลิวจยาเจิ้ง ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือในครั้งนี้ขอรับ”


 


 


กรอกตาประเมินเขาอย่างละเอียดครู่หนึ่งอย่างเงียบๆ แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดสั่ง “โจวอัน ไปช่วยดูให้คุณชายท่านนี้เสียหน่อย”


 


 


โจวอันไม่ตอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองด้วยความฉงน


 


 


ครั้งนี้โจวอันถึงจะรับคำราวกลับเพิ่งตื่นจากฝัน แต่แววตาที่แคลงใจกลับมองอยู่บนตัวของหลิวจยาเจิ้ง


 


 


หลิวจยาเจิ้งรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา จึงมองไปทางเขา


 


 


โจวอันจึงลองเอ่ยปาก “คุณชายหลิว ท่านรู้จักข้าหรือไม่”


 


 


หลิวจยาเจิ้งมองเขาอย่างสบายๆ สักพักหนึ่ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านพูดจาน่าขัน ข้าน้อยเพิ่งจะมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรกได้ไม่นาน ไหนเลยจะรู้จักคนสูงส่งอย่างท่าน”


 


 


ใบหน้าของโจวอันปรากฏความฉงน แล้วพูด “ก่อนหน้านี้หลายวัน ข้าบังเอิญรู้จักกับคุณชายท่านหนึ่งที่ชื่อหลิวจยาเจิ้ง และมีหน้าตาแทบจะเหมือนกับท่านเลย”


 


 


แววตาของหลิวจยาเจิ้งส่องประกายไม่หยุด สีหน้าก็เริ่มมีความอึดอัดขึ้น แล้วฝืนยิ้มพูด “พี่ชายท่านนี้ ล้อเล่นเก่งเสียจริงๆ ข้าน้อยเป็นลูกคนเดียว ในใต้หล้านี้จะมีคนที่เหมือนกับข้าได้ที่ไหนอีกเล่า”

 

 

 


ตอนที่ 295 รักษาคำสัญญา

 

โจวอันต้องการจะพูดอะไรขึ้นอีก แต่เมิ่งเชี่ยนโยวยั้งเขาไว้ “โจวอัน รีบไปเร็ว ช่วยดูให้คุณชายคนนี้เสียหน่อย”


 


 


โจวอันรับคำ ลอยกระโจนเข้าไปในฝูงคน


 


 


หลังจากที่หลิวจยาเจิ้งโค้งตัวให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็หันตัวกลับไปมองทางที่ติดประกาศของราชสำนัก


 


 


บ่าวรับใช้ที่สามีของฮั่วเซียงหลิงส่งออกไปก็เหงื่อท่วมศีรษะ เบียดเสียดออกมาจนเสื้อผ้าผิดรูปร่าง ร้องตะโกนเสียงดังมาทางทั้งสองคนอย่างดีใจ “นายน้อย ฮูหยิน ติดแล้วขอรับ ติดแล้วขอรับ นายน้อยสอบผ่านแล้วขอรับ”


 


 


ฮั่วเซียงหลิงดีใจจนลืมสำรวมกาย จับเสื้อผ้าของชายหนุ่มกระโดดโลดเต้นราวกับสาวน้อยวัยเยาว์ “ท่านพี่ได้ยินแล้วใช่ไหมเจ้าคะ ท่านสอบผ่านแล้วนะเจ้าคะ!”


 


 


ชายหนุ่มก็ตื่นเต้นอย่างมาก พยักหน้าไม่หยุด “หลิงเอ๋อร์ เพราะว่าเจ้าเป็นดาวนำโชคของข้า การได้เจ้ามาเป็นคู่ครองถือเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชาตินี้ของข้า”


 


 


การแสดงความรักที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้สีหน้าของฮั่วเซียงหลิงแดงขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเขินอายลอบมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมา แล้วพูดเสียงเบาด้วยความกระมิดกระเมี้ยน “ท่านพี่ ที่นี่เป็นถนนใหญ่นะเจ้าคะ ท่านพูดเช่นนี้ทำไมกัน”


 


 


ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะอย่างเปรมปรีดิ์ และกดเสียงต่ำพูด “ก็ได้ๆๆ ไม่พูดๆ รอให้กลับถึงบ้านแล้วค่อยพูดให้เจ้าฟัง”


 


 


สีหน้าของฮั่วเซียงหลิงยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม บิดศีรษะหันมามองด้านนี้อีกครั้งหนึ่ง ก็ปะทะกับสายตาที่ชอบใจของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงผงะไป รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไป แล้วโค้งตัวให้นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้มรับ


 


 


ชายหนุ่มเห็นท่าทางของฮั่วเซียงหลิง จึงมองไปด้านนั้นแล้วพยักหน้า จากนั้นอุ้มเด็กน้อยที่อยู่บนบ่าตัวเองลงมา แล้วพูด “ไปเถิด กลับไปบอกข่าวดีนี้ให้ท่านพ่อท่านแม่กัน”


 


 


ฮั่วเซียงหลิงขึ้นนั่งบนรถม้าอย่างเรียบร้อย


 


 


เห็นรถม้าไปไกล เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถอนสายตากลับมา


 


 


โจวอันก็กลับมาแล้ว ขณะที่เพิ่งจะผละออกมาจากฝูงคน ก็ถูกหลิวจยาเจิ้งที่อดใจรอไม่ไหวดึงเอาไว้ และถามด้วยเสียงที่รีบเร่ง “พี่ชาย มีชื่อของข้าหรือไม่”


 


 


หลังจากเห็นเค้าหน้าของเขาอย่างละเอียดในระยะใกล้ ก็มั่นใจอีกครั้งว่าตัวเองไม่ได้มองคนผิด แล้วโจวอันถึงจะตอบ “มี อันดับที่ห้าสิบหก”


 


 


“ฮ่าๆๆๆ” หลิวจยาเจิ้งส่งเสียงหัวเราะอย่างคนวิปลาส “ข้าสอบผ่านแล้ว ข้าสอบผ่านแล้ว ชีวิตนี้ของตัวข้า หลิวจยาเจิ้งก็สามารถเป็นขุนนางได้เหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ”


 


 


เสียงหัวเราะที่แสบแก้วหู สะท้านใบหูของเมิ่งเชี่ยนโยวจนรู้สึกเจ็บแปลบ จึงต้องย่นหัวคิ้วอย่างอดไม่ได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเห็นกับตา ใบหน้าก็มีความไม่พอใจ หรี่ตาเบาๆ มองหลิวจยาเจิ้ง ขณะที่กำลังจะสั่งโจวอันให้โยนเขาไปอีกด้านหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขอร้องเบาๆ “ช่างเถิด อย่างไรก็เป็นคนที่จวนราชเลขาหมั้นหมายเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนั้น พวกเราก็กลับกันเถิด”


 


 


ทุกคนหันตัวกลับขึ้นบนรถม้า เสียงที่บ้าคลั่งของหลิวจยาเจิ้งก็ดังมาจากด้านหลัง “แม่เอ็งโว้ย ครั้งนี้ข้าเชิดหน้าชูตาได้แล้ว พวกตาเฒ่าในตระกูลพวกนั้นจะได้ไม่ต้องมาพูดว่าข้าเป็นเศษสวะไร้ประโยชน์อีกแล้ว รอให้ข้าแต่งกับคุณหนูของจวนราชเลขานั่นก่อนเถอะ ข้าจะต้องทำให้พวกตาเฒ่าเหล่านั้นต้องมาคุกเข่าเลียเท้าของข้าให้ได้”


 


 


ฝีเท้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงัก รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล หลิวจยาเจิ้งมีเป็นสถานะเป็นถึงขุนนางในอนาคต กิริยามารยาทก็ควรจะเข้าใจดี เหตุใดถึงได้พ่นวาจาหยาบคายสกปรกบนถนนใหญ่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ


 


 


และเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ความคิดของนางยังไม่ทันจะสิ้น บ่าวรับใช้คนหนึ่งก็รีบพูดเตือน “นายน้อยขอรับ ท่านสำรวมเสียหน่อยขอรับ ตอนที่นายท่านมาก็ได้สั่งไว้แล้วว่า ก่อนที่ท่านยังไม่ได้แต่งงาน ก็ไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของท่านได้ และจะต้องสำรวมมารยาทเสียหน่อย รู้จักกาลเทศะเสียหน่อย กิริยาท่าทางก็ต้องสง่าผ่าเผยเสียหน่อย”


 


 


ด้านหลังมีเสียง เพี๊ยะๆ ดังขึ้นหลายครั้ง ตามมาด้วยเสียงของหลิวจยาเจิ้ง “มารยาทอะไร กาลเทศะอะไร สง่าผ่าเผยอะไร วันนี้ตัวข้ามีชื่อเสียงแล้ว พรุ่งนี้ก็จะหมั้นหมายกับคุณหนูจวนราชเลขานั่น อีกไปไม่กี่วันก็จะเป็นเจ้าบ่าวแล้ว ข้าจะกลัวอะไร”


 


 


“แต่ว่า…” เสียงบ่าวรับใช้อ้ำอึ้ง


 


 


แล้วก็มีเสียง เพี๊ยะๆ ดังขึ้นอีกหลายครั้ง “ไม่มีแต่ว่าอะไรทั้งนั้น จะบอกพวกเจ้าให้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าทุกคนต้องฟังข้า ส่วนคำของพ่อข้า พวกเจ้าก็คิดเสียว่าเขาเป็นแค่ลมก็แล้วกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอดรนทนไม่ไหวหันศีรษะกลับไปมองหลิวจยาเจิ้ง เห็นพฤติกรรมที่หยาบโลนของเขาและ ท่าทีที่เหลวแหลก หาราศีของผู้เป็นขุนนางไม่ได้แม้แต่น้อย จึงอดที่จะขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ หันศีรษะกลับไป ต้องการจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างกับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับเอ่ยปากขึ้นก่อน “คนที่ส่งไปใกล้จะกลับมาแล้ว สรุปแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ อีกประเดี๋ยวก็จะได้รู้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


แต่ละคนขึ้นรถม้ากลับไปที่หนานเฉิง


 


 


สามีภรรยาเมิ่งต้าจิน เมิ่งซื่อ และอิงจื่อได้ยินข่าวที่แต่ละคนนำกลับมาก็ตื้นตันอย่างมาก โดยเฉพาะเมิ่งต้าจิน ไม่คาดคิดว่าเขาจะนั่งลงบนเก้าอี้แล้วร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กน้อย โดยไม่สนทุกคนอยู่ตรงนั้น


 


 


ทุกคนต่างตกตะลึง


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินกลับเข้าใจเขา ขอบตาก็แดงตามไปด้วยอย่างอดไม่ได้ เดินมาตรงหน้าเขา แล้วตบหลังเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านพี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดีนะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ดูสิ พวกเด็กๆ ตกใจกันหมดแล้ว”


 


 


ในที่สุดความฝันหลายปีก็สมหวังที่ตัวลูกแล้ว เมิ่งต้าจินทำอย่างไรก็ฝืนกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ได้ ตอนแรกร้องสะอื้นเบาๆ แต่พอภรรยาเมิ่งต้าจินปลอบใจเช่นนี้ เขากลับร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังขึ้นมา ทั้งเช็ดน้ำมูก ทั้งเช็ดน้ำตา คนรอบข้างที่ดูอยู่ต่างก็รู้สึกปวดใจอย่างมาก นึกถึงในปีก่อนนั้น เขาก็เป็นผู้มีความสามารถ เป็นชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงในตำบลชิงซี แต่กลับถูกคนใส่ร้ายป้ายสี ชีวิตนี้จึงไม่อาจเดินสู่เส้นทางแห่งขุนนางได้อีก ด้วยความผิดหวังและสูญเสียกำลังใจ จึงปล่อยปละละทิ้งตัวเองจนเกือบทำให้ชีวิตทั้งชีวิตต้องพังทลาย หากไม่ใช่เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวดึงเขาขึ้นมาได้ทันเวลา อย่าว่าแต่ลูกของตัวเองจะสอบผ่านเลย เกรงว่าการได้มาเมืองหลวงก็เป็นเรื่องยาก


 


 


ทุกคนเข้าใจเขา จึงไม่มีใครเข้าไปขัด ปล่อยให้ใจที่บอบช้ำมากว่ายี่สิบปีนี้ได้ปลดปล่อยออกมา


 


 


การที่ให้เมิ่งต้าจินได้ร้องไห้ระบายออกมาอยู่ภายในห้อง กลับทำให้คนที่เฝ้าประตูอยู่นอกห้องรู้สึกลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่ที่มาส่งข่าวมงคลก็ได้ตีฆ้องรัวกลองมาถึงแล้ว แต่เขาไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าภายในห้องเกิดอะไรขึ้น จึงไม่กล้าที่จะหุนหันเข้ามา


 


 


ชิงหลวนและจูหลีก็มองหน้ากันและกัน ไม่รู้ว่าเหตุใดนายท่านเมิ่งต้าจินถึงตื่นเต้นขนาดนี้


 


 


บนศีรษะของนายประตูโชกไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมออกมา แล้วร้องอ้อนวอนว่า “แม่นางชิงหลวน”


 


 


ชิงหลวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าภายในห้องเบาๆ มาตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดที่ข้างหูนางสองสามคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


ชิงหลวนถอยออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอ้อนวอนด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงเจ้าคะ ท่านอย่าได้ร้องไห้อีกต่อไปเลยเจ้าค่ะ คนที่จะมาส่งข่าวมงคลจะตกใจหนีไปเสียแล้ว”


 


 


เมิ่งต้าจินรีบหยุดเสียงร้องโดยพลัน แม้แต่น้ำตาบนหน้ายังไม่ทันเช็ดออกก็ลุกขึ้นยืน แล้วทำหน้าตายินดีเบิกบาน “เจ้าหน้าที่ส่งข่าวมงคลมาถึงแล้วหรือ” พูดจบ ก็หันไปทางภรรยาเมิ่งต้าจิน “เงินรางวัลที่ข้าให้เจ้าเตรียมล่ะ เร็ว เข้า เอามาให้ข้านี่!”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินล้วงเศษเงินไม่กี่ตำลึงออกมาจากชายเสื้อด้วยความลุกลี้ลุกลน แล้วส่งให้ที่บนมือของเขา


 


 


พอเมิ่งต้าจินเห็น ก็โมโหและถามเสียงดัง “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เตรียมเยอะหน่อย ทำไมมีเท่านี้เองเล่า”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ล้วงออกมาจากกระเป๋าอีกบางส่วน แล้ววางบนมือเขา “เท่านี้พอแล้วใช่ไหม”


 


 


เมื่อเห็นว่ามีประมาณสิบกว่าตำลึง เมิ่งต้าจินถึงจะเดินก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอกอย่างพอใจ


 


 


คนที่ส่งข่าวมงคลยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ตีกลองรัวฆ้องดังสนั่น ทำให้ผู้คนที่อยู่ละแวกบ้านอื่นๆ ล้วนพากันออกมาดู ก่อนอื่นต้องบอกว่า ที่หนานเฉิงแห่งนี้ก็ไม่ย่ำแย่ ทว่า ล้วนเป็นคนทำมาค้าขาย มักจะพูดคุยถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ มากกว่าเรื่องอื่น แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องวิชาการความรู้ก็ดูจะห่างไกลนัก ทว่า ช่วงหลายสิบปีมานี้ ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่มาส่งข่าวมงคลในที่แห่งนี้เลย บัดนี้ เมื่อมีเสียงกลองเสียงฆ้องนี้ดังขึ้น ทุกคนก็รู้สึกมีหน้ามีตาไปด้วย ไม่ว่าคนที่รู้จักหรือไม่รู้จัก อยู่ใกล้หรือไกล เป็นหญิงหรือชาย ล้วนพากันมาร่วมด้วย แล้วทักทายกับคนในตระกูลเมิ่งที่เพิ่งออกมา


 


 


มีคนออกมาแล้ว เจ้าหน้าที่ส่งข่าวมงคลหยุดเสียงกลอง แล้วเปล่งเสียงร้องยินดีตามธรรมเนียม โดยจุดประสงค์ก็คืออยากได้เงินรางวัลมากขึ้น


 


 


เมิ่งต้าจินตื้นตันใจ เดินมาข้างหน้าสุดตรงหน้าเจ้าหน้าที่คนนั้น แล้วหยิบเงินทั้งหมดในมือยัดให้เขา แล้วพูดอย่างต่อเนื่อง “ขอบพระคุณทุกท่านมาก ขอบพระคุณทุกท่านมาก”


 


 


ส่วนใหญ่คนที่มายังเมืองหลวงเพื่อสอบมักจะเป็นนักเรียนที่ยากจนคดแค้น ในปีที่ผ่านๆ เจ้าหน้าที่ส่งข่าวมงคลจะได้รับเงินตอบแทนไม่มาก ได้เพียงหนึ่งหรือสองตำลึงก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่ตอนนี้มีเงินมากมายเช่นนี้ยัดใส่มือเขา กลับทำให้เจ้าหน้าที่คนนี้ตระหนก และในเวลาเดียวกันก็ดีใจจนหุบปากลงไม่ได้ คิดในใจว่าเป็นเพราะตัวเองรอบคอบ ทันทีที่เห็นว่าเมิ่งเหรินคนนี้ลงทะเบียนที่อยู่ในหนานเฉิง ก็รีบแย่งมารายงานก่อน แล้วก็ได้รับทรัพย์ใหญ่อย่างที่คิดจริงๆ ขณะที่เงยหน้ากำลังจะกล่าวขอบคุณ กลับเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ด้านหลังฝูงคน ก็ตกใจจนมือสั่นระรัวจนเกือบจะโยนเงินในมือทิ้งไป แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดโดยเร็ว “นายท่าน ท่านให้เงินมากเกินไปแล้วขอรับ”


 


 


“ไม่มาก ไม่มาก รับไปเถิด พวกเจ้าลำบากแล้ว เอาเงินไปซื้อเหล้าซื้ออะไรกินเถิด” เมิ่งต้าจินผลักกลับไป


 


 


ในครานี้เจ้าหน้าที่ถึงจะนึกออกว่าบ้านของซื่อจื่อเฟยมีแซ่ว่าเมิ่ง ท่านที่สอบผ่านวันนี้ต้องเป็นคนในครอบครัวของนางอย่างแน่นอน ไหนเลยจะยังกล้ารับเงินรางวัลที่โดยไม่สนชีวิตตัวเอง ปลายเท้าก็หันกลับไป ผลักคืนกลับตรงหน้าเมิ่งต้าจิน “นายท่าน การมาครั้งนี้เป็นหน้าที่อันสมควรของข้าน้อยขอรับ ที่ท่านให้มานี้มากเกินไปแล้ว ข้าน้อยไม่กล้ารับหรอกขอรับ”


 


 


ไม่เพียงแต่เมิ่งต้าจิน แม้แต่คนที่มาดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ ก็รู้สึกอึดอัดไปด้วย ปกติเจ้าหน้าที่พวกนี้แทบอยากจะปอกลอกเนื้อหนังของผู้คน แต่วันนี้เป็นอะไร เงินถึงมือแล้วก็ไม่เอา ไม่ใช่ว่าพระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตกแล้วหรือ


 


 


เห็นเจ้าหน้าที่มองมาทางตัวเองบ่อยครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงเอ่ยปากพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “รับไปเถิด เดินทางมาถึงนี่นั้นมิง่าย”


 


 


ได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนที่ไม่เพียงแต่ไม่กล่าวตำหนิ แล้วยังเอ่ยปากให้พวกเขารับอีก พวกเจ้าหน้าที่ต่างก็ดีใจจนตีนกาบนใบหน้าก็ยิ้มออกมาด้วย “ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง จะรับเอาไว้เดี๋ยวนี้”


 


 


ตอนนี้ทุกคนถึงเข้าใจว่าไม่ใช่เพราะพระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตก แต่ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงไม่กล้ารับเงินอย่างโจ่งแจ้ง


 


 


เจ้าหน้าที่รับเงินและจากไปอย่างดีอกดีใจ ผู้คนรอบๆ ก็ถือโอกาสนี้มาแสดงความยินดี ประการแรกคือทำให้คุ้นหน้าคุ้นตา ประการที่สองคือมาสานสัมพันธ์กับคนของตระกูลเมิ่ง ต้องรู้ว่า ตั้งแต่วินาทีที่ได้ทราบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะแต่งกับซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีนั้น พวกเขาก็ครุ่นคิดหาทางว่าจะประจบประแจงคนของตระกูลเมิ่งอย่างไรดี จะทำอย่างไรกับทุกคนที่อยู่ในตระกูลเมิ่งดี ซึ่งรวมไปถึงนายประตูด้วย ทว่า แต่ละคนก็ล้วนรักษากฎระเบียบอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยรับอะไรจากคนอื่นโดยไร้สาเหตุ ทำให้แม้ว่าพวกเขาอยากจะประจบสอพลอก็หาช่องทางไม่ได้เลย ตอนนี้ได้โอกาสนี้พอดี ถึงแค่จะมาพูดแสดงความยินดี ก็ถือว่าได้พูดคุยด้วยแล้ว


 


 


เมิ่งต้าจินพาเมิ่งเหริน เมิ่งอี้ เมิ่งฉี รับมือด้านนอก ส่วนภรรยาเมิ่งต้าจินกับเมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ก็กลับเข้าไปในห้องด้วยความปีติยินดี และนั่งพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นไม่หยุด


 


 


โจวอันเดินเข้ามาภายในเรือน รายงานเสียงดัง “นายท่าน คนที่ไปสืบข่าวกลับมาแล้วขอรับ”


 


 


ทุกคนหยุดพูด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพร้อมกัน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้ากับอี้เซวียนมีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการ ขอกลับไปที่เรือนของข้าก่อนนะเจ้าคะ”


 


 


ทุกคนก็ไม่สนใจ พยักหน้ายิ้มให้ รอให้พวกเขาสองคนออกไปแล้ว ก็พูดคุยหัวเราะต่อกันอย่างไม่หยุด


 


 


ทั้งสองคนกลับมาในห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว องครักษ์ลับก็ตามเข้ามารายงาน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ไปสืบมาแน่ชัดแล้วว่าวันนี้คุณชายหลิวคนนั้นไม่ได้อยู่ในจวนราชเลขาขอรับ บอกว่ารับประทานอาหารเช้าตั้งแต่เช้าตรู่แล้วก็ออกไปดูประกาศของราชสำนักเลยขอรับ”


 


 


นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถาม “ตอนที่พวกเจ้าลักพาตัวคุณชายหลิว เขาเป็นอย่างไร รอบตัวเขามีคนติดตามหรือไม่”


 


 


องครักษ์ลับส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ เวลานั้น คุณชายหลิวคนนั้นโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง อย่าว่าแต่คนติดตามเลยขอรับ แม้แต่รถม้าก็เช่าไม่ไหว มิเช่นนั้นพวกข้าน้อยก็คงจับไม่ได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นขอรับ”


 


 


“นี่มันแปลกเสียแล้วสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน “วันนี้คนๆ นั้นเรียกตัวเองว่าหลิวจยาเจิ้ง ไม่เพียงแต่มีคนติดตามมากมาย เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เหมือนกับคนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนคดแค้นเลย คำพูดและกิริยาท่าทางก็แตกต่างจากที่พวกเจ้าบรรยายอย่างสิ้นเชิง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”


 


 


“ข้าน้อยก็รู้สึกว่าน่าแปลกเช่นกันขอรับ คุณชายหลิวคนนี้มีหน้าตาเหมือนกับคนที่พวกข้าลักพาตัวนั่นไม่มีผิด แต่ว่าข้าน้อยกลับรับประกันว่าพวกเขาไม่ใช่คนๆ เดียวกันจริงๆ ขอรับ”


 


 


“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูหลิน ไม่อย่างนั้นพวกเราหาคนไปตรวจสอบอีกครั้งดีหรือไม่” เมิ่งเชี่ยวโยวลองปรึกษากับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า “ได้ยินว่าคุณชายหลิวคนนี้เป็นญาติทางฝั่งของฮูหยินแห่งจวนราชเลขา เรื่องนี้พวกเราไม่อาจแทรกแซงได้ง่ายๆ แต่ว่าพวกเราเตือนหลินจ้งเสียหน่อย ส่วนเขาจะฟังหรือไม่ พวกเราก็ไม่ต้องสนใจแล้ว”


 


 


ไม่นาน หลินจ้งที่กำลังออกจากค่ายทหารเตรียมตัวกลับบ้านก็ถูกโจวอันหยุดไว้


 


 


เมื่อวานเสียท่าให้แก่โจวอัน ครั้นหลินจ้งเห็นเขาในวันนี้ ก็เตรียมการตั้งรับ แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร “เจ้ามาทำอะไร”


 


 


“นายของพวกข้าพบว่าคุณชายหลิวมีข้อผิดปกติบางอย่าง จึงสั่งให้ข้ามาบอกต่อโดยเฉพาะ ถ้าหากคุณชายหลินเอ็นดูน้องสาวท่านจากใจจริง ก็ลองส่งคนไปตรวจสอบดูขอรับ” สิ้นเสียง ก็ไม่รอให้หลินจ้งตอบสนองกลับ โจวอันก็ลอยตัวออกไปจากประตูค่ายทหารแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ใช่คนที่จะปั้นน้ำเป็นตัว ในเมื่อเขาส่งคนมาบอกเช่นนี้ ต้องพบเรื่องอะไรเป็นแน่ ความสงสัยอยู่เต็มหัวของหลินจ้งไปหมด กลับถึงจวนราชเลขา ก็เข้าประตูแล้วถามผู้ดูแลจวน “คุณชายหลิวอยู่ในจวนหรือไม่”


 


 


รอบตัวของผู้ดูแลแผ่ไอของความปรีดา “อยู่ในจวนขอรับ เจ้าหน้าที่ส่งข่าวมงคลเพิ่งมาเมื่อครู่ บอกว่าคุณชายหลิวสอบผ่านแล้วขอรับ นายท่านและฮูหยินก็นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่กับเขา ปรึกษาเรื่องงานแต่งงานของคุณหนูขอรับ”


 


 


หลิงจ้งเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่


 


 


ราชเลขาและฮูหยินกำลังพูดอะไรกับหลิวจยาเจิ้งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน เมื่อเห็นเขาเข้ามา ก็พูดด้วยความดีใจ “จ้งเอ๋อร์ เข้ามาเร็ว คุณชายหลิวสอบผ่านแล้ว พวกเราก็ควรจะรักษาคำสัญญา เจ้าลองดูสิว่าจะเลือกวันหมั้นหมายของเยียนเอ๋อร์วันใดดี”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)