ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 29.1-29.2
ตอนที่ 29-1 คนรู้จักเก่า
การแสดงออกทางสีหน้าของอ๋องฉีไม่ได้เปลี่ยนไปเลย อำนาจจากตัวของเขายังคงแผ่ออกมาได้อย่างน่าเกรงขามแม้ว่าจะไม่มีโทสะก็ตาม “จัดการด้วยตัวเองเสีย”
เฮ่ออีไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ตอบกลับไปทันทีว่า “ขอรับ!”
กล่าวจบ ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากลานไป
องครักษ์เงาคนอื่นที่เหลือพากันเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก สายตาจับจ้องไปทางเขาเป็นตาเดียว
“รอก่อน!” น้ำเสียงตื่นตระหนกของหวงฝู่อวี้ดังขัดขึ้น
เฮ่ออีหยุดฝีเท้าของตัวเองลงแล้วหันหน้ามองกลับมา
หวงฝู่อวี้หมุนตัวของเขากลับไปเผชิญหน้ากับอ๋องฉีตรงๆ ก่อนจะขอร้องแทนเฮ่ออีด้วยความลนลานว่า “ท่านพ่อ ที่เฮ่ออีทำแบบนั้นลงไปก็เพราะถูกลูกบีบบังคับ และก็เป็นเพราะข้าอีกเช่นกันถึงทำให้เขาถูกจับเข้าคุก ขอท่านพ่อโปรดเมตตา ลงโทษเขาด้วยสถานเบาด้วยเถิด”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร
เฮ่ออีประคองมือทั้งสองข้างของเขาขึ้น ก่อนจะหันไปพูดกับหวงฝู่อวี้ว่า “คุณชายรอง เฮ่ออีทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ สมควรถูกลงโทษแล้ว ขอท่านอย่าได้ขอร้องแทนผู้ใต้บังคับบัญชาอีกเลย”
เมื่อเห็นว่าอ๋องฉีปฏิเสธไม่เห็นด้วย หวงฝู่อวี้จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทางหวงฝู่อี้เซวียนแทน ตะโกนเรียกเขาไปด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายว่า “พี่ใหญ่!”
หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นสายตาคาดหวังที่มองมายังตนเองก็ให้เม้มริมฝีปากลงแน่นแล้วเปิดปากพูดออกไปว่า “ท่านพ่อ เฮ่ออีแม้ว่าจะกระทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่เห็นแก่ความจงรักภักดีของเขา อย่างไรลงโทษเขาด้วยสถานเบาเถิด”
ใจของอ๋องฉีเริ่มสั่นคลอนขึ้นมาบ้างแล้ว คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ทุกคนต่างมองเขาไปด้วยแววตาคาดหวัง
ภายในลานบ้านยามนี้เงียบสงัด
รอบด้านถูกความเงียบเข้ากลืนกินไปชั่วขณะ
ผ่านไปค่อนข้างนานทีเดียว ในที่สุดน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผยของอ๋องฉีก็ดังขึ้น “ในเมื่อซื่อจื่อขอร้องแทนเจ้า เปิ่นหวางก็จะไว้ชีวิตเจ้าในครั้งนี้ กลับไปรับโทษที่ห้องมืดด้วยตัวเองเสีย”
การเข้าไปในห้องมืดก็เหมือนกับเอาชีวิตไปทิ้งเก้าส่วนแล้ว อย่างไรก็ตามไม่ต้องถึงขั้นตัดแขนตัดขานับว่ายังรักษาชีวิตเอาไว้ได้อยู่ หวงฝู่อวี้คิดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เฮ่ออีซึ่งคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้วในครั้งนี้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขากระแทกเข่าลงกับพื้นทันทีด้วยเสียงดัง ประกายความยินดีในน้ำเสียงที่กล่าวออกไปไม่อาจปกปิดไว้ได้มิดเลย “ผู้ใต้บังคับบัญชาขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเมตตา ขอบพระทัยซื่อจื่อที่ช่วยขอร้องแทนข้าน้อย”
อ๋องฉีโบกมือออกไปครั้งหนึ่ง ร่างของเฮ่ออีก็หายไปจากลานบ้านอย่างรวดเร็ว
มองไปยังกลุ่มคนที่ยังคุกเข่าอยู่ที่ลานบ้าน เสียงทรงอำนาจของอ๋องฉีก็ดังขึ้นอีกครั้ง “คนที่เหลือให้ไปรับโทษโบยยี่สิบไม้ วันหน้าหากยังกล้าทำผิดอีก จะไม่มีปรานีอีกแล้ว”
เหล่าองครักษ์เงาที่คิดว่าตัวเองคงต้องตายแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่พวกเขาก็จะได้รับการลดหย่อนโทษไปด้วย จึงได้ตะโกนตอบไปด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเมตตา ไม่ตัดสินประหารพวกเรา”
อ๋องฉีโบกมือออกไปอีกครั้ง
องครักษ์เงาหลายสิบคนก็ลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยความพร้อมเพรียง ถอยออกไปจากลานบ้านอย่างสงบ ไม่มีเสียงฝีเท้ายุ่งเหยิงดังมาให้ขัดหูเลย
รอจนกระทั่งองครักษ์เงาทั้งหมดถอยกลับไป ลานแห่งนี้ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนหันไปกล่าวกับอ๋องฉีและพระชายาด้วยท่าทีสุภาพว่า “ท่านพ่อท่านแม่ หากไม่มีเรื่องอันใดแล้วเช่นนั้นลูกขอตัวกลับเรือนก่อน”
อ๋องฉีพยักหน้าให้เขาเบาๆ
ตอนนี้เองจู่ๆ หวงฝู่อวี้ก็รีบพูดขึ้น “ข้ากลับไปกับพี่ใหญ่ด้วย”
อ๋องฉีปรายตามองเขาแวบหนึ่ง
หวงฝู่อวี้สะดุ้งเฮือกเหงื่อเย็นไหลอาบไปทั่วร่าง เขารีบหดคอหนีทันที มองไปทางอ๋องฉีอย่างหวาดๆ แกมระแวงแล้วไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
เห็นท่าทีหดหัวหวาดกลัวของเขา อ๋องฉีก็ขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่พอใจนัก
หวงฝู่อวี้เห็นแบบนี้ก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ กระเถิบถอยไปยืนอยู่ด้านหลังหวงฝู่อี้เซวียน ใช้ร่างของเขาช่วยบังตัวเองไว้
คิ้วของอ๋องฉีขมวดลึกขึ้นไปอีก
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงได้กล่าวออกไปอย่างไม่ทิ้งร่องรอยไว้ว่า “ท่านพ่อท่านแม่ ข้ากับอวี้เอ๋อร์ขอตัวกลับไปก่อน”
อ๋องฉีเหลือบตามองหวงฝู่อวี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป
หวงฝู่อี้เซวียนหมุนตัวเดินออกไปจากลานโดยมีหวงฝู่อวี้ตามหลังไปไม่ห่าง
รอจนกระทั่งเงาร่างของหวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อวี้ลับสายตาไปแล้ว เสียงของอ๋องฉีก็ดังขึ้น “พระชายา อีกเดียวเปิ่นหวางจะไปที่เรื่องของเจ้านะ”
ทว่าน้ำเสียงไม่เย็นไม่ร้อนของพระชายากลับตอบมาว่า “ซย่าเซินช่วงนี้ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ เกรงว่าคงไม่อาจปรนนิบัติท่านอ๋องได้ อย่างไรทรงไปที่เรือนอื่นดีกว่าเพคะ” กล่าวจบก็ย่อตัวคำนับเขาไปหนึ่งทีแล้วเดินจากไปพร้อมกับสาวใช้ส่วนตัว ตรงกลับไปยังเรือนพักของตนอย่างเบื่อหน่ายยิ่ง
ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธด้วยท่าทีไม่อ่อนไม่แข็ง อ๋องฉีก็ยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าเรือนของตนไปด้วยสีหน้าไร้ชีวิตชีวา
ในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ไปทานอาหารกลางวันที่จวนของนาง แต่กลับฝากจดหมายให้หวงฝู่อี้ไปส่ง บอกว่าไทเฮาทรงเรียกเขาเข้าเฝ้า ดังนั้นเขาจะรับประทานอาหารกลางวันในวังเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปสำรวจความเรียบร้อยที่ร้านของตัวเอง ดูว่าแบบแปลนที่นางออกแบบไว้ตรงกับความต้องการหรือเปล่า หลังจากจัดการกับทุกอย่างจนเกือบเสร็จ จู่ๆ ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาถึงเมืองหลวงได้สิบกว่าวันแล้ว สมควรจะไปเยี่ยมเยือนเหวินซื่อเสียที จึงได้กวักมือเรียกเหวินเปียวเข้ามาแล้วถามเขาไปว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าร้านยาเต๋อเหรินตั้งอยู่ที่ไหน”
เหวินเปียวตอบนางไปด้วยความเคารพว่า “แม่นาง ร้านยาเต๋อเหรินในเมืองหลวงแห่งนี้มีอยู่ทั้งหมดสามแห่ง แบ่งเป็นเขตตะวันออก เขตใต้ แล้วก็เขตตะวันตก ไม่ทราบว่าท่านต้องการไปที่ร้านไหน”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ร้านหลัก ตอนนี้เหวินซื่อเป็นเถ้าแก่ของร้านยาเต๋อเหริน คิดว่าน่าจะอยู่ที่ร้านหลักกระมัง”
“ทราบแล้วขอรับ หากแม่นางอยากไปข้าจะพาท่านไปเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้เขา หลังจากสั่งให้เหวินหู่ดูแลจัดการเรื่องทำความสะอาดต่อ นางก็ขึ้นรถม้าแล้วออกไปทันที
กัวเฟยยังคงติดตามนางอยู่ไม่ห่าง กระโดดขึ้นไปนั่งอีกฟากของรถม้าตามพวกเขาไปด้วย
เหวินเปียวคุ้นเคยเส้นทางในเมืองหลวงเป็นอย่างดี โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ไม่ทันไรเขาก็ขับรถม้ามาจนถึงหน้าร้านหลักของร้านยาเต๋อเหรินแล้ว
รถม้าหยุดลง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลงมาจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปข้างในร้านยาเต๋อเหริน
กัวเฟยเดินตามหลังนางไปไม่ห่าง
ร้านยาเต๋อเหรินในเมืองหลวงมีขนาดใหญ่กว่าในเมืองชิงซีมากนัก ท่านหมอที่ประจำอยู่ที่นี่ก็มีมากกว่าสิบคน และแม้ว่าจะเป็นยามอู่ของวันแล้วก็ตาม แต่คนที่เดินเข้าออกก็ยังคงเนืองแน่นพลุกพล่าน ตรงหน้าของหมอแต่ละท่านไม่มีเก้าอี้ไหนว่างเว้นอยู่เลย ล้วนถูกจับจองด้วยผู้ป่วยทั้งสิ้น
เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา พนักงานของร้านยาเต๋อเหรินผู้หนึ่งก็เข้ามาทักทายพวกเขาอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง ไม่ทราบว่ามาหาหมอหรือมาซื้อยาขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขาไปตามตรง “ข้ามาหาเถ้าแก่ของพวกเจ้า ไม่รู้ว่าอยู่หรือไม่”
พนักงานหนุ่มผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็กลับมากระตือรือร้นอีกครั้ง ถามนางไปว่า “แม่นางกับเถ้าแก่ของพวกข้ารู้จักกันหรือ ไม่ทราบว่าท่านมาหาเถ้าแก่ของพวกเราด้วยเรื่องอันใด”
“แม่นางเมิ่ง!” ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะตอบกลับไป จู่ๆ เสียงของพนักงานอีกคนก็ดังเข้ามา เขาตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ น้ำเสียงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางเขา
พนักงงานคนนั้นพูดขึ้นอย่างมีความสุขทันทีว่า “แม่นางจำข้าไม่ได้แล้วหรือขอรับ ตอนที่อยู่ที่เมืองชิงซีแล้วร้านยาเต๋อเหรินของพวกเราเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็คือคนที่เถ้าแก่สั่งให้นำจดหมายไปส่งให้ท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมีความสามารถผ่านตาไม่ลืมเลือน แน่นอนย่อมต้องจำเขาได้ในทันที ดังนั้นจึงพยักหน้าให้เขาไปเล็กน้อย
“ทำไมแม่นางท่านถึงมาที่เมืองหลวงเล่า หรือว่าจะมาหาเถ้าแก่ของพวกเราโดยเฉพาะ” พนักงานคนนั้นถามออกมาเป็นชุด
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขากลับไปว่า “ข้ามาอยู่ที่เมืองหลวงได้หลายวันแล้ว วันนี้ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็เลยมาที่นี่เพื่อพบเถ้าแก่ของเจ้า”
“เถ้าแก่ของพวกเราอยู่ที่ชั้นบนขอรับ ประเดี๋ยวข้าจะพาท่านขึ้นไปที่นั่น” หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปอธิบายกับพนักงานที่อยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้ามีความสุขว่า “แม่นางท่านนี้กับเถ้าแก่ของพวกเราเป็นคนรู้จักเก่ากัน ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นที่เมืองชิงซีก็ได้แม่นางท่านนี้แหละที่ช่วยเหลือ ข้าจะพานางไปพบกับเถ้าแก่เดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว ท่าทีกระตือรือร้นของพนักงานคนนั้นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น “แม่นาง เชิญขึ้นไปชั้นบนขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าแล้วเดินตามพนักงานอีกคนขึ้นชั้นบนไป
ทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นบน นางก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่ปะทะเข้าหา ฝีเท้าของพนักงานคนที่เดินนำนางขึ้นมาหยุดชะงักลงอย่างชัดเจน
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นถึงการเคลื่อนไหวของเขาจึงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นแล้วกระซิบบอกกับพนักงานคนนั้นไปว่า “ไม่รบกวนเจ้าแล้ว ข้าเข้าไปเอง”
พนักงานคนนั้นดูเหมือนจะหวาดกลัวอะไรบางอย่าง แต่หลังจากได้ฟังคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วเขาก็ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะกระซิบบอกนางไปว่า “ตอนนี้เถ้าแก่ของพวกเรากำลังอารมณ์ไม่ดี แม่นางดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ พบเขาแล้วก็ระวังตัวหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้
พนักงานคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วก็เดินกลับลงไปชั้นล่างอย่างเงียบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวกระซิบกับกัวเฟยไปว่า “เจ้ารอข้าอยู่ที่หน้าประตู”
กัวเฟยขานรับกลับมาเสียงต่ำแล้วถอยออกไปยืนอยู่อีกฟากหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ
เสียงมืดมนทุ้มต่ำดังออกมาจากทางด้านในว่า “เข้ามา!”
ทันทีที่เมิ่งเชี่ยนโยวผลักประตูให้เปิดออกแล้วก้าวเข้าไปข้างใน นางก็ได้เห็นเหวินซื่อกำลังขมวดคิ้วจ้องบัญชีที่วางอยู่ตรงหน้าเขม็ง
เหวินซื่อคิดว่าคนที่เข้ามาคงเป็นพนักงานสักคนหนึ่ง จึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแม้แต่น้อย ปากถามออกไปว่า “มีอะไร”
ไม่มีเสียงใดดังตอบกลับมา
เหวินซื่อรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง แต่เพียงแค่เขาเงยหน้าขึ้นมาแสงเย็นเยียบพลันก็บินจากทางประตูมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
เหวินซื่อตกใจมาก เบี่ยงตัวหลบทันควันก่อนจะตะโกนถามกลับไปด้วยเสียงดังลั่นว่า “เจ้าเป็นใคร”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปด้วยเสียงใสว่า “คนทวงหนี้”
เหวินซื่อที่กำลังจะโจมตีกลับหยุดชะงักลงพลางมองไปยังทิศทางของต้นเสียงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ในมือของเมิ่งเชี่ยนโยวกริชด้ามงามกำลังหมุนควงเป็นรูปวงกลม
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บมันเข้าที่ แล้วมองไปทางเหวินซื่อด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้ามืดมนของเหวินซื่อฉายแววประหลาดใจขึ้นมาทันใด “ยัยเด็กน่าตาย ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่เมืองหลวงเล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งตีหน้าขรึม ถามเหวินซื่อกลับไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เถ้าแก่เหวินไม่เจอกันตั้งหลายปี ท่านลืมคำเตือนที่ข้าให้ท่านไปแล้วหรือ”
เหวินซื่อหัวเราะฮ่าๆ แล้วเดินขึ้นไปข้างหน้า คิดอยากจะตบไหล่นางแรงๆ สักหลายที แต่แล้วก็รู้สึกว่าการกระทำของเขานั้นไม่เหมาะสม จึงได้เปลี่ยนท่าทางไปเป็นชี้เก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างๆ แทน แล้วพูดออกไปว่า “นั่งสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถ่อมตัวเลย นั่งลงบนเก้าอี้อย่างใจกว้าง
ตอนที่ 29-2 คนรู้จักเก่า
เหวินซื่อก้าวอาดๆ ไปที่ประตู ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออกและกำลังจะเปิดปากสั่งให้พนักงานยกชามาสักกา แต่แล้วก็เป็นอันต้องสะดุดไปเพราะเห็นกัวเฟยเสียก่อน
กัวเฟยทักทายเขาด้วยความเคารพ “เถ้าแก่เหวิน”
เหวินซื่อจำเขาได้จึงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยจากนั้นก็เดินไปทางบันไดที่อยู่ตรงสุดทางเดิน ตะโกนสั่งลงไปว่า “ชงชาดีๆ มาสักกาแล้วเอาขึ้นมาให้ข้า”
พนักงานที่อยู่ชั้นล่างขานรับกลับไป
เหวินซื่อหมุนตัวกลับมาแล้วพูดกับกัวเฟยอย่างสุภาพว่า “ท่านหัวหน้ากัวเองก็เข้าไปดื่มชาด้วยกันเถิด”
กัวเฟยรีบตอบกลับไปทันทีว่า “ขอบคุณเถ้าแก่เหวิน แต่ข้าขอเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูดีกว่า หากท่านมีอะไรก็สั่งข้ามาได้”
เหวินซื่อรู้ฐานะของเขาดี ดังนั้นจึงไม่ได้รบเร้าเขา เดินกลับเข้าห้องไปแล้วไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเมิ่งเชี่ยนโยว อดไม่ได้ที่จะถามนางไปอีกครั้งว่า “สรุปแล้วเจ้ามาทำอะไรที่เมืองหลวง”
“แน่นอนว่าต้องมาทวงหนี้อยู่แล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาท่านส่งแต่ตั๋วเงินไปให้ข้าทุกๆ วันปีใหม่ แต่ว่าบัญชีทั้งหลายแหล่กลับไม่เคยส่งมาให้เห็นแม้แต่เล่มเดียว ข้ารู้สึกว่างเหลือเกิน ช่วงที่ไม่มีอะไรทำพอดีลองคิดคำนวณดูเล่นๆ รู้สึกว่าเงินที่ท่านส่งมาขาดไปไม่น้อย ก็เลยลากคนมาทวงหนี้ท่านถึงที่” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปอย่างซุกซน
เหวินซื่อหัวเราะเสียงดังแล้วพูดออกไปว่า “ไม่เจอกันนานหลายปี แม่นางน้อยเจ้าเติบโตขึ้นเป็นสาวแล้ว แต่นิสัยของเจ้ากลับไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อครู่นี้หากข้าหลบช้ากว่านี้อีกนิด กริชเล่มนั้นคงกระแทกเข้ากลางกระหม่อมข้าแล้ว หากใบหน้าข้าเกิดมีรอยขีดข่วนขึ้นมา เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร”
“ก็แค่รอยขีดข่วนไม่ใช่เหรอ กลัวอะไร อย่างไรเสียในมือของข้าก็มียารักษารอยแผลเป็นอีกเป็นกระบุง มากสุดนำออกมาให้ท่านแบบไม่คิดเงินสักสองสามขวด เท่านี้ก็จบปัญหาแล้ว”
เหวินซื่อหัวเราะลั่นอีกครั้ง
พนักงานที่รับหน้าที่ยกชาขึ้นมารู้สึกกังขานัก หลายปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงหัวเราะสะใจเช่นนี้จากปากของเถ้าแก่ ไม่รู้ว่าแม่นางเมิ่งกับเถ้าแก่พูดเรื่องอะไรกันถึงได้ทำให้เขามีความสุขมากขนาดนี้
กัวเฟยช่วยเคาะประตูแทนเขา
เหวินซื่อมีคำสั่งลงไป “เข้ามา!”
พนักงานคนนั้นเปิดประตูออก จากนั้นก็เดินเข้าไปรินชาให้กับพวกเขาคนละถ้วยด้วยความเคารพ
เหวินซื่อกล่าวต่อว่า “เจ้าลงไปได้แล้ว ไม่ต้องอยู่รอปรนนิบัติที่นี่”
จากนั้นพนักงานคนนั้นขานรับออกมาคำหนึ่งแล้วเดินออกจากประตูไป ก่อนไปยังช่วยปิดประตูให้พวกเขาอย่างเบามือ
เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าเบาๆ หลังจากจิบลงไปเล็กน้อย กลิ่นหอมของใบชาก็กระจายฟุ้งไปทั่วปากของนางทันที ได้แต่ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “พอได้มาเป็นเถ้าแก่ของร้านยาเต๋อเหรินแล้วก็ต่างออกไปมากจริงๆ ขนาดใบชายังเป็นของชั้นสูงเลย”
เหวินซื่อหัวเราะอย่างโกรธๆ “แค่ใบชาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากเจ้าชอบรู้สึกว่ารสชาติดีจะเอากลับไปด้วยก็ได้ ไยต้องกล่าววาจากระแนะกระแหนให้เหม็นเปรี้ยวไปทั่วเช่นนี้ด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาลงแล้วโบกมือกลับไป “ลืมไปเสียเถอะ ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับใบชาแม้แต่น้อย มอบใบชาชั้นดีเช่นนี้ให้ข้า มีแต่จะเสียของเปล่า”
เหวินซื่อยิ้มแล้วส่ายหัวให้กับนาง มือยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็ถามออกไปว่า “เจ้ามาทำอะไรที่เมืองหลวง อย่าได้หลอกลวงข้า ข้าเข้าใจนิสัยใจคอของเจ้าดี เจ้าไม่ใช่คนที่จะออกมาเพียงเพื่อเล่นสนุกแน่ๆ”
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เปลี่ยนไปเลย นางมองเขาก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อบังคับคนให้แต่งงาน”
มือของเหวินซื่อสั่นสะท้าน ถ้วยชาในมือของเขาเกือบจะร่วงลงกับพื้นหลังจากได้ยินคำที่นางกล่าว ยืนยันออกไปอีกครั้งด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า “เจ้าพูดใหม่อีกครั้งสิ เจ้ามาทำอะไรที่เมืองหลวงนะ”
ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาที่เกินธรรมดาของเขาจะทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวพอใจมาก นางเลิกคิ้วขึ้นอย่างซุกซนแล้วย้ำออกไปว่า “มาบังคับคนให้แต่งงาน”
คราวนี้เหวินซื่อได้ยินมันอย่างชัดเจนแล้ว เขาวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ แล้วถามออกไปด้วยความประหลาดใจว่า “บังคับให้ใครแต่งงานกับใคร”
“แน่นอนย่อมต้องเป็นซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีอยู่แล้ว ข้ากับเขามีสัญญาแต่งงานกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ตอนนี้เขาโตแล้ว ข้าก็เลยมาบังคับเขาให้แต่งงานกับข้า” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“โครม!” แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรต่อ เหวินซื่อก็ล้มลงไปนอนกับพื้นแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบหัวเราะให้กับปฏิกิริยาแปลกๆ ของเขา จงใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงเสแสร้งว่า “เถ้าแก่เหวิน ท่านเป็นอะไรของท่าน ให้ข้าช่วยพยุงท่านขึ้นมาดีไหม”
เหวินซื่อนั่งอยู่บนพื้น โบกมือให้นางเป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนางแล้วถามออกไปด้วยความลนลานว่า “ไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวลือไปทั่วเมืองหลวงว่าซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีอุ้มแม่นางน้อยคนหนึ่งเข้าจวนท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก แม่นางผู้นั้นคงไม่ใช่เจ้ากระมัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าด้วยท่าทีเมินเฉย “เป็นข้าเอง ไม่คิดว่าแม้แต่ท่านก็เคยได้ยินข่าวลือนี้ด้วย”
ทันใดนั้นเหวินซื่อก็ยืนขึ้นแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายว่า “เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ก่อนเจ้าจะไปที่จวนอ๋องฉีเหตุใดถึงไม่มาหาข้าก่อน ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีมีสัญญาหมั้นหมายกับคุณหนูจวนราขเลขาผู้นั้นตั้งแต่พวกเขายังไม่เกิดแล้ว ตอนนี้เจ้า ตอนนี้เจ้า…” คำพูดต่อจากนั้นขาดช่วงไปราวกับว่าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงจงใจถามเขาไปอย่างซุกซน “ข้าเป็นเช่นไรในตอนนี้”
เหวินซื่อประหนึ่งถูกเหล็กร้อนจี้ก้นก็มิปาน ตวาดออกไปว่า “เจ้านะเจ้า แต่ก่อนไม่ใช่ฉลาดมากหรอกหรือ ไยเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปีกลับกลายเป็นคนไม่มีหัวคิดเสียแล้ว เจ้าเอาทั้งชีวิตของตัวเองทุ่มลงไปเช่นนี้ ประกอบกับนิสัยของเจ้า อีกหน่อยจะอยู่รอดในจวนอ๋องฉีต่อไปได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วแซวเขาต่อไป “ทำไม นิสัยแบบข้าจะเอาตัวรอดในจวนอ๋องฉีไม่ได้เชียวเหรอ”
เหวินซื่อกลับขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ หันหน้าไปปะทะกับนางตรงๆ แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีคือคนที่จะสืบทอดตำแหน่งอ๋องฉี สืบทอดจวนอ๋องฉีในอนาคต สามภรรยาสี่อนุแน่นอนย่อมไม่มีขาด กับเจ้าที่อุปนิสัยเช่นนี้ แต่งเข้าจวนอ๋องฉีไปจะต้องถูกพระชายาเอกของเขากดหัวเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเจ้าอยากจะขัดขืนต่อต้าน มีแต่จะถูกคนอ้างกฏของจวนทรมาณจนตาย”
สีหน้ามีความสุขของเมิ่งเชี่ยนโยวจางหายไป ความตื่นตระหนกฉายขึ้นมาแทนที่ “เช่นนั้นข้าควรจะทำอย่างไรดี ข้าตกลงแต่งงานกับเขาไปแล้ว”
“เจ้า…” เหวินซื่อเบิกตากว้าง มองนางอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหวอีกต่อไป ฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น
น้ำเสียงกังวลของเหวินซื่อดังขึ้นเหนือหัวของนาง “เจ้ายังหัวเราะออกอีก อีกหน่อยคอยดูว่าจะมีแต่น้ำตาให้ซับ!”
เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งดังก้องกังวานขึ้นกว่าเก่า
เหวินซื่อเดินไปรอบๆ ห้องราวกับหนูติดจั่น
หลังจากนั้นไม่นานเมิ่งเชี่ยนโยวก็หยุดหัวเราะ นางปาดน้ำตาออกจากหางตาก่อนจะพูดกับเขาไปว่า “ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด เขาจะไม่แต่งงานกับคนอื่นแน่นอน แล้วข้าก็จะไม่ยอมเป็นอนุให้เขาด้วย”
เหวินซื่อหยุดเดินแล้วมองมาที่นางด้วยความสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวผายมือเป็นเชิงบอกให้เขานั่งลง
เหวินซื่อกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ว่างตรงหน้าอีกครั้ง
รอยยิ้มเล่นๆ บนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวบัดนี้ไม่หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว นางกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า “ท่านน่าจะรู้ว่าซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีก็คือน้องชายตัวน้อยบ้านข้าที่อายุยังน้อยก็สอบผ่านตำแหน่งถงเซิงผู้นั้น”
เหวินซื่อพยักหน้า “ข้ารู้ ตอนที่พี่ใหญ่ฉู่พาเขากลับเข้าเมืองหลวงเมื่อสี่ปีก่อนข้าก็รู้เรื่องนี้แล้ว ทั้งยังเกือบถูกพี่ใหญ่ฉู่ตีตายแน่ะ บอกว่าข้าติดต่อกับเจ้ามาตั้งนานแต่กลับไม่รู้ว่าเขาก็คือน้องชายตัวน้อยของเจ้า ไม่รู้ว่าเขาก็คือคนที่ตามหามาตลอดหลายปีผู้นั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “สมควรแล้ว คนที่ตามหาอยู่ใต้จมูกแท้ๆ แต่ท่านกลับหาไม่เจอ แม่ทัพฉู่ไม่ตีท่านจนตายข้าว่าเขาเมตตาท่านมากแล้วนะ”
เหวินซื่อสำลักแล้วตวัดสายตาขึ้นจ้องนาง “ล้วนเป็นเพราะเจ้าไม่ใช่เหรอ เจ้าเองน่าจะรู้ดียิ่งกว่าใครว่าคนที่พวกเราตามหาก็คือเขา แต่กลับไม่ปริปากให้รู้สักคำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธที่จะยอมรับ นางโต้เถียงกลับไป “ทำไม ท่านโทษข้าเหรอ เป็นพวกท่านที่ไม่ยอมบอกข้าเองถึงสาเหตุที่เขาถูกนำมาทิ้งบนภูเขา อีกอย่างข้าเคยสอบถามถึงสถานการณ์ภายในจวนอ๋องฉีคร่าวๆ จากท่านแล้ว แต่ท่านก็ไม่ยอมบอกข้า สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย อะไรๆ ก็ไม่ชัดเจน แล้วแบบนี้ข้าจะบอกท่านว่าอี้เซวียนก็คือคนที่พวกท่านกำลังมองหาอยู่ได้อย่างไร”
เหวินซื่อยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “ก็ได้ๆ ข้าผิดเอง เป็นความผิดของข้าทั้งหมด รีบเล่ามาเร็วเข้าว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ข้าสงสัยมาโดยตลอด แต่พอถามพี่ฉู่ไปทีไรเขาก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบสักที ไม่ยอมเล่าให้ฟังเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางไปส่งอี้เซวียนเข้าสอบซิ่วไฉ รวมถึงเรื่องที่เขายืนยันจะส่งนางกลับบ้านด้วย
หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เหวินซื่อก็ประหลาดใจนัก ถามนางกลับไปว่า “ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีสัญญาว่าจะแต่งงานกับเจ้าเท่านั้นตลอดทั้งชีวิตนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้นจนถึงตอนนี้ข้าก็เลยรอข่าวจากเขาอยู่ที่จวนมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อหลายวันก่อนเกิดขึ้น บีบให้ข้าต้องเข้าเมืองหลวงมาหาเขา เกรงว่าคงต้องรออีกสักสองสามปีเลยทีเดียว อย่างไรเสียเขาก็ยังเล็กอยู่”
เหวินซื่อไม่ได้ถามนางว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ขมวดคิ้วแล้วพูดออกไปด้วยความเป็นห่วงว่า “แม้ว่าเขาจะสัญญากับเจ้าไว้แล้ว แต่ว่าสัญญาหมั้นหมายระหว่างเขากับคุณหนูจวนราขเลขาผู้นั้นก็ใช่ว่าจะยกเลิกได้ง่ายๆ ข้ากลัวว่าการปรากฏตัวของเจ้า จะทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้เขาอย่างไม่ยี่หระ “อี้เซวียนยังเด็ก ดังนั้นอย่าเพิ่งเป็นกังวลไป เราจะค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ถึงตอนนั้นต้องหาวิธีได้แน่”
เมื่อเห็นว่านางไม่ได้สนใจเลย เหวินซื่อก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวล ทว่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยังคิดหาวิธีช่วยเหลือนางไม่ออก สุดท้ายจึงได้แต่นิ่งเงียบไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ตลอดมีหรือจะไม่สังเกตเห็นถึงอารมณ์ที่ดิ่งลงของเขา ขณะที่กำลังจะเปิดปากเอ่ยปลอบไปอยู่นั้นเอง น้ำเสียงเคารพของพนักงานคนหนึ่งก็ดังส่งมาจากทางนอกประตู “เถ้าแก่ขอรับ ฮูหยินท่านมาหา บอกว่ามีเรื่องต้องการจะคุยกับท่านขอรับ”
—————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น