ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 29-32
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 29 เข้าเมือง
ฉู่เหวินเจี๋ยผุดลุกขึ้นทันที รีบเดินเข้าไปหาหลินจ้ง หยิบภาพวาดในมือของเขาขึ้นมา ดูอย่างพิจารณาอีกครั้ง
หลายปีก่อน เขานำทหารมายังชายแดน ตอนที่ทำการรบกับรัฐอิง ได้รบกับองค์ชายใหญ่ด้วย บัดนั้นองค์ชายใหญ่พระชนมายุได้สิบเจ็ดถึงสิบแปดพรรษา แต่ฝีมือการสู้รบแข็งกล้า จิตใจเด็ดเดี่ยว การสู้รบครั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะเขาระวังตัว คงจะแพ้แก่องค์ชายใหญ่เป็นแน่ ความทรงจำชัดเจน
เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว คลับคล้ายคลับคลาขึ้นมา สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยไม่สู้ดีเท่าใด
คนทั้งหมดจ้องมองเขา ต่างก็เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไป อ๋องฉีเปิดปากพูด ถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ “องค์ชายผู้นี้เป็นคนเช่นไร”
“ฝีมือการต่อสู้เก่งฉกาจ ฉลาดเฉลียวมากด้วยเล่ห์เหลี่ยม จิตใจเด็ดเดี่ยว โหดเ**้ยม” หลินจ้งตอบ
ใจของทุกคนหล่นฮวบลงที่พื้น หากเย่ว์เอ๋อร์ตกลงไปอยู่ในมือของคนเช่นนี้ หากคิดจะหนีออกมาคงเป็นไปไม่ได้เลย
หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง “โจวอัน สั่งให้องครักษ์เข้าไปสืบในจวนขององค์ชายใหญ่ ดูว่าเย่ว์เอ๋อร์อยู่ที่นั่นหรือไม่”
โจวอันรับคำ รีบเดินออกไปสั่งการ
หลินจ้งห้ามเอาไว้ “ซื่อจื่อ อย่างนี้เห็นทีจะไม่ได้ขอรับ”
น้ำเสียงคาดโทษพร้อมความไม่พอใจของอ๋องฉีดังขึ้น “มีอะไรไม่ได้”
หลินจ้งโน้มเอวลงคำนับ “ท่านอ๋องขอรับ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่องครักษ์หน้าตาต่างจากคนรัฐอิงเป็นอย่างมาก และในยามที่ทั้งสองประเทศกำลังจะทำศึกกัน จะทำให้ถูกฆ่าเอาได้เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นไส้ศึก ภาษาของคนรัฐอิงพวกเขาก็ไม่รู้จัก แล้วจะเข้าไปช่วยท่านหญิงน้อยได้อย่างไร”
“อย่างนั้นต้องรอจนเย่ว์เอ๋อร์ตายหรืออย่างไร” แม้รู้ว่าที่เขาพูดเป็นความจริง แต่ความกังวลของอ๋องฉีมีมากกว่านั้น น้ำเสียงที่พูดออกมาเริ่มไม่สู้ดี
“เรื่องนั้น…” หลินจ้งพูดไม่ออก
“คนของเจ้ามีคนรู้ภาษาหรือไม่ ไปเรียกมาสักสองสามคน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างใจเย็น
เพื่อความสะดวกในการติดต่อการค้าระหว่างกัน หลายปีมานี้ชายแดนมีการเปิดตลาด มีคนมาจากหลากหลายประเทศ เวลานานเข้าคนที่ชายแดนก็พอจะพูดภาษาต่างชาติได้บ้าง แต่ว่าถึงขั้นชำนาญนั้น น้อยเหลือเกิน หลินจ้งขมวดคิ้ว คิดถึงคนที่สามารถใช้งานได้ ส่ายหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก ความสามารถของนาง นางสามารถแต่งหน้าให้องครักษ์ที่จะเข้าไปด้านใน ให้พวกเขาดูหน้าตาเหมือนคนรัฐอิงขึ้นมา แต่เรื่องของภาษานั้นทำไม่ได้ แค่พูดออกมาก็รู้ว่ามาจากที่ใด
ขณะที่ทุกคนกำลังหารือกันอยู่นั้น หลินหันเยียนเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา
อ๋องฉีหรี่ตามองนาง
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หลินจ้งร้อนใจ ถลึงตาใส่นางไม่หยุด สั่งให้นางอย่ามาสร้างความวุ่นวายตอนนี้
หลินหันเยียนไม่ได้มองเขา แต่กลับเดินตรงไปยังตรงหน้าทุกคน หลังจากทำความเคารพทุกคนแล้ว หันหลัง พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ซื่อจื่อเฟย ข้าคุ้นเคยกับภาษารัฐอิงดี ไม่ทราบว่าจะใช้ได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
มาอยู่ชายแดนหลายสิบปีแล้ว มีแค่สองปีแรกที่หลินหันเยียนเอาแต่คิดถึงเรื่องราวในเมืองหลวง เอาแต่ร้องไห้ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ คิดได้ ปล่อยวาง และก้าวเดินออกจากเรื่องราวเหล่านั้น เริ่มมาช่วยหลินจ้งแบ่งเบาภาระในจวน และมักไปตลาดเพื่อซื้อข้าวของ เวลานานเข้า มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านเป็นเวลานาน นางเองก็พอพูดภาษาของพวกเขาได้บ้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น มองไปที่หลินจ้ง
หลินจ้งขยับปาก อยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูด
เมิ่งเชี่ยนโยวดึงสายตากลับมา เผยแววตาเป็นมิตร “แม่นางหลิน ขอบคุณท่านมาก แต่ว่าเรื่องรัฐอิงนั้น ค่อนข้างอันตราย พวกเราไม่รบกวนแม่นางหลินดีกว่า”
“ซื่อจื่อเฟยลืมไปแล้วหรือ หันเยียนเองก็มีวิชาต่อสู้ แม้ว่าจะสู้ซื่อจื่อเฟยมิได้ แต่ว่าสำหรับการป้องกันตัวแล้วก็เพียงพอมาก” หลินหันเยียนไม่ยอมแพ้ ยังคงพูดต่อ
หลินจ้งเองก็ปรามด้วย “เยียนเอ๋อร์ ไปรัฐอิงครั้งนี้อันตรายนัก เจ้าอย่ามีความคิดเช่นนี้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นด้วย “ผู้บัญชาการพูดถูก ขอบคุณน้ำใจของแม่นาง”
เมื่อได้ยินคำของนาง หลินจ้งโล่งใจขึ้นมา แต่อ๋องฉีกลับพูดขึ้นมาว่า “เจ้าสามารถใช้ภาษาเจรจากับพวกเขาหรือไม่”
“เรียนท่านอ๋อง ได้เจ้าค่ะ หลายสิบปีมานี้เยียนเอ๋อร์ติดต่อกับพวกเขานับครั้งไม่ถ้วน แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นชำนาญในภาษาพวกเขา แต่ว่าก็พอพูดได้เกินครึ่งเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น ก็รบกวนเจ้าด้วย รอจนเรื่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว จวนอ๋องจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม”
“หันเยียนไม่กล้ารับเจ้าค่ะ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว ท่านอ๋องอย่าใส่ใจเลย”
อ๋องฉีโบกมือ “กลับไปเก็บของเถิด ใกล้ออกเดินทางแล้วจะไปบอกเจ้า”
หลินหันเยียนตอบรับ “เจ้าค่ะ” หลังทำความเคารพทุกคนแล้วเดินจากไป
ในห้องเงียบไปชั่วขณะ
ใจของหลินจ้งไม่สงบ พวกเขาและจวนอ๋องอุตส่าห์ตัดความสัมพันธ์กันได้ หากน้องเล็กช่วยท่านหญิงออกมาได้จริง ไม่รู้ว่าจะมีข้อต่อรองอะไรกับอ๋องฉีเพิ่มหรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงข้อนี้เช่นกัน จึงได้ปฏิเสธ แต่ว่าอ๋องฉีอยากช่วยหลานสาว จึงตอบตกลง นางเองไม่สามารถห้ามหลินหันเยียนได้อีกต่อไป
“ได้คนแล้ว ขั้นต่อไปจะทำอย่างไร” อ๋องฉีไม่สนใจความคิดของคนรอบข้าง เงยหน้าถามเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดความคิด ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ลูกพอจะรู้วิชาพรางหน้าบ้าง สามารถแต่งหน้าให้คนที่จะไปรัฐอิงให้หน้าตาเหมือนคนรัฐอิงได้เจ้าค่ะ”
แววตาของอ๋องฉีเปล่งประกาย “หากเป็นเช่นนั้นดียิ่ง เริ่มจากตัวข้าก่อนเลย”
สิ้นคำของเขา ทั้งหมดชะงักไป เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดว่าอ๋องฉีจะพูดเช่นนี้ออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจ พูดว่า “เสด็จพ่อ ต่อให้พวกเราไปกันเอง ก็ต้องเตรียมตัวให้ดีก่อนจึงจะไปได้ ท่านเหนื่อยมาตลอดทางเช่นนี้ ใช้โอกาสนี้พักผ่อนเสียหน่อยดีกว่า รอให้เตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเราค่อยไปเรียกท่าน”
เดินทางติดกันมาหลายวัน อ๋องฉีรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทน เพียงแต่เพราะว่ายังหาหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่พบ จึงได้ฝืนร่างกายอยู่เช่นนี้ เมื่อได้ยินคำของหวงฝู่อี้เซวียนเช่นนี้ จึงได้เงยหน้ามองสีท้องฟ้า เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว เวลานี้ไม่สามารถขยับตัวได้อีก จึงไม่ขัดข้อง พยักหน้า ยืนขึ้น
หลินจ้งรีบนำทาง “ท่านอ๋องเชิญทางนี้ขอรับ”
อ๋องฉีเดินตามเขามายังห้องรับรองแขก
เมิงเชี่ยนโยวยืนขึ้น เดินไปข้างโต๊ะในโถง หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนรายการ หยิบขึ้นมา พูดว่า “ท่านน้า รบกวนท่านส่งคนไปซื้อของพวกนี้มาให้หมด”
ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งการต่อไป พลทหารนายหนึ่งเข้ามา รับรายการนั้นและเดินจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง หวงฝูอี้เซวียกพูดขึ้น “ท่านน้า อีกครู่เมื่อข้าและโยวเอ๋อร์เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เราจะไปยังรัฐอิงทันที ส่วนทางเสด็จพ่อนั้น ฝากท่านช่วยพูดอีกทีนะขอรับ”
ฉู่เหวินเจี๋ยชะงักไป ขมวดคิ้ว “เจ้าทั้งสองจะไปกันเองอย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าทั้งสองมีวิชาต่อสู้ หากพบเรื่องอันตรายจะพาแม่นางหลินหลบหนีมานั้นไม่มีปัญหา แต่หากมีคนเพิ่มขึ้น ไม่แน่แล้วขอรับ”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า
หวงฝู่สือเมิ่งได้ยินดังนั้น จึงได้เดินไปหาทั้งสอง ขอร้องว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะไปกับพวกท่าน”
หวงฝู่เฮ่าก็เดินเข้ามา “ท่านลุง ท่านป้า เฮ่าเอ๋อร์ขอไปด้วยคนขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว “พวกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทเขา “ให้พวกเขาไปเถิด พวกเราจะได้ปลอมตัวเป็นครอบครัวเดียวกัน เช่นนี้จะได้เข้าไปผสมกับกลุ่มผู้คนได้”
ฉู่เหวินเจี๋ยไม่เห็นด้วย “หากพวกเจ้าไปกันหมด แล้วหากเกิดเรื่องอันตรายขึ้นมา ข้าจะมีหน้าไปพูดกับท่านอ๋องได้อย่างไร”
“ท่านน้าอย่างกังวลไปเลย วิชาต่อสู้ของเมิ่งเอ๋อร์และเฮ่าเอ๋อร์ถือว่าดี สามารถป้องกันตัวได้ไม่มีปัญหา”
ท่าทางของทั้งสองมั่นใจ ฉู่เหวินเจี๋ยจึงไม่มีอะไรพูด อนุญาตทั้งสองไปกลายๆ
เมื่อซื้อของมาได้ครบแล้ว เมิงเชี่ยนโยวก็เริ่มแต่งหน้าให้หวงฝู่อี้เซวียน
เมื่อจัดการที่พักให้อ๋องฉีเรียบร้อยแล้ว หลินจ้งกลับมาเห็นภาพตรงหน้า ตกใจมาก หากมิใช่เห็นกับตาของตน เขาคงมองไม่ออกเลยว่าคนตรงหน้าคือหวงฝู่อี้เซวียน
ฉู่เหวินเจี๋ยเองก็ตกใจไม่น้อย เขาไม่รู้เลยว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเองมีฝีมือการแต่งหน้าเช่นนี้
ไม่ต้องพูดถึงหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่า ทั้งสองต่างนับถือนางเพิ่มขึ้นทันที
“ท่านแม่ รอช่วยเย่ว์เอ๋อร์ออกมาได้ กลับเมืองหลวงแล้ว ข้าจะเรียนวิชาการแต่งหน้ากับท่าน” หวงฝู่สือเมิ่งขอร้องด้วยความตื่นเต้น
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ
แต่งให้หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์นิดหน่อย
หลินจ้งสั่งคนไปเรียกหลินหันเยียนมา
เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียน หลินหันเยียนชะงักลงทันที ถามด้วยความแปลกใจว่า “ซื่อจื่อเฟย ท่านผู้นี้คือ…”
หลินจ้งรีบพูดว่า “เยียนเอ๋อร์ นี่คือซื่อจื่อ”
หลินหันเยียน เบิกตาโพลง มองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างพิจารณา เริ่มเห็นเค้าหน้าของเขาออก ยิ้มออกมา “ดูคลับคล้ายกับคนรัฐอิงเหลือเกิน หากไม่ใช่ว่าข้ารู้จักกับซื่อจื่อมาก่อน ทั้งยังมองอยู่นาน ไม่เช่นนั้นคงมองไม่ออกเลยเจ้าค่ะ”
นางพูดเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยววางใจไม่น้อย หลังจากแต่งหน้าให้หลินหันเยียนอย่างละเอียด สั่งให้คนไปเอากระจกมาให้ตน จากนั้นแต่งหน้าให้ตัวเอง
ทั้งหมดยืนขึ้น ดูเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันไม่มีผิด เมิ่งเชี่ยวโยวแบ่งสถานะให้แต่ละคน ชี้มาที่หวงฝู่อี้เซวียนและตน พูดว่า “พวกเราเป็นพ่อแม่ เมิ่งเอ๋อร์และเฮ่าเอ๋อร์เป็นพี่สาวและน้องชาย แม่นางหลินเป็นน้า พวกเราจะไปเยี่ยมญาติในเมือง แต่ว่าญาติของเราย้ายไปหมดแล้ว พวกเราไม่มีที่ไป จึงได้มาพักที่โรงเตี๊ยม”
เวลาบ่ายคล้อยแล้ว ทั้งหมดไปยังรัฐอิง ฟ้าได้มืดลงแล้ว การค้างแรมเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ก่อนเข้าไปเริ่มนัดคำพูดกันเสียก่อน เพื่อไม่ให้พูดไม่ตรงกัน
แววตาของหลินหันเยียนขยับเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า “ซื่อจื่อเฟย เช่นนี้ดูจะไม่เหมาะเท่าใด อายุข้าสามสิบกว่าปีแล้ว บัดนี้ออกเดินทางมากับพี่ชายและพี่สะใภ้ แต่ไม่มีลูกของตน คงไม่มีใครเชื่อ หันเยียนขอร้อง ว่าให้คุณชายใหญ่ปลอมเป็นลูกชายของข้า เช่นนี้ผู้คนจะเชื่อมากขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองนาง
หลินหันเยียนไม่ไม่หลบสายตา มองนางกลับ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังและอ้อนวอน
หลินจ้งตกใจ กำลังจะออกปากห้าม
เมิ่งเชี่ยนโยวดึงสายตากลับ พยักหน้าช้าๆ
หลินหันเยียนดีใจ ดวงตาเริ่มมีน้ำตาเอ่อล้น “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพียงแค่การปลอมตัวเท่านั้น”
“เท่านี้หันเยียนก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
ความไม่สบายใจของหลินจ้งเพิ่มพูนขึ้น สังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
ไม่ว่าใจของหลินจ้งจะไม่สบายใจหรือเป็นห่วงเช่นไร หลังจากห้าคนได้สวมใส่เสื้อผ้าของคนรัฐอิงแล้ว ควบม้าออกจากชายแดน มุ่งหน้าไปยังรัฐอิงทันที
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 30 หลบหนี
หนึ่งชั่วยามแห่งการเดินทางอันเร่งรีบ ไม่นานก็มาถึงเขตแดนของรัฐอิง ขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังจะทำศึกกัน การตรวจคนมักเข้มงวดกว่าเดิมมาก เมื่อเห็นคนทุกผู้สวมใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนผู้อื่น ทั้งทุกคนยังมีม้าเป็นของตน ทำให้ดึงดูดความสนใจจากทหารลาดตระเวนเป็นอย่างมาก หลินหันเยียนอยู่ด้านหน้า พูดคำที่ตระเตรียมไว้ออกมา
ทหารมองพิจารณาทั้งห้าคน จากนั้นก็ตรวจค้นของในกระเป๋าจนสิ้น เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหา จึงได้พูดกับพวกเขาว่า “ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศตึงเครียด การค้าช่วงนี้ของพวกเจ้ายิ่งออกจากเมืองน้อยเท่าไรยิ่งดี ระวังจะไม่มีชีวิตได้ใช้เงิน”
หลินหันเยียนพยักหน้าด้วยความซาบซึ้ง ยัดเงินจำนวนหนึ่งใส่มือของทหาร “พวกข้ารู้แล้ว นี่ก็เก็บของจากรัฐอู่มาแล้วอย่างไรล่ะ นี่เป็นชุดแรก ที่เหลือจะทยอยขนย้ายมาในสองสามวันนี้ ต่อไปไม่ต้องกลับไปอีกแล้ว หวังว่าภายหน้าท่านจะให้ความสะดวกกับพวกเราได้”
แม้ว่าจะไม่ใช่เงินตราของรัฐอิง แต่ว่ามีตลาดชายแดน เงินพวกนี้สามารถซื้อของจากทางนั้นกลับมาได้ ทหารดีใจมาก กำไว้ในมือ โบกมือให้คนที่เหลือ “ไปเถิด”
หลินหันเยียนเดินจูงม้า นำเข้าไปก่อน คนทั้งสี่เดินติดตามไปด้านหลัง
เมื่อเข้าสู่ชายแดนของรัฐอิง ฟ้าได้มืดสนิทแล้ว คนแปลกที่แปลกทาง ไม่รู้ว่าวังของรัฐอิงอยู่ห่างจากชายแดนมากเท่าใด ทุกคนไม่กล้าเดินหน้าต่อ จึงได้หาโรงแรมชั้นสูงเพื่อพักผ่อน
เมื่อได้ห้องหรู สั่งอาหารมามากมาย หลังสั่งให้คนงานมาส่งเข้าห้อง ทั้งหมดก็เดินตามคนงานมาพักที่ชั้นสอง
ณ ในชายแดน
อ๋องฉีตื่นขึ้นมา พบว่าฟ้าได้มืดลงแล้ว จึงได้ลุกขึ้นนั่ง สั่งว่า “ใครก็ได้มานี่ที”
บ่าวรับใช้ที่รอรับใช้อยู่ด้านนอกเดินเข้ามา จุดไฟ จากนั้นถามด้วยความเคารพว่า “ท่านอ๋อง ท่านมีอะไรจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“กี่ยามแล้วหรือ”
“เรียนท่านอ๋อง ตอนนี้ยามสองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออ๋องฉีได้ยินดังนั้น ชะงักไป รู้สึกว่าตนแก่ขึ้นแล้ว นอนครั้งหนึ่งใช้เวลาหลายชั่วยามนัก
“พวกซื่อจื่อเล่า กำลังพักผ่อนอยู่หรือ”
บ่าวรับใช้ชะงักเล็กน้อย รายงานว่า “เรียนท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกส่งตัวมารับใช้ท่าน เรื่องทางด้านซื่อจื่อข้าน้อยไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเอาน้ำมา ข้าจะล้างหน้าเสียหน่อย”
บ่าวรับใช้ตอบรับ นำน้ำมา
หลังจากท่านอ๋องล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเปิดปากถาม ด้านนอกมีเสียงของหลินจ้งลอยเข้ามา “ท่านอ๋อง ตื่นแล้วหรือขอรับ อาหารเย็นพร้อมแล้วขอรับ”
อ๋องฉียืนขึ้น เดินออกไป
หลินจ้งคำนับ ทำท่าเชื้อเชิญ “ท่านอ๋อง เชิญขอรับ”
อ๋องฉีเดินนำ หลินจ้งเดินตามมาจนถึงห้องอาหาร เห็นเพียงฉู่เหวินเจี๋ยอยู่ด้านใน
อ๋องฉีเดินเข้าไปในห้องอาหาร นั่งลงถามว่า “เซวียนเอ๋อร์เล่า ยังไม่ตื่นอีกหรือ”
คนไม่อยู่ที่นี่แล้ว คงปิดบังไปได้ไม่นาน ฉู่เหวินเจี๋ยไม่ปิดบังอีกต่อไป บอกเขาไปตามตรงว่า “เซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์พาเด็กทั้งสองคน พร้อมทั้งแม่นางหลินไปยังรัฐอิงแล้วขอรับ บัดนี้คงถึงที่นั่นนานแล้ว”
อ๋องฉีชะงักไป จากนั้นได้สติกลับมา โกรธจนล้มโต๊ะด้านหน้า “ดี รู้จักโกหกข้า ต่อหน้าทำเป็นพูดดี แต่กลับอาศัยช่วงที่ข้าหลับอยู่ไปรัฐอิงกัน”
หลินจ้งและบ่าวรับใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องอาหารตกใจกลัวเสียจนทรุดลงกับพื้น ไม่กล้าส่งเสียง
ใจของฉู่เหวินเจี๋ยก็สั่นไม่น้อย หลายปีแล้ว ไม่เห็นอ๋องฉีโมโหเช่นนี้มาก่อน
ล้มโต๊ะก็แล้ว แต่อ๋องฉียังไม่สะใจ เดินไปเดินมาในห้องด้วยไฟโกรธ
คนทั้งหมดไม่กล้าหายใจแรง ขณะนั้นในห้องเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าที่บ่งบอกว่าเขาโกรธจนสามารถเหยียบคนตายได้
ครู่ใหญ่ ฉู่เหวินเจี๋ยแกล้งไอ “ท่านพี่เขย พวกเขาต่างทำเพื่อท่าน ท่านอายุมากแล้ว หากติดตามไปรัฐอิงด้วย ร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว…”
หากเขาไม่พูดก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อพูดกลับทำให้อ๋องฉีโกรธยิ่งขึ้น เดินเข้ามาหาอ๋องฉีด้วยความโกรธ ชี้หน้าตนเอง ถามว่า “ข้าแก่? ”
รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากเขา ฉู่เหวินเจี๋ยตกใจเสียจนเบิกตาโพลง กำลังจะยืนขึ้น อ๋องฉียื่นมือขึ้นมา กำคอเขาเอาไว้ ลากออกไปด้านนอก “เรามาสู้กันดู ดูทีว่าข้าแก่จริงหรือไม่”
ฉู่เหวินเจี๋ยถูกเขาลากเดินออกไปอย่างทุลักทุเล ไร้ซึ่งราศีของความเป็นแม่ทัพ
บ่าวรับใช้ที่คอยรับใช้อยู่ในห้องอาหารมองด้วยความงุนงง หลังจากทั้งสองเดินออกไปแล้วนั้น หลินจ้งเดินยืนขึ้น เดินตามออกไป
บ่าวรับใช้ที่เหลืออยู่มองหน้ากันไปมา จากนั้นยืนขึ้นพร้อมกัน แอบเดินตามไปด้านหลัง
ในบริเวณนั้น อ๋องฉีลงมือกับฉู่เหวินเจี๋ยแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวงฝู่อี้เซวียนแอบไปรัฐอิงโดยลำพัง ทำให้อ๋องฉีมีไฟสุมในใจ หรือเพราะว่าคำพูดประโยคนั้นของฉู่เหวินเจี๋ย เติมน้ำมันเข้าไป แต่ในที่สุดแล้ว ต่อให้ฉู่เหวินเจี๋ยออกแรงมากเท่าไร ซ้ายขวาหลบหลีกเช่นไร ก็ยังเจอหมัดของอ๋องฉีไปไม่น้อย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ อ๋องฉีก็ไม่ปล่อยเขาไป ส่งหมัดต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของฉู่เหวินเจี๋ย ฉู่เหวินเจี๋ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด นั่งลงที่พื้นพร้อมกุมใบหน้าของตนเอง บัดนี้ไฟโกรธในใจของอ๋องฉีจึงได้มลายหายไป
มองฉู่เหวินเจี๋ยจากที่สูง ทำเสียงไม่พอใจ ถามว่า “ข้าแก่หรือไม่”
ฉู่เหวินเจี๋ยไม่กล้าพูด นั่งลงบนพื้นเงียบไม่พูดจา
หลังจากระบายอารมณ์แล้ว อารมณ์ของอ๋องฉีดีขึ้น เอามือไพล่หลัง เดินเข้าไปในห้องรับรองแขก สั่งว่า “ตั้งสำรับ ข้าหิวแล้ว”
หลินจ้งได้สติกลับมา สั่งบ่าวรับใช้ให้ไปตระเตรียมโต๊ะ จัดวางอาหาร ส่วนตนเดินไปหาฉู่เหวินเจี๋ย ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
ใบหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยบวมขึ้นมากว่าครึ่ง บนอุบว่า “รอก่อนเถิด ดูว่ากลับเมืองหลวงไปแล้ว พี่สาวข้าจะจัดการท่านเช่นไร” พูดจบ หันหลังเดินเข้าไปในห้องอาหาร
หลินจ้งยืนอยู่ที่เดิมด้วยจิตใจว้าวุ่น
ณ รัฐอิง
พวกเมิ่งเชี่ยนโยวพักผ่อนกันหนึ่งคืน หลังอาหารเช้าวันที่สอง ก็เดินทางไปยังเมืองหลวงรัฐอิง
สองชั่วยามต่อมา มาถึงเมืองหลวง หลังจากสำรวจโดยรอบแล้วก็เข้าไปด้านใน
ไม่มีใครเคยมาที่รัฐอิงมาก่อน ไม่รู้ว่าในจวนขององค์ชายอยู่ที่ใด หากจู่ ๆ เข้าไปถาม ก็จะถูกสงสัยเอาได้ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไปเช่าห้องอยู่ก่อน เมื่อสอบถามเส้นทางได้แล้ว ค่อยหาโอกาสเข้าไปในจวนองค์ชายใหญ่
และในขณะนี้ หวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังคิดวางแผนการหลบหนีของตนเองอยู่
หลายวันแล้ว ที่องค์ชายไม่ได้กลับเข้าจวน หวงฝู่เย่าเย่ว์ดีใจ พร้อมทั้งใช้โอกาสสำรวจรอบๆ จวน ดูอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม จดจำไว้ในใจ
พลบค่ำ หลังกินอาหารเย็นแล้ว สั่งบ่าวรับใช้ว่า “วันนี้พวกเจ้ากลับไปเถิด ไม่ต้องรับใช้ข้า วันนี้ข้าเดินค่อนข้างนาน รู้สึกเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนแต่หัวค่ำ”
ความชอบแปลกๆ ขององค์ชาย บ่าวรับใช้ที่รับใช้รู้ดี แต่ว่าองค์ชายไม่เคยพาผู้ใดกลับมาด้วย อย่างมากก็ทำเพียงเดินทางไปรัฐอู่ ค้างแรมที่นั่นสามคืนห้าคืน เมื่อสำราญใจเพียงพอแล้วจะกลับมา แต่ครานี้เขาพาคนมาด้วย นี่หมายถึงอะไร บ่าวรับใช้ที่รับใช้ต่างรู้ดี ดังนั้น หลายวันมานี้จึงได้รับใช้เขาอย่างเต็มที่ กลัวว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะไม่พอใจ ไปเป่าหูองค์ชายใหญ่ได้ เช่นนั้นหัวของพวกเขาอาจหลุดจากบ่าเอาได้ ดังนั้นจึงฟังคำของนาง ไม่กล้าคัดค้าน ตอบรับพร้อมออกไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์ดับไฟในห้อง รอจนเวลาสมควร ได้ยินเสียงในรอบบริเวณเงียบสงัด ค่อยๆ ยืนขึ้น เดินย่องออกไปที่ประตู เปิดออกอย่างให้เหลือช่องแคบๆ มองออกไปด้านนอก
ในบริเวณเรือนไม่มีคนเฝ้าอยู่ เรือนด้านข้างไม่มีแสงไฟ บ่าวรับใช้ทุกคนคงพักผ่อนกันหมดแล้ว
จึงได้เริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ เดินย่องออกมา ยืนคิดอยู่ในลานของเรือนอยู่สักครู่ ไม่ได้เดินไปยังประตูหลัก แต่เดินไปยังมุมหนึ่งไกลๆ ที่แอบสังเกตมานานแล้ว รวบรวมความกล้า กระโดดขึ้นไป ร่างบางของนางยืนอยู่บนกำแพงอย่างมั่นคง เดินไปตามกำแพงเล็กน้อย จากนั้นก็หลบอยู่ในเงามืดของต้นไม้ใหญ่ มองไปด้านนอกอย่างพิจารณา
จวนองค์ชายใหญ่มาก ใหญ่พอๆ กับจวนอ๋อง ทุกบริเวณในจวนเต็มไปด้วยความเงียบ มีเพียงที่เดียวที่มีไฟสว่างอยู่
กัดปาก คิดเล็กน้อย ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม ไม่กล้าไปยังที่ที่มีไฟสว่าง แต่กลับยืนดูทิศทางอยู่ในความมืด กระโดดกำแพง เดินตามทางที่พอจำได้ไปยังประตูใหญ่อย่างระมัดระวัง
นางร่างบางทั้งยังเดินหน้าไปพร้อมพรางตัวไปด้วย จึงไม่ถูกคนที่เฝ้ายามอยู่จับได้ จนสุดท้ายมาถึงหน้าประตูใหญ่จนได้ แต่น่าเสียดาย ประตูปิดสนิท หน้าประตูมีโคมไฟสองดวงแขวนอยู่ ด้านล่างของโคมไฟหนึ่งดวงจะมีชายฉกรรจ์ร่างสูงสองคนยืนเฝ้ายามอยู่
ก้มมองดูร่างเล็กของตน และมองชายฉกรรจ์สี่คนนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์ล้มเลิกความคิดที่จะหนีออกไปทางประตูใหญ่ หันหลัง เดินไปทางอื่น มองหาทางหนีทีไล่อื่นๆ
แต่ว่า นางไม่รู้จักทางในจวนองค์ชาย ทั้งตอนนี้ยังเป็นเวลาดึก รอบข้างมืดสนิท กระทั่งทางกลับไปที่ที่ตนเคยอาศัยอยู่ยังจำไม่ได้เลย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ่งเดินยิ่งหลงทาง นางไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด ขณะที่กำลังร้องไห้อยู่นั้น นางคิดถึงที่ที่ไฟสว่างอยู่ เมื่อครู่ตนนั่งอยู่ที่กำแพง หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตรงกันข้าม เป็นทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่นางจะสามารถกลับไปที่เดิมได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในใจยินดีขึ้นมา กระโดดขึ้นไป มองสี่ทิศรอบตัว จนกระทั่งมองเห็นทิศที่ไฟสว่างแล้ว ก็คิดหาทางที่ตนจะเดินต่อไป และเดินไปอย่างไม่ลังเล
ครึ่งชั่วยามต่อมา กระโดดขึ้นกำแพงอีกครั้ง เมื่อหาทิศได้แล้ว จึงได้รู้ว่าตนมาผิดทาง จึงได้รีบเปลี่ยนทางเดิน กลับไปยังเรือนที่ตนเคยอยู่ สูดหายใจลึก กระโดดเข้าไปด้านในโดยไม่คิดอะไรมาก ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องนั้น ก็มีเสียงงัวเงียดังขึ้น “นายท่าน ดึกป่านฉะนี้แล้ว ท่านไปทำอะไรในลานหรือ”
ตอนพิเศษที่ (1) ตอนที่ 31 กลางดึก
ร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์หยุดชะงัก มองเห็นบ่าวรับใช้คนหนึ่ง อ้าปากหาว พร้อมถามนางด้วยความงัวเงีย
“อ้อ วันนี้ข้านอนแต่หัววัน เวลานี้จึงได้นอนไม่หลับ ออกมาเดินเล่นเสียหน่อย ข้าทำให้เจ้าตื่นหรือ”
บ่าวรับใช้หาวอีกครั้ง โบกมือ “มิใช่เจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นนายท่านอยู่ด้านนอก คิดว่าท่านมีอะไรให้รับใช้”
ที่แท้ก็ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำนี่เอง หวงฝู่เย่าเย่ว์โล่งใจ พูดว่า “รีบไปนอนเถิด ดึกแล้ว ข้าจะไปพักแล้วเช่นกัน”
พูดจบ เดินเข้าไปด้านใน
บ่าวรับใช้เดินไปยังห้องน้ำ เดินไปไม่นาน รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงได้หยุดฝีเท้าลง หันไปมองหวงฝู่เย่าเย่ว์
แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าไปในเรือนแล้ว ประตูปิดสนิท
บ่าวรับใช้เก็บสายตากลับมา เดินเข้าห้องน้ำด้วยความสงสัย
ภายในห้อง หวงฝู่เย่าเย่ว์ตบหัวใจที่เต้นแรงของตน ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หนึ่งชั่วยามแห่งการสำรวจเส้นทางและจิตใจที่ตึงเครียด ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง หลังจากดึงผ้าห่มมาห่มบนตัว ก็นอนลงในสภาพเช่นนั้น หลับตาลง ไม่นานก็หลับสนิท
ในโรงเตี๊ยม ภายใต้การแนะนำของเมิ่งเชี่ยนโยว หลินหันเยียนขอห้องสามห้อง หวงฝู่สือเมิ่งและนางนอนหนึ่งห้อง หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่เฮ่านอนห้องเดียวกัน ส่วนหลินหันเยียนนอนผู้เดียว เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว หลินหันเยียนหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าจะไปถามด้านล่างว่าจวนองค์ชายใหญ่อยู่ที่ใด พวกเจ้าไปพักผ่อนกันก่อนเถิด”
คนทั้งหมดพูดภาษารัฐอิงไม่ได้ จะออกไปก็ไร้ประโยชน์ เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งว่า “ระวังตัวด้วย”
ย้ายมาอยู่ที่ชายแดนหลายปีแล้ว หลินหันเยียนเข้มแข็งและกล้าหาญมากขึ้น เมื่อได้ยินดังนั้น จึงยิ้มและพยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อเฟยวางใจได้เจ้าค่ะ นี่เป็นเมืองหลวงของรัฐอิง ไม่มีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนเดินลงไปด้านล่าง
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่านั่งลงบนเก้าอี้ แต่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่ริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก มองบรรยากาศของเมืองหลวงแห่งรัฐอิง
สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไปมา ร้อนใจและรู้สึกผิด เย่ว์เอ๋อร์อยู่ในจวนองค์ชายใหญ่ บางทีอาจจะกำลังถูกทรมานอยู่ก็เป็นได้ แต่พวกเขาในฐานะพ่อแม่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย เป็นครั้งแรกของชีวิตนี้ ที่พวกเขารู้สึกว่าไร้ความสามารถ
ยื่นมือออกมา โอบกอดเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ในอก เสียงทุ้มของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นข้างหูเมิ่งเชี่ยนโยว น้ำเสียงมั่นใจว่า “เย่ว์เอ๋อร์จะต้องไม่เป็นไร”
ประโยคนี้พูดขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมเมิ่งเชี่ยนโยว และเพื่อปลอบใจตนเอง ลูกสาวของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่ทีทางเป็นอะไรโดยง่าย
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าในอ้อมกอดของเขา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “หากเย่ว์เอ๋อร์ไม่เป็นอะไร ข้าจะไว้หน้ารัฐอิงอยู่ แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับเย่ว์เอ๋อร์ ข้าจะให้รัฐอิงมาชดใช้ ข้าพูดจริงทำจริง”
“ใช่ หากเย่ว์เอ๋อร์เป็นอะไร เราสองคนร่วมมือกัน กำราบรัฐอิงให้สิ้น”
ใบหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าตึงเครียด ปากเม้มแน่น มือน้อยๆ กำแน่น อยากจะบุกเข้าไปที่จวนองค์ชายใหญ่เสียเดี๋ยวนี้
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลินหันเยียนกลับมา พร้อมกับแผนที่ในมือ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าใช้เงินสองตำลึงซื้อแผนที่เมืองหลวงมาได้เจ้าค่ะ” พูดพลางชี้นิ้วไปที่จุดหนึ่ง พูดต่อว่า “นี่คือจวนองค์ชายใหญ่ อยู่ไม่ไกลมากจากที่พักของพวกเรา ขี่ม้าไป ไม่นานก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา วางแผ่บนโต๊ะ หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าเองก็เดินเข้ามาดู ฟังหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวศึกษาแผนที่ ศึกษาตำแหน่งของจวนองค์ชาย
เมื่อศึกษาดีแล้ว ไม่นานก็ตัดสินใจได้ หวงฝู่สือเมิ่งหวงฝู่เฮ่าและหลินหันเยียนอยู่รอที่ที่พัก ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปจวนองค์ชายกลางดึก
หลินหันเยียนรู้ดีว่าวิชาของนางสามารถใช้ป้องกันตัวได้ แต่หากเจอกับมือฉกาจเข้าคงทำได้เพียงหนีเท่านั้น จึงไม่พูดอะไรมา พยักหน้าเห็นด้วยทันที
หลังจากกินอาหารเย็น ก็พักผ่อนเล็กน้อย
เมื่อถึงยามสอง ขณะที่คนในที่พักต่างหลับไหลกันจนหมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นมา กระโดดออกจากหน้าต่างชั้นสอง ด้วยกลัวว่าจะทำให้คนงานในที่พักตื่น จึงไม่แม้แต่จะขี่ม้า หวงฝู่อี้เซวียนกอดเมิ่งเชี่ยนโยวแน่น ใช้พลังวิชา เพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าจวนองค์ชาย
เวลาดึกมากแล้ว ประตูของจวนองค์ชายใหญ่ปิดสนิท หน้าประตูมีโคมไฟดวงใหญ่แขวนอยู่ ส่องสว่างจนทำให้เห็นประตูชัดเจน
หวงฝู่อี้เซวียนวางเมิ่งเชี่ยนโยวลง
เมิงเชี่ยนโยวยืนมั่นคง โน้มเอวลง หยิบหินก้อนเล็กมาจากพื้นดิน โยนเข้าไปด้านในสุดแรง จากนั้นทั้งสองคนหลบเข้าไปในเงามืด
เสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นมา “ผู้ใด”
จากนั้นประตูถูกเปิดออก ชายฉกรรจ์สองร่างพุ่งออกมา มองไปที่สองข้างทางด้วยสีหน้าจริงจัง
ขณะเดียวกัน บนกำแพงมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกระโดดขึ้นมา ยืนอยู่ที่สูง มองออกมานอกจวน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหายใจ
ด้านนอกเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่คน หรือผี ชายฉกรรจ์สี่คนมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นพูดว่า “ไม่มีผู้ใด พวกเราอาจหูฝาดไปก็เป็นได้”
แต่ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกลับพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ไม่มีทาง ได้ยินชัดว่าเป็นเสียงของตกลงบนพื้น”
“หลายวันมานี้องค์ชายใหญ่ไม่อยู่ใจวน พ่อบ้านสั่งว่าต้องระวังเป็นพิเศษ หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น หัวพวกเราอาจหลุดจากบ่าได้ ”
พูดจบ จึงพูดกับคนบนกำแพงว่า “เห็นอะไรหรือไม่”
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งส่ายหน้า พูดเสียงแหบว่า “ไม่มี”
“เป็นเสียงแมว หรือหมาอย่างนั้นหรือ” ชายฉกรรจ์สงสัย เกาหัว สั่งทุกคนว่า “เข้าไปเถิด”
ทั้งสองคนเดินเข้าไป อีกสองคนกระโดดลงจากกำแพง แยกกันยืนคนละฟากของประตูในจวนกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจ เดินออกมาจากความมืด ทั้งสองรู้ดีว่าไม่สามารถเข้าไปจากด้านหน้าประตูได้ จึงล้มเลิกความคิดนี้ไป เดินดูรอบๆ จวน
จวนองค์ชายใหญ่กว้างขวาง เดินวนครู่ใหญ่ จึงได้พบกับประตูเล็กๆ เข้า
ประตูที่มุมถูกใส่กลอนเอาไว้ ด้านนอกไม่มีโคมไฟ
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้บนประตูเล็ก ซ่อนร่างตนเองไว้ ใช้แสงจันทร์มองไปด้านในของประตู
ไม่มีคนเฝ้า
ทั้งสองมองหน้ากัน หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดเข้าไปในเงามืดด้านในประตู ยืนมั่นคง มองดูบรรยกาศภายใน
ไม่ไกลจากประตู มีเรือนเล็กๆ ของบ่าวรับใช้อยู่จำนวนหนึ่ง ขณะนั้น ด้านในมีเสียงกรนดังสนั่นราวกับฟ้าผ่าดังออกมา
ใช้การบดบังของความมืด ทั้งสองเดินย่องข้ามผ่านบ้านของบ่าวรับใช้ เมื่อมั่นใจทิศทางแล้วก็ค่อยๆ เดินเข้าไปด้านในจวนอย่างช้าๆ
ไม่มีใครรู้เลยว่า ขณะเดียวกัน ลูกสาวของพวกเขาเองกำลังสำรวจทิศทางในจวนอยู่ แต่ว่า หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินไปอีกฟากของเรือนหลัก พวกเขาจึงได้คลาดกันเช่นนี้
เรือนหลักตั้งตระหง่าน ไฟส่องสว่าง หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาแอบอยู่ไม่ไกลจากเรือนหลัก มองหาต้นไม้ใหญ่ กระโดดเข้าไป แอบอยู่ระหว่างกิ่งไม้ มองพิจารณาเรือนหลัก
ในเรือนมีไฟส่องสว่าง สามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ด้านนอกประตูมีชายฉกรรจ์สองนายยืนเฝ้ายามอยู่ หน้าประตูเรือนมีสาวใช้เฝ้าอยู่ เป็นเวลาสามยามแล้วแต่ด้านในยังมีคนเดินไปเดินมาอยู่
ขณะที่ทั้งสองกำลังสังเกตการณ์อยู่นั้น ม่านประตูถูกเปิดออก หญิงงามผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ถามอะไรบางอย่างจากคนในบริเวณนั้น
ทั้งสองคนฟังไม่เข้าใจ แต่มองออกว่าสีหน้าของหญิงสาวร้อนรน
เมิ่งเชี่ยนโยวจำรูปปากของหญิงสาวเอาไว้ เพื่อจะกลับไปถามหลินหันเยียน
หลังจากที่หญิงสาวถามเสร็จแล้ว สีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน เงยหน้ามองสีฟ้า หันหลังกลับเข้าไปด้านใน
เรือนหลักเงียบลงอีกครั้ง
จวนองค์ชายใหญ่เงียบสงัดเช่นเดิม
หากเป็นเมื่อก่อน ทั้งสองคนคงจะคิดหาวิธีไปจับคนมาคนหนึ่งเพื่อเค้นถามว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ที่ใด แต่บัดนี้พูดภาษาไม่ได้ ต่อให้ไปจับคนมา ก็ฟังไม่ออกว่าเขาพูดว่าอะไร กลับกันอาจทำให้คนในจวนตื่นตูมได้ และทำให้เย่ว์เอ๋อร์ตกอยู่ในอันตราย คิดถึงตรงนี้ ทั้งสองมองตากัน ล้มเลิกความคิดที่จะเดินสำรวจจวนองค์ชาย เดินตามทางกลับออกมาจากจวนองค์ชายใหญ่
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวใช้กำลังภายใน เร่งรุดกลับมายังที่พัก กระโดดเข้าไปจากทางหน้าต่างเช่นเดิม
หลินหันเยียนและหวงฝู่สือเมิ่งพร้อมด้วยหวงฝู่เฮ่ารออยู่ที่ที่พักด้วยความกังวล เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา ทั้งสามดีใจ หลินหันเยียนถามด้วยเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไรเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า
ดูเหมือนว่าได้คาดการณ์เอาไว้เช่นนี้แล้ว หลินหันเยียนไม่ได้ผิดหวัง พูดว่า “วันพรุ่งข้าจะออกไปสืบดูอีกครั้ง ดูว่ามีโอกาสเข้าไปในจวนองค์ชายใหญ่ได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ แต่พูดว่า “ข้าเห็นว่ามีหญิงผู้หนึ่งถามอะไรบางอย่างกับสาวใช้ ข้าฟังไม่รู้ความ แต่จำรูปปากนางได้ เจ้าดูทีว่าจะพอเดาได้หรือไม่ว่านางว่าอะไร”
หลินหันเยียนมองนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวอ้าปาก ค่อยๆ ขยับปากตามอย่างที่หญิงผู้นั้นทำ
หลินหันเยียนมองปากนาง แปลตามไปด้วย
“นี่มันกี่วันกันแล้ว เหตุใดองค์ชายใหญ่จึงยังไม่กลับมาอีก”
“วันนั้นองค์ชายกลับมา ได้นำคนที่พามาด้วยไปไว้ที่เรือนซูซินย่วน วันสองวันมานี้ พวกเจ้าไปสืบมาว่าอย่างไร เป็นคนสลักสำคัญอะไรหรือไม่”
“หลายวันเช่นนี้ยังสืบมาไม่ได้ สมองของพวกเจ้ากลวงหมดแล้วหรือไร”
สาวใช้หันหลังให้พวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นรูปปากของพวกนาง จึงไม่อาจรู้ได้ว่าพูดอะไร แต่สามารถเดาได้จากบทสนทนาจองหญิงสาว ได้ความว่า หลังองค์ชายใหญ่พาหวงฝู่เย่าเย่ว์มาที่นี่ ก็มีธุระออกจากจวนไป ไม่ได้กลับมาอีกเลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจึงโล่งใจ ดูทีถึงตอนนี้หวงฝู่เย่าเย่ว์คงจะยังไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว จากนั้นขมวดคิ้ว เรื่องใดกันที่ทำให้องค์ชายพาเย่ว์เอ๋อร์กลับมาแต่ไม่มีเวลามาสนใจ รีบออกไปเช่นนั้น หรือจะเป็นเรื่องการรบของสองประเทศ
หลินหันเยียนคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 32 แรงกระตุ้น
หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกถึงอารมณ์ของแต่ละคนที่เปลี่ยนไป จึงเอ่ยปากเพื่อต้องการเปลี่ยนประเด็น “ท่านพ่อ ท่านแม่ ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว พวกท่านไปพักผ่อนเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ขณะที่ตัวเองทั้งคู่ออกไปตรวจสอบ พวกนางสามคนก็ไม่ได้นอนและเฝ้ารอพวกเขากลับมาโดยตลอด เมื่อเห็นดวงตาของหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เฮ่าเริ่มแดงก่ำ เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกสงสารอย่างมาก และพยักหน้า “ไปพักผ่อนด้วยกันทั้งหมดนี่ล่ะ นอนให้หลับสบาย ยามฟ้าสว่างเมื่อใดพวกเราค่อยคิดหาวิธีกันใหม่”
ทุกคนรับคำ แล้วแยกย้ายกลับไปที่ห้องของตัวเอง และนอนหลับสนิทอย่างรวดเร็ว
ไม่นานท้องฟ้าก็ส่องแสงสว่าง ขณะที่กำลังสะลึมสะลือ ก็ถูกเสียงที่วุ่นวายจากข้างล่างปลุกให้ตื่น หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้นและกระโจนลงจากเตียงพร้อมกัน
หลินหันเยียนตกใจตื่นเช่นกัน จึงลุกจากเตียงและสวมใส่เสื้อผ้า เมื่อเดินออกมาด้านนอก ก็เห็นผู้คนล้วนพากันวิ่งออกไปข้างนอก ในปากก็ร้องพึมพำไม่หยุด “จะเกิดสงครามแล้ว จะเกิดสงครามแล้ว”
เมื่อสะดุ้งหันศีรษะกลับไป ก็เห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาแล้วเหมือนกัน จึงมองซ้ายขวาก่อนครั้งหนึ่ง แล้วกดเสียงต่ำพูดกับทั้งสองคน “พวกเขาจะก่อสงครามกันแล้วเจ้าค่ะ”
เป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเกิดความรู้สึกหนักอึ้ง เวลาคับขันเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เย่ว์เอ๋อร์ที่ตกอยู่ในมือขององค์ชายใหญ่ ตัวเองก็แอบเข้ามาในรัฐอิงด้วย ถ้าหากถูกคนเจอตัวเข้า ก็จะกลายเป็นเบี้ยสำคัญที่สุดในมือขององค์ชายใหญ่ทันที
คิดถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็กดเสียงเบาลงเช่นกัน และพูดสั่งหลินหันเยียน “เจ้าหาวิธีไปสืบฟังสถานการณ์ขององค์ชายใหญ่มาหน่อย ยิ่งละเอียดเท่าไรยิ่งดี”
หลินหันเยียนผงกศีรษะ เดินลงจากด้านบนมายังหน้าโต๊ะรับแขก แล้วแสร้งทำเป็นชี้ไปที่กลุ่มคนที่วิ่งออกไปอย่างสงสัย พร้อมยิ้มถามเถ้าแก่ “เถ้าแก่เจ้าคะ ยังเช้าตรู่อยู่เลย เหตุไฉนคนพวกนี้ถึงจะก่อสงครามกันแล้ว หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ อย่าบอกนะเจ้าคะว่ามีคนกำลังตีกันอยู่” ถามเสร็จ ก็เขย่งปลายเท้าสูง มองออกไปด้านนอกอย่างใคร่รู้
เถ้าแก่ได้ยินน้ำเสียงของนางไม่เหมือนกับคนขององค์ชายใหญ่ แลยังเห็นว่านางเป็นผู้หญิง จึงนึกว่านางไม่ทราบความจริง ถอนหายใจและพูด “แม่นาง ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว เช้าตรู่วันนี้ องค์ชายใหญ่มีพระราชโองการว่าพรุ่งนี้พระองค์จะนำกองทัพใหญ่ออกเดินทางไปก่อสงครามกับรัฐอู่ขอรับ”
หลินหันเยียนสะดุ้ง สีหน้าซีดขาวทั้งใบ และถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเกร็ง “นี่…นี่จะทำสงครามกันเร็วปานนี้เลยหรือเจ้าคะ ข้ายังมีกิจการที่ยังไม่ได้ถอนกลับมาอีกบางส่วนอยู่เลย”
เถ้าแก่มองนางอย่างเห็นใจ และโบกมือ “อย่าได้ไปห่วงกิจการแล้วล่ะขอรับ กลับบ้านไปเถิด รักษาชีวิตไว้สำคัญยิ่งกว่า”
หลินหันเยียนเริ่มร้อนใจ น้ำเสียงเริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมา “เช่นนั้นจะได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ครอบครัวของพวกเรามีทั้งคนแก่และเด็กหลายสิบคน ต้องมีการค้าเล็กๆ พวกนี้เพื่อหาเงินประคับประคองเลี้ยงดูชีวิต นี่พอบอกว่าไม่ต้องการ ก็ไม่ต้องการ แล้วครอบครัวคนแก่และเด็กของพวกเราจะกินลมหรืออย่างไรกัน”
พูดจบ ราวกับว่าเริ่มเบื่อหน่าย จึงพูดต่อ “เจ้าว่าไหม องค์ชายใหญ่นี่ก็จริงๆ เลย อยู่ดีไม่ว่าดีแท้ๆ บอกจะก่อสงครามก็ก่อสงคราม แล้วไม่สนใจคนอย่างพวกเราที่จะเป็นหรือตายเลย”
ถ้อยคำนี้ของนางพูดออกไป เถ้าแก่สะดุ้ง แล้วรีบยกมือทำท่าบอกให้ห้ามพูด เมื่อเห็นว่าซ้ายและขวาไม่มีคนสนใจพวกเขา ถึงจะกดเสียงต่ำกล่าวอ้อนวอนด้วยความหวังดี “แม่นาง ต่อไปอย่าได้พูดเช่นนี้นะขอรับ ถ้าหากถูกคนขององค์ชายใหญ่ได้ยินเข้าแล้ว เกรงว่าไม่เพียงแต่ข้าและท่านเท่านั้น แม้แต่ชีวิตของครอบครัวท่านก็รักษาไว้ไม่ได้แล้วขอรับ”
สีหน้าของหลินหันเยียนซีดเผือดขึ้นตามสถานการณ์ และกดเสียงต่ำ “เถ้าแก่ องค์ชายใหญ่น่ากลัวเช่นนั้นเลยหรือเจ้าคะ”
เถ้าแก่มองอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าทั้งโรงเตี๊ยมเหลือแต่เพียงพวกเขาสองคน ครานี้ถึงจะกดเสียงต่ำพูดกับนางต่อ “แม่นาง ท่านไม่รู้อะไรขอรับ องค์ชายใหญ่นี่นะ พระองค์เป็นคนที่มีนิสัยโหดร้าย รุนแรง เพียงแค่บังอาจทำให้พระองค์กริ้ว ชีวิตก็ต้องจบไม่สวยเป็นแน่ แม้แต่พี่น้องเหล่านั้นของพระองค์ก็ถูกลงมืออย่างร้ายกาจ ส่วนเรื่องสงครามครั้งนี้ ก็เป็นพระองค์ที่ทรงหาเรื่องขึ้นมาเอง”
สีหน้าของหลินหันเยียนยิ่งซีดขึ้นอีก ผวาจนพูดอย่างอ้ำอึ้ง “เช่นนั้น เช่นนั้น…” เช่นนั้นอยู่เป็นเวลานาน ก็ไม่ได้พูดสักคำออกมา
เถ้าแก่ถอนหายใจยาวพร้อมส่ายหน้า เมื่อเกิดสงครามระหว่างสองรัฐ คนที่ลำบากก็คือประชาชนคนสามัญเหล่านี้อย่างพวกเขา ทั้งต้องหาเสบียง จ่ายภาษี และยังต้องดูแลครอบครัวของตัวเอง ตัวเขาที่มีลูกชายหนึ่งคน ก็ได้ถูกเกณฑ์ให้ไปออกรบเมื่อหลายวันก่อนแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะเป็นเรื่องที่สามารถแอบใช้เงินเจรจาต่อรองมาได้ แต่ครั้งนี้ ต่อให้ตายก็ไม่อาจทำได้แล้ว ดูเหมือนว่าองค์ชายใหญ่จะตัดสินพระทัยว่าจะทำสงครามกับรัฐอู่อย่างจริงจังเสียแล้ว
ริมฝีปากของหลินหันเยียนสั่นเป็นเวลานาน ถึงจะพูดอะไรออกมา “แต่ว่าหลานสาวที่น่าสงสารของข้ายังทำงานในจวนขององค์ชายใหญ่อยู่เลย”
เถ้าแก่ได้ยินดังนั้น ก็อึ้งไปพักหนึ่ง และมองนางอย่างแคลงใจเล็กน้อย
หลินหันเยียนรีบอธิบาย “เถ้าแก่ ท่านอย่าได้เข้าใจผิดนะเจ้าคะ หลานสาวที่น่าสงสารของข้าคนนี้เป็นลูกของบ้านพี่สะใภ้ใหญ่ข้า พี่ชายใหญ่ของข้าเสียชีวิตไปเร็ว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่พี่สะใภ้ใหญ่จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ก็เลยไปแต่งงานใหม่พร้อมพาลูกไปด้วย ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าก็ห้ามไม่ได้ จึงตามใจนาง แต่ว่านางถูกสามีใหม่หลอกเอาเงินไป และไม่รู้ว่าจะเจรจาตกลงกับผู้คนอย่างไรดี จึงขายหลานสาวที่น่าสงสารนั่นของข้าให้แก่พ่อค้าคนกลาง ข้าสืบข่าวจากหลายที่ ถึงได้รู้ว่านางถูกขายเข้าจวนองค์ชายใหญ่ กลายเป็นสาวใช้ นี่ข้ากับครอบครัวของพี่สะใภ้รองมาที่เมืองหลวงเพื่ออยากจะดูว่าสามารถซื้อตัวนางคืนออกมาได้หรือไม่”
ฟังคำพูดนางจบ เถ้าแก่ก็ส่ายหน้า “แม่นาง ข้าว่าท่านเลิกล้มความคิดนี้เถิดขอรับ ทุกคนที่ถูกขายเข้าไปในจวนขององค์ชายใหญ่ ถ้ายังไม่กลายเป็นคนตาย ก็ไม่มีทางได้ออกมาอย่างแน่นอนขอรับ”
หลินหันเยียนตกใจจนเกือบจะร้องไห้แล้ว “นี่จะทำอย่างไรดีล่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่ข้ายังรอให้พวกข้าพานางกลับไปอยู่นะเจ้าคะ”
เดิมทีหลินหันเยียนก็มีหน้าตาสละสลวย ครั้นภายในดวงตามีน้ำตาเอ่อขึ้น ก็ยิ่งทำให้เห็นแล้วรู้สึกสงสาร แม้ว่าเถ้าแก่จะมีอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็อดทนกับความยั่วเย้าเช่นนี้ไม่ได้ จึงหลุดปากพูดออกมา “แต่ข้าสามารถช่วยแม่นางคิดหาวิธีพบหน้านางได้นะขอรับ เพียงแต่เรื่องที่จะซื้อนางออกมานั้น ขออย่าได้คิดเลยขอรับ”
หลินหันเยียนได้ยินแล้วก็ยินดี น้ำตาภายในดวงตาก็จางหายไป จากนั้นจึงเอื้อมมือหยิบเงินหนึ่งตำลึงจากชายเสื้อวางไว้บนโต๊ะรับแขก “ขอบพระคุณเถ้าแก่อย่างมากเจ้าค่ะ เงินเหล่านี้ ท่านเอาไว้ไปซื้อสุราดื่มนะเจ้าคะ หลังจากข้าได้เจอหลานสาวที่น่าสงสารของข้าแล้ว จะตอบแทนให้มากกว่านี้อีกเจ้าค่ะ”
สงครามใกล้จะเริ่มแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะสู้รบตบตีกันถึงขั้นไหน การมีเงินอยู่ในมือเยอะหน่อยก็เป็นเรื่องดี พอเห็นนางให้เงินใหญ่ก้อนนี้มาโดยเปล่าๆ เถ้าแก่ก็รีบเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วโดยยกชายเสื้อขึ้นปิดไว้ และค่อยๆ เก็บเข้าไปในโต๊ะรับแขก แล้วใบหน้าก็ยิ้มเบิกบาน “เรื่องนี้ช่างง่ายนัก ลูกชายคนโตนั่นของข้ากับภรรยาเขาจะไปส่งผักที่จวนขององค์ชายใหญ่ทุกวัน ท่านบอกชื่อกับลักษณะเด่นของหลานสาวคนนั้นแก่นางเพื่อให้พวกเขาช่วยสอบถามมาให้ท่านอย่างลับๆ”
หลินหันเยียนเผยสีหน้าลำบากใจ “เวลานั้นหลานสาวคนเล็กนั่นของข้ายังเด็กก็ถูกพี่สะใภ้ใหญ่พาไปแล้ว บัดนี้โตมาหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะสิเจ้าคะ”
เรื่องนี้จัดการยากแล้ว เถ้าแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไรสักพักหนึ่ง
เห็นสีหน้าของเขา หลินหันเยียนจึงกล่าวแนะนำอย่างพินอบพิเทา “เถ้าแก่เจ้าคะ ไม่เช่นนั้นวันนี้ให้พี่สะใภ้ใหญ่กับลูกสาวของท่านหยุดพักก่อนหนึ่งวัน ข้าจะไปแทนนางเองเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่ลังเลเล็กน้อย
หลินหันเยียนรีบพูดรับรอง “เถ้าแก่ ท่านสบายใจได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่เข้าไปดูหลานสาวคนเล็กเท่านั้น เพื่อให้เพียงพอรับมือกับท่านพ่อท่านแม่ของข้าได้เมื่อตอนที่กลับไปแล้วเจ้าค่ะ ดังนั้น จะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากเป็นแน่เจ้าค่ะ อีกอย่าง พี่ชายรอง พี่สะใภ้รองกับพวกเด็กๆ ของข้าก็ยังอยู่ในโรงเตี๊ยม ข้าไม่อาจสร้างเรื่องได้หรอกเจ้าค่ะ”
คิดถึงเงินก้อนที่ได้เปล่ามา เถ้าแก่ก็ใจสั่น และกัดฟันพูด “นี่ข้าเอาหัวเป็นประกันเพื่อช่วยเจ้าเลยนะขอรับ เจ้าห้ามก่อเรื่องให้ข้าโดยเด็ดขาด”
หลินหันเยียนรีบรับรอง “เถ้าแก่ ท่านวางใจเถิด หลังจากข้าแวะเข้าไปแอบดูหลานสาวคนเล็กของข้านั่นแล้วก็จะออกมาโดยทันที จะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าคอยก่อน ข้าสั่งลูกน้องให้เรียกลูกชายคนโตนั่นของข้ามาคุยสักหน่อย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะเถ้าแก่” หลินหันเยียนขอบคุณอีกครั้ง แล้วโบกมือไปด้านบน ร้องเรียกด้วยภาษารัฐอิง “พี่สะใภ้ ท่านลงมาประเดี๋ยวเจ้าค่ะ” พูดจบ ก็สบโอกาสตอนที่เถ้าแก่ไม่ได้สนใจ ก็แอบทำมือกับเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นสัญญาณให้ลงมา
แม้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยนไม่เข้าใจว่านางพูดอะไร แต่เข้าใจจากท่าทางมือของนาง จึงเดินลงมาด้านล่างตัวคนเดียว
หลินหันเยียนเปลี่ยนความคิดทันใด เดินเข้าไปหาเอง แล้วถามอยู่ระหว่างบันไดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่สะใภ้รอง ในมือของท่านยังมีเงินก้อนใหญ่อีกไหมเจ้าคะ”
พูดจบ ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ ก็ใช้เสียงที่ได้ยินเพียงสองคนถามอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออก แล้วหยิบเงินออกมาจากชายเสื้อ หลินหันเยียนรับมา พร้อมส่งสายตาที่ค่อนข้างสงบนิ่ง และหันตัวลงบันไดไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก แล้วเดินกลับขึ้นไปด้านบน
มาถึงยังหน้าโต๊ะรับแขก หลินหันเยียนวางเงินสองตำลึงลงบนโต๊ะ และยิ้มพูด “เถ้าแก่เจ้าคะ หลังจากเข้าไปในจวนขององค์ชายใหญ่แล้ว จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ชัด ท่านก็รู้ว่ากิจการของข้าอยู่ในรัฐอู่ทั้งหมด เงินรายได้ที่รับมาจึงเป็นเงินของพวกเขา…” พูดถึงตรงนี้ ก็เอามือผลักก้อนเงินก้อนหนึ่งไปไว้ตรงหน้าเขา “ท่านสามารถช่วยข้าเอาเงินเหล่านี้ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นเงินของพวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”
จากนั้นก็ผลักก้อนเงินอีกก้อนไปตรงหน้าเขา “แล้วก้อนนี้ก็มอบให้แก่ลูกชายคนโตของท่าน เพื่อเป็นการขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
ครั้นได้รับก้อนเงินสองก้อนติดกัน เถ้าแก่ก็ไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว นำเงินสองก้อนเก็บเข้าไปภายในโต๊ะรับแขกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วแลกเปลี่ยนเป็นก้อนเงินของรัฐอิงให้นางก้อนหนึ่งด้วยรอยยิ้ม และกล่าว “แม่นาง เจ้าคอยประเดี๋ยว ข้าจะไปสั่งลูกน้องให้เรียกคนมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
หลินหันเยียนพยักหน้า
เถ้าแก่สั่งลูกน้อง
ลูกน้องวิ่งออกไปตะโกนเรียกคนให้มาอย่างรวดเร็ว
ผู้ชายอายุสามสิบกว่าปี มีจมูกโค้งกลมและดวงตาเฉี่ยวคมดั่งเหยี่ยว ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนพื้นเมืองรัฐอิง แต่ส่วนที่ไม่เหมือนก็มีเพียงแต่รูปร่างของเขาที่ออกจะเตี้ยไปบ้าง แตกต่างกับผู้ชายรัฐอิงส่วนใหญ่ที่ร่างสูงใหญ่เหล่านั้น ภายในดวงตาที่ไม่โตส่องประกายวาววับเช่นเดียวกับเถ้าแก่
ผู้ชายเดินเข้าประตูมา ตะโกนเรียกเถ้าแก่
เถ้าแก่มองหลินหันเยียนแวบหนึ่ง แล้วเดินออกจากโต๊ะรับแขก ดึงลูกชายตัวเองมาอยู่ด้านหนึ่งแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้แก่เขาเบาๆ
เมื่อผู้ชายฟังจบ ก็ขมวดคิ้วและมองไปทางหลินหันเยียน
หลินหันเยียนรอพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ
ผู้ชายละสายกลับมา พูดบางอย่างกับเถ้าแก่เสียงเบา
เถ้าแก่ยกมือชี้ไปชั้นบน และเหมือนว่าจะบอกเรื่องเงินแก่เขาอีกครั้ง
ผู้ชายยังคงลังเล การส่งผักให้จวนขององค์ชายใหญ่เป็นงานที่เขาได้มาไม่ง่าย ถ้าหากทำพลาดแล้ว ทั้งครอบครัวของพวกเขาก็ล้วนจบสิ้นกันหมด
หลินหันเยียนเห็นพวกเขายังคงลังเลไม่ตัดสินใจ จึงทำใจแข็งเดินมาตรงหน้าทั้งสองคนและกล่าว “ทั้งสองท่านโปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ทำให้พวกท่านต้องช่วยโดยเปล่าๆ แน่นอน ถ้าหากว่าข้าพบกับหลานสาวที่น่าสงสารของข้านั่นแล้ว และแน่ใจว่านางสบายดีไม่เป็นอะไร ข้าจะยังตอบแทนให้อีกอย่างหนักเลยเจ้าค่ะ”
ผู้ชายหรี่ตาจ้องมองนางอยู่นาน มองจนหัวใจของหลินหันเยียนเต้นระรัว และสงสัยว่านางจะถึงคราที่ความแตกเสียแล้ว ผู้ชายก็เอ่ยปากขึ้นอย่างช้าๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น