ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 286-291
ตอนที่ 286 ถึงเวลาแล้ว
บรรยากาศในจวนสงบสุขแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ พระชายารู้สึกว่าสองสามวันมานี้ไม่มีเรื่องอะไรทำ กำลังคิดว่าจะเย็บเสื้อผ้าให้หลานตัวน้อยสองคนที่ยังไม่ลืมตาดูโลก เมื่อได้ยินคำของเมิ่งเชี่ยนโยวดังนั้น ดวงตาจึงเกิดประกายความตื่นเต้นขึ้นมา ถามว่า “ถึงเวลาแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมพยักหน้า “เหลือแค่ขั้นสุดท้ายแล้วเจ้าค่ะ ต้องการให้เสด็จแม่ออกโรงแล้ว”
“ได้” พระชายาตอบรับ วางเสื้อผ้าตัวน้อยในมือลง “ให้เป็นหน้าที่ของข้า มีข้าอยู่ตรงนี้ไม่มีเรื่องใดทำไม่ได้”
ดังนั้น เมื่อกัวเฟยควบม้ามาส่งเมิ่งซื่อ ภรรยาของเมิ่งต้าจิน และยังมีเมิ่งเย่ว์กับเซิ่งเอ๋อร์มาที่นี่นั้น ก็พบเข้ากับบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องกำลัง แอบๆ ซุบซิบคุยกันอยู่ โดยบังเอิญ
“พระชายารับสั่งแล้ว ว่าอีกชั่วยามหนึ่งจะหาคู่ให้แม่นางจูหลีสาวใช้ข้างกายของซื่อจื่อเฟย ให้ชายหนุ่มที่อายุเหมาะสมไปรวมตัวกันที่ลานหลังจวน ให้นางเลือกเอาตามใจ”
“นี่มันบุญหล่นทับโดยแท้เลย แม่นางจูหลีรูปลักษณ์ใช้ได้ ซ้ำยังมีวิชาต่อสู้ ทั้งยังเป็นคนข้างกายที่เก่งมากของซื่อจื่อเฟย ภายหน้าจะต้องก้าวหน้ามากเป็นแน่ ผู้ใดได้ครองคู่กับนางถือว่าโชคดีไปอีกแปดชาติเลยทีเดียว”
“ใครว่ามิใช่เล่า ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ระหว่างทางที่ข้ามา มีคนไปไม่น้อยเลยทีเดียว อีกครู่พวกเราก็ต้องรีบไป จะได้มิถูกแย่งชิงไปเสียก่อน”
“ใช่ ใช่ ใช่ พวกเรารีบไปกันเถิด แม้ว่าแม่นางจูหลีผู้นี้จะมิค่อยยิ้มสักเท่าใด ดูท่าทีจะเขาถึงยากยิ่งนัก แต่หากออกเรือนกันไปแล้ว อบรมสั่งสอนนางเสียหน่อย ดีไม่ดีนางจะเชื่อฟังเสียยิ่งกว่าหญิงทั่วไปเสียอีก”
เสียหัวเราะสมทบตามมา
สีหน้ากัวเฟยเคร่งขรึม แผ่เอาความรู้สึกดุร้ายออกมา
คนที่กำลังคุยกันอยู่ราวกับว่ารู้สึกได้ถึงไออำมหิตของเขา มองไปทางเขาด้วยความหวาดกลัว หลบถอยไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ไออำมหิตของกัวเฟยแพร่อออกไป หน้าขรึมไม่พูดไม่จา ครู่ใหญ่ ราวกับว่าตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เดินก้าวใหญ่ไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน
ชิงหลวนและจูหลีเห็นเขาพร้อมกัน จูหลีเม้มปากไม่พูดไม่จา ชิงหลวนรู้ดีว่าเขาต้องการจะทำอะไร จึงได้มองมาด้วยความยินดี
กัวเฟยเดินมาหาจูหลี ยื่นมือขวาที่เหลืออยู่ข้างเดียวของเขาไปจับมือของนางเอาไว้ ขณะที่นางกำลังอึ้งอยู่นั้นเขาจ้องตานาง ถามว่า “หากเจ้าไม่รังเกียจที่ข้าพิการ อย่างนั้นก็ขอให้เจ้าไปขอร้องนายหญิงกับข้า”
จูหลีอึ้งไป จากนั้นก็มีน้ำตาไหลออกมา พยักหน้าด้วยวามดีใจ ตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก
กัวเฟยปวดใจ ปล่อยมือจากนาง เช็ดน้ำตาให้นางอย่างทุลักทุเล ยกแขนเสื้ออันว่างเปล่าของตนเองขึ้นแล้วพูดว่า “ดูสิ เรื่องง่ายๆ เพียงนี้ข้าก็ยังทำให้ดีไม่ได้ เจ้าต้องคิดให้ดีๆ หากไปขอร้องนายท่านแล้ว เจ้าก็ไม่มีโอกาสจะเดินกลับหลังอีกแล้ว”
น้ำตาของจูหลีไหลออกมามากกว่าเดิม พูดทั้งน้ำตาว่า “ข้าไม่ต้องการโอกาสแก้ตัว หากเจ้าทำไม่ได้ อย่างนั้นต่อไปข้าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว”
กัวเฟยเองก็เริ่มตาแดง ลูบหัวนาง พูดว่า “เด็กโง่!”
จูหลีหัวเราะทั้งน้ำตา
ชิงหลวนเองก็เริ่มตาแดง หันหลัง รายงานต่อคนด้านในห้องว่า “นายหญิง กัวเฟยมีธุระจะขอพบนายหญิงเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งอยู่ในห้องมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ “ให้เขาเข้ามาเถิด”
กัวเฟยจูงมือจูหลีเดินเข้ามาด้านใน
เมิ่งเชี่ยนโยวทำสีหน้าตกใจ เบิกตาโพลง ชี้ไปที่มือที่จับจูงกันของทั้งสอง พูดติดอ่าง “เจ้า พวกเจ้า พวกเจ้า…”
ทั้งสองคุกเข่าลงต่อหน้านางและหวงฝู่อี้เซวียน กัวเฟยปล่อยมือจูหลี คำนับให้เมิ่งเชี่ยนโยว “นายหญิง ข้าน้อยหวังจะสู่ขอจูหลีมาเป็นภรรยา ขอให้ท่านตอบรับด้วยเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจยิ่งกว่าเดิม “กัวเฟย เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา”
“ทราบดีขอรับ”
“เจ้าไม่รู้!” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงแหลม “จูหลีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น เจ้าเล่า เจ้าอายุเท่าใด เจ้าอายุเท่าใด เจ้าอายุเท่าใดกันแล้ว” ถามเขาติดๆ กัน เพื่อเพิ่มความรู้สึกไม่พอใจ “อายุของเจ้ามากพอจะเป็นพ่อของนางได้แล้ว เจ้ายังมีหน้ามาสู่ขอนางกับข้าอีกหรือ”
ใบหน้าของกัวเฟยแดงก่ำ แต่สีหน้าไม่เปลี่ยน ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด “นายหญิง ข้าน้อยรู้ดีว่าไม่คู่ควรกับจูหลี ข้าน้อยเองก็เคยคิดยอมถอย กระทั่งเคยคิดจะปล่อยนางไป แต่ไม่ได้ เช้าวันนี้ข้าน้อยได้ยินคนในจวนคุยกันว่าจะหาคู่ให้นาง ข้าน้อยรู้ได้ทันทีว่าข้าน้อยจะเสียนางไปไม่ได้ นายหญิงจะกล่าวโทษข้าน้อย จะทุบตีด่าทอก็แล้วแต่ ข้าน้อยไม่สนใจ ขอเพียงนายหญิงมอบจูหลีให้ข้า”
ในที่สุดชายคนนี้ก็ยอมเปิดใจพูดเสียที ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความสุขยิ่งนัก แต่กลับแสดงออกว่าโกรธยิ่งกว่าเดิม ถามจูหลีด้วยเสียงโกรธว่า “เจ้าเล่า เจ้าเองจะยอมออกเรือนกับเขาหรือไม่”
จูหลีเองก็คำนับอย่างตั้งใจ เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “นายหญิง ข้ายินดีเจ้าค่ะ ชาตินี้ข้าจะไม่ออกเรือนกับใครนอกจากเขา”
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเคร่งขรึมลง ดูท่าทีจะระงับน้ำเสียงโกรธไว้ไม่ได้แล้ว พูดเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าตัดสินใจแล้วหรือ”
กัวเฟยและจูหลีมองตากัน จากนั้นก็ก้มลงคำนับ “ตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ ขอร้องนายหญิงได้โปรดตอบรับด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
กัวเฟยและจูหลีอึ้งไป
ชิงหลวนที่อยู่ด้านนอกแปลกใจ
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มพร้อมส่ายหน้า
หัวเราะจนน้ำตาแทบไหล เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้หยุดหัวเราะ พูดว่า “คืนวันนั้น เรื่องที่พวกเจ้าคุยกันในบ้าน ข้าได้ยินหมดแล้ว ในใจข้ารีบร้อน จึงได้ไปตกลงกับเสด็จแม่ คิดแผนการณ์นี้ออกมา ครานี้ดีแล้ว กัวเฟยยอมเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตนเองเสียที เจ้าทั้งสองรักใคร่ลงเอยกัน ข้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีก รอให้พี่เมิ่งเหรินสอบจอหงวนเรียบร้อยแล้ว ข้าจะจัดการเรื่องงานแต่งของพวกเจ้าและชิงหลวน”
กัวเฟยและจูหลีมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความเหลือเชื่อ
เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของทั้งสอง เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “เป็นอย่างไรกัน ดีใจจนตกตะลึงไปเลยหรือ หรือว่าพวกเจ้าไม่เต็มใจจะแต่งงานกัน”
จูหลีรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ ไม่ ไม่เจ้าค่ะ”
กัวเฟยกลับพยักหน้าด้วยความดีใจ “เต็มใจขอรับ เต็มใจ”
ครานี้เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นกว่าเดิม “ตกลงพวกเจ้าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจกันแน่”
ครานี้ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน ตอบพร้อมกันว่า “ข้าน้อยเต็มใจเจ้าค่ะ/ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้ม “ดีแล้ว อีกครู่ข้าจะไปหาท่านแม่ทั้งสอง ตกลงเรื่องการหมั้นหมายของพวกเจ้าเสียก่อน พวกเจ้ารอฟังข่าวเถิด”
กัวเฟยและจูหลีดีใจยิ่งนัก กล่าวขอบคุณอีกครั้ง ยืนขึ้น เดินออกไปด้านนอก
ชิงหลวนเองก็ดีใจมากกว่าปกติ แสดงความยินดีกับทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของกัวเฟยเต็มไปด้วยความตื้นตัน “แม่นางชิงหลวน ขอบใจที่เจ้าเตือนสติข้า”
ชิงหลวนโบกมือ “ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก จูหลีกับข้าโตมาด้วยกัน รักกันราวพี่น้องท้องเดียวกัน ข้าทำเพื่อนาง”
ครั้งแรกในชีวิต ที่จูหลีเปิดเผยความรู้สึกของตน นางยื่นมือออกมา โอบชิงหลวนเอาไว้ ขอบคุณนางจากใจจริง “ชิงหลวน ขอบใจเจ้ามากนะ”
ชิงหลวนตบหลังนางเบาๆ
ในห้องเมิ่งเชี่ยนโยวมีความสุขจนยิ้มไม่หุบปาก หวงฝู่อี้เซวียนมองนาง ยิ้มและถามว่า “สนุกหรือไม่”
นางพยักหน้าด้วยท่าทีราวกับเด็กน้อย เบิกตาโต ตอบว่า “สนุก รอถึงตาของอวี้เอ๋อร์ยิ่งจะสนุกกว่านี้”
นางมีท่าทีราวกับเด็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนลูบหัวของนางด้วยความเอ็นดู มองนางด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีความสุขก็ดีแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยี
พระชายาฉีได้ยินคำที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกแล้ว ก็ดีใจจนเผลอตบเข่าตัวเองอย่างลืมตัว แต่เมิ่งซื่อกลับตะลึงเล็กน้อย แต่ว่าไม่นานก็ยิ้มออกมาได้ “นี่เป็นเรื่องดี จูหลีและกัวเฟยต่างเคยสละชีวิตเพื่อช่วยเจ้า รอจนพวกเขาแต่งงานกัน เจ้าจะต้องมอบของกำนัลให้พวกเขาเยอะๆ ด้วยล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพยักหน้า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ เสด็จแม่”
ภรรยาของเมิ่งต้าจินไม่ค่อยรู้จักจูหลีเท่าใด แต่รู้จักกับกัวเฟย จึงได้ยิ้มและพูดว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ ด้วย หากคนรอบตัวของเราต่างมีโชคดีเช่นนี้ก็ดีสินะ”
คนพูดไม่คิดอะไร แต่คนฟังคิด สิ้นคำของนาง ในหัวของเมิ่งเชี่ยนโยวก็นึกอะไรออกมาได้ นางรีบหันหลัง พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “อี้เซวียน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบด้วยเวียงอ่อนโยน ถามว่า “คิดอะไรสนุกๆ ออกอีกแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหลายที “อื้ม ข้าอยากให้เจ้าช่วย”
“เรื่องอะไรหรือ”
“ข้าอยาก…” เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะพูด ด้านนอกก็มีเสียงรายงานของหลิงหลงว่า “พระชายา แม่นางหลินแห่งจวนราชเลขาหลินมาขอพบเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีชะงักไป หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ผงะไปเช่นกัน จากนั้นก็ยิ้มออกมา ดูทีแม่นางหลินผู้นี้คงจะสิ้นไร้ไม้ตรอกเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้น หึหึ…นางมีเรื่องสนุกที่ต้องทำอีกแล้ว เมื่อดีใจ จึงได้ลืมคำที่จะพูดเมื่อครู่ พูดกับเมิ่งซื่อและภรรยาของเมิ่งต้าจินว่า “เสด็จแม่มีธุระ ท่านแม่กับท่านป้าพาเย่ว์เอ๋อร์กับเซิ่งเอ๋อร์ไปเรือนของข้าก่อนเถิด”
เมิ่งซื่อกับภรรยาของเมิ่งต้าจินยืนขึ้นพร้อมกัน หยิบงานเย็บปักถักร้อยของตนมาด้วย หลังจากร่ำลาพระชายาฉีแล้ว ก็เดินตามหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากเรือนพระชายาไป
เย่ว์เอ๋อร์โตแล้ว เข้าใจว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีครรภ์หมายถึงอะไร เมื่อออกมาจากเรือนของพระชายาแล้ว จึงเดินไปด้านหน้าอีกฝั่ง ค่อยๆ พยุงแขนของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอยางชาญฉลาดว่า “ท่านอา ค่อยๆ เดินขอรับ”
เซิ่งเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ ทำได้เพียงเลียนแบบ ร่างน้อยๆ เดินมาคั่นกลางระหว่างหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว จูงมืออีกข้างของเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นกัน พูดด้วยเสียงน้อยๆ ว่า “ท่านอา ค่อยๆ เดินนะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับด้วยความดีใจ เดินกลับไปกับคนตัวน้อยสองคนด้วยความระมัดระวัง
เมิ่งซื่อและภรรยาของเมิ่งต้าจินเดินตามไปด้านหลัง มองทั้งสามคนด้วยหัวใจพองโต
แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะถูกเบียดไปอีกฝั่ง แต่บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
หลังจากทุกคนเดินออกไปหมดแล้ว พระชายาจึงรับสั่งหลิงหลงว่า “เชิญแม่นางหลินเข้ามาด้านใน”
หลิงหลงเดินออกไปยังหน้าเรือนด้วยตนเอง
หลินหันเยียนยืนรออยู่หน้าเรือนด้วยจิตใจไม่เป็นสุข คอยแต่ชะเง้อมองมาด้านใน
หลิงหลงเดินมาหานาง พูดอย่างมีมารยาทว่า “แม่นางหลิน เรียนเชิญเจ้าค่ะ”
สีหน้าของหลินหันเยียนดีใจขึ้นมา รีบจับชายกระโปรงเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา รีบเดินก้าวใหญ่ไปยังเรือนของพระยาชา
ตั้งแต่เด็กนางมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน นางคุ้นเคยกับทุกสิ่งในเรือนพระชายาเป็นอย่างดี ต่อให้หลับตาเดิน นางก็ยังคงสามารถเดินไปยังเรือนพระชายาได้ เมื่อเห็นบรรยากาศที่คุ้นเคยในจวน ก็หวนให้นึกถึงวันเวลาที่นางและหวงฝู่อวี้ได้เล่นด้วยกันอย่างมีความสุข ใจของหลินหันเยียนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา กรอบตาเริ่มแดงขึ้น
พระชายาไม่ได้ออกมาต้อนรับนางอย่างเคย ใจของหลินหันเยียนก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น เมื่อเดินเข้าไปด้านในตามหลิงหลง ทำความเคารพตามพิธีแล้วนั้นก็กล่าวว่า “เยียนเอ๋อร์เสียมารยาทมารบกวนพระชายา ขอพระชายาได้โปรดอภัยด้วย”
พระชายายิ้ม กวักมือเรียกนางไปหา จับมือของนางพูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้นี่ จะเกรงใจข้าไปใย ข้าเองคิดว่าหลังจากที่เจ้าถอนหมั้นจากหวงฝู่อี้เซวียนไปแล้ว จะไม่มาพบข้าอีกตลอดไปเสียอีก”
หลินหันเยียนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ไหลรินออกมาทันที
พระชายาตกใจ “เป็นอะไรไปเจ้า เยียนเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นหรือ”
หลินหันเยียนคุกเข่าลงต่อหน้าพระชายา “พระชายา เยียนเอ๋อร์มีเรื่องจะขอร้องพระชายาเจ้าค่ะ”
พระชายาตกใจยิ่งกว่าเดิม โน้มตัวลง หวังจะพยุงนาง “เจ้าลุกขึ้นมาก่อน มีเรื่องอะไรว่ามาตรงๆ เถิด”
หลินหันเยียนไม่ขยับ เงยหน้าขอร้องเขา “แม้ว่าคำนี้จะดูหน้าไม่อาย ดูผิดธรรมเนียมของผู้หญิง แต่ข้ายอมหน้าด้านมาของร้องท่าน ท่านได้โปรดช่วยพูดกับพี่อวี้ว่าข้าอยากออกเรือนกับเขา”
พระชายาตกใจจนต้องปล่อยมือลง เบิกตาโพลง ถามอย่างเหลือเชื่อว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
หลินหันเยียนพูดซ้ำเดิม
พระชานยาทรุดลงกับเบาะนิ่ม ชะงักไปครู่หนึ่งจึงได้พูดออกมาว่า “เด็กน้อย เจ้ามาสายไปเสียแล้วล่ะ ข้าได้ทำการหมั้นหมายให้อวี้เอ๋อร์ไปแล้ว อีกสองสามวันก็คงจะมาทำการหมั้นหมายกันแล้ว”
สีหน้าของหลินหันเยียนซีดเผือด พูดด้วยความร้อนใจว่า “ข้าทราบแล้ว ข้าจึงได้รีบแบกหน้ามาขอร้องท่าน ยังดีที่พวกเขายังไม่ได้หมั้นหมายกัน ทั้งหมดยังทันนะเจ้าคะ”
พระชายารู้สึกค่อนข้างลำบากใจ “แต่ว่านี่เป็นเพียงความต้องการของเจ้าเพียงฝ่ายเดียว อวี้เอ๋อร์จะคิดอย่างไรยังไม่รู้ได้ อีกอย่าง เรื่องใหญ่เช่นนี้ จะมาทำเล่นๆ ไม่ได้ พวกเราสองฝ่ายตกลงวันหมั้นหมายกันแล้ว จวนอ๋องของเราจะมาเปลี่ยนแปลงตามใจชอบได้อย่างไรกัน”
เมื่อเห็นว่าพระชายาไม่ยอมใจอ่อน หลินหันเยียนจึงหมดหวัง คลานเข่ามาด้านหน้า คว้ามือของพระชายาเอาไว้ “พระชายาเจ้าขา ท่านเอ็นดูข้ามาตั้งแต่เด็ก เห็นข้าเป็นลูกสาวคนหนึ่ง ครานี้ขอร้องท่านได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด”
พระชายาถอนหายใจออกมาเบาๆ “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเองก็รู้ดีว่าเรื่องที่เจ้าและอี้เซวียนถอนหมั้นกันนั้น จวนอ๋องของเราก็เข้าหน้าไม่ติดกับจวนราชเลขาของเจ้า แม่ของเจ้าก็มีท่าทีห่างเหินต่อข้า ต่อให้ข้ายอมถอยก้าวหนึ่ง ยอมรับข้อตกลงของเจ้า แต่แม่เจ้าจะยอมหรือ”
ตอนที่ 287 วุ่นวายใหญ่โต
น้ำตาของหลินหันเยียนไหลรินลงมามากกว่าเดิม “พระชายาเจ้าขา ข้ารู้ดีว่าแม่ข้าทำไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะร้ายจะดีอย่างไร นางทำไปก็เพื่อข้า ขอท่านอย่าถือติดใจนางเลย ข้าจะไปพูดกับนางให้เข้าใจเอง”
พระชายาถอนหายใจเสียงดังกว่าเดิม “เยียนเอ๋อร์ เรื่องบางเรื่องมิได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด หากแม่ของเจ้าไม่ยินยอม การหมั้นหมายครานี้ข้าเองก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ใช่ว่าข้าเกรงกลัวต่อราชเลขา แต่ว่าบัดนี้โยวเอ๋อร์กำลังตั้งครรภ์ จิตใจของเราทั้งบ้านก็รวมอยู่ที่ตัวนาง ไม่มีผู้ใดยอมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายมิเป็นเรื่องหรอกนะ”
คำพูดเหล่านี้ ชัดเจนแล้วทุกอย่าง ความรู้สึกของหลินหันเยียนจมดิ่งลงถึงขั้นสุด เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นพระชายาซื่อจื่อเป็นผู้ที่จะปกครองจวนอ๋องในภายภาคหน้า บัดนี้นางได้รับความรักจากทุกคน รอจนถึงวันนี้นางได้คลอดผู้สืบทอดตระกูลแล้วนั้น ฐานะของนางก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ต่อให้ตนหน้าด้านหน้าทนสักเท่าใด ขอร้องพระชายาจนสำเร็จ ก็คงมีนางเป็นก้างขวางอยู่
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความรู้สึกหมดหวังจู่โจมเข้ามาหานาง นางปล่อยมือของพระชายาลงด้วยความล่องลอย ทรุดนั่งลงกับพื้น
พระชายาทนไม่ได้ กำลังจะช่วยพยุงนางขึ้นมา แต่ก็นึกถึงคำที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้บอกกับตนเอาไว้ ‘อุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดของความรักระหว่างแม่นางหลินและอวี้เอ๋อร์ก็คือพ่อกับแม่ของนาง พวกเราจะแสดงออกมากไปไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกพวกเขาจูงจมูกไได้ เรื่องนี้ต้องให้พวกเขาเต็มใจช่วยจึงจะเป็นผล’ ร่างที่กำลังโน้มตัวลงไปก็ยืดตรงขึ้นมา สั่งหลิงหลงว่า “รีบช่วยพยุงแม่นางหลินเร็วเข้า”
เป็นแม่นางหลิน มิใช่เยียนเอ๋อร์ ประโยคนี้บ่งบอกทุกอย่างได้ชัดเจนแล้ว หลินหันเยียนกัดปากของตนจนเลือดจะไหลอยู่แล้ว เงยหน้าขึ้น ขอร้องทั้งน้ำตาว่า “พระชายาเจ้าขา เรื่องการหมั้นหมายของข้าและพี่อวี้เอ๋อร์ไม่มีทางอื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของนาง พระชายารู้สึกว่าตนเองแสดงต่อไปมิได้แล้ว น้ำเสียงจึงได้จงใจเพิ่มความไม่พอใจเข้าไป “เยียนเอ๋อร์ เรื่องน้ำสำคัญมิใช่แค่ข้ายอมหรือไม่ แต่เจ้าเองที่ต้องไปขอร้องคนในครอบครัวของเจ้า มิเช่นนั้นต่อให้ข้าไปสู่ขอเจ้าถึงที่ แต่หากพ่อกับแม่เจ้าไม่ยินยอมเล่า”
หลินหันเยียนดีใจขึ้นทันที รีบพูดว่า “เรื่องพ่อแม่ของข้า ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมให้ได้ เยียนเอ๋อร์เพียงขอร้องพระชายาให้ยืดเวลาเรื่องการหมั้นหมายของพี่อวี้ออกไปก่อนก็พอเจ้าค่ะ”
พระชายาแสดงสีหน้าลำบากใจ “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเองก็รู้ดี อวี้เอ๋อร์มิใช่ลูกแท้ๆ ของข้า และหลายวันก่อนข้าก็ได้ตกลงเรื่องหมั้นหมายให้เขาแล้ว และยังประกาศออกไปแล้ว เรื่องหมั้นหมายของเขาจะกำหนดลงในไม่กี่วันนี้ หากว่าไม่มีเรื่องการหมั้นหมายของเขาแพร่ออกไป คนเขาจะหาว่าเอาได้ว่าข้าลำเอียงกับซู่จื่อ ข้ารับคำกล่าวโทษนั้นไว้ไม่ไหวหรอก ดังนั้น…เฮ้อ”
หลินหันเยียนหมดหวังแล้ว
อย่างไรนางก็เป็นคนที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก พระชายาเริ่มอดทนไม่ไหว ปรับน้ำเสียงลง พูดว่า “เยียนเอ๋อร์ เรื่องการหมั้นหมายของเจ้าและอวี้เอ๋อร์ข้าก็อยากให้เกิดขึ้นจริงอยู่ เช่นนี้แล้วกัน ข้าสัญญากับเจ้าว่าจะช่วยยื้อเวลาให้ หากฝั่งพ่อกับแม่ของเจ้าตกลงแล้ว ข้าก็จะยอมแบกหน้าไปขอร้องบ้านนั้น ชดเชยเงินทองให้สักหน่อย ข้าเองก็จะให้พวกเจ้าสมหวัง แต่หากพวกเขาไม่ยินยอม อย่างนั้นก็คงเพราะพวกเจ้าไม่มีวาสนาต่อกัน เจ้าเองก็ตัดใจเสียเถิด”
หลินหันเยียนพยักหน้าไม่หยุด หยดน้ำตาก็ไหลรินลงมา “ขอบพระทัยพระชายาเจ้าค่ะ ขอบพระทัยพระชายา”
พระชายิ้มพร้อมส่ายหน้า “มิต้องขอบคุณหรอก หลายปีที่เซวียนเอ๋อร์ไม่อยู่ โชคดีที่ยังมีเจ้าคอยมาอยู่กับข้า ข้าถึงได้ข้ามผ่านวันเวลาอันแสนเศร้ามาได้ สำหรับข้าแล้ว เจ้าก็เปรียบดั่งลูกสาวอีกคน ข้าเองก็หวังจะให้เจ้าได้มีชีวิตคู่ครองที่ดี แต่เสียดาย ที่เจ้ามิใช่ลูกสาวของข้าจริง เรื่องใหญ่เพียงนี้ข้าเองตัดสินใจแทนเจ้ามิได้”
พูดจบ นางไม่อยากแสดงต่อไปอีกแล้ว จึงได้ส่งแขก “เจ้ารีบกลับไปเถิด ขอเพียงหาวิธีพูดเอาชนะพ่อกับแม่ของเจ้าได้จากนั้นก็รีบส่งคนมาบอกข้า ข้าจะรีบส่งคนไปคุยทันที”
ใบหน้าของหลินหันเยียนเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดี พยักหน้าไม่หยุด
พระชายาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดน้ำตาให้นาง จากนั้นก็สั่งหลิงหลงให้พานางไปส่ง
มองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยความหวังของนาง ครานี้พระชายาถอนหายใจออกมาแรงๆ จริงๆ ขอเพียงสองสามีภรรยาจะเห็นแก่ว่าเยียนเอ๋อร์เป็นลูกสาวสุดที่รักของพวกเขา แล้วจะไม่ทำให้นางลำบากใจ
พวกเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงเรือนของตนแล้ว อาศัยช่วงที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ยังไม่รีบเข้าไปด้านใน แต่อยากเล่นกับเย่ว์เอ๋อร์และเซิ่งเอ๋อร์ที่ลานเสียก่อน
เมิ่งซื่อและภรรยาของเมิ่งต้าจินเกรงว่านางจะเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ให้นางวิ่งเล่นเด็ดขาด เมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา ทำได้เพียงกลับห้องของตนเองไป
เมิ่งซื่อและภรรยาเมิ่งต้าจินเอางานในมือวางไว้บนโต๊ะในห้อง ชี้ไปที่ชุดที่ทำได้เพียงครึ่งหนึ่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนดู “ดูสิ ชุดที่แม่และป้าของพวกเจ้าทำสวยหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมา พิจารณา จากนั้นก็ขมวดคิ้วลง ถามว่า “ท่านแม่ เหตุใดจึงเล็กเพียงนี้เล่าเจ้าคะ”
“เจ้าคิดว่าเด็กคนหนึ่งตัวโตเท่าใดกัน ทั้งยังเป็นฝาแฝดอีกด้วย เด็กจะตัวเล็กกว่าทารกทั่วไปอีก เสื้อผ้าพวกนี้แม่ยังคิดเลยว่าใหญ่ไปหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน และยังหาเรื่องไม่หยุด “เหตุใดจึงเป็นชุดของเด็กผู้หญิงทั้งนั้นเลยเจ้าคะ”
“ทารกไม่มีแบ่งเพศ ลายอะไรก็ใส่ทั้งนั้น” เมิ่งซื่อกล่าว
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ ข้าจำได้ว่าตอนที่เซิ่งเอ๋อร์เกิดมา ท่านเตรียมทั้งชุดชองเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชายไว้พร้อมหมด ท่านป้าเองก็ด้วย ตอนที่เย่ว์เอ๋อร์เกิด ท่านเองก็เตรียมเสื้อผ้าหลากหลายลายเอาไว้ เหตุใดพอมาถึงข้าจึงมีเพียงชุดเด็กผู้หญิงเล่าเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เมิ่งซื่อและภรรยาเมิ่งต้าจินมองตากัน ยิ้มออกมา “ชุดพวกนี้เป็นชุดที่พระชายาท่านเตรียมเอาไว้ ชุดที่แม่ทำยังไม่ได้เอาออกมาเลย” พูดจบ ก็ยิ้มพร้อมเสริมว่า “ชุดที่แม่ทำก็มีแต่ชุดเด็กผู้หญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มสงสารลูกในท้องที่ยังไม่ลืมตาดูโกลของตนเสียแล้ว หากเกิดเป็นลูกชายทั้งคู่ อย่างนั้นจะถูกลำเอียงเพียงใด ในใจก็คิดไป ปากก็พูดว่า “พวกท่านลำเอียงเสียจริง หากข้าคลอดลูกชายออกมา คงจะถูกพวกท่านรังเกียจกันหมด”
“ไม่หรอก” เมิ่งซื่อเก็บรอยยิ้ม เบิกตาโต พูดอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าท้องลูกแฝด อย่างไรก็ต้องมีลูกสาวสักคนสิ”
ภรรยาเมิ่งต้าจินตอบเสริม “ใช่ อย่างน้อยก็ต้องมีลูกสาวสักคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกขัดเข้า เอาสิ พระชายาอยากได้หลานสาวใจจะขาด ยังมีแม่และป้าสะใภ้ของนางอีก นางมองเห็นความลำบากในภายหน้าของลูกชายตนแล้ว เย่ว์เอ๋อร์และเซิ่งเอ๋อร์ก็ตะโกนอยู่ข้างๆ ว่า “เอาน้องสาว เอาน้องสาว”
ให้ได้อย่างนี้สิ ขนาดเด็กสองคนนี้ยังวุ่นวายด้วย ดูทีนางจะคลอดลูกสาวออกมาไม่ได้ มิเช่นนั้นคงจะถูกทุกคนตามใจจนเสียคนเป็นแน่
ทางนี้คึกครื้นมาก และทางจวนราชเลขากลับกำลังวุ่นวายใหญ่โต
หลังจากที่หลินหันเยียนกลับไปจวนของตนแล้วนั้น ก็ไปยังเรือนของพ่อกับแม่ตน ตรงไปคุกเข่าตรงหน้าพวกเขา ขณะที่ทั้งสองกำลังตกใจนั้น กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกไม่อยากออกเรือนกับคุณชายผู้นั้น ลูกอยากแต่งงานกับพี่อวี้”
ราชเลขาฮูหยินผุดลุกขึ้นทันที ถามอย่างสงสัยว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ พูดอีกทีสิ”
หลินหันเยียนเงยหน้ามองนาง พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า “ลูกอยากแต่งงานกับพี่อวี้เจ้าค่ะ ขอร้องท่านพ่อ ท่านแม่ได้โปรดยอมรับด้วย”
ครานี้ได้ยินชัดเจนแล้ว ร่างของฮูหยินสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยความโกรธว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าจะบ้าหรืออย่างไร หวงฝู่อวี้เป็นเพียงซู่จื่อผู้ไม่มีวิชาความรู้ ไม่มีทรัพย์สมบัติใด หากเจ้าลงเอยกับเขา เจ้า เจ้า เจ้าจะไปเป็นขอทานข้างถนนกับเขาหรืออย่างไร ไม่ได้ ข้าไม่อนุญาต เจ้าตัดใจเสียเถิด”
ราชเลขาหลินเองก็โกรธจนทุบโต๊ะ ทำให้แก้วน้ำบนโต๊ะสั่นไม่หยุด หากไม่ใช่เห็นว่าหลินหันเยียนเป็นลูกสาวล่ะก็ เขาอาจจะถีบนางกระเด็นไปแล้วก็ได้ พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ “ล้มเลิกความคิดนี้ไปเถิด ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของราชเลขา จะไปแต่งงานกับซู่จื่ออย่างนั้นหรือ หากข่าวแพร่ออกไป ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ข้าจะมีหน้าไปคุยกับราชเลขาท่านอื่นได้อีกหรือ”
หลินหันเยียนชะงักไป นางคิดมาตลอดว่าพ่อและแม่ของนางรักและโปรดปรานนางมาตลอด นางขออะไรก็จะได้อย่างนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้กลับ…คิดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็ขอร้องด้วยความร้อนใจ “ท่านพ่อ ท่านแม่ แม่แท้ๆ ของพี่อวี้ได้จากไปแล้ว ดูจากนิสัยของพระชายาแล้วจะต้องนับเขาเป็นลูกแท้ๆ อีกคนเป็นแน่ หากลูกได้ครองคู่กับเขา จะไม่มีทางลำบากเป็นแน่”
“เจ้ารู้อะไรกัน” ฮูหยินดุนาง “ต่อให้ซู่อิงมองเขาเป็นลูกแล้วมันอย่างไร อย่างไรก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ จะดีกับเขาได้สักเท่าไรกัน จะให้เขาสืบทอดจวนอ๋องหรือ หรือจะมอบสมบัติของจวนให้เขาดูแล ที่ว่าดีต่อเขา ก็เพียงแค่ให้เงินเดือนเขาเท่านั้น ไม่ให้เขาถึงกับต้องหิวตายเท่านั้นเอง”
หลายปีมานี้ ราชเลขารับเมียน้อยเข้าบ้านหลายคน แต่ว่าฮูหยินเก่งกาจ หาวิธีไม่ให้พวกนางมีลูกกันได้ แต่จวนอื่นไม่เหมือนกัน เมียน้อยทุกบ้านต่างก็ต้องมีลูกสาวลูกชายกัน หากฮูหยินใหญ่ของบ้านเป็นคนจิตใจดี เด็กๆ พวกนั้นก็ไม่ต้องลำบากมาก มีเงินเดือนให้ทุกเดือน มีเสื้อผ้าให้ใส่ตามฤดู แต่หากได้ฮูหยินที่ไม่ดีเช่นนั้น และแม่ของตนก็ไม่ได้เป็นคนโปรด ต่อให้เรื่องความเป็นอยู่พื้นฐานก็ยังยากลำบาก
เรื่องเหล่านี้หลินหันเยียนพอได้ยินมาบ้าง
หลายปีก่อน ตำหนักอ๋องมีสนมเฮ่อเป็นใหญ่ เสื้อผ้าการกินอยู่ของหวงฝู่อวี้ดีไม่น้อย บางครั้งยังเกินงามสำหรับคนเป็นซู่จื่อ แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร ก็เพราะไม่มีข่าวของหวงฝู่อี้เซวียนมานานหลายปี หากไม่สามารถหาตัวเขาพบ หวงฝู่อวี้ก็จะเป็นซื่อจื่อแทน แต่บัดนี้ไม่เหมือนเดิม หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาแล้ว พระชายารองเฮ่อก็สิ้นใจแล้ว จวนสมุหนายกก็ถูกทำลายไปจนสิ้น จะพูดว่าบัดนี้หวงฝู่อวี้เป็นลูกไก่ในกำมือของใครสักคนก็ได้ วันใดที่หวงฝู่อี้เซวียนและพระชายาไม่พอใจขึ้นมา ก็สามารถไล่เขาออกจากจวน ให้เขาไปตายเอาดาบหน้าได้
ฮูหยินพูดจบ หลินหันเยียนก็คิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ทันที แต่ว่าไม่ได้กระทบกับความคิดที่นางอยากจะแต่งงานกับหวงฝู่อวี้เลยแม้แต่น้อย นางพูดอย่างไม่ลังเลว่า “ท่านแม่ ต่อให้ต้องไปเป็นขอทานกับเขา ลูกก็ยินดี ขอท่านแม่เห็นใจด้วย”
ด้วยบันดาลโทสะ ฮูหยินง้างมือตบหน้านาง “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ หรือว่าโดนของกันแน่ หวงฝู่อวี้อะไรนั่นมีดีอะไรกัน เจ้าถึงกับยอมไปเป็นขอทานเพื่อเขา”
ตั้งแต่เล็กจนโต หลินหันเยียนถูกฮูหยินโอ๋มาตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตบตี เพราะแม้แต่คำพูดแรงๆ ก็ไม่เคยพูดกับนาง ฝ่ามือนี้ ทำเอาฮูหยินเองก็ตะลึงไปเช่นกัน นางมองฝ่ามือตนสีแดงเถือกของเองอย่างไม่อยากเชื่อ ครู่ใหญ่ก็ไม่ได้สติกลับมา
ด้วยความโกรธของฮูหยิน ทำให้ฝ่ามือนี้ออกแรงมากกว่าปกติ ในหน้าของหลินหันเยียนมีรอยมือสีแดงขึ้นมาทันที
หลินหันเยียนเองอึ้งไป ไม่มีแม้ท่าทีจะกุมหน้าตัวเองเอาไว้ เอาแต่จ้องมองแม่ของตน
ราชเลขาหลินเพียงแต่ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
ฮูหยินได้สติกลับมา รีบยื่นมือออกไป หวังจะลูบใบหน้าของลูกสาวสุดที่รัก กล่าวด้วยความร้อนรนว่า “เยียนเอ๋อร์ แม่ ไม่ได้…”
หลินหันเยียนหันไปอีกทาง หลบการถูกสัมผัสจากฮูหยิน
ฮูหยินอึ้งไป
ราชเลขาหรี่ตาลง
น้ำเสียงของหลินหันเยียนสงบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดๆ “ท่านแม่ ท่านหายโกรธแล้วยัง”
“เยียนเอ๋อร์ แม่….” ฮูหยินรีบอธิบาย
หลินหันเยียนขัดเขา “หากท่านแม่คิดว่ายังไม่พอใจ จะตบตีข้าอีกกี่ที ข้าก็จะไม่หลบหลีก ขอเพียงท่านยอมรับข้าและพี่อวี้”
ความรู้สึกผิดในใจของฮูหยินหายไป พูดเสียงแหลมว่า “เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก เจ้ารีบตัดใจเสียเถิด รอออกเรือนไปอย่างว่าง่าย”
สายตาของหลินหันเยียนเผยความรู้สึกเกลียดชังออกมา “ท่านแม่กำลังบังคับลูกอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ราชเลขาโกรธจนทุบโต๊ะอีกครั้ง ด่าทอด้วยอารมณ์โกรธว่า “พูดกับแม่เช่นนี้ได้เช่นไร พวกเราสอนเจ้าเช่นนี้หรือ”
ราชเลขาหลินอยู่ฝ่ายทหาร อารมณ์ดุร้าย ฮูหยินเกรงว่าเขาจะลงมือกับหลินหันเยียนอย่างที่ตนทำ จึงได้รีบปรับน้ำเสียงลง ปลอบใจว่า “เยียนเอ๋อร์ การหมั้นหมายที่เราตกลงไว้ให้เจ้านั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว ท่านชายผู้นั้นไม่เพียงมีรูปร่างดูดี การศึกษาก็ไม่เลว รอเพียงผ่านการสอบจอหงวนครานี้ หากเขาสอบติด ถึงตอนนั้นพ่อของเจ้าจะหาตำแหน่งในเมืองหลวงให้เขา เจ้าแต่งไปเป็นภรรยาเอก เป็นฮูหยินใหญ่ เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของบ้านต่างอยู่ภายใต้การตัดสินใจของเจ้า ไม่ต้องคอยดูและพ่อแม่สามี เรื่องเช่นนี้มิใช่หญิงที่ใดจะฝันได้”
“ท่านแม่ยังมีอีกเรื่องไม่ได้พูดใช่หรือไม่ นั่นก็คือ ภายหน้า ชายผู้นั้นก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดของท่านพ่อด้วย” หลินหันเยียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตอนที่ 288 อย่ามีข้อผิดพลาด
ปัง! โต๊ะข้างกายของราชเลขาหลินพังลงจริงๆ แตกกระจายอยู่เต็มพื้น
คนในห้องต่างตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน
“ลูกอกตัญญู เจ้าควรพูดเช่นนี้หรือ” ราชเลขาหลินกล่าวด้วยความโกรธ
ฮูหยินร้องอย่างตกใจ “เยียนเอ๋อร์ รีบขอโทษท่านพ่อเร็วเข้า”
หลินหันเยียนยังคงปากแข็ง
ราชเลขาหลินโกรธเสียจนมือไม้สั่นไปหมด สั่งด้วยเสียงโกรธว่า “เอาลูกอกตัญญูคนนี้ไปไว้ที่เรือนของนาง ไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามให้นางออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว”
“นายท่าน!” ฮูหยินอยากจจะห้าม
ราชเลขาหลินโกรธยิ่งกว่าเดิม “มีแม่ตามใจจนลูกเสียคน นางเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเจ้าตามใจจนเคยตัว หากไม่ให้นางสำนึกผิด น่ากลัวว่านางจะกล้าทำเพื่อผู้ชายจนไม่เห็นหัวพวกเราอีกเลย” พูดจบ ก็ตวาดหงเอ๋อร์และสาวใช้ข้างกายว่า “ยืนซื่ออยู่ทำไม อยากถูกโบยหรืออย่างไร”
ทั้งสองกลัวจนตัวสั่น รีบเดินไปหาหลินหันเยียน พยุงนางขึ้นมา
หลินหันเยียนไม่ขัดขืน นางยืนขึ้น พูดคำขาดไปว่า “ท่านพ่อ ต่อให้ลูกตายก็จะต้องได้แต่งงานกับพี่อวี้”
ราชเลขาหลินโกรธเสียจนแทบจะลมจับ
ฮูหยินรีบโบกมือให้หงเอ๋อร์ “รีบพาคุณหนูไปสิ”
หงเอ๋อร์และสาวใช้อีกคนออกแรง ดึงหลินหันเยียนออกไป
ราชเลขาหลินโกรธเสียจนหายใจแทบไม่ออก
“นายท่าน เยียนเอ๋อร์ยังเด็กนัก ไม่เข้าใจโลก ท่านจะโกรธนางถึงเพียงนี้ไปใยกัน”
ราชเลขากดความโกรธไว้ไม่ไหว ตวาดว่า “เพื่อการหมั้นหมายของนาง ข้าต้องถูกผู้อื่นเยาะเย้ยเอาเท่าใด บัดนี้ว่าจะหาคนที่ทำให้พอใจได้ นางกลับยอมแพ้ จะไปแต่งกับซู่จื่อ”
ฮูหยินปลอบใจว่า “แต่ไหนแต่ไร เรื่องการหาคู่ครองคือคำสั่งของพ่อแม่ คำของแม่สื่อแม่ชัก หากไม่มีการอนุญาตจากพวกเรา ต่อให้นางมีความคิดเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ใด อีกอย่าง นางโตมากับเจ้าคนไร้ประโยชน์นั่น มีความรักต่อกันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ต่อไปนี้พวกเราดูแลให้เคร่งครัดเสียหน่อย ไม่ให้พวกเขาต้องพบกันอีกก็พอแล้ว”
ราชเลขาหลินสงบอารมณ์ลงได้บ้าง “ในเมื่อนางมีความคิดเช่นนี้แล้ว เกรงว่าพวกเราจะห้ามไม่อยู่”
“อย่างนั้นจะไปยากอะไรกัน จากวันนี้เป็นต้นไป เราส่งคนไปเฝ้านางไว้ หากนางไม่ยอม ก็อย่าได้ออกจากจวนไปไหนอีกเลย” ฮูหยินกล่าว
ราชเลขาถอนหายใจยาวเหยียด พยักหน้า “ก็ต้องเป็นเช่นนั้น ให้คนไปเฝ้าให้ดี อีกไม่กี่วันการสอบจอหงวนก็จะเสร็จสิ้นแล้ว อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้”
ฮูหยินตกลง สั่งให้คนเก็บกวาดเศษไม้ที่อยู่บนพื้นออกไป
ราชเลขาหลินถอนหายใจยาวเหยียด คิดถึงต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด กัดฟัดพูดว่า “ใช่ ต่อจากนี้นางจะต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อจวนราชเลขาของเรา”
ณ จวนอ๋อง
หลังจากหลินหันเยียนจากไปแล้ว ในใจของพระชายาก็ทรมานยิ่งนัก นางนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปยังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว ได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากด้านใน ความทุกข์ในใจได้สลายหายไป อารมณ์ดีขึ้นมา เดินเข้าไปด้านใน
แผนการณ์ของหญิงทั้งสามคน อย่าคิดว่าเป็นหญิงมีอายุรวมไปถึงเมิ่งเชี่ยนโยวที่ทำตัวเป็นเด็กตั้งแต่ท้อง พลังของพวกนางเยอะเหลือเกิน ต่อให้หวงฝู่อี้เซวียนอารมณ์ดีเพียงใดก็รับไม่ไหว เขายืนขึ้น ทำความเคารพจากนั้นก็ ‘หนี’ ออกไป
จากนั้นก็จงใจสั่งให้คนไปส่งข่าวให้หวงฝู่อวี้ที่อยู่ด้านนนอก กว่าหวงฝู่อวี้จะตามมานั้น ก็ไร้ซึ่งเงาของหลินหันเยียนเสียแล้ว
เขาร้อนใจ รีบมาที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากด้านใน จึงได้ถอยฝีเท้าออกมา
แต่ก็ยังอดไม่ไหว ยืนรายงานอยู่ด้านหน้าประตู “เสด็จแม่ อวี้เอ๋อร์มีเรื่องมาหาท่าน”
ในห้องเงียบลง น้ำเสียงชัดเจนของพระชายาดังออกมา “ตอนนี้แม่ไม่ว่าง มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันตอนค่ำเถิด”
หวงฝู่อวี้อ้าปาก แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลังจากกลับมายังเรือนของตน รอคอยอย่างร้อนใจ สั่งให้คนไปคอยดูพระชายาเอาไว้ ถ้าหากนางกลับเรือนของตนแล้วให้รีบมารายงานแก่เขาทันที
เวลาผ่านไปทีละน้อย ในที่สุดก็ได้ข่าวว่าพระชายากลับเรือนเสียที หวงฝู่อวี้เดินกึ่งวิ่งไปยังเรือนของนาง เพื่อถามเรื่องของหลินหันเยียน
พระชายาเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังโดยไม่ปิดบัง พูดว่า “อวี้เอ๋อร์ แม่รู้ดีว่าเจ้าไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นกับเยียนเอ๋อร์แล้ว จึงได้ไม่ตอบตกลงนาง แต่ก็ไม่ได้หักหน้านาง สัญญาว่าให้เวลานางสองสามวัน เจ้าวางใจเถิด ดูจากนิสัยใจคอของสองสามีภรรยาหลินนั่น ไม่มีทางตกปากรับคำนางเป็นอันขาด รอเวลาผ่านไป แม่จะไปทำเรื่องหมั้นหมายให้เจ้าทันที ถึงตอนนั้นต่อให้เยียนเอ๋อร์เสียใจก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเจ้าหมั้นหมายไปแล้ว นางจะทำอย่างไรได้”
หวงฝู่อวี้อ้าปาก แล้วปิดลง และเปิดปากอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ในที่สุดก็พูดออกมาว่า “เสด็จแม่ อย่างไรเยียนเอ๋อร์ก็เป็นเด็กที่ท่านเห็นนางโตขึ้นมา ท่านไม่มีความรู้สึกกับนางเลยหรือ”
พระชายาเบิกตาโต ถามด้วยความสงสัยว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หวงฝู่อวี้รู้ตัวว่าตนใจร้อนเกินไปแล้ว จึงรีบตอบว่า “เสด็จแม่ ความหมายของลูกคือ…”
คืออะไร เขาเองก็พูดไม่ออก เพราะเขาเองเป็นคนพูดว่าหลินหันเยียนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตนเอง แล้วเขาจะพูดอะไรได้
พระชายารอคำตอบของเขา เมื่อเห็นเขาไม่พูด จึงได้ถามย้ำว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หวงฝู่อวี้กล่าวขอโทษ “ไม่มีอะไรขอรับ เสด็จแม่ อวี้เอ๋อร์ใจร้อนไปเอง ท่านอย่าถือสาลูกเลย”
มองเขาด้วยความสงสัยเล็กน้อย พระชายาไม่ได้ถือสาอะไร “ข้าได้นำเวลาตกฟากของเจ้าและแม่นางผู้นั้นไปให้ซินแสดูแล้ว อีกไม่กี่วันคงรู้ข่าว สองสามวันนี้เจ้าอย่าไปไหนไกล รอฟังข่าวจากข้า”
หวงฝู่อวี้ตอบรับด้วยความเคารพ หันหลังกลับเรือนของตนไป นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องของตน ถึงขนาดบ่าวรับใช้เชิญไปกินข้าว เขาก็ยังปฏิเสธว่าตนไม่หิว
ทุกคนเข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ได้สั่งคนไปเรียกเขามาอีก
ช่วงวันนั้น หวงฝู่อวี้ออกไปตอนดึกดื่นและกลับเข้ามายามเช้าเสมอ หลินหันเยียนก็ไม่ได้มาที่จวนอีกเลย
หวงฝู่อวี้ทนไม่ไหว จึงได้สั่งคนแอบไปสืบมา จึงได้ทราบว่าหลินหันเยียนถูกกักบริเวณ ในใจจึงรู้สึกแย่ยิ่งนัก ดังนั้น เมื่อพระชายามาพูดคุยเรื่องกำหนดวันหมั้นหมายให้เขานั้น น้ำเสียงของเขามิได้มั่นใจเช่นเคย ปฏิเสธไปว่า “เสด็จแม่ ลูกเพิ่งจะรับทอดกิจการมา งานยุ่งเหลือเกิน วันหมั้นหมายเราเลื่อนไปก่อนเถิดนะขอรับ”
พระชายาขมวดคิ้วลง ถามว่า “อวี้เอ๋อร์ วันหมั้นหมายนี้เราได้ตกลงกันตั้งนานแล้ว เจ้ามาเปลี่ยนใจตอนนี้ แล้วแม่จะมีหน้าไปพบอีกฝ่ายได้อย่างไร”
“เป็นความผิดของลูกเองขอรับ ทำให้เสด็จแม่ต้องกังวลใจ แต่ว่าลูกไม่มีเวลาจริงๆ รอให้ช่วงนี้สะสางงานเรียบร้อยแล้ว ลูกจะเชื่อฟังเสด็จแม่อย่างดี”
พระชายาถอนหายใจยาวเหยียด พูดว่า “อวี้เอ๋อร์ มิใช่ว่าแม่บังคับเจ้า แม่เองรู้สึกผิดมากแล้ว หากว่ายังเลื่อนไปอีก…”
หวงฝู่อวี้รีบตัดบทนาง “เสด็จแม่ ลูกไม่มีเวลาจริงๆ เอาอย่างนี้เถิด ลูกสัญญา ลูกขอเวลาหนึ่งเดือนลูกจะทำงานให้เสร็จ ถึงเวลานั้น ท่านจะวางแผนอย่างไรก็ได้”
พระชายาดีใจ แต่ว่ากลับเผยสีหน้าลำบากใจออกมา ครู่ใหญ่จึงกล่าวว่า “ก็ได้ แม่ให้เวลาไม่เกินหนึ่งเดือน ถึงตอนนั้นแม่จะทำทุกอย่างให้ลูกหมั้นหมายให้ได้ ถึงจะต้องมัดลูกมาก็ตาม”
หวงฝู่อวี้ถอนหายใจ “ขอบพระคุณเสด็จแม่ ลูกเข้าใจแล้วขอรับ”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วันก็ถึงวันสอบจอหงวน ก่อนหน้าหนึ่งวัน ตระกูลเมิ่งต่างกรูกันมา ส่งเมิ่งเหรินเข้าสนามสอบ เห็นเขาเดินเข้าไปแล้ว จึงได้หันหลังกลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนตามมา ทั้งสองนั่งอยู่ในรถม้า เดินทางข้ามผ่านเมืองอย่างช้าๆ
นานแล้วที่ไม่ได้ออกมาด้านนอก เมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ได้ที่จะเปิดม่าน มองออกไปด้านนอก มองผู้คนเดินไปมา ฟังเสียงคนค้าขายตะโกนเรียกลูกค้า ความคิดที่ผุดขึ้นมาหลายวันก่อน บัดนี้ได้ผุดขึ้นมาในหัวนางอีกครั้ง จึงได้หันไปบอกหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความตื่นเต้นว่า “อี้เซวียน ข้าคิดออกแล้วว่าวันนั้นข้าจะพูดอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวกระซิบข้างหูเขา บอกความคิดของตนให้เขาฟัง ถามอย่างรอคอยว่า “เจ้าคิดว่าความคิดนี้เป็นอย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนคิดเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “ดีมาก แต่ว่าอย่างนี้เจ้าจะเหนื่อยเกินไปหรือไม่”
สายตาเข้าเล่ห์ของเมิ่งเชี่ยนโยวฉายเข้ามาเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า “เราไม่ได้ไปเยี่ยมพี่ใหญ่นานแล้ว ควรไปหาเขาบ้างใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนข้าใจความหมายของนางทันที ยิ้มออกมา สั่งโจวอันว่า “หยุดรถ”
โจวอันหยุดรถ หวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้า ไปบอกเมิ่งซื่อว่าตนและเมิ่งเชี่ยนโยวมีธุระต้องไปทำ
เมิ่งซื่อกำชับซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่วางใจ ให้เขาดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวให้ดี
หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ จากนั้นก็กลับขึ้นมาบนรถม้า สั่งให้โจวอันไปส่งที่ตงกง
แผลที่ขาของหวงฝู่ซวิ่นดีขึ้นนานแล้ว บัดนี้กำลังจัดการเรื่องในวังที่ฮ่องเต้สั่งให้เขาทำอยู่ที่มุมร่มในบริเวณเรือนของตน เมื่อได้ยินว่าทั้งสองมาหา เขาไม่ชายตาขึ้นมามองก็พูดว่า “ข้าไม่พบ เจ้าพวกคนใจดำ จะต้องมาคิดบัญชีกับข้าเสียทุกที”
พูดจบ น้ำเสียงขบขันของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังออกมา “อี้เซวียน มีคนกำลังให้ร้ายพวกเราอยู่”
ถึงแม้นางจะพูดด้วยรอยยิ้ม และหวงฝู่ซวิ่นกลับรู้สึกถึงความหนาวเย็น ตัวสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เงยหน้าขึ้น เห็นทั้งสองเดินใกล้เข้ามาเรื่อย
น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็เต็มไปด้วยความล้อเล่น แต่ว่าการล้อเล่นนี้กลับทำให้หวงฝู่ซวิ่นกลับรู้สึกสยดสยองยิ่งกว่าเดิม “เจ้าจะให้ข้าจัดการกับเขาอย่างไรหรือ บอกข้ามา ข้าจะทำให้ได้เลย”
หวงฝู่ซวิ่นโยนของในมือใส่พวกเขา “พวกเจ้าทั้งสอง พอได้แล้ว ว่างนักหรือจึงได้มาโอ้อวดความรักถึงวังของข้า หากมิใช่เห็นแก่ว่าน้องสะไภ้กำลังมีครรภ์อยู่ ข้าคงจะสั่งให้คนมาโบยพวกเจ้าเสียแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจออกมา “อี้เซวียน ดูทีท่านพี่คงจะแค้นที่เจ้าทำร้ายเขาครั้งก่อน เห็นทีเรื่องเช่นนี้พวกเราคงจะทำไมได้อีกแล้ว”
น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนอ่อนโยน และแฝงไปด้วยความกังวล “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องวันนี้เราก็อย่าพูดไปเลย ไปกันเถิด อย่าให้เขาทำให้เจ้าโกรธขึ้นมาอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างว่าง่าย “ได้ พวกเรากลับกันเถิด”
พูดจบ ขณะที่ทั้งสองกำลังหันหลังเดินกลับนั้น
หวงฝู่ซวิ่นหัวเสียแทบแย่ ทั้งสองมาอย่างไม่บอกไม่กล่าว เพื่อมาพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนทำให้เขามึนงงไปหมด จากนั้นก็จากไปอย่างไม่ลังเล แม้จะรู้ดีว่าทั้งสองจงใจเช่นนั้น แต่หวงฝู่ซวิ่นก็อดไม่ได้ พูดเสียงดังว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ ตกลงพวกเจ้าจะทำอะไรกัน”
ทั้งสองทำหูทวนลม ย่างกรายออกไปอย่างช้าๆ
หวงฝู่ซวิ่นโกรธมา ตะโกนว่า “หยุดพวกเขาไว้”
หัวหน้าขันทีและขันทีผู้น้อยรีบมาขวางพวกเขาเอาไว้ ขันทีกล่าวว่า “ซื่อจื่อ ได้โปรดหยุดด้วย”
ทั้งสองหยุดฝีเท้าลง
หวงฝู่อี้เซวียนตอบอย่างใจเย็นว่า “พี่ใหญ่ เจ้าอยากจะทำอะไรกันแน่”
“อย่ามามารยากับข้า” หวงฝู่ซวิ่นยืนขึ้น พูดเสียงดังว่า “รีบไสหัวมานี่ บอกข้าว่าพวกเจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด”
หวงฝู่อี้เซวียนหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว มองนางอย่างเชื่อฟัง “เจ้าว่าทำอย่างไรดี ข้าจะเชื่อฟังเจ้า”
“พี่ใหญ่เป็นถึงไท่จื่อ คำสั่งของเขาพวกเราจะไม่ฟังได้อย่างไรกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าบอกเขาไปเถิด อย่างไรเสียเราอุตส่าห์เดินทางมาถึงนี่ ข้าเองก็เหนื่อย ถือว่าได้พักเสียหน่อย”
หวงฝู่อี้เซวียนรีบพยุงนางไว้ “เหนื่อยแล้วหรือ เหตุใดเจ้าไม่รีบบอก มานี่ รีบนั่งลงก่อน”
พูดจบ ก็มองขันทีเล็กน้อย
ขันทีแข้งขาอ่อนแรง แทบจะทรุดลงกับพื้น ตกใจเสียจนรีบวิ่งไปนำเก้าอี้มา วางไว้ใต้ร่มเงา ใช้ชายเสื้อเช็ดเก้าอี้ให้สะอาด จากนั้นก็พูดอย่างประจบว่า “พระชายาซื่อจื่อ เชิญนั่งเถิด”
หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนแทบจะเตะขันทีให้กระเด็น เจ้าคนใจเสาะ เพียงสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนก็ทำเขากลัวได้ถึงเพียงนี้
หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวให้นั่งลง จากนั้นขันทีก็นำเก้าอี้มาอีกตัว วางไว้คู่กัน
ทั้งสองนั่งลง เห็นหวงฝู่ซวิ่นยืนอยู่ หวงฝู่อี้เซวียนจึงทำตัวเป็นเจ้าบ้านเสียเอง พูดว่า “พี่ใหญ่ เชิญนั่งเถิด
ตอนที่ 289 เรื่องแปลก
หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้นั่งลง แต่กลับกัดฟันกรอด พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “หากเรื่องที่พวกเจ้าจะพูดวันนี้ไม่สำคัญ ข้าจะสั่งให้คนเอาพวกเจ้าไปทิ้งไว้นอกวัง”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา มองหัวหน้าขันทีเล็กน้อย
หัวหน้าขันทีตัวสั่นอีกครั้ง รีบสั่งคนให้ไปเอาผลไม้และของหวานมาถวาย ทั้งหมดนี้เขาได้มองข้ามการมีตัวตนอยู่ของหวงฝู่ซวิ่นไป ราวกับว่าหวงฝู่อี้เซวียนเป็นนายใหญ่ของตงกงอย่างไรอย่างนั้น
หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ นำผลไม้และของหวานวางไว้ตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อเห็นนางกินอย่างพึงพอใจ จึงได้หันไปคุยกับหวงฝู่ซวิ่นว่า “พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
ความโกรธของหวงฝู่ซวิ่นถึงขีดสุดแล้ว อีกไม่นานคงจะระเบิดออกมา เมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีว่า “รีบพูดมา!”
มองคนที่ถวายการรับใช้เล็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนเอนไปพิงเก้าอี้ด้วยความสบายใจ พูดว่า “พวกเรามาวันนี้ เพราะว่ามีเรื่องดีๆ อยากให้พี่ใหญ่ไปทำ แน่นอนว่า พวกเราไปทำเองก็ได้ แต่ว่า โยวเอ๋อร์เห็นว่าท่านเป็นพี่ใหญ่ ปกติแล้วดูแลเราอย่างดี จึงได้มอบโอกาสสร้างชื่อเสียงให้ท่านไป”
หวงฝู่ซวิ่นไม่เชื่ออย่างแน่นอน จึงถามด้วยเสียงต่ำว่า “อย่ามาพูดมาก รีบบอกมาว่าเรื่องอะไร”
“เรื่องเป็นเช่นนี้ ช่วงนี้โยวเอ๋อร์มีความคิดแปลกๆ อยากจะจัดงานหาคู่ให้กับทหารพิการทางเป่ยเฉิง ดังนั้น…”
“พวกเจ้าจึงนึกถึงข้า?” หวงฝู่ซวิ่นพูดรอดไรฟัน
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “นี่เป็นโอกาสดีที่ท่านจะได้สร้างชื่อเสียง พวกข้าคิดไปคิดมา คิดว่าอย่างไรก็ให้พี่ใหญ่ไปทำเหมาะสมกว่า”
ทำท่าทางใหญ่โต ก็เพื่อเรื่องเท่านี้เองหรือ ให้ไท่จื่ออย่างเขาไปเป็นแม่สื่อแม่ชัก หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะไม่ให้คนเขาเยาะเย้ยเอาเหรือ หวงฝู่ซวิ่นทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ชี้นิ้วไปที่ประตูวัง “พวกเจ้าไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ไปยิ่งไกลยิ่งดี ต่อไปอย่าให้ข้าเห็นหน้าพวกเจ้าอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังกินผลไม้อยู่สำลักออกมา ไอสองสามที
หวงฝู่อี้เซวียนรีบทุบหลังให้นางเบาๆ พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เหตุใดจึงไม่ระวังเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา เงยหน้ามองหวงฝู่ซวิ่น ด้วยสีหน้าใสซื่อ “ท่านแน่ใจหรือว่าจะให้เราไสหัวไป”
‘แน่ใจ’ คำพูดติดอยู่ที่ปาก แต่หวงฝู่ซวิ่นไม่กล้าพูดออกไป รีบพิจารณาเรื่องที่สองคนนั้นพูดอีกที
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่ได้สนใจคำตอบของเขา หันไปหาหวงฝู่อี้เซวียน “อี้เซวียน เห็นทีท่านพี่คงจะไม่เห็นค่าของโอกาสที่จะสร้างชื่อครั้งนี้ พวกเราไปกันเถิด”
“เดี๋ยวก่อน!” ไม่รอให้หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ หวงฝู่ซวิ่นรีบเปิดปากห้ามเขา “พวกเจ้าอธิบายทีว่าเรื่องนี้มีผลดีกับข้าอย่างไร”
“มีผลดีแน่นอนเจ้าค่ะ ทหารพวกนั้นพิการก็เพื่อบ้านเมือง พี่ใหญ่ออกหน้าไปจัดหาคู่ครองให้พวกเขา เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่สถาปนารัฐอู่มา ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ประชาราษฎร์ต่างจะก็จะชื่นชมไท่จื่ออย่างท่านเป็นแน่”
ที่พูดก็ฟังดูมีเหตุผลดี หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า “พูดต่อ”
“ข้อดีประการที่สองคือ สามารถบอกคนในรัฐอู่ได้ว่า ผู้ใดที่เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง ราชวงศ์ก็มิได้หลงลืมเขา เช่นนี้ การเกณฑ์ทหารในภายหน้าก็จะง่ายขึ้น”
“ประการที่สาม ท่านทราบดีว่าน้าของพวกเรา ท่านแม่ทัพฉู่รักพลทหารราวกับลูก หากท่านทำเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องซาบซึ้งในตัวท่านแน่ ถึงตอนนั้นก็จะยิ่งเต็มใจทำเพื่อท่าน แล้วท่านจะลังเลอยู่ใย”
หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า สีหน้ามีความสุขไม่น้อย “น้องสะใภ้พูดไม่ผิดเลย มีข้อดีมากโขอยู่ ดูทีข้าจำต้องทำแล้ว?”
“ก็ไม่แน่เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “หากท่านพี่ไม่ยินดี พวกเราทำเองก็ได้ ข้าพูดตรงๆ อันที่จริง เรื่องนี้ข้าคิดจะทำด้วยตัวเอง เพราะอย่างไรข้าก็เป็นคนของโรงงาน พวกเขาก็เคยช่วยเหลือข้ามามากมาย แต่อี้เซวียนเกรงว่าข้าจะเหนื่อยเกินไป จึงได้นำโอกาสดีนี้มาให้พี่ใหญ่ หากท่านไม่เห็นด้วยก็มิเป็นไร อย่างมากข้าก็เพียงยอมเหนื่อยเสียหน่อยเท่านั้น”
“ไม่ต้องๆๆ” หวงฝู่ซวิ่นห้ามนาง “เสด็จอาและเสด็จอาสะใภ้รอผู้สืบสกุลให้จวนอ๋องมานานแล้ว หากเจ้าต้องเหนื่อยเพราะเรื่องพวกนี้แล้วเกิดอะไรขึ้น พวกท่านคงได้มาทำลายตำหนักของข้าเป็นแน่ เรื่องนี้ให้ข้าทำเองเถิด พวกเจ้าคิดแผนอยู่เบื้องหลังก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย “ข้ารู้ดีว่าพี่ใหญ่จะต้องยอม ร่างกายข้าไม่ค่อยสะดวก ไม่ควรโหมงานหนัก วางแผนต่างๆ ก็คงทำมิได้ แต่หากต้องการคนเมื่อใด ก็ขอให้พี่ใหญ่รีบบอกพวกเราเถิด พวกเราจะมาทันที”
หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกอีกครั้งว่าตนตกหลุมพรางของทั้งสองอีกแล้ว ทั้งที่เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวเองที่ออกความคิดจะให้หาคู่ให้ทหารผ่านศึก แต่กลับผลักความรับผิดชอบให้เขา ส่วนนางก็สบายไป แต่ว่าเรื่องนี้เป็นผลดีกับเขาหลายประการ เขาจึงไม่ได้ว่าอะไร
เมื่อนำเรื่องนี้ทิ้งให้หวงฝู่ซวิ่นดูแลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนก็กลับไปจวนอ๋องอย่างสบายใจ
หลังจากนั้นสามวัน เมิ่งเหรินออกมาจากสนามสอบด้วยสีหน้าหมองคล้ำ แต่กลับดูสดชื่นมาก เมื่อทุกคนเห็นดังนั้น ใจที่กังวลอยู่ก็วางใจลง ไม่ได้ถามอะไรมาก กลับหนานเฉิงไปด้วยความยินดี
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็มาด้วย เมื่อเห็นสีหน้าเขาก็ใจชื้นขึ้นมา ไม่ได้กลับไปยังหนานเฉิงด้วย แต่ไปดูที่โรงงานตามคำขอของเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ขณะที่กำลังหันหลังกลับมานั้น ก็เห็นฮั่วเซียงหลิงยืนอยู่หน้าประตูสนามสอบ มองมาด้านในสนามสอบ ครู่ใหญ่ จึงได้เห็นว่าสามีของนางก็เดินออกมาจากสนามสอบเช่นกัน
ฮั่วเซียงหลิงเดินออกไปต้อนรับด้วยความยินดี รับผ้าห่มและของใช้สำหรับการสอบจากมือเขามากับมือ สีหน้าของฝ่ายชายเหนื่อยล้า แต่ก็ยังยิ้มให้ฮั่วเซียงหลิง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นภาพทั้งหมด หรี่ตาลงไม่ได้พูดอะไร หันหลังเดินขึ้นรถม้าไป
โจวอันควบรถม้าไปยังเป่ยเฉิง แต่เดินทางมาได้ไม่ไกล ก็รายงานด้วยเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ ข้าเห็นคุณชายหลิวขอรับ” พูดจบ เกรงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดจึงได้เสริมอีกคำว่า “เป็นคุณชายที่ท่านให้พวกเราไปปล้นครั้งก่อนขอรับ”
เป็นลูกเขยที่ราชเลขาหลินเตรียมหาเอาไว้ เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านออก แต่แห็นเพียงแผ่นหลังของเขาเดินเข้าร้านอาหารไป ขมวดคิ้ว ถามว่า “เขาเข้าร่วมการสอบจอหงวนด้วยมิใช่หรือ เหตุใดจึงได้สบายใจเช่นนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งการทันที “รีบไปดู ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ด้านนอกมีเสียงตอบรับ ตามไปยังร้านอาหาร
รถม้าไม่ได้หยุดวิ่ง ตรงไปยังโรงงานทันที
คนในโรงงานทักทายนางด้วยความยินดี เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มทักทายทุกคน
เมื่อเมิ่งฉีได้ยินดังนั้น จึงได้รีบร้อนตามมา ต่อว่านาง “เหตุใดไม่อยู่ในจวนดีๆ ออกมาที่นี่ทำไมกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่รอง ข้าขลุกอยู่ในจวนทั้งวัน อึดอัดจะตายไป”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เคร่งขรึมขึ้นมา
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สังเกตเห็น แต่เมิ่งฉีเห็นเข้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจรู้สึกสบายใจกว่าที่เคยถามว่า “จะไปเดินดูโรงงาน หรือว่าจะไปพักเสียหน่อย”
“ไม่มาเสียนาน ข้าอยากไปเดินดูที่โรงงานเสียหน่อย”
เมิ่งฉีพยักหน้า พูดว่า “อี้เซวียน ข้าพาน้องเล็กไปเดินดูเสียหน่อย เจ้าไปพักเถิด”
พูดจบ ไม่รอให้เขาตอบ ก็พาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปทางโรงงาน
ตนถูกรังเกียจหรือ หวงฝู่อี้เซวียนลูบจมูกตนเอง เดินไปพักอย่างเสียไม่ได้
เมิ่งฉีพาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินชมรอบๆ โรงงานด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็ให้นางรีบกลับไปพักเร็วๆ
อาจจะเป็นเพราะตั้งท้องเด็กถึงสองคน เดินวนรอบหนึ่ง ก็ทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเหนื่อยมาก จึงไม่ได้ปฏิเสธ เดินตามเขามายังห้องพัก
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องอย่างเบื่อหน่าย เมื่อได้ยินเสียงของทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้ยืนขึ้น เดินไปต้อนรับที่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวที่ท่าทางเหนื่อยล้า จึงได้รีบไปพยุงนางมานั่งบนเก้าอี้ รินน้ำให้นาง ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เล็กน้อย”
“พักเสียหน่อยเถิด อีกครู่ค่อยกลับบ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ดื้อรั้น พยักหน้าตกลง หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเล็กน้อย
ด้านนอกมีเสียงรายงานของโจวอันลอยเข้ามา “ซื่อจื่อ คนที่สั่งให้ไปสืบเรื่องมาแล้วขอรับ”
“ให้เข้ามาได้!”
องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามา รายงานด้วยความอ่อนน้อมว่า “ซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ ข้าน้อยพบเรื่องแปลกๆ ขอรับ”
“พูดมา”
“เหมือนกับว่าคุณชายหลิวผู้นี้มิใช่คุณชายหลิวขอรับ”
เขาพูดวกไปวนมา เมิ่งฉีไม่เข้าใจ แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับหรี่ตาลง พูดว่า “เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้”
“หลายวันก่อน ตอนทำการปล้นคุณชายผู้นั้น ข้าน้อยเองก็ได้ไปด้วย ท่าทางของคุณชายผู้นั้น ดูก็รู้ว่าเป็นผู้มีความรู้ แต่คุณชายที่พบวันนี้กลับ…” พูดถึงตรงนี้ ก็ขมวดคิ้วลง คิดครู่หนึ่งจึงได้พูดว่า “กริยาแข็งกระด้าง ราวกับว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาอย่างไรอย่างนั้น ต่างจากคุณชายที่เราไปปล้นวันนั้นราวฟ้ากับเหว แต่ว่าพวกเขาหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ ข้าน้อยไม่แน่ใจว่าเป็นคุณชายหรือไม่ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “คุณชายผู้นี้ไม่ใช่คุณชายหลิวคนนั้น น่าสนุกเหลือเกิน”
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไปสืบเรื่องมา ว่าคุณชายผู้นั้นยังอยู่ที่จวนราชเลขาหรือไม่ ไปดูว่าเจ้าดูผิดหรือไม่”
องครักษ์ตอบรับ เดินจากไป
เมิ่งฉีฟังไม่เข้าใจความ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เร่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำมากขึ้น จากนั้นก็สั่งว่า “เรื่องพวกนี้ให้อี้เซวียนมาทำเถิด เจ้าสนใจแค่ดูแลร่างกายของเจ้าเองก็พอแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ไปที่ร่างกายที่เริ่มอวบอ้วนของตน บ่นว่า “พี่รอง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงได้อ้วนเป็นแม่หมูแน่”
ช่วงนี้นางไม่ค่อยแพ้ท้องแล้ว ความสนใจของเมิ่งซื่อและพระชายาก็มารวมอยู่ที่ตัวของนาง ทุกวันไม่เพียงแต่คอยทำอาหารมาให้นาง แต่ยังให้นางดื่มยาบำรุงมากมาย เอามาให้นางดื่มแทบทุกชั่วยาม นางดื่มจนจะอาเจียนออกมาอยู่รำไร แต่หากไม่ดื่ม พระชายาและเมิ่งซื่อก็จะคอยบ่นอยู่ข้างหูนางไม่หยุด แล้วยังมีภรรยาของเมิ่งต้าจินคอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ นางไม่ดื่มก็ต้องดื่มลงไปจนได้ หนำซ้ำทั้งสามยังมาจ้องนางจนกว่าจะดื่มจนหมด ไม่มีแม้แต่โอกาสให้หวงฝู่อี้เซวียนดื่มแทนนางเลย
เมิ่งฉีหลุดหัวเราะออกมา “อย่าไปคิดเช่นนั้นเลย สะใภ้บ้านอื่นไม่มีโอกาสเช่นนี้หรอกนะ”
ในขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวบ่นนั้นก็ยังแอบชื่นชมหวงฝู่อี้เซวียน “ข้ายอมไม่มีดีกว่า ข้าขอเพียงได้กินข้ามต้มที่อี้เซวียนทำให้ทุกวันก็พอใจแล้ว”
คำนี้ทำให้อี้เซวียนมีความสุขเหลือเกิน ใบหน้ามีรอยยิ้มเผยออกมา แต่เมิ่งฉีคิดว่ารอยยิ้มของเขานั้นแสบตาเหลือเกิน จึงตอบไปว่า “วันๆ กินแต่ข้าวต้ม ไม่ต้องรอถึงตอนที่เจ้าคลอดออกมา เจ้าเองคงจะผอมจนดูไม่ได้แล้วล่ะ อย่างไรเสียดื่มยาบำรุงก็ดีกว่า”
รอยยิ้มของหวงฝู่อี้เซวียนหายไป
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะในใจ แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ชมหวงฝู่อี้เซวียน พี่รองก็ไม่ชอบใจ หากชมพี่รอง อี้เซวียนก็ไม่พอใจ นางมิรู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี
บรรยากาศแปลกๆ ลอยอยู่เต็มห้อง
เสี่ยวซือวิ่งเข้ามา ทำลายบรรยากาศนี้ ถามด้วยความแปลกใจว่า “นายหญิง ท่านมาแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “ข้ามาเยี่ยมโรงงานน่ะ”
“เขียงในโรงงานกุนเชียงถึงเวลาเปลี่ยนแล้วขอรับ เมื่อครู่ข้าไปดูมา ว่ามีที่ใดที่ทั้งถูกและดีบ้าง” เสี่ยวซืออธิบาย
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “หลังจากอวี้เอ๋อร์ไปแล้ว ก็คงเหลือเพียงเจ้าช่วยงานพี่รองแล้ว ลำบากเจ้าด้วย”
เสี่ยวซือโบกมือ “นายหญิงพูดอะไรกันขอรับ นี่เป็นหน้าที่ของบ่าว ไม่ลำบากเลยขอรับ”
“ดีแล้ว ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างดี รอถึงตรุษจีนแล้ว ข้าจะมอบอั่งเปาซองใหญ่ให้เจ้า”
เสี่ยวซือคำนับ ขอบคุณด้วยความดีใจ “ขอบคุณขอรับนายหญิง”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เป็นเรื่องที่ข้าควรทำ หากโรงงานนี้ไม่มีเจ้า อาจจะ…” พูดถึงตรงนี้ ในหัวก็มีความคิดหนึ่งฉายขึ้นมา เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ผู้จัดการอัน ปีนี้ท่านอายุเท่าไรกันแล้ว”
นางเปลี่ยนหัวข้อเร็วเกินไป เสี่ยวซือชะงักไปเล็กน้อย ถึงได้ได้สติกลับมา ตอบตามจริงว่า “เรียนนายหญิง ปีนี้บ่าวมีอายุได้ยี่สิบเอ็ดปีแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดพูดออกมาว่า “ดีเหลือเกิน”
เมิ่งฉีและเสี่ยวซือผู้นั้นมองนางด้วยความประหลาดใจ
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจจุดประสงค์ของนาง จึงได้ยิ้มและส่ายหน้า
แต่สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถามว่า “ผู้จัดการอัน ข้าหาคู่ให้เจ้าสักคนเป็นเยี่ยงไร”
ตอนที่ 290 หาสาเหตุของเรื่องไม่ได้
เสี่ยวซือผงะไป อ้าปากค้าง คิดว่าตนหูฝาดไปแล้วหรือไม่ จากนั้นก็ถามว่า “นาย นายหญิง ท่านพูดอะไรหรือขอรับ”
“ข้าหาคู่ให้เจ้าดีหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามย้ำ
ครานี้เสี่ยวซือได้ยินชัดเจน พูดด้วยน้ำเสียงดีใจจนปิดไม่อยู่ ถามย้ำว่า “นายหญิง ท่านพูดจริงหรือขอรับ ท่านจะหาคู่ให้บ่าวจริงหรือ”
“เจ้ายินดีหรือไม่”
“ยินดี ยินดีขอรับ” เสี่ยวซือพยักหน้าไม่หยุด “อย่างไรบ่าวก็ต้องยินดีอยู่แล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดยิ้มออกมา จึงได้ล้อเล่นกับเขาไปว่า “เจ้าไม่ถามสักคำหรือว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด หน้าตาเป็นอย่างไร ก็บอกว่ายินดีเสียแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะจับเจ้าคู่กับคนขี้ริ้วขี้เหร่หรือ”
เสี่ยวซือเกาหัวตัวเอง หัวเราะเบาๆ “สายตาของนายหญิงดีเป็นที่สุด ข้าเชื่อใจท่าน ต่อให้ท่านเลือกคนขี้ริ้วขี้เหร่มาให้ ก็แสดงว่าแม่นางผู้นั้นมีสิ่งที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น”
“ผู้จัดการอัน เจ้านี่ช่างเข้าใจโลกเสียจริง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยวซือลูบหัวตัวเองด้วยความเหนียมอาย
“เอาล่ะ ข้าขอกลับไปถามแม่นางผู้นั้นดูก่อน เจ้ารอฟังข่าวดูเถิด”
เสี่ยวซือยิ้มซื่อๆ กลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นก็ถามว่า “นายหญิง เมื่อใดจึงจะได้ข่าวหรือขอรับ”
“อีกไม่กี่วันนี้แล้วล่ะ หากแม่นางผู้นั้นยินดี ข้าก็จะให้คนมาส่งข่าวกับเจ้า หากไม่มี เจ้าก็อย่าเสียใจไป”
เสี่ยวซือกล่าวเยินยอว่า “เรื่องที่นายหญิงจัดการเอง ไม่มีทางไม่สำเร็จหรอกขอรับ บ่าวจะรอข่าวดีจากท่าน”
“อย่ามาเยินยอข้านักเลย เรื่องใหญ่เพียงนี้ ข้าจะต้องให้ทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจกัน ข้าจึงจะยอมจับคู่ให้ หากมีฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม ข้าจะไม่บังคับใจ เรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นกับแม่นางผู้นั้นว่ายินดีหรือไม่ เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบดีใจไป” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เสี่ยวซือดีใจเสียจนยิ้มไม่หุบปาก กล่าวขอบคุณไม่หยุด “ขอบคุณขอรับนายหญิง ขอบคุณขอรับ”
มีตัวเลือกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวอดใจรอไม่ได้ ยืนขึ้น พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “อี้เซวียน พวกเราไปกันเถิด กลับหนานเฉิงกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะไปหนานเฉิง เมิ่งฉีจึงได้หรี่ตาลง พูดว่า “ฟ้าใกล้มืดแล้ว ข้าเองก็ควรกลับได้แล้ว กลับไปพร้อมพวกเจ้าเลยได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ระหว่างทางพี่รองเล่าเรื่องในโรงงานให้ข้าฟังด้วย”
มอบธุระที่เหลือฝากให้เสี่ยวซือดูแล เมิ่งฉีก็จากไปพร้อมกับทั้งสอง ชายตามองรถม้าของตนครู่หนึ่ง จากนั้นเมิ่งฉีพูดว่า “น้องเล็ก เจ้าอยากรู้เรื่องในโรงงานมิใช่หรือ นั่งรถม้าของบ้านเราไปเถิด ข้าจะเล่าให้ฟัง”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนดูไม่ดีเท่าไหร่
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ถึงบรรยากาศที่คุกกรุ่น จึงหดคอลงอย่างเกรงกลัว “พี่รอง รถม้าของจวนอ๋องกว้างขวาง พวกเรานั่งรถม้าของจวนอ๋องไปเถิด”
เมิ่งฉีเงยหน้ามองหวงฝู่อี้เซวียน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “อี้เซวียน เจ้าไม่อยากให้น้องเล็กมานั่งรถม้าของข้าอย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนกัดฟัน พูดรอดไรฟันว่า “ไม่ใช่ขอรับ”
“อย่างนั้นก็ดี น้องเล็ก มานี่เถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเสียงเบา “เอ่อ พี่รอง หนานเฉิงอยู่ไกลจากที่นี่นัก ข้าชินที่จะมีคนให้พิงหลังเสียแล้ว อย่างไรเสียเราไปนั่งรถม้าจวนอ๋องเถิด”
เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของนาง เมิ่งฉีถอนหายใจออกมา ไม่ดื้อรั้นต่อไป ก้าวเท้าเดินไปยังรถม้าของจวนอ๋อง
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็รีบเดินก้าวเล็กๆ ตามเขาไป พูดประจบว่า “ข้ารู้ว่าท่านพี่เป็นห่วงข้าที่สุด ไม่อยากให้ข้าต้องเหนื่อย”
แม้จะรู้ว่านางกำลังพูดเอาใจตนอยู่ แต่ใบหน้าของเมิ่งฉีก็ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามคนขึ้นมานั่งบนรถม้าเรียบร้อย โจวอันควบม้าเคลื่อนไปด้านหน้า กัวเฟยควบรถม้าที่ว่างเปล่าตามมาด้านหลัง รถม้าทั้งสองควบตามกันมาจนถึงหนานเฉิง
ตลอดทาง เมิ่งฉีได้นำสถานการณ์คร่าวๆ ในโรงงานเล่าให้เมิ่งเชี่ยนโยวฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังไปพลางพยักหน้าไปด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ด้านหลังนาง ทำหน้าที่เป็นพนักพิง ไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง
วันนี้เมิ่งเหรินออกจากสนามสอบเป็นวันแรก เมิ่งซื่อและภรรยาเมิ่งต้าจินไม่ได้ไปที่จวนอ๋อง เมื่อได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาแล้ว จึงได้ดีใจเป็นอย่างมาก รีบเข้าครัวไปทำอาหารให้ทั้งสองอย่างมีความสุข
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเดินตรงไปที่ห้องรับรองแขก
ช่วงนี้เมิ่งฉีให้เหวินเปียวได้พักร้อน ให้เขาได้พาครอบครัวเดินเที่ยวรอบๆ เมืองหลวง
หลายปีแล้วที่ไม่ได้มาเมืองหลวง ที่นี่มีการเปลี่ยนไปไปไม่น้อย ครอบครัวของเหวินเปียวเดินดูสถานที่ที่ตนคุ้นเคยสมัยก่อน กลับบ้านมาก็คุยเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว คนทั้งครอบครัวก็ได้วิ่งออกมาจากห้อง กล่าวทักทายด้วยความเคารพพร้อมเพรียงกันว่า “นายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ พูดกับเหวินเปียวว่า “ข้ามาวันนี้ก็เพราะเรื่องงานแต่งของเหวินเหลียน ข้าหาคนที่เหมาะสมกับนางได้แล้ว ซึ่งก็คือผู้จัดการอันที่โรงงาน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เหวินเปียวมักจะได้พบปะกับเสี่ยวซืออยู่บ่อยๆ รู้จักนิสัยใจคอของเขาอยู่บ้าง หลังจากผงะไปเล็กน้อย ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “ผู้จัดการอันฉลาดหลักแหลม ทำงานเรียบร้อย เป็นตัวเลือกที่ดี ทั้งสถานะยังเหมาะสมกับบ้านเรา”
เมื่อได้ยินคำเขาเช่นนี้ ภรรยาของเหวินเปียวก็มีสีหน้ายินดี กำลังจะอ้าปากถามอะไรบางอย่าง แต่คงคิดว่าไม่เหมาะสม จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความไม่สบายใจของนาง จึงได้อธิบายว่า “ผู้จัดการอันเป็นผู้จัดการที่ข้าได้มอบหมายให้ดูและเรื่องในโรงงาน ตอนนั้นเคยเป็นบ่าวรับใช้ของใต้เท้าเปา ตอนที่ข้าเพิ่งเปิดโรงงานใหม่ๆ เขาช่วยงานไว้ได้ไม่น้อยเลย ข้าเห็นว่าเขาขยันขันแข็ง จึงได้ขอเขามาจากใต้เท้าเปา และมอบหมายให้เขาดูแลเรื่องในโรงงาน บัดนี้เขาเป็นผู้ช่วยมือขวาของพี่ชายข้า ทำงานได้ไม่เลว นิสัยก็มั่นคง ทั้งยังไม่มีพ่อแม่ ไม่มีภาระจากทางบ้าน”
เป็นบ่าวรับใช้นั่นเอง ภรรยาของเหวินเปียวผิดหวังเล็กน้อย ถึงแม้ว่าพวกเขาก็จะเป็นเพียงบ่าวรับใช้เช่นกัน ไม่ควรไปรังเกียจเขา แต่ว่าเหวินเหลียนเป็นผู้หญิง ให้นางอยู่ที่เมืองหลวงก็เพราะหวังจะให้นางได้แต่งงานกับคนธรรมดา แม้ต่อให้จนก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้มีชีวิตที่อิสระก็พอแล้ว ภายหน้าลูกของพวกเขาก็จะได้ไม่ต้องมาเป็นบ่าวรับใช้อีก แต่บัดนี้ ความรู้สึกที่เหวินซงมีต่อชิงหลวนคงยากที่จะเปลี่ยนไป แต่สำหรับเหวินเหลียน นางจะไม่ยอมให้ลูกได้แต่งงานกับบ่าวรับใช้อีกแล้ว
เหวินเปียวไม่ได้คิดมากอย่างนาง เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ข้าเห็นว่าผู้จัดการอันก็ไม่เลว ตกลงตามนี้เลยแล้วกันขอรับ อย่างไรก็ต้องรบกวนนายหญิงไปถามผู้จัดการอันทีว่าเขายินดีหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตสีหน้าของภรรยาเหวินเปียวได้ตั้งแต่ต้น แต่เดาไม่ได้ว่านางคิดอะไรอยู่ เมื่อเหวินเปียวพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ตอบรับในทันที แต่กลับเป็นภรรยาของเขาห้ามเอาไว้เสียก่อน พูดว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตเหวินเหลียน ต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน พวกเราจะต้องคุยกันอย่างดีเสียก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายของนางทันที เช่นนี้แสดงว่านางไม่ยินดีเท่าใด แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปในตอนนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เหวินเปียวรู้จักกับผู้จัดการอัน รู้จักนิสัยใจคอของเขาไม่น้อย พวกท่านค่อยๆ ไปพูดคุยกัน หากไม่ยินดี ก็มิเป็นไร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ดังท่านว่า จะมาสะเพร่ามิได้ ข้าเองก็ไม่อยากจับคู่ให้คนต้องเกลียดกัน”
ภรรยาของเหวินเปียวหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย อยากรีบอธิบาย “นายหญิง ข้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมห้ามนาง “ไปตกลงกันให้ดีเถิด ช้าที่สุดคืนวันพรุ่งมาบอกข้า”
ภรรยาเหวินเปียวตอบกลับด้วยในหน้าแดงก่ำ
แต่เหวินเปียวกลับขมวดคิ้วลง แต่งงานกันมาหลายสิบปี ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ภรรยาไม่เคยขัดขวางความคิดของเขาเลย ทุกเรื่องเป็นไปตามความเห็นของเขาทั้งสิ้น แต่เหตุใดครานี้จึง…แต่ว่า เห็นแก่เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้พูดอะไรมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากที่พักของบ่าวรับใช้ เข้าประกบหวงฝู่อี้เซวียนและโอบแขนของเขา เหมือนที่ทำกับเมิ่งซื่อ เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา ยิ้มไปพูดไปว่า “ดูท่าแล้ว หากไท่จื่อสร้างชื่อเสียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าเองจะต้องขอความดีความชอบจากเขาบ้างแล้วล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนมีความสุขจากการกระทำของนาง อารมณ์ดี มุมปากมีรอยยิ้มขึ้นมา ยกมือขึ้น ลูบหัวของนางเบาๆ พูดว่า “ความดีจากไท่จื่อมิได้ขอกันมาง่ายปานนั้น เจ้าคนใจดำนั่น คงจะถลกหนังของพวกเราเป็นแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยความมั่นใจว่า “เขามิกล้าหรอก หากเขากล้าจัดแจงให้เจ้าไปทำงานหนัก ข้าเองนี่และจะแบกท้องโตๆ ไปหาเขาถึงในวัง”
หวงฝู่อี้เซวียนหลุดหัวเราะออกมา “เจ้านี่ นับวันยิ่งทำตัวเหมือนเด็กเข้าทุกที”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มใสซื่อ “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ท่านแม่และเจ้าควบคุมข้าอย่างเข้มงวดเช่นนี้กันเล่า นี่ก็ทำไม่ได้ นั่นก็มิให้ทำ ข้าว่างเสียจนตัวจะเป็นขนเสียแล้ว” ไม่พูดเปล่า แต่กลับคิดอะไรได้ มองเขาด้วยแววตาเปล่งประกาย “หรือไม่ เจ้ามอบหมายเรื่องในจวนให้ข้าจัดการบ้างเป็นอย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “อย่าแม้แต่จะคิดเลย เจ้าดูแลครรภ์ให้ดีก็พอแล้ว”
รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวมลายไป เบะปากน้อยๆ ออกมา
น้อยครั้งที่นางจะทำสีหน้าเช่นนี้ ใจของหวงฝู่อี้เซวียนสั่นขึ้นมา อาศัยจังหวะที่รอบกายไม่มีคนอยู่ขโมยจูบนางไปหนึ่งที
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจไม่น้อย กุมปากตนเองมองไปรอบๆ ตัว เมื่อพบว่าไม่มีใคร จึงได้โล่งใจ
ทั้งสองกลับมายังห้องของตน องครักษ์ลับที่ไปสืบเรื่องของคุณชายหลิวกลับมาแล้ว รายงานว่า “นายท่านขอรับ ข้าน้อยไปสืบมาเรียบร้อยแล้ว คุณชายหลิวเองก็เพิ่งออกมาจากสนามสอบวันนี้ หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้วนั้น ก็กำลังพักผ่อนอยู่ที่จวนราชเลขาขอรับ”
“เจ้าดูชัดแล้วหรือ เป็นคุณชายหลิวแน่หรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยเสียงทุ้ม
องครักษ์ลับตอบด้วยเสียงหนักแน่น “เป็นคุณชายหลิวแน่ขอรับ ตอนที่พวกข้าน้อยไปปล้น เขาก็หน้าตาเช่นนี้”
“อย่างนั้นก็น่าประหลาดนัก คนที่ร้านอาหารที่หน้าตาเหมือนเขาอย่างกับแกะนั้นเป็นผู้ใดกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความสงสัย
องครักษ์ลับเกาหัว “ข้าเองก็แปลกใจ ท่านชายที่พบที่ร้านอาหารนั้นหน้าตาเหมือนคุณชายหลิวราวกับแกะ ทั้งสองยืนคู่กัน ก็แทบจะแยกไม่ออกว่าผู้ใดเป็นผู้ใด”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ในใจจะมีความสงสัย แต่ว่าไม่ได้สั่งให้องครักษ์ลับไปสืบต่อ โบกมือเป็นสัญญาณให้เขากลับออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วอยากจะถาม คิดไม่ออกว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงได้ยอมแพ้ไปเสียดื้อๆ “คงเป็นเพราะพวกเราคิดมากไปเอง คงเป็นเพียงคนสองคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันเท่านั้น ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนตั้งแต่แรก เพียงแต่ว่าพบเข้า จึงเกิดความสงสัย ให้คนไปสืบเรื่องมา บัดนี้คุณชายหลิวตัวจริงอยู่ในจวน คนที่หน้าเหมือนผู้นั้นก็ไม่สำคัญเสียแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ได้ใส่ใจ
ทั้งสองพักที่นั่นหนึ่งคืน วันที่สองตกลงกันว่าเมื่อรายชื่อผู้สอบผ่านออกมาแล้ว จะไปดูรายชื่อด้วยกัน จากนั้นทั้งสองก็ กลับจวนอ๋องไป
หวงฝู่อวี้กำลังจะออกไปด้านนอกพอดี ทั้งสามพบกันที่หน้าประตู
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาอิดโรย ไม่มีชีวิตชีวา ทั้งสองจึงได้หยุดฝีเท้าลง หวงฝู่อี้เซวียนถามเขาว่า “อวี้เอ๋อร์ มีปัญหาอะไรให้คิดไม่ตกอย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อวี้ฝืนยิ้มออกมา “ไม่มีอะไรขอรับพี่ใหญ่”
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่มีชีวิตชีวาเช่นนี้เล่า”
เขาจับหน้าของตนเอง หวงฝู่อวี้ตอบอย่างปิดบังว่า “อาจเป็นเพราะช่วงนี้เหนื่อยขอรับ พักผ่อนไม่เพียงพอ”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้นอนไม่หลับเพราะมีเรื่องในใจ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความเย็นชา
หวงฝู่อวี้ชะงักไป สายตาสั่นคลอน สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ รีบตอบรับว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ข้าจะรีบไปด้านนอก ขอตัวก่อน” จากนั้นก็รีบเดินไปที่รถม้าด้านนอกทันที
“รอเดี๋ยว!” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเขาเอาไว้
หวงฝู่อวี้เมื่อได้ยินดังนั้นก็หยุดฝีเท้าลง หันไปมองเขา ตอบด้วยความไม่สบายใจว่า “พี่ใหญ่ยังมีเรื่องอะไรหรือขอรับ”
น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความห่วงใย “หากไม่สบายก็อย่าออกไปไหนเลย วันนี้อยู่พักผ่อนในจวนเถิด”
หวงฝู่อวี้โบกมือ “ไม่เป็นไรหรอกพี่ใหญ่ วันนี้ข้าจะไปเดินดูร้านรวงแถวนอกเมืองเสียหน่อย”
“เงินทองน่ะอย่างไรก็ใช้ไม่หมด ตอนที่ข้ามอบกิจการเหล่านี้ให้เจ้าก็เพราะอยากให้เจ้าได้ช่วยกันดูแลจวนอ๋อง นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาวันสองวัน อีกอย่าง เจ้าเพิ่งจะได้คลุกคลีกับเรื่องเหล่านี้ ก็อย่าเพิ่งหักโหมนักเลย ฟังพี่เถิด วันนี้พักผ่อนในจวนก่อน ร้านรวงนอกเมืองค่อยไปวันพรุ่งก็ทัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวงฝู่อวี้ฟังออกว่าเป็นคำสั่งลอยๆ เขาลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย
พวกเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปยังเรือนของตน หวงฝู่อวี้ที่เดินตามมาด้านหลังเดินๆ หยุดๆ จากนั้นก็กลับไปยังเรือนของตนเช่นกัน ถอดเสื้อผ้าออก โยนไปบนเตียง ในหัวคิดถึงแต่ภาพที่พบหลินหันเยียนครั้งล่าสุด พร้อมสภาพอิดโรย และเสียงร้องไห้อันโศกเศร้าของนาง ทำอย่างไรก็มิอาจลืมเลือนได้
เขายืนขึ้นอีกครั้งพร้อมจิตใจกระวนกระวาย กำลังจะอ้าปากสั่งเฮ่ออีให้ไปสืบเรื่องที่จวนราชเลขา แต่ก็คิดได้ว่าไปสืบมาแล้วจะอย่างไร เขาและนางมีกำแพงที่ไม่อาจก้าวผ่านไปได้กั้นอยู่ จากนั้นก็นอนลงเช่นเดิม นอนมองเพดานนิ่งๆ
ตอนที่ 291 ขอความช่วยเหลือ
ขณะเดียวกัน ณ จวนราชเลขา หลินหันเยียนก็นอนหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง ตั้งแต่ราชเลขาหลินกักตัวนางเป็นต้นมา นางก็ไม่ได้ออกจากเรือนไปที่ใดอีกเลย แม้กระทั่งหงเอ๋อร์รวมทั้งสาวใช้คนสนิททั้งหลายก็ถูกจับตามอง เข้าออกจวนจะต้องมีคนติดตามไปด้วยเสมอ
ในเวลาไม่กี่วัน หลินหันเยียนซูบผอมลงไปมาก แม่ของนางมาดูหลายครา เป็นห่วงนางแทบแย่ คอยพูดถึงความดีของคุณชายผู้นั้นให้นางฟังเสมอ
หลินหันเยียนทำเป็นไม่ได้ยิน ราชเลขาฮูหยินเองก็จนปัญญา นอกเสียจากให้คนหาวิธีทำอาหารบำรุงให้นางแล้วนั้น สองสามวันนี้ก็ไม่ได้เข้ามาอีกเลย
หลินหันเยียนยังคงเป็นเหมือนหลายวันก่อน นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง แต่หงเอ๋อร์กลับวิ่งมาด้วยความร้อนใจ กล่าวกับหลินหันเยียนว่า “คุณหนูเจ้าขา แย่แล้ว คุณชายและฮูหยินกล่าวว่ารอจนรายชื่อจอหงวนออกมา ก็จะหมั้นหมายท่านกับคุณชายหลิวเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันที เนื่องจากลุกนั่งเร็วเกินไป จึงทำให้หน้ามืดขึ้นมา ร่างของนางก็โอนเอนไปมา
หงเอ๋อร์ตกใจ รีบเดินไปพยุงนาง “คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
หลินหันเยียนคว้าแขนของนางเอาไว้ ถามด้วยความร้อนรนว่า “หงเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดเมื่อครู่เป็นจริงหรือ”
หงเอ๋อร์พยักหน้า “เป็นจริงเจ้าค่ะ นอกจากคุณหนู คนในจวนต่างก็รู้กันทั่วแล้ว คุณชายและฮูหยินได้ไปเตรียมการณ์แล้วเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนยิ่งกระวนกระวายกว่าเดิม คว้าแขนของหงเอ๋อร์เอาไว้ “พี่ใหญ่เล่า พี่ใหญ่อยู่ที่จวนหรือไม่ ไปเรียกเขามาหาข้าที”
หงเอ๋อร์พยักหน้า ก้าวเท้าเดินไปทันที แต่หลินหันเยียนกลับคว้าแขนของนางเอาไว้แน่นไม่ปล่อย ดึงยื้อสองสามที แขนของหงเอ๋อร์แทบจะหลุดออกมาแล้ว ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “คุณหนู ปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนได้สติกลับมา จึงได้รีบปล่อยแขนของนางออก หงเอ๋อร์รีบวิ่งออกไป
หลินหันเยียนก็ยืนขึ้น เดินไปมาในห้องด้วยความร้อนใจ คอยแต่จะเดินไปที่ประตู เปิดม่านมองได้ด้านนอกเสมอ
ผ่านไปราวสิบห้านาที ในสวนมีเสียงฝีเท้า ตึกๆๆ ดังขึ้น หลินหันเยียนรีบไปเปิดผ้าม่านออก หงเอ๋อร์ที่ห้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อวิ่งเข้ามา พูดด้วยความหอบเหนื่อยว่า “คุณหนู ฮูหยินบอกว่าคุณชายไปว่าราชการด้านนอกยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ ถามว่าหากมีเรื่องอะไร รอจนคุณชายกลับมาแล้วจะบอกให้เจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าบอกพี่สะใภ้ไปแล้วหรือยัง” หลินหันเยียนถามด้วยความรีบร้อน
หงเอ๋อร์ส่ายหน้า “บ่าวเพียงแต่พูดว่า คุณหนูมีเรื่องจะพบคุณชาย แต่เรื่องอะไรนั้นบ่าวก็ไม่ทราบ”
หลินหันเยียนโล่งใจ สั่งว่า “อย่างนี้ เจ้าไปรอที่หน้าประตู รอจนพี่ใหญ่กลับมาแล้วรีบเชิญเขามาหาข้าทันที”
หงเอ๋อร์พยักหน้า หันหลังวิ่งออกไปทันที
หลินหันเยียนเห็นว่าไม่เหมาะ จึงได้เรียกนางไว้ “เดี๋ยวก่อน!”
หงเอ๋อร์หยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับมา พูดด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า “คุณหนู?”
“ข้ารอไม่ไหว วันพรุ่งรายชื่อก็จะออกมาแล้ว หากวันนี้ยังหาทางออกไม่ได้ ข้าก็จะไม่มีโอกาสอีก เอาอย่างนี้ เจ้าไปหาพี่ใหญ่ที่จวนแม่ทัพ บอกว่าข้ามีธุระจะพบเขา ให้เขารีบกลับมา”
หงเอ๋อร์ตอบรับ วิ่งออกไปอีกครั้ง
หลินหันเยียนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ พี่ใหญ่เป็นความหวังเดียวของนางแล้ว หากเขาไม่ยอมช่วยนาง อย่างนั้นทั้งชีวิตนี้นางก็คงไม่มีวาสนากับหวงฝู่อวี้เสียแล้ว
หลินจ้งได้ยินคำรายงานของหงเอ๋อร์ คิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียแล้ว จึงได้รีบขี่ม้ากลับมายังจวนทันที ตรงมายังเรือนของหลินหันเยียน
ราชเลขาหลินได้สั่งคนให้มาเฝ้าหลินหันเยียนที่หน้าประตู แต่เมื่อเห็นหลินจ้งตรงเข้ามา ผู้รับผิดชอบจึงได้มองตากัน จากนั้นก็ยื่นมือไปขัดขวางเขาไว้ “คุณชายขอรับ นายท่านและฮูหยินสั่งไว้ว่า ไม่ให้ใครเข้าไปที่เรือนของคุณหนูเด็ดขาดขอรับ”
หลินจ้งถีบพวกเขาเรียงตัว “เจ้าพวกบ้า กล้ามาขัดขวางข้าอย่างนั้นหรือ อยากตายรึไง”
หลินจ้งเป็นทหาร น้ำหนักเท้าย่อมมีมากเป็นธรรมดา ทั้งสองรับไม่ไหว จึงล้มไปคนละทิศ
หลินจ้งไม่สนใจพวกเขา เดินสาวเท้ายาวเข้าไปด้านใน
ทั้งสองยืนขึ้นอย่างยากลำบาก มองหน้ากัน จากนั้นคนหนึ่งก็วิ่งไปรายงานราชเลขาหลินด้วยความรวดเร็ว
ราชเลขาหลินได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย คิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือ “จ้งเอ๋อร์รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ให้เขาไปช่วยพูดกับเยียนเอ๋อร์ก็ดีเช่นกัน วันพรุ่งนี้รายชื่อจอหงวนก็ออกมาแล้ว เจ้าเฝ้าคุณหนูไว้ให้ดี อย่าให้เกิดเรื่อง”
นายท่านไม่ได้กล่าวโทษอะไร คนรับผิดชอบทั้งสองดีใจยิ่ง จากนั้นก็เดินกลับมาอย่างใจเย็น นำคำของราชเลขาไปบอกอีกคน
หลินหันเยียนได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นในลาน เมื่อหลินจ้งก้าวเข้ามาด้านใน หลินหันเยียนก็รีบตรงไปหาเขาอย่างร้อนใจ พูดด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า “พี่ใหญ่ ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ”
หลายวันก่อน ตอนที่หลินหันเยียนถูกกักบริเวณ หลินจ้งเองรู้สึกแปลกใจ ถามราชเลขาหลินว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ตอบตามตรง เพียงแต่พูดว่ารายชื่อผู้สอบผ่านจอหงวนออกมาเมื่อใด หลินหันเยียนก็จะหมั้นหมายกับคุณชายหลิวทันที หลายวันมานี้ ได้ขังนางไว้ด้านใน ก็เพราะอยากจะให้นางได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียม ภายหน้าเมื่อต้องมาเป็นแม่ศรีเรือนแล้ว จะได้ดูแลจัดการเรื่องในบ้านได้
ในฐานะภรรยาเอก ก่อนที่หญิงสาวจะแต่งออกไปนั้น จะต้องเรียนรู้วิธีการทำงานบ้านงานเรือน หลินจ้งจึงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คิดไม่ถึงว่าไม่พบกันเพียงไม่กี่วัน หลินหันเยียนซูบผอมลงไปไม่น้อย หลินจ้งตกใจ คิดว่านางป่วย จึงได้นำมือไปทาบไว้บนหน้าผากของนาง ดูว่าร้อนหรือไม่ จากนั้นก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “น้องเล็ก เจ้าเป็นอะไรหรือ ไม่สบายที่ใดหรือไม่”
น้ำตาของหลินหันเยียนหยดลงมา จากนั้นก็ขอร้องเขาอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ท่านต้องช่วยข้าจริงๆ แล้ว”
หน้าผากนางเย็นเฉียบ ไม่ได้มีไข้ หลินจ้งจึงได้วางใจลงไม่น้อย พยุงนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ “นั่งลงก่อน มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูด พี่จะช่วยเจ้า”
ใจของหลินหันเยียนมีความหวังขึ้นมา จากนั้นก็ตอบไปอย่างไม่ลังเลว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากแต่งงานกับคุณชายหลิว ข้อยากแต่งงานกับพี่อวี้เจ้าค่ะ”
หลินจ้งชะงักไป มองนางอย่างไม่เชื่อใจ ครู่ใหญ่จึงได้พูดว่า “พี่อวี้? หวงฝู่อวี้? ”
หลินหันเยียนพยักหน้าทั้งน้ำตา “น้องขอร้องล่ะ พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วยเถิด”
“ไม่ได้!” หลินจ้งปฏิเสธ “สถานะของเขาไม่คู่ควรกับเจ้า หากเจ้าแต่งออกไปจะลำบาก”
“พี่ใหญ่ ขอเพียงได้อยู่กับพี่อวี้ ข้าไม่กลัวความลำบาก ท่านช่วยข้าด้วยเถิด ข้าไม่อยากแต่งกับคุณชายหลิวจริงๆ”
หลินจ้งส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “คุณชายหลิวผู้นั้นพี่ไปพบแล้ว หน้าตา การศึกษา ดีกว่าหวงฝู่อวี้ทุกประการ ได้ยินท่านแม่ว่าทางครอบครัวเขาก็ไม่มีภาระ ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง ภายหน้าเจ้าแต่งออกไปก็ไม่มีผู้ใดทำให้เจ้าลำบากใจได้ เรื่องงานแต่งครั้งนี้ พี่คิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมมาก เจ้าเองก็ทำใจให้สงบแล้วรอออกเรือนเถิด”
พี่ชายที่แสนดีของตนยังไม่ยอมช่วย เสียงร้องเศร้าโศกของหลินหันเยียนดังมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่กล้าร้องไห้ออกมาดังมาก นางเกรงว่าบ่าวรับใช้ที่เฝ้าด้านนอกจะได้ยินเข้าแล้วไปรายงานพ่อของตน ฟางเส้นสุดท้ายของนางไม่เหลือแล้ว “พี่ใหญ่ ต่อให้คุณชายหลิวผู้นั้นดีกว่านี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า เขาก็ไม่ใช่คนที่ข้ารัก ใจข้ามีเพียงพี่อวี้เท่านั้น หากต้องแต่งงานกับเขา ไม่เพียงจะเป็นการทำร้ายข้า แต่ยังเป็นการทำร้ายคุณชายหลิวด้วย”
“หยุดคิดบ้าๆ ได้แล้ว” หลินจ้งเอ็ดนาง “แต่ไหนแต่ไร เรื่องการแต่งงาน ก็เป็นคำสั่งของพ่อแม่ เป็นคำบอกของแม่สื่อแม่ชัก มีงานแต่งที่ใดเกิดจากความรักบ้างเล่า แต่ทุกคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือ ฟังพี่นะ คุณชายหลิวผู้นั้นนิสัยอ่อนโยน สง่างาม มีความรู้ การศึกษาสูง พวกเจ้าทั้งสองคนหนึ่งสงบ คนหนึ่งร่าเริง เหมาะสมกันยิ่ง ภายหน้าจะต้องเป็นคู่กิ่งทองใบหยก”
หลินหันเยียนร้องไห้พร้อมส่ายหน้า น้ำตากระเด็นออกมา “ไม่มีทาง พี่ใหญ่ หากไม่สามารถแต่งกับพี่อวี้ได้ ข้ายอมสละชีวิตดีกว่า”
หลินจ้งโกรธยิ่งกว่าเดิม เขาทุบโต๊ะ “พูดซี้ซั้วอะไรเช่นนี้ หวงฝู่อวี้นั่นมีดีอะไร เจ้าจึงได้คิดถึงเขาไม่หยุด เจ้าต้องรู้ไว้ว่า เขาไม่มีทั้งการศึกษาและความสามารถ ไม่มีใจคิดพัฒนาตนเอง มีหรือจะเทียบได้กับคุณชายหลิวอนาคตไกลผู้นี้”
หลินหันเยียนเพียงแต่ร้องไห้ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
อย่างไรก็เป็นน้องสาวที่ตนรักมากคนหนึ่ง หลินจ้งเป็นห่วงนาง ถอนหายใจออกมา น้ำเสียงอ่อนลง “เยียนเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เต็มใจช่วยเจ้า หากเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นชาวบ้านจนๆ ไม่มีสถานะใด พี่ก็จะยอมช่วยเจ้า แต่หวงฝู่อวี้ไม่เหมือนกัน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่มีพระชายารองเฮ่อแล้ว และยังไม่มีต้นตระกูลคอยหนุนหลัง ดูแค่เขาเป็นเพียงซู่จื่อของจวนอ๋อง จากนี้ไป หวงฝู่อี้เซวียนคงไม่ปล่อยเขาไว้แน่ หนำซ้ำ เจ้าเองก็เคยหมั้นหมายกับหวงฝู่อี้เซวียน ต่อให้เจ้ายินดี แต่คนฝั่งจวนอ๋องก็ไม่ยอมหรอก อีกอย่าง ดูจากความสัมพันธ์ของเรากับจวนอ๋องแล้วนั้น ตระกูลเราทั้งสองไม่มีทางดองกันได้เด็ดขาด เจ้าตัดใจเสียเถิด”
“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านช่วยข้าเถิด ข้าไม่อยากแต่งงานกับคุณชายหลิวจริงๆ”
หลินจ้งตกใจมาก รีบก้มลงพยุงนางขึ้นมา “เยียนเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรอยู่ มีเรื่องอะไรก็ขอให้ยืนขึ้นพูดเถิด”
ไม่ว่าหลินจ้งจะออกแรงมากเพียงใด หลินหันเยียนก็ไม่ยอมลุกขึ้น นางคว้าแขนของเขา ขอร้องด้วยน้ำเสียงขื่นขม “พี่ใหญ่ ข้าเติบโตมาในสายตาของพระชายาฉี รู้จักนิสัยใจคอของนางดี นางมองพี่อวี้ดั่งลูกในไส้ ไม่มีทางทำร้ายเขาเป็นแน่ ต่อให้ซื่อจื่อไม่เขาไว้ พวกเราก็เพียงย้ายออกไปอยู่ด้านนอกเท่านั้น พวกเรามีมือมีเท้า ไม่มีทางอดตายหรอก”
หลินจ้งทั้งโกรธทั้งสงสารนาง “เยียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจเล่า การสู้ชีวิตอยู่ด้านนอกนั้นไม่ง่าย เจ้าเป็นคุณหนูของจวนราชเลขา เติบโตมาอย่างไข่ในหินแต่เล็ก มีคนรับใช้มากมาย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็มีคนคอยจัดการให้เจ้า เจ้าไม่เคยต้องเป็นกังวล แต่หากวันใดที่เจ้าทำลายความหวังของพ่อและแม่ ทั้งหมดนี้ก็จะหายไป ถึงตอนนั้นที่เจ้าถูกขับไล่ออกจากจวนอ๋องมาสร้างครอบครัวตัวเอง ก็มีแต่จะขมขื่นเท่านั้นเอง พี่ไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
“ไม่มีทางเจ้าค่ะ สิ้นพระชายารองเฮ่อแล้ว นางคงจะต้องเหลือสมบัติอะไรไว้บ้าง ต่อให้พี่อวี้แต่งงานกับข้า จวนอ๋องจะขับไล่พวกเราออกมา พวกเราก็ยังคงเหลือสมบัติเก่าไว้กิน พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นกังวลเลย” หลินหันเยียนรีบอธิบาย
“นี่เจ้า ถูกตามในเสียจนเคยตัว ใสซื่อเหลือเกิน สถานะเช่นเจ้า อาศัยอยู่ในเมืองหลวงง่ายๆ ได้ที่ใดกัน ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่มีตำแหน่งขุนนางแล้ว เพราะจะมีพวกที่จะคอยหาเรื่องพวกเจ้าเพื่อประจบหวงฝู่อี้เซวียน ทำให้พวกเจ้าใช้ชีวิตกันลำบากยิ่งขึ้น” พูดถึงตรงนี้ ก็ได้บอกกับนางอย่างจริงจังว่า “น้องเล็ก เชื่อพี่ใหญ่สักครั้งเถิด เจ้าเก็บความคิดนี้ไปได้ รอแต่งงานกับคุณชายหลิว หากเจ้าทำใจตัดใจจากเขาไม่ได้ เจ้าก็รอวันใดที่เขาตกอับแล้ว เจ้าก็ค่อยช่วยเหลือด้านการเงินให้เขาก็ได้ ก็นับว่าได้ทำตามใจของเจ้าแล้ว”
“ไม่เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ ข้าไม่เอาเช่นนี้ ชาตินี้ข้าจะเป็นคนของพี่อวี้ ตายไปก็จะเป็นผีของพี่อวี้ ข้าจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น หากท่านไม่ช่วยข้า ข้าก็จะจบชีวิตตัวเองในวันแต่งงาน” หลินหันเยียนทั้งข่มขู่ ทั้งร้องไห้ขอร้องเขา
หลินจ้งตกใจเข้าเสียจริงๆ จะดุด่าก็ไม่มีผล จะปลอบโยนนางก็ไม่มีผล เขาร้อนใจเสียจนมีเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผาก
หลินหันเยียนเห็นว่าท่าทางคัดค้านของเขาไม่เคร่งขรึมเหมือนเมื่อครู่แล้ว รู้สึกมีความหวังขึ้นมา นางดึงทึ้งชายเสื้อของเขา เงยหน้าขอร้อง “พี่ใหญ่ วันนั้นข้าได้ไปพบพระชายาที่จวนอ๋องแล้ว นางไม่ได้คัดค้านใด แถมยังยื้อเวลาหมั้นหมายของพี่อวี้ออกไปอีก เพื่อรอข่าวจากข้า พี่ใหญ่ ข้าขอร้องท่าน ท่านช่วยข้าทีเถิด”
หลินจ้งตกใจ “เจ้าไปจวนอ๋องแล้วหรือ ไปมาเมื่อใด ท่านพ่อและท่านแม่รู้หรือไม่”
หลินหันเยียนส่ายหน้า “หลายวันก่อนเจ้าค่ะ พวกท่านไม่ทราบ”
“พระชายากล่าวว่าอะไร”
เมื่อหลินจ้งฟังจบก็ขมวดคิ้ว ถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ พระชายาตอบรับเรื่องการหมั้นหมายของเจ้าและหวงฝู่อวี้ แต่ไม่มีแผนจะมาสู่ขออย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนรีบอธิบาย “พระชายาเกรงว่าหากมาสู่ขอ จะถูกท่านพ่อท่านแม่ปฏิเสธ ดังนั้นจึงได้ให้ข้ามาขอร้องพวกท่านเสียก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกท่านพ่อสั่งให้ขังเอาไว้ที่นี่”
“แล้วหวงฝู่อวี้เล่า เขามีท่าทีเช่นไร หากใจเขามีเจ้า หลายวันมานี้ไม่พบกัน เขาก็ควรจะส่งคนมาสืบเรื่องของเจ้าแล้วสิ”
น้ำตาของหลินหันเยียนไหลออกมามากกว่าเดิม สะอื้นแล้วพูดว่า “พี่อวี้เกลียดข้า เขาไม่ยอมสนใจข้า”
หลินจ้งเริ่มร้อนใจ ถามด้วยความโกรธว่า “นี่มันอะไรกัน พูดมาให้ข้าเข้าใจ”
หลินหันเยียนหยุดร้องไห้ เล่าท่าทางที่นางมีต่อหวงฝู่อวี้เมื่อครั้งนางไปพบเขาที่จวนแม่ทัพในวันนั้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น พูดด้วยความเจ็บปวดว่า “ตอนนั้นข้าเกรงว่าพระชายาจะทำให้เขาลำบากใจ ข้าจึงจงใจไม่สนใจเขา ใครจะคิดว่าเขาเข้าใจว่าข้าดูถูกเขา ผูกใจเจ็บกับข้า แม้ว่าหลังจากนั้นข้าไปหาเขาด้วยตนเองถึงสองครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจข้าเลย”
“เช่นนี้เองหรือ!” หลินจ้งตบโต๊ะด้วยความโกรธเคือง “เขากล้าขัดข้อกับเราขึ้นมา ไม่ดูเลยว่าตัวเองเป็นผู้ใด เจ้ามีใจให้เขา เป็นบุญที่ไม่รู้อีกกี่ชาติเขาจะมีได้”
หลินหันเยียนรีบปกป้องหวงฝู่อวี้ “ข้าเป็นคนก่อความผิดเอง พี่ใหญ่อย่าไปกล่าวโทษเขาเลย”
หลินจ้งถอนหายใจ พูดด้วยความโกรธว่า “เขามีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า เหตุใดข้าจะต้องไปกล่าวโทษเขา” พูดจบ ก็พูดต่อว่า “ข้าเห็นว่าเขาไม่ได้มีใจให้เจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าตัดใจเสียเถิด จะได้ไม่ให้คนเขาหัวเราะเยาะเอาได้ว่าเจ้าคิดเองเออเอง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น