ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 282-285
ตอนที่ 282 ดีใจ
ใบหน้าดำคล้ำของเหวินซงเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นในทันที ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ปีก่อนตอนเกิดเรื่อง นางเพิ่งเข้ามา ท่าทางร่าเริงอารมณ์ดีของนางดึงดูดข้า ตอนนั้นข้าไม่กล้าพูดเรื่องแต่งงานกับเตี่ยและแม่ คิดว่าตนไม่เหมาะสมกับนาง แต่สองปีมานี้ แม้ว่าข้าจะอยู่ที่ชนบท แต่ก็ยังลืมนางไม่ลง จึงขอร้องนายหญิงช่วยข้าให้สมหวังด้วยขอรับ”
เหวินซงพูดถึงว่าครอบครัวของเขาอดไม่ได้ที่จะกลับไปยังค่ายองครักษ์ เป็นเหตุให้เมิ่งเชี่ยนโยวต้องถูกจับตัวไป ตอนนั้นเองที่พระชายามอบชิงหลวนและจูหลีให้นาง เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบรับในทันที ยิ้มและพูดว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ของชิงหลวนข้าคงจะตอบตกลงเจ้าโดยง่ายไม่ได้ เอาอย่างนี้รอให้ข้ากลับไปถามความเห็นของชิงหลวนเสียก่อน หากนางยินดี ข้าก็จะไปสู่ขอให้ แต่หากนางไม่ยินดี เจ้าก็อย่าดึงดันเลย”
เหวินซงเห็นว่านายหญิงไม่ได้ขัดขวางจึงได้มีความหวังขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะอยู่ต่อหน้าเมิ่งเชียนโยวแล้วล่ะก็ เขาคงจะกระโดดโลดเต้นขึ้นมาเพราะความดีใจเป็นแน่ กล่าวขอบคุณว่า “ขอบคุณขอรับนายหญิง ขอบคุณขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและตอบว่า “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก พวกเจ้าถึงเวลาจะต้องมีเหย้ามีเรือนกันแล้ว ในฐานะนายหญิง ข้าควรจะจัดการให้ตั้งนานแล้ว”
เหวินเปียวเองก็กล่าวขอบคุณตามมาติดๆ ตนเองมีลูกชายคนเดียว หากว่าได้ตกล่องปล่องชิ้นกับคนในดวงใจ เขาก็สามารถติดตามนายหญิงอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่บ้านอีกแล้ว
เมื่อพูดเรื่องเหวินซงจบ เหวินเปียวกำลังจะเปิดปากถามเรื่องเหวินเหลียน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดขึ้นมาก่อน “เหวินเหลียนเองก็อายุไม่น้อยแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าและภรรยาไปตกลงกันว่าต้องการให้ข้าจัดการเรื่องคู่ครองให้หรือไม่”
เหวินเปียวพยักหน้า “นายหญิง ท่านพูดตรงประเด็นทีเดียว ข้าและแม่ของเด็กๆ เพิ่งจะคุยกันว่าอยากจะให้ท่านจัดการเรื่องคู่ครองของเหวินเหลียนให้ทีขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนับว่ารู้จักเหวินเหลียนดี เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า “ได้ ข้าจะไปคุยกับอี้เซวียน ดูทีว่าเขามีลูกน้องที่เหมาะสมหรือไม่ ถ้าหากมี ข้าจะแจ้งเจ้าไป”
เหวินเปียวพยักหน้าด้วยความดีใจอีกครั้ง เดินกลับมายังที่พักคนงานกับเหวินซง นำข่าวดีบอกภรรยาของตน
เมื่อเห็นร่างเดินกระเผลกของเขาจากด้านหลัง ทำให้คิดถึงเรื่องหลายปีมานี้ เหวินเปียวและพรรคพวกหนักเอาเบาสู้ติดตามตนมาด้วยความจงรักภักดี จึงผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา คิดว่าอีกครู่เมื่อพบอี้เซวียนแล้วจะคุยกับเขา หากวันนี้ไม่มีอุปสรรคใดๆ เรื่องนี้คงทำได้ไม่ยาก
หวงฝู่อี้เซวียนที่ปกติแล้วจะตัวติดกับนาง ถูกเมิ่งต้าจินรั้งตัวไว้เพื่อถามเรื่องเกี่ยวกับการสอบจอหงวนของเมิ่งเหริน แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน แต่ก็ยังเคยได้ยินมาบ้าง จึงได้นำสิ่งที่ตนพอจะรู้ และสิ่งที่พวกเขาควรจะต้องระวัง บอกพวกเขาไปทั้งหมด
จากนั้นก็ได้อยู่พูดคุยกับสองพ่อลูกสักครู่ จึงได้เดินออกมา ก็พบกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังเดินเล่นอยู่ในจวน
เมื่อเห็นเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มพร้อมโบกมือให้ เล่าเรื่องที่สองพ่อลูกเหวินเปียวมาหานางเมื่อครู่ให้เขาฟัง ยิ้มและพูดว่า “คาดไม่ถึงเสียจริงว่าโชคจะเข้าข้างเราเสียเพียงนี้ คราแรกพวกเราเพียงต้องการจะจัดการเรื่องจูหลีและกัวเฟยแท้ๆ ไม่คิดเลยว่าชิงหลวนก็มีดวงแต่งกับเขาด้วย”
แต่หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ดีใจเท่ากับนาง พูดเสียงต่ำว่า “ชิงหลวนและจูหลีเป็นคนข้างกายเจ้าที่รู้งานที่สุด หากทั้งสองออกเรือนไปพร้อมกันแล้ว อย่างนั้นข้างกายเจ้าก็ไม่มีคนคอยรับใช้แล้วหนา”
“เรื่องเท่านี้เอง บัดนี้เฮ่อจางถูกปลดไปแล้วรอบตัวข้าสงบสุขยิ่งนัก ชิงหลวนและจูหลีจะอยู่หรือไม่ก็มิเป็นไรหรอก อีกอย่าง ต่อให้พวกนางออกเรือนไปแล้ว แต่ก็ยังสามารถอยู่ข้างกายข้าได้ดังเดิม”
แต่หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่เห็นด้วย เขาต้องการให้มีคนคอยดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ข้างกายตลอดเวลา เพื่อให้มั่นใจว่านางไม่มีอันตรายใดๆ จึงได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “รอจนพวกนางออกเรือนไปแล้ว ให้ท่านแม่เลือกองครักษ์มาให้เจ้าใหม่สองคนเถิดนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าพร้อมยิ้ม “ไม่ต้องหรอก ข้าคุ้นชินกับชิงหลวนและจูหลีเสียแล้ว เปลี่ยนเป็นคนอื่นข้าไม่ชิน”
หวงฝู่อี้เซวียนลูบหัวนางด้วยความเอ็นดูเป็นที่สุด ไม่พูดอะไรต่อ
ชิงหลวนเข้ามา รายงานทั้งสองว่า “ซื่อจื่อ นายหญิง ฮูหยินถามว่าวันนี้จะอยู่รับประทานอาหารกลางวันหรือไม่เจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ กวักมือให้นาง “ชิงหลวน เจ้ามานี่ที ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
ชิงหลวนเดินเข้ามา “นายหญิง มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“วันนั้นที่ข้าบอกให้เจ้าไปหาคนที่ถูกใจมา เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ามีคนที่ถูกใจหรือไม่ บอกข้าที” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของชิงหลวนไม่เปลี่ยนไป ตอบว่า “ข้าน้อยไม่มีคนที่ถูกใจเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นให้ข้าแนะนำให้เจ้าเป็นอย่างไร”
ชิงหลวนลังเลเล็กน้อย “นายหญิง หน้าที่ของข้าน้อยก็คือดูแลความปลอดภัยของท่าน เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เช่นนี้ไม่ต้องไปพูดถึงดีหรือไม่เจ้าคะ ชิงหลวนไม่มีความคิดอยากออกเรือน”
น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความหนักแน่น “เรื่องนี้ไม่ได้ หากเจ้าไม่ออกเรือน ต่อไปก็ห้ามอยู่ข้างกายข้าอีก ข้าไม่อยากเห็นพวกเจ้าแก่เฒ่าไปอย่างโดดเดี่ยว”
ชิงหลวนผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “อย่างนั้นก็ตามแต่นายหญิงจะเห็นควรเจ้าค่ะ ข้าไม่มีความเห็น”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสดังเดิม ถามด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าคิดว่าเหวินซงเป็นอย่างไร”
สีหน้าของชิงหลวนงุนงงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านึกไม่ออกในทันทีว่าเหวินซงคือผู้ใด
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้ช่วยพูดให้นางนึกออก “ลูกชายของเหวินเปียวอย่างไรเล่า สองปีก่อนที่เจ้าเพิ่งจะมาอยู่กับข้า เขาได้รับบาดเจ็บพอดี พักฟื้นอยู่กับบ้าน จากนั้นก็กลับบ้านไป”
ชิงหลวนจึงนึกขึ้นได้ เป็นชายหนุ่มที่ต้องหน้าแดงทุกครั้งยามพูดคุยกับนาง ร่างสูงใหญ่ ดวงตาโต ผิวสีคล้ำ เมื่อยิ้มออกมา มักจะทำให้คนรู้สึกสบายใจ
“วันนี้เขามาขอร้องข้า บอกว่าสองปีก่อนก็ถูกใจเจ้าเข้าแล้ว อยากให้ข้าเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้ ข้าไม่ได้ตกลงในทันที อยากจะถามความเห็นเจ้าก่อน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่กำยำ ขี้อายผู้นั้น ชิงหลวนก็หน้าแดงขึ้นมา ตอบเสียงเบาว่า “ข้าน้อยไม่มีความเห็นเจ้าค่ะ ทั้งหมดตามแต่นายหญิงจะว่าควร”
เช่นนี้ถือเป็นการตอบรับแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “ดี อีกครู่ข้าไปบอกพวกเขา รอให้พี่ข้าสอบจอหงวนเรียบร้อยแล้ว เราจะจัดการเรื่องคู่ครองของเจ้า”
ชิงหลวนฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงพูดว่า “ข้าไม่อยากห่างจากนายหญิง”
เหวินซงอาศัยอยู่ในชนบท หากแต่งงานกันแล้ว ต้องกลับไปกับเขา และต้องจากนายหญิงไป นางยอมไม่แต่งดีกว่า
เมื่อได้ยินนดังนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะและพูดว่า “วางใจเถิด ต่อให้เจ้ายอมจากข้าไป ข้าก็ไม่ยอมอยู่ดี เจ้าเตรียมตัวออกเรือนอย่างมีความสุขเถิด เรื่องที่เหลือให้ข้าจัดการเอง”
ชิงหลวนพูดว่า “ข้าน้อยตัวคนเดียว ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีvะไรต้องเตรียมเจ้าค่ะ รอถึงเวลาไปสักการระฟ้าดินก็เพียงพอแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมส่ายหน้า ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ พูดว่า “เจ้าไปบอกแม่ข้า บอกว่าวันนี้จะอยู่กินอาหารกลางวันด้วย และข้าอย่างกินยำผักที่นางทำ”
ชิงหลวนตอบรับ เดินจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองตามหลังนาง พูดว่า “นับว่าจัดการไปได้แล้วคนหนึ่ง คนต่อไปก็คือจูหลี อย่างมากก็วันมะรืนนี้ ข้าและท่านแม่จะบังคับให้กัวเฟยไปสู่ขอนางให้ได้”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ “เจ้านี่หนา เป็นแม่สื่อแม่ชักเสียเพลิน เรื่องงานแต่งของอวี้เอ่อร์ยังไม่เรียบร้อยเลย ยังจะมากังวลเรื่องจูหลีและกัวเฟยอีกหรือ”
“เรื่องงานแต่งของอวี้เอ๋อร์ไม่ยากเจ้าค่ะ ข้าคิดได้ตั้งนานแล้ว อีกสองวันเจ้าสั่งคนให้ไปปล่อยตัวท่านชายคนนั้นออกมา ส่งเขาไปยังเมืองหลวงอย่างลับๆ ส่วนเรื่องต่อจากนั้น เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว รอดูได้เลย มีข้าและท่านแม่อยู่ตรงนี้ พวกเขาจะต้องสมหวังไปตามๆ กันแน่”
“ท่านราชเลขาหลินไม่ใช่คนที่จะต่อกรได้ง่าย หากเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง จวนอ๋องของเราคงจะถูกพวกเขาถอนหงอกเป็นแน่”
สายตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ตอนนั้นคิดแต่ว่าอยากจะรีบจัดการเรื่องของท่านและแม่นางหลิน พวกเราจึงต้องยอมรับเงื่อนไขของพวกเขาอย่างเสียไม่ได้ บัดนี้ ฮื้ม…สิ่งใดที่ติดค้างกับพวกเราไว้ พวกเขาจะต้องชดใช้”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าพร้อมยิ้ม พร้อมกันนั้นก็เตือนนางด้วยเสียงอ่อนโยน “เรื่องที่เจ้าจะกังวลเรื่องพวกเขาข้าไม่ว่าอะไร แต่เจ้าอย่าหักโหมเกินไป เจ้าต้องดูแลลูกในท้องให้ดี หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา…” พูดถึงตรงนี้ เสียงเขาลดต่ำลง กระซิบข้างหูนางว่า “เจ้าเองก็รู้วิธีของข้า”
เมื่อนึกถึงตอนที่เขาหักโหมสามวันสามคืนไม่พัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตัวสั่นขึ้นมา กอดแขนเขาไว้แน่น ยิ้มอย่างออดอ้อน “วางใจเถิด ข้ารู้จักประมาณตน อย่างไรก็ต้องเอาลูกเป็นหลัก”
นานๆ ทีนางถึงจะมีท่าทางเชื่อฟังเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนใจเต้น อาศัยช่วงที่รอบกายไม่มีคน รีบก้มลงจุมพิตริมฝีปากนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง กอดแขนของเขาเดินเข้ามายังห้องรับรองแขก
ฝั่งทางเหวินเปียวและเหวินซงกำลังคุยอะไรกันบางอย่างอย่างออกรส เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้ทักทายทั้งสอง “ซื่อจื่อ นายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “มาถึงตั้งแต่เมื่อวาน มัวแต่คุยกับบ้านท่านป้าจนดึก ไม่มีเวลามาเยี่ยมพวกเจ้า”
ภรรยาเหวินเปียวรีบโบกมือ “นายหญิงพูดอะไรเช่นนี้ ข้าควรจะต้องพาลูกทั้งสองไปทักทายท่านจึงจะถูก แต่ว่าสามีข้าพูดว่า ครอบครัวท่านชายเพิ่งจะมาถึง พวกท่านคงจะมีเรื่องจะพูดคุยกันมากมาย ไม่ให้พวกข้าไปรบกวน ดังนั้น เราสามคนแม่ลูกจึงไม่ได้ไป ขอนายหญิงอภัยให้ด้วย”
ภรรยาเหวินเปียวเหมือนเหวินเปียวไม่มีผิด เป็นผู้ให้ความสำคัญกับมารยาท หลายปีมานี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นระเบียบเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพร้อมยิ้ม “คนบ้านเดียวกันแท้ๆ อย่าพูดอะไรเช่นนี้เลย ข้าและอี้เซวียนมาที่นี่ก็เพื่อจะมาบอกข่าวดีให้กับพวกเจ้า”
ภรรยาเหวิงเปียวยิ้มตาหยี ถามด้วยความยินดีว่า “นายหญิง ข่าวดีอะไรหรือคะ เป็นเรื่องที่แม่นางชิงหลวนตกลงแต่งงานกับเหวินซงแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าเดาถูกแล้วล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยความดีใจ “ชิงหลวนเองก็พอใจตัวเหวินซงเช่นเดียวกัน บอกว่าทั้งหมดตามแต่ข้าจะเห็นควร เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็เตรียมตัวได้เลย หลังจากพี่เมิ่งเหรินสอบจอหงวนเสร็จแล้ว ก็จัดงานแต่งให้พวกเขาได้”
หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ภรรยาเหวินเปียวเสียอาการ รีบเดินเข้ามาจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ กล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้งว่า “จริงหรือเจ้าคะ ดีเหลือเกิน ขอบคุณนายหญิงมากเจ้าค่ะ”
พูดจบ ก็คิดได้ว่ากิริยาของตนไม่เหมาะสม จึงได้รีบปล่อยมือเมิ่งเชี่ยนโยว เดินถอยหลังออกไป พูดด้วยสีหน้าแดงก่ำว่า “ข้าดีใจเหลือเกิน จึงได้ล้ำเส้นไป นายหญิงโปรดอภัยด้วย”
เหวินซงและเหวินเหลียนอายุเข้ายี่สิบปีกันแล้ว ไม่ว่าจะในเมืองหลวง หรือต่อให้ในชนบท อายุเท่านี้ก็ต้องมีลูกคนคนหนึ่งหรือสองคนแล้ว แต่เรื่องงานแต่งของทั้งสองเพิ่งจะได้ลงตัววันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวเองเข้าใจความรู้สึกของภรรยาเหวินเปียว ยิ้มและพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่เป็นอะไรหรอกนะ”
เหวินเปียวเองก็ดีใจไม่แพ้กัน ชายร่างสูงกำยำถูมือกันไปมาด้วยความตื่นเต้น
ครั้งนี้เหวินซงอดไม่ไหว ดีใจจนกระโดดขึ้นมา เมื่อเท้าตะพื้นจึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนเสียมารยาท รีบเดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน โค้งคำนับทั้งสองจนลำตัวขนานไปกับพื้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจที่อดกลั้นไม่อยู่ “ขอบคุณขอรับซื่อจื่อ ขอบคุณขอรับนายหญิง”
เหวินเหลียนเองก็เม้มปากยิ้ม พี่ชายเป็นตั่วเฮียของบ้านเหวิน ในที่สุดก็ได้เป็นฝั่งฝาเสียที เป็นเรื่องที่นี่ยินดีที่สุดในรอบหลายปีมานี้เลย
เมิ่งเชี่ยนโยวสุงเกตสีหน้าของทุกคนในครอบครัวนี้ ในใจก็ยินดีไปกับเหวินซง ในสมัยนั้น เป็นการคลุมถุงชนเสียมาก ได้ครองคู่กับคนที่รักใคร่ชอบพอกันนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แม้ว่าการแต่งงานของเหวินซงและชิงหลวนนั้นจะเกิดจากความต้องการของเหวินซงเพียงผู้เดียว แต่ก็เพียงพอแล้ว ชิงหลวนเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เชื่อว่านางจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับเหวินซงได้อย่างมีความสุขชั่วชีวิต
กลอกสายตาไป เห็นเหวินเหลียน เห็นนางยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังผู้คน ใบหน้ายิ้มแย้ม ในใจจึงได้เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แต่ว่าไม่ได้พูดออกไป แต่กลับพูดว่า “เหวินเหลียน เรื่องแต่งงานของเหวินซงจัดการเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เป็นเจ้า เจ้าอยากออกเรือนกับชายแบบใด”
เหวินเหลียนทำความเคารพนาง “ทั้งหมดตามแต่นายหญิงจะเห็นควรเจ้าค่ะ ข้าไม่มีความเห็นใด เพียงแต่ขออยากจะอยู่ข้างกายเตี่ยกับแม่”
“อย่างนั้นก็ยากเสียแล้ว เป็นหญิงมีแต่จะต้องแต่งออกเรือนไป เจ้าอยากอยู่ข้างกายพ่อกับแม่ เช่นนี้แล้วจะต้องหาลูกเขยที่แต่งเข้าอย่างนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยรอยยิ้ม
เหวินเหลียนหน้าแดง แต่ก็ยังคงพูดต่อไปว่า “นายหญิงเข้าใจความหมายข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ที่บ้านมีพี่ใหญ่อยู่ทั้งคน ข้าเองก็คงไม่ต้องการแต่งลูกเขยเข้าบ้าน แต่ความหมายของข้าคืออยากหาชายที่อยู่ใกล้ๆ เตี่ยกับแม่ มาดูแลทั้งสองได้ตลอดเวลา”
“อย่างนั้นเจ้าจะหาคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือว่าในชนบทกันเล่า”
ตอนที่ 283 ทางออก
เหวินเหลียนไม่ทันได้ตอบ ก็มีสองเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน
“ในเมืองหลวง!”
“ในชนบท!”
คนที่บอกว่าในเมืองหลวงคือภรรยาเหวินเปียว ส่วนคนที่บอกว่าในชนบทนั้นคือตัวเหวินเปียวเอง
สิ้นเสียงของคนทั้งสอง ภรรยาของเหวินเปียวก็รีบพูดว่า “นายหญิง อย่าไปฟังเขาเจ้าค่ะ ให้เหวินเหลียนอยู่ที่เมืองหลวงนี่แหละ”
เหวินเหลียนเป็นเด็กผู้หญิง ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องขึ้นที่บ้าน เหวินเหลียนคงได้ครองคู่กับคนที่ดีไปนานแล้ว ไม่เป็นเหมือนเช่นวันนี้
อยู่ในชนบทมาทั้งชีวิต แม้ว่านายหญิงจะดีกับตระกูลของตนเองมาd แต่ภรรยาของเหวินเปียวก็หวังอยากจะให้เหวินเหลียนได้มีชีวิตเช่นเดียวกับเด็กสาวคนอื่น ได้คู่ครองที่ดี
สิ่งที่เหวินเปียวคิดไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ ตนเองอยู่ข้างกายนายหญิงมานานหลายปี ไม่ค่อยได้ดูแลครอบครัว ชิงหลวนเป็นคนข้างกายนายหญิงที่ได้เรื่องมากที่สุด หากเหวินซงแต่งงานกับนาง อย่างไรก็ต้องอยู่ที่เมืองหลวงต่อ หากเหวินเหลียนยังมาลงหลักปักฐานที่เมืองหลวงอีก อย่างนั้นก็จะเหลือภรรยาของตนเองอยู่ที่ชนบทผู้เดียว อย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด
เมิ่งเชี่ยนโยวเดาความคิดของทั้งสองออก พูดว่า “ให้เหวินเหลียนตัดสินใจเองเถิด ว่านางอยากจะอยู่ที่ใด”
อย่างไรเสียนางก็เติบโตมาในเมืองหลวง ทุกอย่างที่นี่ล้วนเป็นสิ่งที่นางคุ้ยเคยและโหยหา แน่นอนว่าเหวินเหลียนอยากอยู่ในเมืองหลวง แต่หากนางอยู่ที่เมืองหลวง อย่างนั้นนานทีปีหนจึงจะได้พบหน้ากับแม่ของตน ในใจก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ เกิดความลำบากใจขึ้น นางเม้มปาก ไม่ได้ตอบอะไรในทันที
ลูกสาวที่ตนเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อยกำลังคิดอะไรอยู่ มีหรือว่าคนเป็นแม่จะไม่รู้ เมื่อเห็นเหวินเหลียนลังเล จึงได้ร้อนใจ รีบบอกนางว่า “เหลียนเอ๋อร์ ไม่ต้องสนใจแม่ นี่เป็นเรื่องใหญ่ของเจ้า จะสะเพร่าไม่ได้ รีบบอกนายหญิงไปสิว่าเจ้าอยากอยู่ที่เมืองหลวงต่อ”
เมื่อเห็นท่าทีร้อนใจของแม่ ริมฝีปากเหวินเหลียนขยับเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เหวินเปียวเปิดปาก แต่ภรรยาเหวินเปียวห้ามเอาไว้ “ชีวิตเรามันก็เท่านี้แหละ แต่เหลียนเอ๋อร์ยังเด็ก จะให้นางใช้ชีวิตอย่างเราอีกไม่ได้ เจ้าสัญญากับข้า ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเหลียนเอ๋อร์อีก”
ปากที่เปิดอ้าของเหวินเปียวปิดดังเดิม คำพูดที่กำลังจะออกมาก็ถูกกลืนลงไป
ภรรยาเหวินเปียวหันไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว ขอร้องนางว่า “นายหญิง ข้ารู้ว่าท่านดีกับพวกเรามาก แต่เรื่องของเหลียนเอ๋อร์ ข้ายอมแบกหน้ามาขอร้องท่าน ขอร้องให้ท่านหาคู่ให้นางที่เมืองหลวงนี้ด้วยเถิด ฐานะอย่างเราไม่ขอได้ตระกูลที่สูงส่ง ขอแค่พอมีก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ สายตามองมาที่เหวินเหลียน ถามว่า “ตัวเจ้าอยากอยู่ที่ใด”
คนเป็นแม่ใจร้อนกว่าเดิม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ้อนวอน “เหลียนเอ๋อร์…”
เหวินเหลียนเม้มปากเล็กน้อย ตอบด้วยเสียงเบาว่า “ตามความประสงค์ของแม่ข้า ข้าเลือกอยู่ในเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
ภรรยาเหวินเปียวยินดียิ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเข้าใจแล้ว วันสองวันนี้รอข่าวจากข้าได้เลย”
เหวินเปียวและภรรยารีบกล่าวขอบคุณ
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินออกจากที่พักบ่าวไพร่ ไปยังห้องนอนของเมิ่งชื่อ
เมิ่งชื่อเข้าครัวไปแล้ว ทั้งสองจึงได้เดินจูงมือกันไปยังห้องครัว ไม่เพียงเมิ่งชื่อแต่ภรรยาของเมิ่งต้าจินเองก็ช่วยงานอยู่ในครัวด้วย เมิ่งเชี่ยนโยวให้หวงฝู่อี้เซวียนรออยู่ด้านนอก เพิ่งเข้าไปในห้องครัวก็ถูกภรรยาเมิ่งต้าจินพบเข้า จึงได้รีบลุกขึ้นมาต้อนรับนาง “โยวเอ๋อร์ ในครัวควันโขมง ไม่ดีต่อลูกในท้องหนา”
“ท่านอาสะใภ้เจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ เมื่อก่อนท่านและแม่ของข้าก็…” พูดถึงตรงนี้นางก็มีความรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที จึงได้รีบใช้มือปิดปากเอาไว้ หันหลังเดินออกมาด้านนอก นางสาวเท้าเร็วไปเสียหน่อย ทำเอาภรรยาเมิ่งต้าจินตกใจแทบแย่ รีบเดินตามไปด้านหลัง “โยวเอ๋อร์ ค่อยๆ เดิน หากทนไม่ไหวอาเจียนออกมาตรงนี้เลยก็ได้ อีกครู่ป้าทำความสะอาดเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพุ่ ออกจากประตูไป นางทนไม่ไหวอีกแล้ว จึงได้อาเจียนออกมาเสียงดัง
หวงฝู่อี้เซวียนตกใจมาก รีบเดินไปหานาง ช่วยนางลูบแผ่นหลัง ถามด้วยความร้อนใจว่า “เป็นอะไรหรือ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
เมิ่งต้าจินเห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ด้วย จึงได้หันหลังกลับไปในครัว หาน้ำเย็นออกมา หวังจะให้เมิ่งเชี่ยนโยวใช้ล้างปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในทั้งหมดไหลมากองรวมกันในลำคอแล้วตอนนี้ อยากจะอาเจียนออกมาเสียให้หมดให้ได้ นางอาเจียนอยู่นานทีเดียว
หวงฝู่อี้เซวียนร้อนใจจนมีเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผาก ถามนางว่า “หลายวันมานี้ยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ แล้วเจ้าเป็นอะไรไปอีก”
เมิ่งชื่อได้ยินเสียงวุ่นวายจึงได้เดินออกมาจากครัว เห็นสภาพเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังอาเจียนออกมาก็รู้สึกสงสารจับใจ พูดว่า “อาการของโยวเอ๋อร์รุนแรงเสียจริง มีตรงไหนผิดปกติหรือไม่ ไปตามหมอมาตรวจดูอาการให้นางดีกว่า”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้น จึงได้นำป้ายที่ติดเอวของตนออกมา โยนให้โจวอันทันที พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ไปลากตัวหมอหลวงเจียงมา”
เขาพูดเช่นนี้เพราะความร้อนรน แต่ลืมไปว่าโจวอันนี้ทำตามคำสั่งของเขาทุกประการ จึงได้ลากตัวหมอหลวงเจียงมาจริงๆ
หมอหลวงเจียงผู้น่าสงสาร อายุก็มิใช่น้อยๆ แล้ว หลังถูกโจวอันลากตัวมายังตำหนักนั้นไม่เพียงทำเอากระดูกแทบหลุดออกจากกัน และเขายังอาเจียนหนักกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเสียอีก
เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของเขา อาการแพ้ท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับดีขึ้น ยืนมองเขาครู่ใหญ่ จากนั้นก็หัวเราะออกมา ถามอย่างล้อเล่นว่า “หมอหลวงเจียง ท่านเองก็ตั้งครรภ์เช่นกันหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงแพ้ท้องหนักกว่าข้าเสียอีก”
หมอหลวงเงยหน้าที่แดงก่ำเนื่องจากอาเจียนขึ้นมา โบกมือ ตอบด้วยความอ่อนแรงว่า “องค์หญิงอย่าล้อเล่นไปเลย ข้าเป็นชาย จะมีครรภ์ได้อย่างไร”
ทุกคนหัวเราะออกมา
แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่รู้สึกขำเลย พูดด้วยเสียงต่ำว่า “โยวเอ๋อร์อาเจียนหนักมาก แม่ข้าบอกว่านางผิดปกติที่ใดหรือไม่ รีบตรวจเข้า”
หมอหลวงเจียงรับปาก มองสำรวจรอบๆ ขมวดคิ้วลง
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจ จึงได้โน้มตัวลงอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยว สั่งว่า “เจ้ามากับข้า”
หมอหลวงเจียงสะพายกระเป๋ายาเดินตามมาด้านหลัง เมิ่งชื่อก็ไม่ทำอาหารต่อแล้ว เดินตามมาด้านหลังพร้อมภรรยาเมิ่งต้าจิน
ทั้งหมดมาถึงห้องรับรองแขก หวงฝู่อี้เซวียนวางเมิ่งเชี่ยนโยวลงบนเก้าอย่างเบามือ หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนวางบนข้อมือนางที่พากอยู่บนโต๊ะ
หมอหลวงเจียงเดินเข้ามา โน้มตัวลงอีกด้าน พับแขนเสื้อขึ้น ก้มลงจับชีพจรให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ “หมอหลวงเจียงนั่งลงเถิดเจ้าค่ะ ท่านทำเช่นนี้ข้าไม่คุ้นชิน”
หมอหลวงเจียงอยู่ในวังมานาน วันๆก็ต้องรับใช้เหล่าผู้ดีในวัง คุ้นเคยกับท่าทีต่ำกว่าผู้อื่นเสมอ เมื่อได้ยินคำเมิ่งเชี่ยนโยว รู้ได้ว่านางคำนึงถึงตัวเขา จึงรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก และยิ่งนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ขอบพระคุณองค์หญิง”
หวงฝู่อี้เซวียนทำเสียงไม่พอใจในลำคอ
หมอหลวงเจียงนึกได้ จึงรีบเปลี่ยนคำ “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากยิ้ม
หมอหลวงเจียงนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งด้วยความเรียบร้อย ตรวจชีพจรให้นางโดยละเอียด
คนในห้องล้วนแต่มองมาที่หมอหลวงด้วยสายตากังวล มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่มองเขาด้วยรอยยิ้ม
หมอหลวงเจียงขมวดคิ้วลง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวต่างเห็นได้ชัด
สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา เผยรอยยิ้มปลอบใจออกมา
นานราวสิบกว่านาที หมอหลวงจึงได้เอามือออกจาแขนนาง พูดว่า “รบกวนซื่อจื่อเฟยยื่นมือด้านซ้ายมาด้วย”
ครานี้เมิ่งชื่อและภรรยาเมิ่งต้าจินรู้สึกว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว กังวลยิ่งกว่าเดิม
ครานี้นานกว่าเดิม กว่าที่หมอหลวงจะปล่อยมือเมิ่งเชี่ยนโยว มองคนในห้อง เตรียมจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
เมิ่งชื่อร้อนใจ จึงได้เร่ง “หมอหลวง มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด โยวเอ๋อร์ผิดปกติที่ใดหรือ”
“ท่านแม่” เมิ่งเชี่นโยวดดึงมือกลับ ยิ้มและพูดกับนางว่า “ข้ารู้วิชาแพทย์ ตัวข้าผิดปกติที่ใด มีหรือข้าจะไม่รู้ คงเป็นเพราะเมื่อวานข้าตื่นเต้น นอนดึกไปเสียหน่อย วันนี้จึงค่อนข้างเพลีย ทำให้เป็นเช่นนี้ได้”
เมื่อนางพูดเช่นนี้ หมอหลวงเจียงก็เข้าใจความหมาย จึงได้พยักหน้าเสริม พูดตามน้ำว่า “ไม่มีปัญหาอะไรมากขอรับ นอนพักให้มากก็ดีขึ้น”
ในสายตาของคนในชนบท หมอหลวงเจียงเป็นดั่งหมอเทวดา ในเมื่อหมอเทวดาบอกว่าไม่เป็นอะไร ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ เมิ่งชื่อและภรรยาเมิ่งต้าจินจึงได้โล่งใจ ภรรยาเมิ่งต้าจินกล่าว “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เป็นความผิดพวกเราเองที่รั้งตัวเจ้าเอาไว้ ไปเร็ว รีบกลับห้องไปนอนพักผ่อนเสีย รออาหารเสร็จแล้ว พวกเราจะไปส่งให้”
เมิ่งชื่อเห็นด้วย “ใช่ ใช่ ใช่ รีบไปพักผ่อนเร็ว และอีกอย่าง ต่อจากนี้อย่าเข้าไปในครัวอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ พูดว่า “ท่านแม่ ท่านป้าใหญ่ พวกท่านไปทำอาหารเถิดเจ้าค่ะ บัดนี้ข้าหิวกว่าเดิมแล้ว”
“ได้ ได้ ได้ เจ้านั่งรอ แม่และป้าของเข้าจะรีบไปทำ ไม่นานก็เสร็จแล้ว”
พูดจบทั้งสองก็เดินออกจากห้องไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหาร
มองดูร่างของพวกนางหายไปจากหน้าประตู เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพูดกับหมอหลวงว่า “มีอะไรก็พูดมาเถิด”
หมอหลวงมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน
“แผลของข้ามีผลกระทบต่อลูกใช่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างใจเย็น
หมอหลวงไม่ทันเก็บสีหน้าก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นเข้า สิ่งที่ตนกังวลเกิดขึ้นจนได้ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า ยิ้มและพูดว่า “มีผลอย่างไรหรือ”
หมอหลวงเจียงอ้าปาก เตรียมจะพูด เสียงที่เต็มไปด้วยความตะหนกของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือไป พาเขาเข้ามาใกล้กว่าเดิม เงยหน้า “ไม่ต้องกังวลไป ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด”
หวงฝู่อี้เซวียนหันหน้าไปหาหมอหลวงเจียง สายตาดุดัน
ร่างของหมอหลวงเจียงสั่นเล็กน้อย กลืนน้ำลายลงอย่างใจเสาะ พูดว่า “แผลของซื่อจื่อเฟยตื้นเกินไป ทั้งยังทำร้ายลูกแฝด ดังนั้น…”
หวงฝู่อี้เซวียนยกตัวเขาขึ้นมา น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ดังนั้นอะไร”
ร่างของหมอหลวงเจียงสั่นมากกว่าเดิม “ดังนั้นอายุครรภ์ยิ่งมาก อันตรายกับตัวของซื่อจื่อเฟยก็ยิ่งมากขึ้นด้วย คาดว่าอายุครรภ์ไม่ถึงกำหนดก็ต้อง…”
มือของหวงฝู่อี้เซวียนกำแน่นมากขึ้น ดวงตาเริ่มแดงก่ำ “จะเป็นอย่างไร”
หมอหลวงเจียงรู้สึกว่าตรงที่ถูกเขาจับนั้นเจ็บเหลือเกิน แต่ก็ไม่กล้าร้องออกไป “ก็…”
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น ยิ้มและพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อี้เซวียน เจ้าทำให้หมอท่านตกใจมากแล้ว วางมือลงก่อนเถิด ให้เขาอธิบายให้จบ”
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้นจึงวางมือลง
ร่างของหมอหลวงเจียงสั่นเล็กน้อย เกือบทรงตัวไว้ไม่อยู่
เมิ่งเชี่ยนโยวกดหวงฝู่อี้เซวียนให้นั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่ง มองตาเขา พูดว่า “อี้เซวียน ไม่เป็นไรหรอก อย่ากลัวไปเลย ข้าจะอยู่ตรงนี้เสมอ”
คำพูดของนางเป็นดั่งการปลอบประโลมใจ จิตใจของหวงฝู่อี้เซวียนสงบขึ้นมา พูดกับหมอหลวงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “รีบพูดมาให้จบ”
หมอเจียงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พูดอย่างกล้าๆกลัวๆว่า “จะมีผลสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือ ซื่อจื่อเฟยรับเด็กสองคนนี้ไม่ไหว เมื่อถึงตอนหลัง แผลอาจจะเปิดออก ถึงตอนนั้นต่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้”
หวงฝู่อี้เซวียนกำหมัดแน่น พูดว่า “อีกอย่างเล่า”
“อีกอย่างคือ เมื่อถึงช่วงหลังแล้ว เด็กไม่สามารถทนอยู่ในร่างของแม่ได้ อาจจะออกมาเร็ว ซึ่งก็คือการคลอดก่อนกำหนด เมื่อถึงตอนนั้น ซื่อจื่อเฟยและลูกต่างมีอันตรายด้วยกัน”
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ทุ้มต่ำอีกต่อไป ถามด้วยอารมณ์เครียดว่า “มีทางแก้หรือไม่”
หมอกลืนน้ำลายลงคอ ริมฝีปากสั่น จากนั้นจึงได้แข็งใจตอบกลับไปว่า “มีขอรับ”
“พูดมาสิ!”
“ในตอนที่ทารกยังอายุไม่มาก ให้ซื่อจื่อเฟยเอาเด็กออกมาก่อน รอเวลาผ่านไป จนร่างกายของซื่อจื่อเฟยแข็งแรงขึ้น จากนั้นค่อยมีลูกใหม่ก็ยังไม่สายขอรับ”
สิ้นคำเขา ในห้องก็เงียบราวกับป่าช้า
หมอหลวงเจียงกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง อยากจะหดตัวลงเข้าด้วยกัน อยากทำให้ตัวเองหายไป
“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่” ผ่านไปครู่ใหญ่ หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หมอหลวงเจียงส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ”
“ไม่มี?” หวงฝู่อี้เซวียนผุดลุกขึ้นทันที ยกตัวเขาขึ้นอีกครั้งราวกับสิงโตคำราม เสียงของความโกรธแทบจะทำให้แก้วหูของหมอหลวงเจียงแตก “เจ้าหมอจอมลวงโลก ตอนนั้นใครกันที่บอกว่าโยวเอ๋อร์จะมีบุตรยาก แล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้นางตั้งท้องลูกแฝด เจ้ายังมาบอกว่านางมีอันตราย เจ้ารู้หรือไม่คำพูดไร้ความรับผิดชอบของเจ้าจะทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นไร”
หมอหลวงเจียงหายใจแทบไม่ออก สีหน้าซีดขาว
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้น จึงรีบเข้ามาปรามว่า “อี้เซวียน เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เจ้าวางหมอหลวงเจียงลงก่อน”
หวงฝู่อี้เซวียนคลายมือลง ครานี้หมอหลวงล้มลงไปบนพื้นจริงๆ รีบหายใจหอบ เขาควรลาเกษียณกลับบ้านได้แล้วหรือไม่ หากยังอยู่ต่อให้อ๋องฉีสองพ่อลูกทรมานอยู่เช่นนี้ เขาอาจตายในมือของพวกเขาได้
ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนกลายเป็นสีแดงก่ำ แม้ว่าจะปล่อยหมอหลวงเจียงไปแล้ว แต่ก็ยังมองเขาด้วยสายตาโหดร้าย
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าออกไปพร้อมรอยยิ้ม ขวางไว้ด้านหน้าของหมอเจียง พูดว่า “อี้เซวียน เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้ามีวิชาแพทย์ เรื่องนี้ข้าพอจะเดาได้นานแล้ว และข้าก็คิดหาทางออกแล้วด้วย เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
ดวงตาสีแดงก่ำของหวงฝู่อี้เซวียนหายไป ทั้งตกใจและดีใจ รีบถามนางว่า “จริงหรือ เจ้ามีทางออกจริงหรือ”
หมอหลวงเจียงลืมเรื่องที่จะลากลับบ้านไป เงยหน้ามองนางด้วยความยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จริงสิ ข้าเคยโกหกเจ้าเมื่อใดกัน”
หมอหลวงเจียงลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างง่ายดาย ถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ซื่อจื่อเฟย ท่านมีวิธีอย่างไรหรือ”
เสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “โจวอัน ลากตัวออกไป!”
ดังนั้น หมอหลวงผู้หน้าสงสารจึงได้ถูกโจวอันลากออกไปอย่างไม่เกรงใจ
หวงฝู่อี้เซวียนรีบถามด้วยความร้อนใจว่า “เจ้ามีวิธีใดหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป กอดคอของเขา สบตาของเขาไว้ ยิ้มและพูดว่า “ถึงตอนนั้นเจ้าก็รู้เอง ข้ารับรองว่าจะให้ลูกของพวกเราคลอดออกมาอย่างปลอดภัย และรับรองว่าจะให้ตัวข้าเองปลอดภัยแน่นอน”
หวงฝู่อี้เซวียนสบตานาง หวังจะหาแววตาน่าสงสัยจากสายตานาง แต่เมิ่งเชี่ยนโยวมั่นใจ สายตาแน่วแน่ ไม่มีสายตาลังเลแม้แต่น้อย จึงได้มั่นใจขึ้นมา แต่ก็ยังไม่วางใจ จึงได้ข่มขู่ว่า “จำคำของข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ข้าก็จะพาเจ้ากลับมา ชาตินี้ ไม่ ไม่ว่าชาตินี้ ชาติหน้าหรือชาติไหน ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวกอดเขาแน่นกว่าเดิม บังคับให้หวงฝู่อี้เซวียนจำต้องก้มหัวลง จากนั้นก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขา จากนั้นจึงได้ยิ้มและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ข้าข้ามภพมาหลายพันปี ก็เพื่อจะมาครองคู่กับเจ้า แล้วจะยอมตายไปง่ายๆ ได้อย่างไร วางใจเถิด ข้าสัญญาว่าจะคลอดเด็กดื้อสองคนที่ทั้งอ้วนทั้งขาวมาให้เจ้า”
คำสุดท้ายทำให้หวงฝู่อี้เซวียนมีความสุขขึ้นมา เขายิ้มออกมา “ใช่ เด็กดื้อสองคน ยังไม่คลอดออกมาก็ทรมานแม่ของตนเช่นนี้ เห็นทีหลังคลอดออกมาแล้วข้าจะต้องตีก้นพวกเขาให้”
บัดนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีทางรู้ได้เลยว่า หลังจากเด็กทั้งสองคลอดออกมาแล้ว เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้โอบอุ้ม ทำได้เพียงเดินตามหลังอ๋องฉีและพระชายา และไม่หยุดที่จะคิดหาวิธีขโมยลูกๆ มากอดเอาไว้สักพัก
หลังจากหมอหลวงเจียงถูกลากตัวออกไปแล้วนั้น ก็ยังไม่ท้อใจ ยอมเจ้าเล่ห์นั่งลงกับพื้น ใช้มารยาคนแก่ พูดว่า “ดูทีว่าใครกล้าแตะต้องข้า ข้าจะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”
คำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนคือลากเขาไปไว้ด้านนอก แต่ไม่ได้บอกว่าให้ลากไปไกลเท่าใด โจวอันจึงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้เขานั่งอยู่บนพื้น ไม่ได้ไล่เขาไปไหน
จิตใจของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวสงบลงแล้ว จึงได้เดินออกมาจากห้องรับรองแขก เมื่อหมอหลวงเจียงเห็นทั้งสอง จึงได้รีบลุกขึ้นยืน และรีบผุดไปยังหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว ฉีกยิ้มออก ทำสีหน้าออดอ้อน “ซื่อจื่อเฟย ท่านมีวิธีอะไรหรือ”
ตอนที่ 284 ออกหน้าแทนจูหลี
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนคร่ำเครียดขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหมอหลวงเจียงผู้มีตาหามีแววไม่จะมีท่าทีเจ้าเล่ห์เช่นนี้ด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากยิ้ม มองหวงฝู่อี้เซวียนเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวอะไร
ในใจของหมอหลวงอยากรู้เพียงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีวิธีแก้เช่นไร ไม่ได้สนใจสีหน้าของทั้งสอง เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร จึงร้อนใจ และเร่งว่า “ซื่อจื่อเฟย ท่านรีบบอกข้าเถิด ข้าร้อนใจจะแย่แล้ว”
หลังจากผ่านโรคระบาดที่หลินเฉิงมาแล้ว หมอหลวงเจียงและเมิ่งเชี่ยนโยวคุ้นเคยกันดี ดังนั้นคำพูดคำจาจึงไม่ได้นอบน้อมอย่างที่ควร ที่พูดไปเช่นนี้ก็เพiาะความร้อนใจ ไม่คิดเลยว่าหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเข้าแล้วสีหน้ายิ่งเครียดกว่าเดิม สั่งโจวอันเสียงเย็นชาว่า “เอาตัวกลับไปที่สำนักหมอหลวง หากไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามให้เขามาเสนอหน้าต่อหน้าซื่อจื่อเฟยอีก”
โจวอันรับคำ เดินเข้ามา
หมอหลวงเจียงตกใจจนต้องเดินถดถอยไปด้านหลัง โบกมือพูดว่า “ไม่ต้องลากตัวข้าไป ข้าเดินไปเองได้”
โจวอันเป็นคนเถรตรง ไม่หรือที่จะไม่ฟังคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน คนจำนวนหนึ่งเดินมาด้านหน้า ลากตัวเขาไปด้านนอก
เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของหมอหลวงเจียงดังขึ้นมาเป็นระยะๆ
“พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่ม ช้าลงหน่อย”
“อัยหยา ข้าเวียนหัว เวียนหัว ช้าลงหน่อย”
“เจ้าดีกับคนแก่หน่อยสิ ช้าลงที”
เสียงนั้นห่างออกไปเรื่อยๆ เมิ่งเชี่ยนโยวแอบสงสารเขาอยู่ในใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า “ไปกันเถิด ท่านแม่คงทำอาหารเสร็จแล้ว”
ขณะเดียวกันเมิ่งซื่อก็ได้ส่งคนมาตามเมิ่งเชี่ยนโยวว่าให้นางกลับไปรอในห้อง อีกครู่นางและภรรยาเมิ่งต้าจินจะนำอาหารไปส่งให้ที่ห้องของนางเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมโบกมือ บอกว่า “ไปบอกฮูหยิน ว่าไม่ต้องหรอก คนเยอะถึงจะกินข้าวอร่อย พวกเราไปกินที่ห้องอาหารดีกว่า”
แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะกังวลว่านางจะแพ้ท้องอีกครั้ง แต่เห็นนางมีความสุขเช่นนี้ คำพูดที่จะห้ามนางก็ได้ถูกกลืนลงไป เดินตามนางไปยังห้องอาหาร
เมิ่งซื่อรู้ดีว่าเมิ่งเชี่ยนโยวชอบความครื้นเครง จึงไม่ได้ว่าอะไรต่อ สั่งให้คนนำอาหารมาเตรียมไว้ที่ห้องอาหาร
คนในบ้านกินข้าวกันอย่างมีความสุข พูดคุยกันเรื่องในครอบครัวครู่หนึ่ง ก็ได้บอกลาทุกคน จากนั้นสองคนก็ได้กลับไปยังจวนอ๋อง
วันนี้หวงฝู่อวี้ไปตรวจตราที่นา ยังไม่กลับ วันนี้พระชายาอาศัยช่วงที่ทั้งสองไม่อยู่บ้าน ไปเยี่ยมเฝิงจิ้งซูและหลานชายน้อยของนางที่จวนแม่ทัพ ทั้งจวนเงียบสงบ ทั้งสองกลับมายังห้องของตนเอง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้เรียกจูหลีเข้าพบด้วยรอยยิ้ม ถามว่า “จูหลี เจ้าคิดได้หรือยัง มีคนที่เหมาะสมหรือไม่”
สายตาของจูหลีสั่นคลอนเล็กน้อย กัดปากไม่พูดไม่จา
“วันนี้มีคนมาขอร้องข้า แต่เขามาขอชิงหลวน ข้าไปถามนางแล้ว นางตกลง หากเจ้าเองไม่มีคนในใจ ข้าก็จะหาให้เจ้าสักคน จะได้สมใจข้าเสียที ต่อจากนี้ข้าจะได้ดูแลครรภ์ได้อย่างสบายใจเสียที”
จูหลียังคงไม่พูดไม่จา
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วลง “จูหลี เจ้าอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว นิสัยใจคอของเจ้าข้าก็พอจะรู้อยู่บ้าง เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ มีคนในใจอยู่แล้วใช่หรือไม่”
จูหลีกัดฟัน ตอบว่า “เรียนนายหญิง ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่ไม่อยากออกเรือนกับผู้ใดก็เท่านั้น ข้าอยากอยู่ข้างกายนายหญิงตลอดชีวิต”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา เอนกายพิงไปที่เก้าอี้ด้านหลังด้วยท่าทีสบายใจ และพูดว่า “เรื่องนี้เข้าวางใจได้ ต่อให้เจ้าออกเรือนไปแล้ว ยังสามารถรับใช้อยู่ข้างกายข้าได้ ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งวันไปคิด หากไม่มีใครที่เหมาะสม ข้าก็จะหาให้เจ้าเอง”
จูหลีไม่ตอบอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่บังคับนาง ให้นางกลับไป
ออกจากประตูมา ชิงหลวนยืนอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นท่าทางของจูหลีจึงได้เกิดความสงสัยขึ้น ถามว่า “จูหลี ดูทีนายหญิงจะให้เราออกเรือนท่าเดียว หากเจ้ามีคนในใจก็รีบบอกนายหญิงไป นายหญิงอนุญาตอยู่แล้ว”
จูหลีมองหน้านาง เตรียมจะพูดแต่ไม่พูด
อย่างนี้ก็แสดงว่ามีคนในใจอยู่แล้ว ชิงหลวนไม่เข้าใจ จึงถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกนายหญิงไปเล่า หากนายหญิงเลือกคู่ให้เจ้าจะมาเสียใจตอนหลังก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
จูหลีที่ใจเย็นมาตลอดกลับมีน้ำตาไหลรินออกมา พูดเสียงเบาว่า “เขาไม่ยอม เจ้าจะให้ข้าบอกนายหญิงได้อย่างไร”
“ผู้ใดกัน” ชิงหลวนเสียงดังขึ้นมาทันที ขอแค่พอจะรู้ว่าคนนั้นเป็นผู้ใด นางเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะสู้เพื่อนาง สำหรับนางแล้ว จูหลีเป็นดั่งพี่น้องแท้ๆ เป็นเพื่อนที่ดี และเป็นหญิงที่ดีเลิศ ยังมีผู้ใดไม่ยอมรับนางอีกหรือ คนๆ นี้สมควรโดนนางสั่งสอนเสียที
จูหลีตกใจในรีบปิดปากนางเอาไว้ รีบพูดว่า “เสียงเบาหน่อย อย่าให้นายหญิงได้ยินเป็นอันขาด”
ชิงหลวนดึงมือของนางออก มองไปด้านในเล็กน้อย แม้ว่าจะมีความโกรธอยู่แต่น้ำเสียงก็เบาลง ถามด้วยน้ำเสียงดุแต่มีเพียงสองคนจะได้ยินเท่านั้นว่า “เป็นผู้ใดกัน เจ้าบอกข้ามา ข้าจะไปถามเขาให้ ว่าเหตุใดจึงไม่ยอม”
หลายวันมานี้ ใจของจูหลีเองก็วุ่นวายยิ่งนัก โชคดีที่มีคนช่วยนางคิด นางจึงรีบพูดออกไปโดยมไม่ลังเลว่า “กัวเฟย!”
ชิงหลวนอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดุนางว่า “ข้าถามว่าเจ้าชอบพอผู้ใด เจ้าพูดถึงกัวเฟยทำ…” พูดถึงตรงนี้ นางก็คิดได้ เบิกตาโพลง ถามอย่างไม่เชื่อว่า “เจ้าจะบอกว่าคนที่เจ้าชอบใจคือกัวเฟย?”
จูหลีพยักหน้า
ชิงหลวนตกใจยิ่งกว่าเดิม ถามอย่างตะหนกว่า “ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“ตั้งแต่ก่อนไปหลินเฉิงเขาก็ดีกับข้าเหลือเกิน ตอนแรกข้าไม่ได้สนใจเขา จากนั้นก็ค่อยเป็นค่อยไป รู้ตัวอีกทีเขาก็เข้ามาอยู่ในหัวใจของข้าเสียแล้ว”
ชิงหลวนเบิกตาโพลง เจ้าตัวดี หลายปีมานี้ นางและจูหลีตัวติดกันตลอดเวลา แต่กลับไม่รู้เลยว่านางผิดปกติไป จ้องมองใบหน้าแดงก่ำของจูหลี ครู่ใหญ่จึงได้พูดว่า “อย่างนั้นจะรออะไรอีก ใช้โอกาสนี้ ให้นายหญิงไปคุยเรื่องออกเรือนให้เจ้าเลยสิ”
สีหน้าของจูหลีหม่นหมองลงไป น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง “ที่จริงพวกเราตกลงกันแล้ว ว่ารอให้นายหญิงเป็นฝั่งฝาเสียก่อน ก็จะมาสู่ขอข้า แต่ว่าตั้งแต่ที่เขาเสียแขนไปข้างหนึ่ง เขาก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ข้าเร่งรัดเขาหลายที แต่เขากลับพูดว่าเขาไม่คู่ควรกับข้า ให้ข้าไปหาคนใหม่ที่คู่ควร ข้า…”
“ข้าจะไปหาเขา!” ชิงหลวนโกธเหลือเกิน สาวเท้าก้าวยาวเดินไปด้านนอก
จูหลีรั้งนางเอาไว้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขอร้อง “เจ้าอย่าไปเลย ข้าไม่อยากบังคับเขา”
“แต่หากเขาไม่มา นายหญิงก็จะหาคู่ให้เจ้าแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำเช่นไร” ชิงหลวนถามอย่างร้อนรน
จูหลีถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “วันก่อนข้าคิดได้แล้ว หากนายหญิงจะบังคับหาคู่ให้ข้า ข้าก็จะยอมรับก็เท่านั้นเอง”
“เจ้า…” ชิงหลวนโกรธจนจะทนไม่ไหว ใช้นิ้วจิ้มไปที่หัวของนางหลายที ดุนางอย่างไม่ได้ดั่งใจว่า “ในหัวของเจ้ามีแต่ขี้เลื่อยหรืออย่างไร ต่อให้เจ้าแต่งงานกับผู้อื่น แล้วในใจของเจ้าจะมีความสุขหรือ แล้วจะใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไร”
เนื่องจากความโกรธ เสียงของนางดังขึ้นเล็กน้อย ได้ยินไปถึงในห้อง จึงตะโกนถามว่า “ชิงหลวน เจ้าเสียงดังอะไรอยู่ด้านนอกนั่นน่ะ”
ชิงหลวนตอบทันทีว่า “เอ่อ นายหญิง ชิงหลวนอยากจะขอลาหยุดเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับไปหนานเฉิงเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความสงสัย “พวกเราเพิ่งกลับมาจากหนานเฉิงมิใช่หรือ เจ้าจะกลับไปอีกด้วยเหตุใดกัน”
ชิงหลวนโกหกไปว่า “ข้าซุ่มซ่ามไปหน่อย ลืมของเอาไว้ที่หนานเฉิงเจ้าค่ะ อยากจะกลับไปเอาเสียหน่อย”
ในห้องไม่มีเสียงตอบรับ ใจของชิงหลวนเต้นแรง
ครู่หนึ่งเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้ดังออกมาจากในห้อง “รีบไปรีบกลับ ให้จูหลีดูแลอยู่ที่นี่ ข้าจะพักผ่อน อย่าให้ใครเข้ามาในนี้ได้”
ชิงหลวนตอบรับ จูหลีลังเลเล็กน้อย
เมื่อไม่ได้ยินเสียงของจูหลี เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสงสัย และพูดว่า “จูหลีไม่อยู่หรือ”
“ข้าน้อยอยู่เจ้าค่ะ นายหญิงพักผ่อนเถิด ข้าน้อยจะดูแลอยู่หน้าประตูนี่เอง” จูหลีรีบตอบรับ
เมื่อได้รับการอนุญาตจากเมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวนก็รีบเดินออกจากเรือนไป จูหลีมองนาง ในใจรีบร้อนเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไร
ในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวปิกปากตัวเอง หัวเราะออกมาด้วยความดีใจ ดวงตาคู่สวยของนางมีประกายของความชนะออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นดังนั้น จึงได้ลูบหัวนางอย่างเอ็นดู พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ไปพักผ่อนเถิด ในหนึ่งชั่วยามชิงหลวนก็คงกลับมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างว่าง่าย นอนลงไปบนเตียง ยื่นสองมือให้หวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มพร้อมส่ายหน้า ถอดเสื้อของตนออก นอนลงบนเตียงเช่นกัน ค่อยๆ โอบกอดนางไว้ในอกด้วยความระวัง
ขยับหาท่าที่นอนสบายในอกของเขา ไม่นาน เมิ่งเช่นโยวก็หลับสนิท
แต่หวงฝู่อี้เซวียนเบิกตาโพลง มองเพดานห้อง คิดถึงคำของหมอหลวงเจียงวันนี้ ไม่กล้าหลับตาลง
ชิงหลวนกลับมายังหนานเฉิง ตรงไปยังบ้านพักบ่าวรับใช้ เพื่อหาตัวกัวเฟย เมื่อเข้าประตูมาก็พบคนเดินออกมาพอดี เป็นเหวินซงเอง ที่กำลังจะออกไปด้านนอก
เมื่อเห็นนาง เหวินซงจึงผงะไป จากนั้นก็หน้าแดงขึ้นมาทันที รีบเดินเข้าไปหานางทันที ถามอย่างดีใจว่า “ชิงหลวน เจ้ามาหาข้าอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเห็นเขา ชิงหลวนเองก็ผงะไป จากนั้นก็พยักหน้า “ข้ามาหากัวเฟย”
สีหน้าของเหวินซงเผยความผิดหวังออกมา แต่ก็ยังคงถามด้วยรอยยิ้มว่า “จะให้ข้าเรียกตัวเขาออกมาหรือไม่”
เมื่อก่อน จะเข้าไปในที่พักของบ่าวรับใช้แต่ละที ชิงหลวนจะเข้าไปด้วยท่าทีนักเลง ไม่เคยมีพิธีรีตรองอะไร เมื่อเห็นแววต่อรอคอยของหนุ่มน้อยตรงหน้า นางจึงพนักหน้าตอบรับอย่างไม่รู้ตัว “รบกวนเจ้าด้วย”
เหวินซงโบกมือ “ไม่รบกวนหรอก ไม่รบกวน เจ้ารอตรงนี้ ข้าจะรีบกลับมา”
พูดจบ ก็หันหลังกลับ รีบเดินเข้าไปในห้องบ่าวรับใช้ เรียกตัวกัวเฟยออกมา
ทั้งสองเดินมาหาชิงหลวน
ชิงหลวนพยักหน้าให้เหวินซง พูดว่า “รบกวนเจ้าด้วย ข้าและสหายกัวเฟยมีเรื่องต้องคุยกัน เจ้าออกไปก่อนได้หรือไม่”
รอยยิ้มของเหวินซงค้างชะงัก มองทั้งสอง พูดว่า “ได้สิ ข้าเองก็มีธุระต้องไปทำพอดี พวกเจ้าคุยกันเถิด”
พูดจบ ก็หันหลังเดินออกไป
ชิงหลวนพูดกับกัวเฟยด้วยเสียงต่ำ “ตามข้ามา”
พูดจบ ก็เดินออกจากห้องพักคนงาน ไปยังหลังจวน กัวเฟยเดินตามออกไปอย่างงุนงง
หลังจวนไม่มีคน หาที่โล่ง จากนั้นชิงหลวนก็หยุดเดิน หันหลังพูดว่า “จูหลีบอกข้าเรื่องของเจ้ากับนางแล้ว ข้าอยากถามเจ้า ว่าเหตุใดจึงไม่ไปสู่ขอนาง”
กัวเฟยผงะไป เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา “ข้าไม่คู่ควรกับนาง”
“อย่างนั้นตอนแรกเจ้าไปทำให้นางวุ่นวายทำไม” ชิงหลวนพูดด้วยวามโมโห “ทำให้นางรู้สึกแต่ไม่ยอมไปขอนาง ข้าดูเจ้าผิดไปจริงๆ”
“ข้า…” กัวเฟยอยากจะอธิบาย
ชิงหลวนไม่ให้โอกาสเขา พูดต่อว่า “ข้าบอกอะไรเจ้าให้ หลายวันก่อนนายหญิงมีคำสั่งมา ว่าให้พวกเราไปหาคนที่เหมาะสมมาแต่งงานด้วย มิเช่นนั้นท่านจะหาให้เอง วันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว เจ้าคิดเองแล้วกัน หากเจ้าไม่อยากเสียใจ วันพรุ่งนี้ก็รีบไปสู่ขอนาง มิเช่นนั้นรอวันที่นายหญิงหาคู่ให้จูหลีแล้วเจ้าก็เตรียมตัวเสียใจไปทั้งชีวิตได้เลย”
พูดจบ ไม่รอให้กัวเฟยตอบ ก็เดินกลับเข้าไปด้วยความโกรธ
แต่กัวเฟยกลับทรุดลงด้วยความเจ็บปวดอยู่ด้านหลัง นานแสนนานก็ไม่ได้ลุกขึ้นมา
หลังจากเหวินซงทำธุระเสร็จ ก็รออยู่ที่หน้าประตูใหญ่ เมื่อเห็นชิงหลวนเดินเข้ามา ก็รีบตามออกไป
ชิงหลวนผงะไป จากนั้นก็ถามว่า “มีอะไรหรือ”
เหวินซงกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว ถามอย่างเกร็งๆ ว่า “เจ้า…”
ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ชิงหลวนมองเขาด้วยความแปลกใจ
เหวินซงก็ยิ่งตื่นเต้น ปากไม่เป็นดั่งใจ ถามอย่างตะกุกตะกักว่า “เรื่องงานแต่งของข้ากับเจ้า เจ้ามีที่ใดไม่พอใจหรือไม่”
ชิงหลวนแปลกใจยิ่งกว่าเดิม ขมวดคิ้วลง ถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้”
“ข้า… ข้าเห็นเจ้า…พบข้า…แต่กลับ…ไม่ค่อย…ดีใจ” เหวินซงตอบอย่างติดๆ ขัดๆ
ตอนที่ 285 ตัดใจจากเจ้าไม่ได้
ชิงหลวนอึ้งไป ไม่รู้จะบอกความรู้สึกของตนเองเช่นไร
ตั้งแต่รู้ว่านางยอมแต่งกับตนแล้วนั้น เหวินซงก็รู้สึกมีความสุขมาตลอด แต่ตอนนี้เห็นท่าทางของนาง ความรู้สึกของเหวินซงก็เศร้าลงทันที น้ำเสียงก็กลับมาเรียบสงบดังเดิม เม้มปาก พูดว่า “หากเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็ไม่บังคับเจ้า ข้าจะไปบอกนายหญิงท่าน”
“เจ้าไม่เต็มใจขอข้าอย่างนั้นหรือ” ชิงหลวนกล่าว แต่กลับถามคำถามที่ทำให้เหวินซงอึ้งไป
“ข้าเต็มใจอยู่แล้ว” เหวินซงรีบตอบ
“ข้าเองก็ยินดีแต่งกับเจ้า” ในที่สุดใบหน้าของชิงหลวนก็เริ่มแดงขึ้นมาบ้าง น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความเขินอาย
เหวินซงดีใจยิ่งนัก เบิกตามองโพลงและย้ำว่า “เจ้าพูดจริงหรือ เจ้าเต็มใจจะแต่งงานกับข้า?”
ชิงหลวนพยักหน้า น้ำเสียงมั่นใจ “อื้อ ข้าเต็มใจ”
“เจ้า…เจ้า…ข้าคิดว่า…” เหวินซงดีใจจนพูดไม่ออก
ชิงหลวนเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าไม่ต้องตระหนกไป หากข้าไม่เต็มใจ ก็ไม่มีใครมาบังคับข้าได้ แม้ว่าพวกเราจะได้สัมผัสใกล้ชิดกันน้อยครั้ง แต่ข้ามั่นใจว่าต่อจากนี้เจ้าจะดูแลข้าอย่างดี”
เหวินซงพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นคนที่ข้ารัก ข้าจะดูแลเจ้าไปตลอดชีวิตของข้า”
หน้าของชิงหลวนแดงขึ้นมา พูดว่า “นายหญิงรอให้ข้าไปรับใช้อยู่ ข้าต้องรีบกลับแล้ว”
“ให้ข้าไปส่งเจ้าเถอะ” เหวินซงรีบพูด
ชิงหลวนไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งสองเดินออกจากประตูไป
มองดูชิงหลวนขึ้นม้าอย่างรวดเร็ว และควบม้าไปไกล ในใจเหวินซงมีความสุขยิ่ง เดินกลับห้องด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวหลับไปครึ่งชั่วยามจึงได้ตื่นขึ้น ลืมตาขึ้น เห็นหวงฝู่อี้เซวียนมองตนด้วยสายตาอ่อนโยน ในใจก็มีความสุขขึ้นมา มุดเข้าไปในอ้อมกอดของเขา และมอบริมฝีปากน้อยๆ ของตนให้เขา
ตั้งแต่วันคืนส่งตัวเข้าหอแล้วนั้น หวงฝู่อี้เซวียนกลัวว่าจะเป็นอันตรายกับลูกในท้อง จึงได้อดกลั้นใจตัวเองมาตลอด ไม่เคยได้ปล่อยกายทำตามใจ กลัวว่าจะรั้งแรงไว้ไม่อยู่ แต่ท่าทางรุกคืบของเมิ่งเชี่ยนโยว นำพาความต้องการที่เขาพยายามข่มไว้นานออกมา เขาจูบตอบนาง จากนั้นก็ถามด้วยเสียงพร่าว่า “ได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับด้วยรอยยิ้มยั่วยวน หวงฝู่อี้เซวียนดีใจมาก แต่เมื่อจะเริ่มขึ้นตอนต่อไปนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขาไว้ “เร็วที่สุดก็อีกสามเดือนต่อจากนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดลง เงยหน้า มองหน้านางด้วยสายตาดุร้าย กัดฟันพูดว่า “แล้วเหตุใดเจ้าจึงยั่วข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะด้วยอย่างมีความสุข เงยหน้าขึ้น จูบลงบนริมฝีปากของเขา พูดอย่างได้ใจว่า “ข้ายั่วโมโหเจ้า แล้วเจ้ามีปัญญาลงโทษข้าอย่างนั้นหรือ”
มองใบหน้างามที่กำลังยิ้มแย้มอยู่ ฟังเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของนาง หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าอย่างเหลืออด ขยับกายออกห่างจากตัวนาง ดุนางว่า “เจ้ารอก่อนเถิด ดูว่าต่อไปข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”
เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นกว่าเดิม
หวงฝู่อวี้ที่ทีแรกจะเข้าไปกล่าวทักทายทั้งสองในเรือน ได้ยินเสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงหยุดฝีเท้าลง คิดเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปยังห้องของตน รอจนอาหารเย็นเสร็จทำเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เดินตามกลิ่นหอมออกมา
อาศัยช่วงเวลาอาหาร นำเรื่องที่ตนไปตรวจตราที่นามารายงานให้ทั้งสองได้ฟังว่า “สองสามวันมานี้ข้าได้ตรวจตราร้านรวงและที่นาจนหมดแล้ว โดยรวมถือว่าดี ไม่มีปัญหาอะไรมา”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เรื่องพวกนี้เจ้าจัดการได้เลย รอจนเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วบอกข้าอีกที ข้าจะได้นำเรื่องร้านรวงและที่นาของตำหนักแบ่งให้เจ้าได้ง่าย”
แค่ส่วนที่เฮ่อจางเหลือเอาไว้ให้ก็ทำเอาหวงฝู่อวี้ต้องเดินสายขาแทบขาด พูดจบปากแห้งแล้ว หากมอบส่วนของตำหนักให้เขาดูและอีก หวงฝู่อวี้ไม่กล้าคิดถึงภาพนั้นเลย
“พี่ใหญ่” หวงฝู่อวี้รีบบ่ายเบี่ยง “พี่สะใภ้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ท่านเองก็คงดูแลเรื่องเหล่านี้ได้ หากมอบให้ข้าทั้งหมด ไม่กลัวว่าข้าจะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดแล้วหนีไปหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาเล็กน้อย คีบอาหารของโปรดของเมิ่งเชี่ยนโยวให้นาง จากนั้นก็พูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “ไม่ต้องหนีไปหรอก เจ้าอยากไปที่ใดข้าจะให้คนไปส่งเจ้า รับรองว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายจนไม่อยากกลับมาอีกเลยชั่วชีวิต”
คำพูดเช่นนี้เหตุใดฟังแล้วจึงรู้สึกน่ากลัวยิ่งนัก หัวใจของหวงฝู่อวี้สั่นเล็กน้อย ไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบเอาหัวมุดลงไปในถ้วยของตนเอง
“ข้าได้ยินมาว่า คุณชายที่แนะนำให้แม่นางหลินวันนี้มาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วัน แม่นางหลินก็คงตกลงเรื่องงานแต่งแล้ว เจ้าคิดให้ดีเถิด ว่าจะยอมแพ้จริงๆ หรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยความเย็นชา
หวงฝู่อวี้ชะงักไป มือกำตะเกียบไว้แน่น แน่นเสียจนเส้นเลือดใหญ่บนมือแทบระเบิดอยู่แล้วก็ยังไม่รู้ตัว จงใจทำน้ำเสียงไม่สนใจ พูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าเคยพูดหลายทีแล้วว่าเรื่องของนางไม่เกี่ยวกับข้า”
“อวี้เอ๋อร์” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเขา
หวงฝู่อวี้เงยหน้ามองนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ตะเกียบในมือของเขา พูดด้วยความ หวังดี ว่า “เจ้าจะหักตะเกียบอยู่แล้ว”
แปะ ตะเกียบในมือของหวงฝู่อวี้ร่วงลงโต๊ะ
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมองไปทางเขาพร้อมกัน
เขารีบหยิบขึ้นมา เผยรอยยิ้มเขินอายออกมา รีบเปลี่ยนหัวข้อว่า “อาหารมื้อเย็นวันนี้อร่อยเหลือเกิน พี่ใหญ่ พี่สะใภ้กินเยอะๆ นะขอรับ ข้าหิวแล้ว ข้าไม่เกรงใจล่ะนะ” พูดจบ เพื่อพิสูจน์ว่าตนหิวจริงๆ จึงคีบอาหารคำใหญ่เข้าปาก กินเข้าไปอย่างเต็มปากเต็มคำ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ล้วงความลับเขาต่อ ก้มหน้าลงกินข้าวพร้อมกัน
รอยยิ้มที่ถูกปั้นขึ้นมาของหวงฝู่อวี้หุบลง กินช้าลงทันที รู้สึกว่าอาหารในปากของตนขมเสียยิ่งกว่ามะระเสียอีก
หวงฝู่อวี้ที่วันปกติจะพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด วันนี้เงียบไม่พูดจา บนโต๊ะจึงได้เงียบไปโดยปริยาย หลังจากที่ทั้งสามกินข้าวอย่างเงียบเชียบแล้วนั้น หวงฝู่อวี้ก็รีบกลับเรือนของตนเองไปทันที นั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง ทอดสายตาเหม่อมองไปบนพื้น ผ่านไปราวครึ่งชั่วยามได้ จึงได้ตะโกนสั่งเสียงดังว่า “ใครก็ได้มานี่ที!”
เฮ่ออีปรากฎตัวทันที คำนับ “คุณชาย”
“ไปสืบมาที ว่าคุณชายที่แม่นางหลินจะแต่งงานด้วยเป็นคนเช่นไร”
เฮ่ออีรับคำขณะที่กำลังจะออกไปนั้น เสียงของหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ช่างเถิด ไม่ต้องไปแล้ว”
เฮ่ออีตอบรับ เตรียมซ่อนตัว หวงฝู่อวี้ก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ไปดีกว่า”
เฮ่ออีตอบรับ แต่ไม่ได้ขยับตัว ย้ำอีกครั้งว่า “คุณชายรอง ข้าไปดีหรือไม่ไป”
หวงฝู่อวี้ไม่ได้ตอบรับในทันที ขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “ไปเถิด”
ครั้งนี้เฮ่ออีไม่ได้ตอบรับ แต่หายวับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ให้หวงฝู่อวี้มีโอกาสเปลี่ยนใจ
ณ จวนราชเลขาหลิน
วันนี้ตอนบ่าย ได้ยินว่าคุณชายที่ถูกโจรปล้นแล้วหายไประหว่างทางได้เดินทางมาถึงที่จวนราชเลขาหลินแล้ว สองสามีภรรยาหลินดีใจยิ่ง สั่งให้คนไปเรียกตัวหลินหันเยียนออกมาพบ
เมื่อหลินหันเยียนได้ยินดังนั้น สีหน้าซีดเผือด ทรุดลงบนเก้าอี้ จ้องไปด้านหน้าอย่างใจลอย
หงเอ๋อร์ตกใจแทบแย่ เรียกนางหลายที “คุณหนู คุณหนู”
หลินหันเยียนจึงได้สติกลับมา จับมือของหงเอ๋อร์เอาไว้ ถามอย่างใจร้อนว่า “หงเอ๋อร์ ข้าจะทำอย่างไรดี ข้าไม่อยากออกเรือนกับเขา ข้าไม่อยากแต่งกับเขา”
มือของหงเอ๋อร์ถูกบีบจนเจ็บ แต่ไม่มีเวลาสนใจแล้ว รีบปลอบใจว่า “คุณหนู ใจเย็นลงก่อน พวกเราหาทางออกได้แน่”
มือของหลินหันเยียนบีบแน่นกว่าเดิม “จะมีวิธีอะไรได้ พี่อวี้ไม่ยอมยกโทษให้ข้า แอบซ่อนไม่ยอมมาพบข้า คุณชายผู้นี้ยังมาหาถึงที่ ไม่นาน ท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องบังคับให้ข้าแต่งงานกับเขาเป็นแน่”
ด้วยความใจร้อน หงเอ๋อร์คิดได้วิธีหนึ่ง “คุณหนู ท่านรับท่านแม่ทัพเป็นพ่อบุญธรรมมิใช่หรือ ท่านไปขอร้องให้เขาช่วยพูดให้ได้ พูดให้คุณหนูและคุณชายรองคืนดีกัน”
ดวงตาของหลินหันเยียนเป็นประกายขึ้นมา จากนั้นก็หม่นหมองลงไปเช่นเดิม “ตอนนั้นท่านแม่ทัพต้องการให้ข้าและซื่อจื่อยกเลิกการหมั้นหมาย จึงได้ยอมรับให้ข้าเป็นลูกบุญธรรมอย่างเสียไม่ได้ เกรงว่าในใจคงเต็มไปด้วยความแค้น แล้วจะช่วยข้าได้อย่างไร”
“เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพเป็นคนใจกว้าง แล้วจะมีคิดมากกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ อีกอย่าง ไม่ว่าจะด้วยเป้าหมายอย่างไร เขาก็ถือเป็นพ่อบุญธรรมของท่าน ท่านขอร้องเขา เขาไม่มีทางปฎิเสธเป็นแน่” หงเอ๋อร์ปลอบ
หลินหันเยียนส่ายหน้า “เรื่องอื่นเขาอาจจะยอมช่วย แต่เรื่องแต่งงานเรื่องใหญ่เช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่บังเกิดเกล้า เกรงว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้ ข้าไม่ไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนั้นดีกว่า”
คำยุของหงเอ๋อร์ไม่เป็นผล นางจึงจนปัญญา “คุณหนู คนส่งข่าวยังอยู่หน้าประตูนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปบอกนาง บอกว่าข้าไม่สบาย ไม่ออกไปดีกว่า”
หงเอ๋อร์นำคำไปบอก เมื่อหลินฮูหยินได้ยินคำของสาวใช้ จึงได้แต่ยิ้มเพราะทำตัวไม่ถูก พูดว่า “วันก่อนเยียนเอ๋อร์เป็นหวัด สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าใด”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้องรับรองแขกยิ้มเล็กน้อย ตอบอย่างใจเย็นว่า “ท่านป้าขอรับ ให้น้องเยียนเอ๋อร์พักผ่อนเถิด ยังมีเวลาอีกมาก ยังมีโอกาสได้พบหน้ากันอีกมาก”
เห็นท่าทางสง่าสุขุมของเขา กิริยาอ่อนโยน การพูดการจาไม่เหมือนคนอื่น มีลักษณะของผู้ดีจริงๆ สองสามีภรรยาดีใจยิ่งนัก อุ่นใจกับท่าทีของเขามากขึ้น ยิ้มและพูดว่า “เจ้าเดินทางมาหลายวันท่าทางจะเหนื่อยแย่ ไปพักผ่อนก่อนเถิด ดึกๆ ค่อยมาเล่าให้พวกเราฟังว่าระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
คุณชายไม่ได้ปฏิเสธ กล่าวขอบคุณ เดินตามบ่าวไพร่ไปยังที่พักที่ตระเตรียมเอาไว้ได้
สองสามีภรรยามองแผ่นหลังของเขา ยิ่งมั่นใจในคำนั้น แม่ยายยิ่งมองลูกเขยก็ยิ่งชอบใจ รอยยิ้มที่มุมปากยิ้มไม่หยุด ยิ้มและพูดว่า “โชคดีของเยียนเอ๋อร์กำลังจะมาถึงแล้ว เห็นท่าทีกิริยาของเขา ว่าเป็นคนที่เชื่อถือได้ มีรายชื่อติดในรายการสอบจอหงวนในเดือนแปดคงไม่มีปัญหาแน่ ถึงตอนนั้นเจ้าไปจัดการสักหน่อย หางานดีๆ ให้เขาในเมืองหลวง ถึงตอนนั้น เยียนเอ๋อร์ของพวกเราก็สามารถอยู่ข้างกายพวกเราแล้ว”
ท่านราชเลขาหลินพูดพลางลูบเคราของตัวเอง “อื้ม ข้าเองก็มีแผนเช่นนี้เช่นกัน ข้าเตรียมตัวไว้นานแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก”
หลินฮูหยินไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการงาน จึงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม จึงยิ้มและพูดว่า “อย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว หากเยียนอ๋อร์เป็นฝั่งฝาไปแล้ว ข้าจะได้ยกภูเขาออกจากอกได้เสียที จากวันนี้ไป เมื่อพบหน้ากับฮูหยินในเมืองหลวง ข้าก็ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าผู้อื่น ไม่ต้องถูกเขาติฉินนินทาเอาได้”
ราชเลขาหลินก็พยักหน้าพร้อมหัวเราะ
สองสามีภรรยาฝันหวานกันอยู่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลินหันเยียนไม่ได้มีความต้องการจะแต่งงานกับเขาเลย
การทำงานของเฮ่ออีรวดเร็ว ผ่านไปชั่วยามเดียว ก็สามารถมองอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็กลับมารายงานหวงฝู่อวี้อย่างละเอียด
ในใจของหวงฝู่อวี้เกิดความรู้สึกบอกไม่ถูกขึ้นมา ใจหนึ่งคิดว่าดีแล้วที่หลินหันเยียนจะได้คู่ครองที่ดี แต่อีกใจกลับคิดว่านางจะแต่งงานกับผู้อื่น เขาเสียใจยิ่งนัก
หลังจากเฮ่ออีรายงานเรียบร้อยแล้ว ก็มองสีหน้าเคร่งเครียดของหวงฝู่อวี้ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ครู่ใหญ่ หวงฝู่อวี้จึงได้โบกมือ เฮ่ออีโล่งใจ จากนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตาเขา
คืนนั้น หวงฝู่อวี้นอนพลิกไปพลิกมา นอนไม่หลับทั้งคืน และเมิ่งเชี่ยนโยวที่นอนกลางวันจนเต็มอิ่มแล้วก็ไม่มีความง่วงเช่นเดียวกัน นอนอยู่ในอ้อมกอดของหวงฝู่อี้เซวียน พูดอย่างมีความสุขว่า “ตอนนี้เหลือเพียงเรื่องคู่ของเหวินเหลียนเท่านั้นที่ยังไม่ลงตัว เจ้าว่าให้นางคู่กับใครเหมาะที่สุด”
ฐานะของเหวินเหลียนค่อนข้างพิเศษ ครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดีเสียหน่อยก็จะรังเกียจสถานะของนาง หากด้อยลงมาอีกนิดก็กลัวว่าจะไม่คู่ควรกับนาง อีกอย่าง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ค่อยรู้จักกับครอบครัวธรรมดา ไม่ต้องพูดถึงท่านอ๋องฉีและพระชายาเลย
คิดไปคิดมา ทั้งสองก็นึกหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ หวงฝู่อี้เซวียนเกรงว่านางจะเครียดเกินไป มีผลกับลูกในท้อง จึงได้ปรามว่า “รีบนอนเถิด วันพรุ่งตื่นมาค่อยคิดใหม่”
ไม่มีคนที่เหมาะสมจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ท้อใจ หลับตาลงอย่างว่าง่าย ไม่นาน นางก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเต็มตัว
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าด้วยความหน่าย ตั้งแต่ตั้งท้อง นิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ร่าเริงขึ้น ไม่มีท่าที่สงบเสงี่ยมเลย ไม่รู้ว่าจะมีผลกับลูกในท้องหรือไม่ คิดถึงตรงนี้ เขาก็คิดว่าน่าขันนัก ลูกเป็นของเขาทั้งสองคน อย่างไรก็ต้องมีนิสัยเหมือนเขาทั้งสอง ไม่มีทางจะไม่ร่าเริงได้หรอก
คิดไป คิดมา วางมือไว้บนท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว ลูบท้องแบนราบของนางและหลับไปอย่างพอใจ
วันต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นมาสายตามเคย หลังจากกินข้าวต้มที่หวงฝู่อี้เซวียนทำให้นางแล้วนั้นก็มายังเรือนของพระชายากล่าวว่า “เสด็จแม่ ถึงเวลาต้องออกโรงแล้วเจ้าค่ะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น