ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 278-281

ตอนที่ 278 ได้พบกัน

 

 


 


เสียงหัวเราะจากในห้องหยุดลง หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็เงียบไปครู่หนึ่ง ถึงได้พูดขึ้นมาว่า “ก็บอกว่าตอนนี้ข้าไม่ค่อยสบาย ไม่สะดวกพบแขก”


 


 


เหวินเปียวอึ้งไป ถึงได้พูดหยังเชิงอย่างระมัดระวัง “แม่นางฮั้วมาด้วยกันกับสามีของนาง บอกว่าอยากจะขอโทษท่านในการกระทำตอนแรกของนางขอรับ”


 


 


“เช่นนั้นก็ยิ่งไม่จำเป็นเลย นางไม่ได้ทำร้ายข้าตั้งแต่แรก และก็ไม่มีอะไรต้องขอโทษข้า แล้วเจ้าไปบอกนางว่าทีหลังก็ไม่จำเป็นต้องมาอีกแล้ว”


 


 


ครั้งนี้เหวินเปียวไม่ลังเล ถอยหลังออกไป


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย


 


 


เมิ่งฉีก็โล่งอก


 


 


ถึงแม้เปาอีฝานจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ว่าเห็นสีหน้าของแต่ละคนก็รับรู้ได้ แม่นางฮั้วคนนี้เป็นคนที่ไม่น่าต้อนรับอย่างยิ่ง ด้วยความฉลาดจึงไม่ได้เปิดปากถามสักคำ


 


 


ไม่ได้ ครู่หนึ่งเสียงของเหวินเปียวก็ดังขึ้น “นายหญิง แม่นางฮั้วไม่ยอมไป จะพบท่านให้ได้”


 


 


เขาพูดจบ เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังมาจากในห้องรับแขกทันที “เหวินเปียว เจ้าเข้ามา”


 


 


เหวินเปียวเดินเข้าไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วถามว่า “เหวินเปียว เจ้าบอกข้ามาตามตรง ตั้งแต่นั้นมา เจ้าได้เจอกับแม่นางฮั้วตามลำพังหรือไม่”


 


 


เหวินเปียวนิ่งไป เงยหน้ามองนางอย่างไม่สามารถอธิบายได้


 


 


มองดูสีหน้าของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวเบาใจลง และไม่ได้ต้องการจะเอาคำตอบจากเขา แล้วสั่งว่า “ในเมื่อแม่นางฮั้วยืนกรานเช่นนี้ ก็เชิญนางกับสามีของนางเข้ามาเถอะ”


 


 


เหวินเปียวตอบรับ ถอยหลังออกไป


 


 


เมิ่งฉีและเปาอีฝานลุกยืนขึ้น อยากที่จะหลบไป เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง แม่นางฮั้วมีสามีนางมาด้วย ไม่ต้องสนใจเรื่องแบบนี้หรอก”


 


 


ทั้งสองคนนั่งลงอีกครั้ง


 


 


ฮั้วเซียงหลิงเข้ามาด้วยกันกับลูกที่อุ้มอยู่ในมือ และชายผู้ที่กิริยาท่าทางสง่างาม ในตอนที่เห็นคนเหล่านี้ในห้องรับแขก นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเดินไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวทันที ทำความเคารพทั้งที่อุ้มลูกอยู่ “แม่นางเมิ่ง ไม่เจอกันเลยนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความพินิจพิเคราะห์ เห็นหน้าแดงๆ หางคิ้วที่มีเสน่ห์ ดวงตาโตสวยงามเปล่งประกายของนาง ทั่งตัวมีเอกลักษณ์ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วถึงจะมี คิดในใจแล้วพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางฮั้ว ไม่ได้เจอกันนาน เจ้านี่นับวันยิ่งดูมีน้ำมีนวลนะ”


 


 


หน้าของฮั้วเซียงหลิงแดงเล็กน้อย “แม่นางเมิ่งล้อกันเล่นแล้ว เปรียบกับท่านแล้ว เซียงหลิงคนนี้ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยขึ้นมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดจาทักทายกับนางอีก แต่กลับถามตรงๆ ว่า “วันนี้แม่นางฮั้วอยากเจอข้าให้ได้ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรหรือ”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงสีหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ “เซียงหลิงมาวันนี้ เพื่อมาขอโทษแม่นางเมิ่ง ในปีนั้นเซียงหลิงไม่รู้ความ ทำให้ท่านลำบากไม่น้อย และหวังว่าแม่นางเมิ่งจะไม่ถือสาข้าน้อย ยกโทษให้ข้าด้วย” พูดจบ ทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง เหลือบมองชายที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ตั้งแต่เข้าประตูมาอย่างเนียนๆ เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือแล้วพูดว่า “เรื่องในอดีต ข้าลืมไปตั้งนานแล้ว แม่นางฮั้วไม่จำเป็นต้องเอามาใส่ใจ”


 


 


“พูดแบบนี้ แม่นางเมิ่งยกโทษให้ข้าแล้วหรือ” ฮั้วเซียงหลิงถามด้วยความดีใจ


 


 


ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เจ้าไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ต้องขอโทษข้า แล้วจะยกโทษให้ได้อย่างไร”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงนิ่งไปอีกครั้ง มือที่อุ้มเด็กอยู่กำแน่น แล้วสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางเมิ่งเป็นคนใจกว้างมากจริงๆ แม้กระทั่งข้าทำผิดครั้งใหญ่แบบนั้น ยังไม่คิดถือโทษโกรธข้า” พูดจบ ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ก็พูดกับผู้ชายว่า “เซี่ยงกง นี่คือแม่นางเมิ่ง ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกว่าองค์หญิงชิงเหอ ไม่ถูกๆ ควรเรียกว่าซื่อจื่อเฟย”


 


 


ผู้ชายประสานมือคาระ “คารวะซื่อจื่อเฟย”


 


 


“ไม่ต้องหรอก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


ผู้ชายยืนตัวตรง


 


 


ทันใดนั้นฮั้วเซียงหลิงกลับหันไปทางหวงฝู่อี้เซวียน แล้วพูดกับผู้ชายว่า “เซี่ยงกง นี่คือซื่อจื่อ เป็นสามีของแม่นางเมิ่ง เจ้ารีบทำความเคารพเร็ว”


 


 


บนใบหน้าของผู้ชายมีความดีใจอย่างเห็นได้ชัด และก็ทำความเคารพเหมือนกัน “ขอคารวะซื่อจื่อ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของฮั้วเซียงหลิงเก็บเอาไว้ไม่อยู่


 


 


ตัวของผู้ชายก็สั่นเล็กน้อย อยากจะเงยหน้ามองเสียหน่อย แต่ตอนเงยขึ้นมาได้ครึ่งหนึ่งก็ก้มลงไปอีก รักษาท่าทีเดิมไว้


 


 


ดูเหตุการณ์ทั้งหมด เมิ่งเชี่ยนโยวคาดเดาในใจ ใช้มือลูบหวงฝู่อี้เซวียนเบาๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะเปิดปากพูด “ไม่ต้องหรอก”


 


 


ผู้ชายลุกยืนขึ้น ไม่รู้ว่าตกใจหรือเหนื่อย บนใบหน้ามีเหงื่อเล็กน้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วถามว่า “วันนี้พวกเราตัดสินใจมาหมู่บ้านกระทันหัน ไม่รู้ว่าแม่นางฮั้วทราบได้อย่างไร”


 


 


เหมือนกับว่าเตรียมคำตอบไว้นานแล้ว ฮั้วเซียงหลิงเกือบจะตอบในทันที “พวกเรามารอที่เป่ยเฉิงได้หลายวันแล้ว วันนี้รถม้าของพวกท่านผ่านมา พวกเราก็เห็นแล้ว ดังนั้นถึงได้ตามมา คิดไม่ถึงว่ารถม้าของพวกเราจะเกิดปัญหาขึ้น ดังนั้นถึงได้มาถึงช้ากว่าพวกท่านมาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความประหลาดใจ “แม่นางฮั้วรอพวกเรามาตลอดเลยรึ”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงพยักหน้า “ข้าอยากจะขอโทษท่านกับเรื่องราวในอดีตมาตลอด อยากจะขอโทษต่อหน้าท่าน ไม่มีทางเลือก ด้วยฐานะของพวกเราไม่สามารถเข้าจวนอ๋องฉีได้ ทำได้เพียงรออยู่หน้าประตูเมือง วันนี้ได้พบท่านแล้ว ก็ถือว่าเรื่องในใจของข้าได้หายไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองผู้ชาย


 


 


ฮั้วเซียงหลิงรู้ว่านางหมายถึงอะไร ยิ้มแล้วอธิบายว่า “ข้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟังแล้ว เขาก็รู้สึกว่าข้าทำเกินไป ดังนั้นถึงได้มาขอโทษท่านเป็นเพื่อนข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยักหน้า “แม่นางฮั้วนี่วาสนาดีจริงๆ ได้แต่งงานกับสามีที่ดีแบบนี้ หวังว่าต่อไปนี้พวกเจ้าจะรักกันมากยิ่งขึ้น ช่วยกันทำมาหากิน รักใคร่ปรองดองกัน”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงหน้าแดงนิดหน่อย “สามีของข้าดีมากๆ มีความรู้ในเรื่องบทกวีและเพลง ข้าไม่คู่ควรกับเขาเลย โดยเฉพาะในตอนแรกที่ข้าหลงผิดอย่างกู่ไม่กลับแบบนั้น เขาก็ไม่ทอดทิ้งข้า ไม่เหยียดหยามข้า แต่กลับตั้งใจจดจ่อกับข้าอย่างอ่อนโยน”


 


 


“เช่นนั้นแม่นางฮั้วต้องรักษาไว้ให้ดีๆ แล้ว บุพเพสันนิวาสที่ดีแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครก็มีได้นา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


มองชายข้างๆ ด้วยความอ่อนโยน ในน้ำเสียงของฮั้วเซียงหลิงมีความดีใจ “ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว ชีวิตนี้ของข้า จะรักใคร่ปรองดองกับสามีของข้าคนเดียว”


 


 


ผู้ชายก็หันมามองนาง ในสายตาเต็มไปด้วยความรัก


 


 


มองดูทั้งสองคน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย พูดส่งแขก “ถ้าหากว่าแม่นางฮั้วไม่มีอะไรแล้ว เชิญกลับเถอะ พวกเรามีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษาหารือกันอีก”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงเปิดปากเหมือนมีอะไรจะพูด ผู้ชายเปิดปากพูดก่อน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราสองสามีภรรยาก็ขอลา วันนี้มารบกวนกะทันหัน ขออภัยด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า “เดินทางดีๆ ข้าไม่ไปส่งนะ!”


 


 


ผู้ชายทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน แล้วจูงฮั้วเซียงหลิงออกไป


 


 


รอให้พวกมันออกไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เป็นคนที่รู้ว่าเวลาไหนควรเข้าหา เวลาไหนคอยถอยออก อีกพักส่งคนไปดูเสียหน่อยว่าถ้าหากมีวิชาความรู้ที่แท้จริง ก็อย่ามองข้ามเขาไปล่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 279 เลือกคู่

 

หลังจากที่ฮั้วเซียงหลิงจากไปแล้ว คนที่เหลือก็ได้พุดคุยกันต่อไปอีกพักหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวฝากฝังเปาอีฝานให้จัดการดูและพื้นที่หนึ่งพันห้าร้อยหมู่นี้ให้ดี “หากเจ้าไม่อยากไปค่ายทหาร อย่างนั้นก็อยู่ช่วยงานข้าเถิด กิจการวันนี้ขยายใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ต้องหาคนที่รู้ใจกันมาดูแล”


 


 


เปาอีฝานไม่ได้คิดเช่นนั้น ปีกว่ามานี้ที่เขามาช่วยดูและพื้นที่พวกนี้ก็เพราะต้องการจะตอบแทนที่เมิ่งเชี่ยนโยวเคยได้ช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธในทันที เพราะว่าหลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บครั้งล่าสุด พ่อและแม่ก็ดูเหมือนจะแก่ลงมากทีเดียว คนที่อายุเพียงสี่สิบกว่าปีแต่กลับมีผมหงอกขึ้นมามากมาย สีหน้าก็ซีดเซียวลงมาก และยังมีซุนฮุ่ย แม้ว่าจะไม่ได้ห้ามให้เขากลับค่ายทหาร แต่เมื่อได้ยินเขากล่าวถึงสายตาก็มีความหวาดกลัวเกิดขึ้น เขาไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องมาเป็นกังวลด้วยอีกแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ เมื่อฟังคำของเมิ่งเชี่ยนโยวจบ จึงพูดว่า “เจ้าให้เวลาข้าคิดสักหน่อยเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความลำบากใจของเขา จึงพยักหน้า “ไม่ต้องลำบากใจหรอก หากเจ้าอยากกลับค่ายทหารก็กลับไป คนในครอบครัวเจ้าข้าจะดูแลให้เอง”


 


 


เปาอีฝานกล่าวขอบคุณ


 


 


เมื่อเห็นว่าสายมากแล้ว คิดว่าเมิ่งชื่อให้กลับไปกินข้าวที่บ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรีบลุกขึ้นยืน พูดว่า “ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว หากกลับช้า ครั้งต่อไปท่านแม่ต้องไม่ให้ข้าออกมาอีกเป็นแน่”


 


 


คนตรงนั้นจึงได้แยกย้ายกัน


 


 


เมิ่งฉีขึ้นรถม้าตรงไปยังโรงงานทันที หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่หนานเฉิง เมื่อถึงจวนก็ได้เลยเวลาเที่ยงไปแล้ว เมิ่งชื่อจูงมือเซิ่งเอ๋อร์ยืนชะเง้อมองมาจากหน้าประตู


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากรถม้า เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ก็ได้ปั้นหน้าออดอ้อน เดินก้าวยาวๆ ไปทางเมิ่งชื่อทันที


 


 


เดินไปพลางแก้ตัวไปว่า “ท่านแม่ พวกเราไปพบคนรู้จักที่เป่ยเฉิง จึงได้คุยกันครู่หนึ่ง จึงได้กลับมาช้า”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางไม่สำรวมของนางยิ่งทำให้เมิ่งชื่อตกใจกว่าเดิม รีบสั่งนางว่า “ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ เดิน ระวังลูกในท้องด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นออกมาด้วยความซุกซน และเดินช้าลง


 


 


เมิ่งชื่อพาเซิ่งเอ๋อร์เดินมาเข้ามาหา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนของเมิ่งชื่อไว้อย่างอบอุ่น พูดจาออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านอย่ากังวลไปเลย”


 


 


เซิ่งเอ๋อร์เห็นท่าทีของนาง ก็ได้ยื่นมือออกมา อยากจะกอดแขนของเมิ่งชื่อตามเมิ่งเชี่ยนโยว แต่เสียดายที่ยังตัวเล็กเกินไป กอดไม่ถึง ร้อนใจเสียจนใบหน้าน้อยๆ มีเหงื่อผุดขึ้นมา ขณะที่กำลังร้อนใจนั้นก็ได้ยื่นมือไปให้เมิ่งเชี่ยนโยว “ท่านอา อุ้ม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขำกับท่าทีของเขา จึงได้ปล่อยมือจากแขนของเมิ่งชื่อ ก้มไปอุ้มเขาขึ้นมา แต่ถูกเมิ่งชื่อห้ามไว้ “หยุด วางลงประเดี๋ยวนี้ เจ้าเป็นเช่นนี้อยู่ จะไปอุ้มหลานได้อย่างไร”


 


 


พูดจบ ก็ได้โน้มตัวอุ้มเซิ่งเอ๋อร์ขึ้นมาเสียเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ และพูดว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไร เซิ่งเอ๋อร์ตัวเล็กนิดเดียว อุ้มเขาไม่เปลืองแรงหรอกเจ้าค่ะ”


 


 


“อย่างนั้นก็ไม่ได้ ข้าจะบอกให้ ว่าครั้งนี้เจ้าตั้งท้องลูกแฝด ก่อนหน้าเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บ เจ้าจะต้อง…” เมิ่งชื่ออุ้มเซิ่งเอ๋อร์เดินเข้าไปด้านใน พลางบ่นเมิ่งเชี่ยนโยวไปด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถือสาอะไร เดินยิ้มเข้าไปในจวนกับนาง มีเพียงอาศัยช่วงที่เมิ่งชื่อไม่ได้สังเกตหันไปแลบลิ้นให้หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะพร้อมส่ายหน้า คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เมิ่งชื่อจะหันหน้ามาพอดี พูดกับเขาว่า “อี้เซวียน เจ้าเองก็อย่าตามใจนางให้มากนัก ถึงเวลาต้องสอนนางก็สอนบ้าง นางจะได้รู้ว่าอะไรควรมิควร จะได้ไม่เป็นอันตรายกับลูกในท้อง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ “ทราบแล้วขอรับ ท่านแม่”


 


 


“พวกเจ้านี้หนา อายุยังน้อย ไม่รู้จักระมัดระวัง…” เมิ่งชื่อบ่นออกมาอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนฟังอย่างว่าง่าย


 


 


เมื่อมาถึงห้องอาหาร หวังเยียนได้สั่งให้คนจัดสำรับให้เรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็เริ่มหิวแล้ว กินไปไม่น้อยทีเดียว


 


 


เมื่อกินอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องครู่หนึ่ง ชิงหลวนเข้ามารายงานว่า “พระชายาส่งคนให้มาถามว่า ซื่อจื่อและนายหญิงจะกลับจวนเมื่อใดเจ้าค่ะ”


 


 


วันนี้เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงไปยังกั๋วจื่อเจี้ยน เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นห่วง ทีแรกวางแผนว่าจะอยู่ค้างสักคืน เพื่อถามไถ่ทั้งสองว่าอยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นอย่างไรบ้าง แต่เมื่อพระชายาส่งคนมาถามเช่นนี้ แสดงว่าคิดถึงพวกเขาแล้ว ไม่สิ พูดให้ถูกคือ คิดถึงลูกๆ ในท้องของนางแล้วต่างหาก เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเล็กน้อย และตอบไปว่า “เจ้าไปบอกเขาว่า ข้าจะรีบกลับจวนเดี๋ยวนี้”


 


 


ชิงหลวน ตอบรับ เดินออกไปด้านนอกเพื่อกับคนที่มาส่งข่าว ให้เขารีบกลับไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเขี่ยนโยวไปบอกลาเมิ่งชื่อที่ห้องของนาง แม้ว่าเมิ่งชื่อจะไม่อยากให้จากไป แต่ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วจะกลับมาอยู่บ้านนานๆ ไม่ได้ อีกอย่างนางก็ไปจวนอยู่ทุกวัน จึงได้พยักหน้า “ขากลับค่อยๆ ไปนะ”


 


 


ทั้งสองตอบรับ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ท่านแม่ อีกครู่ข้าจะส่งคนไปรับเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ไปยังจวน รอให้ข้าถามไถ่พวกเขาเรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้คนมาส่งพวกเขากลับบ้านนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งชื่อตอบรับ เดินไปส่งทั้งสองที่หน้าประตูพร้อมกับหวังเยียน รอจนรถม้าแล่นออกไปไกลแล้ว จึงได้จูงมือเซิ่งเอ๋อร์เข้ามา


 


 


ทั้งสองคนห่างบ้านไปหนึ่งคืน ทำให้พระชายานอนไม่หลับ เมื่อได้ยินคนส่งข่าวบอกว่าอีกครู่ทั้งสองจะกลับมาแล้ว จึงได้รีบไปยังประตูจวน ชะเง้อมองหาทั้งสองอย่างรอคอย


 


 


รอบๆ จวนรายล้อมไปด้วยที่พักของขุนนางระดับสูง มีคนเข้าออกตลอดเวลา เมื่อเห็นพระชายามีท่าทีเช่นนี้จึงได้แปลกใจ จึงได้แอบมองอยู่ด้านในของประตูจวนของตน ด้วยอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


 


 


พระชายารับรู้ถึงสายตาเหล่านี้ แต่ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย กระทั่งรถม้าของทั้งสองมาถึง จึงได้เดินยิ้มออกไปต้อนรับ พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “หากไม่ใช่เพราะสถานะของแม่ไม่เหมาะสม แม่คงจะไปหาพวกเจ้าที่หนานเฉิงเป็นแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโผล่หัวออกมาจากรถม้า กำลังจะกระโดดลงมา


 


 


พระชายาตกใจมาก แต่หวงฝู่อี้เซวียนเหมือนจะรู้ว่านางจะต้องทำเช่นนี้ จึงได้คว้าตัวนางเอาไว้ได้ทัน


 


 


พระชายาพูดด้วยความตกใจว่า “พ่อแก้วแม่แก้วเอ๋ย ในท้องของเจ้ามีเด็กอยู่ถึงสองคนเชียวนะ เจ้าทำอะไรนี่”


 


 


ผู้ชมที่อยู่รอบๆ เบิกตาโพลง มองพระชายาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ต่างสงสัยว่าหูของตนฝาดไปหรือไม่ พระชายาจะพูดคำพวกนี้ออกมาได้เช่นไร เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นลูกสะใภ้ของนางเชียวนะ ลูกสะใภ้


 


 


แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับหลุดขำออกมา รอจนหวงฝู่อี้เซวียนวางนางลง จึงได้ก้าวไปด้านหน้า โอบแขนของนางเดินเข้าไปด้านใน พูดว่า “เสด็จแม่ ท่านได้แม่ของข้ามาสินะเจ้าคะ คำพูดแบบนี้จึงได้หลุดออกมา”


 


 


เมิ่งชื่อมายังจวนอ๋องทุกวัน พระชายาชอบเด็ก ให้นางพาเซิ่งเอ๋อร์มาด้วย เซิ่งเอ๋อร์อารมณ์ดีซุกซน มักจะวิ่งเล่นซนเสมอ เมิ่งชื่อก็จะดุเขาเช่นนี้ เวลานานเข้า พระชายาเองก็ติดปากไปด้วย วันนี้เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวจะกระโดดลงจากม้า คำพูดเช่นนี้ จึงได้หลุดออกจากปากมาอย่างง่ายดาย แต่เมื่อพูดจบแล้ว นางก็อึ้งไป บัดนี้เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้แล้ว จึงได้หัวเราะออกมา “แม่เนี่ย อยู่ในกฎระเบียบจนชินเสียแล้ว เมื่อเห็นแม่ของเจ้าใช้ชีวิตอย่างอิสระ จึงได้รู้สึกอิจฉายิ่งนัก อยากจะมีชีวิตเช่นนางอยู่เหมือนกัน”


 


 


สองคนกอดแขนกันด้วยความสนิมสนม เดินไปด้านในพลางหัวเราะไปด้วย ทำให้คนที่มองอยู่ตกตะลึงกันใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้นั้นเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว แย่งชิงอำนาจการจัดการบ้านกัน วันๆ เอาแต่ทะเลาะกัน วางแผนกัน ต่างคนต่างไม่ชอบกัน มีที่ใดที่จะสนิมสนมรักใคร่กันเช่นนี้


 


 


ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังตระหนกนั้น พระชายาก็ได้เดินทางมาถึงเรือนแล้ว พระชายาถามว่า “เดินทางมาหิวหรือไม่ จะให้ข้าสั่งให้คนครัวทำอาหารให้ดีหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ขอบพระคุณเสด็จแม่ แต่ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องสนุกอยากจะมาปรึกษาท่าน”


 


 


พระชายาเบิกตาขึ้นด้วยความตื่นเต้น ถามอย่างร้อนรนว่า “เรื่องใดหรือ”


 


 


เมื่อเห็นท่าทีอยากรู้อยากเห็นของนาง หวงฝู่อี้เซวียนก็เกือบสำลักน้ำลายของตน กระแอมออกมาหลายที


 


 


พระชายาโบกมือ “ข้าและโยวเอ๋อร์มีธุระต้องคุยกัน เจ้าอยู่ตรงนี้เกะกะ ไปเดินเล่นในจวนไป”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสำลักน้ำลายตนเองอีกครั้ง ไอหนักกว่าเดิม เมิ่งเชี่ยนโยวสงสาร จึงได้เดินไปทุบหลังให้เขาสองสามที


 


 


พระชายาเดินไปด้านหน้า คว้ามือนางมา “โยวเอ๋อร์ บัดนี้เจ้ามีครรภ์อยู่ อย่าไปทำงานอะไรที่ต้องออกแรงเชียว อีกอย่าง เขาโตถึงเพียงนี้แล้วยังสำลักน้ำลายตัวเองได้ ไม่ต่างอะไรกับเด็กเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งไอหนักกว่าเดิม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขาด้วยความรู้สึกเห็นใจ


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้หยุดไอ ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเบิกโพลง คัดค้านด้วยความไม่พอใจ “เสด็จแม่ ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่าน ลูกแท้ๆ ”


 


 


“รู้แล้ว รู้แล้ว ประโยคนี้เจ้าพูดไม่รู้กี่รอบแล้ว” พระชายาโบกมือด้วยความเบื่อหน่าย “เจ้าออกไปก่อนเถิด อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลาที่จะพูดกับโยวเอ๋อร์”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่เพียงแต่ไม่ออกไป แต่กลับนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องอย่างท้าทาย “ข้าไม่ไปที่ใดทั้งสิ้น ข้าจะอยู่ในห้องนี้”


 


 


พระชายาถลึงตาใส่เขา “ได้ ได้ ได้ อย่างนั้นพวกเราไปเอง ไปเถิด โยวเอ๋อร์ ไปคุยกันที่ห้องของข้า”


 


 


“ท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวปรามเขาด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้อี้เซวียนก็ทราบเจ้าค่ะ เราคุยกันในห้องนี้ก็ได้”


 


 


พระชายาถลึงตาใส่เขาอีกครั้ง “เจ้านั่งเฉยๆ เลย ห้ามพูดแทรกเด็ดขาด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มไม่ออก มารดาผู้นี้ ตั้งแต่ทราบว่าโยวเอ๋อร์ตั้งท้องเป็นต้นมาก็ลำเอียงมากขึ้นทุกที ขนาดลูกชายที่ดีเลิศอย่างเขายังตกอันดับ


 


 


พระชายาและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนเบาะนิ่มในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าบทสนทนาเกี่ยวกับจูหลีและกัวเฟยที่ได้ยินมาเมื่อวานให้ฟัง


 


 


พระชายาตกใจอยู่นานถึงจะเปิดปากออกมา ครู่ใหญ่จึงได้ถามออกมาว่า “เจ้าหมายความว่า จูหลีและกัวเฟยลอบรักกัน?”


 


 


“ท่านแม่ ทั้งสองรักกันด้วยความเต็มใจ ไม่นับว่าเป็นการแอบลอบรักกันนะเจ้าคะ”


 


 


พระชายาพยักหน้า ถามอีกครั้งว่า “เจ้าอยากจะทำให้ทั้งสองสมหวังหรือ”


 


 


“เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ


 


 


“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ไปเรียกกัวเฟยมา ยกจูหลีให้เขาก็พอแล้ว” พระชายากล่าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมส่ายหน้า “หากง่ายเช่นนี้ ข้าคงไม่มาเจรจากับท่านแม่หรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้กัวเฟยมีปมในใจ หากว่าเรายกจูหลีให้เขา เขาจะคิดว่าตนนั้นไม่คู่ควรกับจูหลี จะเกิดความรู้สึกน้อยใจ เช่นนี้แล้วจะไม่เป็นการดีกับชีวิตของพวกเขาในภายหน้า”


 


 


พระชายาเกิดความสนใจขึ้น ถามอย่างตื่นเต้นว่า “อย่างนั้นเจ้าจะทำเช่นไร”


 


 


“ข้าคิดว่า…” เมิ่งเชี่ยนโยวกดเสียงต่ำลง เดินเข้าไปใกล้นาง บอกแผนการณ์ที่จะจัดการทั้งสองให้นางฟัง


 


 


เมื่อพระชายาฟังจบก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก “วิธีนี้ใช้ได้ หากกัวเฟยยังไม่รู้หัวใจตัวเอง ก็ให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิตเลย”


 


 


หูของหวงฝู่อี้เซวียนดีมาก ต่อให้ทั้งสองพูดด้วยเสียงเบาแล้ว แต่เขาก็สามารถได้ยินสิ่งที่ทั้งสองพูดได้อย่างชัดเจน มุมปากยิ้มออกมา มองหญิงตรงหน้าทั้งสองด้วยความรัก


 


 


ผ่านไปครึ่งชั่วยาม พระชายาเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวส่งนางกลับแล้วก็ไม่ได้เดินกลับเข้ามาในห้องอีก แต่กลับทำทีจะไปเดินเล่นกับหวงฝู่อี้เซวียนในสวน เมื่อเดินผ่านชิงหลวนและจูหลีนั้น ก็ทำทีเป็นคิดอะไรขึ้นมาได้ ถามไปว่า “ชิงหลวน จูหลี เจ้าทั้งสองอายุเท่าไรกันแล้วหรือ”


 


 


ทั้งสองมองตากัน ชิงหลวนตอบก่อน “ปีนี้หม่อมฉันอายุยี่สิบแล้วเพคะ”


 


 


จูหลีเองก็ตอบตามมาว่า “หม่อมฉันอายุเท่าชิงหลวน ยี่สิบปีเช่นกันเพคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเผยสีหน้าตกใจออกมา “ยี่สิบแล้วหรือ ควรหาคู่ครองได้แล้ว”


 


 


พูดจบ ก็จ้องมองทั้งสอง


 


 


สีหน้าของจูหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ


 


 


ชิงหลวนตกใจ เงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยว พวกนางมาจากการเป็นองครักษ์เงา ตามหลักแล้วชีวิตนี้ห้ามแต่งงาน


 


 


จูหลีเม้มปาก ไม่พูดอะไร


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าที่แตกต่างกันของทั้งสอง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “บัดนี้พวกเจ้าไม่ใช่องครักษ์เงาแล้ว เป็นสาวรับใช้ของข้า อย่างไรข้าก็ต้องหาคู่ครองให้พวกเจ้า”


 


 


ชิงหลวนตกใจจนสีหน้าหายไป พูดอย่างนอบน้อมว่า “ตามแต่นายหญิงจะเห็นควรเจ้าค่ะ”


 


 


จูหลีกลับพูดด้วยความร้อนใจว่า “ข้าไม่อยากแต่งงานเจ้าค่ะ ข้าน้อยอยากอยู่ข้างๆ นายหญิง”


 


 


“ต่อให้พวกเจ้าแต่งงานแต่ก็ยังอยู่ในจวนนี้ นอกจากจะมีครอบครัวของตัวเองแล้ว วันปกติก็ไม่มีอะไรต่างจากเดิม อีกอย่าง เป็นสาวเป็นนางมีที่ไหนจะไม่แต่งงาน ข้าให้เวลาพวกเจ้า ไปหาคนที่ตนเองชอบใจมา ในจวนอ๋องก็ได้ คนนอกก็ดี หากไม่มีใครที่ถูกใจ ข้าก็จะให้เสด็จแม่เลือกให้พวกเจ้า”

 

 

 


ตอนที่ 280 เข้าเมืองมาสอบ

 

 


 


ชิงหลวนไม่พูดอะไร จูหลีเองก็ลังเลแค่เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ตามแต่นายหญิงจะเห็นควรเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพร้อมพยักหน้า เดินเล่นในจวนกับหวงฝู่อี้เซวียน จากนั้นก็กลับห้องไป


 


 


โจวอันควบรถม้าไปรับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงที่กั๋วจื่อเจี้ยนมายังจวน หลังจากที่ทั้งสองได้พบเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน จึงได้วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ ตะโกนว่า “ท่านพี่ ท่านพี่เขย”


 


 


ทั้งสองตอบรับด้วยรอยยิ้ม เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวของทั้งสองด้วยความเคยชิน พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ผู้ดูแลเห็นแผลบนหัวของข้า ตกใจเป็นอย่างมาก ถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจึงได้นำคำที่พี่บอกข้าเล่าให้เขาฟัง ผู้ดูแลได้ยินดังนั้นจึงไม่ถามอะไรต่อ เพียงแต่บอกข้าว่าต่อไปให้ระวังตัวด้วย” เมิ่งชิงเงยหน้าตอบ


 


 


“คนพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ลงไม้ลงมือกับพวกเจ้าหรือไม่”


 


 


เมิ่งชิงส่ายหน้าเล็กน้อย “เมื่อวานพวกนั้นประจบไม่สำเร็จ วันนี้จึงทำได้เพียงถลึงตาใส่พวกเรา ไม่ได้ลงมืออีก”


 


 


“เห็นทีในใจพวกเขายังคงกลัวอยู่ หรือไม่ก็กำลังคิดหาวิธีจะมาจัดการกับพวกเจ้าอยู่ พวกเจ้าจะประมาทไม่ได้ จะต้องเตรียมตัวรับมือเอาไว้เสมอ แต่ก็อย่าให้กระทบการเรียน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว


 


 


ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “เข้าใจแล้วขอรับท่านพี่”


 


 


เมิ่งเจี๋ยไม่กล่าวอะไร ส่วนเมิ่งชิงทำทีจะพูด แต่ก็หยุดไป


 


 


“ชิงเอ๋อร์มีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่ามัวอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่” เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าของเขา จึงได้พูดไปดังนั้น


 


 


“ข้าไม่ค่อยชอบวิชาการ ข้าอยากตั้งใจฝึกซ้อมวิชาต่อสู้มากกว่าขอรับ” เมิ่งชิงลังเลเพียงครู่ จากนั้นจึงได้พูดความในใจที่คิดทบทวนอยู่หลายครั้งออกไป จากนั้นก็มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาเกรงกลัว เมิ่งเชี่ยนโยวโน้มตัวลง มองตาเขาด้วยสายตาเสมอกัน “พี่รู้ว่าเจ้าไม่ชอบวิชาการ ที่พยายามหลายปีมานี้ก็เพื่อให้พี่มีความสุข แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หากเจ้าไม่มีวิชาความรู้ มีเพียงทักษะการต่อสู้ ภายหน้าก็จะกลายเป็นเพียงคนบ้าพลังคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีโอกาสเลยที่จะได้เป็นเจ้าคนนายคน พี่รู้ว่าเจ้าต้องการจะเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอู่กั๋ว แต่หากเจ้าไม่มีความรู้ เจ้าจะดูแผนที่อย่างไร จะวางยุทธหัตถี สั่งการคนอย่างไร แล้วจะรบให้ชนะ นำความสำเร็จมาให้ประเทศชาติได้อย่างไร”


 


 


สีหน้าของเมิ่งชิงแดงขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขาเล็กน้อย แล้วจึงพูดว่า “เจ้าชอบวิชาการต่อสู้น่ะเป็นเรื่องดี พี่ก็สนับสนุนเจ้า แต่ความรู้ด้านวิชาการก็สำคัญ พี่อยากจะให้เจ้าทำให้ดีทั้งสองอย่าง”


 


 


เมิ่งชิงพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านพี่ ต่อไปนี้ข้าจะทำให้ดีทั้งวิชาการและการต่อสู้ จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”


 


 


“ความหวังของพี่เป็นเรื่องเล็ก พี่หวังจะให้พวกเจ้ามีทั้งกำลังและความรู้ ต่อไปนี้ไม่ว่าจะรับราชการ ทำการค้า ทำไร่ทำนา เจ้าก็จะโดดเด่นกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง เป็นหน้าเป็นตาของวงตระกูลเรา และยังดีกับอนาคตของตัวเองด้วย”


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงพยักหน้าพร้อมกัน “พวกข้าจะจำให้ขึ้นใจเลยขอรับท่านพี่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น ยิ้มพร้อมลูบหัวทั้งสอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองคนทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม


 


 


หลังจากอบรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงสั่งให้โจวอันส่งทั้งสองกลับบ้านไป


 


 


พระชายาได้ยินว่าน้องชายทั้งสองของเมิ่งเชี่ยนโยวมา คิดว่าพวกเขาจะมาอาศัยอยู่ที่จวนอ๋อง จึงได้ตามมาด้วยความยินดี คิดไม่ถึงว่ามาช้าไปก้าวหนึ่ง ทั้งสองได้กลับบ้านไปแล้ว สีหน้ายิ้มแย้มได้หายไป กล่าวว่า “โยวเอ๋อร์ ในจวนเหงาหงอยยิ่งนัก ภายหน้าหากน้องๆ ของเจ้ามาที่นี่อีก ไม่ต้องให้พวกเขากลับไปแล้วนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมอธิบายว่า “วันนี้ข้าบอกท่านแม่แล้วว่าจะให้คนไปส่งพวกเขากลับบ้าน แต่หากท่านอยากจะให้พวกเขามาอีก รอให้กั๋วจื่อเจี้ยนพักการเรียนการสอนแล้ว ข้าจะไปขอท่านแม่ ให้พวกเขามาที่นี่อีกก็ได้เจ้าค่ะ”


 


 


วันนี้เป็นวันแรกที่หวงฝู่อวี้จะได้ดูแลกิจการสมบัติในมือด้วยตนเอง เริ่มจากการไปเยี่ยมชมร้านรวงต่างๆ ผู้จัดการร้านหลังจากที่เฮ่อจางถูกทัณฑ์บนไปนั้นก็เกิดความกลัวเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าจะทำร้านต่อไปได้อย่างไร หากรู้ว่าพวกเขาต่างขายตัวให้จวนเฮ่อไปแล้ว จนกระทั่งหลังจากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้คนไปส่งข่าวว่าร้านรวงเหล่านี้จะกลายเป็นของจวนอ๋องทั้งสิ้น ต่อจากนี้จะมีคนเข้ามาจัดการแทน ทุกคนจะยังทำหน้าที่ตามเดิม ทำหน้าที่อย่างที่เคยทำมาก่อน เขาจะส่งคนมาตรวจสอบบัญชีเป็นระยะ


 


 


ทั้งหมดถึงได้โล่งใจ ทำหน้าที่ตามเดิมที่ได้รับมอบหมายมา ไม่มีใครกล้าทำผิดพลาด เมื่อก่อนตอนที่เฮ่อจางอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้ใจดีกับพวกเขามากนัก แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดเกินเหตุ บัดนี้ไม่เหมือนเดิม ท่านอ๋องและซื่อจื่อต่างเป็นคนเด็ดเดี่ยว และเ**้ยมโหด หากไม่ตั้งใจทำให้ดี หากปัญหามาอยู่ที่ตัวพวกเขาแล้วนั้น ผลลัพธ์ก็… ผู้จัดการและคนงานไม่กล้าแม้แต่จะคิด ดังนั้นปีกว่ามานี้ ร้านรวงทุกร้านก็ถือว่าทำการค้าได้ดี วันนี้หวงฝู่อวี้ไปตรวจสอบ อีกทั้งยังแสดงสถานะของตน พร้อมบอกพวกเขาว่าต่อจากนี้ร้านรวงพวกนี้เขาจะมาจัดการเอง ผู้จัดการร้านจึงได้มอบบัญชีร้านให้เขาตรวจสอบอย่างว่าง่าย และยังรายงานความเป็นไปของร้านด้วยความสัตย์จริง


 


 


หวงฝู่อวี้ตรวจสอบสมุดบัญชีของร้าน ไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ชื่นชมพวกเขา จากนั้นก็ได้บอกกฎระเบียบที่เขาเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ให้พวกเขาฟัง ซึ่งก็คือตั้งแต่ต้นเดือนหน้าเป็นต้นไป จะไม่มีการจ่ายเงินเดือนทางเดียวอีกแล้ว แต่จะเป็นการให้ปันผล ซึ่งก็คือจะนอกจากเงินเดือนแล้ว ยังจะมีการจัดสันปันส่วนให้พวกเขาเพิ่ม ยิ่งขายได้เยอะ เงินปันผลก็จะมากขึ้น


 


 


ผู้จัดการและคนงานได้ยินดังนั้นจึงได้ดีใจเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างกำหมัดขึ้น ถลกแขนเสื้อ และแย่งกันพูดว่าเดือนหน้าตนจะเป็นผู้ที่ได้ค่าตอบแทนสูงที่สุด


 


 


ตรวจสอบร้านรวง และตรวจสอบบัญชีของพวกเขาในคราวเดียว กว่าหวงฝู่อวี้จะกลับจวนอ๋องมา ฟ้าก็ได้มืดแล้ว เขาเหนื่อยเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไปกล่าวทักทายคารวะท่านอ๋องและพระชายาที่เรือนหลัก และไปทักทายหวงฝู่อี้เซวียนก่อนจึงได้กลับมาพักผ่อนที่ห้องของตน


 


 


ตั้งแต่มีครัวเล็กๆ ของตัวเอง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ไปร่วมโต๊ะกับผู้อื่น ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้เข้าครัวเองอย่างที่เคย เพื่อทำของโปรดให้เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ทุกคนชินเสียแล้ว โดยเฉพาะหวงฝู่อวี้ นานวันเขายิ่งรู้สึกว่าตนไม่มีตำแหน่งอะไร ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเข้าออกที่ใด ก็มีชิงหลวนและจูหลีคอยติดตามอยู่ไม่ห่าง ในจวนนี้ หวงฝู่อี้เซวียนกำลังทำอาหาร มีสาวใช้คอยเป็นลูกมืออยู่ ไม่มีที่ว่างให้ตนแม้แต่การจุดฟืน วันๆ เขาได้แต่รดน้ำให้หญ้าข้างกำแพงด้วยความเบื่อหน่าย ในใจก็คิดดูถูกหวงฝู่อี้เซวียน เป็นถึงซื่อจื่อ แต่กลับทำตัวเป็นทาสภรรยา ไม่กลัวคนในเมืองหลวงหัวเราะเยาะเอาหรืออย่างไร แต่ก็ทำได้เพียงคิด เขาไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว ดูจากที่หวงฝู่อี้เซวียนหลงภรรยาเพียงนี้ หากตนพลั้งปากพูดไปแม้ครึ่งคำ เห็นทีคงจะถูกห้อยหัวไว้กับต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดของจวน สามวันสามคืนก็ไม่ปล่อย


 


 


เวลาผ่านไปหลายวัน มาถึงกลางเดือนแปด นักเรียนที่เดินทางมาสอบในเมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้คิดขึ้นได้ว่าถึงวันสอบครั้งใหญ่ในรอบสามปีแล้ว จึงได้ส่งคนกลับหนานเฉิงไปถามว่าปีนี้เมิ่งเหรินจะเข้าร่วมสอบจอหงวนหรือไม่


 


 


หกปีก่อน ปีที่หวงฝู่อี้เซวียนได้พบกับครอบครัวของตน เมิ่งเหรินสอบติดนักวิชาการ สามปีก่อนจะเข้ามาสอบจอหงวนในเมืองหลวง แต่มาได้ครึ่งทางกลับเกิดป่วยขึ้นมากระทันหัน กว่าคนในครอบครัวจะได้ข่าวและเดินทางตามมาถึงนั้นเขาก็หมดแรงเดินไปเสียแล้ว สภาพเช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงการมาสอบในเมือง เพราะแม้แต่แรงจะยืนยังไม่มี ดังนั้นเมิ่งต้าจินจึงตัดสินใจให้เขากลับบ้านก่อน รออีกสามปีค่อยกลับมาสอบอีกครั้ง


 


 


ชิงหลวนออกไปได้ไม่นานก็กลับมารายงานว่า “นายหญิง คนที่บ้านส่งคนมาส่งข่าวแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าทางนั้นมากันทั้งบ้านเลยเจ้าค่ะ”


 


 


บ้านของลุงเดินทางมากันหมด เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจยิ่งนัก จึงได้รีบสั่งให้โจวอันเตรียมรถม้า และกลับบ้านของตนไปพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


เมื่อตอนที่นางแต่งงาน ครอบครัวเมิ่งต้าจิน รวมทั้งเมิ่งเหรินได้อยู่ดูแลกิจการที่บ้าน ไม่ได้มาร่วมงาน ครั้งนี้ถือโอกาสเข้ามาสอบจึงได้เข้าเมืองมา ประการแรกก็เพื่อมาส่งเมิ่งเหรินสอบ ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นระหว่างทาง ประการที่สองภรรยาของเมิ่งต้าจินจะมาดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวแทนแม่ของนางสักพัก ดังนั้นจึงได้มากันทั้งครอบครัว


 


 


คนที่ได้เดินทางเข้าเมืองมาพร้อมกันยังมีเหวินเป้า เหวินซงและเหวินเหลียน


 


 


ปีนั้นเหวินเปียวได้รับบาดเจ็บ เหวินหู่และเหวินเป้าก็ได้ปิดบังคนในครอบครัวมาโดยตลอด จนกระทั่งแผลเขาหายดีแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็หายตัวไปแปดเดือน ขณะที่ครอบครัวเมิ่งกำลังโศกเศร้ากันอยู่นั้น ภรรยาเหวินเป้าไม่อยากมารบกวนจึงไม่ได้ขอร้องจะมาด้วย จนกระทั่งเมิ่งเหรินจะเข้ามาสอบในเมืองหลวง ครอบครัวเหวินเป้าจึงได้ใจกล้าบอกเรื่องนี้กับเมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเอ้ออิ๋นตกลงทันที มอบอัฐให้พวกเขาจำนวนมาก เตรียมของไว้พร้อม ให้พวกเขาเดินทางมาพร้อมกับครอบครัวเมิ่งต้าจิน


 


 


หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากรถม้าแล้วนั้น นางก็ถลกแขนเสื้อขึ้นและรีบเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในบ้าน หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามนางมาติดๆ เดินเข้ามายังจวนตระกูลเมิ่ง


 


 


เมื่อก้าวเข้าบ้านมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮามาจากด้านใน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนว่า “ท่านลุง ท่านป้า พี่เมิ่งเหริน ซ้อ”


 


 


เมื่อได้ยินเสียงของนางแล้ว ทุกคนก็ยืนขึ้น เดินมาต้อนรับนาง ยังไม่ทันเดินไปถึงหน้าประตู เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เดินเข้ามาเสียแล้ว


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินอยู่ด้านหน้าสุด กอดเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ในอ้อมอก พูดด้วยน้ำเสียงติดขัดว่า “โยวเอ๋อร์ ป้าคิดถึงใจจะขาดแล้ว”


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นเต้นขึ้นมา “ท่านป้า ข้าก็คิดถึงท่านเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งต้าจินยืนพูดอยู่ข้างๆ ว่า “เบาหน่อย เบาหน่อย อย่าไปชนโยวเอ๋อร์เข้า”


 


 


ภรรยาของเมิ่งต้าจินปล่อยนางออก ตอบว่า “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้จักรักษาระยะอยู่หนา”


 


 


พูดจบ ก็ได้มองพิจารณานางยกใหญ่ พยักหน้า “ไม่เปลี่ยนไปเลย ยังเหมือนกับตอนที่ยังไม่แต่งงาน”


 


 


อิงจื่อก็ได้เดินเข้ามาด้วยดวงตาที่มีน้ำตารื้น “โยวเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมพยักหน้า “ซ้อ”


 


 


เมิ่งเยว่ตัวน้อยก็ได้วิ่งแซงมาด้านหน้า เงยหน้าถามด้วยความออดอ้อนว่า “ท่านอา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขา ตอบรับด้วยเสียงใส


 


 


เมิ่งเหรินก็ได้เดินมาด้านหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนเรียกด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่”


 


 


เมิ่งเหรินพยักหน้า กรอบตามีน้ำตารื้นขึ้นมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินขึ้นมาด้านหน้า กล่าวทักทายทีละคน


 


 


ทุกคนกล่าวทักทายกัน


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวไปนั่งในห้อง เทน้ำให้นางด้วยตนเอง “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะพักผ่อนเสียหน่อย วันพรุ่งจะไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่แม่ของเจ้าดึงดันจะให้พวกเจ้ามาเอง ได้ยินมาว่าจวนน่ะอยู่ไกล คิดไม่ถึงว่าไม่นานพวกเจ้าก็มาถึงแล้ว เหนื่อยหรือไม่”


 


 


“ถนนหนทางไม่ลำบาก ทั้งยังนั่งรถม้ามา ไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ ที่จริงท่านป้าต่างหากที่เดินทางมาไกล ลำบากแย่เลย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยรอยยิ้ม


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินนั่งข้างๆ นาง ยิ้มพร้อมโบกไม้โบกมือ “ไม่ลำบากเลย พวกเราเดินทางล่วงหน้ามาสามวันแล้ว ระหว่างทางไม่ได้รีบร้อนอะไร มาถึงเมืองหลวงแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ”


 


 


เมิ่งต้าจินพูดเสริมว่า “ใช่ พ่อของเจ้ารู้ว่าพวกเราจะมา จึงได้นำผ้าห่มหนามารองไว้ที่รถม้า นอนสบายเสียยิ่งกว่าอะไร”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินมองไปที่ท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวเล็กน้อย น้ำเสียงยินดีอย่างบอกไม่ถูก “ปู่กับย่าของเจ้ากลับไปแล้ว บอกว่าเจ้าตั้งท้องฝาแฝด ข้าและอาสะใภ้ของเจ้าดีใจเสียเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะยุ่งกับการทำอาหารที่บ้าน ข้ากับนางก็คงล่วงหน้ามาก่อนแล้ว”


 


 


“ไม่ได้เจอกันนานเพียงนี้ ข้าเองก็คิดถึงอาสะใภ้ยิ่งนักเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว


 


 


“ไม่ต้องรีบ อาสะใภ้ของเจ้าพูดแล้ว รอจนเจ้าใกล้คลอดแล้วนางจะมา มาช่วยแม่เจ้าดูแลเจ้าตอนอยู่ไฟ” ภรรยาเมิ่งต้าจินกล่าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่จริงจังว่า “อย่างนั้นข้าต้องขอบคุณอาสะใภ้ล่วงหน้าแล้วเจ้าค่ะหากท่านอาสะใภ้กลับไปจะต้องบอกนางว่าหากนางทำไม่ได้อย่างพูด ถึงเวลาแล้วไม่มาหาข้า ข้าก็จะไม่พูดด้วยเลย”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินรู้ว่านางล้อเล่น จึงได้พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว กลับไปแล้วข้าจะบอกนาง”


 


 


จากนั้นก็พูดคุยหยอกล้อกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปทางเมิ่งเหริน เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เมิ่งเหริน เตรียมตัวมาเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เมิ่งเหรินพูดด้วยความมั่นใจว่า “น้องโยวเอ๋อร์ วางใจเถิด ข้าไม่รับประกันว่าจะสอบได้ที่หนึ่ง แต่สอบติดนั้นเป็นไปได้แน่นอน”


 


 


“ดีแล้ว ข้าจะรอข่าวดีจากพี่ เมื่อถึงตอนนั้นท่านสอบติดแล้ว ท่านจะต้องพาพวกข้าไปกินอาหารที่ร้านที่ดังที่สุดในเมืองหลวงด้วยนะ”


 


 


หลายปีก่อน เวลาว่างจากการเรียน เมิ่งเหรินจะช่วยที่บ้านจัดการที่โรงงาน ได้เงินมาไม่น้อย มาเมืองหลวงครั้งนี้ก็ได้นำมาเกือบทั้งหมด เมื่อได้ยินคำของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงได้ทุบอกด้วยความมั่นใจว่า “ไม่มีปัญหา ไม่ต้องรอสอบติดหรอก หากเจ้าอยากไปบัดนี้จะไปเลยก็ได้ พี่ใหญ่จะเลี้ยงเจ้าเอง”

 

 

 


ตอนที่ 281 ขอร้องนายหญิง

 

 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพร้อมรอยยิ้ม “บัดนี้ข้าอยากกินอะไรแปลกๆ ของดีๆ กินส่วนใหญ่จะกินไม่ลง รอให้ท่านสอบติดเสียก่อน รสปากข้าก็คงกลับมาเป็นดังเดิม ถึงตอนนั้นข้าจะกินให้หนำใจเลยทีเดียว”


 


 


“ได้เลย เอาตามนี้ล่ะ ถึงตอนนั้นให้เจ้าเป็นผู้เลือกร้านอาหาร” เมิ่งเหรินตอบอย่างไม่ลังเล


 


 


รอถึงเดือนหน้า ตอนที่เขารู้ว่าการกินอาหารที่ร้านอาหารดังในเมืองหลวงต้องใช้อัฐเท่าใด ก็จะรู้เองว่าสมบัติทั้งหมดที่เขาสะสมมานั้นไม่พอจะจ่ายแม้เพียงครึ่งหนึ่งของค่าอาหารมื้อนั้นด้วยซ้ำ


 


 


คนในครอบครัวพูดคุยกันอย่างมีความสุข


 


 


แต่ทว่าฝั่งที่พักคนงานนั้น ภรรยาเหวินเปียวเห็นเหวินเปียวเดินกะเผลกมา ก็น้ำตาไหลด้วยความสงสาร “น้องสองและน้องสามปิดบังข้ามาโดยตลอด บอกเพียงว่านายหญิงได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นข้ายังแอบตำหนิท่านในใจ ว่าเหตุใดจึงไม่ดูแลนายหญิงให้ดี คิดไม่ถึงว่าท่านเองก็…” พูดถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ น้ำตาไหลรินออกมามากกว่าเดิม


 


 


เหวินเปียวเช็ดน้ำตาให้กับภรรยา โดยที่ไม่สนใจว่าลูกๆ ก็อยู่ตรงนั้น พูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ดูสิ ข้าก็มิได้เป็นอะไรเสียหน่อย เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย”


 


 


อาศัยอยู่ในชนบทมานานหลายปี ครอบครัวของเหวินเปียวชินกับชีวิตเช่นนั้นแล้ว นอกจากปีแรกๆ จะมีฝันถึงชีวิตในเมืองหลวงบ้างเป็นครั้งคราว ปีสองปีมานี้ไม่แม้แต่จะคิดถึงเรื่องเก่าๆ อีก ตอนนี้ไม่เพียงแค่เศร้าโศกเท่านั้น แต่ยังร้องไห้หนักกว่าเดิม “คิดถึงตอนนั้น ท่านเป็นถึงท่านชายหนุ่มผู้น่าเกรงขาม เป็นผู้มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งเมืองหลวง แต่บัดนี้กลายเป็นเช่นนี้ได้ ข้าเจ็บใจเหลือเกิน”


 


 


“เจ้าจะเสียใจไปใยกัน นายหญิงมอบชีวิตให้ครอบครัวเราสิบกว่าชีวิต หากปีนั้นไม่ได้นายหญิงยอมเสี่ยงซื้อพวกเรามา น่ากลัวว่าพวกเราตอนนี้ก็คงเหลือเพียงเถ้ากระดูกแล้ว ข้าบาดเจ็บแทนนายหญิงเพียงเท่านี้ถือว่าเล็กน้อยมาก” เหวินเปียวกล่าว


 


 


ภรรยาเหวินเปียวพยักหน้าทั้งน้ำตา “ข้าเข้าใจดี บุญคุณของนายหญิงนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน พวกเราจะทดแทนไปถึงชาติหน้าก็ยังไม่หมด ข้าไม่ได้กล่าวโทษอะไร เพียงแต่สงสารท่าน”


 


 


อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีแล้ว มีหรือเหวินเปียวจะไม่รู้ว่าภรรยาของตนเป็นคนเช่นไร เมื่อได้ยินดังนั้นจึงได้ปลอบนางเสียงเบา “ข้าคำนวณไว้แล้ว ยังโชคดีที่รักษาขาเอาไว้ได้ ส่วนกัวเฟยไม่สามารถรักษาแขนไว้ได้”


 


 


ทุกคนอยู่ด้วยกันมาหลายปี มีความรักใคร่ผูกพันธ์กันไม่น้อย เมื่อนางได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “อย่างนั้นจะทำอย่างไรดี เขาจะรับได้หรือ”


 


 


“แขนขาดไปแล้ว หากรับไม่ได้จะให้ทำอย่างไร โชคดีที่นายท่านป็นคนดี ไม่ได้ให้เงินมาปิดปากเขา แต่ยังให้เขาสามารถอยู่ในบ้านนี้ต่อไปได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอยู่คุ้มครองคุณชายได้ตลอดเวลาเช่นเดิม แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยวไปจนแก่ เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว”


 


 


ภรรยาเหวินเปียวเช็ดน้ำตา ถอนหายใจออกมา “เทียบกันแล้ว ท่านโชคดีกว่ามาก ข้าไม่ควรเสียใจเลยจริงๆ”


 


 


“อย่างนั้นล่ะถูกแล้ว รีบเช็ดน้ำตาเข้า อายเด็กๆ มัน”


 


 


นางมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ กล่าวว่า “ลูกของตัวแท้ๆ จะอายอะไร”


 


 


เหวินเปียวลูบหัวนางด้วยความเขินอาย ฉีกยิ้มกว้างส่งให้นาง


 


 


เมื่อเห็นท่าทีทะเล้นเช่นนี้ของเขา ภรรยาของเขาหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา พูดว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”


 


 


เมื่อเห็นว่านางหยุดร้องแล้ว เหวินเปียวก็โล่งใจ พูดว่า “ว่ามาเถิด”


 


 


“ซงเอ๋อร์อายุไม่น้อยแล้ว กลับมาครั้งนี้ข้าอยากให้นายหญิงหาคู่ให้เขา”


 


 


เหวินเปียวมองเหวินซงด้วยความตกใจ ถามย้ำว่า “จะให้นายหญิงหาคู่ให้อย่างนั้นหรือ”


 


 


ภรรยาของเหวินเปียวพยักหน้า “ซงเอ๋อร์ถูกใจแม่นางชิงหลวนของนายหญิง อยากจะสู่ขอนางมาร่วมชีวิต ไม่รู้ว่านายหญิงจะยอมหรือไม่”


 


 


เวลาหลายปีมานี้ ซงเอ๋อร์นับว่ารู้จักชิงหลวนและจูหลีพอสมควร ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย “ชิงหลวนมีสถานะเป็นองครักษ์เงา ข้าไม่แน่ใจว่านายหญิงจะยอมให้นางมีคู่หรือไม่”


 


 


ภรรยาเหวินเปียวเติบโตมาจากเมืองหลวง รู้ดีว่าในบ้านผู้ดีมีตระกูลนั้นจะเลี้ยงองครักษ์เอาไว้ ทั้งยังมีกฎที่เข้มงวดมาก ไม่อนุญาตให้พวกเขาแต่งงานมีครอบครัวเด็ดขาด เมื่อได้ยินดังนั้นก็เกิดร้อนใจขึ้น “อย่างนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ ซงเอ๋อร์คิดถึงนางตลอดเวลา ข้าจึงได้ปฏิเสธแม่สื่อแม่ชักไปหลายคนทีเดียว”


 


 


เหวินซงเองก็ร้อนใจ จะได้ตะโกนออกมา “เตี่ย!”


 


 


เหวินเปียวมองไปทางเขา พูดว่า “หากเป็นหญิงอื่น เตี่ยรับรองว่าจะไปสู่ขอมาให้เจ้าให้ได้ แต่ว่าสถานะของชิงหลวนไม่ธรรมดา เตี่ยไม่กล้ารับปากกับเจ้า เอาอย่างนี้ รอให้นายหญิงและนายท่านสะสางความเก่าเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปถามให้ หากนายหญิงตกลง เราก็จัดเตรียมสินสอดไปสู่ขอชิงหลวนอย่างเป็นทางการ แต่หากท่านไม่ตกลง เจ้าก็จงอย่ารั้น ตามแม่เจ้ากลับบ้านไป หาหญิงดีๆ สักคน แต่งงานกับนางเสีย”


 


 


“ขอบคุณขอรับเตี่ย” เหวินซงตอบรับด้วยความยินดี หลายปีมานี้ใช้ชีวิตในชนบท ได้แต่ติดตามนายหญิงรองไปทำการค้า เดินทางไปหลายที่ และก็ไม่พบกับหญิงสาวหลายคน แต่ไม่มีใครทำให้เขาสนใจได้เลย มีเพียงชิงหลวนเท่านั้น รอยยิ้มของนาง การกระทำของนางทุกอย่างต่างดึงดูดเขาเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะกลับบ้านที่ชนบทไปแล้วก็ยังคงคำนึงถึงนางเสมอ เป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว แต่ในใจของเขาไม่เคนลืมชิงหลวนได้ลงเลย หากไม่ใช่เพราะนายหญิงหายตัวไปแปดเดือน เขาก็คงเขียนจดหมายไปขอร้องให้นางเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร เขาสาบานว่าชาตินี้หากไม่ได้คู่กับชิงหลวน เขาก็จะไม่แต่งงานกับใครอื่น


 


 


แน่นอนว่าเหวินเปียวไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ แม้ว่าจะรับปากเขาแล้วแต่ก็ยังไม่มั่นใจเช่นกันว่าจะทำได้หรือไม่


 


 


ภรรยาเหวินเปียวก็ได้พูดขึ้นว่า “เหลียนเอ๋อร์ก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว ท่านก็ไปถามนายหญิงด้วยว่าจะหาคู่ครองในนางด้วยได้หรือไม่”


 


 


ปีนี้เหวินเหลียนอายุครบยี่สิบปีแล้ว ไม่ว่าจะในเมืองหรือในชนบท คนที่อายุอานามเพียงนี้ปกติจะต้องมีลูกเต็มบ้านหมดแล้ว หลายปีมานี้เขาไม่ได้อยู่ข้างกายพวกนาง ลืมเรื่องเช่นนี้ไปเสียได้ เมื่อได้ยินดังนั้น จึงได้พูดกับเหวินเหลียนด้วยความรู้สึกผิด “เหลียนเอ๋อร์ เป็นความผิดของเตี่ยเอง ควรจะต้องจัดการเรื่องคู่ครองของเจ้าตั้งนานแล้ว”


 


 


เหวินเหลียนทำงานอยู่ที่ร้านแป้งมันฝรั่งในเมืองตลอด ถูกไอร้อนอบอยู่เป็นเวลานาน ทั้งยังไม่ค่อยได้ถูกแสงแดด ใบหน้าสีดำคล้ำก็ขาวขึ้นมาไม่น้อย เมื่อได้ยินคำของเหวินเปียวดังนั้น ใบหน้าขาวนวลก็ได้มีสีแดงระเรื่อขึ้นมา รีบพูดขึ้นว่า “เตี่ย ข้าไม่รีบเจ้าค่ะ อยู่กับเตี่ยและแม่ต่อไปเช่นนี้ดีอยู่แล้ว”


 


 


ตอนที่เกิดเรื่องโชคร้ายขึ้นนั้น เหวินเหลียนอายุเพียงสิบสี่ปี ก่อนหน้านั้นแม้ว่าจะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาอกเอาใจ แต่ก็เป็นสาวน้อยที่ทุกคนรักและเอ็นดู แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นนางเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดโดยเฉพาะช่วงเวลาไม่กี่วันที่ต้องอยู่ในคุก ถูกคนในเมืองหลวงมองด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ หากไม่ใช่เพราะนางมีวิชาต่อสู้ ก็คงไม่มีโอกาสล้างมลทินให้ตัวเอง ทั้งหมดนี้ เป็นปมใหญ่ในใจของนาง นานแสนนานนางก็มิอาจลืมเลือนได้ จากที่มีนิสัยห้าวหาญและโลดโผน กลายเป็นสาวน้อยที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ทำให้ผู้คนมักจะลืมการมีตัวตนอยู่ของนาง


 


 


แต่เหวินเหลียนไม่ได้ใส่ใจมากนัก จะมีคู่หรือไม่มีสำหรับนางแล้วก็ไม่ต่างกัน ขอเพียงแค่คนในครอบครัวปลอดภัย ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบนางก็พอใจแล้ว


 


 


แต่คนเป็นแม่เห็นลูกตัวเองเก็บตัวมากขึ้นทุกวัน รู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก บัดนี้จึงได้ใช้โอกาสที่ต้องเดินทางมาหาเหวินเปียวพาทั้งสองมาด้วย หวังจะให้นายหญิงเห็นแก่ที่ครอบครัวนางทำงานด้วยความตั้งใจมาตลอดหลายปี หาคู่ครองให้ลูกๆ โดยเฉพาะเหวินเหลียนให้ได้


 


 


ติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาได้หลายปีแล้ว น้อยครั้งที่จะถามถึงคนที่บ้าน เหวินเปียวรู้สึกผิดกับลูกสาวและลูกชายของคนเป็นอย่างมาก เช้าของอีกวันเขาได้หาโอกาสไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดว่า “นายหญิง เหวินเปียวมีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน”


 


 


ติดตามตนมาหลายปีแล้ว เหวินเปียวไม่เคยเปิดปากของร้องนางเลยไม่ว่าเรื่องใด เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงได้ยิ้มและถามว่า “มีอะไรพูดมาเถิด ไม่ถึงต้องขอร้องข้าหรอก”


 


 


เหวินเปียวกล่าวตามจริง “ซงเอ๋อร์ชอบใจแม่นางชิงหลวนของท่าน ท่านจะยอมยกชิงหลวนให้เขาได้หรือไม่”


 


 


ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไปจริงๆ ครู่หนึ่งถึงได้หัวเราะออกมา เสียงนั้นสดใสเหลือเกิน


 


 


เหวินเปียวใจหายกว่าเดิม บนหน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา แต่ก็ยังคงขอร้องต่อไป “ข้ารู้ดีว่าองครักษ์เงานั้นจะไม่สามารถแต่งงานได้ตามอำเภอใจ แต่ซงเอ๋อร์หลงรักชิงหลวนผู้เดียว หวังว่านายหญิงจะเห็นใจด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดหัวเราะ ถามเขาว่า “เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่รู้”


 


 


เขาเดาท่าทีนางไม่ออก เหงื่อบนหน้าผากผุดออกมามากกว่าเดิม น้ำเสียงร้อนรนมากขึ้น “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันขอรับ เมื่อวานซงเอ๋อร์บอกกับข้า วันนี้ข้าจึงได้มาขอร้องท่าน ได้โปรดรับปากตกลงด้วยเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบเขา แต่กลับยิ้มและสั่งว่า “เจ้าไปเรียกเหวินซงมา ข้าจะถามเขาให้ชัดเจน”


 


 


เหวินเปียวจนปัญญา ทำได้เพียงหันหลังกลับไปยังห้องพักคนงาน เรียกเหวินซงให้ไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


สองพ่อลูกมาหาเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้งด้วยท่าทีเกรงกลัว เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยรอยยิ้มว่า “เหวินซง เจ้านี่ตาถึงเสียจริง ชิงหลวนเป็นสาวใช้ที่เก่งที่สุดของข้า เจ้าไปถูกใจนางตั้งแต่เมื่อใดกัน”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)