ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 272-275

ตอนที่ 272 เข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน

 

หลินหันเยียนลุกขึ้นยืน ถามด้วยความเร่งรีบว่า “ข่าวนี้น่าเชื่อถือหรือไม่ ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่”


 


 


แม่บ้านพยักหน้า “จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าได้ยินจากคนที่มารายงายให้นายท่านและฮูหยินฟังด้วยตัวเองเจ้าค่ะ ฮูหยินตกใจจนแทบจะเป็นลมล้มลงไป ส่วนนายท่านได้ส่งคนไปสืบแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


น้ำเสียงของหลินหันเยียนรีบไปกว่าเดิมว่า “เร็วเข้า เจ้าไปสืบมาอีก ถ้ามีข่าวอะไรให้รีบมารายงานข้าโดยด่วน”


 


 


แม่บ้านตอบรับ แล้ววิ่งย่องออกไป


 


 


หลินหันเยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างทำตัวไม่ถูก มองเหม่อ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


แม่บ้านคนสนิทยืนอยู่ด้านข้างนาง ลองเรียกนาง “คุณหนู?”


 


 


หลินหันเยียนได้สติ แล้วถามด้วยอาการปากสั่งว่า “หงเอ๋อร์ ข้าควรดีใจหรือไม่ ท่านพ่อ ท่านแม่จะได้ไม่ต้องบังคับข้าแต่งงานอีก”


 


 


ในฐานะเป็นแม่บ้านคนสนิท เลยเข้าใจความคิดของหลินหันเยียนเป็นอย่างดี หลายวันมานี้ก็เห็นนางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้ว่านางไม่ได้มีใจให้กับคุณชายท่านนั้น ในใจมีแต่หวงฝู่อวี้ ดังนั้นจึงแนะไปว่า “คุณหนู วันพรุ่งข้าน้อยจะไปเฝ้าที่หน้าประตูจวนอ๋อง รอให้องค์ชายรองออกมา ข้าจะเอาจดหมายมองให้กับเขา เชื่อว่าองค์ชายรองจะต้องมาเจอคุณหนูอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


ท่าทางของหลินหันเยียนสลดไป แล้วถอนหายใจหนึ่งเฮือก “หงเอ๋อร์ ครั้งที่แล้วที่อยู่ที่จวนแม่ทัพ ข้าทำเขาเจ็บหนัก เขาจะไม่มาพบข้าอีกแล้ว แต่ว่า ข้าเองก็มีลำบากใจเช่นกัน ที่ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้าคบค้ากับเขา ถ้าหากว่าข้าไม่ทำเช่นนั้น บางทีท่านแม่อาจจะใช้เป็นข้ออ้างมาทำเรื่องอื่นก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นชื่อเสียงของเขาก็จะพังทลายลงทันที”


 


 


หงเอ๋อร์พยักหน้า “ข้าน้อยรู้ดีว่าท่านลำบากใจ แล้วก็เชื่อว่าเมื่อองค์ชายรองรู้เรื่องนี้แล้วจะต้องให้อภัยคุณหนูอย่างแน่นอน”


 


 


คิ้วของหลินหันเยียนขมวดขึ้น สีหน้าเศร้าโศกโศกา “ข้ากับพี่อวี้โตมาด้วยกัน เขาปกป้องข้ามาตั้งแต่ข้ายังเด็ก ดูแลข้า เอ็นดูข้า ก่อนหน้านี้ข้าเห็นการกระทำทั้งหมดของเขาเป็นเรื่องปกติธรรมดา ตอนนี้ข้าถึงได้รู้ว่า นั่นเป็นเพราะว่าในใจของเขานั้นมีข้าต่างหาก มิเช่นนั้นแล้ว ก็จะเหมือนตอนนี้ ต่อให้ข้าไปพบเขาถึงที่ เขาก็จะไม่สนใจข้า ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาจะเด็ดขาดขนาดนี้ บอกว่าไม่สนใจข้า ก็ไม่สนใจข้าจริงๆ”


 


 


หงเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไรดี


 


 


หลินหันเยียนแค่อยากหาคนมาเป็นที่ระบายก็เท่านั้น ไม่ได้คาดหวังว่าเขาคนนั้นจะมาปลอบใจเขา พอพูดหมด ก็ถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก แล้วนั่งเหม่อที่เก้าอี้ต่อไป


 


 


หงเอ๋อร์ออกไปเงียบๆ ปิดประตูเบาๆ ปล่อยให้หลินหันเยียนอยู่คนเดียว


 


 


องค์ชายผู้นั้นหายตัวไปแล้ว ก็หมายถึงว่างานแต่งของหลินหันเยียนยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้น ในขณะที่หลินฮูหยินกำลังโกรธอยู่นั้นก็เกือบเป็นลมล้มลงไป ราชเลขาหลินเลยรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมา


 


 


จวนราชเลขาวุ่นวายเป็นอย่างมาก


 


 


และที่วุ่นวายไม่แพ้กันคือตำหนักของไท่จื่อ


 


 


ตำหนักของไท่จื่อวุ่นวายเละเทะเหมือนข้าวต้ม ตอนเช้าตรู่ ขันทีผู้ดูแลในตำหนักก็สั่งให้หมอหลวงเจียงที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้าไปมาเข้าเฝ้าที่วัง ให้เขาตรวจดูบาดแผลของไท่จื่อ


 


 


ไม่กล้าทายา ไท่จื่อที่เจ็บมาทั้งคืนสีหน้าขาวซีดอย่างกับกระดาษ เมื่อหมอหลวงเจียงเห็นแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก ตกใจเสียจนกล่องยาที่อยู่ในมือแทบจะหล่นลงกับพื้น แล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไท่ ไท่จื่อ… นี่ท่าน…”


 


 


“เมื่อวานระหว่างทางที่กลับตำหนัก ไม่ทันได้ระวังจึงหกล้มลง ตอนแรกก็คิดว่าไม่เป็นอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจ็บหนักทั้งคืนขนาดนี้ เห็นว่าท่านอายุมากแล้ว จึงไม่กล้าไปรบกวนท่าน ฝืนทนมาจนถึงตอนนี้ เจ็บมากจริงๆ ท่านรีบมาช่วยข้าดูทีเถิด”


 


 


หมอหลวงเจียงขึ้นมา เปิดผ้าห่มที่คลุมขาของไท่จื่อออกดู ตอนที่เห็นรอยช้ำที่หัวเข่า ก็หยุดหายใจไปครู่หนึ่ง “ไท่จื่อ นี่ท่านๆ… ท่าน……” พูดไปเสียนานนมแต่ก็คิดคำพูดที่เหมาะสมไม่ออก ทำได้เพียงแต่เปิดกล่องยาออกอย่างรวดเร็ว หยิบยาละลายลิ่มเลือดออกมา แล้วทาลงไปที่หัวเข่าอย่างเบามือ หลังจากนั้นจึงพูดว่า “จะปวดนิดหน่อย ขอให้ท่านอดทนสักนิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า


 


 


หมอหลวงเจียงใช้มือกดไปที่หัวเข่าของเขา แล้วใช้แรงกดเบาๆ


 


 


ไท่จื่อก็ร้องออกมาไม่เป็นภาษา ทำให้ผู้คนตกใจกันไปหมด หมอหลวงเจียงก็เหงื่อออก ตกใจจนหยุดมือที่กำลังกดอยู่ แล้วถามด้วยสีหน้าซีดเซวียวว่า “เป็นเพราะข้าน้อยใช้แรงมากไปหรือขอรับ”


 


 


ไท่จื่อปวดเสียจนพูดไม่ออก เหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด


 


 


เมื่อหมอหลวงเจียงเห็นดังนั้น ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรอีก ทุกคนก็ได้แต่มองไท่จื่อที่นอนเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น


 


 


ไม่นาน ความเจ็บปวดรวดร้าวก็ค่อยๆ หายไป ไท่จื่อถึงมีแรงถามว่า “หมอหลวงเจียง ใช้วิธีอื่นได้หรือไม่ แบบนี้ปวดมากเลย”


 


 


หมอหลวงเจียงตกใจจนเหงื่อไหลตกลงมาที่แก้ม แล้วก็ไม่กล้าเช็ดแผล ตอบกลับไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ตอบไท่จื่อขอรับ เลือดคั่งของท่านอาการรุนแรงเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าไม่นวดให้กระจายหายไป ภายหลังจะมีผลข้างเคียงได้ขอรับ ถึงเวลานั้นขาของท่าน…” พูดยังไม่ทันจบ หวงฝู่ซวิ่นก็เข้าใจ ขาของเขาก็จะพิการได้ เขากับบัลลังก์ฮ่องเต้ก็จะไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป คิดได้เช่นนี้ ในใจก็ได้แต่กร่นด่าเจ้าหวงฝู่อี้เววียนไม่รู้อีกกี่รอบ ตนเองนั้นก็ไม่ใช่เป็นเพราะหัวร้อน บุกเข้าไปที่จวนของเขา มิเช่นนั้นเขาจะลงมือหนักขนาดนี้อย่างนั้นหรือ เมื่อคิดเช่นนี้ สีหน้าก็ดูไม่ดี เกิดความดุดันขึ้นมาทันที


 


 


หมอหลวงเจียงเห็น ในใจก็เต้นตุบตับ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ก้มหน้าก้มตายืนอยู่อีกฝั่ง


 


 


หวงฝู่ซวิ่นสีหน้ากลับมาเป็นเช่นเดิม ถึงจะกัดฟันสั่งให้หมอหลวงเจียง “มาเถิด ข้าทนได้!”


 


 


หมอหลวงเจียงเดินหน้า ยื่นมือออกมา เมื่อกดลงไปที่หัวเข่าของเขา ก็มีเสียงบ่าวเข้ามารายงาน “เรียนองค์รัชทายาท ซื่อจื่อส่งคนมา บอกว่ามีของสำคัญจะมอบให้ท่าน”


 


 


มือของหมอหลวงเจียงหยุดลง


 


 


หวงฝู่ซวิ่นดีใจ ออกคำสั่ง “เรียกให้เข้ามาเร็วเข้า”


 


 


โจวอันเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในมือถือขวดดินเผากับจดหมายหนึ่งฉบับเดินเข้ามา หลังจากที่ทำความเคารพหวงฝู่ซวิ่นแล้ว แล้วเอาขวดดินเผากับจดหมายที่อยู่ในมือส่งให้เขา “นายท่านไท่จื่อ นี่เป็นยาและจดหมายที่ซื่อจื่อให้ข้ามาถวาย ไท่จื่อตรวจสอบดูเถิด”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นยื่นมือออกมา เอาจดหมายมาเปิดก่อน ข้างบนเขียนถึงขั้นตอนการใช้ยา ตอนท้ายเขียนหมายเหตุเอาไว้ว่า หลังจากที่เอายาในขวดดินเผานี้ไปถูแล้ว ความเจ็บปวดจะหายไป ส่วนเรื่องของรอยช้ำ จะต้องรอไปอีกหลายวัน อย่าขอบใจข้ามากเลย อย่างไรเสียท่านก็เป็นพี่ใหญ่ของข้า ข้ารับรองว่าข้าจะไม่ยอมให้ท่านหลงเหลือผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น


 


 


หวงฝู่ซวิ่นที่กำลังถือจดหมายอยู่มือสั่น เจ้าบ้านี่ ในเมื่อมียา แล้วเหตุใดถึงได้ให้ข้านอนเจ็บปวดไปทั้งคืน รอให้ขาหายก่อน ข้าจะไปคิดบัญชีแน่นอน


 


 


คิดได้เช่นนี้ โจวอันก็พูดต่อว่า “ซื่อจื่อบอกว่า ถ้าหากว่าท่านไม่พอใจ ก็สั่งให้ข้าเอายาขวดนี้กลับไปได้เลยขอรับ”


 


 


พูดจบ ขวดดินเผาในมือของโจวอันก็หายไป แต่กลับไปอยู่ในมือของหวงฝู่ซวิ่นอย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มแบบน่าสยดสยองออกมา แล้วกัดฟันบอกว่า “กลับไปบอกซื่อจื่อของเจ้า บอกว่าข้าดีใจ พอใจเป็นอย่างมาก มากที่สุด ดีใจเสียจนอยากที่ไปขอบคุณเขาด้วยตนเองที่จวนอ๋องเชียวล่ะ”


 


 


ในคำพูดที่มีความหมายประหลาดแฝงอยู่ทำให้โจวอันรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก รีบกล่าวลาแล้วเดินออกไปจากตงกงอย่างรวดเร็ว


 


 


ทุกคนแปลกใจ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเอ่ยปาก “หมอหลวงเจียง ท่านใช้วิธีนี้เจ็บมากจริงๆ ข้าทนไม่ไหว ท่านทิ้งยาเอาไว้ให้ข้า แล้วให้ข้าค่อยๆ พักฟื้นดีกว่า”


 


 


หมอหลวงเจียงดีใจมากที่ตนเองรอดโดยไม่ต้องไปเสี่ยง จึงตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วก็เอายาละลายลิ่มเลือดไปวางไว้ที่โต๊ะ และขอตัวลา


 


 


เมื่อเห็นว่าเขาออกไปแล้ว หวงฝู่ซวิ่นจึงรีบสั่งให้คนเอาน้ำสะอาดมา บอกให้สาวใช้เช็ดยาที่หมอหลวงเจียงทาไว้เมื่อครู่ออกให้หมด แล้วเอายาที่อยู่ในมือมาเทไว้บนหัวเข่า ความรู้สึกเหมือนโดนลูบด้วยน้ำเย็น ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ มลายหายไปจริงๆ ดีใจเป็นอย่างมาก แล้วด่าพึมพำว่า “เจ้าบ้านี่ รอก่อนเถอะ รอให้ข้าหายก่อน ข้าจะไปคิดบัญชีด้วย”


 


 


รอให้ความเจ็บปวดหายไป แล้วมองไปที่รอยช้ำบนหัวเข่า ออกคำสั่งว่า “ไปรายงานเสด็จพ่อ บอกว่าขาของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถขยับได้เลย เดินทางไปเจียงหนานไม่ได้แล้ว”


 


 


ขันทีผู้ดูแลตอบรับ แล้วเข้าไปรายงานที่วัง


 


 


ฮ่องเต้ไม่เชื่ออย่างแน่นอน ส่งคนมาตรวจสอบ เห็นรอยช้ำบนหัวเข่าของหวงฝู่ซวิ่นแล้วจึงตกใจเป็นอย่างมาก แล้วกลับไปรายงานตามจริง


 


 


ถึงแม้ฮ่องเต้จะโกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แต่ส่งองค์ชายรองไปเจียงหนานแทน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อได้ข่าวแล้ว ต่างก็มองหน้าแล้วหัวเราะกัน


 


 


ผ่านไปหลายวัน หวงฝู่ซวิ่นส่งคนมาบอกข่าว บอกว่าเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงสามารถเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนได้แล้ว พรุ่งนี้ส่งไปเข้าเรียนได้เลย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปหนานเฉิงด้วยตนเอง บอกข่าวดีอันนี้ให้กับคนในครอบครัวฟัง


 


 


เมิ่งจงจวี่ซาบซึ้งจนน้ำไหลริน เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ซาบซึ้งจนเดินรอบบ้านไปหลายรอบ แล้วพูดตลอดเวลาว่า “คุณธรรมของบรรพบุรุษ เพราะคุณธรรมของบรรพบุรุษแท้ๆ”


 


 


เมิ่งเจี๋ยไม่ได้แสดงอาการมากมาย เพียงแค่หน้าแดงเท่านั้น แต่เมิ่งชิงกลับเก็บความดีใจนั้นไม่ได้ วิ่งไปวิ่งมาในจวน วิ่งไปก็ตะโกนร้องไป


 


 


เมิ่งชื่อเห็นท่าทางดีใจของเขา ก็ปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง


 


 


เมิ่งชิงสามารถเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนได้ ก็เหมือนกับว่าได้ตอบแทนเมิ่งเสียวเถี่ยที่เสียไปได้


 


 


ทั้งครอบครัวดีใจเป็นอย่างมาก ทุกคนล้วนซาบซึ้งจนนอนไม่หลับเลยทีเดียว วันที่สองฟ้ายังไม่ทันสว่าง เมิ่งชื่อก็ตื่นแต่เช้า มาทำสำรับที่ทั้งสองคนชอบกินด้วยตนเอง


 


 


กินข้าวเช้าเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้พาทั้งสองคนนั่งรถมามาที่หน้าประตูกั๋วจื่อเจี้ยน


 


 


ในกั๋วจื่อเจี้ยนล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานขุนนางใหญ่ทั้งนั้น จะเข้าจะออกล้วนแต่มีรถม้าดูดีมีระดับมารับส่ง เมื่อเห็นว่าพวกเขานั่งรถม้าที่เก่ามา ก็พากันคว่ำปากเสียหมด แล้วแสดงสายตาเหยียดหยาม


 


 


ท่าทางของเมิ่งเจี๋ยนิ่ง ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาเหล่านั้น เมิ่งชิงกลับรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรง


 


 


หวงฝู่ซวิ่นได้จัดการไว้หมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนพาทั้งสองคนเข้าไปที่กั๋วจื่อเจี้ยน ก็มีคนรออยู่แล้ว เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนเดินมา โค้งคำนับเรียบร้อย บอกว่า “ซื่อจื่อ ไท่จื่อได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขอท่านโปรดวางใจ ให้องค์ชายทั้งสองตามข้ามาเถิดขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า กำชับทั้งสองคนว่า “ถึงแม้ว่าในกั๋วจื่อเจี้ยนจะมีแต่ลูกหลานขุนนางชั้นสูง หลังจากที่พวกเจ้าเข้าไป ถ้าหากว่ามีคนมาหาเรื่องพวกเจ้า พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องอดทน เอาคืนได้ก็เอาคืน”


 


 


เมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงพยักหน้า


 


 


คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบก็อ้าปากค้าง มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน จากนั้นก็คิดได้ว่าองค์ชายทั้งสองนี้มีซื่อจื่อกับไท่จื่อคอยหนุนหลังอยู่ จึงมีคุณสมบัติที่จะเอาคืนได้อย่างแน่นอน แล้วเก็บอาการตกใจไว้ ทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียนเสร็จแล้ว ก็พาทั้งสองคนไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังกลับ ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน นั่งรถม้ากลับหนานเฉิง


 


 


ทั้งสองคนไปกั๋วจื่อเจี้ยนครั้งแรก เมิ่งชื่อไม่ค่อยสบายใจนัก นั่งรออยู่ที่บ้านทั้งวัน รอจนฟ้ามืด จึงออกไปรอที่ด้านนอกประตู


 


 


กัวเฟยขับรถม้ามารอที่ประตูกั๋วจื่อเจี้ยน เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเดินออกมาอย่างร่าเริง ขึ้นรถม้า แล้วพูดคุยกับกัวเฟยออกไปจากกั๋วจื่อเจี้ยน


 


 


นักเรียนคนอื่นเมื่อเห็นรถม้าออกไปแล้ว ก็มองหน้ากัน แล้วต่างคนก็ต่างนั่งรถม้ากลับจวนของตน


 


 


เมื่อเมิ่งชื่อเห็นรถม้ากลับมา ก็ขึ้นไปรับด้วยความดีใจ


 


 


เมิ่งเจี๋ยลงมาจากรถม้าก่อน ตะโกนเรียก “ท่านแม่” ด้วยความดีใจ


 


 


เมิ่งชื่อตอบรับ


 


 


เมิ่งชิงก็ลงมาจากรถม้าด้วย แล้วเรียก “ท่านป้ารอง!”


 


 


เมิ่งชื่อก็ยิ้มรับ แล้วถามทั้งสองคนว่า “วันนี้ที่กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เมิ่งเจี๋ยพยักหน้าด้วยความดีใจ “อาจารย์ที่กั๋วจื่อเจี้ยนมีความรู้มากกว่าอาจารย์ที่โรงเรียนเจิ้นซ่างเสียอีกขอรับ เพียงวันนี้วันเดียวเท่านั้น ก็ได้รับอะไรมากมายเลยล่ะ”


 


 


เมิ่งชิงก็พูดด้วยความดีใจว่า “วิชาเรียนในกั๋วจื่อเจี้ยนมีมากมาย วันนี้ข้าไปเรียนขี่ม้ายิงธนูมา ดีมากเลยขอรับ”


 


 


เห็นทั้งสองคนดีใจเช่นนี้ เมิ่งชื่อก็ดีใจ พาทั้งสองคนเข้าบ้าน บอกให้ทั้งสองคนไปที่ห้องของสองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ ส่วนตนก็ยิ้มเดินไปที่ห้องครัว


 


 


เมิ่งจงจวี่ถามแล้วถามเล่า ทั้งสองคนก็ตอบตามความจริง


 


 


ได้ยินทั้งสองคนดีใจเช่นนี้ เมิ่งจงจวี่ก็พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วก็กำชับทั้งสองคนอีกว่า “ที่พวกเจ้าเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนได้ เป็นเพราะความโชคดีของเจ้า จะต้องรักษาไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี อย่าหาเรื่องใส่ตัวเป็นอันขาด ทุกอย่างจะต้องเอาการเรียนเป็นหลัก อย่าทำให้คนที่บ้านต้องเป็นห่วง”


 


 


ทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมๆ กัน


 


 


ผ่านไปหลายวัน ทั้งสองคนก็เริ่มปรับตัวได้แล้วในกั๋วจื่อเจี้ยน เมิ่งจงจวี่ก็เริ่มพูดเรื่องที่จะกลับบ้านนอก บอกว่าตนเองอยู่เมืองหลวงนานเกินไปแล้ว คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน


 


 


อย่าว่าแต่พวกเขาเลย กระทั่งเมิ่งเอ้อร์อิ๋นก็คิดถึงบ้านเช่นกัน


 


 


ทั้งครอบครัวปรึกษาหารือกันแล้ว ตัดสินใจให้สองสามีภรรยาเมิ่งฉีกับสองสามีภรรยาเมิ่งอี้อยู่ที่เมืองหลวงต่อเพื่อช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวทำงานในเมืองหลวง เมิ่งชื่ออยู่ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเอ้ออิ๋นและสองสามีภรรยาเมิ่งเสียนและสองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่กลับบ้านนอก


 


 


เมื่อตกลงกันได้แล้ว สองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ก็รีบไปเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว วันที่สองก็กลับบ้านนอกไปในขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวมองด้วยสายตาอาวรณ์

 

 

 


ตอนที่ 273 เพิ่มเชื้อไฟ

 

 


 


หลังจากที่เมิ่งจงจวี่ไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขอร้องเมิ่งชื่อให้ไปอยู่ด้วยกันที่จวนอ๋องฉี


 


 


แต่เมิ่งชื่อไม่ได้ตอบรับ “พี่รองกับซ้อใหญ่ของเจ้ายังอยู่ที่บ้าน แม่ไม่สามารถไปได้ แต่แม่จะไปอยู่กับเจ้าทุกวัน แล้วค่ำค่อยกลับมา”


 


 


เห็นว่าเมิ่งชื่อไม่ยอมท่าเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ดึงอันอะไร จึงกลับจวนอ๋องไปกับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


เมื่อทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในจวน จวนก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง พระชายาฉีไม่เพียงแต่รู้สึกไม่คุ้นชิน ขนาดอ๋องฉีก็ไม่ชินตามไปด้วย เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา ถึงแม้จะไม่ได้ดีใจเหมือนพระชายาฉี แต่ริมฝีปากที่ยกขึ้นก็แสดงให้เห็นถึงความอารมณ์ดีของเขา


 


 


ไม่กี่วันมานี้หวงฝู่อวี้ไปที่โรงงาน ในทุกวันก็ไปเช้ากลับสาย รอให้ท่านอ๋องฉีไปที่ห้องหนังสือก่อน พระชายาฉีก็กดเสียงต่ำ แล้วจึงคุยกับทั้งสองคนอย่างแอบๆ ว่า “สองวันมานี้อวี้เอ๋อร์ดูแปลกๆ ไป เอาแต่เหม่อลอยอยู่เสียบ่อย ข้าถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่พูด พวกเจ้าว่า จะเกี่ยวกับเยียนเอ๋อร์หรือไม่”


 


 


ทั้งสองคนแม้ว่าจะไปที่หนานเฉิง แต่ก็สั่งให้โจวอันจัดคนไปคอยติดตามหวงฝู่อวี้ในทุกๆ ฝีก้าว หลินหันเยียนส่งคนมาหาหวงฝู่อวี้ เรื่องที่ส่งจดหมายให้กับเขาทั้งสองคนรู้ดีอยู่แก่ใจ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหหน้า “เสด็จแม่พูดถูก คุณหนูหลินส่งคนให้มาส่งจดหมายแก่อวี้เอ๋อร์จริงๆ เนื้อความโดยรวมว่าอย่างไร พวกเรายังไม่รู้แน่ชัด”


 


 


“งั้นรึ ว่าแล้วเชียวว่าทำไมสองวันนี้อารมณ์ของเขาถึงได้ผิดปกติ” พูดจบ ก็ถามด้วยความดีใจว่า “พวกเจ้าว่า พวกเราจะเพิ่มเชื้อไฟให้เขาดีหรือไม่ เพราะจากข้าดูแล้วอวี้เอ๋อร์ไม่ได้รู้สึกกับเยียนเอ๋อร์เหมือนแต่ก่อนแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จะต้องเติมเชื้อให้เขาหน่อยจริงๆ ข้ากับอี้เซวียนปรึกษากันแล้ว วันพรุ่งก็จะประกาศว่าหาหญิงสาวที่เหมาะสมกับอี้เซวียนได้แล้ว รอให้พวกเราเตรียมการเสร็จเรียบร้อย ก็จะไปขอแต่งงาน”


 


 


สายตาของพระชายาฉีปลื้มปีติเป็นอย่างมาก “ต้องการให้แม่ช่วยอะไรหรือไม่”


 


 


ตอนดึก หวงฝู่อวี้นั่งรถม้ากลับมาจากโรงงานด้วยท่าทางไร้ชีวิตชีวา เมื่อเข้าประตูจวนมา หลิงหลงก็เข้ามาคำนับ “องค์ชายรอง พระชายาให้ท่านไปพบนางที่ตำหนักเจ้าค่ะ”


 


 


“เสด็จแม่เรียกข้ามีเรื่องอันใดงั้นรึ” หวงฝู่อวี้เปลี่ยนทิศทาง แล้วเดินไปถามไป


 


 


หลิงหลงตอบ “ข้าน้อยมิทราบ”


 


 


หวงฝู่อวี้ถามไปเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้นางตอบแต่อย่างใด ไม่นานก็เดินมาที่ห้องของพระชายาฉี ยังไม่ทันทักทาย พระชายาฉีก็กวักมือเรียกด้วยความดีใจ “อวี้เอ๋อร์ มานี่เร็ว วันนี้ข้ากับซ้อใหญ่ของเจ้าได้ทำการปรึกษากันมาทั้งวันแล้ว หาหญิงสาวให้เจ้าได้แล้ว เจ้ามาดูเร็วเข้า ถูกใจหรือไม่ ถ้าหากว่าถูกใจ วันพรุ่งข้าจะจัดคนมาดูดวงของพวกเจ้า”


 


 


หวงฝู่อวี้หยุดเดิน ดูก็ไม่ได้ดู พูดว่า “ท่านแม่ว่าดีก็ดีขอรับ ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวแบบไหนก็ถูกใจทั้งนั้น”


 


 


สีหน้าดีใจของพระชายาฉีก็หายไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วมองไปที่เขาด้วยความสงสัย “อวี้เอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องหนักใจอันใดหรือไม่ แม่เห็นว่าเจ้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาสองวันแล้ว”


 


 


ท่าทางของหวงฝู่อวี้ชะงักไป แล้วจึงยิ้มออกมา “เสด็จแม่คิดมากไปแล้ว ลูกมีความสุขดีขอรับ”


 


 


พระชายาฉีก็ไม่ได้พูดอะไร มองจ้องไปที่เขาอยู่ครู่หนึ่ง จ้องเสียจนหวงฝู่อวี้เกิดความกลัว แล้วจึงถอนหายใจเฮือกยาวออกมา “อวี้เอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าไม่ได้อยากแต่งงาน ถ้าหากว่าเจ้ายังเด็ก แม่ก็จะไม่บังคับเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าสิบแปดแล้ว อย่าไปพูดถึงตระกูลขุนนางต่างๆ ในเมืองหลวงเลย ลูกของบ้านประชาชนธรรมดาก็น้อยมากที่จะยังไม่แต่งงาน เมื่อก่อนพี่ชายของเจ้าก็คอยกดเจ้าไว้ตลอด ถ้าหากว่าไม่ได้ซ้อใหญ่ของเจ้าล่ะก็ เขาก็จะไม่ยอมแต่งงาน ตอนนี้พวกเขาแต่งงานกันแล้ว แล้วก็มีลูกแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องงานแต่งงานของเจ้าก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ติดอยู่ในใจของแม่มาตลอด ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร ภายในปีนี้ งานแต่งงานของเจ้าต้องถูกกำหนดชัดเจน เมื่อถึงสิ้นปี จะต้องแต่งเข้า ปีหน้าแม่จะรอดูลูกของพวกเจ้า ยิ่งเยอะยิ่งดี”


 


 


คำพูดของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่อวี้ก็ค่อยๆ หายไป หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นปกติ แล้วพูดว่า “ลูกอกตัญญูที่ทำให้เสด็จแม่ต้องลำบาก ลูกก็ยังยืนยันคำเดิมขอรับ ทุกอย่างเสด็จแม่จัดการเลยขอรับ ลูกไม่มีความคิดเห็นใดๆ”


 


 


พระชายาฉีถอนหายใจ บอกว่า “อวี้เอ๋อร์ แม่ไม่อยากแค่ให้เจ้าแต่งงานมีลูกเท่านั้น แม่ยังอยากให้เจ้าเป็นเหมือนพี่ชายซ้อใหญ่ของเจ้า หาคนที่ตนเองชอบตนเองรัก แล้วใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่ใช่จะหาใครก็ได้มายัดเยียดให้เจ้า แล้วเจ้าก็ใช้ชีวิตแบบไร้ซึ่งความสุขไปกับนางตลอดชีวิต


 


 


หวงฝู่อวี้ยิ้มเยาะตนเอง “เสด็จแม่ พี่ใหญ่กับซ้อใหญ่เปรียบเสมือนกิ่งทองกับใบหยก รักใคร่ปรองดองกันนั้นเป็นเรื่องปกติ ส่วนข้า ไม่ได้โชคดีแบบนั้นหรอกขอรับ อย่างไรเสียเสด็จแม่ช่วยข้าเลือกเถิดขอรับ ลูกรับรอง ไม่ว่าท่านแม่จะเลือกหญิงสาวแบบไหนให้กับลูก ลูกจะดูแลนางให้เป็นอย่างดี เหมือนกับที่พี่ใหญ่ดูแลซ้อใหญ่อย่างนั้น จะจับมือกับนางคนนั้นไปจนวันสุดท้ายของชีวิตขอรับ”


 


 


พระชายาฉีฟังแล้วร้อนใจเป็นอย่างมาก จึงพูดความในใจออกมา “ทำไมเจ้าจะไม่มีโชคอย่างนั้นล่ะ เจ้ากับเยียนเอ๋อร์โตมาด้วยกัน ก็เป็นกิ่งทองกับใบหยกเช่นเดียวกัน ตอนนี้เจ้ายังไม่แต่ง นางก็ยังไม่ได้แต่ง ถ้าหากว่ายินยอม แม่จะบากหน้านี้ไปขอมาให้เจ้า”


 


 


หวงฝูอวี้ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ส่ายหน้า “เสด็จแม่ คุณหนูหลินนางเป็นลูกสาวคนโตของจวนราชเลขา แต่ข้าเป็นบุตรของพระสนม แค่เรื่องฐานะก็ไม่เหมาะสมแล้ว อีกทั้ง ที่ก่อนหน้านี้คุณหนูหลินยังมาเล่นที่จวนอยู่บ้าง ก็เป็นเพราะพี่ใหญ่ ดังนั้น ระหว่างพวกเราไม่ได้มีความรู้สึกต่อกันขอรับ ก็เป็นเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น เกรงว่าเสด็จแม่จะคิดมากไปแล้วขอรับ”


 


 


ในเมื่อพูดออกมาแล้ว พระชายาฉีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป บอกว่า “ถ้าหากว่าเจ้ารู้สึกว่าฐานะไม่เหมาะสมกัน แม่ก็จะเอาเจ้าไปจดรองจากชื่อของแม่ ทีนี้เจ้าก็จะเป็นลูกของพระชายา ฐานะเท่าเทียมกันแล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ซาบซึ้งเข้าไปใหญ่ แต่ก็ยังดึงดันไม่ยอมเหมือนเดิม “ขอบพระคุณเสด็จแม่ แต่ว่าข้าไม่ได้รู้สึกกับคุณหนูหลินแบบนั้น อย่างไรเสียก็ขอให้เสด็จแม่เลือกคนให้ข้าใหม่เถิดขอรับ”


 


 


“เจ้า…” เมื่อเห็นเขาดึงดันเช่นนี้ พระชายาฉีก็เหนื่อยใจ ไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว “ในเมื่อเจ้าเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งแม่จะไปดูดวงให้เจ้าแล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้โค้งคำนับถึงพื้น “ขอบพระคุณเสด็จแม่ขอรับ”


 


 


พระชายาฉีถอนหายใจ แล้วโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ”


 


 


หวงฝู่อวี้ตอบรับ แล้วจับจดหมายที่อยู่ในแขนเสื้อ เดินออกมาห้องที่เงียบเหงา เม้มปาด แล้วเดินกลับห้องของตนอย่างรวดเร็ว


 


 


โจวอันก็เดินมา บอกว่า “องค์ชายรอง ซื่อจื่อสั่งให้ท่านไปพบขอรับ”


 


 


หวงฝู่อวี้ชะงักไปนิดหน่อย วันนี้มันวันอะไรกัน ขนาดพี่ใหญ่ยังเรียกหาเขา


 


 


ในใจนึกสงสัย แต่ก็เดินไปไม่หยุด ไม่นานก็มาถึงห้องของหวงฝู่อี้เซวียน ตะโกนเรียก “พี่ใหญ่ ข้าเข้าไปได้หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนออกมาว่า “เข้ามา”


 


 


หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปที่ด้านใน “พี่ใหญ่ มีเรื่องอันใดหรือขอรับ”


 


 


เอากล่องที่อยู่ในโต๊ะดันไปให้เขา หวงฝู่อี้เซวียนบกว่า “วันพรุ่งหลังจากที่เจ้าไปโรงงานแล้ว ยกหน้าที่ที่เจ้าทุกอย่างไปให้กับเสี่ยวซือ วันต่อก็เริ่มไปตรวจตามร้านค้าและที่นาต่างๆ แล้ววันหลังก็ไม่ต้องไปที่โรงงานอีกแล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้รีบปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ข้าเคยบอกไว้แล้ว สิ่งเหล่านี้ข้าไม่ต้องการ ถ้าหากว่าเจ้าจะยัดเยียดให้ข้าล่ะก็ ข้าจะเอาโยนทิ้งเสีย”


 


 


“ใครบอกว่าจะให้เจ้า ข้าแค่เพียงให้เจ้าช่วยข้าจัดการเท่านั้น ตอนนี้ซ้อใหญ่ของเจ้ากำลังตั้งครรภ์ ไม่สามารถทำงานหนักได้ ข้าก็ไม่ได้มีเวลาไปดูแลเรื่องพวกนี้ เสด็จแม่ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ร่างกายของท่านอ่อนแอ ก็มีเพียงแต่เจ้าที่ช่วยจัดการทุกอย่างได้ ไม่เพียงเท่านี้ รอให้เจ้าชำนาญแล้ว เรื่องในจวนก็ต้องให้เจ้าจัดการ” หวงฝู่อี้เซวียนบอก


 


 


“ความหมายของพี่ใหญ่ก็คือ ต่อไปนี้เรื่องในจวนก็ยกให้ข้าจัดการแล้วงั้นหรือ” หวงฝู่อวี้ถามลองเชิง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “แน่นอน ข้าจะต้องช่วยซ้อใหญ่ดูแลลูก จะไปมีกะจิตกะใจที่ไหนมาดูแลเรื่องพวกนี้กัน”


 


 


“ข้าไม่เห็นด้วย” หวงฝู่อวี้ปฏิเสธทันควัน “เสด็จแม่บอกแล้ว ว่าจะเลือกหญิงสาวให้ข้า วันพรุ่งก็จะไปดูดวงให้พวกเราแล้ว ถ้าหากว่าเหมาะสม ก็จะกำหนดวันแต่งงานให้กับข้า ปลายปีนี้ ข้าจะมีเวลาที่ไหนไปดูแลเรื่องพวกนี้กัน”


 


 


คิดไปคิดมา หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มออกมา คำพูดคำจาก็ดูสงบเย็นเหมือนลมหนาวกราวใจ แทรกลึกลงไปในหัวใจของหวงฝู่อวี้ จนเขาสั่น “โตขึ้นแล้วนะ รู้จักต่อรองกับพี่ใหญ่แล้ว”


 


 


“ไม่ใช่ๆ” หวงฝู่อวี้ตกใจจนรีบโบกมือ “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น สมบัติมากมายขนาดนี้ข้าจัดการไม่ได้จริงๆ ให้คนอื่นทำแทนเถอะขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นมา “จวนอ๋องนี้ก็เป็นของเจ้ากับอี้เซวียนสองพี่น้อง เดี๋ยวเขาก็จะต้องเข้าวัง ไม่มีเวลามาจัดการเรื่องพวกนี้ ส่วนเรื่องในจวนอ๋องก็วุ่นวายกับข้ามากเสียเหลือเกิน ส่วนเรื่องข้างนอกก็ต้องการให้เจ้าไปจัดการอยู่แล้ว แน่นอน ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะเป็นขุนน้ำขุนนางค่อยว่ากัน”


 


 


“ข้าไม่อยากเป็นขุนนางแน่นอน จุดนี้พี่ใหญ่รู้ดีแน่นอนขอรับ”


 


 


“ดังนั้น ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าก็เลยจะยกหน้าที่เหล่านี้ให้กับเจ้า แบบนี้ถึงจะเรียกได้ว่าพี่น้องสองคนช่วยกันดูแลจวนอ๋อง” เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ


 


 


หวงฝู่อวี้ชะงักไป มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน เห็นท่าทางเห็นด้วยของเขา จึงถามว่า “พี่ใหญ่ขอรับ ไม่กลัวที่ข้าจะแอบโยกย้ายสมบัติของที่นี่อย่างนั้นหรือ” ถ้าหากว่าน้ำที่หล่อเลี้ยงจวนอ๋องนี้ไม่ได้มีแต่เงินเดือนของอ๋องฉีล่ะ แต่เป็นเพราะกรรมสิทธิ์ที่นา รายได้จากร้านรวง ถ้าหากว่าเขามีความคิดที่ไม่ควรมีขึ้นมา ยึดไปจนหมด ถึงแม้หวงฝู่อี้เซวียนจะจนทั้งชีวิต แต่ก็ไม่ยอมให้จวนอ๋องล่มสลายอย่างแน่นอน


 


 


“เจ้ากล้างั้นรึ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม


 


 


หวงฝู่อวี้ส่ายหัวแทบหลุด “ไม่แน่นอน”


 


 


“แล้ว?” หวงฝู่อี้เซวียนพูด


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่เข้าใจ จึงถาม “แล้วอะไรหรือขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “อวี้เอ๋อร์ พี่ใหญ่ขอเจ้าหมายถึง เจ้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ ถึงได้ถามคำถามเช่นนี้”


 


 


หวงฝู่อวี้ชะงักไป แล้วยิ้มออกมา ตอบกลับไปว่า “พี่ใหญ่พูดผิดแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่ได้กินข้าวเลย แล้วจะทำได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะดังขึ้นไปใหญ่


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มออกมา


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ยิ้มตาม


 


 


ภายในจวนอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข


 


 


วันที่สอง หลังจากที่หวงฝู่อวี้ไปโรงงานแล้ว จึงยกหน้าที่ของตนทั้งหมดให้กับเสี่ยวซือต่อหน้าเมิ่งฉี แล้วตบบ่าของเขา “พี่ชาย นับตั้งแต่นี้ต่อไปโรงงานนี้ยกให้เจ้าดูแลแล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ได้มีความถือตัวว่าตนสูงส่งแต่อย่างใด โดยเฉพาะฐานะเช่นเขา เขาไม่เคยดูถูกเหยียดหยามเขาเลยสักนิด อย่าพูดถึงคนในโรงงานเลยยิ่งไม่เคยไปกันใหญ่ เสี่ยวซืออาวรณ์เป็นอย่างมาก น้ำตาไหลริน “องค์ชายรอง ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะได้พบกันอีกหรือไม่”


 


 


ตบไปที่บ่าของเขา หวงฝู่อวี้ก็อาวรณ์เช่นกัน “เจอแน่นอนสิ วันหลังถ้ามีเวลาข้าจะมาหาพวกเจ้าบ่อยๆ”


 


 


เมื่อร่ำลาเสี่ยวซือเสร็จ ก็เดินไปรอบๆ โรงงาน ไม่อยากที่จะเดินออกจากโรงงานเลย ขึ้นรถม้าไปสั่งให้คนขับกลับจวน


 


 


คนขับรถตอบรับ แล้วขับกลับไปอย่างช้าๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็หยุดรถ


 


 


หวงฝู่อวี้ที่นั่งโครงเครงอยู่ด้านบนก็ขมวดคิ้วถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”


 


 


“องค์ชายรอง ข้าหน้ามีรถม้ามาจอดขวางขอรับ” คนขับรายงาน


 


 


“ถนนก็กว้าง อ้อมไปก็สิ้นเรื่อง เหตุใดจึงหยุดเล่า” หวงฝู่อวี้พูดด้วยควาไม่พอใจ


 


 


คนขับรถรีบตอบกลับไปว่า “รถม้าคันนั้นเหมือนกับจะเป็นของจวนราชเลขา”


 


 


หวงฝู่อวี้นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วสั่งว่า “อ้อมไป อย่าหยุด!”


 


 


“ขอรับ องค์ชาย” คนขับรถตอบรับ แล้วขับต่อไป กำลังจะอ้อม


 


 


แต่นึกไม่ถึงว่า เมื่อคนขับรถอีกคันหนึ่งเห็นเขากำลังจะอ้อม ก็จับเชือกฟาดลงไปเช่นกัน ม้าก็ขยับออกมา จนรถม้ามากีดขวางถนนของพวกเขา


 


 


คนขับรถหมดสิ้นหนทาง ก็หยุดลง แล้วรายงานว่า “องค์ชายรองขอรับ พวกเขาขวางทางพวกเรา พวกเราไปไม่ได้แล้วขอรับ”


 


 


หวงฝู่อวี้เปิดหน้าต่างออกมา เห็นสถานการณ์แล้ว ก็ขมวดคิ้ว สั่งคนขับรถว่า “ถอยหลัง ไปทางอื่น” พูดจบ ก็ปิดหน้าต่าง กลับไปนั่งที่เดิม ตั้งแต่แรกก็ไม่ได้ดูรถม้าของอีกฝั่งเลยยันตอนจบ


 


 


หลินหันเยียนที่นั่งอยู่บนรถม้า ได้ยินเสียงสถานการณ์ข้างนอก ได้ยินคำพูดของหวงฝู่อวี้ ก็เจ็บปวดยิ่งนัก กัดฟันเม้มปาก กัดเสียจนเลือดแทบไหล


 


 


คนขับรถตอบรับ แล้วลงจากกม้า จูงเชือก สั่งให้ม้าถอยหลัง


 


 


หงเอ๋อร์เห็นดังนั้น ในใจร้อนรน ตะโกนบอกไปว่า “องค์ชายรอง คุณหนูของพวกเรามีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 274 คนแปลกหน้า

 

 


 


ในขณะที่กำลังร้อนรน เสียงของหงเอ๋อร์ก็ดังขึ้นอีก คนที่เดินไปมาบนท้องถนนก็ได้ยินเสียงของนาง ต่างก็เดินมาดูด้วยแปลกใจ


 


 


รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คน หงเอ๋อร์ก็รู้สึกได้ว่าการกระทำของตนเมื่อครู่นั้นไม่เหมาะสม จึงรีบเดินไปห้ามรถม้าของหวงฝู่อวี้ แล้วพูดด้วยเสียงปกติว่า “องค์ชายรอง ที่คุณหนูของพวกเราทำกับท่านก่อนหน้านี้เพราะคุณหนูลำบากใจ ขอท่านอย่าถือโทษโกรธนางเลย แล้วก็ขอให้ท่านไปพบนางเสียหน่อย คุณหนูของพวกเรามีเรื่องอยากจะพูดกับท่านมากมายเลยเจ้าค่ะ”


 


 


ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในรถม้า


 


 


หงเอ๋อร์ใจร้อนเข้าไปใหญ่ จึงตะโกนว่า “องค์ชายรอง องค์ชายรอง?”


 


 


และแล้วก็มีจดหมายส่งออกมจากด้านในย แล้วหวงฝู่อวี้ก็บอกว่า “นี่เป็นจดหมายที่คุณหนูของเจ้า ข้าขอส่งคืนเจ้าโดยที่ข้ายังไม่แกะ แล้วก็ฝากเจ้าไปบอกนางด้วยว่าอีกไม่กี่วันก็จะกำหนดงานแต่งแล้ว เพื่อไม่ให้น่าเกลียด ก็ขอให้นางอย่ามาหาข้าอีกเลย”


 


 


หงเอ๋อร์ชะงักไป ไม่ได้ยื่นมือไปรับจดหมายนั้นมา แต่พึมพำว่า “องค์ชายรอง ท่าน…”


 


 


หวงฝู่อวี้ปล่อยมือ จดหมายฉบับนั้นก็ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น ใจของหงเอ๋อร์ก็ร่วงลงไปตามเช่นเดียวกัน อยู่กับหลินหันเยียนมาหลายปี นางรู้จักนิสัยของหวงฝู่อวี้ดี เขาเป็นพวกไร้หัวจิตหัวใจเ ป็นคนที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่เก็บไว้ในใจ เมื่อก่อนแม้ว่าคุณหนูจะใช้อารมณ์ไร้เหตุผล แต่เขาก็ยังอดทนเป็นอย่างมากเพื่อเอาใจนาง แต่มาวันนี้อย่าพูดถึงเจอหน้าคุณหนูเลย ขนาดจดหมายที่คุณหนูส่งให้เขาก็ยังไม่อ่านเลย นี่หมายความว่าเขาปล่อยคุณหนูไปแล้วอย่างนั้นหรือ ต่อจากนี้จะไม่สนใจคุณหนูอีกต่อไปแล้ว


 


 


รถม้าสองคนอยู่ใกล้กัน คำพูดของหวงฝู่อวี้ หลินหันเยียนก็ได้ยินชัดเจนแล้ว เจ็บปวดหัวใจเสียเหลือเกิน จึงเปิดหน้าต่างออก แล้วตะโกนไปที่รถม้าฝั่งตรงข้ามว่า “พี่อวี้ ท่านจะใจร้ายเช่นนี้ ไม่สนใจใยดีข้าอีกต่อไปแล้วจริงหรือ”


 


 


ได้ยินเสียงคำถามที่ถามมาด้วยน้ำตา หวงฝู่อวี้ก็เจ็บปวดเช่นกัน เจ็บจนเขาต้องเอามือมาทาบที่หน้าอก นานสองนานกว่าเขาจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงแน่นิ่งว่า “คุณหนูหลิน ข้าน้อยใกล้จะกำหนดงานแต่งงานแล้ว ถ้าหากว่ายังคงดึงดันกับท่านอยู่เช่นนี้ จะเป็นการไม่ดีต่อฮูหยินในอนาคตของข้า ขอท่านอย่าจงรู้สึกผิดอีกต่อไปเลย เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาก็ให้มันแล้วไป นับแต่นี้ต่อไป พวกเราเจอกันก็เป็นแค่คนแปลกหน้าเถิด”


 


 


หลินหันเยียนน้ำตาไหลรินอย่างไม่ขาดสาย “พี่อวี้ ท่านโกรธที่ข้าตัดสัมพันธ์กับท่านวันนั้นใช่หรือไม่ วันนั้นข้าก็ทำอะไรมากกว่านั้น…”


 


 


“คุณหนูหลิน” หวงฝู่อวี้พูดขัด “เรื่องก่อนหน้านี้ข้าลืมมันไปหมดแล้ว ขอท่านอย่าได้พูดถึงมันอีก”


 


 


คำพูดที่หลินหันเยียนจะพูดต่อก็ไม่ได้พูดอีกต่อไป อ้าปากค้างไว้ มองรถม้าฝั่งตรงข้ามทั้งน้ำตา


 


 


หวงฝู่อวี้ก็พูดอีกว่า “คุณหนูหลิน ท่านหลีกทางให้หน่อยได้หรือไม่ วันนี้ที่จวนข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการ ข้ายังต้องรีบกลับไปอีก”


 


 


หลินหันเยียนไม่ได้พูดอะไร ส่ายหน้าอย่างเดียว


 


 


ไม่ได้ยินเสียงของนาง หวงฝู่อวี้ก็ได้แต่แอบถอนหายใจ สั่งคนรถ “ไปอีกทางหนึ่ง”


 


 


คนรถตอบรับ แล้วหลบหงเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง แล้วขับไปอีกทางหนึ่งกลับไปที่จวนอ๋อง


 


 


หลินหันเยียนมองรถม้าที่จากไป ก็ล้มลงร้องไห้อยู่ในรถม้า


 


 


คนรถไม่รู้จะทำเช่นไร ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะดี


 


 


หงเอ๋อร์ก็ไม่รู้เช่นกัน จึงโค้งคำนับ แล้วรีบเก็บจดหมายที่อยู่ที่พื้นขึ้นมา เดินกลับที่ด้านข้างของรถ แล้วถามคุณหนูว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอย่าเสียใจไปเลย องค์ชายรองแค่โกรธก็เท่านั้น รอให้วันเวลาผ่านไปก็น่าจะเข้าใจ”


 


 


หลินหันเยียนเอาแต่ร้องไห้ไม่พูดจา


 


 


คนรถและหงเอ๋อร์มองหน้ากัน ไม่รู้จะทำเช่นไรดี


 


 


รถม้าจอดอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน


 


 


คนที่เดินผ่านไปมาก็มองไปด้วยความสงสัย แล้วก็เดินผ่านไป


 


 


หวงฝู่อวี้ที่เลือกใช้อีกเส้นทางหนึ่งเพื่อกลับจวน ท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว ภาพที่เคยเล่นกับหลินหันเยียนเมื่อวันวานผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย นางร้องไห้ นางหัวเราะ นางไร้เหตุผล นางซุกซน นางเย่อหยิ่ง ทุกๆ ความทรงจำต่างยังวนเวียนอยู่ในสมองของเขา ไม่สามารถลบล้างออกไปได้ ใครๆ ก็บอกว่าคุณหนูจวนราชเลขารู้หนังสือฉลาดหลักแหลม ได้ทั้งบุ๋นบู๊ เป็นตัวอย่างที่ให้กับทุกคนในเมือง มีแต่เพียงเขาที่รู้ว่า จริงๆ แล้วหลินหันเยียนก็แค่คนบ้าคนหนึ่ง ตอนที่อยู่ด้วยกัน นางปีนเขาได้อย่างไม่เกรงกลัวใดๆ ปีนต้นไม้อีก ภาพลักษณ์ตัวอย่างที่ดีของนางไม่มีเลยสักนิด แล้วยังชอบทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอีก แล้วให้เขามารับผิดแทน ตอนนั้นนางมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะกลายมาเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน เขารู้ดีไม่ใช่แค่หลินหันเยียนที่เปลี่ยนไป ตัวเขาเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาไม่ใช่หวงฝู่อวี้ที่ไม่คิดอะไรอีกต่อไป ตอนนี้เขาเป็นองค์ชายรองแห่งจวนอ๋อง มีหน้าที่รับผิดชอบจวนอ๋องไปพร้อมกับพี่ใหญ่ซื่อจื่อ เขาไม่สามารถเลือกเรื่องความรักของเขา เพื่อมาทำให้พี่ใหญ่กับซ้อใหญ่ลำบากได้ ราชเลขาหลินเป็นคนที่สูงส่ง มีอำนาจวาสนา พวกเขาไม่สามารถยอมรับลูกคนใช้อย่างข้าได้หรอก ถ้าหากรู้เรื่องตนกับหลินหันเยียนล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรหรือไม่ แล้วตัวเขาเองก็ไม่ควรที่จะสร้างความวุ่นวายให้กับจวนอ๋องอีกแล้ว


 


 


คิดมาตลอดทาง กลับมาจนถึงจวนอ๋อง เมื่อมาถึงหน้าประตู ก็ลงจากรถ จัดการอารมณ์ตัวเอง ให้ดูเหมือนกันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเดินเข้าไปด้านใน


 


 


โดยไม่รู้ว่า เรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้นนั้น ถึงหูของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนมองหน้ากัน จึงขำแล้วส่ายหัว


 


 


ไม่นาน ในจวนอ๋องก็มีข่าวออกมาอีกว่า พระชายาฉีได้คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมกับองค์ชายรองได้แล้ว รอให้ดูดวงเสร็จค่อยไปสู่ขอ


 


 


เลยเป็นที่ฮือฮาในเมืองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่เคยมาสมัครแล้ว ต่างก็ทายกันไปว่าเป็นลูกสาวของตนหรือไม่ ชั่วพริบตาเดียว ร้านขายผ้าในเมืองก็คนเต็มร้าน ร้านผ้าไหมของเมิ่งเชี่ยนโยวก็กอบโกยจากตรงนี้ไปด้วยเช่นกัน


 


 


และแน่นอนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง บอกก่อนว่าหลังจากที่องค์ชายรองกลับมาที่จวนอ๋องแล้วนั้น ก็ไปทักทายพระชายาฉีก่อน แล้วก็บอกเรื่องที่ตนได้ออกจากการรับผิดชอบในโรงงานแล้วมาช่วยหวงฝู่อี้เซวียนจัดการเรื่องทรัพย์สินมรดกแทนให้นางฟัง


 


 


หลังจากที่พระชายาฉีฟังแล้วก็พยักหน้า ไม่ได้มีความแปลกใจแต่อย่างใด “แบบนี้ดีที่สุด นับแต่นี้ไปเรื่องน้อยใหญ่ในจวนอ๋องก็ให้พวกเจ้าสองคนจัดการ แม่และเสด็จพ่อของพวกเจ้าจะได้พักเลี้ยงหลานเสียที”


 


 


คำพูดนี้ เปรียบหวงฝู่อวี้เป็นลูกแท้ๆ ของตน ไม่มีเลยที่จะบอกว่าเขานั้นเป็นคนนอก หวงฝู่อวี้ซาบซึ้งเป็นอย่างมาก และดีใจที่ตนได้เกิดมาในจวนอ๋องฉี ได้เจอกับพระชายาฉี มิเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้ตนก็น่าจะกวาดพื้นอยู่ที่หน้าประตูอยู่ก็เป็นได้


 


 


คิดได้เช่นนี้ ก็คิดว่าการที่ตนตัดสัมพันธ์กับคุณหนูหลินนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เสด็จแม่จะต้องหาผู้หญิงที่ดีพร้อมให้กับเขาอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็น่าจะมีครอบครัวที่มีความสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี สุขสบายเป็นที่สุด


 


 


แต่น่าเสียดาย ความคิดของเขานั้นช่างสวยงาม แต่ความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เรื่องที่จะเกิดขึ้นจริงนภายหลังนั้น ทำให้เขาอยากตายๆ ไปให้จบๆ


 


 


หลังจากที่ออกจากจวนพระชายาฉีมา ก็เดินมาที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน อยากที่จะเข้าไปทักทายทั้งสองคนเหมือนแต่ก่อน แต่ก็นึกถึงวันนี้ที่ตนเองอารมณ์ไม่ค่อยดี ก็เลยเปลี่ยนทิศทาง กลับเรือนของตนเอง


 


 


และแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะโกนออกมา “มาถึงหน้าประตูแล้ว ยังจะไม่เข้ามาอีก หรือว่าวันนี้เจ้าทำเรื่องอะไรที่ทำให้เราสองคนไม่พอใจงั้นรึ”


 


 


ใจของหวงฝู่อวี้ก็ตุบตับขึ้นมา รีบหันหลังกลับ เดินมุ่งหน้ามาที่ห้อง เดินไปยิ้มไป บอกว่า “ซ้อใหญ่คิดมากไปแล้ว วันนี้ข้ากลับมาเร็ว ข้าคิดว่าซ้อใหญ่กำลังพักผ่อนอยู่ ไม่อยากรบกวนท่านน่ะขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะแล้วว่ากล่าว “นี่มันกี่นยามแล้ว ข้ายังจะนอนอยู่อีกหรือ ถ้าครั้งหน้าโกหกอีกก็หาเหตุผลดีๆ หน่อย จะได้ไม่โดนข้าจับได้อีก”


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้เถียง ยิ้มแห้งอย่างเดียว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เงยหน้าขึ้น แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะทำความผิดมาจริงๆ ด้วย ยิ้มแบบนี้เนี่ย”


 


 


หวงฝู่อวี้รีบหุบยิ้มโดยทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มแล้วบอกว่า “ทำอะไรผิดมาก็พูดออกมา อย่าให้ข้ากับซ้อใหญ่ของเจ้าบังคับ”


 


 


สายตาของหวงฝู่อวี้ลอกแลก เวลาพูดก็ติดๆ ขัดๆ “เปล่าขอรับ ข้าไม่ได้ทำอะไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดแล้วถามว่า “จริงรึ”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า “จริงๆ ข้าไม่ได้โกหกพี่ใหญ่นะขอรับ”


 


 


“ข้าเชื่อก็บ้าแล้ว เจ้าคิดอะไรอยู่ก็แสดงออกมาบนสีหน้าหมดแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรมา เจ้าจะทำเป็นแกล้งเป็นทำอย่างนั้น” หวงฝู่อี้เซวียนพูด


 


 


หวงฝู่อวี้ชะงักไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก แล้วพูด “พูดเถอะ เรื่องอะไรกันแน่”


 


 


กลืนน้ำลายลงไป หวงฝู่อวี้มองตาของทั้งสองคน แล้วพูดติดๆ ขัดๆ บอกว่า “ไม่ ไม่มีอะไรขอรับ ก็แค่คุณหนูของจวนราชเลขามาขวางทางรถม้าของข้า อยากจะคุยกับข้า แต่ว่าข้าไม่ได้ตอบรับนาง เลยให้คนรถกลับรถ แล้วกลับมาอีกเส้นทางหนึ่ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เลยทำเป็นตกใจ “คุณหนูหลิน นางไปขวางเจ้าอีกแล้วงั้นรึ”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า เพื่อไม่ให้นางเข้าใจผิด จึงอธิบายอีกว่า “ข้าไม่ได้สนใจนาง…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็โกรธจนทุบโต๊ะ แล้วพูดว่า “นางนี่ก็หน้าด้านเสียเหลือเกิน เจ้าได้ปฏิเสธนางไปแล้ว นางก็ยังจะมาเว้าวอน ก่อกวนเจ้า หน้าที่นางเป็นคุณหนูผู้สูงส่งนั้นไม่เอาแล้วหรืออย่างไร”


 


 


เมื่อเห็นนางโกรธเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็เปลี่ยนสีหน้า แล้วเรียกโจวอันเข้ามา ออกคำสั่งว่า “ไป เอาเรื่องที่คุณหนูหลินทำในวันนี้ไปบอกกับราชเลขา ถามว่าเขาสอนลูกสาวของเขาอย่างไรกัน”


 


 


โจวอันไม่ทันได้ตอบรับ สีหน้าของหวงฝู่อวี้ก็เปลี่ยนไป “พี่ใหญ่ ช้าก่อน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขาด้วยสายตาเย็นชา หวงฝู่อวี้ก็ถอนหายใจ แล้วจึงรวบรวมความกล้าพูดขอร้องแทนหลินหันเยียน “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าได้พูดไปหมดทุกอย่างแล้ว วันหลังนางจะไม่มาหาข้าอีกแล้ว พี่อย่าได้ไปถือสาเยียน…คุณหนูหลินเลยขอรับ”


 


 


“อวี้เอ๋อร์ขอร้องแทนนางขนาดนี้ ไม่เหลือเยื่อใยกับนางจริงๆ แล้วเช่นนั้นหรือ ถ้าหากว่าจริง ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าก็จะไม่ติดใจอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


หงฝู่อวี้โบกมือ แล้วแก้ตัวว่า “ไม่มีๆ ข้าก็แค่เห็นแก่ที่โตมาด้วยกัน ไม่อยากทำลายชื่อเสียงของนางก็เท่านั้น ข้ารับรอง ว่านางจะไม่มาหาข้าอีก”


 


 


“หึ” หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่พอใจ “จะดีมากถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูด ตอนหลังถ้าหากว่าข้ารู้ว่าเกิดเรื่องไร้มารยาทแบบนี้ขึ้นอีก ข้าจะไม่ปล่อยนางไปแน่”


 


 


ใบหน้าของหวงฝู่อวี้ก็เหงื่อตก พยักหน้าไม่หยุด “ข้ารู้แล้วขอรับ พี่ใหญ่ ข้าจะไปบอกนางเอง” พูดจบ ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ถูกต้องเท่าไร ก็รีบโบกมือ “ไม่ๆ ข้าหมายถึง นางจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว”


 


 


มองจ้องไปที่เขา หวงฝู่อี้เซวียนก็โบกมือ บอกให้โจวอันถอยไป “เสด็จแม่เลือกหญิงสาวให้เจ้าแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะไปสู่ขอ เจ้าก็ควรที่จะจัดการให้เรียบร้อย ถ้าหากว่าเกิดอะไรไม่เข้าท่าระหว่างขั้นตอนนี้ล่ะก็ ดูสิว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้าเหมือนไก่ “ข้ารู้แล้วขอรับๆ พี่ใหญ่โปรดวางใจ ต่อแต่นี้ไปข้ากับนางไร้ซึ่งเยื่อใยต่อกัน”


 


 


เมื่อได้คำรับรองจากเขา สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงดีขึ้น


 


 


เมื่อเห็นว่านางไม่โกรธแล้ว ความโกรธของหวงฝู่อวี้ก็หายไปเช่นกัน


 


 


เมื่อหวงฝู่อวี้เห็นว่าท่าทางของทั้งสองคนเปลี่ยนไปแล้ว ก็คิดในใจ ชายที่แต่งงานแล้วผู้นี้น่ากลัวเสียจริงๆ เป็นพ่อบ้านเต็มตัวที่แท้จริง หวังว่าตนเองจะไม่ได้เป็นแบบนี้นะ


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็ส่ายหัวแล้วก็ขนลุกแบบไม่รู้ตัว


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของเขา หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะเอ่ยปากถามเขา ก็มีเสียงของชิงหลวนดังขึ้นมา “นายหญิง ฮูหยินส่งจดหมายมา บอกให้ท่านกับซื่อจื่อกลับบ้านเสียหน่อยเจ้าค่ะ”


 


 


ฟ้ามืดแล้ว นางก็กำลังตั้งครรภ์ ถ้าหากว่าไม่เกิดเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ล่ะก็ เมิ่งชื่อไม่มีทางส่งคนมาเรียกนางแน่นอน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้อนรนขึ้นมาทันที ถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”


 


 


“ข้าถามแล้ว คนที่มาส่งจดหมายบอกว่าคุณชายทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บที่กั๋วจื่อเจี้ยนเจ้าค่ะ

 

 

 


ตอนที่ 275 รังแก

 

ได้ฟังคำพูดของชิงหลวนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งร้อนใจ รีบก้าวเท้าจะเดินออกไปข้างนอก หวงฝู่อี้เซวียนก้าวมาข้างหน้าอุ้มนางขึ้นมา แล้วรีบเดินออกไปข้างนอก สั่งหวงฝู่อวี้ว่า “เจ้าก็มาด้วย”


 


 


หวงฝู่อวี้รีบตอบรับ แล้วเดินตามอยู่ข้างหลัง


 


 


มาถึงลานบ้าน เดินไปด้วย ออกคำสั่งให้คนไปรายงานพระชายาฉีไปด้วย


 


 


ทุกคนมาถึงด้านนอกหน้าประตูจวน โจวอันเตรียมรถม้าเสร็จแล้ว วางเมิ่งเชี่ยนโยวลงไว้ในรถม้าอย่างระมัดระวัง หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว หวงฝู่อวี้ขึ้นนั่งบนรถม้าอีกคันหนึ่ง ทุกคนกลับจวนที่เมืองหนานเฉิง


 


 


มาถึงในจวนของตระกูลเมิ่ง ก็เห็นสาวใช้หลายคนถืออ่างที่มีเลือดออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวจิตตก สีหน้าไม่สู้ดีนัก


 


 


เดินเข้าไปในห้อง ก็เห็นเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง ที่แขนและต้นขาของเมิ่งเจี๋ยมีผ้าพันแผลพันอยู่ เมิ่งชิงสาหัสกว่าเขานิดหน่อย มีผ้าพันแผลพันอยู่ที่หัว มีหมอคนหนึ่งที่กำลังนั่งสั่งยาอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ


 


 


เห็นทั้งสองเข้ามา เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงน้ำตาคลอเบ้า ในขณะเดียวกันก็ร้องเรียกด้วยความเจ็บปวด “ท่านพี่ พี่เขย!”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนวางเมิ่งเชี่ยนโยวลง ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


เมิ่งเจี๋ยถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเขารุมทำร้ายพวกเราสองคน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก เดินไปตรงหน้าทั้งสองคน ย่อตัวลง จ้องมองที่ตาของทั้งสอง แล้วถามว่า “พวกเจ้าเสียเปรียบรึ”


 


 


ทั้งสองคนยืดตัวตรง “เปล่า พวกเราจัดการพวกเขาหมอบไปเลย”


 


 


ชำเลืองมองแผลบนหัวของเมิ่งชิง


 


 


ทันใดนั้นเมิ่งชิงก็หดตัวลง เสียงก็เบาลงด้วย “เป็นเพราะข้าประมาทไปหน่อย คิดว่าจัดการพวกเขาจนหมอบหมดแล้ว ถูกลอบโจมตีจากข้างหลัง”


 


 


ขมวดคิ้ว “ลอบโจมตี?”


 


 


เมิ่งชิงพยักหน้า


 


 


“เจ้ารู้ไหมว่าเป็นใคร” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


 


เมิ่งชิงมองเมิ่งเจี๋ย เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะพูด เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือห้ามเขา ถามทั้งสองว่า “ข้าสอนพวกเจ้าว่าอย่างไร”


 


 


ทั้งสองตอบพร้อมกันเสียงดัง “เรื่องของตัวเอง ตัวเองต้องจัดการเอง พวกเราจะสะสางความแค้นครั้งนี้ให้ได้ พวกเราจะเอาเลือดหัวของพวกเขาออกให้ได้”


 


 


หมอที่กำลังสั่งยาอยู่ได้ยินก็มือสั่น น้ำหมึกซึมไปทั่วใบสั่งยา แม้แต่ใบสั่งยาที่เขียนเสร็จแล้วก็เลอะหมด


 


 


หวงฝู่อวี้ก็อึ้งเหมือนกัน


 


 


เมิ่งฉีและภรรยาไม่ได้แปลกใจอะไร สีหน้าเฉยชามาก เมิ่งชื่อเป็นกังวล พูดปลอบว่า “โยวเอ๋อร์ ช่างมันเถอะ พวกเขาล้วนแต่เป็นลูกของเหล่าขุนนาง พวกเราไปหาเรื่องไม่ได้ เสียเปรียบหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


“ท่านแม่ เรื่องแบบนี้มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง ถ้าหากเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เงียบต่อไปแบบนี้ ครั้งหน้าพวกเขาก็จะได้คืบจะเอาศอก ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ก็จะไม่มีที่ยืนในกั๋วจื่อเจี้ยน ถ้าเพราะเรื่องนี้แล้วถูกบังคับให้ลาออกจากโรงเรียน เช่นนั้นพวกเราก็ได้ไม่คุ้มเสียน่ะสิ”


 


 


“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง มีข้าหนุนหลังอยู่ อย่าว่าแต่เอาเลือดหัวพวกเขาออกเลย ต่อให้จัดการพวกเขาจนเกือบตาย เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ่อร์ก็ไม่ถูกไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนหรอกขอรับ”


 


 


มือของหมอสั่นอีกแล้ว บนใบสั่งยาหมึกซึมไปทั่วอีกแล้ว ถอนหายใจแบบไร้เสียง วางพู่กันลง แล้วลุกยืนขึ้น พูดด้วยความเคารพว่า “บาดแผลบนตัวของทั้งสองคนไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ขอเพียงแค่ทำแผลให้ตรงเวลาทุกวันก็พอแล้ว วันนี้ข้าเขียนใบสั่งยาไม่ได้จริงๆ ให้คนตามไปเอายาก็แล้วกัน”


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า สั่งให้เมิ่งฉีตามหมอไปเอายา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนห้ามเขาไว้ สั่งให้โจวอันตามไปแทน


 


 


บาดแผลของทั้งสองเป็นบาดแผลภายนอก ในเมื่อหมอดูแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ดูละเอียดอะไร ลูบหัวของเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ลูกผู้ชาย บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ต้องไปกั๋วจื่อเจี้ยนตามปกติ ส่วนเรื่องที่จะจัดการพวกเขาอย่างไร พวกเจ้าปรึกษาหาวิธีกันเอาเอง”


 


 


วันนี้ที่ทั้งสองคนมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่น กลัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะโทษตัวเอง เป็นกังวลใจตลอด ตอนนี้ได้ยินนางพูดแบบนี้ พยักหน้าด้วยความดีใจ “เข้าใจแล้วขอรับ ท่านพี่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้าเหมือนกัน “ดี ตอนนี้ก็บอกข้ามาว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร”


 


 


ทั้งสองคนผลัดกันเล่าเรื่องวันนี้


 


 


เดิมทีหลังจากที่ทั้งสองเข้าสู่กั๋วจื่อเจี้ยน เหล่านักเรียนชั้นเดียวกันก็รู้ฐานะของพวกเขาอย่างเร็ว เป็นน้องชายทั้งสองขององค์หญิงชิงเหอ เป็นน้องเมียหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


พูดกันตามจริงคนที่มีฐานะแบบนี้ไม่สามารถเข้าสู่กั๋วจื่อเจี้ยนได้ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีอะไรถึงได้เข้ามาได้ ในขณะเดียวก็ทำให้กลุ่มคนที่อึดอัดใจดูถูกเหยียดหยาม เด็กชนบทระดับนี้ก็สามารถเข้าสู่กั๋วจื่อเจี้ยนมาเรียนร่วมกับพวกเขาได้


 


 


นักเรียนในกั๋วจื่อเจี้ยน คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น ไม่เพียงแต่ไม่เห็นเขาทั้งสองคนในสายตา ยังกลั่นแกล้งให้ทั้งสองอับอายอยู่บ่อยๆ


 


 


ทั้งสองคนอดทนมาตลอด เพราะคิดว่าทำแบบนี้จะสามารถยุติความขัดแย้งได้


 


 


ไม่คิดว่าพวกเขาจะคิดว่าทั้งสองนั้นอ่อนแอให้กลั่นแกล้งได้ แทนที่จะหยุดกลับยิ่งหนักขึ้น เพื่อที่จะไม่ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดือดร้อน ทั้งสองอดทนแล้วอดทนอีก จนมาถึงวันนี้ กั๋วจื่อเจี้ยนจัดการประเมินผล เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงได้ที่หนึ่งมาในวิชาเรียนและการขี่ม้ายิงธนู มีบางคนคิดว่าถูกเด็กที่มาจากชนบททั้งสองคนหักหน้า เหมือนเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ก็เลยอาศัยตอนที่เลิกเรียนกั๋วจื่อเจี้ยน รวมตัวกันสิบกว่าคนรุมทำร้ายพวกเขาทั้งสองคน โชคดีที่ทั้งสองคนมีทักษะการต่อสู้ ถึงแม้ว่าจะเข้ามาเรียงตัว แต่ก็ไม่ได้เสียเปรียบฝ่ายตรงข้าม


 


 


จากคำพูดที่เล่ามาของพวกเขา คนในห้องฟังเข้าใจแล้ว ก็คือพวกลูกหลานตระกูลขุนนางดูถูกทั้งสองคน ถึงได้ตั้งใจหาเรื่องกลั่นแกล้งพวกเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “พี่จะบอกพวกเจ้าให้ว่าจะจัดการกับคนแบบนี้ก็ต้องเอาให้อยู่ในครั้งเดียว ทำให้พวกเขาไม่กล้ามีความคิดที่จะมาทำร้ายพวกเจ้าอีก”


 


 


ทั้งสองคนพูดเสียงดังพร้อมกันว่า “เข้าใจแล้วขอรับ ท่านพี่”


 


 


เมิ่งชื่อยังคงเป็นกังวล พูดปราม “โยวเอ๋อร์ แบบนี้ไม่น่าดีนะ เด็กพวกนี้มีฐานะสูงศักดิ์ พวกเราทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้าหากว่าทำร้ายพวกเขา เช่นนั้นผลที่ตามมา……”


 


 


“ท่านแม่ พวกเขาเป็นคน พวกเราก็เป็นคนเหมือนกัน ข้าคิดมาตลอดว่าใครไม่ทำข้า ข้าก็ไม่ทำใคร ถ้าหากว่าใครทำข้า ข้าก็ต้องตอบโต้กลับอย่างสาสม เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์มีนิสัยอย่างไร พวกเราก็รู้ พวกเขาทั้งสองคนไม่มีทางอยู่ดีๆ ก็ไปหาเรื่องคนอื่น ถ้าหากว่าพวกเราอดทนต่อไปอีก ทำให้พวกเขายิ่งดูถูก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เมิ่งฉีพูดเสริม “ข้าคิดว่าน้องสาวพูดถูก เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เพิ่งจะเข้ากั๋วจื่อเจี้ยนได้ไม่เท่าไหร่ ก็ถูกรังแก ถ้าหากว่าต้องอดทนไปอีกนานล่ะก็ คงจะถูกคนรังแกกดหัวจนโงหัวไม่ขึ้นแน่”


 


 


“แต่ แต่ฐานะของพวกเรา……” เมิ่งชื่อยังคงไม่เห็นด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกนาง “ท่านแม่ อี้เซวียนคือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋อง ก็ถ้าเห็นแก่หน้าคนอื่น พวกเขาก็ไม่ควรลงมือหนักเช่นนี้ ในเมื่อพวกเขาทำแบบนี้ ต้องมีแผนการเบื้องหลังแน่นอน ถึงแม้ว่าเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงจะกล้ำกลืนฝืนทน พวกเขาก็ไม่ปล่อยไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเราจะต้องให้อภัยด้วย”


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว


 


 


เมิ่งชื่อไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว แต่เห็นว่าเมิ่งฉีและหวงฝู่อี้เซวียนต่างก็ไม่คัดค้าน ถอนหายใจอย่างไม่มีทางเลือก “คำพูดซับซ้อนแบบนี้ แม่ไม่เข้าใจหรอก แม่รู้แต่ว่าควรจะทำให้ความขัดแย้งหมดสิ้นไป ไม่ใช่ทำให้มันยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้น ถ้าหากว่าเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์แก้แค้นขึ้นมาจริงๆ จะไม่ทำให้คนตระกูลนั้นโกรธเอาหรือ และไม่เป็นผลดีต่อเซวียนเอ๋อร์”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปลอบนาง “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งชื่อไม่พูดอะไรอีก ขยี้ตาที่แดงนิดหน่อย “แม่ไม่ยุ่งแล้ว พวกเจ้าจัดการกันเอาเองเถอะ จำไว้ว่าอย่าทำอะไรที่มันเกินเหตุ”


 


 


เสียงหลายคนตอบรับ


 


 


ยังไม่ถึงเวลามื้อเย็น เมิ่งฉีนำเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงไปพักผ่อนที่ห้องของพวกเขาครู่หนึ่ง ซุนเชี่ยนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่คุยกับนางเหอซื่อ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูด “ท่านแม่ ข้าออกไปข้างนอกเสียหน่อย ให้โยวเอ๋อร์ดูแลท่าน หลังจากครึ่งชั่วยามข้าค่อยกลับมานะขอรับ”


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า “ได้ รีบไปรีบกลับ จะรอเจ้ากลับมากินข้าว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ ส่งสายตาให้หวงฝู่อวี้ รีบเดินออกมา


 


 


หวงฝู่อวี้ก็รีบตามออกมา


 


 


ทั้งสองออกจากประตูใหญ่ ขึ้นนั่งบนรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไปตงกง”


 


 


โจวอันตามไปหยิบยายังไม่กลับมา คนที่ขี่รถม้าเป็นเพียงแค่คนขี่รถม้าธรรมดาในจวน ถูกความเย็นชาในน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนทำให้ตกใจกลัว ตอบกลับเสียงสั่น รีบขี่รถม้าไปยังตงกง


 


 


หวงฝู่อวี้เดินอยู่ด้านข้างของหวงฝู่อี้เซวียน รับรู้ได้ถึงความโกรธจากตัวเขา ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นเช่นนี้ แต่เขาไม่ได้ถามอะไรมาก


 


 


ทหารองครักษ์ในตงกงเคารพและยำเกรงหวงฝู่อี้เซวียนมาก แม้แต่ซักถามก็ไม่มี ปล่อยให้ทั้งสองเข้าไป


 


 


ตรงมาถึงตำหนักของหวงฝู่ซวิ่น ไม่รอคนใช้รายงาน หวงฝู่อี้เซวียนพาหวงฝู่อวี้ฝ่าเข้าไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น


 


 


คนที่รอดูแลอยู่ทั้งในและนอกห้องต่างตัวสั่นเมื่อเห็นสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่ซวิ่นที่กำลังอยู่บนเตียงกินขนมที่สาวใช้ป้อนให้อย่างสบายอกสบายใจเห็นหวงฝู่อี้เซวียนพุ่งเข้ามา ตกใจจนสำลักขนม ไออย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง หน้าแดง มองเขาด้วยความตื่นตัว “เจ้าเป็นบ้าอะไรอีก ช่วงนี้ข้าก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้เจ้าสักนิด”


 


 


มองผู้คนในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจ ดึงเสื้อเขาอยู่ข้างหลัง เตือนเขาว่าต้องทำความเคารพ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับเลยสักนิด


 


 


หวงฝู่อี้ซวิ่นกลืนน้ำลายแล้วโบกมือ เป็นการบอกให้คนในห้องออกไป


 


 


หวงฝู่อวี้รีบทำความเคารพเขา “คารวะไท่จื่อ”


 


 


“น้องอวี้ เจ้าไม่ใช่คนนนอก ไม่ต้องทำตามประเพณีหรอก” หวงฝู่ซวิ่นยิ้มตาหยีแล้วพูด


 


 


หวงฝู่ซวิ่นไม่เคยพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน หวงฝู่อวี้รู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัว ขออภัย แล้วยืนตัวตรงอยู่ข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่ซวิ่นพูดอีกว่า “น้องอวี้ ไม่ต้องเขิน นั่งลงเถอะ เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน ไม่ได้เจอกันนาน ใช้โอกาสว่างวันนี้มาคุยกันหน่อย”


 


 


คำพูดนี้ ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนถูกเมิน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองมา รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่ซวิ่นหายไป รีบอธิบาย “เป็นครั้งแรกที่เห็นน้องอวี้มาหาข้า ข้าก็อยากจะต้อนรับเขาให้ดีๆ หน่อยไม่ได้รึไง”


 


 


เขาพูดจบ หวงฝู่อวี้เกือบจะเซลงกับพื้น คาดไม่ถึงว่าไท่จื่อจะพูดจาเอาใจพี่ชายตัวเอง นี่มันคาดไม่ถึงจริงๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชายิ่งขึ้น “วันนี้น้องชายของข้าทั้งสองคนถูกรังแก”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้มีท่าทีโต้ตอบไปครู่หนึ่ง “น้องชายทั้งสองของเจ้าอะไร เจ้าไม่ได้มีน้องอวี้……” พูดถึงตรงนี้ ถึงคิดได้ในทันที น้องเมียอีกสองคนของเขาก็ถูกเขาเรียกว่าน้องชาย พูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนสั่งให้ทำ เจ้าทำสีหน้าแบบนี้ให้ใครดู”


 


 


“พวกเขาเป็นน้องชายของข้า เป็นเจ้าที่วางแผนให้เข้าไป แบบนี้แล้วยังมีคนกล้ารังแกพวกเขา เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเบื้องหลังเรื่องนี้มีอะไรซ่อนอยู่รึ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


 


 


หวงฝู่ซวิ่นขมวดคิ้ว เก็บท่าทีที่ล้อเล่น ถามกลับว่า “ความหมายของเจ้าคือมีคนบงการอยู่เบื้องหลังรึ”


 


 


“ไม่ใช่หรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามกลับ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นโดนตอกหน้าหงาย จ้องเขาด้วยความโกรธ “เจ้าพูดจาดีๆ ไม่เป็นหรือไง จนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครรายงานเรื่องนี้ให้กับข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


 


“ตอนนี้ยังไม่เย็น ข้ารอเจ้าสิบห้านาที”


 


 


คำพูดกระชับได้ใจความ หวงฝู่ซวิ่นกลับเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร สั่งคนด้านนอก “ไปสืบมา”


 


 


มีคนขานรับ แล้วถอยไป


 


 


รอเป็นเวลานาน หวงฝู่อี้เซวียนก็เลยถามว่า “หัวเข่าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


 


 


เขาไม่ถามยังดีกว่า คำถามของเขาทำให้หวงฝู่ซวิ่นจำความแค้นได้แม่น ด่าออกมาอย่างไม่เกรงใจในทันที “เจ้าคนใจดำ ในมือมียา แต่กลับไม่ให้ข้า ทำให้ข้าปวดไปทั้งคืน เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกรึ”


 


 


“ภรรยาของข้าปรุงยาเกือบทั้งคืน ถ้ารู้เร็วกว่านี้ว่าเจ้าเป็นแบบนี้ ข้ายอมส่งให้หมอหลวงเจียงดีกว่า ไม่ให้เจ้าหรอก” หวงฝู่อี้เซวียนโกหกหน้าตาย


 


 


“เจ้า……” หวงฝู่ซวิ่นโดนตอกหน้าหงาย โต้กลับทันที “โกหกใครกัน ท่าทางอย่างเมียของเจ้าน่ะรึ เจ้าจะยอมให้ซื่อจื่อเฟยของเจ้าปรุงยาเกือบทั้งคืนให้ข้าได้อย่างนั้นหรือ”


 


 


“ในใจข้า พี่ใหญ่สำคัญที่สุดมาตลอด ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ครั้งหน้าข้าไม่สนใจเจ้าเสียดีกว่า” หวงฝู่อี้เซวียนพูดไม่ช้าไม่เร็ว


 


 


หวงฝู่ซวิ่นโดนตอกกลับจนพูดไม่ออก


 


 


ด้านนอกมีเสียงรายงานดังเข้ามา “เรียนไท่จื่อ สืบความมาแล้วขอรับ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)