ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 27.1-28.2
ตอนที่ 27-1 ไม่ยอมเป็นอนุโดยเด็ดขาด
จะคิดบัญชีย้อนหลังหรือ เฮ่อจางตกตะลึง
เฮ่อเหลี่ยนยิ่งตกใจจนเหงื่อไหลออกมาท่วมตัว
อ๋องฉีไม่กล่าวอะไรอีก นั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าอึมครึม ปล่อยไอสังหารอันน่าครั่นคร้ามออกทั่วทั้งร่าง
ในปีนั้นเฮ่อจางก็เป็นผู้ที่อยู่ในการแย่งชิงอำนาจในวังหลวง จึงเห็นไอสังหารที่อ๋องฉีปล่อยออกมาเช่นนี้ ต่อมาบ้านเมืองสงบสุข อ๋องฉีก็มีท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนมีมารยาทต่อผู้คนมาโดยตลอด จนทำให้เขาค่อยๆ ลืมท่าทางที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ ที่เคยขี่ม้านำกองนับหมื่นนับแสนสังหารผู้ที่โอบล้อมอยู่ด้านนอก สังหารองค์ชายห้า แล้วช่วยเหลือฮ่องเต้กับไทเฮาองค์ปัจจุบันออกมาได้ จนถึงบัดนี้เขายังจำภาพที่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด แววตาทั้งคู่แดงฉานราวกับกำลังกระหายเลือด
เฮ่อเหลี่ยนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถูกไอสังหารกดดันจนร่างทั้งร่างแทบจะอ่อนยวบลงไป จนเกือบจะล้มกองลงไปกับพื้น
อย่างไรเฮ่อจางก็มีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดี หลังจากที่ตกใจแล้วไม่นานก็สงบลงได้ ยกมือสองข้างขึ้นประกบอย่างคำนับพร้อมกับกล่าวด้วยความหวาดกลัวว่า “ท่านอ๋องคิดมากเกินไปแล้ว เรื่องนี้เป็นเพียงความริษยาของสตรีอย่างแท้จริง ไม่เกี่ยวกับผู้ใดเลย”
อ๋องฉีมองเขาอย่างดุร้าย
ในตอนที่เฮ่อจางทนสายตาคู่นั้นแทบไม่ไหว กำลังคิดจะเปลี่ยนประเด็น อ๋องฉีจึงกล่าวขึ้นว่า “ขอให้เป็นอย่างที่เสนาบดีกล่าว ถ้าหากข้าทราบว่ามีใครบังอาจวางแผนทำร้ายเซวียนเอ๋อร์แล้วล่ะก็ ข้าไม่มีวันปล่อยเขาไปเด็ดขาด”
คำพูดนี้เป็นการตักเตือนอย่างเปิดเผย มีหรือที่เฮ่อจางจะไม่เข้าใจ แล้วจึงหัวเราะฮ่าๆ กลบเกลื่อนขึ้น พร้อมกับสั่งพ่อบ้านว่า “พ่อบ้าน ไปห้องบัญชีเอาเงินมามอบให้ซื่อจื่อหนึ่งแสนตำลึง”
พ่อบ้านขานรับคำสั่ง แล้วก็รีบวิ่งออกจากประตูไป เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาจากหมวกบนหน้าผาก ไปถึงห้องบัญชีแล้วหยิบตั๋วเงินจำนวนหนึ่งแสนออกมา แล้วส่งให้หวงฝู่อี้เซวียนด้วยความเคารพนบนอบ “ซื่อจื่อ นี่ตั๋วเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง เชิญท่านตรวจตรา”
หวงฝู่อี้เซวียนรับตั๋วเงินมาแล้วมอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว “ไม่จำเป็น ข้าไว้ใจท่านเสนาบดีได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาโดยไม่ลังเล แล้วก็เก็บไว้ในแขนเสื้อของตนเอง
เฮ่อจางมีสีหน้าปั้นยาก
สีหน้าของอ๋องฉีก็รู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่เพียงปรายตามองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวสิ่งใด
เฮ่อเหลี่ยนใจเสีย สายตาจ้องมองแขนเสื้อของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่วางตา แทบจะอยากเข้าไปแย่งคืนมาจากนางเดี๋ยวนั้นเลย
พอเงินถึงมือเรื่องก็จบได้อย่างง่ายดาย
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น แล้วโค้งคำนับเฮ่อจางอย่างมีมารยาท แล้วกล่าวชนิดที่คนได้ฟังต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟว่า “ท่านเสนาบดี ข้าขอขอบพระคุณเงินของท่านแทนองครักษ์ประจำจวนเหล่านั้น ต่อไปหาพบกันอีกจะต้องให้พวกเขาขอบพระคุณท่านแน่นอน หากท่านไม่มีเรื่องใดแล้ว พวกเราก็ขอลาก่อน”
เฮ่อจางรู้สึกเหมือนมีก้อนคาวๆ ที่กำลังจะทะลักออกมาจากลำคอ กลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะกระอักเลือดออกมา แล้วก็แสร้งทำเป็นยิ้มแล้วก็รีบหุบยิ้มลง ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว เพียงแต่โบกมือให้กับหวงฝู่อี้เซวียน บอกเป็นนัยๆ ว่าให้เขาไปได้แล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนหันหน้าไปกล่าวกับอ๋องฉีว่า “ท่านพ่อ ท่านจะออกไปพร้อมกับลูกหรืออยู่รำลึกความหลังกับท่านเสนาบดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวลาเฮ่อจางว่า “ท่านเสนาบดี ในเมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วข้าก็ขอลาก่อน”
เฮ่อจางแทบจะอยากไล่ให้เขารีบออกไป กล่าวขึ้นมาทันควันว่า “ท่านอ๋องเดินทางดีๆ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าลงลอบยิ้ม
อ๋องฉีก้าวเดินอาดๆ ออกไปก่อน หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลางไปติดๆ
เฮ่อจางเดินออกไปส่งพวกเขาทั้งสามคนด้วยตัวเอง
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าขององครักษ์ประจำจวนของตัวเอง กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านเสนาบดีมีเมตตา ไม่เพียงแต่ไม่ซักไซ้หาความรับผิดชอบจากพวกเจ้า แต่ยังเห็นแก่ความลำบากของพวกเจ้า โดยมอบเงินให้ไม่น้อย ยังไม่รีบขอบคุณท่านเสนาบดีอีก”
องครักษ์ที่ไม่ได้บาดเจ็บต่างก็ยกมือขึ้นมาประกบอย่างคำนับ พร้อมกับกล่าวขอบคุณอย่างสะเทือนฟ้าว่า “ขอบคุณท่านเสนาบดี!”
เฮ่อจางทนไม่ไหวอีกแล้ว ไม่ได้กล่าวอำลาอ๋องฉีก็รีบหมุนตัวเดินกลับเข้าจวนไป แล้วกระอักเลือดออกมาคำโต
พ่อบ้านสะดุ้ง กรีดร้องออกมาอย่างตกใจ “นายท่าน!”
อ๋องฉีได้ยินเสียงตื่นตระหนกก็ชะงักฝีเท้าไปพักหนึ่ง จากนั้นก็แกล้งทำเป็นเหมือนไม่รู้อะไรแล้วเดินกลับไปที่ม้าของตน
เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วโป้งให้หวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้นาง
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือขึ้น แล้วก็สั่งองครักษ์ประจำจวนว่า “กลับจวน!”
องครักษ์ประจำจวนต่างก็ขานรับคำสั่ง แล้ววิ่งเหยาะๆ กลับไปยังจวนอ๋องฉีอย่างเป็นระเบียบ
กัวเฟยกับหวงฝู่อี้เดินขนาบข้างของหวงฝู่อวี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยว
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวกับอ๋องฉีว่า “ท่านพ่อ ข้ากับโยวเอ๋อร์ยังมีเรื่องต้องทำ ขอ…”
ยังพูดไม่จบดีอ๋องฉีก็พูดขัดขึ้นว่า “แม่นางเมิ่ง ไปพูดคุยกันที่จวนอ๋องฉีสักประเดี๋ยวเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนตกตะลึง รีบเดินขึ้นไปจวางหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ “ท่านพ่อ วันนี้โยวเอ๋อร์ยังมีธุระต้องไปทำ วันหน้าหากมีเวลาค่อยไปจวนอ๋องเถิด”
อ๋องฉีไม่ได้ตอบอะไร มองทางด้านเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างคาดคั้นเอาคำตอบจากนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร่างพราว “หม่อมฉันต้องการไปเยี่ยมท่านอ๋องนานแล้วเพคะ แต่จะทำอย่างไรได้ท่านอ๋องมีงานมากมาย เมื่อได้พบกันทั้งที ในเมื่อท่านมีเวลา ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอรบกวนแล้ว”
อ๋องฉีพยักหน้า แล้วกระโดดขึ้นม้าควบกลับไปยังจวนอ๋อง
จนกระทั่งเขาออกไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็เรียกนางด้วยความกระวนกระวายใจ “โยวเอ๋อร์!”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าทำให้เกิดเรื่องบานปลายเพื่อข้าเช่นนี้ อ๋องฉียังไม่ไปคิดบัญชีกับข้าถึงบ้านก็ถือว่าเกรงใจมากแล้ว ถึงอย่างไรเรื่องนี้ข้าต้องได้เผชิญหน้าอยู่ดี เร็วไปหนึ่งวันหรือช้าไปหนึ่งไม่มีอะไรแตกต่างเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวอย่างค่อนข้างเป็นกังวลว่า “ไม่แตกต่างอย่างไรเล่า รอให้ข้าคิดหาวิธียกเลิกการแต่งงานได้ก่อน ท่านพ่อก็จะไม่มีข้ออ้างมาเหนี่ยวรั้งข้าไว้ ตอนนี้ยังไม่ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำอะไรเจ้าก็เป็นได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นมาคลายปมของคิ้วที่เขาขมวดอยู่ กล่าวปลอบโยนเขาด้วยรอยยิ้มว่า “สี่ปีก่อน ที่เขาโกรธแค้นสุดชีวิตก็ทำอะไรข้าไม่ได้ วันนี้ก็เช่นเดียวกันไม่ทำอะไรข้าอยู่แล้ว นอกจากคำตักเตือนเท่านั้น เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อข้ายอมรับเจ้าแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ไม่ทำให้ข้าหวั่นไหวได้”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก แล้วก็ไม่ได้กล่าวยับยั้งอีก จูงมือนางขึ้นไปนั่งบนรถม้า แล้วสั่งให้เหวินเปียวขับรถม้ากลับจวนอ๋อง
กัวเฟยกับหวงฝู่อี้มองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วก็เดินตามหลังรถม้าไป
เหวินเปียวขับรถม้ากลับจวนอ๋องฉีอย่างไม่รีบร้อนไม่ช้าไม่เร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้าก่อน จากนั้นก็เอื้อมมือไปประคองเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา แล้วทั้งสองก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันเข้าไปในจวนอ๋อง จนมาถึงเรื่อนส่วนตัวของอ๋องฉี
อ๋องฉีกลับมาถึงจวนอ๋องก่อน แล้วสั่งคนรับใช้ไว้ว่า “อีกสักครู่ให้แม่นางเมิ่งเข้ามาเพียงคนเดียว ให้เซวียนเอ๋อร์ไปรอที่เรือนของเขา”
คนรับใช้ขานรับคำสั่งด้วยความนอบน้อม จนกระทั่งทั้งสองคนมาถึงเรืองอ๋องฉี แล้วก็ขวางหวงฝู่อี้เซวียนให้อยู่ข้างนอก กล่าวด้วยความเคารพว่า “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องสั่งว่าให้แม่นางเมิ่งเข้าไปเองคนเดียวขอรับ”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนอึมครึม หรี่ตามองคนรับใช้ด้วยสายตาอันคมกริบ
แม้คนรับใช้จะหวาดกลัว แต่กลับขวางทางเขาไว้เช่นเดิม ไม่ยอมให้เขาเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจาหว่านล้อมเขาเสียงนุ่มว่า “เขาเป็นเพียงคนรับใช้ เจ้าอย่าทำให้เขาลำบากใจเลย เชื่อฟังท่านอ๋องเถอะ เจ้าไปรอที่เรือนก่อน อีกสักครู่ข้าก็จะตามไป”
หวงฝู่อี้เซวียนละสายตาจากเขาแล้วหันมามองหน้านาง สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มให้เขาสบายใจ แล้วจึงก้าวเท้าเข้าไปในเรือน
สาวใช้ยืนรายงานอยู่หน้าประตูว่า “ท่านอ๋อง แม่นางเมิ่งมาแล้วเพคะ”
อ๋องฉีส่งเสียงดังออกมาว่า “ให้นางเข้ามา”
สาวใช้เปิดประตูม่านด้วยความระมัดระวัง แล้วก็เชิญเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง แล้วสอดส่ายสายตาภายในห้องแวบหนึ่ง เห็นภายในห้องนั้นตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเตียงตั้งอยู่ด้านในสุดของห้อง บนเตียงมีทั้งหมอนทั้งผ้าห่มครบครัน มีโต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง บนโต๊ะมีทั้งแท่นหมึก กระดาษ พู่กัน มองปราดเดียวก็รู้ว่ามักมีคนฝึกเขียนอักษรอยู่เป็นประจำ ตรงกลางห้องยังมีโต๊ะตัวหนึ่งกับตั่งไม้ที่วางอยู่หลายตัว และอ๋องฉีกำลังนั่งอยู่บนตั่งไม้มองมาที่นางอยู่
นางเดินเข้าไปหลายก้าว จนมาหยุดอยู่ข้างหน้าของอ๋องฉี เมิ่งเชี่ยนโยวยอบกายลงคารวะ “คารวะท่านอ๋องเพคะ!”
อ๋องฉีชี้ไปยังตั่งอีกตัวหนึ่งพร้อมกับกล่าวว่า “แม่นางเมิ่งไม่จำเป็นต้องมากพิธี นั่งลงคุยกันเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณแล้วนั่งลงบนตั่งไม้อย่างเรียบร้อย
ตอนที่ 27-2 ไม่ยอมเป็นอนุโดยเด็ดขาด
อ๋องฉีก็ไม่พูดจาอ้อมค้อม กล่าวตรงประเด็นว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าเองก็ทราบดีว่าที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้มีจุดประสงค์ใด เรามาคุยกันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเถิด ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากที่พ่อแม่ขอเจ้ารับเลี้ยงเซวียนเอ๋อร์ และดูแลจนเขาเติบโตขึ้นมาได้ และต้องขอบคุณเจ้าที่ทำทุกอย่างเพื่อเขา อีกทั้งเชิญราชครูมาสอนสั่งเขา แต่ถึงอย่างไรฐานะของเราก็แตกต่างกันเกินไป เจ้ากับเซวียนเอ๋อร์ไม่เหมาะสมกันเลย ยิ่งไปกว่านั้นเซวียนเอ๋อร์ยังมีการแต่งงานกับจวนราชเลขาอยู่ด้วย ถึงแม้ตอนนั้นเจ้ากับเซวียนเอ๋อร์จะเรียกได้ว่าเป็นการหมายหมั้นการแต่งงานไว้ แต่ถ้านับตามเวลาแล้วเจ้ามาช้ากว่าคุณหนูจวนราชเลขาไปก้าวหนึ่ง อีกอย่างการแต่งงานนั้นเป็นความสมัครใจของบิดามารดาของเจ้า ซึ่งไม่เคยผ่านการเห็นชอบจากพวกเรา พวกเราจะไม่ยอมรับก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มน้อยๆ พอรับฟังที่อ๋องฉีกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ถามขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นความหมายของท่านอ๋องก็คือให้ข้าจากไป แล้วอย่ากลับมาอีกใช่ไหมเพคะ”
อ๋องฉีสั่นศีรษะ “เซวียนเอ๋อร์รักเจ้าอย่างลึกซึ้ง หากข้าบีบบังคับให้เจ้าออกไปจากเมืองหลวงเขาต้องโกรธแค้นข้าแน่นอน พวกเราสองคนพ่อลูกกว่าจะสานความสัมพันธ์กันได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ข้าไม่อยากให้มีผลลัพธ์เช่นนั้น อีกทั้งเรื่องนี้หากถูกคนเอาไปป่าวประกาศออกไป จวนอ๋องฉีของเราก็จะกลายเป็นคนเนรคุณ ดังนั้นพวกเราต่างก็ต้องถอยให้กันคนละก้าว ข้าจะไม่ขัดขวางให้เจ้าแต่งเข้ามาในจวนอ๋องฉี ส่วนเจ้าก็ถอยไปอีกก้าว อย่าริอาจเอื้อมไปถึงตำแหน่งพระชายาซื่อจื่อ”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ฟังอ๋องฉีพูดจนจบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วถามกลับอย่างไม่โกรธไม่โมโหว่า “ความหมายของท่านอ๋องก็คือให้หม่อมฉันเป็นอนุหรือเพคะ?”
อ๋องฉีสั่นศีรษะ “เรื่องการเป็นอนุข้าเคยพูดกับเซวียนเอ๋อร์แล้ว เขาคัดค้านรุนแรง ในเมื่อข้ายอมถอยไปก้าวหนึ่งแล้ว ก็จะไม่เอ่ยถึงการเป็นอนุอีก รอหลังจากที่เซวียนเอ๋อร์แต่งงานเรียบร้อยแล้ว ข้าจะแนะนำให้เสด็จพี่แต่งตั้งเจ้าเป็นชายารอง ถึงแม้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติเป็นชายาได้ก็ตาม แต่ว่าเห็นแก่ความดีความชอบที่ครอบครัวเจ้าดูแลเซวียนเอ๋อร์มาหลายปี เสด็จพี่ต้องยอมรับอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียดยิ้ม “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่กรุณาเพคะ เพียงแต่ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่ยอมเป็นอนุเพคะ”
อ๋องฉีคิดว่านางยังไม่เข้าใจ จึงอธิบายให้นางฟังอย่างใจดีว่า “แม่นางเมิ่ง ชายารองก็ถือเป็นคนในราชวงศ์ มิใช่อนุภรรยา”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น “ในสายตาของหม่อมฉัน ชายารองก็คืออนุภรรยา หม่อมฉันยอมเป็นหยกที่แตก แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องเพคะ เกรงว่าจะทำให้ท่านต้องเสียความหวังดีไปโดยเปล่าแล้ว”
อ๋องฉีคุยกับนางไม่ชัดเจน ทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจ น้ำเสียงค่อนข้างบีบเค้น “แม่นางเมิ่ง ต่อไปเซวียนเอ๋อร์ต้องเป็นผู้ดูแลทุกคนในจวนอ๋องฉี หากไม่มีการช่วยเหลือนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงคนชนบท หากเจ้าเป็นชายาเอก ต่อไปจะไม่มีผลดีต่อเซวียนเอ๋อร์เลย ขอให้เจ้าลองทบทวนสิ่งที่ข้าแนะนำอย่างละเอียดเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตาเขา กล่าวอย่างไม่หวาดหวั่นว่า “อี้เซวียนเคยรับปากหม่อมฉันว่าชั่วชีวิตนี้จะแต่งงานกับหม่อมฉันเพียงคนเดียว ถ้าหากเขาใช้ชีวิตหนึ่งชาติหนึ่งภพหนึ่งคู่กับหม่อมฉันไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็จะจากไปโดยไม่ลังเล ไม่เหลือเยื่อใยเด็ดขาด ถ้าหากเขาทำให้สิ่งที่เขาเคยสัญญาได้ ถึงแม้ต้องเผชิญหน้ากับภยันตรายทั้งปวง หรือความลำบากยากแค้นแสนสาหัส หม่อมฉันก็จะอยู่เคียงข้างเขา และเผชิญด้วยกันกับเขาตลอดไป”
อ๋องฉีกระโดดยืนขึ้นจากตั่งไม้ทันที “เจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ
คำพูดหลังจากนั้นยังไม่ได้พูดออกมา อ๋องฉีก็กลับไปนั่งตามเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนตั่งไม้ด้วยใบหน้าราบเรียบ รอให้เขาพูดต่อไป
อ๋องฉีปรับอารมณ์ของตัวเองให้สงบลง ระงับโทสะที่คุกรุ่น กล่าวด้วยด้วยดีว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าเติบโตมาจากชนบท ไม่รู้ว่าราชสำนักนั้นโหดร้ายเพียงใด เซวียนเอ๋อร์ไม่อาจเป็นซื่อจื่อที่อยู่ว่างได้ตลอดไป ต้องมีสักวันที่เขาต้องไปรับใช้ราชสำนัก ถึงตอนนั้นเขาที่ไม่เหลือคนช่วยเหลือเลย เจ้าจะให้เขายืนหยัดอย่างไรในราชสำนัก”
คำพูดนี้ของอ๋องฉีถือเป็นการเตือนด้วยความหวังดีอย่างยากลำบาก เขาคิดว่าถึงเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่ยินยอม แต่อย่างน้อยก็อาจจะทบทวนคำแนะนำของเขาบ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นทันควันว่า “ถ้าหากอี้เซวียนไม่มีความสามารถพอ ถึงเขาเข้าไปในราชสำนักก็ไม่มีประโยชน์ต่อราชสำนักอยู่ดี ถ้าหากเขามีความสามารถเพียงพอ ถึงแม้จะไม่มีความช่วยเหลือจากใคร เขาก็สร้างที่ยืนหยัดของเขาได้ด้วยตัวเอง”
อ๋องฉีนึกไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ออกมาได้ เขาถูกสวนกลับจนอึ้ง จนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
พอกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันต่อแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ความหมายของท่านอ๋องหม่อมฉันเข้าใจดี หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว หม่อมฉันต้องขอตัวเพคะ”
อ๋องฉีต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จึงโบกมืออย่างเหนื่อยหน่ายใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากแล้วเดินออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนยืนรออยู่ที่หน้าเรือนตลอดเวลา รอด้วยความร้อนใจ พอเห็นนางออกมาก็รีบไปรอรับ ถามนางด้วยความกระวนกระวายใจว่า “ท่านพ่อของข้าพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่คุยกันเรื่องทั่วไปเท่านั้น ถามถึงพ่อแม่กับชีวิตความเป็นอยู่ในบ้าน”
หวงฝู่อี้เซวียนถามนางอย่างจับพิรุธอีกหลายคำ เห็นนางยังมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนหน้าอยู่ก็รู้สึกโล่งอก ความรู้สึกแตกต่างจากตอนก่อนเข้าไปราวฟ้ากับเหว แล้วจูงมือของนางพาเดินไปทางเรือนของตัวเอง พร้อมกับกล่าวว่า “เป็นห่วงเจ้าแทบตาย ข้ากลัวว่าท่านพ่อจะพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ทำให้เจ้าโมโหแล้วก็กลับบ้านเดิมไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับจับมือของเขาแน่น กล่าวรับรองกับเขาด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก ไม่ใช่ว่าวันนี้ข้าไปซื้อร้านค้าไว้แล้วหรือ? หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนในวันพรุ่งนี้ ข้าก็จะสั่งให้คนเก็บกวาดให้เรียบร้อย แล้วรีบเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งในเมืองหลวง ต่อไปข้าก็จะปักหลักอยู่ในเมืองหลวง รอเจ้ายกเลิกการแต่งงานอย่างสงบจิตสงบใจ”
พอได้รับการรับรองจากนางหวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกดีใจไม่น้อย แล้วพานางเดินไปจนถึงเรือนของตนเอง
ภายในเรือนไม่มีสาวใช้แม้แต่คนเดียว ค่อนข้างเงียบสงบ แต่ว่านิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เป็นเช่นนี้ นางชอบความสงบเงียบแบบนี้
ทั้งสองคนเดินจับมือกันจนเข้ามาในห้อง
กัวเฟยยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างเรียบร้อย ส่วนหวงฝู่อี้นั้นตรงไปยังห้องครัวเล็ก เพื่อชงชามาให้คนทั้งคู่
เมื่อนั่งบนตั่งไม้เรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็แอบพิจารณาดูห้องของหวงฝู่อี้เซวียน ใช้คำสองคำก็สามารถอธิบายได้ นั่นก็คือ สะอาด เรียบร้อย ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางพิจารณาดูห้องนอนของตนเอง หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าคุ้นเคยกับการเก็บกวาดห้องเอง ตั้งแต่กลับมาก็ไม่เคยยืมมือใครมาช่วย แม้แต่อี้เอ๋อร์ยังไม่เคยให้เขาเข้ามาช่วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วดึงตั๋วเงินจากแขนเสื้อออกมาวางไว้บนโต๊ะ “นี่เป็นตั๋วเงินที่ได้มาวันนี้ ไม่ใช่เจ้าบอกว่าจะมอบให้องครักษ์ประจำจวนหรือ? เอาไปสิ”
หวงฝู่อี้เซวียนเอาตั๋วเงินกลับคืนไปวางไว้ข้างหน้านาง กล่าวอธิบายว่า “อาการบาดเจ็บของบรรดาองครักษ์มีหมอประจำจวนคอยดูแลอยู่ ส่วนเงินค่ายารักษาก็มีเงินของจวนช่วยดูแล ส่วนของรางวัล พวกเขาทำให้จวนอ๋องฉีได้หน้า ถึงอย่างไรท่านพ่อก็ต้องเป็นคนให้รางวัล”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะคิกคัก “วันนี้วันทำให้ท่านเสนาบดีโมโหจนกระอักเลือกออกมา ไม่ใช่ว่าตอนนี้ก็ต้องการให้ชายารองก็กระอักเลือดเช่นกันหรือ?”
หวงฝู่อี้เซวียนเลิกคิ้วอย่างลำพองใจ “นางดูแลสมบัติภายในจวน พริบตาเดียวทำให้นางต้องสูญเงินไปไม่น้อย นางต้องโมโหเป็นแน่ รออีกสักพักข้าค่อยส่งคนไปบอกข่าวเรื่องที่ข้าได้เงินมาจากจวนเสนาบดีอีกหนึ่งแสนตำลึงให้นางได้รับทราบ คิดว่านางอาจจะโมโหจนกระอักเลือดออกมามากกว่าท่านเสนาบดีอีกกระมัง”
พอคิดถึงฉากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมาอย่างเสียกิริยา ในใจก็แอบยืนสงบไว้อาลัยให้แก่ชายารองที่กำลังจะกระอักเลือดออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนหุบรอยยิ้มลง แล้วกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างจริงจังว่า “โยวเอ๋อร์ ท่านแม่ของข้าร่างกายไม่แข็งแรง จึงดูแลเรื่องราวภายในบ้านไม่ได้ ดังนั้นอำนาจการดูแลทุกอย่างภายในบ้านจึงอยู่ตกในกำมือของชายารองไปโดยปริยาย ดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์จากอวี้เอ๋อร์ เรื่องการวางยาในขนมข้าจะปิดบังไว้สักระยะ รอโอกาสเหมาะสม ข้าจะนำมันออกมาเพื่อทำให้พวกนางต้องสูญเสียทุกอย่างไปจากสิ่งนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แสดงท่าทีเห็นด้วยพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านเสนาบดีเป็นขุนนางมานานหลายปี มีทางหนีทีไล่มากมาย กลอุบายลึกล้ำ พวกเราในตอนนี้เป็นเพียงคนที่ไม่มีกำลัง หากต้องการล้มเขาลงพวกเราจำเป็นต้องใช้แผนระยะยาว อย่าใจร้อน”
เมื่อเห็นนางเห็นด้วยหวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างพึงพอใจ
หลังจากที่หวงฝู่อี้ชงชามาเรียบร้อยก็ถือมาที่หน้าประตู แล้วเคาะประตูขึ้นเบาๆ “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ชงชามาเรียบร้อยแล้วขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนบอกให้เข้าไปได้
กัวเฟยจึงเปิดประตู หวงฝู่อี้ถือกาน้ำชาเดินเข้ามา แล้วเทน้ำชาให้คนละถ้วย
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเขาว่า “อี้เอ๋อร์ อีกสักครู่เจ้าไปห้องบัญชีไปเบิกเงินมาห้าพันตำลึง บอกว่าเป็นรางวัลขององครักษ์ประจำจวนที่ที่วันนี้ได้สร้างผลงาน”
หวงฝู่อี้ขานรับคำสั่ง
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งงานเขาต่อว่า “หลังจากได้รับเงินแล้ว เจ้าค่อยหาโอกาสกระจายข่าวทุกอย่างที่เกิดในวันนี้ด้วย บอกกับทุกคนว่าข้าได้รับเงินจากจวนเสนาบดีหนึ่งแสนตำลึง พูดจบแล้วก็กลับมา ไม่ต้องรอข่าวใดอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนขานรับคำสั่งอีกครั้ง แล้วถอยออกไปด้วยความเคารพ พอปิดประตูก็เดินไปเบิกเงินยังห้องบัญชี
เงินห้าพันตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ถึงแม้ซื่อจื่อจะมาเบิกเงินด้วยตัวเอง คนในห้องบัญชีก็ไม่กล้าเบิกให้ด้วยตัวเอง จึงให้หวงฝู่อี้รอสักพัก ส่วนตัวเองก็รีบวิ่งไปหาชายารองที่อยู่ในเรือน กล่าวกับคนรับใช้ที่เฝ้าประตูว่า “ไปรายงานชายารอง บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนต้องการเข้าพบนาง”
คนรับใช้วิ่งเข้าไปรายงานยังห้องหลัก
“ให้เขาเข้ามาเถอะ” เสียงของชายารองดังออกมาจากในห้อง
พอคนจากห้องบัญชีได้ยินเสียงของนางก็เดินเข้าไปในเรือน แล้วพูดขึ้นโดยที่มีม่านบังอยู่ว่า “ชายารอง เมื่อสักครู่นี้ซื่อจื่อให้ญาติของเขามาเบิกเงินห้าพันตึงลึงขอรับ บ่าวไม่กล้าจัดการเอง จึงมาสอบถามเหนียงเหนียงก่อนว่าเงินนี้ให้เขาได้หรือไม่”
—————————-
ตอนที่ 28-1 ถูกลงโทษ
พระชายารองถูกลงโทษกักบริเวณ เหล่าสาวใช้ข้างกายจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกด้วย จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้นางได้ทราบ
เมื่อได้ยินสิ่งที่นายบัญชีพูด พระชายารองก็ขมวดคิ้วแล้วถามออกไปว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดซื่อจื่อถึงต้องมาเบิกเงินห้าพันตำลึงเงินนี้”
ดวงตาของนายบัญชีประกายวาบ หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงลังเลว่า “วันนี้ซื่อจื่อพาองครักษ์ประจำจวนสองร้อยนายออกไป หลังจากที่กลับมาองครักษ์เหล่านั้นก็ได้รับบาดเจ็บ อ้างอิงจากที่ซื่อจื่อกล่าวมา ได้ยินมาว่าตำลึงเงินเหล่านี้ส่วนหนึ่งแบ่งให้เป็นค่าชดเชยสำหรับอาการบาดเจ็บที่ได้รับ ส่วนอีกส่วนให้เป็นเงินรางวัลสำหรับที่พวกเขายินยอมติดตามซื่อจื่อออกไปข้างนอกแล้วทำให้จวนอ๋องฉีแห่งนี้มีหน้ามีตามีสง่าราศีเพิ่มมากขึ้น”
พาองครักษ์ประจำจวนออกไปทีเดียวพร้อมกันถึงสองร้อยนาย จะต้องมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ยิ่งตอนนี้มามอบรางวัลให้กับพวกเขาอีก นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องทำงานได้ดียิ่ง ทำให้จวนอ๋องฉีมีหน้ามีตาขนาดนี้ หลังจากคิดพิจารณาอยู่ชั่วครู่ พระชายารองก็หันมองไปข้างนอกแล้วพูดออกไปว่า “เรื่องนี้ข้าอนุญาตแล้ว เจ้าเบิกเงินออกไปให้เขาได้เลย แล้วก็ฝากบอกเขาไปด้วยว่าหากจำนวนเงินห้าพันตำลึงเงินนี้ไม่เพียงพอสามารถมาขอจากข้าเพิ่มได้ทุกเมื่อ”
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะพระชายารอง” นายบัญชีตอบพลางปาดเหงื่อที่ซึมผุดขึ้นมาบนใบหน้า หลังจากก้าวออกมาจากลานเรือนที่พักของพระชายารองแล้ว เขาก็มุ่งตรงกลับไปที่ห้องบัญชีทันทีแล้วนำตั๋วเงินจำนวนห้าพันตำลึงเงินนี้มอบให้แก่หวงฝู่อี้ที่กำลังยืนรออยู่
หวงฝู่อี้พับตั๋วเงินเก็บเข้าอกเสื้ออย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ลดเสียงลงแล้วพูดกับนายบัญชีไปอย่างมีเลศนัยว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าวันนี้ซื่อจื่อของพวกเราองอาจเพียงไหน ไม่เพียงแต่จะสั่งให้คนตบหน้าคุณชายใหญ่แห่งจวนเสนาบดีเท่านั้น ยังฉวยโอกาสนี้ขู่กรรโชกท่านเสนาบดีจนได้เงินมาอีกก้อนใหญ่ เพิ่มมูลค่าของปิ่นทองที่ถูกปัดตกจนแตกหักไปให้มีค่าสูงถึงหนึ่งแสนตำลึงเงินเลยทีเดียว”
ดวงตาของนายบัญชีเบิกกว้างด้วยความตกใจ มองไปทางหวงฝู่อี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของตนเองบรรลุแล้ว หวงฝู่อี้จึงเดินออกไปจากห้องบัญชี ระหว่างทางพบคนรับใช้สองสามคนที่สนิทกันเดินเข้ามาทักทายเขาว่า “คุณชายอี้ ไปไหนมาหรือขอรับ?”
หวงฝู่อี้หยุดฝีเท้าลง ยิ้มพลางตอบพวกเขากลับไปว่า “ซื่อจื่อให้ข้ามาเบิกเงินห้าพันตำลึงเงินที่ห้องบัญชี เอาไปเป็นรางวัลให้กับเหล่าองครักษ์ประจำจวนที่ไปช่วยทวงหนี้ในวันนี้”
เมื่อพวกบ่าวรับใช้ได้ยินก็ให้อิจฉากันยกใหญ่
เห็นพวกเขาแสดงท่าทีเช่นนี้ หวงฝู่อี้มีหรือจะไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงก้าวขึ้นไปโอบไหล่พูดคุยกับพวกเขาราวกับเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ลดเสียงลงก่อนจะกระซิบกระซาบกล่าวซ้ำประโยคที่เพิ่งพูดออกไปในห้องบัญชีให้หลายๆ ในที่นี้ได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองของพวกบ่าวรับใช้ก็เหมือนกับนายบัญชีไม่ผิดเพี้ยน พวกเขาเบิกตากว้างจากนั้นก็มองไปทางหวงฝู่อี้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เป้าหมายของหวงฝู่อี้สำเร็จลุล่วงลงไปอีกครั้งแล้วอย่างง่ายดาย เขาพูดคุยกับพวกบ่าวรับใช้และทักทายกันต่ออีกสักครู่จากนั้นจึงค่อยกลับไปยังเรือนที่พักของหวงฝู่อี้เซวียน
ทางฝั่งของพระชายารอง หลังจากที่นายบัญชีจากไปแล้วนางก็รู้สึกติดใจสงสัยนัก อยากรู้ยิ่งว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่จึงได้ส่งสาวใช้ข้างกายออกไปเพื่อสอบถาม
ไม่นานหลังจากนั้นสาวใช้ก็วิ่งกลับมาด้วยความเร่งรีบ ท่าทีเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
พระชายารองเห็นว่าท่าทีของอีกฝ่ายดูประหลาดเหลือเกิน จึงได้ดุออกไปว่า “มีอะไรก็รีบพูด อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้ แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน?”
สาวใช้ข้างกายมองไปที่สีหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจแล้วรายงานออกไปด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เหนียงเหนียงเพคะ วันนี้ซื่อจื่อพาองครักษ์ทั้งสองร้อยนายไปที่จวนเสนาบดีเพื่อเรียกเก็บเงินเพคะ”
“ว่าอย่างไรนะ?” พระชายารองลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ เสียงแหลมถามออกไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าพูดใหม่อีกครั้งสิ? เขาไปเก็บเงินที่ไหนนะ?”
สาวใช้หวาดกลัวกับปฏิกิริยาของนางจนแทบยืนไม่อยู่แล้ว รายงานกลับไปด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ไป ไปเก็บเงินที่จวนเสนาบดีเพคะ”
พระชายารองหลังจากที่ได้รับการยืนยันอีกครั้งและแน่ใจแล้วว่าครั้งนี้นางฟังไม่ผิดจริงๆ ก็ให้ขึ้นเสียงแล้วตะโกนออกไปว่า “ไปสืบมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่?”
สาวใช้วิ่งออกไปสอบถามอีกครั้งด้วยความลนลานแกมตื่นตระหนก
พระชายารองเดินวกไปวนมาอยู่ในห้องด้วยความกระวนกระวายใจ รอคอยสาวใช้ที่ออกไปสืบความอย่างใจจดใจจ่อ
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ในที่สุดสาวใช้ก็วิ่งกลับมาด้วยสภาพหอบแฮ่ก แต่ยังไม่ทันที่เท้าของนางจะได้ก้าวพ้นประตูดี เสียงคาดคั้นของพระชายารองก็ดังขึ้นก่อน นางจึงรีบรายงานออกไปว่า “เรียนเหนียงเหนียง บ่าวไปสอบถามมาแล้วเพคะ เห็นว่าวันนี้ปิ่นปักผมทองที่ซื่อจื่อซื้อและมอบให้กับสตรีในดวงใจถูกฮูหยินใหญ่จงใจปัดจนตกแตก ซื่อจื่อทรงพิโรธมากจึงได้พาองครักษ์ทั้งสองร้อยนายไปเรียกเก็บเงินถึงที่หน้าประตูจวน”
อุปนิสัยของพี่สะใภ้ตนเองเป็นเช่นไรพระชายารองรู้ดีอยู่แก่ใจเป็นที่สุด ต้องเป็นเพราะว่านางเห็นหวงฝู่อี้เซวียนแล้วข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองไม่อยู่เป็นแน่จึงได้จงใจสร้างปัญหาให้กับพวกเขา โชคยังดีที่จำนวนเงินเพียงห้าพันตำลึงเงินนี้สำหรับจวนเสนาบดีแล้วไม่นับว่าเป็นอันใด เสียไปก็คือเสียไปหาได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใดไม่
เห็นว่านายหญิงของตนเองไม่ได้คาดคั้นถามความต่อ สาวใช้จึงบ่นลังเลอยู่ในใจ ไม่แน่ใจว่าจะบอกสิ่งที่นางได้ยินมาให้อีกฝ่ายฟังดีหรือเปล่า
พระชายารองเงยหน้าขึ้น เห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะยังมีเรื่องพูดมาไม่หมดก็ให้ดุไปอีกครั้งอย่างรำคาญใจ “มีอะไรก็รีบๆ พูดมา ต้องให้ข้าถามคำเจ้าถึงจะยอมตอบคำหรืออย่างไร?”
สาวใช้ไม่ลังเลอีกต่อไป นางเปิดปากแล้วพูดออกไปว่า “เรียนเหนียงเหนียง คนในจวนต่างพูดกันว่าซื่อจื่อเปิดปากเหมือนราชสีห์ เรียกร้องค่าเสียหายจากท่านเสนาบดีไปสูงถึงหนึ่งแสนตำลึงเงินเลยเพคะ”
พระชายารองกรีดร้องเสียงดังลั่น เสียงของนางแทบจะบาดแก้วหูของสาวใช้จนแตกเป็นเสี่ยงๆ “อะไรนะ? หนึ่งแสนตำลึงเงิน?”
สาวใช้อดไม่ได้ที่จะถอยหลังกลับไปแล้วพยักหน้าให้ติดๆ “บ่าวได้ยินมาเช่นนั้นเพคะ สอบถามชัดเจนแล้วว่าเป็นหนึ่งแสนตำลึงเงินจริงๆ อีกทั้งซื่อจื่อยังพูดอีกด้วยว่าจำนวนเงินหนึ่งแสนตำลึงเงินนี้ ส่วนหนึ่งจะมอบให้กับองครักษ์ประจำจวนเพื่อให้เป็นรางวัลด้วย”
พระชายารองโกรธมาก นางคว้าถ้วยชาใบหนึ่งบนโต๊ะแล้วเขวี้ยงลงกับพื้นอย่างแรง ตะโกนด่าอย่างเสียกิริยาออกไปทันที “หวงฝู่อี้เซวียน รังแกกันเกินไปแล้ว!”
สาวใช้คนอื่นๆ ที่รออยู่ด้านในห้องต่างตกใจกับการกระทำของพระชายารองมาก พากันหดหัวและยืนอยู่ด้านข้างด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ด้วยกลัวว่าตนจะตกเป็นเป้าที่ระบายอารมณ์ให้แก่นาง
สาวใช้คนสนิทของพระชายารองที่ยืนอยู่ข้างๆ กวักมือเรียกพวกนางสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักและสั่งความลงไป “เก็บกวาดเศษถ้วยชาพวกนี้ให้เรียบร้อย ระวังอย่าทำให้เหนียงเหนียงได้รับบาดเจ็บ”
สาวใช้สองคนขานรับไปคำหนึ่ง จากนั้นคนหนึ่งก็รีบวิ่งออกไปด้านนอกเพื่อไปเอาไม้กวาดมา ส่วนอีกคนนั่งยองๆ ลงกับพื้นเพื่อหยิบเศษชิ้นส่วนขนาดใหญ่ขึ้นมา
โทสะของพระชายารองยากนักที่จะสงบลงได้ในช่วงเวลาสั้นๆ นางเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องด้วยฝีเท้าที่รวดเร็ว ปากตะโกนสาปแช่งหวงฝู่อี้เซวียนไม่หยุด
เป็นสาวใช้คนสนิทของนางที่โบกมือไล่สาวใช้คนอื่นๆ ออกไป สาวใช้ที่เหลือต่างไม่รอช้าถอยหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นสาวใช้คนสนิทก็เดินเข้าไปเกลี้ยกล่อมว่า “เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วต่อให้ท่านเป็นกังวลมากแค่ไหนแต่การเปิดปากด่าว่าซื่อจื่อออกไปตรงๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง กำแพงมีหูประตูมีช่อง เกิดว่าผู้ที่มีใจบังเอิญผ่านมาได้ยินแล้วนำเรื่องนี้ไปรายงานให้กับท่านอ๋องทรงทราบ ไม่รู้ว่าโทษกักบริเวณของท่านจะถูกยืดระยะเวลาออกไปจนถึงตอนไหน”
“พวกมันกล้า?” พระชายารองตวาดขึ้นด้วยความโกรธ “จวนแห่งนี้ตอนนี้มีข้าเป็นผู้ดูแล ใครหน้าไหนกล้านำเรื่องนี้ไปฟ้องท่านอ๋องข้าจะให้พวกมันไม่ได้ตายดีแม้แต่คนเดียว”
สาวใช้ที่ยืนรออยู่นอกเรือนหดคอแล้วถอยห่างจากบานประตูไปอีกหนึ่งก้าวทันทีตามจิตใต้สำนึก
สาวใช้คนสนิทเห็นว่านายของตัวเองกำลังอยู่ในห้วงแห่งโทสะอยู่ก็ไม่กล้าเปิดปากเกลี้ยกล่อมอีก
พระชายารองเดินวนไปมาอยู่ในห้องอีกสักพัก รู้สึกว่าไฟที่อยู่ในใจอย่างไรก็ไม่อาจดับลงได้เลยจึงได้สั่งสาวใช้ออกไปว่า “เจ้าไปแจ้งท่านอ๋องให้ข้าที บอกว่าข้าต้องการพบเขา”
สาวใช้ขานรับแล้วเดินออกไป จนกระทั่งมาถึงเรือนที่พักของท่านอ๋องฉี หลังจากบอกกับยามที่ยืนเฝ้าประตูถึงเจตนาที่มาเยือน ยามที่เฝ้าประตูอยู่คนนั้นก็เดินกลับเข้าไปรายงานให้
อ๋องฉีรู้โดยธรรมชาติทันทีว่าพระชายารองต้องการพบเขาด้วยเรื่องอันใด หากเป็นแต่ก่อนป่านนี้เขาคงไปหานางโดยไม่ลังเลแล้ว แต่นับตั้งแต่เหตุการณ์ลงโทษหวงฝู่อวี้ไปเมื่อครานั้น ไม่รู้ทำไมเขากลับเกิดความรู้สึกต่อต้านพระชายารองขึ้นอย่างน่าประหลาด ดังนั้นจึงคร้านจะสนใจนางอีก สั่งบ่าวรับใช้คนนั้นออกไปว่า “เจ้าไปบอกพระชายารองให้นางไตร่ตรองตัวเองและอยู่แต่ในเรือนอย่างสงบเสงี่ยม หากว่านางยังกล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของผู้อื่นอีก อีกหน่อยก็ไม่ต้องคิดจะออกมาแล้ว อยู่แต่ในเรือนของตนเองไปตลอดชีวิตเถิด”
บ่าวรับใช้คนนั้นออกมาบอกสาวใช้โดยไม่ให้ตกหล่นแม้สักคำ
เมื่อสาวใช้นำความนี้ไปบอกต่อแก่พระชายารอง นางก็โกรธมากจนคว่ำโต๊ะในห้อง ข้าวของตกเรี่ยราดกระจัดกระจาย ชุดน้ำชาบนโต๊ะแตกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เลยว่าเกิดคลื่นพายุรุนแรงขนาดไหนขึ้นที่เรือนของพระชายารอง
หลังจากที่หวงฝู่อี้กลับมาจากห้องบัญชี เขาก็มอบตั๋วเงินจำนวนห้าพันตำลึงเงินนั้นให้กับหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้รับมันมา เขาสั่งอีกฝ่ายไปตรงๆ ว่า “ส่งตั๋วเหล่านี้ให้กับหัวหน้าองครักษ์ประจำจวน บอกเขาไปว่าองครักษ์คนไหนที่ได้รับบาดเจ็บให้มอบเงินนี้เพิ่มให้อีกหัวละห้าสิบตำลึงเงิน ส่วนที่เหลือก็แบ่งจ่ายไปให้ครบตามจำนวนคน”
หวงฝู่อี้รับคำ จากนั้นก็หยิบตั๋วเงินเหล่านี้ออกไปแล้วนำไปมอบให้แก่หัวหน้าองครักษ์ประจำจวนตามคำสั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเลื่อนสายตาออกไปมองสีของท้องฟ้าทางด้านนอก ลุกขึ้นยืนแล้วพูดออกไปว่า “ข้าควรกลับได้แล้ว พรุ่งนี้เช้ายังต้องไปพูดคุยเรื่องซื้อขายร้านค้าอีก เจ้าไปเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียนอย่างวางใจเถิด เที่ยงๆ ข้าจะเตรียมสำรับไว้รอ เจ้าก็รีบๆ มาอย่าได้ชักช้านักเล่า”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าหงึกหงักให้อย่างมีความสุข เขาไม่ได้รั้งนางไว้แต่เดินไปส่งนางถึงหน้าประตูจวนด้วยตัวเอง เฝ้าดูนางขึ้นรถม้าจากไปจนลับสายตาก่อนจะเดินกลับเข้าเรือนพักของตน
ตอนที่ 28-2 ถูกลงโทษ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยเหวินเปียวก็ขับรถม้ามุ่งหน้าไปยังร้านที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเหลาจวี้เสียนโดยมีกัวเฟยนั่งอยู่อีกฟากหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ในรถม้าพร้อมกับตั๋วเงินที่พกมาอย่างเพียงพอ
เถ้าแก่ตู้และเถ้าแก่หลี่มายืนรออยู่ที่หน้าประตูก่อนแล้ว
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึง นางไม่ได้ลงรถม้าแต่อย่างใด แต่บอกให้คนทั้งคู่ขึ้นรถม้าอีกคันแล้วมุ่งหน้าต่อไปยังจวนที่ว่าการทันทีเพื่อจัดการขั้นตอนที่เหลือให้เสร็จเรียบร้อย
ขั้นตอนการถ่ายโอนนั้นง่ายดายมาก หลังจากทำโฉนดใหม่แล้วประทับรอยนิ้วมือลงไป ร้านค้าแห่งนี้ก็ตกเป็นของเมิ่งเชี่ยนโยวโดยสมบูรณ์
หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมดเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยื่นตั๋วเงินทั้งหมดให้กับเถ้าแก่หลี่
เถ้าแก่หลี่รับตั๋วเงินพวกนั้นมาแล้วนับมันอย่างระมัดระวังครั้งหนึ่ง เห็นว่าไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว เขาก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มากไม่น้อย ถูกต้องครบถ้วนขอรับ”
กล่าวจบ ก็ดึงตั๋วเงินจากในปึกนั้นออกมาสองใบแล้วยื่นมันไปตรงหน้าของเถ้าแก่ตู้ “ต้องขอบคุณเถ้าแก่ตู้พี่ช่วยแนะนำร้านของข้า ทำให้ร้านของข้าสามารถขายออกไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ตั๋วเงินเหล่านี้ข้าขอมอบให้เป็นสินน้ำใจ ถือเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ขอเถ้าแก่ตู้อย่าได้นึกรังเกียจ”
เถ้าแก่ตู้ยื่นมือออกมาแล้วผลักมือเขากลับไป ก่อนจะพูดว่า “เถ้าแก่หลี่เห็นข้าเป็นคนนอกหรืออย่างไร เราสองคนทำการค้าร่วมกันมานานกว่าสิบปีแล้ว นับว่าเป็นสหายกันมาตั้งนานแล้ว ช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย”
เถ้าแก่หลี่เห็นว่าเขาจริงใจนัก คำพูดที่พูดออกมาทุกคำก็มาจากใจ ท่าทีหรือก็ดูไม่เหมือนแกล้งทำ จึงได้เก็บตั๋วเงินนั้นกลับไปแล้วหัวเราะฮ่าๆ พูดเสียงดังว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ขอเกรงใจแล้ว วันหน้าหากเถ้าแก่ตู้ต้องการความช่วยเหลืออันใด เพียงท่านพูดออกมาก็พอ”
เถ้าแก่ตู้ยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับเขา
ขั้นตอนทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วหลายคนก็พากันกลับไปที่ร้าน เถ้าแก่หลี่เดินไปเก็บสัมภาระของตัวเองที่วางไว้อยู่หลังร้านขนขึ้นรถม้า หลังจากที่จัดการกับข้าวของของตัวเองเสร็จ จึงส่งต่อกุญแจร้านนี้ให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว ใช้สายตาอาลัยอาวรณ์กวาดมองร้านนี้อีกหลายครั้ง ในที่สุดก็ขึ้นรถม้าจากไปทั้งที่ในใจยังไม่อาจตัดขาดได้ลง
ในอีกสองวันถัดมาเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขนทุกคนในจวนไปช่วยทำความสะอาดร้านที่เพิ่งซื้อมาใหม่นี้ พร้อมกับตกแต่งปรับเปลี่ยนร้านให้เป็นในแบบที่นางต้องการ
หวงฝู่อี้เซวียนแวะมาทานอาหารกลางวันที่จวนของนางทุกวันตามคำเชิญของหญิงสาว หลังจากกินเสร็จยังไปช่วยงานนางที่ร้านอาหารอีกด้วย
ผ่านไปสองวัน ในที่สุดร้านของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เป็นรูปเป็นร่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เวลาว่างในการเขียนจดหมายถึงครอบครัวของนาง นางบอกกับครอบครัวไปว่านางมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วและทุกอย่างที่นี่ก็เรียบร้อยดี ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ด้วยเพราะอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำนางจึงได้ซื้อร้านแห่งหนึ่งเอาไว้ต้องการจะเปิดเป็นร้านขายบะหมี่มันฝรั่งสาขาเมืองหลวง ในจดหมายนางยังถามเมิ่งอี้ไปด้วยว่าเขาอยากจะมาเมืองหลวงหรือไม่ หากเขามานางอยากจะฝากเขาขนแป้งมันฝรั่งที่นางต้องการมาเมืองหลวงด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนเองก็เขียนจดหมายถึงทุกคนในครอบครัวของเขาเช่นกัน ในจดหมายแสดงถึงความคิดถึงของเขาที่มีต่อทุกคนเด่นชัด แถมยังเชื้อเชิญให้พวกเขามาเยี่ยมตนที่เมืองหลวงด้วยเมื่อพวกเขาว่าง ในตอนท้ายของจดหมายเขายังให้สัญญากับทุกคนไปอีกว่าจะรีบแต่งงานกับเมิ่งเชี่ยนโยวโดยเร็วที่สุด และจะปฏิบัติต่อนางอย่างดีตลอดทั้งชีวิตของเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวรวบรวมจดหมายทั้งหมดเข้าด้วยกันและสั่งให้คนไปส่งที่ไปรษณีย์โดยเร็ว คาดว่ามันจะถึงมือของครอบครัวนางในอีกสองวันให้หลัง
เวลาอีกหลายวันผ่านพ้นไปทั้งเช่นนี้
ม่านราตรีสีทึบเริ่มเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้า บัดนี้เองบนพื้นปฐพีเบื้องล่างคนหลายสิบคนกำลังมุ่งหน้าไปยังจวนอ๋องฉีด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวดุดันยิ่ง
ยามที่เฝ้าประตูอยู่ได้กลิ่นเหม็นโชยมาจากบนร่างของพวกเขาในระยะไกล ไม่ทันได้สังเกตดูดีๆ ก็เปิดปากไล่ตะเพิดพวกเขาออกไปด้วยน้ำเสียงดังลั่นว่า “ไปๆๆ นี่คือจวนของท่านอ๋องฉี ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาขออาหารกินได้ รีบไสหัวไปเสีย”
เฮ่ออีและคนอื่นๆ ถูกคุมขังมาเป็นเวลาสิบวันแล้ว เพราะในใจเอาแต่เป็นกังวลเรื่องของหวงฝู่อวี้ ทันทีที่ถูกปล่อยตัวออกจากที่คุมขังก็รีบเร่งเข้าเมืองหลวงมุ่งหน้ามาหาหวงฝู่อวี้ทันที ตลอดเส้นทางที่กลับเมืองหลวง พวกเขากินและนอนบนพื้น ควบม้าติดต่อกันทั้งกลางวันและกลางคืนไม่มีหยุด กลิ่นไม่พึงประสงค์บนร่างของพวกเขาจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เห็นว่ายามที่เฝ้าประตูอยู่ไม่แม้แต่จะมองพวกเขาก็เปิดปากขับไล่ราวกับหมูกับหมา เฮ่ออีจึงได้ตะโกนบอกไปจากระยะไกลว่า “เป็นพวกข้าเอง”
คนที่เฝ้าประตูอยู่ได้ยินน้ำเสียงคุ้นหูก็รีบปรับเปลี่ยนท่าทีทันที ก้าวเข้าไปทักทายเฮ่ออีกับคนอื่นๆ ก่อนจะผงะไปแล้วถามออกไปว่า “พวกเจ้าไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพนี้?”
เฮ่ออีไม่ตอบ แต่ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงลนลานว่า “คุณชายรองกลับมาหรือยัง?”
“กลับมาตั้งนานแล้ว”
เฮ่ออีได้ยินแบบนี้หัวใจที่ค้างเติ่งมานานกว่าสิบวันก็ค่อยคลายลง นี่ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงคำถามของคนที่เฝ้าประตูอยู่ ตอบกลับไปว่า “อย่าได้พูดถึงมันเลย พวกเราถูกขังอยู่ในคุกนานกว่าสิบวัน ก็เลยมีสภาพเช่นนี้”
เมื่อคนที่เฝ้าประตูอยู่ได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกสงสัยมาก คิดอยากจะสอบถามให้ละเอียดมากกว่านี้
แต่ก็ถูกเฮ่ออีถามขัดขึ้นก่อน “หลังจากกลับมาคุณชายรองคงไม่ได้รับโทษใดๆ กระมัง?”
คนที่เฝ้าประตูอยู่ลดเสียงลง ไม่ได้นึกรังเกียจกลิ่นเหม็นบนตัวของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย โน้มตัวขึ้นไปข้างหน้าแล้วกระซิบบอกเขาไปว่า “หลังจากที่คุณชายรองกลับมา ซื่อจื่อที่ได้ยินว่าเขาส่งคนไปสังหารสตรีในดวงใจก็ให้พิโรธหนักหน่วงยิ่ง สั่งคนให้จับเขาขังไว้ในห้องเก็บฟืนทันที แถมยังไม่อนุญาตให้คนส่งของกินให้อีก เป็นเวลาถึงสามวันเต็มๆ เชียวล่ะที่เขาไม่ได้กินอะไรเลย หลังจากที่คุณชายรองออกมา คนทั้งคนก็ผอมเหลือแต่กระดูก พระชายารองทนไม่ไหวไปร้องขอความเมตตาแทนเขา สุดท้ายก็ถูกซื่อจื่อสั่งให้คนกักบริเวณพระชายารอง จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอกเลย”
ใจของเฮ่ออีจมดิ่งลงไปทันทีหลังจากที่ได้ยินเรื่องดังกล่าว
คนที่เฝ้าประตูอยู่ยังคงลดเสียงลงแล้วพูดกับเขาต่อไปว่า “ซื่อจื่อตอนนี้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ถึงแม้ว่าภายนอกจะยังดูง่ายๆ ไม่ใส่ใจอันใดเหมือนแต่ก่อน ทว่าในความเป็นจริงแล้ววิธีการตอบโต้รับมือนั้นโหดเ**้ยมทารุณมากกว่าแต่ก่อนนัก บ่าวรับใช้สองคนในเรือนของเขาเพราะพลั้งปากเผลอไปบอกคุณชายรองถึงสตรีนางนั้น เห็นว่าถูกเขาลงโทษด้วยการฝังทั้งเป็นเลยทีเดียว พวกบ่าวรับใช้ในจวนล้วนแต่ได้ไปชมการลงโทษนี้กับตา ตอนนี้ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าปากมาก”
หัวใจของเฮ่ออียามนี้แตะถึงก้นบึ้งแล้ว
องครักษ์เงาที่อยู่ข้างๆ เขาล้วนได้ยินคำพูดของยามเฝ้าประตูทั้งสิ้น ฉับพลันหันมามองเขาเป็นตาเดียว
เฮ่ออียกมือขึ้นประสานกัน แล้วพูดกับคนเฝ้าประตูไปว่า “ขอบใจเจ้ามากที่เตือน รอข้ากลับถึงที่พักล้างเนื้อล้างตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วจะไปขอรับโทษกับซื่อจื่อที่เรือนของเขาด้วยตัวเอง”
ยามที่เฝ้าประตูอยู่พยักหน้าให้ เบี่ยงตัวให้เล็กน้อย องครักษ์เงาสิบกว่านายก็ทยอยกันเดินเข้าไปในจวน
ยามที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูมองตามแผ่นหลังของพวกเขาไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ส่ายหัวให้เบาๆ
ต้องบอกก่อนว่ากลิ่นตัวของคนสิบกว่าคนนี้เหม็นมากจริงๆ ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าประตูจวนมา คนในจวนก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นเหม็นที่ปะทะเข้าจมูกอย่างจัง สายตาของทุกคนที่เดินผ่านตวัดไปทางพวกเฮ่ออีเขม็ง กลุ่มของพวกเฮ่ออีพอได้รับสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อจากคนอื่นๆ ก็ทั้งรู้สึกอับอายและอึดอัดใจยิ่ง
พลันเฮ่ออีรวมถึงคนอื่นที่เหลือรีบวิ่งกลับไปยังที่พักของตัวเองทันที ใช้น้ำเย็นชำระร่างกายให้สะอาด ผลัดเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ หลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็นำขบวนคนมุ่งตรงไปยังเรือนที่พักของหวงฝู่อี้เซวียนเพื่อขอรับโทษ
ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าประตูจวนมา พ่อบ้านประจำจวนก็ได้รับข่าวนี้แล้ว คิดว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะจัดการทำความสะอาดตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินมาหาพวกเขาถึงที่พักขององครักษ์เงา พูดกับเฮ่ออีไปว่า “ท่านอ๋อง พระชายา ซื่อจื่อแล้วก็คุณชายรองทุกท่านยามนี้กำลังรับสำรับอยู่ที่เรือนหลัก พวกเจ้ารีบไปขอรับโทษที่นั่นเสีย”
เฮ่ออีกล่าวขอบคุณเขาไปคำหนึ่ง จากนั้นก็นำองครักษ์เงาคนอื่นๆ ไปยังเรือนหลัก คุกเข่าลงพร้อมกันที่หน้าเรือน รอให้อ๋องฉีกับเจ้านายคนอื่นๆ รับสำรับจนเสร็จ
ตอนที่เฮ่ออีก้าวเข้ามาในลาน ตอนนั้นอ๋องฉีรวมถึงคนอื่นๆ ก็รับรู้ถึงการมาของพวกเขาแล้ว
อ๋องฉียังคงทานข้าวต่อไปอย่างสบายใจ การเคลื่อนไหวไม่ได้ชะงักลงเลยแม้แต่น้อย
ทางฝั่งของพระชายา เมื่อเห็นว่าอ๋องฉียังคงเพิกเฉยไม่แยแสต่อเรื่องดังกล่าว ก็ให้มองข้ามเรื่องนี้ตามไปด้วย แสดงท่าทีว่าไม่แยแสเหมือนกัน
หวงฝู่อี้เซวียนราวกับถอดแบบมาจากอ๋องฉีไม่ผิดเพี้ยน ยังคงกินอาหารในชามไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำราวกับว่าไม่รู้สึกถึงการคุกเข่าของคนสิบกว่าคนด้านนอกแม้แต่น้อย
จะมีก็แต่หวงฝู่อวี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ด้วยเพราะมีชนักติดหลังจึงรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่ง สายตามองไปทางอ๋องฉีทีหวงฝู่อี้เซวียนที จากนั้นก็เม้มปากลงแน่นไม่กล้าเอื้อนเอ่ยถ้อยคำขอร้องใดๆ ออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนใช้ตะเกียบคีบกับข้าวจานโปรดลงในชามของเขา “อวี้เอ๋อร์ กินเร็ว”
“พี่ใหญ่” หวงฝู่อวี้เสียงสั่น ใช้สายตาอ้อนวอนมองเขา
หวงฝู่อี้เซวียนเตือนเขาไปว่า “เวลากินห้ามพูด เวลานอนห้ามเอ่ยถ้อยคำ เจ้าอยากให้ท่านพ่อลงโทษเจ้าหรือ?”
หวงฝู่อวี้ได้ยินดังนั้นก็รีบก้มหน้าลงคีบกับข้าวเข้าปากอย่างว่าง่ายทันที
เฮ่ออีและคนอื่นๆ ที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่ลานบ้าน ด้วยเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนเวลาทานประทานอาหารของท่านอ๋องฉี พวกเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะแสดงอารมณ์ออกมา ได้แต่รอรับการตัดสินใจของอ๋องฉีอย่างกระวนกระวายใจ
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามได้ ในที่สุดหลายคนก็ทานอาหารเสร็จ รอจนกระทั่งสาวใช้เก็บกวาดสำรับบนโต๊ะออกไปเรียบร้อย อ๋องฉีก็นั่งต่อตรงที่เดิมอีกสักพัก หลังจากนั้นจึงเดินออกไปที่ประตูแล้วถามเฮ่ออีไปแบบไม่รีบไม่ร้อนว่า “เจ้า รู้ความผิดของตัวเองหรือไม่?”
เฮ่ออีคุกเข่าลงกับพื้น ไม่มีการโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น ตอบกลับไปว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชารู้ความผิดขอรับ”
อ๋องฉีกวาดตามององครักษ์เงาที่อยู่ในลานทั้งหมดรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็กลับมาตกอยู่ที่ร่างเขาอีกครั้ง “ในฐานะหัวหน้าองครักษ์เงา แอบพาองครักษ์เงาออกจากเมืองหลวงไปโดยไม่ผ่านการเห็นชอบจากข้า นี่คือความผิดข้อที่หนึ่ง ทั้งที่คุณชายรองติดตามพวกเจ้าออกไปจากเมืองหลวงด้วย แต่พวกเจ้ากลับปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตราย นี่คือความผิดข้อที่สอง พวกเจ้าในฐานะขององครักษ์เงา แต่เดิมสมควรอยู่แต่ในที่มืดไม่อาจก้าวออกมายังที่สว่างได้ ทว่ากลับถูกจับเข้าคุก เปิดเผยฐานะและใบหน้าตัวเองต่อหน้าสาธารณะและผู้คนมากมาย นี่คือความผิดข้อที่สาม กับความผิดทั้งสามข้อนี้ บอกข้าสิว่าควรลงโทษอย่างไร?”
เฮ่ออีตอบกลับไปโดยไม่มีความลังเลอยู่เลย “เรียนท่านอ๋อง ความผิดทั้งสามข้อรวมกัน ผู้ใต้บังคับบัญชาสมควรถูกตัดแขนตัดขาทิ้ง โยนเข้าค่ายลับ ปล่อยให้ตกตายไปตามยถากรรมขอรับ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น