ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 268-271
ตอนที่ 268 ประกาศหาคู่
หวงฝู่ซวิ่นรู้ว่าตนเองติดกับแล้ว จึงโกรธทั้งหัวเราะขึ้นมา ตะโกนใส่เขาว่า “กลับมานี่ ข้ายังพูดไม่จบ”
หวงฝู่อี้เซวียนกลับเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม ตอนที่มีเสียงดังขึ้นมานั้น เขาก็เดินจวนจะออกจากตำหนักไปอยู่แล้ว “ภรรยาของข้ารอข้ากลับไปต้มข้าวต้มให้กินอยู่ มีเรื่องอะไรจะพูดค่อยว่ากันวันหลังเถิด”
เมื่อพูดจบ ก็เดินลับหายไป
“ถุย!”
ตึ่ง ตั้ง
…ในตำหนักก็มีเสียงต่างๆ ดังขึ้นมา มีเสียงของทหารลับร่วงลงมาจากต้นไม้ มีเสียงกะละมังเหล็กร่วงของสาวใช้ที่มีหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูร่วงลงพื้น แล้วก็มีเสียงเดินชนกำแพงของขันทีที่ไม่ระมัดระวัง คุณพระ พวกเขาไม่ได้ฟังผิด ซื่อจื่อผู้สูงส่งจะกลับไปทำข้าวให้ซื่อจื่อเฟยกิน นี่ นี่พวกเขาไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม
หวงฝู่ซวิ่นสะแยะยิ้มออกมามากขึ้นกว่าเดิม แล้วลูบก้นของต้นที่เจ็บปวดจากการล้ม แล้วด่ากลับไปว่ “เจ้าบ้านี่ ลงมือก็ไม่รู้จักให้มันเบาๆ เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมุมปากแล้วเดินออกจากตงกง ขึ้นหลังม้า กลับจวนอ๋องอย่างอารมณ์ดี
พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งแม่สามีลูกสะใภ้กำลังนั่งอยู่ในห้องของเขา ปรึกษาหารือกับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เมื่อเห็นเขาเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม “อี้เซวียน เจ้ากลับมาแล้ว ข้ากับเสด็จแม่กำลังปรึกษากันเรื่องงานแต่งงานอวี้เอ๋อร์น่ะ”
อี้เซวียนเข้าใจเมิ่งเชี่ยนโยวที่สุด ถ้าหากว่าเป็นงานแต่งธรรมดาๆ นางจะไม่ได้มีทีท่ายินดีขนาดนี้ จะต้องคิดหาวิธีจัดการกับหวงฝู่อวี้อย่างแน่นอน แต่ว่าขอแค่ให้นางดีใจ จะทำอย่างไรก็ตามใจนาง เดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วถามว่า “ปรึกษากันได้ว่าอย่างไร”
พระชายาฉีเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่ทำการเล่นลิ้นกับลูก กระพริบตาของตน แล้วยิ้มให้เขา บอกให้เขาเดาว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าทายสิ ข้ากับโยวเอ๋อร์คิดว่าจะไปขอแต่งงานให้อวี้เอ๋อร์อย่างไร”
เห็นท่าทางของพระชายาฉีแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็เดาได้ถึงความจริง จึงแอบสงสารหวงฝู่อวี้ แล้วยิ้มถามว่า “วิธีใดหรือขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเอากระดาษที่อยู่ตรงหน้าวางไว้ตรงหน้าเขา “เจ้าดูสิ”
หวงฝู่อี้เซวียนหยิบมาดู “ประกาศหาคู่” สี่ตัวอักษรนี้เข้าตาเขาอย่างแรง แล้วมองไปที่พระชายาฉีด้วยสายตาตกตะลึง แล้วก้มไปอ่านเนื้อหา ได้ความว่า “องค์ชายรองแห่งจวนอ๋องฉีหาคู่ครอง อายุสิบห้าถึงสิบแปดปี หน้าตาสะสวย รู้หนังสือคุยรู้เรื่องก็พอ ไม่มีกำหนดฐานะ ไม่กำหนดว่าจะต้องเย็บปักถักร้อยเป็น ไม่มีกำหนดส่วนสูง คนที่รู้สึกว่าตนเองเหมาะสม สามารถมาสัมภาษณ์กับผู้ดูแลจวนอ๋องฉีได้ ถ้าหากว่าผ่าน จะได้เข้าพบองค์ชายรอง ขอเพียงแค่ทั้งสองคนชอบพอกัน ก็สามารถแต่งงานกันได้”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไป เงยหน้าขึ้น เบิกตาโพรง มองไปที่พระชายาฉีด้วยสายตาไม่เชื่อ
พระชายาฉีพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถามด้วยความคาดหวังว่า “เจ้าว่าอย่างไร”
ครั้งแรกของชีวิต ซื่อจื่อผู้ชาญฉลาดก็ตกตะลึงพูดว่า “เสด็จแม่? ท่าน…”
“แม่กับโยวเอ๋อร์ปรึกษากันตั้งแต่เช้า ถึงคิดวิธีที่น่าสนุกแบบนี้ออกมาให้อวี้เอ๋อร์ได้ เจ้าห้ามบอกว่าไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นจะให้ภรรยาของเจ้าไล่เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าไม่ถูก มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็มองไปที่เขาด้วยสายตาที่คาดหวัง
เห็นทั้งสองคนใช้สายตาที่คาดหวังมองกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนถึงได้จำใจพยักหน้า
พระชายาฉีดีใจจนลุกยืนขึ้น แล้วแย่งกระดาษในมือของเขามา “ข้าจะสั่งให้ผู้ดูแลเอาไปคัดลอกสักหลายฉบับ แล้วเอาไปแปะให้ทั่ว วันพรุ่ง ไม่สิ บางทีเย็นนี้อาจจะมีหญิงงามมาขอแต่งงานถึงที่แล้วก็ได้”
เห็นทีท่าที่อดรนทนไม่ไหวของนางแล้ว ในที่สุดหวงฝู่อี้เซวียนก็ทนไม่ไหว เอ่ยปากพูดว่า “เสด็จแม่ หาคู่ครองให้กับอวี้เอ๋อร์ด้วยวิธีการเช่นนี้ไม่ดีหรอก ถ้าเสด็จพ่อรู้เข้าจะทรงกริ้วเอาได้”
พระชายาฉีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ แล้วพูดโดยไม่กังวลว่า “ไม่เป็นไร ข้าคิดไว้ตั้งนานแล้ว ถ้าหากว่าเสด็จพ่อของเจ้าโกรธล่ะก็ ข้าก็จะบอกว่าเป็นความคิดของโยวเอ๋อร์ ข้าก็แค่ร่วมเล่นด้วยเท่านั้น”
พูดจบ ไม่ทันได้รอหวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อ ก็พูดอีกว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ อีกประเดี๋ยวข้าจะไปหาท่านอ๋อง”
พูดจบ ก็เอาประกาศหาคู่เดินออกไป พูดไปเดินไป “เจ้าอยู่กับโยวเอ๋อร์ไป ข้าจะไปหาเสด็จพ่อของเจ้า”
เห็นนางเดินออกไปเร็วเยี่ยงสายลม หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังกลับ แล้วเดินไปที่ด้านหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ยื่นมือออกมา แล้วเขี่ยไปที่ปลายจมูกของนาง ถาม “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วซบไปที่อกของเขา บอกว่า “แม้ว่าเมื่อวานอวี้เอ๋อร์จะบอกว่าจะตัดสัมพันธ์กับคุณหนูหลิน แต่ว่าข้ามองออก ว่าภายในใจของเขาก็ยังคงอาลัยอาวรณ์อยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ช่วยเขาเท่านั้นเอง”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง “นี่คือการช่วยงั้นรึ ข้าเห็นเป็นเจ้าหาโอกาสจัดการเขามากกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ข้าไม่ได้จัดการเขา ข้าจะจัดการตระกูลหลิน”
หวงฝู่อี้เซวียนแปลกใจแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จัดการตระกูลหลิน พวกเขาทำให้เจ้าไม่พอใจงั้นรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า ยื่นมือออกมากอดแขนของเขาเอาไว้ หัวเราะแล้วพูดว่า “ตระกูลหลินผิดต่อเจ้า ก็เหมือนผิดต่อข้า ตอนแรก ที่พวกเขาเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเกินไป จึงไม่ยอมที่จะถอนหมั้น ทำให้หลินหันเยียนต้องนับลุงของตนเองเป็นพ่อบุญธรรม คิดหวังว่าจะพึ่งจวนแม่ทัพกับจวนอ๋องฉีสองต้นไม้ใหญ่นี้ ครั้งนี้ข้าจะทำให้พวกเขาไม่ได้อะไรเลย ทำให้พวกเขาเสียทั้งลูกสาวเสียทั้งที่พึ่งไปในเวลาเดียวกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนสนใจจึงถามว่า “เจ้าจะทำเยี่ยงไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดให้คิด “เรื่องนี้บอกเจ้าไม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่ข้ากับเสด็จแม่ปรึกษากันเป็นเวลานานถึงจะคิดขึ้นได้”
“เมียจ๋า” หวงฝู่อี้เซวียนกอดเขาแน่น แล้วขอร้องนางด้วยท่าทางจริงจัง “เจ้าคิดจะทำอะไร ข้าสนับสนุนเจ้าอย่างแน่นอน แต่ว่าเจ้าอย่าพาเสด็จแม่ไปเหลวไหลด้วยเลย นางเป็นแบบนั้น ข้าไม่ชินจริงๆ”
ทุบเขาไปหนึ่งที แล้วบอกว่า “อะไรคือข้าพาเสด็จแม่เหลวไหลกัน เจ้าไม่เห็นตอนที่ข้าพูดเรื่องนี้กับนาง นางดีใจกว่าข้าด้วยซ้ำไป”
อันนี้หวงฝู่อี้เซวียนดูออก แต่ว่าเมื่อคิดถึงภาพความสูงส่งเรียบร้อยของพระชายาฉีแล้ว ที่ทำท่าทางเมื่อสักครู่นี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกขนลุกแบบบอกไม่ถูก ในจวนนี้มีเมิ่งเชี่ยนโยวที่รับมือยากคนเดียวก็พอแล้ว ถ้าหากว่ากระทั่งพระชายาฉียังเปลี่ยนเป็นแบบนี้ล่ะก็ วันหลังจวนอ๋อง…
เมื่อคิดถึงสภาพของจวนอ๋องในตอนหลัง หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกปวดขมับแบบบอกไม่ถูก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดาได้ถึงความคิดของเขา จึงหัวเราะว่า “เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้ากับเสด็จแม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ จะไม่ก่อความวุ่นวาย แล้วก็จะจัดการจวนอ๋องให้เรียบร้อยอย่างแน่นอน”
เมื่อนางพูดเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งปวดขมับเข้าไปใหญ่ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่หนึ่งเฮือก กอดเมิ่งเชี่ยนโยวแน่นขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็แอบยิ้ม
ไม่รู้ว่าพระชายาฉีใช้วิธีการอะไรถึงพูดโน้มน้าวท่านอ๋องฉีได้ ธูปไม่ทันหมดครึ่งดอก ก็เดินออกมาจากห้องหนังสือด้วยความดีใจ แล้วเอาประกาศหาคู่ในมือส่งมอบให้กับผู้ดูแล สั่งให้เขาเขียนคัดลอกอย่าให้ตกแม้แต่ตัวอักษรเดียว แล้วเอาไปแปะให้รอบเมือง
ผู้ที่เขียนหนังสือได้ในจวนไม่ไม่น้อย ผู้ดูแลรับมา ก่อนอื่นต้องเปิดดูก่อน พอดูแล้ว ก็ตกใจจนยืนแทบไม่อยู่ อีกนิดเดียวก็จะล้มลงกองกับพื้น “พระชายา นี่…”
“เจ้าจัดการให้เรียบร้อยก็พอ ท่านอ๋องเห็นด้วยแล้ว” พระชายาฉีกล่าว
ผู้ดูแลตกใจถึงขั้นอ้าปากค้าง ตั้งแต่ท่านอ๋องมีพื้นที่เป็นของตนเอง ย้ายออกมาจากพระราชวัง เขาก็อยู่ที่นี่แล้ว หลายปีที่ผ่านมาเขารู้ดีถึงนิสัยใจคอของท่านอ๋องและพระชายาฉีดี นี่ไม่ได้เป็นเรื่องที่พวกเขาจะทำออกมาได้ รู้ดีว่าถ้าหากประกาศแผ่นนี้แปะออกไปล่ะก็ จะต้องเป็นที่กล่าวขานของประชาชนเป็นแน่ อีกทั้งเขายังกล้ารับรอง ในคำกล่าวขานเหล่านั้น จะต้องไม่มีคำไหนที่พูดดีถึงจวนอ๋องอย่างแน่นอน เหตุใดท่านอ๋องถึงได้ตอบรับพระชายาฉีนะ
พระชายาฉีเห็นเขาชะงักไป แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้เขาฟัง โบกมือ “รีบเถอะ ยิ่งเร็วยิ่งดี”
เงยหน้ามองไปที่ห้องหนังสือ ไม่ได้ยินถึงเสียงคัดค้านของท่านอ๋อง ผู้ดูแลปาดน้ำเหงื่อที่หน้าผากหลายที แล้วถือประกาศหาคู่ ตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วออกไป
หลังจากนั้นพระชายาฉีก็กลับมาที่จวนของตน สั่งให้หลิงหลงช่วยนางเปลี่ยนชุดเป็นชุดที่สวยงามมาก แล้วนั่งรออยู่ที่ในตำหนักด้วยความดีใจ
ดังนั้น ตอนที่ฟ้ากำลังมืด ในที่ๆ แปะประกาศสำคัญในเมืองหลวงทุกที่ต่างก็มีประกาศหาคู่แปะอยู่ ไม่มีประกาศแปะมานานมากแล้ว ประชาชนจึงรีบไปมุมดูด้วยความสงสัย หลังจากได้ยินผู้ทีรู้หนังสืออ่านประกาศให้ฟังแล้วนั้น ก็เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที
“ประกาศนี้ไม่ได้เป็นของปลอมแน่นะ องค์ชายรองของจวนอ๋องฉีข้าเคยเจอ ลักษณะท่าทางเป็นคนฉลาดมีความสามารถ จะบอกว่าไม่มีภรรยาเป็นไปไม่ได้แน่นอน เหตุใดถึงได้ประกาศหาคู่ล่ะ”
“ใช่สิๆ ข้าเห็นคนที่มาแปะประกาศก็ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่มีคนทำเรื่องก่อกวนแน่นะ”
“ข้ามองว่าจะเป็นเรื่องจริง พวกเจ้าไม่เห็นหรือคนที่มาแปะประกาศพวกนั้นเป็นคนของจวนอ๋องทั้งนั้น อีกอย่าง นี่เป็นที่แปะประกาศสำคัญของราชสำนัก มีประกาศที่ไหนจะมากล้าแปะประกาศเช่นนี้ แล้วยังบอกอีกว่าจะหาคู่ให้กับองค์ชายรอง”
“คำพูดของคนผู้นี้ ผู้คนต่างสับสน เกิดเสียงเล่าลือกันขึ้นมา”
“เห็นทีจะเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะ องค์ชายรองแห่งจวนอ๋องจะหาคู่งั้นรึ”
“แน่นอนสิ เจ้าไม่ได้ยินหรือ ไม่นับฐานะ ขอแค่เป็นคนดีก็พอ”
……
ผู้คนต่างพูดถึงเรื่องนี้ไม่หยุด บ้านไหนมีลูกสาว ก็เกิดความคิด หันหลังรีบกลับบ้านไป นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ต้องรีบกลับบ้านไปบอกแม่บอกเมียให้รับรู้ ให้พวกเขารีบทำเสื้อผ้าที่สวยๆ ให้ลูกสาวใส่ ให้ลูกสาวได้ไปที่จวนอ๋องเพื่อเข้าพบ ถ้าหากรู้ว่า ถ้าหากว่าโดนองค์ชายรองเลือกขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นตระกูลของตนก็จะเป็นญาติเกี่ยวดองกับจวนอ๋องได้
เมื่อเขาวิ่งกลับไป คนข้างหลังก็เห็นเช่นนั้นจึงวิ่งกลับบ้านไปเช่นกัน คนที่ดูประกาศแล้วก็หายไปเลยครึ่งหนึ่ง เหลือก็แต่ผู้ที่บ้านไม่มีลูกสาว มองพวกเขาด้วยสายตาที่อิจฉา
ดังนั้น หวงฝู่อวี้ที่วุ่นวายมาทั้งวันกำลังนั่งรถม้ากลับ ยังไม่ทันกลับถึงประตู ก็ได้ยินเสียงผู้คนมากมาย เปิดม่านรถออกก็เห็นผู้คนต่อแถวยาวเป็นมังกร จึงตกใจเป็นอย่างมาก กระโดดลงจากรถม้าโดยทันที แล้วเดินเข้าไปที่ด้านในจวน เห็นผู้ดูแลยืนอยู่ตรงหน้าประตู จึงถาม “ในจวนมีเรื่องอันใดกัน”
ผู้ดูแลไม่ได้ตอบรับ ผู้หญิงที่กำลังต่อแถวต่างก็ส่งเสียงออกมากันมิวาย
ทำให้หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว
ผู้ดูแลมองเขาด้วยความสงสาร “องค์ องค์ชายรอง…”
“นี่มันเรื่องอันใดกันแน่” หวงฝู่อวี้ถาม
กลืนน้ำลายหนึ่งอึก ผู้ดูแลก็ชี้ไปที่กำแพงของจวนอ๋อง
หวงฝู่อวี้มองไป ประกาศหาคู่ก็กระแทกเข้าตาเขาทันที ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว อ่านเนื้อหาครบถ้วน ก็โกรธจนหน้าดำ แล้วหยิบประกาศมาฉีกทิ้ง สีหน้าเคร่งเครียดเดินเข้าไปที่ด้านในจวน เดินมาที่จวนของหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความโกรธ
ฟ้าก็มืดแล้ว ในจวนจุดโคมไฟกันแล้ว ที่ม่านหน้าต่างสะท้อนให้เห็นเงาหวงฝู่อี้เซวียนกำลังกอดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่
เมื่อเห็นเงาเช่นนี้ หวงฝู่อวี้จึงไม่กล้าแล้ว สูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับความโกรธลง แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ ซ้อใหญ่ ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
เงาของทั้งสองคนแยกออกจากกัน มีเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับมา “เข้ามาสิ”
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปที่ด้านใน เจตนาเดินลงน้ำหนักที่เท้า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้น จึงไม่ได้พูดอะไร รอให้เขาพูดก่อน
เอาประกาศหาคู่ที่อยู่ในมือออกมา แล้วถามว่า “ซ้อใหญ่ นี่คือความคิดท่านใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นความคิดของข้า”
“ข้าทำอะไรให้ซ้อใหญ่ไม่พอใจงั้นรึ” ในน้ำเสียงมีความโกรธ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอีกครั้ง “เจ้าทำให้ข้าไม่พอใจ”
ความโกรธได้หายไป แล้วเกิดอาการชะงัก จึงถามว่า “เมื่อใดกัน”
“ตอนที่ไปบ้านของข้าเพื่อลอบฆ่าข้า”
หวงฝู่อวี้รู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอย เปิดปากบอกว่า “ตอนนั้นข้ายังเด็กอยู่ไม่รู้เรื่องรู้ราว อีกอย่าง พี่ใหญ่ก็เคยลงโทษข้าแล้ว ข้าก็ขอโทษท่านไปแล้ว ท่านกัดไม่ปล่อยแบบนี้ไม่ได้สิ”
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เปลี่ยนแปลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้พูดกับเจ้าไว้หรอกหรือ ข้าเป็นคนที่ชอบการรอจังหวะแก้แค้นเป็นที่สุด ตอนนี้อยู่แต่ในจวนทุกวัน น่าเบื่อจะตาย เลยนึกขึ้นได้น่ะ”
หวงฝู่อวี้ทำตัวไม่ถูก จึงขอร้อง “ซ้อใหญ่ ซ้อใหญ่ขอรับ ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านอย่าถือโทษโกรธข้าเลย ปล่อยข้าไปเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ “ครั้งนี้ปล่อยเจ้าไปได้ แล้วเรื่องที่เจ้าพาคุณหนูหลินไปหาเรื่องข้าที่ร้าน ข้าจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร”
ตอนที่ 269 เจตนา
หวงฝู่อวี้ชะงักไป แล้วท่าทางก็นิ่งสงบลงในทันที หลังจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ แล้วแสดงสีหน้าละอายออกมา “ซ้อใหญ่ โถ่ซ้อใหญ่ ก่อนหน้านี้ข้าผิดไปแล้ว วันหลังท่านอยากได้อะไรข้าจะเป็นคนให้ ท่านปล่อยข้าไปเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ไม่ได้ หลายปีมานี้คนที่ผิดต่อข้าถ้าไม่ตายก็หนังถลอกกันทั้งนั้น มีเพียงเจ้า ข้ายังไม่ได้ลงมือ ถ้าหากว่าไม่แก้แค้นเจ้า ข้าต้องนอนไม่หลับเป็นแน่ แล้วมันจะส่งผลไม่ดีต่อเด็กในท้องด้วย”
ให้เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งครรภ์อย่างสบายใจเป็นเรื่องใหญ่ในจวนตอนนี้ ถ้าหากว่าเมิ่งเชี่ยนโยวนอนไม่หลับ ส่งผลกระทบต่อเด็กในท้อง ไม่เพียงแต่หวงฝู่อี้เซวียน กระทั่งอ๋องฉีและพระชายาฉีก็จะไม่ลืมความผิดนี้อย่างแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความคิดของหวงฝู่อวี้ที่จะมาคิดบัญชีกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้หายไป คำพูดที่ออกจากปากก็กลายเป็นคำขอร้องแทน “ถ้าอย่างนั้นท่านก็ต้องช่วยข้าเลือกคนที่ดูดีหน่อยนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา หึ “วางใจเถิด ถึงอย่างไรข้าก็เป็นซ้อใหญ่ของเจ้า ไม่ทำร้ายเจ้าแน่นอน”
หวงฝู่อวี้คว่ำปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับไม่พอใจเป็นอย่างมาก บ่นในใจว่า ท่านก็รู้ว่าเป็นซ้อใหญ่ของข้า แล้วยังจะทำเรื่องเช่นนี้อีก
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ถึงความในของเขา จึงเอ่ยปากขู่ไว้ว่า “ถ้าหากว่าเจ้ากล้าบ่นข้าในใจล่ะก็ เมื่อข้าอารมณ์ไม่ดีเมื่อไร ไม่แน่ว่าข้าจะหาเมียดีๆ ให้เจ้านะ”
หวงฝู่อวี้กระตุกขึ้นมาทันที พูดปฎิเสธไม่หยุดเลย “ไม่มีๆ ไม่มีแน่นอน ข้าขอบคุณท่านด้วยซ้ำ เหตุใดถึงจะบ่นท่านล่ะ”
“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว เจ้าก็โตแล้ว เรื่องอนาคตของเจ้าก็ควรที่จะจัดการให้เรียบร้อยได้แล้ว เจ้าจะได้ไม่เป็นเด็กอยู่อย่างนี้ ไม่เป็นโล้เป็นพาย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หวงฝู่อวี้พยักหน้า สภาพไม่ต่อกรใดๆ ทั้งสิ้น “ซ้อใหญ่พูดได้ดีมาก ซ้อใหญ่พูดได้ถูกต้องที่สุด ซ้อใหญ่อยากทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้น ไหนๆ วันพรุ่งท่านก็จะให้ข้าแต่งงานอยู่แล้ว ข้าก็จำทำตามท่าน”
“นี่เจ้าพูดเองนะ ตอนแรกข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้ายังจะให้เจ้าหมั้นหมายเอาไว้ก่อนเท่านั้น ผ่านไปหนึ่งหรือสองปีค่อยแต่งงาน ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ รอให้ไม่กี่วันนี้เลือกคนได้ก่อน ก็จะเตรียมงานแต่งงานทันที ข้างนอกจะได้ไม่เอาไปร่ำลือกันด้วย ที่ว่าเจ้าไม่มีตัวตนในจวนอ๋องเลย บอกข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าทารุณเจ้า”
“ไม่ๆ” หวงฝู่อวี้โบกมือ เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผากไปหมด “ซ้อใหญ่ ซ้อใหญ่ของข้า เมื่อครู่ข้าพูดผิดไปแล้ว ท่านกับพี่ใหญ่ของข้าปรึกษากันน่ะถูกต้องแล้วขอรับ ข้ายังเล็ก ผ่านไปสองปีค่อยแต่งงานก็ยังไม่สาย ถ้าหากมีใครกล้าพูดอะไรไม่ดี ข้าจะไปจัดการมันทั้งตระกูล”
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะแล้วส่ายหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าก็จะไม่ฝืน รอให้เจ้าอยากแต่งงานเมื่อใดก็บอกพวกข้าก็แล้วกัน”
หวงฝู่อวี้ยิ้มแย้มดีใจ พยักหน้า “ดีๆ ข้าฟังท่านซ้อใหญ่ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วพูดเสริมว่า “แต่ว่า งานแต่งงานนี้จะต้องกำหนดไว้ก่อน”
ถึงตอนนี้ หวงฝู่อวี้ไม่ได้มีทีท่าไม่พอใจแต่อย่างใด “ได้ๆ ซ้อใหญ่ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ข้าฟังซ้อใหญ่ทุกอย่าง”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นท่าทางกลัวของเขาอย่างนั้นจึงเอ่ยปาก “เอาล่ะ เจ้าก็วุ่นวายมาทั้งวันแล้ว กลับไปที่จวนจัดการตัวเองให้เรียบร้อย แล้วมากินข้าวกัน”
นี่เป็นการตบหัวลูบหลังที่สมบูรณ์แบบ หวงฝู่อวี้พยักหน้าด้วยความดีใจ ตอบรับอย่างรื่นเริงว่า “เดี๋ยวข้าจะกลับมาอย่างรวดเร็ว”
พูดจบ ก็วิ่งกลับอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน แล้วขำออกมาพร้อมกัน
เมื่อวิ่งออกไปนอกลานบ้าน หวงฝู่อวี้ก็เดินช้าลง ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขา เช็ดเหงื่อบนหน้าผากตน แล้วฝืนยิ้มออกมา แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่เรือนของตน
สาวงามเมื่อได้ยินข่าวต่างก็หลั่งไหลเข้ามา เสียงดังกันเสียจนคนในไม่สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุข
เกรงว่าจะกระทบกับเมิ่เชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมา ช่วยทำให้เขาสงบลง “รอให้ผ่านไปอีกสักครึ่งชั่วยาม คนในเมืองก็จะรู้ทั่วกันทุกคน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราก็จะออกไปบอกให้พวกนางสลายตัว
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า บอกว่า “หวังว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เจ้าคิดไว้”
“โจวอันตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว สองสามีภรรยาราชเลขาได้ตอบรับการแต่งงานของหลินหันเยียนแล้ว แต่งกับญาติจากแดนไกลของฮูหยินราชเลขา เป็นผู้มีความรู้ รูปร่างหน้าตาใช้ได้ บอกว่าไม่รังเกียจที่นางเคยจะแต่งงาน ตอบรับนางเป็นเมียหลวง อีกทั้งยังสามารถมาตระกูลอันที่เมืองหลวงได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“ความหมายของเจ้าก็คือ ราชเลขาหลินสองสามีภรรยาจะให้หลินหันเยียนแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่คนเมืองอย่างนั้นหรือ”
“คนในเมืองต่างก็รู้ว่านางกับเจ้าเคยหมั้นหมายกัน ใครจะไปกล้าขอนางอีก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้พวกเราก็มีส่วนรับผิดชอบ อีกทั้งอวี้เอ๋อร์ก็มีใจให้กับนาง ข้าเลยคิดวิธีนี้ออกมา”
ตอนนี้คิดๆ ดู ต่อให้ราชเลขาหลินสองสามีภรรยาจะมีแผนในใจแล้ว แต่ว่าหลินหันเยียนนั้นไร้เดียงสา เพื่อที่จะมาขอเมิ่งเชี่ยนโยว ตนจึงต้องยกเลิกงานแต่งงานกับตระกูลหลิน ในเรื่องของชื่อเสียงของหลินหันเยียนนั้นต้องกระทบอย่างแน่นอน ต่อให้นางรับแม่ทัพฉู่เป็นพ่อบุญธรรมก็ตาม ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะขอนาง พูดตามตรง ตนก็มีส่วนรับผิดชอบ คิดเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนจึงเอ่ยปากว่า “ให้โจวอันไปสืบว่า ตระกูลของชายผู้นั้นเขาทำอะไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร”
“ไม่ต้อง ในเมื่อวางแผนว่าจะให้คุณหนูหลินแต่งงานกับอวี้เอ๋อร์ เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ต้องสืบแล้ว เจ้าคิดหาวิธีกีดกันไม่ให้เขาเข้าเมืองก็พอ”
“เรื่องนี้ง่ายนัก วันพรุ่งข้าจะไปจัดการ”
“หวงฝู่อวี้จัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งกลับมา ทั้งสองคนหยุดพักเรื่องที่คุยเอาไว้เท่านี้ สั่งให้ชิงหลวนขึ้นสำรับ
มีเสียงดีใจของพระชายาฉีดังขึ้นมา “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ พวกเจ้าสองคนออกมาหน่อย” เห็นท่าทางแล้ว หญิงสาวทั้งเมืองน่าจะมากันหมดแล้ว
หวงฝู่อวี้เดินออกมา ตะโกนว่า “เสด็จแม่!”
พระชายาฉีชะงักไป “อวี้เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงได้อยู่ที่ห้องของพี่ใหญ่เจ้าล่ะ”
“พี่ใหญ่กับซ้อใหญ่ให้ข้ามากินข้าวด้วยขอรับ” หวงฝู่อวี้ตอบ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้นจึงเดินออกมา ทั้งสองส่งสายตาให้นาง พระชายาฉีกวักมือเรียกหวงฝู่อวี้บอกว่า “มาๆ อวี้เอ๋อร์ แม่จะไปดูสาวงามกับเจ้า ถ้าหากว่ามีคนไหนถูกใจเจ้า วันพรุ่งแม่จะกำหนดวันแต่งงานของเจ้าทันที”
หวงฝู่อวี้ตกใจจนถอยหลังกลับไป พูดด้วยความตระหนกว่า “เสด็จแม่ เมื่อครู่ข้าได้พูดกับซ้อใหญ่ไว้แล้ว ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับนางขอรับ”
พระชายาฉีจงใจดึงหน้าขรึม ทำเป็นไม่พอใจว่า “ซ้อใหญ่ของเจ้าตอนนี้กำลังท้องกำลังไส้ ไม่ควรคิดมาก อย่างไรให้แม่ช่วยเจ้าเลือกจะดีเสียกว่า”
หวงฝู่อี้อวี้ถอยหลังกลับไปอีก โบกมือบอกว่า “ไม่เป็นไรขอรับ เสด็จแม่ให้ซ้อใหญ่จัดการเถอะ ท่านร่างกายไม่แข็งแรง ตามหลักแล้วต้องพักผ่อนเยอะๆ ถึงจะถูก”
ขั้นนี้แล้ว ถ้าพูดมากไปกว่านี้ หวงฝู่อวี้จะทนไม่ได้จริงๆ เสียแล้ว ไม่แน่อาจจะคิดกลับก็ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหัวเราะออกมาว่า “เสด็จแม่ เรื่องงานแต่งงานของอวี้เอ๋อร์ให้ข้าจัดการเถอะเจ้าค่ะ ข้ารับรองว่าจะหาหญิงสาวที่ดีมาให้กับเขาอย่างแน่นอน”
พระชายาฉีทำเป็นถอยให้ “ก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็นั่งไปเถอะ แต่ว่า ห้ามเหนื่อยเกินไปเด็ดขาด ระวังเด็กในท้องของเจ้าด้วย”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ เสด็จแม่ ท่านโปรดวางใจ”
พระชายฉีพยักหน้า แล้วกำชับอีก แล้วจึงหันหลังเดินออกไป
หวงฝู่อวี้ถอนหายใจหนึ่งเฮือก
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็อดขำไม่ได้
กินข้าวเย็นเสร็จ ก็ถามเรื่องโรงงานกับหวงฝู่อวี้ คาดว่าได้เวลาแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาที่หน้าประตูจวน
ถึงแม้ว่าจะคาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้ว แต่ว่าเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ทั้งสองคนก็ตกใจเช่นกัน ถ้าไม่เป็นเพราะเมิ่งเชี่ยนโยวได้เตรียมการไว้แล้วโดยให้ทหารออกมาจัดระเบียบไว้แล้วล่ะก็ เกรงว่าประตูใหญ่ของจวนอ๋องจะโดนอัดจนพังเชียวล่ะ”
มองเข้าไปที่แถวสีดำอันเรียงราย หวงฝู่อี้เซวียนใช้กำลังภายใน พูดตะโกนออกมาให้กับสาวงามทั้งหลายฟัง “วันนี้ดึกแล้ว ทุกคนโปรดกลับไปก่อน วันพรุ่งเมื่อถึงเวลาค่อยมาใหม่”
มีเสียงของความผิดหวังส่งออกมาจากกลุ่มคน แต่ก็ไม่มีใครออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วว “ในเมื่อทุกท่านอยากที่จะเข้ามาในจวนอ๋อง สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือเคารพกฎของจวนอ๋อง พวกเจ้าดึงดันไม่ยอมไป อยากถูกตัดสิทธิ์อย่างนั้นรึ”
คำพูดของเขา ทำให้ผู้คนที่ต่อแถวอยู่หน้าประตูหายไปดั่งสายน้ำ
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นอีกครั้ง “ไม่ว่าใครก็ห้ามอยู่ที่หน้าประตูจวนทั้งนั้น ถ้าหากว่าตรวจพบตัดสิทธิ์ทันที”
ผู้คนยิ่งหายไปเร็วกว่าเดิม ไม่นาน ทุกคนก็หายไปจนหมด ไม่มีผู้ใดหลงเหลือ
ผู้ดูแลปาดเหงื่อที่หน้าผากตนเอง แล้วถามว่า “ซื่อจื่อ วันพรุ่งคนจะเยอะยิ่งกว่านี้อีก พวกเราจะรับมือเยี่ยงไรดีขอรับ”
“พวกเจ้าทำป้ายไว้ห้าสิบอัน วันพรุ่งก็แจกให้กับหญิงสาวห้าสิบคนแรก ส่วนคนที่มาทีหลัง ให้ทหารบอกให้พวกนางกลับไป รอให้วันต่อไปค่อยมาใหม่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ผู้ดูแลตอบรับ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่จวน
จวนอ๋องเงียบสงบ แต่ในเมืองกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ตระกูลขุนนางต่างๆ ที่มีลูกสาว ทุกบ้านล้วนคิดการณ์ใหญ่ ถึงแม้หวงฝู่อวี้คนนี้จะเป็นเพียงแค่ลูกของภรรยารองเท่านั้น แต่ฐานะในจวนอ๋องนั้นสูงส่ง ไม่เพียงแต่เป็นมิตรกับหวงฝู่อี้เซวียน กระทั่งฉู่เหวินเจี๋ยก็ดีกับเขา ให้เขามาเป็นลูกเขยตน ดูท่าแล้ว ถ้าหากว่าลูกสาวของตนแต่งออกไป บ้านของตนไม่เพียงแต่จะได้ดองญาติกับจวนอ๋องแล้ว ไม่แน่อาจจะได้คบค้าสมาคมกับจวนแม่ทัพได้อีกด้วย
หลินหันเยียนที่กำลังดื่มชาอยู่ได้ยินข่าวนี้เข้า ถ้วยชาในมือก็หล่นลงพื้น ตัวนางก็ชะงักไป
และฮ่องเต้ก็ได้ยินข่าวนี้แล้วเช่นกัน ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ทุบลงที่โต๊ะในห้องหนังสือ “ส่งราชโองการออกไป ให้อ๋องฉีเข้าวังมาเดี๋ยวนี้”
ตอนที่ 270 ถามย้ำ
หลังจากที่อ๋องฉีรับราชโองการแล้ว ก็จัดเสื้อใส่หมวกเรียบร้อย แล้วตามขันทีที่มาส่งราชโองการมาที่ห้องหนังสือ
ฟ้ามืดแล้ว ในห้องหนังสือจุดไฟสว่างไสว เมื่อเดินเข้าไป ท่านอ๋องฉีก็ได้เห็นใบหน้าของฮ่องเต้ที่เคร่งขรึมและมีน้ำเหงื่อไหลออกมาตลอดเวลาแสดงถึงความเกรี้ยวโกรธ ในใจก็เข้าใจ แต่ก็ทำเป็นมองไม่เห็น หลังจากที่ทำความเคารพฮ่องเต้เรียบร้อย ก็ไม่ได้พูดอะไร ยืนอยู่อีกฝั่ง
ฮ่องเต้ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ มีแต่เสียงกระดาษปลิวไปมา ที่อยู่ทางด้านหน้าของเขา “เจ้าเอาหน้าของราชสำนักไปไว้ไหนเสียหมด จวนอ๋องเอ๋ย เหตุใดทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้”
ท่านอ๋องฉีไม่พูดอะไร ทำเป็นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนอย่างไรอย่างนั้น
ฮ่องเต้โกรธเสียจนควันขึ้นหัว “เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าที่ข้าพูดมันไม่ถูกอย่างนั้นรึ”
ในที่สุดท่านอ๋องฉีก็เอ่ยปาก แต่ก็เกือบทำให้ฮ่องเต้ลุกเป็นไฟว่า “เสด็จพี่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความคิดของลูกสะใภ้ข้า ข้าก้าวก่ายไม่ได้”
ฮ่องเต้โกรธเสียจนเลือดขึ้นหน้า ยกมือขึ้น แล้วปัดหนังสือรายงานที่อยู่ตรงหน้ากระจุยกระจาย “สวะ คำพูดนี้เจ้ายังกล้าพูดออกมาได้”
อ๋องฉีหันข้าง แล้วหลบไป หนังสือรายงานร่วงหล่นลงพื้น ชะโงกไปดู แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร แล้วก็ไม่ได้ช่วยเขาเก็บด้วย
ฮ่องเต้โกรธจนมือไม้สั่นไปหมด หนังสือรายงานบนโต๊ะหนังสือต่างก็ถูกโยนไปที่อ๋องฉี
อ๋องฉีหลบไปหลีกมา ร่างกายไม่โดนหนังสือรายงานเลยสักนิด
ขันทีและบ่าวไพร่ในห้องหนังสือเห็นสถานการณ์น่าขันเช่นนี้ เลยไม่รู้ว่าจะขำหรือกลัวดี
หลังจากที่เอาหนังสือมาโยนจนหมด ฮ่องเต้ก็เหนื่อยจนหอบ แต่อ๋องฉีกลับมีท่าทางสบายๆ สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม แล้วเอ่ยปากว่า “เสด็จพี่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
ฮ่องเต้โกรธเสียจนเกือบยกโต๊ะ “เจ้าว่าสภาพข้าเยี่ยงนี้เรียกว่าดีหรือไม่”
ใครจะไปรู้อ๋องฉีก็พยักหน้า “พอหายโกรธแล้ว ก็ดีแล้ว อย่างน้อยๆ หน้าก็ไม่ได้ขรึมขนาดนั้นแล้ว”
“เจ้า…” มองซ้ายมองขวา ก็หาอะไรที่จับถนัดมือไม่ได้ ฮ่องเต้เลยออกคำสั่งว่า “เจ้ามานี่เดี๋ยวนี้นะ!”
อ๋องฉีก็กลับถอยไปหนึ่งก้าว ส่ายหน้า “เจ้าเห็นว่าข้าโง่หรือ ถ้าหากว่าข้าเข้าไป เจ้าก็จะตีข้าได้ง่ายน่ะสิ”
บ่าวไพร่และขันทีในวังต่างก็เอามือปิดปากกลั้นขำอยู่ เพื่อที่จะไม่ให้หัวเราะมีเสียงออกไป เดี๋ยวฮ่องเต้จะสั่งประหารเอา
ฮ่องเต้ชะงักไป เบิกตาโพรง แล้วมองไปที่อ๋องฉีอย่างประหลาดใจ ครู่หนึ่ง ยืนขึ้น แล้วเดินไปหาเขา
อ๋องฉียืนนิ่งไม่ขยับ
เดินมายืนที่ตรงหน้าเขา ฮ่องเต้เอามือออกมาจับไปที่หน้าของเขา ดึงหน้าของเขาออกมา แล้วถามเขาด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าไม่ได้โดนอะไรเข้าสิงมาใช่หรือไม่ เหตุใดวันนี้ถึงได้แปลกนัก”
อ๋องฉีโดนดึงจนเจ็บ หลังจากที่ปล่อยแล้ว ก็ถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว “เสด็จพี่คิดมากไปแล้ว หลายปีมานี้น้องใช้ชีวิตแบบโดนพันธนาการมาตลอด หลายวันที่ผ่านมาถึงพบว่า ทำตามใจตนเองแบบนี้มันก็ดีเหมือนกันพะยะค่ะ”
อยู่ดีๆ ฮ่องเต้ก็ฉุกคิดได้ถึงเรื่องที่เฮ่อจางเคยพูดเอาไว้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปีสาจ แล้วจึงพูดออกมาอย่างไม่คิดว่า “ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าองค์หญิงชิงเหอคนนั้นนั่นมีปัญหา พวกเจ้าไม่เชื่อ ตอนนี้ก็โดนนางครอบงำเข้าแล้วสิ”
สีหน้าของอ๋องฉีเปลี่ยนไป ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจว่า “เสด็จพี่ องค์หญิงชิงเหอเป็นซื่อจื่อเฟยของเซวียนเอ๋อร์ เป็นลูกสะใภ้ของข้า คำพูดเช่นนี้ของท่านวันหลังอย่าได้พูดอีก”
คำพูดที่ฮ่องเต้ได้พูดออกไป เขาก็รู้สึกผิดเช่นกัน ก็ตั้งแต่เรื่องนั้นเป็นต้นมา การปฎิบัติตนของอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ตอนนี้ตนยังพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเองอีก ก็ทำให้ตนเองอึดอัดอย่างไม่น่าแปลกใจ แต่เขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่ง ถึงแม้ว่าจะผิด แต่ก็ไม่ยอมที่จะเอ่ยปากรับผิด นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตน
ห้องหนังสือเงียบสงัด
เงียบจนน่ากลัว
สาวใช้และขันทีต่างก็ลุ้น
ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ถึงได้ถอนหายใจออกมาว่า “ข้ารู้ว่าตั้งแต่เรื่องนั้นมา พวกเจ้าก็ข้องใจกับข้ามาโดยตลอด แต่ว่า…”
“เสด็จพี่” อ๋องฉีพูดแทรกขึ้นมา “เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ขอให้ท่านอย่าพูดถึงอีกเลย ไม่ว่าจะว่าเช่นไร น้องและเซวียนเอ๋อร์จะช่วยท่านรักษาตำแหน่งและดูแลใต้หล้าของตระกูลหวงฝู่อย่างแน่นอน”
“ดี” ฮ่องเต้ก็ฮึกเหิมขึ้นมา ยืดหลังตรง “ข้ามีเรื่องสำคัญให้เจ้าทำ”
อ๋องฉีปฏิเสธทันควัน “เสด็จพี่ น้องไม่ว่าง”
ฮ่องเต้ก็ขำออกมา “ใครกันที่เมื่อครู่นี้รับปากข้าว่าจะช่วยข้ารักษาตำแหน่งและดูแลใต้หล้าของตระกูลหวงฝู่อย่างแน่นอน”
อ๋องฉีก็ทำตัวไม่มีเหตุผลทันที “น้องพูดเองนั้นไม่ผิด แต่ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ต้องให้น้องออกโรงหรอก น้องอายุก็ไม่น้อยแล้ว อยากจะมีความสุขสงบสักปีสองปี”
“ถ้าเจ้าพูดเช่นนี้ อายุของข้ามากกว่าเจ้าเสียอีก ควรลาตำแหน่งได้แล้วงั้นรึ” ฮ่องเต้ถามด้วยความทั้งโกรธทั้งขำ
“เสด็จพี่กับน้องไม่เหมือนกัน ถ้าหากว่าไม่มีเสด็จพี่ประเทศชาติบ้านเมืองจะไม่สงบสุข แต่ถ้าหากว่าไม่มีน้อง บ้านเมืองนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร”
“หยุดพูดเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนี้ได้แล้ว เจ้ากลับจวนไปเตรียมตัว วันพรุ่งจะต้องเดินทางไปที่หยางโจว เมื่อวานสำนักงานเขตหยางโจวมีรายงานมาว่า ทางนั้นมีการคดโกงกันเกิดขึ้น มีการเผาฆ่ายกเค้าโดยเฉพาะ เลวร้ายเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ตอนแรกข้าจะสั่งให้เซวียนเอ๋อร์ไปจัดการ แต่ตอนนี้เมียของเขากำลังตั้งครรภ์ เขาไปไม่ได้อย่างแน่นอน เจ้าก็ไปแทนเขาแล้วกัน” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
“เสด็จพี่ น้องก็ไปไม่ได้” อ๋องฉีปฏิเสธ
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงไปไม่ได้”
“ลูกสะใภ้ของน้องกำลังท้อง เซวียนเอ๋อร์กำลังดูแลนาง เรื่องน้อยใหญ่ในจวนต่างก็ต้องให้ข้าเป็นคนจัดการ”
ฮ่องเต้ชะงักไป
ผู้ดูแลในห้องหนังสือต่างก็เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ
ไม่นาน ฮ่องเต้ถึงจะพูดออกมาด้วยโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้ากล้าพูดอีกทีหรือไม่”
อ๋องฉีไม่ร้อนไม่หนาว แล้วพูดอีกรอบอย่างช้าๆ ว่า “ลูกสะใภ้ของน้องกำลังตั้งครรภ์ น้องไม่มีเวลาออกไปทำงานราชการ”
“เจ้า…” ฮ่องเต้ชี้หน้าเขา โกรธจนตัวสั่นไปหมด “ไอเจ้าไร้ประโยชน์ นี่เป็นคำพูดที่เจ้าควรพูดงั้นหรือ วันพรุ่งเจ้าจะต้องไปหยางโจวให้ข้า ถ้าหากว่าจับพวกคนเลวเหล่านั้นไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับมา”
อ๋องฉีโค้งตัวคำนับฮ่องเต้ “เสด็จพี่ ขออภัยที่ข้าไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ ขอท่านส่งคนอื่นไปแทนเถิด”
ฮ่องเต้หรี่ตามองด้วยความไม่พอใจอย่างมาก แล้วพูดด้วยเสียงเข้มว่า “เจ้ากล้าขัดคำสั่งงั้นรึ”
อ๋องฉีก็พยักหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สา “กล้า ฮ่องเต้จะตัดหัวข้าอย่างนั้นหรือ”
ฮ่องเต้หยุดชะงักไปกับคำพูดของเขา แล้วชี้ไปที่ประตูห้องหนังสือ “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
“น้อมรับราชโองการฮ่องเต้ น้องจะออกไปเดี๋ยวนี้ ต่อไปนี้ก็จะไม่มาให้ท่านเห็นหน้าอีก” พูดจบ ก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วจริงๆ แล้วหายไปจากห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้ก็ชะงักไปอีกครั้ง สักพักหนึ่งถึงมีเสียงโวยวายดังออกมาจากห้องหนังสือ “ถ้าเจ้าแน่จริงหลังจากนี้ก็อย่ามาประชุมราชสำนักอีก”
ใครจะไปรู้ว่าเมื่อพูดจบ ที่นึกว่าอ๋องฉีเดินออกไปแล้วแต่กลับปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือ “น้องกำลังจะพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าเสด็จพี่จะคิดแทนให้แล้ว น้องขอขอบพระคุณ นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปก็จะไม่มาประชุมอีกพะยะค่ะ”
พูดจบ ไม่ทันได้รอให้ฮ่องเต้ตอบสนองอย่างใด ก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าด้านหลังมีหมาไล่กัดอยู่อย่างนั้น
ฮ่องเต้โกรธจนตัวโยน ถึงจะรู้ตัวว่า ตอนนี้ตนติดกับของอ๋องฉีเข้าแล้ว เกรงว่าตอนที่เขาอนุญาตให้เมิ่งเชี่ยนโยวทำเรื่องแบบนี้ ก็คิดได้แล้วว่าตนจะเรียกเขา ดังนั้นจึงค่อยๆ หลอกให้ตนติดกับ ยังไม่ทันได้ออกแรงก็ได้สิ่งที่ต้องการไปเสียแล้ว
นวดไปที่ขมับที่แสนเจ็บปวด ฮ่องเต้จึงออกคำสั่ง “สั่งให้ไท่จื่อเข้าเฝ้า ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา”
ขันทีส่งมอบราชโองการตอบรับ แล้ววิ่งออกไป
ขันทีผู้ดูแลรีบสั่งให้คนที่ดูแลห้องหนังสือ เข้ามาเก็บกวาดห้องหนังสือให้เรียบร้อย แล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ฮ่องเต้ ท่านต้องการให้ข้านวดให้หรือไม่”
ฮ่องเต้โบกมือ “ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นอะไร”
อ๋องฉีเดินออกมาจากห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว ตรงหน้าก็เป็นประตูราชสำนักแล้ว ข้างหลังมีคนตะโกนเรียกเขาว่า “ท่านอ๋อง ช้าก่อน ไทเฮาเรียกท่านเข้าเฝ้า”
หยุดฝีเท้า แล้วถอนหายใจหนึ่งเฮือก อ๋องฉีหันหลังกลับ “กงกง รบกวนท่านกลับไปรายงานเสด็จแม่ด้วย บอกว่าวันนี้มืดแล้ว ไว้วันหลังข้ากับพระชายาจะเข้าไปเยี่ยมเยียนท่านใหม่”
ขันทีที่ตำหนักไทเฮาก็รีบเดินเข้าไปที่ด้านหน้าของเขา คำนับ “ข้าน้อยคำนับท่านอ๋อง” หลังจากนั้นก็พูดต่อ “ไทเฮามีรับสั่ง ถ้าหากว่าวันนี้ไม่ได้พบท่านอ๋อง นางจะนอนไม่หลับ อย่างไรก็ขอเชิญท่านอ๋องไปกับข้าเสียหน่อยเถิด”
ดูเหมือนว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็ต้องพบ อ๋องฉีทำอะไรไม่ได้ จึงเดินตามมาที่ตำหนักไทเฮา
ไทเฮาแต่งตัวเรียบร้อยนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ในห้อง สีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเขาเข้ามา ไม่รอให้เขาได้ทำความเคารพ ก็ถอนหายหนึ่งที “ถ้าหากว่าข้าไม่ส่งคนไปเรียกเจ้ามา เจ้าคงลืมไปสินะว่ายังมีแม่คนนี้อยู่”
อ๋องฉีโค้งคำนับลง “ท่านแม่ดุเกินไปแล้ว ลูกกลัวแล้วขอรับ”
แล้วถอนหายใจอีกหนึ่งครั้ง “กลัว ข้ากลับเห็นเจ้าได้ใจล่ะสิ ตอนนี้ที่จวนอ๋องมีทายาทแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วล่ะสิ”
อ๋องฉีตอบกลับอย่างระมัดระวังว่า “ที่จวนมีทายาทแล้ว ข้าต้องดีใจอย่างแน่นอน แต่ไม่ได้ส่งผลต่อความรักที่ลูกมีต่อเสด็จแม่ หลายวันมานี้ ในจวนมีแต่เรื่องให้ต้องจัดการเยอะสิ่งจริงๆ ลูกและพระชายาเลยไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนท่าน”
คำพูดนี้ทำให้ไทเฮาสบายใจขึ้นมาหน่อย สีหน้าก็คลายลงบ้างแล้ว น้ำเสียงก็ผ่อนลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้กลับมาเป็นปกติ “ข้าถามหน่อย เรื่องประกาศหาคู่ให้กับอวี้เอ๋อร์นี่ใครเป็นคนคิด คงไม่ใช่องค์หญิงชิงเหอคนนั้นนะ”
อ๋องฉีอ้าปากแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร นิสัยอของตนกับพระชายาฉีรวมไปถึงหวงฝู่อี้เซวียนนั้นไทเอาล้วนรู้ดีเป็นที่สุด ถ้าหากว่าโยนไปให้อวี้เอ๋อร์ ไม่แน่ไทเฮาอาจจะเรียกอวี้เอ๋อร์มาถามเรื่องราวก็เป็นได้ ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ใครสามารถรับได้อย่างแน่นอน
เห็นท่าทางของเขาแล้ว ไทเฮาจึงรู้ว่าตนเองนั้นทายถูกแล้ว พูดด้วยความโกรธว่า “ไร้สาระสิ้นดี พูดอีกอย่าง อวี้เอ๋อร์ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ นางทำเช่นนี้ก็เหมือนกันตบหน้าเชื้อพระวงศ์ชัดๆ”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร
ไทเฮาจึงโกรธมากกว่าเดิม ถามว่า “เจ้ากับเซวียนเอ๋อร์ก็ปล่อยให้นางทำเช่นนี้อย่างนั้นรึ”
ท่านอ๋องฉีแสดงดีหน้าทำอะไรไม่ถูก “ตอนนี้ภรรยาของเซวียนเอ๋อร์กำลังตั้งครรภ์ หมอหลวงเจียงบอกว่าดูเหมือนครรภ์ของนางจะไม่ค่อยแข็งแรง เซวียนเอ๋อร์เลยไม่กล้าที่จะยั่วโมโหนาง ลูกและพระชายายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”
“ไร้สาระ!” ไทเฮาดุว่า “ผู้หญิงในโลกนี้ใครตั้งครรภ์ไม่ได้บ้าง ตอนนี้คำพูดของนางยังมีน้ำหนักมากกว่าข้า หรือว่าต่อไปนี้จวนอ๋องก็เป็นบ้านของนางอย่างนั้นหรือ”
อย่าพูดถึงภายหลังเลย ตอนนี้นางก็เป็นใหญ่ในจวนอ๋องอยู่แล้ว แน่นอน คำพูดนี้อ๋องฉีก็ได้แต่เถียงในใจ ไม่ได้พูดออกมา แล้วยังขอร้องแทนเมิ่งเชี่ยนโยวอีกด้วยว่า “เสด็จแม่ เรื่องภรรยาของเซวียนเอ๋อร์ท่านก็รู้ ถ้าหากว่าสวรรค์ไม่ปราณีล่ะก็ ตอนนี้ก็ไม่มีจวนอ๋องแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ ใครจะไปกล้าไปทำให้นางไม่พอใจกัน”
เรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยวไทเฮารู้ดีแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ตั้งครรภ์ ไทเฮาคิดว่าหมอหลวงเจียงตรวจผิด ตอนแรกที่ได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวท้องก็เรียกหมอหลวงเจียงมาสอบถามไปยกใหญ่ หมอหลวงเจียงก็ยืนยัน ว่าตนเองไม่ได้ตรวจผิดอย่างแน่นอน กรณีของนางเช่นนี้ ช่างหาได้ยากมากเสียจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของอ๋องฉีแล้ว ไทเฮาจึงนิ่งไป แล้วถอนหายใจออกมา “แม่รู้ ว่าเจ้ากับพระชายาคาดหวังกับลูกมากขนาดไหน ตอนนี้ภรรยาของเซวียนเอ๋อร์ท้องแล้ว พวกเจ้าต้องดีใจเป็นธรรมดา แต่ว่า พวกเจ้าตามใจนางแบบนี้ไม่ได้ นางเกิดจากครอบครัวชาวนา มารยาทกฏเกณฑ์ต่างๆนางไม่เข้าใจ พวกเจ้าห้ามไปทำเรื่องไร้สาระกับนาง หลังจากกลับไป ก็เอาประกาศนี้ออกเสีย เรื่องงานแต่งงานของอวี้เอ๋อร์ พวกเจ้าไม่ต้องกังวล เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
ประกาศติดออกไปหลายชั่วยามแล้ว คนที่มาตากประกาศก็เต็มหน้าประตูจวนอ๋องไปหมด จุดประสงค์ของเมิ่งเชี่ยนโยวได้บรรลุแล้ว ประกาศนั้นจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ต่อให้ไทเฮาไม่พูด เขาก็จะสั่งให้คนไปเอาออกอยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นจึงตอบรับ “ลูกน้อมรับคำสั่ง เมื่อกลับไปจะส่งคนไปเอาประกาศออก”
ไทเฮาพยักหน้าอย่างพอใจ “ทำแบบนี้ดีที่สุด นอกจากนี้ เจ้ากลับไปก็บอกกับเซวียนเอ๋อร์ด้วยว่า ถึงแม้ว่าภรรยาของเขาจะตั้งครรภ์ แต่เขาก็ไม่ควรที่จะตามใจเกินไป ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมที่จะสั่งสอน ข้าจะส่งคุณครูไปสอนนางเอง”
ครูสอนของพระราชวังโด่งดังในเรื่องของความเข้มงวด ถ้าหากว่าให้พวกเขาไปที่จวนอ๋อง เกรงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไล่พวกเขากลับวังอย่างแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนั้นยิ่งตบหน้าไทเฮาเข้าไปใหญ่ อ๋องฉีจึงตอบรับอย่างรวดเร็วว่า “ลูกทราบแล้วขอรับ กลับไปเมื่อใดจะเตือนเขาในทันที”
ตอนที่ 271 การช่วยเหลืออีกวิธีหนึ่ง
“แล้วก็ เจ้าบอกเซวียนเอ๋อร์ด้วยว่า ให้เขาเข้าวังมาหาข้าด้วย ต่อให้เขาไม่พอใจในข้าก็ตามแต่ เขาก็เป็นหลานของข้า จะไม่เข้าวังทั้งชีวิตเป็นไม่ได้หรอก” ไทเฮาพูดอีก
อ๋องฉีรีบอธิบาย “เสด็จแม่ขอรับ เซวียนเอ๋อร์ไม่ได้จะไม่เข้ามาเยี่ยมเยียนท่าน แต่เป็นเพราะว่าช่วงนี้มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย รอให้…”
ไทเฮาโบกมือ ขัดเขาที่กำลังพูดอยู่ “เจ้าไม่ต้องพูดมาก แม่ไม่ได้โง่แต่อย่างใด ที่เขาไม่เข้าวังมา ในใจข้ารู้ดี เจ้าก็แค่เอาคำพูดของข้าไปบอกเขา ข้าก็แค่อยากรู้ว่าในใจของเขายังมีข้าผู้เป็นย่าอยู่บ้างหรือไม่”
อ๋องฉีไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก จึงตอบรับ
ไทเฮาพูดต่ออีกว่า “ตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว แม่เหนื่อยแล้ว เจ้ารีบกลับไปเถอะ”
อ๋องฉีตอบรับ โค้งคำนับแล้วถอยออกไป
เห็นเขาเดินออกไป ไทเฮาก็ถอนหายใจ ถามมอมอผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้าว่าข้าทำผิดหรือไม่ ทุกวันนี้จิ้งเอ๋อร์และเซวียนเอ๋อร์ต่างก็ห่างเหินจากข้าไปมาก”
มอมอตอบว่า “ไทเฮาทำเพื่อพวกเขา ตอนนี้ซื่อจื่อยังไม่เข้าใจถึงความห่วงใยของท่านเจ้าค่ะ รอให้เขามีลูก เป็นพ่อของคนเมื่อใด ก็จะเข้าใจทุกอย่างเองเจ้าค่ะ”
แล้วก็ถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก ไทเฮาตรัสว่า “ขอให้เป็นอย่างนั้นทีเถิด”
ออกจากประตูวังมา อ๋องฉีหยุดเดิน หันหลังมองไปที่ประตูเมืองที่สูงสง่า แต่ก่อนก็รู้สึกอยู่เสมอว่าข้างในนี้คือบ้านของตน มีแม่ที่ตนรักมีเสด็จพี่ที่คอยปกป้อง แต่วันนี้กลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ด้านในกำแพงนี้ห่างเหินจากตนไปมากเสียเหลือเกิน ในนี้ไม่มีแล้วความอบอุ่นที่เคยมี ตนเองก็ไม่มีความอยากกลับบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ขึ้นหลังม้า ฟาดแซ่ลงไปหนึ่งที ม้าก็วิ่งมุ่งหน้าไปที่จวนอ๋องอย่างรวดเร็ว
นอกประตูจวน พระชายาฉียืนอยู่ตรงนั้นด้วยความลนลาน เมื่อเห็นว่าเขากลับมา ก็ออกไปต้อนรับด้วยความปีติ “ท่านกลับมาแล้วหรือ”
นี่สิเป็นบ้านของตัวเอง เป็นคนที่ร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกัน ไม่ว่าเวลาใดก็อยู่ข้างข้ามาเสมอ อ๋องฉีลงจากม้า เก็บความรู้สึกซาบซึ้งนั้นเข้าไป แล้วอธิบายว่า “ไม่ได้เข้าวังนาน คิดถึงเสด็จแม่มาก วันนี้เลยไปคุยกับนางเสียหน่อย”
พระชายาฉีชะงักไป หัวเราะออกมาว่า “วันนี้ข้าได้พูดกับเซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์ ว่ารออีกไม่กี่วันโยวเอ๋อร์แข็งแรงดีแล้ว ก็จะพาทั้งสองคนเข้าวังไปกล่าวทักทายเสด็จแม่เช่นกันเพคะ”
“อืม” เบาๆ แล้วจูงมือพระชายาฉีเดินเข้าจวนไป
ในจวนสว่างไสว กิริยาของทั้งสองคน คนในจวนล้วนรู้เห็น พระชายาฉีเขินอายจนหน้าแดงเป็นอย่างมาก อยากจะเอามือออกจากมือขออ๋องฉี
แต่ว่าอ๋องฉีจับไว้แน่นมาก ต่อให้นางใช้กำลังแค่ไหนก็เอาออกมาไม่ได้
ทั้งสองคนเดินมาที่เรือนของพระชายาฉี หลิงหลงที่กำลังแอบยิ้มอยู่ก็ใช้สายตาออกคำสั่งไปที่แม่บ้านทั้งสามคนให้ไปเตรียมน้ำร้อน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินว่าอ๋องฉีกลับมาแล้ว ก็ถอนหายใจพร้อมๆ กัน จัดการเก็บของให้เรียบร้อย แล้วเตรียมตัวพักผ่อน แต่กลับได้ยินเสียงทะเลาะกันดังมากจากด้านนอก
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชะงักไป ใครกันบังอาจหาญกล้ามาก่อกวนจวนอ๋องในเวลาเช่นนี้
หวงฝู่อี้เซวียนเดาได้แล้วว่าเป็นใคร พยุงเมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาที่ประตู แล้วถามด้วยควาไม่พอใจว่า “ดึกป่านนี้แล้ว ยังจะเป็นบ้าอะไรอีก”
เสียงทะเลาะกันไม่หยุด หวงฝู่ซวิ่นยิ้มแล้วเดินเข้ามาที่ด้านใน “เมื่อครู่เสด็จพ่อเรียกให้ข้าเข้าวังโดยด่วน บอกให้ข้ารีบไปที่เจียงหนาน บอกให้ข้าไปจับโจรให้สิ้นซาก”
“แล้วไง” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม
“หลังจากนั้นข้าก็มาหาเจ้า น้องเซวียนคงไม่คิดที่จะไม่ช่วยข้าหรอกกระมัง”
“ทหาร ไปเชิญเสด็จพ่อและเสด็จแม่มา บอกว่าไท่จื่อบุกเข้ามาที่จวนอ๋อง เพื่อที่จะบังคับให้ลูกของเขาทิ้งเมียที่กำลังท้องอยู่แล้วไปเจียงหนานแทนเขา” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
ชิงหลวนตอบรับ แล้วไปรายงานอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่ซวิ่นพูดออกมาด้วยความไม่ยำเกรง “ข้าบังคับเจ้าที่ไหนกัน ข้ามาหารือกับเจ้ามิใช่หรือ พวกเราคุยกันดีๆ อย่าไปรบกวนเสด็จอาเลย”
“เจ้าบุกเข้ามาใสจวนอ๋องยามวิกาล ไม่ได้บังคับอย่างนั้นรึ ชิงหลวน รีบไป”
“ไม่ๆ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามายืมคนของเจ้าก็เท่านั้น” หวงฝู่ซวิ่นกลัวเสด็จอาหน้ายิ้มนี้มาตั้งแต่เด็ก รู้สึกเสมอว่าใบหน้าที่อบอุ่นของเขามีความน่ากลัวซ่อนอยู่ เช่นนี้ เขาผู้ที่ไม่ได้ลงมือมาหลายปี พอลงมือทีก็สามารถโค่นล้มเฮ่อจางได้ทั้งตระกูล เรื่องนี้ทำให้หวงฝู่ซวิ่นเลื่อมใสเขาเป็นอย่ามาก อย่าว่าแต่หาเรื่องเลย ขนาดเวลาอยู่ต่อหน้าเขายังมือเท้าสั่นไปทั้งตัว
เมื่อเห็นว่าเขาแก้ตัวเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มเยาะอยู่ในใจ ออกคำสั่งชิงหลวน “กลับมา!”
ชิงหลวนหยุด
หวงฝู่ซวิ่นเช็ดหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อ แล้วโบกมือออกคำสั่งกับทหารลับของตน “หยุดลงมือ”
เสียงทะเลาะกันหยุดลง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพยักหน้าเล็กน้อยให้กับหวงฝู่ซวิ่น “พี่ใหญ่ ขออภัยด้วยที่ข้าไม่สามารถทำความเคารพท่านได้”
“ไม่ต้องๆ ข้าไม่ได้เป็นคนอื่นที่ไหน อย่าได้เกรงใจ” หวงฝู่ซวิ่นพูด
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหน้าพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ ว่า “ข้ากับพี่ใหญ่จะไปห้องรับแขกครู่หนึ่ง เจ้าไปพักผ่อนก่อน ไม่ต้องรอข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพยักหน้าแล้วกลับไปที่ในห้อง
หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่ซวิ่นมาที่ห้องรับแขก ทั้งสองนั่งลง หวงฝู่ซวิ่นก็อดไม่ได้แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่า โจรที่เจียงหนานแยบยลยิ่งนัก ไม่ใช่โจรธรรมดา…”
หวงฝู่อี้ซวียนโบกมือขัดเขา แล้วถามว่า “พี่ใหญ่อยากไปหรือไม่”
หวงฝู่ซวิ่นละงักไป แล้วจึงรู้สึกตัวได้ พูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำว่า “ไม่อยากไปแน่นอน แต่ว่าเสด็จพ่อออกคำสั่งแล้ว ข้า…” ยังไม่ทันพูดจบ เขากรีดร้องออกมาเสียงดัง ดังออกไปไกลจากจวนอ๋องเป็นอย่างมาก คนในจวนต่างก็ตำใจขวัญผวากันไปหมดเพราะเสียงนี้ โดยเฉพาะหวงฝู่อวี้ ตกใจจนลุกตื่นขึ้นมา ออกคำสั่งทันที “รีบไปดูเร็วเข้า ในจวนเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ทหารลับของหวงฝู่ซวิ่นฟังออกว่าเป็นเสียงของเขา เลยบุกเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าที่ซีดหม่น เห็นหวงฝู่ซวิ่นสีหน้าซีด กอดหัวเข่าของตนเองอยู่ เจ็บเสียจนเหงื่อออกเต็มไปหมด ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนกลับนั่งหน้าตาเฉย
“ไท่จื่อ” ทหารลับร้องเรียกด้วยความตกใจ พาทุกคนเข้ามา แล้วล้อมหวงฝู่อี้เซวียนเอาไว้
หวงฝู่ซวิ่นเจ็บจนพูดไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่งด้วยสีหน้าเดิมว่า “ในระหว่าที่พี่ใหญ่เดินทางกลับตงกงเกิดหกล้ม หัวเข่าได้รับบาดเจ็บ ขนาดเดินยังเดินไม่ได้ เจียงหนานจึงไปไม่ได้ อย่างไรเสียก็ต้องขอให้เสด็จลุงส่งคนอื่นไปแทน”
หวงฝู่ซวิ่นรู้ในทันทีว่าเขากำลังช่วยตนอยู่ กัดฟัน แล้วถามด้วยความเจ็บปวด “เจ้าจะลงมือทำไมไม่ลงมือเบาๆ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
“ถ้าหากว่าไม่ลงมือหนักๆ วันพรุ่ง หัวเข่าของพี่ใหญ่ก็กลับมาเป็นปกติแล้ว แล้วจะปิดบังเสด็จลุงได้อย่างไร ไม่เพียงเท่านี้ เจ้ากลับจวนไปยังไม่สามารถรักษาได้อีก ก็รอให้มันปวดไปสักสองสามวัน ให้มันหายเองก็ได้ วางใจเถิด ข้าจัดการกำลังของข้าได้ดีเยี่ยม ท่านจะไม่หลงเหลือผลข้างเคียงใดๆ”
หัวเข่าปวดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องพูดเลย หวงฝู่ซวิ่นก็รู้ว่าหัวเข่าของตนนั้นช้ำจนไม่ไหว ฝืนทนเจ็บ แล้วหวงฝู่ซวิ่นก็ถามทีละคำสองคำว่า “เจ้าคนอัมหิต เจ้าแน่ใจหรือว่าช่วยข้า หรือว่าอาศัยจังหวะจัดการข้ากันแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้า แล้วยอมรับด้วยใจจริงว่า “ข้าจัดการท่าน ใครใช้ให้มารบกวนเวลาพักผ่อนของโยวเอ๋อร์เล่า”
หวงฝูซวิ่นโกรธเสียจนลืมความเจ็บปวดของหัวเข่าไปเลย แล้วด่าว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเร่งรีบอะไร ข้าถึงมาหาเจ้าเพื่อปรึกษาอย่างนั้นรึ แต่เจ้ากลับลงมืออย่างหนักกับข้า อย่าลืมสิว่าข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า พี่ใหญ่น่ะ!”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้ารู้ มิเช่นนั้นข้าก็จะเตะให้กระดูกมันแตกละเอียดไปเสียเลย อย่าหวังเลยว่าเขาจะเดินได้อีก”
หวงฝู่ซวิ่นอ้าปาก เบิกตาโพรง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้สึกว่าไม่เพียงแต่หัวเข่าเจ็บกว่าเดิม หัวก็ปวดหนักขึ้นไปอีก แล้วจึงโบกมือ ออกคำสั่งกับทหารลับ “กลับวัง!”
หัวหน้าทหารลับหันหลัง แล้วเดินไปที่ตรงหน้าเขา นั่งคุกเข่าลง ให้หวงฝูซวิ่นขี่หลังของเขา แล้วเดินออกไป
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังตามมาทางด้านหลัง “พี่ใหญ่ ทางที่ดีรอให้วันพรุ่งก่อนค่อยหาหมอ เดี๋ยวจะไม่สมจริง”
หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนไม่ได้ตอบกลับอะไร
คนกลุ่มหนึ่งก็ได้ออกเดินออกไปจากจวนอ๋อง
มุมปากของหวงฝูอี้เซวียนก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ยินเสียงร้อยเรียกนั้นด้วยเช่นกัน รอให้หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาที่ห้อง ก็หัวเราะแล้วถามว่า “เจ้าลงมือหนักเกินไปแล้ว ดูท่าแล้วต้องรอสักสิบวันครึ่งเดือนเขาถึงจะหาย”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มออกมา “แบบนี้ดีแล้ว หลายวันนี้จะได้ไม่มาก่อกวนอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วส่ายหน้า
ในสามวันต่อมา หน้าประตูจวนอ๋องจะมีคนมารอต่อแถวเต็มไปหมดในทุกๆ วัน ผู้ดูแลทำตามคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยวโดยการแจกป้ายลำดับเลขให้กับหญิงสาวที่มา แล้วจัดคนมานำพวกนางเข้าทางประตูด้านข้างของจวน ให้ “หวงฝู่อวี้” ดู แท้จริงแล้วก็คือให้หญิงสาวเหล่านี้เดินไปที่พื้นที่ไกลๆ ของจวนอ๋องหนึ่งรอบแล้วก็ออกมา แล้วพวกนางก็คิดตลอดเวลาว่า อยากจะแต่งงานกับองค์ชายรองหวงฝู่อวี้ ซึ่งตอนนี้กำลังนอนอยู่ที่เตียงของตนเองอย่างสง่าสงาม
ผ่านไปสามวัน หญิงสาวที่มาสมัครนั้นลดน้อยลง แต่รถม้าด้านหน้าจวนอ๋องกลับเยอะขึ้น ล้วนเป็นฮูหยินของตระกูลขุนนางต่างๆ ที่มีลูกสาว มาในนามของการอวยพรที่เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งครรภ์ เลยพาลูกๆ มาดูด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังตั้งครรภ์ เรื่องแบบนี้ไม่สามารถให้นางจัดการได้ พระชายาฉีจึงออกหน้า ต้อนรับฮูหยินและคุณทั้งหลายที่มาแทน
ฮูหยินเหล่านี้ก็ดีใจเข้าไปใหญ่ ในขณะที่พวกนางกำลังร่ำไห้บอกว่าทำอย่างไรถึงจะได้พบพระชายาฉี ตอนนี้ถือเป็นการณ์ดี ได้พบเสียเลย ในขณะที่กำลังดีใจ ก็ไม่ลืมที่จะชมลูกสาวของตนเอง
พระชายาฉีก็พยักหน้ายิ้มตามๆ กันไป ชมหญิงสาวเหล่านั้นว่าดี ทำให้ฮูหยินและคุณหนูแต่ละตระกูลต่างก็ดีใจเป็นอย่างมาก
แต่ว่า พระชายาฉีก็ได้เห็นว่ามีหญิงสาวที่รูปงามสะสวยใช้ได้อยู่ไม่กี่คน รอให้ทุกคนไป ก็เดินไปที่ห้องของหวงฝู่อวี้ “อวี้เอ๋อร์ แม่เลือกสาวงามให้เจ้าแล้วหลายคน รอให้ข้าดูดวงให้พวกเจ้าเสียก่อนว่าเข้ากันได้หรือไม่ ค่อยเตรียมการไปขอแต่งงาน”
ท่าทางของหวงฝูอวี้บอกไม่ถูกว่าจะเสียใจหรือดีใจดี “เสด็จแม่เห็นอย่างไรก็ตามนั้นเลยขอรับ อวี้เอ๋อร์ไม่มีความเห็น”
พระชายาฉีนั่งบนเก้าอี้ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “อวี้เอ๋อร์ลูกแม่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของแม่ แต่ว่แม่เห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ถ้าหากว่าเจ้ามีหญิงสาวที่ชอบพอกันล่ะก็ ขอให้บอกแม่ ไม่ว่าวิธีใดก็ตามแม่ก็จะไปสู่ขอมาให้เจ้าจงได้”
หวงฝู่อวี้ยิ้มแล้วส่ายหน้า “เสด็จแม่ขอรับ ลูกไม่มีหญิงสาวที่ชอบ ทุกอย่างต้องรบกวนเสด็จแม่แล้ว”
“เจ้าลูกคนนี้ กับแม่ยังจะเกรงใจอะไรอีก ถ้าหากว่าไม่มี แม่ก็จะจัดการเตรียมแล้วนะ”
เมื่อส่งพระชายาฉีเสร็จ หวงฝู่อวี้เศร้าใจเดินกลับไปที่จวนของตน นอนอยู่บนเตียง นอนมองที่เพดาน ในสมองคิดถึงแต่คำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวที่พูดออกมาอย่าง “ไม่ระมัดระวัง” ว่า “วันนี้ข้าได้ยินฮูหยินที่มาบอกว่า คุณหนูหลินของตระกูลหลินนั้นได้แต่งงานกับตระกูลบ้านนอกคนหนึ่ง ฮูหยินราชเลขาใจร้ายเป็นที่สุด มีลูกสาวแค่คนเดียวยังจะแต่งออกไปอีก”
แล้วก็คิดถึงตอนที่หลินหันเยียนมาหาตนตอนนั้น ตอนนั้นนางก็น่าจะเศร้าโศกอยู่เช่นกัน มีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับตน แต่ตนก็ตัดใจปฏิเสธนางไป ไม่รู้ว่านางกลับไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าผอมลงไปกว่าเดิมหรือไม่
เมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังคิดอันใดอยู่ ก็ส่ายหน้า เอาความคิดของตนที่มีอยู่ในหัวสมองสลัดออกไป แล้วพูดพึมพำว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร นับแต่นี้ต่อไปก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว”
พระชายาฉีเดินออกมาจากห้องของหวงฝู่อวี้ ไปที่จวนของหวงฝู่อี้เซวียน บอกกับทั้งสองคนว่า “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ พวกเจ้าเห็นว่าเรื่องนี้จะได้ผลหรือไม่ อย่าให้ที่พวกเราทำไปทั้งหมดนี้ เมื่อถึงเวลาเยียนเอ๋อร์ไปแต่งกับคนอื่นเอาแล้วจะเสียเปล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “เสด็จแม่วางใจเถิด ทุกอย่างอยู่ในกำมือของพวกเรา”
*****
ณ จวนราชเลขา
แม่บ้านของหลินหันเยียนเดินเข้ามาในจวนอย่างเร่งรีบ แล้วรายงานข้างหูของนางว่า “คุณหนู วันนี้องค์ชายรองไม่ได้ไปที่โรงงาน จดหมายที่ท่านเขียนให้เขาไม่มีทางถึงมือเขาแน่นอน”
ตั้งแต่ได้ยินว่าจวนอ๋องฉีแปะป้ายประกาศหาคู่ในวันนั้น หลินหันเยียนก็นั่งไม่ติดกับที่ จึงส่งแม่บ้านคนสนิทไปดักรอที่หน้าประตูโรงงานในทุกๆ วัน เพื่อที่จะเชิญหวงฝู่อวี้มาพูดคุยด้วย แต่ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ อย่าว่าแต่ไปโรงงานเลย ขนาดจวนอ๋องยังไม่ได้ออกมาเลย แม่บ้านไม่สามารถได้พบเขาอย่างแน่นอน เห็นว่าใกล้วันที่ท่านแม่เชิญองค์ชายคนนั้นเข้าเมืองหลวงมาทุกที หลินหันเยียนเลยใจร้อนเข้าไปใหญ่
แม่บ้านอีกคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา แล้วพูดด้วยความร้อนรนว่า “คุณหนูเจ้าคะ แย่แล้ว องค์ชายคนนั้นระหว่างทางที่มาเมืองหลวงเจอกับพวกโจรเข้า เลยหายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น