ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 266-267
ตอนที่ 266 กลับบ้านแม่สามวัน
ไม่นานก็มาถึงวันที่สาม เป็นวันที่ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้าน
เช้าตรู่ หวงฝู่อี้เซวียนก็ตื่นแล้ว กลัวว่าจะไปรบกวนเมิ่งเชี่ยนโยว จึงเดินลงจากเตียงอย่างเบาๆ ออกมาที่ด้านนอก สิ่งแรกคือสั่งให้โจวอานเรียกตัวผู้ดูแลมา หลังจากนั้นก็เดินไปที่ห้องครัว ต้มข้าวต้ม จัดเตรียมสำรับ
ท่าทางของทุกคนระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่มีเสียงอันใดเลยสักนิด
ผู้ดูแลตามโจวอานมาอย่างเงียบๆ เดินไปที่ประตูห้องครัว แล้วพูดทำความเคารพว่า “ซื่อจื่อ”
ทำสัญลักษณ์ให้เขาเดินเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างเบาๆ ว่า “สิ่งของที่เตรียมเอาไว้เพื่อกลับบ้านเตรียมไปถึงไหนแล้ว”
คิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะถามเรื่องนี้ ผู้ดูแลเลยเอาใบจดบันทึกออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้เขาอย่างนอบน้อม “นี่เป็นใบจดบันทึกรายการของขวัญ ท่านดูเถิด ถ้าหากว่าต้องการอะไรเพิ่มเติม ข้าน้อยจะไปหามาให้”
รับใบจดรายการมา ก็รีบดูอย่างรวดเร็ว พยักหน้าอย่างพอใจ “ไปเตรียมให้เรียบร้อย รอให้พระชายาซื่อจื่อกินข้าวเสร็จพวกเราก็จะเริ่มออกเดินทาง”
ผู้ดูแลโค้งคำนับและตอบรับ แล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ
อาจจะเพราะได้กลิ่นกับข้าว หวงฝู่อี้เซวียนทำสำรับเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตื่นพอดี
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวมาจากในห้อง และทำท่าทางห้ามชิงหลวนไม่ให้เข้าไปดูแล หวงฝู่อี้เซวียนยกสำรับกับข้าวเดินเข้าไปที่ด้านในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบลุกขึ้นมาแต่งตัว หลังจากที่ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็เริ่มกินข้าว
หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังคงมองนางด้วยสีหน้าที่น่าพอใจ
หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ ทั้งสองคนเก็บของเรียบร้อย จึงไปที่ตำหนักของพระชายาฉีเพื่อบอกกล่าวให้เรียบร้อย แล้วนำของขวัญที่เตรียมไว้แล้ว นั่งรถม้ามาที่หนานเฉิง
เมิ่งชื่อและซุนเชี่ยนมารออยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นมีรถม้าเดินทางเข้ามา รถยังไม่ทันหยุด ก็เดินไปต้อนรับโดยทันที
หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากรถ เมื่อเห็นเมิ่งชื่อ ก็เดินเข้าไปหานางด้วยความคิดถึง แล้วกอดเข้าไปที่แขนของเมิ่งชื่อบอกว่า “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”
“เบาๆ หน่อย” แม่เมิ่งชื่อกลับให้ความสนใจที่ท้องของนาง เห็นนางเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ ก็ตกใจจนรีบบอกนางว่า “เจ้าเพิ่งจะตั้งท้อง ครรภ์ยังสมบูรณ์ อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างนี้อีกเป็นอันขาด”
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร หนังของข้าแข็งแรงจะตาย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดล้อเล่น
เมิ่งชื่อมองจ้องไปที่นาง “อย่าลืมไปว่าเหตุใดเจ้ากับอี้เซวียนถึงใช้เวลาตั้งนานกว่าจะได้แต่งงานกัน ถ้าหากว่าเจ้าไม่ระมัดระวังล่ะก็ ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นล่ะก็ ต่อให้เสียใจแค่ไหนก็ไม่ทันแล้ว”
เรื่องอารมณ์แปรปรวนเป็นเวลาแปดเดือน เป็นเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวกังวลและรู้สึกผิดกับหวงฝู่อี้เซวียนและครอบครัวมาโดยตลอด ตอนนี้ได้ยินเมิ่งชื่อพูดขึ้นมา ก็เลยเปลี่ยนน้ำเสียง พูดดีด้วยว่า “ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว หลังจากนี้แม้ตอนข้าเดินข้าก็จะเดินเบาๆ จะไม่เดินเร็วๆ อีกแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อถึงได้พอใจ ทุกคนก็เดินเข้าไปที่ด้านในบ้าน
เมิ่งเอ้อร์อิ๋นและเมิ่งเสียน เมิ่งฉีก็ออกมาต้อนรับ หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนทักทายแต่ละคนเสร็จแล้ว แล้วจึงเดินเข้าไปที่จวนของสองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่
ทั้งสองคนตั้งหน้าตั้งตารอตั้งนานแล้ว เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปด้านใน เหล่าเมิ่งซื่อก็โบกมือทักทายนางโดยทันที “โยวเอ๋อร์ มาอยู่กับย่านี่มา มาให้ย่าดูสิ ว่าผอมไปหรือไม่”
ปล่อยมือจากเมิ่งชื่อ แล้วเดินไปที่ข้างๆ เหล่าเมิ่งซื่อ แล้วเรียก “ท่านย่า” แล้วนั่งไปที่ข้างๆ นาง
เหล่าเมิ่งซื่อก็ตอบรับอย่างดีใจว่า “แม่ของเจ้ากลับมา ก็บอกก่อนเลยว่าเจ้าตั้งครรภ์ ย่าดีใจที่สุดเลยล่ะ ถ้าหากไม่เป็นเพราะฐานะที่ไม่เหมาะสมล่ะก็ ย่าจะไปเยี่ยมเจ้าที่จวนอ๋องตั้งนานแล้ว”
“ท่านย่า ไม่มีอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ ถ้าหากว่าท่านอยากไป ก็ไปได้ตลอดเลยล่ะ”
เหล่าเมิ่งซื่อยิ้มแล้วลูบมือของนาง “ย่าน่ะ ไม่เคยออกไปด้านนอกเลย แค่เห็นขุนนางชั้นสูงก็ขาอ่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องยศสูงเสียขนาดนั้น ย่ายิ่งไม่กล้าไป”
ทุกคนเมื่อได้ยินก็หัวเราะ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านย่า อี้เซวียนก็เป็นขุนนางชั้นสูงนะ ไม่เห็นท่านกลัวเลย”
“นั่นไม่เหมือนกัน อี้เซวียนเป็นหลานของข้า เหตุใดข้าต้องกลัวด้วย”
“นั่นยิ่งแล้วใหญ่ ท่านก็คิดเสียว่าไปบ้านหลานแท้ๆ ของท่าน ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว”
อ่านนิยาย
เหล่าเมิ่งซื่อยิ้มแล้วโบกมือ “เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย ข้าไม่ได้ไม่รู้เรื่องราวอะไรเสียหน่อย ไม่ติดกับเจ้าหรอก ข้าไม่กล้าคิดเช่นนั้นหรอก”
ทุกคนก็หัวเราะ
หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่งให้โจวอานนำของขวัญที่เตรียมไว้เข้ามา แล้วมอบให้กับสองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ด้วยตนเอง
ทั้งสองคนดีใจจนแทบจะทนไม่ไหว
ทุกคนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง เมิ่งจงจวี่จึงบอกว่า “หลังจากวันนี้ที่พวกเจ้ากลับมา ก็ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้ากับย่าของเจ้าปรึกษากันแล้วว่า สองวันนี้ก็จะกลับแล้ว”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ!” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดคัดค้าน
“ไม่ได้ขอรับ!” หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดคัดค้านขึ้นมาเช่นกัน
ทั้งสองมองหน้ากัน เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “หลังจากที่ท่านปู่ ท่านย่ามา ก็มัวแต่ยุ่งแต่เรื่องงานแต่งของข้า แม้กระทั่งในเมืองก็ไม่ได้ออกเดินเล่นเลยสักนิด ตอนนี้กำลังดี ข้าก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่ต้องทำ ข้ากับหวงฝู่อี้เซวียนเลยจะพาท่านทั้งสองออกไปเดินดูรอบๆ”
“ไม่ได้ๆ !” เหล่าเมิ่งซื่อโบกมือแล้วปฎิเสธอย่างรวดเร็ว “ในเมืองมีแต่ชนชั้นสูง ได้ยินว่าถ้าหากว่าเดินไม่ระวังไปชนพวกเขาเข้า จะโดนตัดหัวเอา ย่าไม่ไปหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา
เมิ่งจงจวี่เอ่ยปากว่า “ได้มาเมืองหลวงที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้ก็ ปู่ก็พอใจมากแล้ว เรื่องเดินชมเมือง ก็ไม่เอาแล้วล่ะ”
“ในเมื่อเป็นเมืองหลวงที่ท่านใฝ่ฝัน ท่านก็ควรที่จะออกไปเดินดูเสียหน่อย อีกทั้ง บ้านหลังใหญ่ของพวกเราที่อยู่ที่ด้านนอกเมือง สวยงามหรูหราเป็นอย่างมาก ใหญ่กว่าหมู่บ้านของพวกเราเสียอีก ท่านไม่อยากไปดูอย่างเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
เหล่าเมิ่งซื่อเบิกตาโพรงขึ้นทันที แล้วถามด้วยความตกใจว่า “กว้างกว่าหมู่บ้านของพวกเราอีกงั้นรึ”
“อื้ม!” เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“อย่างนั้นย่าอยากจะไปดูเสียจริงๆ แล้วล่ะ” เหล่าเมิ่งซื่อพูด พูดจบ ก็มองไปที่เมิ่งจงจวี่ด้วยความคาดหวัง
เมิ่งจงจวี่ก็ยังคงความกังวลอยู่
หวงฝู่อี้เซวียนจึงเพิ่มเชื้อไฟลงไปอีก “ท่านปู่ วันพรุ่งข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จลุง ให้เจี๋ยเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์ไปเรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจี้ยน ท่านไม่อยู่ที่นี่ รอให้พวกเขาเข้าโรงเรียนก่อนแล้วค่อยกลับอย่างนั้นหรือ”
เข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนได้ สำหรับคนบ้านนอกแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่เกินฝันเสียจริงๆ หรือก็เป็นเกียรติมากเช่นกัน ได้ยินเช่นนี้เมิ่งจงจวี่ก็ซาบซึ้งเป็นอย่างมาก และแล้วความคาดหวังก็เอาชนะความกังวลได้ พยักหน้า แล้วตอบรับ “ได้ ข้าจะรอให้เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนก่อนค่อยกลับ”
เมื่อทุกคนได้ยินก็สบายใจ
เมื่อคืนเมิ่งจงจวี่พูดกับทุกคนไว้แล้วว่า อีกไม่กี่วันก็จะกลับบ้านนอก ทุกคนต่างก็ไม่เห็นด้วย ตอนมาก็มาแบบเร่งรีบ เมื่อมาถึงก็เอาแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานของเมิ่งเชี่ยนโยว หลายวันที่ผ่านมาเหนื่อยจะแย่ คนแก่ทั้งสองคนต่างก็เป็นกังวลมิใช่น้อย ไม่มีเวลาพักผ่อนเลยสักนิด พวกเขาต่างก็หวังว่าทั้งสองจะอยู่พักสักสิบวันครึ่งเดือน พักหายเหนื่อยแล้วค่อยกลับบ้าน แต่ทั้งสองคนกลับดึงดันไม่ยอมท่าเดียว ในขณะที่ทุกคนกำลังเศร้าใจ แต่ตอนนี้ดีแล้ว ที่คนแก่ทั้งสองคนได้อยู่ที่นี่ต่อ
เจาเอ๋อร์ หงเอ๋อร์กับเซิ่งเอ๋อร์รวมไปถึงเมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ดีใจยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องของสองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ เห็นนางเดินออกมาจากด้านใน ก็ดีใจเดินไปล้อมนางเอาไว้ บางคนก็เรียกว่าพี่สาว บางคนเรียกว่าท่านป้า คึกคักเชียวล่ะ
เมิ่งชื่อและทุกคนได้เห็นภาพนี้ก็มีความสุขเป็นที่สุด
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้โจวอานนำของขวัญที่เตรียมมามามอบให้กับเด็กๆ
คลิก
เจาเอ๋อร์ หงเอ๋อร์และเซิ่งเอ๋อร์ได้รับของขวัญแล้ว ก็ดีใจเป็นอย่างมาก หยิบขึ้นมามองซ้ายมองขวา แล้วหวงเป็นที่สุด
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือให้กับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง ทั้งสองคนเดินมาที่ด้านหน้า แล้วตะโกนเรียกด้วยความดีใจว่า “พี่อี้เซวียน”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าได้พูดกับท่านปู่ไว้แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะส่งพวกเจ้าไปเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน แต่ว่า ก่อนหน้าที่จะเข้าเรียนมีแบบทดสอบอันหนึ่ง ให้พวกเจ้าเตรียมใจไว้ก่อน ข้าจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟังให้พวกเจ้าฟัง ถ้าหากว่าไม่ผ่านแบบทดสอบ ข้าก็จะไม่ไปขอร้องให้พวกเจ้าหรอกนะ”
ทั้งสองคนดีใจจนแทบกระโดด โดยเฉพาะเมิ่งชิง ถามราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน “จริงหรือ พี่อี้เซวียน พวกเราสามารถเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้อ่อนข้อ พูดว่า “ผ่านแบบทดสอบก่อนถึงจะได้”
เมิ่งชิงทุบลงที่อกตนเอง “ท่านวางใจเถิด พวกเราสองพี่น้องจะต้องทำได้แน่นอน” หลังจากนั้นจึงถามว่า “ข้าได้ยินว่าในกั๋วจื่อเจี้ยนมีวิชาให้เรียนเยอะแยะไปหมด ถึงเวลานั้นข้าสามารถเลือกตามใจชอบได้เลยหรือไม่”
“การเรียนคือที่หนึ่ง ส่วนเรื่องอื่น ที่เจ้าสนใจก็สามารถเรียนได้”
“ดีเลย” เมิ่งชิงดีใจมาก “ข้าอยากเรียนขี่ม้ายิงธนู ข้าอยากเรียนสายบู๊”
เมิ่งเจี๋ยทำเพียงแค่เม้มปากยืนอยู่กับที่
ลูกสาวที่กลับบ้านแม่มาจะต้องค้างที่บ้านแม่ หลังจากที่อยู่ที่บ้านเมิ่งมาแล้วหนึ่งวัน กินข้าวเย็นเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนกลับเศร้าใจบอกว่า ไม่รู้ว่าท่านแม่จะเหมือนเสด็จแม่ของข้าหรือไม่ อย่างไรเสียก็ต้องให้ตนกับโยวเอ๋อร์แยกกันอยู่
เมิ่งเสียนที่นั่งคุยเป็นเพื่อนเขาอยู่ตลอดนั้นก็เห็นถึงความกลัดกลุ้มของเขา ลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ด้านหน้าของเขา แล้วลูบไปที่หัวไหล่ของเขา “วางใจเถอะ มีพ่ออยู่ แม่จะไม่รบกวนพวกเจ้าหรอก”
ถึงอย่างนั้น ตอนดึก เมิ่งชื่อก็ไม่ได้พูดว่าจะให้ทั้งสองคนแยกกันนอน หวงฝู่อี้เซวียนดีใจเป็นที่สุด อ้างว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเหนื่อยแล้ว จึงพยุงนางกลับไปที่ๆ พักที่เขาเคยอยู่
เห็นเขานั่งอยู่ในห้อง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหลุดขำออกมา
หนึ่งคืนผ่านไป
วันที่สองหลังกินข้าวเช้าเสร็จ เมิ่งเอ้ออิ๋นพ่อลูกทั้งสามคนนั่งรถม้ามานำโดยเหวินเปียว พาเมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยามาเดินเล่นรอบเมือง
โจวอานทำตามคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน โดยการนำทหารองครักษ์มาด้วยอีกยี่สิบนาย
ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่จวนอ๋อง จริงๆ แล้วเมิ่งชื่ออยากตามมาด้วย แต่ก็รู้สึกไม่เหมาะสม เลยล้มเลิกความคิดนี้
ทั้งสองคนไม่ได้อยู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน พระชายาฉีรู้สึกกระวนกระวายใจตลอดเวลา ก็เลยมายืนรออยู่ที่หน้าประตูจวนอ๋องตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวปลอดภัยดี ใจที่กระวนกระวายถึงจะวางลงได้ เพื่อจะกลบเกลื่อนความกังวลใจของตน จึงเอ่ยปากถามว่า “โยวเอ๋อร์ เหตุใดแม่ของเจ้าถึงไม่มาด้วยล่ะ”
“ท่านแม่บอกว่าไม่เหมาะสม จึงไม่ได้มาเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“มีอะไรที่เหมาะหรือไม่เหมาะสมกันล่ะ มาบ้านลูกสาว ไม่ได้ไปที่ไหนเสียหน่อย”
เมื่อเห็นพระชายาฉียืนรออยู่ที่หน้าประตู รู้ว่านางเป็นห่วงเมิ่งเชี่ยนโยว ดูเหมือนว่าวันนี้ตนจะไม่ได้อยู่กับโยวเอ๋อร์ตามลำพังแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงรีบเอ่ยปากบอกก่อนว่า “เสด็จแม่ วันนี้ข้าว่างเลยจะเข้าไปที่ในวังเสียหน่อย ส่วนโยวเอ๋อร์ก็ให้อยู่กับท่านนะขอรับ”
พระชายาฉีเห็นว่าเขาไม่ค่อยได้อยู่บ้านอยู่แล้ว ฝากเมิ่งเชี่ยนโยวให้ตนดูแลอยู่ตลอดๆ ได้ยินดังนั้นก็รีบโบกมือ “ไปเถอะๆ มีธุระอะไรเจ้ารีบไปทำเถอะ แม่จะดูแลโยวเอ๋อร์ให้เป็นอย่างดี”
เมื่อเห็นนางรีบร้อนไล่ตนออกไป หวงฝู่อี้เซวียนอ้าปากค้าง อยากที่จะพูดอะไร แต่เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำออกมาจึงไม่ได้พูดอะไร หันหลัง แล้วขึ้นหลังม้า ออกคำสั่งให้คนรถมุ่งหน้าไปที่ตงกง
ปีที่ผ่านมานี้ หวงฝู่ซวิ่นเหนื่อยแทบตาย เรื่องต่างๆ ก่อนหน้านี้มีหวงฝู่อี้เซวียนเป็นคนจัดการ เขาเพียงแค่เป็นเถ้าแก่ที่ชี้ไปชี้มาเท่านั้น แต่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวหายตัวไปตั้งแปดเดือน นายคนนี้ก็ไม่เคยออกจากจากจวนอีกเลย อย่าพูดถึงจัดการเรื่องงานราชการต่างๆ แทนเขาเลย มีหลายครั้ง ที่เขาจัดการไม่ได้จริงๆ เลยแอบไปหาเขาที่จวนอ๋อง ให้เขาช่วยเหลือตน แต่ใครจะไปรู้ว่าไอ้คนเลวผู้นี้ ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ใช้ให้ทหารองครักษ์โยนตนออกมานอกจวนอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้เขาสับสนเป็นอย่างมาก จึงไม่กล้าที่จะไปหาเขาอีก
เมื่อรู้ว่าไอ้คนนี้เวลาโกรธจะเป็นเช่นไร เมื่อสองปีก่อน เขาก็แค่พลั้งปากพูดออกมาว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็แค่สาวบ้านนอกคนหนึ่งไม่เหมาะสมกับเขา ไอเศษเดนคนนี้แหละอยู่ที่ตงกง ตำหนักขององค์รัชทายาท แล้วตีเขาต่อหน้าทุกคนจนทุกคนย่องหนีออกไปกันหมด
ดังนั้นเมื่อได้ยินรายงาน ว่าเขามาหาตน หวงฝู่ซวิ่นจึงทายว่าเขาจะต้องมาขอความช่วยเหลือตนอย่างแน่นอน จึงยืดอกตรง แล้วแสดงออกถึงท่าทางดูสูงส่ง สั่งให้บ่าวบอกไปว่า “ให้ซื่อจื่อเข้ามา”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา เห็นท่าทางของเขาแล้ว ก็รู้ว่าเขาต้องการที่จะทำอะไร จึงไม่ได้ทำความเคารพ แล้วเดินไปที่เก้าอี้เลย พูดว่า “ช่วยข้าหน่อย”
หวงฝู่ซวิ่นยิ้มด้วยความชอบใจ ท่าทางสูงส่งหายไป แล้วตอบกลับไปอย่างไม่พอใจว่า “ไม่ช่วย”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง แล้วยืนขึ้นอย่างสง่างาม แล้วเดินออกไปอย่างไร้ซึ่งความกังวลใจ
หวงฝู่ซวิ่นฉงน แล้วรีบพูดว่า “หยุด!”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่หยุด เมื่อเห็นว่าเดินไปถึงประตูแล้ว หวงฝู่ซวิ่นโกรธเป็นอย่างมาก จึงได้หยิบฝาถ้วยชาโยนไปที่เขาแล้วพูดว่า “ข้าบอกว่าให้เจ้าหยุด!”
ได้ยินเสียงลมทางด้านหลัง หวงฝู่อี้เซวียนขยับหัวหลบเล็กน้อย ก็หลบฝาถ้วยชาได้อย่างง่ายดาย
ฝาถ้วยชาไปแตกเป็นเสี่ยงๆ ที่ประตู แล้วร่วงหล่นลงที่พื้น
ตอนที่ 267 เหตุผลบ้าบอ
หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่ง หันหลังมองกลับมาที่เขา
เมื่อเห็นเศษกระเบื้องที่ตกแตกอยู่เต็มพื้น หวงฝู่ซวิ่นชะงักไป แล้วจึงพูดว่า “เพราะเจ้ายั่วโมโหข้า ข้าบอกให้เจ้าหยุด”
หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่เขา
หวงฝู่ซวิ่นตกใจถึงขั้นลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เจ้าจะทำอะไร”
เดินมาได้ครึ่งทาง หวงฝู่อี้เซวียนก็เลี้ยวไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง “น้องของข้าทั้งสองคนอยากจะเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน เจ้าช่วยให้เข้าไปได้ที”
เมื่อเห็นท่าทางของเขาแล้ว หวงฝู่ซวิ่นจึงถอนหายใจหนึ่งเฮือก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตนตามเดิม คอตั้งแล้วถามว่า “ทำไมข้าต้องช่วยเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขาด้วยสีหน้าเฉยๆ
หวงฝู่ซวิ่นก็ไม่ยอม จึงจ้องกลับไป “เจ้ามองข้าด้วยเหตุใด ข้าจะบอกให้ ข้าไม่ช่วย ไม่ช่วย ก็คือไม่ช่วย”
“เจ้าแน่ใจแล้วงั้นรึ” หวงฝู่อี้เซวียนถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“ข้าจะแน่ใจหรือไม่แน่ใจแล้วเจ้าจะทำไม ข้าไม่ช่วย” หวงฝู่ซวิ่นก็ยังจะปากแข็งอยู่
“ข้อแลกเปลี่ยน!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดสั้นๆ
หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกดีใจ แต่ไม่ได้แสดงออกด้วยท่าทางใดๆ บอกว่า “อย่างนี้สิถึงจะถูก ข้าเป็นถึงไท่จื่อ เจ้าให้ข้าช่วยอยู่บ่อยๆ โดยไม่มีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนไม่ได้หรอกนะ”
“ข้อแลกเปลี่ยน!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดอีกครั้ง ในน้ำเสียงมีความเบื่อหน่าย
“ดูเจ้าสิ เจ้าทำอย่างนี้กับข้าได้อย่างไร ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า เป็นไท่จื่อแห่งตงกง เจ้าเดินเข้าประตูมาไม่เพียงแต่ไม่ทำความเคารพข้า ตอนพูดจาก็ไม่สุภาพ ไว้หน้าข้าเสียหน่อยก็ไม่ได้” หวงฝู่ซวิ่นพูดอย่างไม่พอใจ
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แล้วมองจ้องไปที่เขา “เจ้าอยากให้ข้าเรียกเจ้าว่า ไท่จื่อ งั้นรึ”
หวงฝู่ซวิ่นชะงักไป หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวได้ว่าตนเองพูดอะไรออกไป จึงรีบโบกมือ “ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น ข้าหมายความว่า…”
“ข้อแลกเปลี่ยน!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดเป็นครั้งที่สาม
เมื่อรู้ว่าถึงขีดจำกัดความอดทนของเขาแล้ว ถ้าหากยังพูดต่อไปเขาไม่ทนอย่างแน่นอน จึงกลืนน้ำลาย หลังจากนั้นหวงฝู่ซวิ่นจึงพูดว่า “ไม่ได้มีข้อแลกเปลี่ยนอะไร เพียงแต่ว่าตอนนี้เรื่องที่เสด็จพ่อให้ข้าจัดการมันมากเสียเหลือเกิน อยากให้เจ้าช่วยข้าเสียสักหน่อย”
“ไม่ว่าง” พูดปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
“เจ้าจะไม่ว่างได้อย่างไร น้องชายน้องสาวก็หาจนเจอแล้ว งานก็แต่งแล้ว หรือว่าไม่สามารถมาช่วยข้าได้แล้วงั้นรึ”
“ภรรยาของข้าตั้งครรภ์ ข้าจะต้องดูแลนาง” หวงฝู่อี้เซวียนหน้าไม่ได้แดง ใจไม่ได้เต้นแรง พูดด้วยท่าทางนิ่งสงบ
หวงฝู่ซวิ่นอ้าปากค้างมองไปที่เขา ไม่ได้ตอบเขาไปสองนาน
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้พูดอะไร มองไปที่เขาด้วยสายตานิ่ง
ผ่านไปสักพัก หวงฝู่ซวิ่นเดินลงมาจากเก้าอี้ เดินมาที่ตรงหน้าเขาด้วยความสงสัย จ้องไปที่ดวงตาของเขา “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าเยี่ยงไรนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนซ้ำอีกรอบด้วยความอดทน “ภรรยาของข้าตั้งครรภ์แล้ว ข้าจะต้องดูแลนาง”
เห็นว่าตนเองฟังไม่ผิด ว่าเขาพูดเช่นนี้จริงๆ หวงฝู่ซวิ่นยื่นมือออกมาชี้หน้าเขา “เจ้าๆ …”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แล้วปัดมือของเขาออกไปเบาๆ “หลังจากนี้สามวัน ข้าจะพาพวกเขาไปกั๋วจื่อเจี้ยน เจ้าช่วยจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยด้วย”
หวงฝู่ซวิ่นถึงได้รู้สึกตัวพูดขึ้นมาว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่เอาไหนเช่นนี้ ผู้หญิงคนไหนตั้งครรภ์ไม่เป็นกัน มีอะไรให้ต้องดูแลอีก อีกอย่าง คนในจวนก็มีตั้งมากมาย เจ้ายังต้องไปดูแลอีกงั้นรึ”
“โยวเอ๋อร์กินแต่ข้าวต้มที่ข้าต้มให้ คนอื่นทำนางไม่กิน ดังนั้น ข้าจะต้องดูแลนางอย่างใกล้ชิดที่สุด”
น้ำเสียงของหวงฝู่ซวิ่นยิ่งทวีความไม่พอใจเข้าไปใหญ่ “ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว โลกนี้มีตั้งมากมาย เจ้าจะเอาเท่าไร เอาแบบไหน พี่ใหญ่จะหาให้เจ้าเอง เหตุใดเจ้าจะต้องทรมานตนเองแบบนี้ด้วย อีกอย่างเจ้าเป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนอ๋อง เป็นผู้สูงส่ง เหตุใดจะต้องทำเพื่อนางถึงขนาดนี้ เจ้านี่ใช้ไม่ได้จริงๆ ถ้าหากว่าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ผู้คนจะต้องหัวเราะเยาะเจ้าอย่างแน่นอน”
“พี่ใหญ่” หวงฝู่อี้เซวียนมีความโกรธแฝงอยู่ในน้ำเสียบงที่นิ่งสงบ “โยวเอ๋อร์เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ข้ารัก เป็นแม่ของลูกข้า เป็นทั้งหมดของข้า และเป็นคนเดียวของข้า”
หวงฝู่ซวิ่นโกรธเป็นอย่างมาก “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ สิ่งนี้เป็นผลเสียต่อหน้าที่การงานในอนาคตของเจ้า เป็นชายชาติชาตรี จะต้องทำหน้าที่เพื่อราชสำนักเป็นหลัก ไม่ใช่ดูแลลูกเมียเป็นหลักเสียสักหน่อย”
อ่านนิยาย
พูดจบ ก็ไม่ยอมลดละ พูดต่อ “ที่เจ้าบอกว่ามีน้องชายสองคนนั่นก็เป็นของนางสินะ เรื่องนี้ข้าจะไม่ช่วย เจ้าไปหาวิธีเอาเองเถอะ”
“ได้” หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น ท่าทางยังคงนิ่งตามเดิม ไม่เสียใจหรือดีใจแต่อย่างใด “วันนี้รบกวนพี่ใหญ่แล้ว”
พูดจบ ก็หันหลังเดินออกไป
เห็นว่าเขาเดินกลับออกไปจริงๆ ความโกรธของหวงฝู่ซวิ่นทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ร่างกายขยับอย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนบอกเขาทางด้านหลังว่า “ถ้าวันนี้คิดไม่ได้ล่ะก็ ก็ไม่ต้องออกจากตำหนัก”
รู้สึกได้ถึงเสียงลมทางด้านหลัง ท่าทางของหวงฝู่อี้เซวียนก็รวดเร็วเช่นกัน หลบฝ่ามือของเขาได้ หลังจากนั้นก็หันหลัง แล้วสวนเขากลับไปหนึ่งที
ทั้งสองคนใช่ว่าจะไม่เคยประลองฝีมือกันมาก่อน คนในตงกงก็ชินกันเสียหมดแล้ว ตอนแรกไม่ได้มีใครสนใจ ต่างคนต่างสนใจแต่ชีวิตตนเอง ไม่นานก็รู้สึกแปลกๆ ทั้งสองคนไม่ได้ประลองกันเหมือนปกติทุกครั้ง สู้กันไปมา รู้สึกได้ว่าอยากจะฆ่ากันจริง
ทหารลับในตงกงต่างตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาอยู่ข้างกายของหวงฝู่ซวิ่นมาก็นาน รู้ว่าฝีมือของหวงฝู่อี้เซวียนสูงกว่าไท่จื่อหนึ่งขั้น ถ้าหากว่าไท่จื่อได้รับบาดเจ็บล่ะก็ พวกเขาได้โดนตัดหัวแน่ จึงค่อยๆ กระโดดออกมาจากที่ลับ เตรียมพร้อมที่จะสนับสนุนหวงฝู่ซวิ่น
รู้สึกได้ถึงพวกเขาที่กำลังจะเข้ามา หวงฝู่ซวิ่นจึงออกคำสั่งว่า “ออกไปให้หมด วันนี้ข้าจะสั่งสอนไอเจ้าคนไร้อนาคตคนนี้ด้วยตนเอง”
เหล่าทหารลับทั้งหลายต่างมองหน้ากัน กำลังจะถอยกลับ หวงฝู่อี้เซวียนก็อาศัยจังหวะที่หวงฝู่ซวิ่นกำลังพูดอยู่ไม่ทันได้ตั้งตัว ถีบเขากระเด็นออกไป
คนในตำหนักต่างก็กรีดร้องออกมา
หวงฝู่ซวิ่นจัดระเบียบร่างกายตนเองในอากาศ แล้วจึงร่วงลงพื้น หลังจากนั้นก็ถอยไปเองอย่างไม่รู้ตัว แล้วตะโกนออกมาเสียงดังว่า “หุบปากให้หมด ถ้ายังร้องเรียกอะไรอีก จะประหารให้หมด”
ในตำหนักก็เงียบลงทันที
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เปลี่ยนไป หวงฝู่ซวิ่นถอนหายใจหนึ่งเฮือก แล้วพูดออกมาด้วยความไม่ยอม “ไอเจ้าชั้นต่ำ กล้าลอบโจมตีข้า ครั้งนี้ไม่นับ เอาใหม่” พูดจบ ก็พุ่งออกไปอีก
ผ่านไปสิบห้านาที หวงฝู่ซวิ่นก็มุ่งตรงออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งก่อน เลยทำให้กระแทกตกลงพื้นดินอย่างแรง จึงมีเสียงดังก้องขึ้นมา
คลิก
คนในตำหนักต่างก็เอามือปิดปากเอาไว้ ไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงใดๆ ออกมา
“ยังจะมาอีกไหม” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยเสียงที่นิ่งขรึม
ครั้งนี้กระแทกลงไปอย่างแรง จะบอกได้ว่า เป็นครั้งที่ตั้งแต่หวงฝู่ซวิ่นเกิดมาไม่เคยมีครั้งไหนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน เจ็บเสียจนพูดไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ยืนนิ่งตรงอยู่กับที่ รอคำตอบจากเขา
มีบ่าวเดินออกมาดู อยากที่จะพยุงเขาขึ้นมา แต่ก็โดนหวงฝู่ซวิ่นจ้องตาจนถอยกลับไป
ไม่นาน หวงฝู่ซวิ่นพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนด้วยท่าทางไม่พอใจ “ข้าเป็นถึงพี่ใหญ่ของเจ้า เจ้าไม่เพียงแต่ลงมือหนักขนาดนี้ ยังจะไม่มาพยุงข้าขึ้นไปอีก”
“พี่ใหญ่มีประสบการณ์มาก่อนข้า น้องเสียเปรียบ ดังนั้นจึงไม่กล้าไปพยุงเจ้าขึ้น” หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
หวงฝู่ซวิ่นพูดอะไรไม่ออก นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตอนนั้นตนก็โดนเขาอัดจนล้มลงกับพื้น ตอนนั้นไอเจ้านี่ยังไม่ได้ฉลาดขนาดนี้ จึงใจดีมาพยุงตนขึ้น ตนจึงอาศัยจังหวะนี้เตะเขาลงไปในบ่อน้ำ คิดเช่นนนี้ จึงหัวเราะออกมาว่า “เจ้านี่นะ นิสัยไม่ดีของเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่รู้จักอ่อนข้อให้ข้าเสียเลย ข้าเป็นถึงไท่จื่อ เจ้าควร…”
เอามือออกมา แคะไปที่หูของตนเอง หวงฝู่อี้เซวียนจึงพูดว่า “พูดใหม่สิ เหมือนหูของข้าจะมีแมลงเข้าไปอย่างไรก็ไม่รู้”
หวงฝู่ซวิ่นหัวเราะออกมา ยื่นมือออกมา แล้วด่าทั้งหัวเราะว่า “ยังไม่รีบมาพยุงข้าขึ้นอีก ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนยืนมองเขาอยู่กับที่อยู่สักครู่ เหมือนกับว่ากำลังวิเคราะห์ว่าคำพูดของเขานั้นจริงหรือหลอก
หวงฝู่ซวิ่นด่าทั้งหัวเราะออกมาอีกครั้ง “เร็วเข้า ถ้ายังไม่มา ข้าก็จะไม่ตอบรับที่จะช่วยเจ้าแล้วนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะกล้าเข้ามา โค้งตัวลงพยุงเขาขึ้น
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ็บจริง หรือเจ็บหลอก หวงฝู่ซวิ่นกัดฟัน ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด ยังไม่ทันได้พูด คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเขา “การสำออยเช่นนี้ไม่เป็นผลกับข้าหรอก พี่ใหญ่อย่าทำอีกเลย”
หวงฝู่ซวิ่นชะงักไปสักพัก แล้วกัดฟันถามเขาว่า “รู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าจะทำอะไร”
“รู้ พี่ใหญ่อยากจะกดให้ข้าตาย” หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับ หลังจากนั้นก็พูดเสริมเข้าไปจนทำให้หวงฝู่ซวิ่นโกรธแทบตายว่า “พี่ใหญ่อย่าคิดที่จะทำเลย ท่านทำไม่สำเร็จหรอก”
หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนกัดฟันไปมา จึงยกขาขึ้นด้วยอารมณ์เด็กๆ แล้วกระแทกลงบนเท้าของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรุนแรง “ข้ากดเจ้าไม่ตาย ข้าเหยียบเจ้าให้ตายก็ได้แล้วล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่งสอนเด็กดื้อว่า “พี่ใหญ่ ท่านเป็นไท่จื่อ ทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ ใครได้ยินเข้าเขาจะพากันหัวเราะเยาะเอา”
หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนแทบเลือดกระอัก
บ่าวไพร่ในตำหนักก็แทบกลั้นขำกันไม่อยู่ หวงฝู่ซวิ่นใช้สายตาอัมหิตกวาดมองไป คนทั้งหมดก็ตกใจจนก้มหน้าลง เอาชีวิตรอดกันไป
และหวงฝู่ซวิ่นก็พูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัวว่า “ถ้าหากว่าเรื่องในวันนี้แพร่ออกไปล่ะก็ ทั้งหมด ประหาร!”
บ่าวไพร่ทั้งหมดก็ตกใจจนขนลุกกันไปหมด ก้มหน้าแล้วก้มหน้าอีก อดคิดเรื่องที่ขันทีผู้ดูแลเขาเคยพูดไว้เรื่องหนึ่งว่า ตอนที่ไท่จื่อย้ายมาที่ตงกงใหม่ๆ ตอนนั้น ก็พูดกับบ่าวและขันทีในตำหนักว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นคนของใคร เมื่อเข้ามาที่ตงกงแล้วก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ซื่อสัตย์ต่อที่นี่ เรื่องในตำหนักที่เกิดขึ้นไม่ว่าเรื่องใดก็ตามห้ามแพร่ออกไปเป็นอันขาด ถ้าหากว่ามีคนปากสว่าง แพร่ข่าวออกไปล่ะก็ ต่อไปพวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้พูดแล้ว”
ตอนนั้นไท่จื่อยังไม่ได้แต่งงาน ในวันปกติก็จะร่าเริงมีความสุข ก่อนหน้านี้ก็น้อยมากที่จะลงโทษบ่าวไพร่ในตำหนัก หลังจากที่ฟังคำพูดของเขาจบ ถึงแม้ว่าบ่าวไพร่ทั้งหลายจะกลัว แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ พระสนมเอกเฮ่อคนหนึ่งให้ขันทีคนหนึ่งมาดื่มเหล้ากับไท่จื่อเป็นเวลาสองวัน แล้วเอาเรื่องที่เขาเมาเหล้าหนักไปรายงานนาง คืนนั้นพระสนมเอกเฮ่อก็ไปเป่าหูฮ่องเต้ จนฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เลยส่งคนไปดู ตอนนั้นไท่จื่อยังไม่ตื่น เพราะความโกรธจึงจะปลดเขาลงจากตำแหน่งไท่จื่อ สุดท้ายได้ไทเฮากับฮองเฮาช่วยพูด จึงหายโกรธ แต่ก็ออกคำสั่งให้เขาสำนึกผิดอยู่ในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน
หลังจากที่ไท่จื่อได้ยิน ก็ไม่ได้มีทีท่าอะไร ก็อยู่ในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือนตามคำสั่ง จนกระทั่งวันที่ปล่อยออกมาวันแรก ก็เรียกรวมบ่าวไพร่ในตำหนักทั้งหมด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเห็นคำพูดของข้าเป็นเรื่องเล่นๆ งั้นรึ” พูดจบ ก็โบกมือ ทหารลับก็ออกมา แล้วตัดลิ้นของขันทีคนนั้นต่อหน้าทุกคน หลังจากนั้น ก็เห็นเขาเจ็บจนตายไปกับตา
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกลัวอยู่นั้น ไท่จื่อก็พูดขึ้นมาว่า “วันละห้าคน”
ทุกคนชะงักไป ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร วันที่สองจึงเข้าใจ ที่แท้ก็คือตัดลิ้นบ่าวไพร่ในตำหนักวันละห้าคน ภาพนองเลือดนั้น จนกระทั่งทุกวันนี้ เวลาที่ขันทีผู้ดูแลพูดยังสั่นกลัวอยู่เลย
ดังนั้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา ตงกงได้เปลี่ยนบ่าวไพร่ในตำหนักใหม่ ก็เลยไม่มีใครกล้าที่จะเอาความในไปพูดข้างนอกอีก นี่จึงเป็นเหตุที่ไม่ว่าหวงฝู่ซวิ่นกับหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่ถูกกัน ในเรื่องส่วนตัว หรือว่าเรื่องการประลองต่างๆ ฮ่องเต้กับฮองเฮาไม่เคยรู้เรื่องเลย
พยุงหวงฝู่ซวิ่นเข้าไปที่ด้านในตำหนัก หวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “น้องชายสองคนนั้นของข้าฉลาดมาก คนหนึ่งสอบเข้าเป็นโฃถงเซิง ได้แล้ว อีกคนหนึ่งอีกนิดเดียวก็ผ่านแล้ว แต่ว่าเขาไม่ได้เก่งเรื่องหนังสือ อยากจะฝึกฝนวิทยายุทธ์ จะต้องเป็นเสาหลักของราชสำนักในภายหลังอย่างแน่นอน”
เมื่อเขาพูดจบ หวงฝู่ซวิ่นก็เข้าใจในความหมายของเขาทันที แล้วหัวเราะมองไปที่เขา “ข้าควรขอบใจเจ้าหรือไม่ที่คิดเผื่อข้าเสียขนาดนี้”
“ไม่ต้อง ที่ข้าเลี้ยงดูพวกเขาก็มีเจตนาของตนเองเหมือนกัน รอให้พวกเขาเป็นเสาหลักในราชสำนักก่อน ข้าก็จะสามารถพาโยวเอ๋อร์กลับไปที่บ้านนอก มีชีวิตที่เรียบง่ายแล้ว”
“ฝันไปเถอะ” หวงฝู่ซวิ่นด่าเขา “ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เจ้าก็ไม่สามารถไปไหนได้ อยู่ช่วยข้าเสียดีๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่หวงฝู่ซวิ่นอย่างตั้งใจกว่าปกติ แล้วถามเขาด้วยสีหน้าจริงจังและดุดันว่า “พี่ใหญ่ ให้ข้าฆ่าท่านตอนนี้ยังทันไหม”
หวงฝู่ซวิ่นยื่นเท้าออกมา แล้วเตะไปที่เขาหนึ่งที “ไปให้พ้น อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว “นี่เจ้าพูดเองนะ อย่าเรียกหาข้าเวลาเหงาล่ะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น