ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 254-263

ตอนที่ 254 งานแต่งงานที่วุ่นวาย

 

 


 


ทุกคนรีบเร่งขึ้นมาทันที รีบกำชับกับเมิ่งเชี่ยนโยวหลายเรื่อง ซุนเชี่ยนรีบนำผ้าคลุมหัวคลุมบนหัวเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วกำชับว่า “ห้ามถอดผ้าคลุมหัวนี้เป็นอันขาด รอหลังจากเข้าห้องหอ ให้อี้เซวียนถอดให้เจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ใต้ผ้าคลุมพยักหน้าเบาๆ


 


 


ไม่นานสาวใช้อีกคนก็วิ่งตามเข้ามา รายงานด้วยเสียงหอบเหนื่อยว่า “นายหญิง คุณชายทั้งหลายที่มาเป็นแขกและเถ้าแก่เหวินซื่อแบ่งออกเป็นสองฝั่งขวางอยู่ที่หน้าประตูใหญ่และหน้าประตูเรือน บอกว่าจะให้ซื่อจื่อรับตัวท่านไปง่ายๆ มิได้เจ้าค่ะ”


 


 


หลังจากที่ทุกคนได้ยิน ต่างก็เงยหน้าแล้วเขย่งขาขึ้น แล้วมองไปทางข้างนอกด้วยความสงสัย


 


 


ชิงหลวนและจูหลีสบตากัน ทนไม่ไหววิ่งออกไปดูความวุ่นวาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบ ยิ้มมุมปาก คิดในใจว่า ปกติคนพวกนี้ก็ไม่ชอบอี้เซวียนกันอยู่แล้ว แน่นอนว่าต้องฉวยโอกาสครั้งนี้เพื่อแกล้งเขา แต่ว่า ตามนิสัยหน้าเนื้อใจเสือของอี้เซวียนแล้ว กลัวว่าคนพวกนี้จะทำอะไรไม่ได้


 


 


คิดถึงจุดนี้ ยิ้มกว้างขึ้นอีก นางกล้าใช้การเข้าห้องหอคืนนี้ท้าได้เลยว่า ไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูปพวกเขาทั้งหกขวางไม่ได้แน่นอน


 


 


นอกประตูใหญ่ เหวินซื่อ เปาอีฝานและจูหลานทั้งสามใช้สายตาที่ภาคภูมิใจมากมองหวงฝู่อี้เซวียนที่นั่งอยู่บนหลังม้าใหญ่ด้วยความมั่นหน้าภูมิใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เห็นพวกเขาเช่นกัน รอยยิ้มบนใบหน้าไม่เปลี่ยน กระโดดลงจากหลังม้า เดินมาข้างหน้าทั้งสาม แล้วทำความเคารพ “ท่านทั้งสาม วันนี้เป็นวันมงคลของข้า ทุกท่านต้องการสิ่งใดขอให้เอ่ยปากพูดออกมา ข้าจะทำให้ทุกท่านพอใจแน่นอน แต่อยากให้ทุกท่านปล่อยข้าเข้าไปก่อน”


 


 


จูหลานคนโง่นี้ ครั้งก่อนตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บ พาทั้งครอบครัวมาเยี่ยมเยียน ก็รู้สึกได้ทันทีว่าท่าทางของหวงฝู่อี้เซวียนที่มีต่อเขานั้นแปลกๆ ขอแค่เขาคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยว สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็จะดำเหมือนก้นหม้อทันที จนถึงขั้นบางครั้งก็ไม่ให้พวกเขาทั้งสองคนเจอกัน จูหลานโมโหในใจ ในที่สุดวันนี้ก็ได้โอกาสนี้ จะไม่ให้เล่นใหญ่ได้เยี่ยงไร กล่าวออกมาว่า “หากอยากรับเมิ่งเชี่ยนโยวไป เจ้าต้องผ่านด่านนี้ของพวกข้าก่อน ไม่เยี่ยงนั้น เจ้าก็ไม่สามารถเป็นเจ้าบ่าวในวันนี้ได้อย่างง่ายดายแน่ๆ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ หรี่ตาลง สีหน้าไม่เปลี่ยน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าทุกท่านจะแข่งอะไรกับข้า”


 


 


“รู้ว่าเจ้ามีเก่งวิชาต่อสู้ พวกข้าไม่แข่งต่อสู้กับเจ้า พวกข้าจะแข่งกินของกับเจ้า เจ้าคนเดียว กับพวกข้าสามคน หากฝั่งไหนกินได้น้อยฝั่งนั้นแพ้” จูหลานกล่าวด้วยเสียงดังชัดเจน


 


 


ฮ่ๆาๆ ชิงหลวนที่วิ่งออกมาหน้าประตูใหญ่เพื่อดูความวุ่นวายได้ยินคำพูดของจูหลาน ก็ทนไม่ไหว หัวเราะออกมา พวกเขาวางแผนกันอย่างลึกลับมาหลายวัน สุดท้ายคิดวิธีปัญญาอ่อนนี้มาแกล้งซื่อจื่อเนี้ยนะ แต่ก็ว่าไม่ได้ ไม่แน่ว่าวิธีนี้อาจชนะซื่อจื่อ ซื่อจื่อมีทั้งความรู้และวิทยายุทธ์ มีความสามารถในด้านบทกลอนกวี มีความสามารถในทุกด้าน มีเพียงด้านการกิน แม้ว่าเขาจะกินเก่งแค่ไหน แต่ก็มีแค่คนเดียว จะไปสู้ทั้งสามคนได้อย่างไร ก็ยิ่งตาโตด้วยความสงสัย ดูหวงฝู่อี้เซวียนว่าจะรับมืออย่างไร


 


 


จูหลานพูดเสร็จ ได้ยินเสียงร้องเห็นด้วยของคนที่มามุงดู เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้น ในใจก็ยิ่งได้ใจขึ้นไปอีก มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสีหน้าชัยชนะอยู่ในกำมือตัวเอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ แสดงรอยยิ้มที่กว้างออกมาให้ทั้งสามคน


 


 


ในใจของทั้งสามกระตุกทันที สังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น


 


 


เป็นจริงดังว่า รอยยิ้มของหวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันหาย ก็มีองครักษ์ลับหลายคนกระโดดออกมาจากขบวนที่มารับตัวเจ้าสาว ทั้งสามยังไม่ทันรู้สึกตัว ก็ถูกสกัดจุด ยืนอ้าปากนิ่งอยู่ที่หน้าประตู เคลื่อนไหวไม่ได้


 


 


ผู้คนที่มามุงดูก็ตาโต มองภาพตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ


 


 


ปากของชิงหลวนอ้ากว้างสุด จนหวงฝู่อี้เซวียนก้าวขาเข้ามาในจวน จึงรู้สึกตัวขึ้นมา หัวเราะจนยืนไม่ไหวทันที รู้แต่แรกแล้วว่าซื่อจื่อมีวิธีรับมือกับพวกเขาแน่นอน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นวิธีง่ายๆ ตรงๆ เช่นนี้ ดูท่าทางเช่นนี้ซื่อจื่อใช้เวลาไม่นานก็สามารถพบนายหญิงแล้ว


 


 


ได้ยินเสียงหัวเราะของนาง รอยยิ้มมุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งกว้างขึ้น มองและเดินตรงไปทางเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ซุนเหลียงไฉ เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนไม่คิดว่าด่านแรกจะถูกทำลายเร็วขนาดนี้ ยืนรอหวงฝู่อี้เซวียนเสียหน้าอยู่หน้าประตูเรือนด้วยความสบายใจ


 


 


ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาเร็วขนาดนี้ รีบยืนเตรียมพร้อม อ้าปากเตรียมพูด ก็มีคนกระโดดออกมาจากด้านหลังของหวงฝู่อี้เซวียน สกัดจุดบนตัวของทั้งสามอย่างรวดเร็ว


 


 


น่าสงสารทั้งสามคนนี้ เตรียมตัวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนด้วยความตื่นเต้น แต่สุดท้ายยังไม่ทันเอ่ยออกมาสักคำ ก็กลายเป็นรูปปั้นไปทันที เบิกตาโต มองหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปในเรือนอย่างไม่รีบร้อนโดยที่ร่างกายของตนเคลื่อนไหวไม่ได้


 


 


คนที่อยู่ในห้องทุกคนรวมทั้งสี่ผอและกูกูที่มาจากในวัง ต่างก็มองออกไปด้านนอกด้วยตาโต รอดูว่าซื่อจื่ออ๋องฉีที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงจะฝ่าด่านนี้ของทั้งสามได้อย่างไร แต่ก็ไม่คิดว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยออกมาสักคำ ให้คนสกัดจุดบนตัวของทั้งสามทันที แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว


 


 


ทั้งหกคนนี้คิดด่านพวกนี้ขึ้นมา ไม่มีความยากอะไรเลย กลายเป็นของตกแต่งทันที


 


 


ทุกคนต่างมอง แล้วสบตากัน ไม่นานก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนหลังคาห้องแทบปลิว


 


 


ภรรยาของซุนเหลียงไฉหัวเราะจนน้ำตาแทบไหลออกมา สามีที่ไม่เอาถ่านของตนนี้ ตอนที่เดินทางมายังตื่นเต้นคิดเรื่องแกล้งเจ้าบ่าวอยู่เลย ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่โอกาสได้พูด เหมือนดั่งตอไม้ตั้งอยู่หน้าประตู


 


 


ซุนเชี่ยนหัวเราะจนลุกไม่ได้ หัวเราะแล้วตบไหล่ของเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องเล็ก น้องเขยของข้าคนนี้…” ประโยคหลังจากนี้หัวเราะจนพูดออกมาไม่ได้


 


 


เมิ่งซื่อก็ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ความรู้สึกเสียใจในตอนแรก ได้ถูกเหตุการณ์ตลกนี้ทำให้มลายไปจนหมด


 


 


ฟังเสียงหัวเราะของคนในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดาได้เลยว่าหวงฝู่อี้เซวียนทำอะไรไปบ้าง รอยยิ้มมุมปากยิ่งกว้างขึ้นไปอีก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปในห้อง ก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ใส่ชุดแต่งงานสีแดง นั่งอยู่บนเตียงทันที หลังจากนั้นก็ไม่อาจละสายตาไปได้อีก เอาแต่เพ่งมองนางอย่างเดียว


 


 


รู้สึกถึงสายตาตรงๆ ไม่ปกปิด หน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวที่มีผ้าคลุมหัวปิดอยู่ ก็แดงก่ำไปทั้งหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวทีละก้าวอย่างมั่นคง แต่เมิ่งเสียนกลับเดินออกมาขวางหน้านางไว้ กล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “ตามธรรมเนียมประเพณีของบ้านเกิด น้องสาวออกเรือนต้องให้พี่ชายแบกออกไป”


 


 


เมิ่งฉีก็มาขวางด้านหน้าเขาไว้


 


 


หากเป็นคนอื่นยังพอสามารถสกัดจุดบนตัว แล้วโยนออกไปได้ แต่เมิ่งเสียนและเมิ่งฉี หวงฝู่อี้เซวียนไม่กล้าจริงๆ ถ้าหากเขาทำเยี่ยงนั้นกับทั้งสอง คิดว่าเขาน่าจะรับภรรยาไปไม่ได้แน่นอน


 


 


เห็นคนอยู่ต่อหน้า แต่แตะต้องไม่ได้ หวงฝู่อี้เซวียนร้อนใจมาก แสดงออกมาทางสีหน้า เคลื่อนสายตา เห็นเมิ่งซื่อ ร้องด้วยน้ำเสียงขอร้องว่า “ท่านแม่”


 


 


เมิ่งซื่อยิ้มแล้วตอบรับทันที


 


 


สี่ผอและกูกูที่มาจากในวังตกใจจนตาโตอีกครั้ง อ้าปากค้าง ซื่อจื่อเรียกเมิ่งซื่อว่าท่านแม่ต่อหน้าทุกคน นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่มีต่อครอบครัวเมิ่ง ความรักที่มีต่อเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งซื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “อี้เซวียน กฎของบ้านเป็นเช่นนี้จริงๆ แม่ช่วยเจ้าไม่ได้จริงๆ”


 


 


ประโยคเดียว ทำลายความหวังทั้งหมดของหวงฝู่อี้เซวียน เขากัดปากแน่น แล้วถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว หลบทางให้


 


 


เมิ่งเสียนเดินไปข้างเตียง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและอาลัยอาวรณ์ว่า “น้องเล็ก พี่แบกเจ้าขึ้นเกี้ยว จำไว้ว่า เจ้าเป็นคนที่มีพี่ชายคอยหนุนหลังอยู่เสมอ ถ้าหากวันใดอี้เซวียนทำให้เจ้าเสียใจ เจ้าต้องบอกพี่ พี่จะช่วยเจ้าแน่นอน”


 


 


ใช้ชีวิตมานานหลายสิบปี จึงจะเป็นการเปิดหูเปิดตาบรรดาสี่ผอจริงๆ บนโลกนี้ยังมีวันที่น้องสาวออกเรือน พี่ชายกล่าวประโยคเช่นนี้ให้เจ้าบ่าวฟังต่อหน้าทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้าบ่าวยังเป็นซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีคนเดียวในเมืองหลวง ที่ไม่เหมือนใครและยังเป็นที่หมายปองของหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนในเมืองหลวงอีกด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ


 


 


พู่ห้อยบนผ้าคลุมหัวก็สะบัดไปมาตามหัวนางเบาๆ ให้ความรู้สึกเหมือนนางลอยตัวอยู่


 


 


เมิ่งเสียนอยู่หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ก้มตัวลงไป “น้องเล็ก ขึ้นมาเถิด พี่แบกเจ้าขึ้นเกี้ยว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น แนบตัวลงไปบนหลังของเมิ่งเสียน


 


 


เมิ่งเสียนแบกตัวนาง แล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างมั่นคง


 


 


เมิ่งฉีเดินตามอยู่ข้างๆ


 


 


เมิ่งซื่อยืนอยู่ในห้องไม่ขยับ มองดูเมิ่งเสียนแบกเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากเรือนไป น้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง


 


 


ซุนเชี่ยนก็ไม่ได้ตามออกไป ดวงตาแดงก่ำ เดินไปข้างหน้าเมิ่งซื่อ กอดไหล่นางไว้ “ท่านแม่ น้องเล็กสมหวังแล้ว ท่านควรดีใจสิเจ้าคะ”


 


 


ซุนเหลียงไฉ เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนยื่นอยู่หน้าประตู มองดูทุกคนเดินผ่านหน้าตัวเองไป แต่ตัวเองกลับขยับตัวไม่ได้ ก่นด่าหวงฝู่อี้เซวียนที่หน้าเนื้อใจเสืออยู่ในใจไม่รู้กี่รอบ


 


 


เมิ่งเสียนแบกเมิ่งเชี่ยนโยวออกมานอกจวนอย่างมั่นคง มาถึงหน้าเกี้ยวเจ้าสาว สาวใช้ที่มารับตัวเจ้าสาวรีบเปิดผ้าม่านออกทันที เมิ่งเสียนไม่ขยับ หวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ข้างๆ ตลอดเวลารีบรับตัวเมิ่งเชี่ยนโยวมา อุ้มนางไว้ แล้วค่อยๆ วางนางลงบนเกี้ยวอย่างมั่นคง


 


 


ทุกคนร้องปรบมือออกมาอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเสียนตบไหล่ของหวงฝู่อี้เซวียนเบาๆ ต่อหน้าทุกคน “ต่อไปก็ฝากน้องเล็กไว้ที่เจ้า ดูแลนางให้ดี ไม่เช่นนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสัญญาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ กล่าวด้วยน้ำเสียนดังฟังชัดว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง วางใจเถิด ทั้งชีวิตข้าจะดูแลโยวเอ๋อร์อย่างดีแน่นอน”


 


 


เมิ่งเสียนก็กล่าวอีกครั้งว่า “เจ้าต้องทำให้ได้อย่างที่พูด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


เป็นครั้งแรกที่สี่ผอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ตกใจกันหมด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาข้างหน้าม้า แล้วกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างรวดเร็ว แล้วโบกมือ


 


 


สี่ผอก็ร้องออกมาอย่างดีใจทันทีว่า “ขึ้นเกี้ยว”


 


 


เกี้ยวเจ้าสาวค่อยๆ ถูกยกขึ้นมา แล้วค่อยๆ ตามหลังหวงฝู่อี้เซวียนไปทางจวนอ๋องฉี


 


 


เดินมาไกลสักพัก หวงฝู่อี้เซวียนจึงจะค่อยๆ ทำสัญญาณมือขึ้นมา โจวอันที่อยู่ไกลมองเห็น เดินออกมา คลายจุดบนตัวของคนที่อยู่หน้าประตูใหญ่ หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในจวน คลายจุดบนตัวให้กับซุนเหลียงไฉทั้งสามคน แล้วตามขบวนรับตัวเจ้าสาวไป


 


 


ทันทีที่ซุนเหลียงไฉเป็นอิสระ ก็โมโหด่าออกมาทันที “อี้เซวียน เจ้ามันไม่ใช่คน กล้าใช้วิธีลอบโจมตีเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าไม่ให้ข้าเอ่ยปากพูดจบ เจ้าก็อย่าหวังว่าคืนนี้เจ้าจะได้เข้าห้องหอ”


 


 


พูดจบ ก็กล่าวกับเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนว่า “ไป เราไปดื่มสุรามงคลที่จวนอ๋องฉีกัน”


 


 


ในใจของทั้งสองกำลังอารมณ์เสียอยู่พอดี ได้ยินก็เดินตามซุนเหลียงไฉออกมาทันที โดยที่ไม่บอกกล่าวกับคนในครอบครัวเลย


 


 


จูหลาน เปาอีฝานและเหวินซื่อก็โมโหมากจนไม่มีที่ระบาย ได้ยินคำพูดของซุนเหลียงไฉ ก็รีบพยักหน้าทันที เรียกรถม้า ขึ้นนั่ง แล้วสั่งคนขี่รถม้าให้ไปจวนอ๋องฉี


 


 


คนที่มามุงดูที่ยังอยู่ในจวนไม่เห็นทั้งหกคน ก็ยังแปลกใจ คิดว่าทั้งหกคนรู้สึกเสียหน้าวันนี้ จึงหลบซ่อนตัวไป


 


 


แต่คนทั้งหกที่ทุกคนคิดว่าอายจนซ่อนตัว ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนรถม้าแล้ววางแผนเรื่องมอมสุราหวงฝู่อี้เซวียนในคืนนี้กันอย่างตื่นเต้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่อยู่ข้างหน้า ขี่ช้าๆ คนยกเกี้ยวทั้งหลายยกเกี้ยวแล้วเดินตามหลังอย่างมั่งคง


 


 


ก่อนที่จะมารับตัวเจ้าสาว หวงฝู่อี้เซวียนสั่งแล้วว่า ถ้าหากทั้งแปดคนยกตัวเจ้าสาวไปถึงจวนอ๋องฉีอย่างมั่นคง จะให้รางวัลคนละหนึ่งร้อยตำลึง


 


 


หนึ่งร้อยตำลึง สำหรับพวกเขาที่เป็นคนยกเกี้ยวนั่นทำหลายปีก็หาไม่ได้เท่านี้ ทุกคนได้ยิน ก็ตื่นเต้นจนแทบกระโดดขึ้นมา พยักหน้ารับประกันทันที ว่าจะยกเกี้ยวกลับจวนอ๋องฉีอย่างมั่นคงแน่นอน ฉะนั้นทุกคนจึงลดความเร็วให้ช้าลงเล็กน้อย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่รีบเร่ง ค่อยๆ ขี่ม้านำทางอยู่ด้านหน้า


 


 


จากจวนเมิ่งตลอดจนถึงจวนอ๋องฉี คนที่มามุงดูมีไม่ขาดสาย เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งอยู่ในเกี้ยวได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนที่อิจฉามาตลอดทั้งทาง รอยยิ้มมุมปากยิ่งกว้างขึ้น ในขณะที่กำลังจะแอบเปิดผ้าคลุมหัวขึ้น เพื่อดูสถานการณ์ข้างนอก ก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาทันที รีบใช้มือปิดปากไว้ บังคับให้ลงไป ค่อยๆ ใช้มือตีหน้าอกตัวเองเบาๆ จึงจะรู้สึกดีขึ้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่นั่งอยู่บนหลังม้ารู้สึกได้ยินเสียงตบหน้าอกของนาง หันหลังไปดูอย่างไม่วางใจ สายตาเหมือนกับสามารถมองทะลุผ้าม่านหนาเข้าไป เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่อาการไม่ค่อยดี ขมวดคิ้ว อดกลั้นความรู้สึกที่อยากลงจากหลังม้า เพิ่มแรงขา เร่งม้าให้เร็วขึ้น


 


 


เขาเพิ่มความเร็วขึ้น คนที่ยกเกี้ยวก็ต้องเดินเร็วขึ้นแน่นอน เกี้ยวเจ้าสาวจึงโยกไปมา


 


 


ในใจของเมิ่งเชี่ยนรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ทนไม่ไหวจริงๆ รีบร้องออกมาว่า “หยุดเกี้ยว”


 


 


สาวใช้ สี่ผอและคนที่ยกเกี้ยวต่างได้ยินเสียงตะโกนของนาง แล้วสบตากัน ไม่รู้จะทำเยี่ยงไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่ฟังเสียงเคลื่อนไหวของนางอยู่ตลอดเวลาก็ได้ยินเสียงของนาง รีบหันหลังแล้วสั่งว่า “หยุดเกี้ยว”


 


 


คนที่ยกเกี้ยวหยุดทันที แล้วยืนอยู่ที่เดิม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกระโดดลงจากหลังม้ามาที่หน้าเกี้ยวทันที รีบเปิดผ้าม่านออก แล้วกล่าวถามว่า “โยวเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปิดปากตัวเองไว้ แล้วส่ายหัวไปมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไม่เห็นสีหน้าของนาง ก็ยิ่งร้อนใจ รีบเปิดผ้าคลุมหัวของนางขึ้นทันที “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นไร…”


 


 


อุ๊บ! โอ๊ก! สุดท้ายเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทนไม่ไหว อ้าปากอ้วกพุ่งออกมาเลอะเต็มตัวหวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่หน้าเกี้ยว


 


 


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามทางเมื่อครู่เงียบกริบลงทันที

 

 

 


ตอนที่ 255 ลูกแฝด

 

ชิงหลวนและจูหลีที่คอยตามอยู่ข้างเกี้ยวตะลึง


 


 


สาวใช้ที่ตามมาส่งตัวก็ตะลึง


 


 


สี่ผอตะลึง


 


 


คนยกเกี้ยวตะลึงตกใจจนเกี้ยวที่ถูกแบกบนบ่าอย่างมั่นคงเกือบจะตกลงไป


 


 


เกี้ยวโยกไปทีหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งอั้นไว้ไม่อยู่ อยากจะอาเจียนอาหารที่อยู่ในกระเพาะออกมาอีกครั้ง นางรีบโบกมือให้หวงฝู่อี้เซวียน เพื่อส่งสัญญาณให้เขาหลีกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับมัวแต่มองสีหน้าซีดเซียวของนางด้วยความกังวล ส่งสัญญาณให้คนยกเกี้ยววางเกี้ยวลง


 


 


หนึ่งร้อยตำลึงปลิวหายวับไป สีหน้าของคนยกเกี้ยวซีดเผือกกว่าเมิ่งเชี่ยนโยว พวกเขาวางเกี้ยวลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ ยืนตรงโค้งศีรษะอยู่ข้างเกี้ยว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเกือบจะมุดตัวเข้าไปในเกี้ยว ถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้า…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบผลักเขาออก อ้าปาก อาหารที่เอ่อขึ้นมาในปากก็พุ่งพรวดออกมาทันที


 


 


สี่ผอหน้าซีด เจ้าสาวที่ลงจากเกี้ยวระหว่างทางเช่นนี้น้อยมากนัก ซ้ำยังอาเจียนใส่เจ้าบ่าวเช่นนี้ยิ่งไม่เคยพบเห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผ้าคลุมหัวที่ถูกเปิดออกเช่นนี้ นางเป็นสี่ผอมาเกือบครึ่งชีวิต ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อนเลยจริงๆ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เดินขึ้นไป กำลังจะปริปากพูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็คลื่นไส้คล้ายจะอาเจียนออกมาอีกครั้ง ยิ่งดูยิ่งทรมาน อาการคลื่นไส้รุนแรงกว่าเดิม ประหนึ่งจะสำรอกอวัยวะภายในทั้งหมดออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นสภาพทรมานของนางก็หน้าซีด ตบหลังเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ คอยถามว่า “ดีขึ้นหรือยัง ดีขึ้นหรือยัง”


 


 


ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดอาเจียน เงยหน้ามองสภาพหวงฝู่อี้เซวียนที่ถูกอาเจียนไปทั้งตัว พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “อี้เซวียน ขอโทษ ข้า…”


 


 


ยังไม่ทันพูดจบ ก็คลื่นไส้คล้ายจะอาเจียนอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งกังวล “เราไม่นั่งเกี้ยวแล้ว ขี่ม้าไปจวนอ๋องกันเถอะ”


 


 


สี่ผอเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ พูดขึ้นทันทีว่า “หรือว่าองค์หญิงชิงเหอจะตั้งครรภ์เจ้าคะ”


 


 


พูดจบ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป นางตกใจจนคุกเข่าร้องขอความเมตตา “ซื่อจื่อ องค์หญิงชิงเหอ โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเถอะ หม่อมฉันพูดจาเหลวไหลเอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ หันเหลือบไปมองนาง แล้วก็รีบหันกลับมามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชะงักไปครู่หนึ่ง รีบนำมือซ้ายของตนแตะไปที่ชีพจรบนมือขวา


 


 


รอบด้านยังคงเงียบกริบดั่งป่าช้า


 


 


น้ำตาเม็ดโตของสี่ผอไหลอาบลงมา การท้องก่อนแต่งเป็นเรื่องบัดสีบัดเถลิง ตัวเองจะปากพล่อยพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้อย่างไร


 


 


ผ่านไปนาน เมิ่งเชี่ยนโยวถึงปล่อยมือขวาออก สลับนำมือขวาไปแตะชีพจรด้านซ้าย


 


 


ชิงหลวนและจูหลียิ่งเป็นกังวล ตั้งตารอดูปฏิกิริยาของนาง


 


 


ผ่านไปนานแสนนาน นานจนคนที่มามุงดูรู้สึกเหมือนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม นางปล่อยมือซ้ายของตนออก เงยหน้าขึ้นมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสีหน้ายิ้มทั้งน้ำตา แล้วพยักหน้าแรงๆ สองสามที


 


 


ดวงตากลมโตที่สวยงามของหวงฝู่อี้เซวียนเบิกกว้าง ปิดบังความรู้สึกดีใจสุดชีวิตไว้ไม่อยู่ เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังประหนึ่งกลัวจะทำนางตกใจ ถามเสียงเบาว่า “แน่ใจแล้วหรือ”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งสดใส พยักหน้าอีกครั้งหนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “เจ้าจะเป็นพ่อคนแล้วนะ”


 


 


สมองของหวงฝู่อี้เซวียนเหมือนมีพลุระเบิดปุงปัง สายใยแห่งความสุขเกี่ยวรัดพันตัวเขาไว้ จนตัวสั่นระริกด้วยความดีใจ เขายื่นมือไปปลดกระดุมชุดวิวาห์ แล้วถอดโยนเข้าไปในเกี้ยว โค้งตัวลง อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม เดินมุ่งไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่ตื่นเต้นดีใจ เขาเดินพลางสั่งพลางว่า “ให้รางวัลห้าสิบตำลึง”


 


 


ชิงหลวนและจูหลีดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น ในขณะเดียวกันก็คอยปกป้องหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ข้างกาย กลัวว่าเขาจะตื่นเต้นเกินจนทำเมิ่งเชี่ยนโยวล้ม


 


 


ผู้คนยังไม่ได้สติ มองหวงฝู่อี้เซวียนที่ค่อยๆ จากไปไกลอย่างใจลอย


 


 


โจวอันเดินขึ้นมา พูดกับสี่ผอที่คุกเข่าใจลอยอยู่บนพื้นว่า “ยังไม่ขอบคุณซื่อจื่ออีก”


 


 


สี่ผอมองโจวอันอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขา ถึงเรียกสติกลับมา ตนเองไม่เพียงแต่คุ้มกันศีรษะตัวเองไว้ได้แล้ว ซ้ำยังได้รางวัลอีกห้าสิบตำลึง นางรีบหันกลับไป โขกหัวบนพื้นให้หวงฝู่อี้เซวียนไปทีหนึ่ง พูดเสียงสูงด้วยความดีใจว่า “ขอบคุณท่านซื่อจื่อเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อเห็นว่าไม่ใช่เป็นเพราะการแบกเกี้ยวของตน คนยกเกี้ยวก็เพิ่งดึงสติกลับมาได้ ต่างมองไปที่โจวอันอย่างมีความหวัง


 


 


โจวอันโบกมือ สั่งว่า “ยกเกี้ยว ตามหลังไป รางวัลของพวกเจ้าไม่ตกหล่นหรอก”


 


 


คนยกเกี้ยวดีใจเฮ แบกเกี้ยวที่ว่างเปล่าตามหลังไป


 


 


เมื่อคนโง่ทั้งหกที่เร่งตามขบวนส่งตัวนั้นมาถึง ก็เห็นเหตุการณ์แปลกพิลึกตรงหน้า


 


 


บนตัวของหวงฝู่อี้เซวียนไม่มีชุดวิวาห์ ผ้าคลุมหัวบนหัวของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ ‘ปลิว’ หายไป เกี้ยวก็ไม่นั่ง หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่จวนอ๋องด้วยสองเท้าที่หนักแน่นของตน


 


 


ทั้งหกคนต่างงงงวย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซุนเหลียงไฉกระโดดลงจากรถม้า คว้าแขนคนใช้คนหนึ่งถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าบ่าวเจ้าสาวจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้”


 


 


เสียงตอบกลับของคนใช้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “พระชายาซื่อจื่อมีครรภ์แล้วขอรับ ซื่อจื่อกลัวว่าจะสะเทือนถูกนาง จึงอุ้มพระชายาซื่อจื่อกลับจวนด้วยตนเองขอรับ”


 


 


ซุนเหลียงไฉชะงัก ผู้คนเดินไปไกลแล้วก็ยังไม่ได้สติ จนเหวินซื่อทนไม่ได้มุดหัวออกมาถามขึ้นว่า “ได้ความว่าอย่างไรบ้าง เกิดเรื่องอะไรกันแน่”


 


 


ซุนเหลียงไฉเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง อ้าปากจะพูด ผ่านไปนานสองนานกว่าเสียงจะเล็ดลอดออกมา “แม่นางเมิ่งท้องแล้ว”


 


 


เมื่อเขาพูดจบ เหวินซื่อเบิกตากว้าง แล้วถลกแขนเสื้อขึ้น ท่าทางจะไปหาเรื่องหวงฝู่อี้เซวียนทันที “ไอ้เจ้าคนไม่เอาไหน กล้าทำเรื่องน่าอายอย่างนี้ ดูสิว่าข้าจะจัดการเขาอย่างไร”


 


 


คนที่เหลือพยักหน้าสำทับ การท้องก่อนแต่งเป็นเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงของฝ่ายหญิงอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับคนชั้นสูงในเมืองหลวง เกรงว่าต่อไปเมิ่งเชี่ยนโยวคงจะถูกขี้ปากคนอื่นว่าจนไม่กล้าพบหน้าใคร


 


 


มีเพียงซุนเหลียงไฉรู้สาเหตุที่เมิ่งเชี่ยนโยวหายตัวไป ปริปากอยากจะอธิบาย แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี


 


 


“เจ้ายังลังเลอะไรอยู่ ยังไม่รีบขึ้นมาอีก ไปสั่งสอนเขาด้วยกัน” เหวินซื่อพูดเร่ง


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดเชิงโน้มน้าวว่า “พวกเรากลับไปกันเถอะ วันนี้คงสู้เขาไม่ได้หรอก”


 


 


“ยังไม่ทันถึงจวนอ๋อง เจ้าก็ขี้ขลาดเสียแล้ว” จูหลานเบิกตากว้างถามเขา


 


 


ซุนเหลียงไฉรีบโบกมือ “ไม่ใช่เพราะข้าขี้ขลาด เกรงว่าวันนี้พวกเราไปก็ไม่เจอเขา ไปก็เหมือนไม่ได้ไปอยู่ดี”


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร” จูหลานพูดเสียงดัง “วันนี้เขาเป็นเจ้าบ่าว จะไม่โผล่มาดื่มเหล้ารับคำอวยพรได้อย่างไร ขอแค่เจอเขา เราไม่ปล่อยเขาไปแน่”


 


 


เมื่อเห็นว่าพูดโน้มน้าวไม่สำเร็จ ซุนเหลียงไฉส่ายหัว “พวกเจ้าไปเถอะ ข้าไม่ไปแล้ว ข้าต้องกลับจวนไปบอกข่าวดีนี้แก่ทุกคน”


 


 


“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ นี่เป็นข่าวดีได้อย่างไร จากนิสัยของเมิ่งเสียน เมิ่งฉี ไม่แน่ว่าบอกไปแล้วพวกเขาแล้วอาจจะถือมีดบุกมาที่จวนเลยก็ได้” เหวินซื่อกล่าว


 


 


ซุนเหลียงไฉยังคงส่ายหัว “ไม่หรอก บ้านตระกูลเมิ่งมีแต่จะดีใจ”


 


 


เหวินซื่อยังคงคิดจะโน้มน้าวเขา จูหลานห้ามไว้ “เอาเถอะ เขาอยากกลับก็ให้เขากลับเถอะ พวกเราไปกันเองก็ได้”


 


 


ทุกคนมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้สนใจเขาอีก ปล่อยม่านหน้าต่างลง สั่งคนม้าให้รีบไปที่จวนอ๋องทันที


 


 


ณ จวนอ๋องฉี


 


 


ไม่เพียงแต่ขุนนางน้อยใหญ่ที่มาแสดงความยินดีในงานสมรสของซื่อจื่อ แม้แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาเองก็มาร่วมงามด้วยตนเองเช่นกัน หลังจากที่ผู้คนมาคารวะแล้ว ขุนนางและคนในครอบครัวก็ไปนั่งตามที่นั่งที่จัดไว้ให้


 


 


พิธีเปิดยังอีกนาน แม่บ้านพาคนใช้ยกของว่างและผลไม้ให้แขกได้ทานรองท้องไว้เล็กน้อย


 


 


ฮ่องเต้และฮองเฮา รวมถึงอ๋องฉีและพระชายาฉีนั่งในห้องรับรองเงียบๆ รอคอยหวงฝู่อี้เซวียนกลับมา


 


 


เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว แต่ยังไม่ได้ยินเสียงกลอง พระชายาฉีเริ่มนั่งไม่อยู่กับที่ จ้องมองไปข้างนอก


 


 


ผ่านไปอีกเศษยาม คนส่งตัวก็ยังไม่มา


 


 


อ๋องฉีนั่งไม่ติด สั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ทหาร!”


 


 


มีคนขานรับ รีบเดินเข้ามา “ท่านอ๋องขอรับ”


 


 


“ไปดูหน่อยว่าเหตุใดซื่อจื่อยังไม่กลับมา”


 


 


เขาขานรับ ถอยออกไป


 


 


ผ่านไปไม่นาน ก็รีบวิ่งกลับมาอย่างร้อนรน รายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายาฉี ซื่อจื่อเขา…”


 


 


พระชายาฉีนั่งไม่ติดเก้าอี้ ลุกพรวดขึ้นมา ถามอย่างใจร้อนว่า “เซวียนเอ๋อร์เป็นอะไรไป”


 


 


“ซื่อจื่อเขา…” ทหารยังไม่ทันพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนที่อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ก็เดินเข้ามา


 


 


เห็นเขาอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ ชุดวิวาห์ก็ไม่รู้หายไปไหน พระชายาฉีคิดว่าพวกเขาถูกลอบจู่โจมอีกจนตัวเซไปมา


 


 


อ๋องฉีก็ลุกขึ้นยืน ถามเสียงขรึมว่า “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


ใบหน้าหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความสุข พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่ว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ โยวเอ๋อร์มีครรภ์แล้วขอรับ”


 


 


ทั้งสองชะงัก


 


 


ฮ่องเต้และฮองเฮาก็มองเขาอย่างไม่น่าเชื่อ


 


 


เห็นพวกเขาชะงักไป หวงฝู่อี้เซวียนพูดทวนอีกรอบ


 


 


พระชายาฉีได้ยินชัดเจนแล้ว เรียกสติกลับมา สาวเท้าเดินขึ้นไปหาพวกเขา น้ำตาเอ่อ เสียงสั่นเครือ ยื่นมือไปอยากจะสัมผัสเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ก็รีบดึงมือกลับประหนึ่งกลัวว่าจะทำให้นางเจ็บ มองตานางถามอย่างตื่นเต้นว่า “โยวเอ๋อร์ จริงหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพยักหน้า


 


 


อ๋องฉีก็อดกลั้นความตื่นเต้นนี้ไว้ไม่อยู่เดินขึ้นไปหาพวกเขา ปริปากจะถามอะไร แต่พึมพำอยู่ครู่ใหญ่ แล้วพูดเพียงไม่กี่ประโยคออกมาว่า “เร็วเข้า รีบอุ้มไปที่เรือนของเจ้า ให้หมอหลวงตรวจหน่อย”


 


 


ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ตกใจมาก สบตากัน ฮ่องเต้โบกมือ หลงเว่ยก็เหาะออกไปเชิญหมอหลวงมาทันที


 


 


“เสด็จลุง เสด็จป้า เซวียนเอ๋อร์ขอตัวนะขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด


 


 


ฮ่องเต้ยิ้มโบกมือ “รีบไป รีบไป ระวังหน่อย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขอบคุณ อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวไปห้องใหม่ของพวกเขา


 


 


พระชายาฉีกล่าวขอโทษแล้วก็ตามหลังไป


 


 


อ๋องฉีทนแล้วทนอีก สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เดินตามออกไป


 


 


ในโถงใหญ่เหลือเพียงฮ่องเต้และฮองเฮา และสาวใช้กับขันทีที่คอยรับใช้


 


 


ทั้งสองสบตากัน แล้วจึงลุกตามไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


เมื่อหลงเว่ยถึงสำนักหมอหลวง ก็นำตัวหมอหลวงเจียงไปโดยไม่พูดอะไร


 


 


หมอหลวงเจียงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าตนทำอะไรผิดจนมีโทษประหารชีวิต


 


 


หลงเว่ยเหาะเหินตลอดทางจนกลับมาจวนอ๋อง ถึงเรือนหวงฝู่อี้เซวียน นำตัวหมอหลวงเจียงที่มึนงง ไม่ได้สติวางลงบนพื้น


 


 


ลำตัวของหมอหลวงเจียงยังคงซวนเซไปมา ผ่านไปนานจึงหยุดนิ่ง ลืมตาขึ้นเห็นฮ่องเต้ทันที เขาตกใจจนคุกเข่าลงพลุบ “ฝ่าบาทได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถอะ”


 


 


ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร อ๋องฉีปริปากพูด “หมอหลวงเจียง เจ้าไปตรวจชีพจรให้แม่นางเมิ่งเดี๋ยวนี้”


 


 


ผ่านไปนานหมอหลวงเจียงจึงได้สติกลับมา ที่หลงเว่ยนำตัวเองมา ไม่ใช่เพราะจะประหารตน แต่ให้ตรวจชีพจรขององค์หญิงชิงเหอ เขาถอนหายใจอย่างโล่งใจ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปในห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนอนบนเตียงเงียบๆ หวงฝู่อี้เซวียนเฝ้าอยู่ข้างๆ นางอย่างตื่นเต้น พระชายาฉีก็มองนางอย่างตื่นเต้นเช่นกัน


 


 


เมื่อเห็นหมอหลวงเจียงเข้ามา พระชายาฉีรีบพูดขึ้นว่า “หมอหลวง เร็วเข้า ท่านช่วยวินิจฉัยอาการให้โยวเอ๋อร์หน่อย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น หลีกทางให้เขา


 


 


หมอหลวงเจียงนั่งลง ส่งสัญญาณให้พระชายาฉีวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนมือของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


พระชายาฉีร้อนรน รีบเอ่ยปากว่า “ไม่ต้องแล้ว ท่านช่วยจับชีพจรให้เลยแล้วกัน”


 


 


หมอหลวงเจียงนำมือไปวางบนชีพจรของเมิ่งเชี่ยนโยว เพียงครู่หนึ่ง เขาก็เบิกตากว้างด้วยสีหน้าไม่น่าเชื่อ หลังจากจับชีพจรทั้งสองข้างของนางอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วก็ลุกยืนขึ้น พูดอย่างยินดีว่า “พระชายาฉี ซื่อจื่อ ยินดีด้วยขอรับ องค์หญิงชิงเหอมีครรภ์แล้ว”


 


 


พระชายาฉีดีใจจนส่งเสียงร้องออกมา “โยวเอ๋อร์มีครรภ์จริงๆ หรือ”


 


 


หมอหลวงพยักหน้ายืนยัน “จริงขอรับ หนึ่งเดือนกว่าแล้ว”


 


 


“โยวเอ๋อร์ เจ้าได้ยินไหม เจ้ามีครรภ์แล้วจริงๆ”


 


 


พระชายาฉีร้องเสียงดังไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ


 


 


อ๋องฉีที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงร้องของพระชายาฉี ก็ถามเสียงสูงอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่ว่า “ยืนยันแล้วหรือ แม่นางเมิ่งมีครรภ์จริงๆ หรือ”


 


 


“จริงเพคะ หมอหลวงเจียงยืนยันแล้ว” พระชายาฉีตอบกลับเสียงสูงด้วยความดีใจ


 


 


อ๋องฉีดีใจจนเนื้อตัวสั่นระริก เงยหน้าหัวเราะมองฟ้าสามที เชื้อสายเรายังคงไม่สูญสิ้นสินะ

 

 

 


ตอนที่ 256 เจ้าย้ายออกไปเดี๋ยวนี้

 

 


 


เขายังคงครุ่นคิด เสียงตื่นเต้นเล็กน้อยของหมอหลวงเจียงก็เปล่งออกมาว่า “หากข้าวินิจฉัยไม่ผิด องค์หญิงชิงเหอน่าจะมีลูกแฝดขอรับ”


 


 


ในห้องเงียบงัน


 


 


ผ่านไปนาน เสียงพูดแหลมสูงอย่างตื่นเต้นและสับสนของพระชายาฉีก็ดังออกมาจากในห้องอย่างต่อเนื่อง “หมอหลวงเจียง ท่านพูดจริงหรือ แน่ใจแล้วหรือ วินิจฉัยผิดหรือเปล่า โยวเอ๋อร์ได้ลูกแฝดจริงๆ หรือ”


 


 


หมอหลวงเจียงยังไม่ทันตอบ อ๋องฉีที่ทนไม่ไหวก็หุนหันเข้ามาในห้องอย่างไม่สนเรื่องมารยาทอีกต่อไป น้ำเสียงตื่นเต้นกว่าพระชายาฉี “จริงหรือ”


 


 


หมอหลวงเจียงพยักหน้า “แม้จะเพิ่งตั้งครรภ์ แต่ข้าแน่ใจว่าองค์หญิงชิงเหอได้ลูกแฝด ยินดีด้วยขอรับ ท่านอ๋อง พระชายาอ๋อง ซื่อจื่อ”


 


 


ในใจหวงฝู่อี้เซวียนดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่ ลำตัวสั่นระริกนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ยื่นมือที่สั่นเทาของตนกุมมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ “โยวเอ๋อร์ เจ้าได้ยินแล้วหรือยัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างดีใจ


 


 


หมอหลวงเจียงเป็นหมอหลวงตำแหน่งสูงสุดในสำนักหมอหลวง วิชาการแพทย์แม่นยำและช่ำชองประสบการณ์ ในเมื่อเขาบอกว่าได้ลูกแฝด ก็ไม่ผิดแน่นอน ความปลาบปลื้มยินดีของอ๋องฉีและพระชายาฉีก็แทบจะล้นออกมา พระชายาฉียื่นมือไปดึงมือของหวงฝู่อี้เซวียนที่กุมมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ออกทันที พูดเตือนว่า “ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ โยวเอ๋อร์เพิ่งตั้งครรภ์เดือนแรก ต้องระวังเป็นพิเศษ เจ้ามือหนักเกินไป ต่อไปอย่าริอาจแตะต้องตัวนางอีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เสด็จแม่ ข้า…”


 


 


พระชายาฉีพูดขึ้นตัดบทเขาว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าดูแลโยวเอ๋อร์เอง เจ้าย้ายไปอยู่เรือนอื่นเสีย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดคัดค้านขึ้นว่า “เสด็จแม่ วันนี้คือวันสมรสของข้า ข้ายังไม่เข้าเรือนหอเลย”


 


 


พระชายาฉีโบกมืออย่างไม่แยแส “ลูกในท้องก็มีแล้ว ยังต้องเข้าเรือนหออีกทำไม แม่จะให้คนไปเก็บกวาดเรือนให้เจ้าตอนนี้เลย เจ้าย้ายออกไปเดี๋ยวนี้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปอ๋องฉีหวังขอความช่วยเหลือ เรียกอย่างเว้าวอนว่า “เสด็จพ่อ”


 


 


อ๋องฉีไอกระแอมไปทีหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “เสด็จแม่เจ้าพูดถูก”


 


 


คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนถูกกลืนกลับไปหมด


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสามคน หมอหลวงเจียงอยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า กลั้นไว้จนปวดท้อง


 


 


ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของทุกคนในห้อง สบตากันครู่หนึ่ง เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ‘งานมงคลสมรสที่ไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน ไม่เข้าเรือหอ เรื่องแบบนี้คงมีเพียงเซวียนเอ๋อร์คนเดียวแล้วล่ะ’


 


 


ฮ่องเต้ไอกระแอมไปทีหนึ่ง ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “พระอนุชา จวนอ๋องมีทายาทแล้ว นี่เป็นเรื่องดีเรื่องใหญ่เลยนา เจ้าไม่รีบออกมารินสุรามงคลให้เราดื่มหน่อยหรือ”


 


 


ฮองเฮาก็ยิ้มและพูดสำทับว่า “น้องสะใภ้ เจ้าก็ออกมาเถอะ นี่เป็นเรื่องมงคล อย่างน้อยให้เราได้ร่วมยินดีด้วยเถอะ”


 


 


ในเมื่อฮ่องเต้และฮองเฮาเอ่ยปากแล้ว ทั้งสองก็ไม่กล้าขัดขืน หลังจากพระชายาฉีพูดย้ำจ้ำจี้จ้ำไชหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ก็เดินออกมาพร้อมกับอ๋องฉี


 


 


หมอหลวงเจียงเดินตามหลังมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง ก็กุมมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แน่น เรียกด้วยเสียงตื้นตันใจว่า “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขาด้วยรอยยิ้ม


 


 


มือที่สั่นระริกของหวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ ยื่นออกไป วางลงบนท้องของนางอย่างเบามือ ค่อยๆ ลูบสัมผัส น้ำตาคลอเบ้า


 


 


ณ จวนตระกูลเมิ่ง


 


 


ซุนเหลียงไฉวิ่งกลับจวนตระกูลเมิ่งหายใจหอบหนัก วิ่งไปเรือนของเมิ่งชื่อ เสียงหายใจหอบพลางมองทุกคน


 


 


ทุกคนตกใจ


 


 


ซุนเชี่ยนเดินขึ้นไปตีเขาไปทีหนึ่ง ยิ้มแล้วถามว่า “เป็นอะไรหรือ ถูกตีไล่กลับมาหรือ”


 


 


ภาพที่พวกเขาถูกสกัดจุดลอยขึ้นมาในหัวทุกคนอีกครั้ง เสียงหัวเราะก็ดังแผดขึ้นในห้องอีกครั้ง


 


 


“โยวเอ๋อร์ท้องแล้ว!” ซุนเหลียงไฉพูด


 


 


ทั้งห้องพลันเงียบงัน


 


 


ทุกคนเบิกตาโตมองไปที่เขา


 


 


“โยวเอ๋อร์ท้องแล้ว!” ซุนเหลียงไฉพูดซ้ำ


 


 


เมิ่งชื่อเดินไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียวก็ถึงข้างหน้าเขา ถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ และร้อนรนว่า “เหลียงไฉ เจ้าพูดว่าอะไรนะ เจ้าพูดอีกทีสิ”


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดซ้ำอีกรอบ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งฉีตกใจจนลุกยืนพรวด


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร” เมิ่งชื่อพูดพึมพำอย่างไม่เชื่อ


 


 


“เป็นเรื่องจริงขอรับ ระหว่างทางเกี้ยวหยุดลง ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไปสืบความมา คนใช้จวนอ๋องบอกข้าเอง ไม่ผิดแน่นอนขอรับ” ซุนเหลียงไฉพูดอย่างมั่นใจ


 


 


เมิ่งชื่อยังคงรู้สึกไม่น่าเชื่อ “เสียนเอ๋อร์ก็ไปส่งตัวด้วย หากโยวเอ๋อร์ท้องจริง เขาต้องส่งคนกลับมาแจ้งข่าวแน่”


 


 


ซุนเชี่ยนตบไหล่ซุนเหลียงไฉแรงๆ ไปทีหนึ่ง พูดอย่างเคร่งครัดว่า “ซุนเหลียงไฉ เจ้ารู้ว่าร่างกายของโยวเอ๋อร์เป็นอย่างไร เรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาพูดล้อเล่นนะ”


 


 


เมื่อเห็นทุกคนไม่เชื่อ ซุนเหลียงไฉเริ่มร้อนรน “ก็เพราะว่ารู้ว่าร่างกายโยวเอ๋อร์เป็นอย่างไร ข้าจึงรีบวิ่งกลับมาบอกพวกท่านไง”


 


 


นิสัยของซุนเหลียงไฉ เมิ่งชื่อก็เข้าใจดี ถึงแม้บางครั้งเขาจะเป็นคนประหลาดไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะมาพูดจาเหลวไหลแน่นอน เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็เชื่อสิ่งที่เขาพูด


 


 


ความชื่นมื่นยินดีปรากฏบนใบหน้าของนางอย่างซ่อนไว้ไม่อยู่ นางจึงรีบสั่งว่า “ฉีเอ๋อร์ รีบไปเตรียมรถม้า เราไปจวนอ๋องเดี๋ยวนี้เลย”


 


 


เมิ่งฉีขานรับอย่างดีใจ แล้วหันหลังวิ่งไปหลังเรือน


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่ แต่ก็ยังพอมีสติ เอ่ยปากเตือนเมิ่งชื่อ “วันนี้เป็นวันสมรสของโยวเอ๋อร์ ครอบครัวเราไปคงไม่ค่อยเหมาะสมนะ”


 


 


เมิ่งชื่อไม่สนใจ “ช่างประไร ลูกสาวข้าท้อง ข้าต้องไปหาเดี๋ยวนี้!” พูดจบ ก็เดินสาวเท้าออกไป


 


 


ซุนเชี่ยนและหวังเยียนเดินตามหลังไป


 


 


ทุกคนในห้องต่างลุกพรวดออกไปทันที เหลือเพียงเมิ่งเอ้ออิ๋นและซุนเหลียงไฉ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตามทุกคนออกไป


 


 


มองซ้ายทีขวาที ในห้องไม่เหลือใครเลย ซุนเหลียงไฉจึงรีบตามออกไป


 


 


ทุกคนเดินไปถึงหน้าประตู เหวินเปียวและเมิ่งฉีนำรถม้ามาสองคัน เมิ่งซื่อขึ้นรถม้า สั่งอย่างรีบร้อนว่า “เร็วเข้า ไปจวนอ๋อง”


 


 


ด้วยเหตุนั้น หวงฝู่อี้เซวียนผู้น่าสงสารเพิ่งได้นั่งลง ยังไม่ทันได้นั่งคุยดีๆ กับเมิ่งเชี่ยนโยว เสียงของชิงหลวนจากในเรือนก็ดังขึ้น “นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ”


 


 


“โยวเอ๋อร์ล่ะ” เมิ่งชื่อถามด้วยความร้อนรน


 


 


“นายหญิงอยู่ในห้องเจ้าค่ะ ซื่อจื่อ…” ชิงหลวนยังไม่ทันพูดจบ เมิ่งซื่อก็เปิดม่านประตูเดินเข้ามาทันที


 


 


เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวนอนอยู่บนเตียง รีบเดินขึ้นไป ดันหวงฝู่อี้เซวียนออก ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”


 


 


“เสด็จแม่ ข้าสบายดีเจ้าค่ะ ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหน เพียงแต่ตอนมาระหว่างทาง ข้าอาเจียนใส่อี้เซวียนจนเลอะไปทั้งตัว” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเสียงเบา


 


 


ในขณะที่เมิ่งชื่อโล่งใจ น้ำเสียงก็ปะปนด้วยคำติเตียน “อย่างนั้นก็ดีแล้ว เจ้าน่ะรู้สึกไม่สบายทำไมไม่บอกแต่แรก ถ้าเป็นอะไรไป…” พูดถึงตรงนี้ ก็นึกอะไรขึ้นได้ รีบถุยสองสามที “ถุย ถุย ถุย เมื่อกี้ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ


 


 


ซุนเชี่ยนเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “น้องเล็ก เจ้าอาจจะเพิ่งตั้งครรภ์ได้ไม่นาน เพิ่งเริ่มมีอาการ ต้องระวังหน่อยนะ อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ซ้อใหญ่”


 


 


เสียงของหวังเยียนเปี่ยมไปด้วยความปิติ จึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องเล็ก ซ้อรองรู้ว่าวันนี้เจ้าเพิ่งแต่งงาน แต่บางเรื่องก็ควรระวังหน่อย ทางที่ดีที่สุดอย่า…”


 


 


ทุกคนในห้องอาบน้ำร้อนมาก่อน ความหมายของนางคืออะไร ทุกคนต่างรู้ดี เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ หน้าเริ่มแดง ได้แต่พยักหน้าเบาๆ “รู้แล้วเจ้าค่ะ ซ้อรอง ข้าจะระวัง”


 


 


เมิ่งฉีเหลือบมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรีบพยักหน้า “ขอรับ พี่รอง ข้าจะระวัง”


 


 


ซุนเหลียงไฉที่ตามหลังมาเห็นสภาพของหวงฝู่อี้เซวียน ความคับแค้นที่อดกลั้นในใจก็มลายไปบ้าง รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย


 


 


เมิ่งชื่อถามต่อว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง หิวไหม”


 


 


ตอนเช้าทานแค่ไข่ต้มไปสองฟอง แต่ระหว่างทางก็อาเจียนออกไปหมดแล้ว ตอนนี้ถึงรู้สึกว่าตัวเองหิว เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ “ท่านแม่ ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ อยากกินอาหารฝีมือท่านแม่”


 


 


เมิ่งชื่อลุกขึ้นยืนทันที “อยากกินอะไร แม่ไปทำให้เดี๋ยวนี้เลย”


 


 


“ข้าวต้มกับกับข้าวสองสามอย่างก็พอแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากทานอย่างอื่น”


 


 


“ได้เลยลูกแม่ ข้าจะไปทำให้เดี๋ยวนี้แหละ” พูดจบ ก็ก้าวเท้าเดินออกไป


 


 


เดินไปไม่กี่ก้าวก็หันหลังกลับมาพูดว่า “อี้เซวียน เจ้ามากับแม่สิ แม่ไม่รู้ว่าห้องครัวของจวนอ๋องอยู่ตรงไหน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจึงเดินตามออกไปทันที แล้วพาเมิ่งชื่อไปถึงห้องครัว


 


 


วันนี้คนในครัวเยอะเป็นพิเศษ เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา ต่างตกใจ และรีบคารวะเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ “ทำต่อเถอะ เหลือเตาไว้หนึ่งเตาก็พอ”


 


 


คนดูแลห้องครัวรีบสั่งให้คนเว้นที่เตาไว้หนึ่งเตาทันที


 


 


หลังจากเมิ่งชื่อถามที่เก็บถังข้าวสารแล้ว ก็นำข้าวสารออกมา ล้างข้าวจนสะอาด แล้วจึงเทใส่ในหม้อ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคอยเดินตามอยู่ข้างหลังตลอด


 


 


ระหว่างที่เมิ่งชื่อทำอาหารก็สอนเขาไปด้วย “คนในตำหนักนั้นมีมาก อาจบกพร่องไปบ้าง ตอนนี้โยวเอ๋อร์มีครรภ์ จะทานอะไรแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ถ้าแม่ไม่อยู่ เจ้าควรลงมือทำข้าวต้มด้วยตัวเองจะเป็นการดีที่สุด”

 

 

 


ตอนที่ 257 เจ้าอยู่อันดับที่สี่

 

 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าตอบ “ขอรับ ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว”


 


 


นางปล่อยให้ข้าวต้มต้มในหม้อ แล้วทำกับข้าวอีกสองอย่างซึ่งเป็นกับข้าวที่นางทำจนถนัดเมื่อตอนอยู่บ้านนอก ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็เสร็จ


 


 


ส่วนข้าวต้ม นางก็ปล่อยให้ต้มต่ออีกครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าวต้มน่ะ เป็นอาหารดีต่อสุขภาพที่สุดแล้ว คนตั้งครรภ์จะกินทุกวันก็ไม่เป็นอะไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจำไว้ทั้งหมด


 


 


เมื่อทำเสร็จทั้งหมดแล้ว ก็นำถาดมาหนึ่งใบ หวงฝู่อี้เซวียนนำข้าวต้มถ้วยใหญ่หนึ่งถ้วยกับกับข้าวสองอย่างวางลงบนถาด และเดินถือกลับไปที่ห้องของตนอย่างระมัดระวัง


 


 


เมิ่งชื่อเดินตามหลังไปอย่างมีความสุข


 


 


เฝิงจิ้งซูก็ได้ข่าวเมิ่งเชี่ยนโยวตั้งครรภ์เช่นกัน จึงอุ้มลูกตนมาเยี่ยมเยียน จำนวนคนในห้องก็เยอะขึ้น


 


 


ซุนเชี่ยน หวังเยียน เฝิงจิ้งซูทั้งสามคนสลับกันพูดกำชับเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวพึงระวังให้นางฟัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกอาหารเข้ามาในห้อง ดวงตาเมิ่งเชี่ยนโยวพลันลุกวาว นางทำจมูกดมฟุดฟิด เตรียมจะลุกขึ้นนั่ง “หอมจังเลย ข้ายิ่งหิวแล้วเนี่ย”


 


 


เห็นนางใช้แรง หวงฝู่อี้เซวียนตกใจจนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง อาหารที่อยู่ในมือก็เกือบจะถูกโยนทิ้งไป พูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “เจ้าอย่าขยับเขยื้อนตัวสิ ให้ข้าพยุงเจ้าเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอก สภาพร่างกายข้า ข้ารู้ดี ไม่เป็นอะไรหรอก…” ยังไม่ทันพูดจบ อาการปั่นป่วนคลื่นไส้ก็มาเยือนอีกครั้ง นางรีบป้องปากตนเองไว้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกังวลจนเหงื่อซึมบนใบหน้า


 


 


ซุนเชี่ยนโค้งตัวลง ช่วยตบหลังเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ


 


 


ชิงหลวนนำกระโถนสะอาดมาใบหนึ่งวางลงข้างเตียง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนำมือออกและทำท่าผะอืดผะอมใส่กระโถนทันที


 


 


เสียงคลื่นไส้นั้นทรมานเหลือเกิน ไม่เพียงหวงฝู่อี้เซวียนที่สงสารนาง ทุกคนในห้องก็เป็นเช่นกัน เมิ่งชื่อรีบเดินขึ้นไปหา ถามไม่ขาดสายว่า “ทำไมอาการแพ้ท้องถึงรุนแรงขนาดนี้ จะให้ทำอย่างไรดีนี่”


 


 


นางรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้อาเจียนอะไรออกมา แต่ความรู้สึกคลื่นไส้ก็ผ่อนเบาไปบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเงยหน้าขึ้น รับผ้าเช็ดหน้าที่จูหลียื่นมาให้เช็ดปากจนสะอาด ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ นั่งพิงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ เมื่อกี้หมอหลวงมาแล้วบอกว่าเป็นลูกแฝด อาจจะมีอาการแพ้ท้องรุนแรงกว่าคนอื่นเจ้าค่ะ”


 


 


“ลูกแฝด!” เมิ่งชื่อร้องเสียงหลงด้วยความดีใจ


 


 


ทุกคนในห้องได้ยินดังนั้นก็ดีใจมากเช่นกัน


 


 


สีหน้ากังวลของหวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ หายไป แล้วเผยอยิ้มแห้งๆ ออกมา


 


 


สิ่งที่เมิ่งชื่อพูดต่อจากนี้กลับทำให้รอยยิ้มแห้งๆ ของเขาแข็งทื่ออยู่บนใบหน้า “ลูกแฝดจะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ จากวันนี้ไป แม่จะอยู่นี่ ให้อี้เซวียนไปอยู่เรือนอื่นเสีย”


 


 


หากเป็นพระชายาฉีพูด หวงฝู่อี้เซวียนยังกล้าคัดค้านบ้าง แต่เมื่อเมิ่งชื่อพูดแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะพูดคัดค้านสักคำ ได้แต่เปลี่ยนรอยยิ้มที่แข็งทื่อบนใบหน้าของตนเป็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียนที่ตกกระป๋องทันทีด้วยความเวทนา จึงช่วยแก้สถานการณ์ให้เขาว่า “ท่านแม่ ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งชื่อถูกเบี่ยงเบนความสนใจ ยกอาหารที่อยู่ในถาดออกมา ใช้ช้อนตักลงไปคำหนึ่ง เป่าจนหายร้อนแล้ว จึงป้อนให้เมิ่งเชี่ยนโยวทาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอ้าปากกินและกลืนอาหารลงไป


 


 


“ท่านแม่ ให้ข้าทำเถอะขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนที่ยังคงถือถาดอยู่ในมือพูดขึ้น


 


 


เมิ่งชื่อส่ายหัว “เจ้าน่ะ ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน เดี๋ยวก็งุ่มง่ามไม่ระวังถูกตัวโยวเอ๋อร์อีก ให้ข้าทำเองเถอะ”


 


 


ตอนที่โยวเอ๋อร์ป่วยข้าเป็นคนดูแลตลอด เรื่องแบบนี้ข้าทำมามากแล้ว ถนัดจะตายไป หวงฝู่อี้เซวียนคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองเขาด้วยความสงสารอีกครั้ง หลังจากกลืนข้าวต้มลงไปคำหนึ่ง ก็ช่วยพูดสิ่งที่เขาคิดออกมา “ท่านแม่ ตอนที่ข้าป่วย อี้เซวียนเป็นคนป้อนข้าตลอด เขาทำได้นะเจ้าคะ”


 


 


“นั่นมันไม่เหมือนกัน ตอนนี้เจ้าบอบบางเกินไป หากเขาไม่ระวังโดนตัวเจ้าจะทำอย่างไร ฟังแม่เถอะ ต่อไปเรื่องป้อนข้าว แม่จะทำเอง” เมิ่งชื่อพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาอย่างช่วยไม่ได้ให้หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนถมึนทึงทันที


 


 


“ทำไม เจ้าไม่ยอมรึ” เมิ่งชื่อถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรีบยิ้มเอาใจทันที “เปล่าขอรับ ข้าไม่มีประสบการณ์อะไรเลย อยากให้ท่านแม่อยู่ดูแลใจจะขาดขอรับ”


 


 


เมิ่งชื่อค่อยรู้สึกพอใจ ป้อนเมิ่งเชี่ยนโยวทานข้าวต้มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


 


 


เห็นท่าทางน่าสงสารของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งฉีก็เริ่มรู้สึกสงสารเขา จึงเดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ พูดอย่างมีนัยว่า “อี้เซวียน วันที่ยากลำบากเพิ่งเริ่มต้น ต่อไปยังมีวันที่หนักกว่านี้อีก ข้าขอแนะนำเจ้าว่ามีลูกสองคนดีที่สุด ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้สบายใจ หากเป็นลูกสาว…” พูดถึงตรงนี้ สายตาน่าเวทนาของเขาก็จ้องมองไปที่กับข้าวที่เขาถืออยู่ “ตำแหน่งของเจ้าอาจจะสู้นางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”


 


 


พูดจบ ก็ตบไหล่เขาเบาๆ ด้วยความสงสารอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเข่าอ่อน


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะพลางตำหนิเมิ่งฉี “ดูซิว่าเจ้าพูดอะไรออกไป อี้เซวียนเป็นพี่น้องเจ้า และยังเป็นน้องเขยเจ้าด้วย ใครเขาขู่เล่นกันแบบนี้ อย่างแย่ที่สุดก็แค่เมื่อลูกคลอดออกมาแล้ว ตำแหน่งของเขาก็แค่อยู่ลำดับที่สี่เอง”


 


 


เมื่อนางพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เกือบจะพ่นข้าวต้มที่อยู่ในปากออกมา


 


 


ซุนเชี่ยนและหวังเยียนหัวเราะพรวด


 


 


เมิ่งฉีเหลือบมองเขาอย่างเวทนาอีกครั้ง ส่ายหัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วถอยออกไป


 


 


ซุนเหลียงไฉเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตบไหล่หวงฝู่อี้เซวียนเบาๆ “สหายเอ๋ย ตั้งแต่ที่มีเจ้าฮุ่ยจื่อในบ้านข้าก็ตกกระป๋องไปเลย ข้าคิดว่าข้าแย่ที่สุดแล้ว ไม่คิดว่าเจ้าจะแย่กว่าข้าอีกนะ อย่างน้อยข้าแค่ที่สาม แต่เจ้ากลับตกไปที่สี่เลย” พูดจบ ก็ตบบ่าเขาอย่างหนักแน่น “เห็นแก่ความทุกข์ยากของเจ้า เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดเราจบกันแค่นี้นะ จากนี้ไป เรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันนะ”


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำหนักมือของเขาหนักเกินไป หรือเพราะหวงฝู่อี้เซวียนที่ตกใจ ถาดอาหารในมือเขาสั่นไหว กับข้าวสองจานที่อยู่บนถาดก็กระเด็นหกออกมาเล็กน้อย ซุนเชี่ยนเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ เดินขึ้นไปหยิกหูซุนเหลียงไฉ แล้วดึงไปด้านข้าง พูดว่า “เจ้าระวังหน่อยสิ นี่เป็นอาหารที่น้องเล็กชอบกินทั้งหมดเลยนะ ถ้าหกออกมาหมด ดูซิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”


 


 


ซุนเหลียงไฉเจ็บจนร้องเสียงหลง “ขอรับ พี่ พี่ พี่เบาหน่อย ข้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของพี่นะ”


 


 


ทุกคนในห้องหัวเราะ


 


 


ซุนเชี่ยนก็หัวเราะ นางปล่อยมือออก หัวเราะแล้วด่าว่า “อายุขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้จักโตอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาพลางยิ้ม มือวางลงบนท้อง หัวใจพลันถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่น


 


 


บ้านตระกูลเมิ่งเดินทางมาตำหนักอ๋องกันหมด อ๋องฉีและพระชายาฉีก็ทราบข่าวนี้ทันที อ๋องฉีที่กำลังสนทนากับฮ่องเต้และฮองเฮานั่งอยู่ที่เดิม พระชายาฉีกลับลุกขึ้น คารวะฮ่องเต้และฮองเฮา กล่าวขอประทานโทษว่า “ญาติหม่อมฉันมาเพคะ หม่อมฉันต้องไปต้อนรับ ฝ่าบาทและฮองเฮาได้โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”


 


 


กล้าดีอย่างไรเห็นครอบครัวบ้านนอกสำคัญกว่าตน ฮ่องเต้และฮองเฮาแสดงความไม่พอใจอยู่แวบหนึ่ง แล้วฮองเฮาจึงรีบโบกมือยิ้มพูดว่า “รีบไปเถอะ เรากับฮ่องเต้ไม่ใช่คนนอก องค์หญิงชิงเหอมีครรภ์ แม้ครอบครัวนางจะมาในวันที่ไม่ควรมา เจ้าก็อย่าคิดมากไปล่ะ”


 


 


คำพูดหนึ่งตีความได้สองความหมาย ความหมายหนึ่งคือเจ้าไม่รู้จักมารยาท ทิ้งฮ่องเต้และฮองเฮาผู้สูงส่งไปอยู่กับบ้านตระกูลเมิ่ง อีกความหมายหนึ่งคือบ้านตระกูลเมิ่งไม่รู้จักมารยาท มาหาลูกสาวตนในวันที่ลูกสาวแต่งออกเรือนไป แม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะมีครรภ์ ก็ไม่ถูกต้องอยู่ดี


 


 


พระชายาฉีเข้าใจความหมายของฮองเฮาทันที แต่จะใหญ่หรือสูงส่งเพียงไหน ก็สู้ลูกที่อยู่ในท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ ตอนนี้นางเป็นบุคคลสำคัญที่ทั้งบ้านต้องปกป้องและดูแล สถานะของครอบครัวนางย่อมเป็นดั่งน้ำขึ้นเรือย่อมสูง อีกอย่าง อยู่กับครอบครัวเมิ่งแล้วสบายใจกว่าอยู่กับพวกเขาสองคนมาก พระชายาฉีจึงทำทีไม่เข้าใจความหมายของนาง กล่าวขอบคุณอย่างดีอกดีใจ แล้วเดินจากไปอย่างสบายอารมณ์


 


 


แม้จะเป็นเพียงแวบหนึ่ง แต่อ๋องฉีก็สังเกตเห็นแววตาบนใบหน้าของพวกเขา แม้ไม่ได้ปรากฏบนใบหน้า แต่ก็รู้ว่าไม่ได้พอใจนัก เขาคารวะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงปะปนด้วยความเย็นชาว่า “เสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้ น้องสมควรให้พวกท่านเสวยพระกระยาหารที่นี่ แต่วันนี้คนเยอะ เกรงว่าจะมีอันตราย ท่านทั้งสองโปรดกลับไปเสวยพระกระยาหารในวังเถิดพะยะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้จะไม่รู้ความหมายของเขาได้อย่างไร นี่คือการไล่ตนและฮองเฮากลับไป หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปแล้ว แต่จุดประสงค์ที่เขามาวันนี้ก็เพื่อขอคืนดี และโน้มน้าวให้อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนเป็นมือซ้ายและมือขวาของเขา แล้วจะให้ยอมจากไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ฮ่องเต้หัวเราะแล้วพูดว่า “พระอนุชาพูดเป็นเล่นไป มีเจ้าอยู่ในตำหนัก เราวางใจจะตายไป”


 


 


อ๋องฉีไม่คิดว่าเขาจะไม่ยอมไป เกิดอิจฉาพระชายาฉีขึ้นมาทันที นางหาข้ออ้างออกจากที่นี่ไปได้ ทิ้งให้เขาเผชิญหน้ากับพวกเขาอยู่คนเดียว เขาไม่มีความรู้สึกอยากอาหารแต่อย่างใด แต่ก็ยิ้มตอบตกลง สั่งเสียงทุ้มต่ำว่า “ยกอาหารมา”


 


 


คนใช้ขานรับ อาหารรสเลิศหลากหลายจานถูกยกเข้าไปในห้อง


 


 


อ๋องฉีใช้ตะเกียบกลางคีบอาหารอย่างละหนึ่งคีบจากทุกจานแล้วทานลงไปด้วยตนเอง เพื่อชิมและพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มียาพิษ ถึงแม้เป็นเช่นนั้น ก็ยังมีขันทีลองชิมอาหารทั้งหมดอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มียาพิษจริงๆ แล้ว ฮ่องเต้และฮองเฮาจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเสวยอย่างสง่างาม


 


 


ฮ่องเต้เสวยไปไม่กี่คำก็วางตะเกียบลงเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ พูดอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “ครอบครัวขององค์หญิงชิงเหอมาแล้ว เซวียนเอ๋อร์ไม่น่ามีธุระอะไรแล้วหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเรียกเขามาทานอาหารกับเราเถอะ เขาไม่ได้ทานอาหารกับเรามาจวนจะปีหนึ่งแล้ว”


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย สั่งคนใช้ว่า “ไปดูว่าซื่อจื่อว่างไหม บอกว่าฝ่าบาทเรียกมาเข้าเฝ้า”


 


 


อ๋องฉีฉลาดพูดนัก ที่เรียกให้เจ้ามาเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ ไม่ใช่คำสั่งของพ่อ หากเจ้าโมโห ก็ให้ไปลงที่พวกเขา


 


 


บัดนี้หวงฟู่อี้เซวียนไม่มีความโกรธอันใด แต่กลับรู้สึกอยากตายแทน เพราะว่าหลังจากที่ท่านแม่ผู้ประเสริฐของเมิ่งเชี่ยนโยวมา ก็เข้าขากับแม่ของเขาได้เป็นอย่างดีหลังคุยกันได้เพียงไม่กี่คำทันที นางจัดแจงเรือนที่อยู่ห่างจากเรือนหอของเขาไปสามระเบียงบ้าน และให้เขาย้ายไปตั้งแต่คืนนี้ และยังทำเป็นพูดดีว่า “ที่เราทำไปก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น หากอยู่ใกล้ไป เจ้าจะมัวแต่มาหาโยวเอ๋อร์ ทำให้นางไม่ได้พักผ่อนดูแลครรภ์ดีๆ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนอยากจะร้องโวยวายเหลือเกิน คนที่นอนอยู่บนเตียงคือภรรยาข้า ครรภ์ที่อยู่ในท้องนางคือลูกข้า เราทั้งครอบครัวควรอยู่ด้วยกันทุกที่ทุกเวลาสิ และยังผุดความคิดว่า โยวเอ๋อร์มีครรภ์ยากไม่ใช่หรือ ทำไมไม่รอสักสามปีห้าปี ไม่สิ สักสิบปี แปดปี ไม่ๆ สักสามสิบปีแล้วค่อยมีครรภ์ล่ะ จะได้ไม่ต้องมีใครมาแย่งภรรยาตนเองไป


 


 


ที่น่าเศร้าคือ เขาไม่กล้าพูดมันออกมา ที่สำคัญคือ ความคิดของเขาก็เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ เขารีบสลัดความคิดนี้ไปจากหัว หากพระชายาฉีรู้เข้าว่าเขามีความคิดเช่นนี้ เกรงว่าพระชายาฉีผู้สง่ามีสกุลและอ่อนโยนคงถือมีดไล่ฆ่าเขาอย่างไม่สนใจภาพพจน์เป็นแน่


 


 


เมื่อคนใช้มารายงาน ความโมโหของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไปลงที่คนใช้จนหมด “เจ้าไปบอกฝ่าบาทว่า ภรรยาข้ามีครรภ์ ข้าต้องคอยรับใช้นางทุกเมื่อ ไม่มีเวลาว่างไปอยู่กับคนที่ไม่ข้องเกี่ยว”


 


 


ความลำบากมาตกอยู่ที่คนใช้ทันที นั่นคือฮ่องเต้เบื้องสูงสุดเชียวนะ คำพูดเช่นนี้ห้ามทูลบอกเด็ดขาด แต่ถ้าไม่พูด กลับไปจะกราบทูลฮ่องเต้อย่างไรล่ะ เขาจนปัญญา คิดแล้วคิดอีก จึงไปหาผู้ดูแลบ้าน เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง


 


 


ผู้ดูแลบ้านได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว ผ่านไปนานจึงสั่งเขาว่า “เจ้าบอกไปว่าพระชายาซื่อจื่อไม่สบาย ซื่อจื่อไม่วางใจ ออกมาไม่ได้”


 


 


คนใช้พยักหน้า กลับไปรายงาน


 


 


ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทรงกริ้วในใจ พยายามอดกลั้นไว้ เสวยอาหารไปครู่หนึ่ง สีหน้าจึงค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิม


 


 


อ๋องฉีแกล้งทำเป็นไม่เห็น กลับทานอาหารบนโต๊ะอย่างรื่นเริงใจประหนึ่งไม่เคยทานมาก่อน


 


 


ฮ่องเต้ใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีหักห้ามใจตนเองไม่เขวี้ยงจานที่อยู่ข้างๆ ตนไปทางเขา


 


 


หลังจากได้ระบายลงคนใช้ไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนค่อยรู้สึกสบายใจ ค่อยๆ เดินเข้าใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว ยื่นมือไปหวังจะจับมือนาง แต่กลับถูกสายตาแหลมคมของพระชายาฉีเห็น นางร้องเสียงแหลมว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไรน่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นว่าอีกนิดเดียวก็จะสัมผัสโดนมือของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เขารีบชักมือกลับมา ยิ้มเลิกลั่กพูดว่า “เสด็จแม่ ข้าแค่อยากถามโยวเอ๋อร์ว่ามีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่าขอรับ”

 

 

 


ตอนที่ 258 อาการบาดเจ็บมีผลกระทบต่อคร...

 

 


 


เมื่อพระชายาฉีเข้ามา ญาติผู้ชายทุกคนก็ออกจากห้องไป ตอนนี้เหลือเพียงพระชายาฉี เมิ่งชื่อ ซุนเชี่ยน และหวังเยียนอยู่ในห้อง


 


 


ส่วนภรรยาของซุนเหลียงไฉ จูหลาน และเหวินซื่อนั้น เพราะว่าพวกเขาอุ้มลูกมาด้วย กลัวว่าจะรบกวนเมิ่งเชี่ยนโยวพักผ่อน จึงออกจากห้องไปด้วย


 


 


พระชายาฉีโบกมือเรียกหวงฝู่อี้เซวียน “เซวียนเอ๋อร์ มานี่ซิ แม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ “เสด็จแม่ ท่านพูดมาเลย ลูกฟังอยู่ขอรับ”


 


 


พระชายาฉีลุกขึ้นเดินไปตรงกลางระหว่างเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน ชี้ไปที่หวงฝี้เซวียนและพูดขึ้นว่า “ถอยไป”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง


 


 


พระชายาฉีเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว พูดต่อ “ถอยไป!”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถอยไปอีกหนึ่งก้าว


 


 


พระชายาฉีเดินขึ้นหน้าไปอีกหนึ่งก้าว เพื่อบอกให้เขาถอยไปอีก


 


 


ถอยไปจนห่างจากตำแหน่งเดิมที่เขาเคยยืนห่างจากเมิ่งเชี่ยนโยว พระชายาฉีจึงพูดอย่างพอใจว่า “นี่คือระยะห่างปลอดภัยของเจ้ากับเมิ่งเชี่ยนโยว ก่อนนางจะคลอด เจ้าห้ามเข้าใกล้นางแม้เพียงหนึ่งก้าว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนอยากจะคุกเข่าเว้าวอนพระชายาฉีเสียเหลือเกิน ใต้ฟ้านี้มีแม่แบบนี้ด้วยหรือ ลูกชายที่ตนขนานว่ารักดั่งแก้วตาดวงใจ แต่กลับถูกสั่งให้เว้นระยะห่างจากภรรยาตนเองไกลแสนไกล ซ้ำยังสั่งห้ามเข้าใกล้ภายในสิบเดือนนี้อีก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างไม่พอใจว่า “เสด็จแม่ ข้าเป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านนะขอรับ”


 


 


หมายถึงว่าท่านทำต่อลูกเช่นนี้ได้หรือ


 


 


พระชายาฉีแสร้งไม่รู้เรื่อง โบกมืออย่างไม่แยแสว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องบอก ทุกคนเขาก็รู้กันหมด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำจนปวดท้อง จนสุดท้ายก็กลั้นไว้ไม่อยู่ นางพ่นหัวเราะออกมา แต่ดันสำลักน้ำลายตนเอง จนไอออกมา


 


 


พระชายาฉีและเมิ่งชื่อแทบจะเหาะเหินไปหานางทันที พวกนางรีบตบหลังและถามขึ้นพร้อมกันว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพลางไอ “ท่านแม่ พระชายาฉี ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”


 


 


ทั้งสองจึงโล่งใจ พระชายาฉีจ้องเขม็งไปที่หวงฝู่อี้เซวียน พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เพราะเจ้าเลย หากไม่ใช่เจ้า โยวเอ๋อร์คงไม่ลำสัก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนผู้น่าสงสารทำได้เพียงเบิกตาโตมองเสด็จแม่ของตนด้วยสายตาน่าสงสาร


 


 


พระชายาฉีกลับไม่สนใจเขา โบกมืออย่างรำคาญว่า “วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของเจ้า ข้างนอกมีแขกรอเจ้าไปดื่มอวยพรอยู่น่ะ เจ้ารีบไปเถอะ ดื่มไม่เมาไม่ต้องกลับมา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้แต่คิดหวังว่าตนไม่ใช่ลูกโดยแท้ของพระชายาฉี


 


 


นางมิ่งซื่อสงสารหวงฝู่อี้เซวียนที่เป็นทั้งลูกชายและลูกเขยของตน จึงยิ้มพลางพูดขอความเป็นธรรมให้ว่า “เซวียนเอ๋อร์ไม่ชอบดื่มสุรามาแต่เล็ก อย่าไปเลยดีกว่า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพลันดีใจ “ขอบคุณท่านแม่ขอรับ”


 


 


“แต่ว่า เจ้าอย่าอยู่ในห้องเลย เกรงว่าจะกระทบต่ออารมณ์ของโยวเอ๋อร์” เมิ่งชื่อกล่าว


 


 


รอยยิ้มหวงฝู่อี้เซวียนเกร็งอยู่บนใบหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่อีกครั้ง ความรู้สึกคลื่นไส้ก็มาเยือนอีกครั้ง นางรีบโน้มตัวไปขอบเตียง อ้าปาก แล้วอาเจียนอาหารที่เพิ่งทานลงไปเมื่อครู่ออกมาหมด


 


 


ทุกคนวุ่นขึ้นอีกครั้ง บ้างตบหลัง บ้างรินน้ำให้ หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินขึ้นมา มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความกังวล


 


 


ครั้งนี้อาเจียนจนถุงน้ำดีจะสำรอกออกมาด้วย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงค่อยรู้สึกดีขึ้น นางเงยหน้าขึ้นบ้วนปาก


 


 


เมิ่งชื่อช่วยเช็ดปากให้ด้วยความสงสาร เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปนอนบนเตียงด้วยสีหน้าซีดเซียวอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรง


 


 


พระชายาฉี เมิ่งชื่อ ซุนเชี่ยน หวังเยียนต่างเคยคลอดลูก แต่ไม่มีใครมีอาการเหมือนนางที่อาเจียนบ่อยขนาดนี้ ทุกคนต่างกังวลและร้อนรนใจ เมิ่งชื่อพูดขึ้นว่า “เป็นแบบนี้ต่อไปโยวเอ๋อร์และลูกไม่ไหวแน่ เชิญหมอมาดูเถอะ”


 


 


หมอหลวงเจียงผู้น่าสงสารจึงถูกหวงฝู่อี้เซวียนผู้ร้อนรนหิ้วตัวมา ที่พูดว่า ‘หิ้ว’ ก็เพราะว่าตั้งแต่ที่มือของหวงฝู่อี้เซวียนจับคอเสื้อของหมอหลวงเจียงได้ ส้นเท้าของเขาก็ไม่เคยได้สัมผัสพื้นอีกเลย


 


 


เมื่อครั้นหมอหลวงเจียงที่มึนงงอยู่นั้นรู้สึกเท้าของตนเหยียบอยู่บนพื้นแล้ว ก็ปักฐานมั่นไว้ คารวะหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความหวาดกลัว พูดด้วยเสียงสั่นระริกว่า “ซื่อจื่อ ครั้งหน้าให้ข้ามาเองได้ไหมขอรับ วิธีการของท่านข้าไม่ไหวจริงๆ”


 


 


“โยวเอ๋อร์อาเจียนหนัก เจ้าช่วยดูอาการนางหน่อย หากยังพูดมากอีก ข้าจะสั่งให้ทหารองครักษ์หิ้วเจ้าวนเมืองหลวงสักสามรอบ” หวงฝู่อี้เซวียนขู่เขา


 


 


หมอหลวงเจียงคอหด ส่ายหัวเล็กน้อย หลังจากตั้งสติได้แล้ว ก็เดินไปที่ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


พระชายาฉีนำผ้าเช็ดหน้าวางบนข้อมือของเมิ่งเชี่ยนโยวไว้นานแล้ว ในขณะเดียวกันเมิ่งชื่อก็เดินออกมาเพื่อหลีกทางให้เขา


 


 


หมอหลวงเจียงนั่งลงบนเก้าอี้ ยื่นมือไปแตะบนชีพจรของนาง สักพักก็ขมวดคิ้วขึ้น


 


 


ทุกคนลุ้นด้วยความกังวล


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ หมอหลวงเจียงจึงให้สัญญาณเมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมืออีกข้างมา


 


 


ผ่านไปนาน นานจนหวงฝู่อี้เซวียนแทบจะห้ามใจตัวเองไม่ให้ไปหิ้วคอเสื้อเขาอีกครั้งไม่ไหว หมอหลวงเจียงจึงปล่อยมือเมิ่งเชี่ยนโยวออก พูดขึ้นว่า “อาการบาดเจ็บขององค์หญิงชิงเหอส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์ขอรับ แต่ว่าไม่เป็นไร ข้าจะสั่งยาบำรุงครรภ์ให้ ให้นางดื่มแล้วอาการแพ้ท้องของนางอาจจะลดลงบ้างขอรับ”


 


 


“อาจจะหรือ ต้องสิ ต้อง เข้าใจไหม หากโยวเอ๋อร์ดื่มไปแล้ว ยังคงแพ้ท้องรุนแรงแบบนี้ ข้าจะทุบสำนักหมอหลวงพวกเจ้าทิ้งเสีย” หวงฝู่อี้เซวียนร้องคำราม


 


 


หมอหลวงเจียงสะดุ้งเฮือก แต่ก็ยังคงพูดรักษาจรรยาบรรณของแพทย์ “ซื่อจื่อ เรื่องนี้ข้ารับประกันไม่ได้จริงๆ ขอรับ สภาพขององค์หญิงชิงเหอนั้นแตกต่างจากคนอื่น ก่อนหน้านี้นาง…”


 


 


“อย่าพูดมาก รีบเขียนใบสั่งยาซะ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดขัดเขาอย่างรำคาญ


 


 


หมอหลวงเจียงยังคงอ้าปากค้างไว้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาอีกครั้ง “อี้เซวียน อย่าทำให้หมอหลวงเจียงลำบากเลย ให้ข้าสั่งยาให้ตัวเองเถอะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบมองหมอหลวงเจียงด้วยความเย็นชา


 


 


หมอหลวงเจียงตัวสั่นเทา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “หมอหลวงเจียง ข้าพูดแล้วท่านจด หากมีตรงไหนไม่ถูกต้อง ท่านเตือนข้านะเจ้าคะ”


 


 


หมอหลวงเจียงรีบพยักหน้า ลุกขึ้นเดินไปข้างโต๊ะ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งคนเตรียมกระดาษและพู่กันมา


 


 


หมอหลวงเจียงจับพู่กันขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวไล่รายการยาทีละรายการ


 


 


หมอหลวงเจียงเขียนรายการยาไปเรื่อยๆ ยิ่งเขียนตายิ่งเบิกโต จนเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ เขาลุกขึ้นยืนทันที “แม่นางเมิ่ง นี่…”


 


 


“หัวเจ้าคงอยู่บนบ่านานไปแล้วใช่ไหม” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงเย็นชา


 


 


หมอหลวงเจียงสะดุ้ง รีบกลับไปนั่งที่เดิม สีหน้าตื่นตะหนกยังคงไม่หายไป พูดขึ้นว่า “แม่นางเมิ่ง นี่…”


 


 


“เขียนเสร็จหรือยัง” น้ำเสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นอีกครั้ง


 


 


“ยังขอรับ” หมอหลวงเจียงตอบกลับทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียง ฮึ ออกมาเบาๆ “หัวคงอยู่บนบ่านานเกินไปแล้วสินะ”


 


 


หมอหลวงเจียงคอหด รีบเขียนรายการยาตัวสุดท้ายลงไป ยื่นให้หวงฝู่อี้เซวียนด้วยความเคารพ “ซื่อจื่อ เขียนเสร็จแล้วขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับมา


 


 


หมอหลวงเจียงกำลังจะปริปากพูด


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนกลับดังขึ้นข้างๆ หูของเขา “ทหาร โยนออกไป!”


 


 


หมอหลวงเจียงผู้น่าสงสารกลัวจนถูกกลืนคำพูดลงไปหมด เขามองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิดจนเดือดร้อนเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนร้อง ฮึ ในใจ มือของโยวเอ๋อร์ ครึ่งค่อนวันนี้ข้ายังไม่ได้สัมผัสเลย เจ้ากลับได้สัมผัสก่อน หากไม่ลงความโกรธที่เจ้า ข้าคงไม่สบายใจ


 


 


หากหมอหลวงเจียงรู้สิ่งที่เขาคิด จะต้องร้องขอความเป็นธรรมแน่ๆ ข้อมือของเมิ่งเชี่ยนโยวมีผ้าเช็ดหน้าวางอยู่บนนั้น เขาไม่ได้สัมผัสโดนมือนางเสียหน่อย ไม่สิ ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้ ประเด็นคือหากเขาไม่สัมผัสข้อมือของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วจะให้เขาตรวจชีพจรอย่างไร


 


 


ไม่ว่าหมอหลวงเจียงจะไม่เข้าใจอย่างไร โจวอันที่ได้ยินคำสั่งก็เดินเข้ามา จากนั้นก็หิ้วหมอหลวงเจียงผู้มีวิชาการแพทย์ล่ำลือออกไป และยังถูกโยนออกไปจริงๆ ด้วย


 


 


เมื่อเห็นสภาพทุลักทุเลของหมอหลวงเจียง หวงฝู่อี้เซวียนค่อยสบายใจ กำลังจะสั่งคนไปซื้อยา เสียงพระชายาฉีก็ดังขึ้น “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าไปเองดีกว่า”


 


 


จากนั้น ทุกคนในเมืองก็ได้เห็นเหตุการณ์ประหลาดนี้ จากที่ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีควรไหว้ฟ้าดิน และร่วมดื่มอวยพรกับแขกอย่างสำราญใจนั้น เขากลับขี่ม้าทะยานตัวไปร้านยาเต๋อเหรินด้วยสีหน้าร้อนรน จากนั้นก็ทะยานกลับตำหนักอ๋อง


 


 


ผู้คนต่างให้ความสนใจ และต่างคาดเดากันเอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ หลังจากกลับตำหนักอ๋องแล้ว ก็เข้าไปในครัว คอยคุมให้สาวใช้เคี่ยวยาจนเสร็จด้วยตัวเอง แล้วจึงยกออกมาอย่างระมัดระวัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มสงสารหวงฝู่อี้เซวียน วันสมรสของคนอื่นเขาเป็นเจ้าบ่าวกันอย่างมีความสุข แต่เขาน่ะ แม้แต่ไหว้ฟ้าดินก็ไม่ได้ไหว้ ซ้ำยังถูกสั่งให้ไปซื้อยาอีก


 


 


แต่นางก็ทำได้เพียงสงสาร ไม่กล้าปริปากขอร้องแทนหวงฝู่อี้เซวียนแม้แต่คำเดียว เพราะแม่สามีที่คอยเฝ้ามองและแม่แท้ๆ ที่อยากจะรับนางกลับไปอยู่ที่บ้านทุกเมื่อ


 


 


หลังจากดื่มยาลงไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกดีขึ้น เริ่มรู้สึกง่วง จนอดใช้มือป้องปากหาวออกมาไม่ได้


 


 


เมื่อพระชายาฉีเห็น ก็พูดว่า “โยวเอ๋อร์ ง่วงแล้วใช่ไหม มานอนดีๆ สักตื่นเถอะ ตื่นแล้วก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เอนตัวลงนอนบนเตียง หลับตาลง ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งเสียงลมหายใจก็เข้าออกอย่างมั่นคง


 


 


เมื่อเห็นนางหลับไป ทุกคนในห้องค่อยโล่งใจ ลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ย่องออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอาลัยอาวรณ์ ยืนไม่ขยับไปไหน


 


 


พระชายาฉีที่เดินผ่านเขาก็ถลึงตาใส่เขา เตือนเขาให้ตามออกไปด้วย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่กล้าขัดขืน เดินออกไปพลางหันไปมองนางพลาง


 


 


“ชิ่นจยา” พระชายาฉีพูดเสียงเบาด้วยหน้าตายิ้มแย้มว่า “ยุ่งมาทั้งวัน หิวแล้วใช่ไหม ไปเรือนข้าเถอะ ข้าจะให้คนใช้ยกอาหารมาให้ทาน”


 


 


เมิ่งชื่อไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มพร้อมพยักหน้า เดินตามนางออกไปพร้อมซุนเชี่ยนและหวังเยียน


 


 


เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว พระชายาฉีก็หยุดเดิน หันหลังกลับ ขมวดคิ้วถาม “เซวียนเอ๋อร์ เจ้ายังไม่เข้าไปในเรือนร่วมดื่มอวยพรอีกหรือ ยืนทำอะไรอยู่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนทำอะไรไม่ได้ เดินสาวเท้าออกไปข้างนอก


 


 


พระชายาฉีสั่งชิงหลวนและจูหลี “เฝ้าซื่อจื่อให้ดี หากเขากล้าเข้าไปในห้องโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพวกเรา พวกเจ้ารีบมารายงานข้าทันที”


 


 


ทั้งสองขานรับ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงักฝีเท้า เกือบจะล้มลงบนพื้น


 


 


พระชายาฉีแกล้งทำเป็นไม่เห็น พาทุกคนออกจากเรือนไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเศร้าเสียใจยิ่งนัก เมื่อไปถึงเรือนรับรอง ขุนนางน้อยใหญ่ต่างมากล่าวแสดงความยินดีกับเขา แต่กลับไม่มีใครกล้ามาดื่มอวยพร


 


 


เหวินซื่อ เปาอีฝาน เซี่ยเจียงเฟิง อันอี่หยวน และจูหลาน เจ้าคนปัญญาอ่อนทั้งห้าค่อยๆ เดินเข้ามา โอบไหล่โอบเอวหวงฝู่อี้เซวียนจนมาถึงโต๊ะอาหารของตน พูดว่า “วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า มา เรามาดื่มให้เปรมกันไปเลย”


 


 


ยังไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร อาจจะแค่ต้องการทำให้ตนเองเมาจนเข้าเรือนหอไม่ได้ จะได้แก้แค้นตนที่สั่งคนสกัดจุดพวกเขา แต่พวกเขาไม่รู้ว่าแม้จะทำให้ตนเมาไม่ได้ ตนก็เข้าเรือนหอไม่ได้อยู่ดี หวงฝู่อี้เซวียนผู้ซึ่งห่อเ**่ยวใจไม่สามารถระบายลงที่ใครได้นั้นก็เหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง ถามขึ้นว่า “อยากดื่มให้เปรมใช่ไหม”


 


 


ทั้งห้าคนพยักหน้า


 


 


“อยากให้ข้าอยู่กับพวกเจ้า?” ถามอีก


 


 


ทั้งห้าพยักหน้าอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มพิลึก โบกมือ โจวอันเดินเข้ามา


 


 


ทั้งห้าคนเริ่มใจคอไม่ดี


 


 


เป็นไปตามคาด หวงฝู่อี้เซวียนจ้องพวกเขา ยิ้มพลางสั่งโจวอันว่า “จัดทหารองครักษ์มาหนึ่งร้อยนาย มาร่วมดื่มกับ ‘เพื่อนสนิท’ ของข้า หากพวกเขายังดื่มไม่เปรม พวกเจ้าจงถอดยศไปปลูกผักเสีย”


 


 


โจวอันเข้าใจความหมายของเขาทันที ลุกจากไปอย่างรวดเร็วและเรียกคนมา


 


 


เหวินซื่อตั้งสติได้คนแรก “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าคนใจดำ เราบอกว่าจะดื่มกับเจ้าจนเปรม กับเจ้า! กับเจ้า! กับเจ้า!” พูดเสียงดังซ้ำสามรอบ


 


 


หวงฝ่อี้เซวียนนั่งสบายใจบนเก้าอี้ต่อหน้าพวกเขา ยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องเสียงดังขนาดนั้น ข้าได้ยินแล้ว”


 


 


“แล้วเจ้าให้ทหารองครักษ์ดื่มกับพวกข้า?” จูหลานเพิ่งตั้งสติได้ พูดตะโกนเสียงดัง


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนกว้างขึ้นกว่าเดิม กางมือออก “ข้ารู้ แต่ว่าวันนี้โยวเอ๋อร์สั่งห้ามข้าดื่ม บอกว่าหากดื่มจะไม่ให้เข้าเรือนหอ แต่พวกเจ้าเป็นพี่น้องแสนดีของข้า ข้าคงรู้สึกผิด หากงานมงคลของข้าไม่ให้พวกเจ้าดื่มจนเปรม ข้าก็เลยคิดวิธีดีๆ ให้” พูดจบ ยังทำท่าทางอวดตัวเป็นพี่ชายแสนดี “วางใจเถอะ ข้าจะอยู่ร้องยินดีข้างๆ พวกเจ้าเอง”

 

 

 


ตอนที่ 259 แอบพบกัน

 

 


 


ร้องยินดีนั้นเป็นแค่ข้ออ้าง แต่จริงๆ อยากเห็นพวกเขาขายหน้าต่างหาก พวกเขาทั้งห้าคนคิดอย่างแค้นเคือง ทหารองครักษ์หนึ่งร้อยนายเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเมาจนตายรอบแล้วรอบเล่า


 


 


ผู้คนรอบข้างมองพวกเขาด้วยความเวทนา


 


 


โจวอันนำทหารองครักษ์มาหนึ่งร้อยนายจริงๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ กำลังจะสั่งให้ทหารองครักษ์เดินเข้ามา ชิงหลวนเดินสาวเท้าเข้ามาข้างๆ เขา ก้มหน้าลง ซุบซิบข้างๆ หูเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเด้งขึ้นมาทันที กวาดตามองพวกเขาทั้งห้าคน “เห็นแก่โยวเอ๋อร์ ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน”


 


 


พูดจบ ก็โบกมือ ส่งสัญญาณให้โจวอันพาทหารองครักษ์กลับไป ส่วนตนเองก็รีบกลับไปเรือนใหม่ของตนทันที


 


 


มองตามแผ่นหลังของเขา เหวินซื่อและเพื่อนผองสบตากันครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ และยังรู้ซึ้งว่า ต่อไปอย่ายุแหย่หวงฝู่อี้เซวียนให้โมโหอีก ไม่ว่าใครก็ตาม เจ้าปีศาจอำมหิตตัวนี้ไม่ไว้หน้าแน่ๆ


 


 


เมื่อกลับถึงห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวนอนมองและส่งยิ้มให้เขา


 


 


เขาสาวเท้าเดินมาข้างเตียง คุกเข่าลง จนสายตาทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ดีขึ้นแล้วหรือยัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ”


 


 


มือของหวงฝู่อี้เซวียนทาบลงบนท้องของนางเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม “ในนี้มีลูกของเราแล้วนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อื้ม”


 


 


“ต่อไปเขาจะเรียกเราว่าเสด็จพ่อ เสด็จแม่” เขาน้ำตารื้นขอบตา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าพลางยิ้ม “เรียกพ่อแม่รื่นหูกว่า”


 


 


“อื้ม แล้วแต่เจ้าเลย เรียกพ่อแม่ก็ได้” หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างตามใจภรรยา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ “เจ้าดีใจจนบ้าไปแล้วหรือ”


 


 


“อื้ม” พยักหน้าแรงๆ “ดีใจจนลืมสกุลตัวเองไปแล้ว”


 


 


“ให้ข้าเตือนไหม”


 


 


ยิ้มพลางส่ายหน้า “มิต้อง รอพวกเขาเรียกข้าว่าพ่อแล้ว ข้าจะนึกขึ้นได้เอง”


 


 


“อย่างนั้นต้องรอนานเลยนะ”


 


 


“ไม่เป็นไร ก่อนจะถึงตอนนั้นขอแค่ข้าจำได้ว่าตนเป็นสามีของเจ้าก็พอแล้วล่ะ”


 


 


น้ำตาเมิ่งเชี่ยนโยวรื้นขอบตา “ข้าไม่คิดเลยว่าฟ้าจะประทานของขวัญให้ข้าเร็วขนาดนี้ ข้าคิดว่าทั้งชีวิตนี้ข้าจะไม่มีเสียแล้ว”


 


 


เขาลุกขึ้น แนบกายลงไปกอดนางอย่างอ่อนโยน น้ำตาไหลลงบนอกนาง “โยวเอ๋อร์ ข้ามีความสุขมากเลย ไม่ใช่เพราะเจ้ามีลูก แต่เพราะว่าตอนนี้มีเรามีสายใยกันแล้ว เจ้าจะไม่จากข้าไปไหนอีกแล้ว”


 


 


“เจ้าคนโง่” เมิ่งเชี่ยนโยวยกศีรษะขึ้นจูบเขาเบาๆ “แม้ไม่มีพวกเขา ตลอดชีวิตนี้ข้าก็จะไม่จากเจ้าไปไหนอีกแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “ข้าเคยกังวลและกลัวว่าไม่รู้เมื่อไหร่วิญญาณของเจ้าจะจากข้าไป แต่ตอนนี้ข้าไม่ต้องกลัวแล้ว เจ้ามีเลือดเนื้อของเราแล้ว จะไม่จากข้าไปไหนอีก”


 


 


เมื่อเข้าใจความหมายของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกสงสารเขาจับใจ ยื่นมือไปประคองหน้าเขาขึ้น ให้เขามองตรงมาที่สายตาของตน ยิ้มและพูดว่า “ภพชาติที่แล้วของข้า มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปแล้ว กลับไปไม่ได้อีกแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอีก ภพชาตินี้เราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”


 


 


มองดูใบหน้าโฉมงามของนาง ฟังภาพบรรยากาศที่นางสาธยาย หวงฝู่อี้เซวียนพลันรู้สึกตื้นตัน ประทับริมฝีปากของตนลงไป แม้จะเร่าร้อน แต่ก็นุ่มนวล


 


 


ในห้องคลุกเคล้าไปด้วยความอบอุ่น


 


 


ชิงหลวนได้รับคำสั่งจากเมิ่งเชี่ยนโยวให้เรียกหวงฝู่อี้เซวียนมา แล้วไปแอบยืนรอนอกเรือนของพระชายาฉี


 


 


หลังจากทานข้าวเที่ยงกับเมิ่งชื่อและคนอื่นๆ แล้ว พวกนางเห็นว่าจวนจะถึงเวลา พระชายาฉีจึงพูดขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์น่าจะใกล้ตื่นแล้วล่ะ เราไปดูกันเถอะ”


 


 


เมิ่งชื่อและคนอื่นๆ พยักหน้า ลุกขึ้น เดินตามนางออกไป


 


 


ชิงหลวนได้ยินเสียงจากในห้อง รีบเดินจ้ำอ้าวกลับไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียนทันที พูดเสียงดังว่า “นายหญิง พระชายาฉีกำลังมาแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังกอดเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเงียบๆ พลันสะดุ้งโหยง ปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยวออกอย่างระมัดระวัง ลุกขึ้นพรวดและรีบเดินออกไปทันที


 


 


เมื่อเห็นท่าทีร้อนรนของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็อดขำไม่ได้


 


 


เมื่อเดินออกจากห้อง เขาก็เดินฝีเท้าไม่หยุดออกจากเรือนของตนไปอย่างรวดเร็ว มุ่งไปทางเรือนรับรอง แต่กลับพบฮ่องเต้และฮองเฮาที่กำลังจะกลับวังหลังจากเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว


 


 


เขาหยุดเดิน คารวะ “เสด็จลุง เสด็จป้า”


 


 


“ไม่ใช่ดูแลองค์หญิงชิงเหออยู่หรือ เหตุใดมีเวลาว่างออกมาเดินเล่นล่ะ” ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงแฝงด้วยความตำหนิ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโกหกหน้าตายว่า “โยวเอ๋อร์หลับไปแล้ว กระหม่อมกำลังจะไปร่วมดื่มในเรือนรับรองขอรับ”


 


 


“หากมีเวลาว่างไปเข้าเฝ้าเด็จย่าของเจ้าบ้างเสียนะ เจ้าไม่ได้ไปนาน เสด็จย่าคิดถึงเจ้ามาก”


 


 


“ครรภ์ของโยวเอ๋อร์ยังไม่แข็งแรงดี กระหม่อมยังจากไปไหนไม่ได้ แต่กระหม่อมรับรองว่าหลังจากโยวเอ๋อร์คลอดลูกออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว กระหม่อมจะไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าแน่นอนขอรับ”


 


 


นี่ต้องรอหลังจากสิบเดือนนู่นล่ะ ฮ่องเต้โมโหจนหัวเราะและก่นด่าว่า “ชายใต้ฟ้าทุกนายตบแต่งภรรยาทั้งนั้น สตรีทุกนางก็คลอดลูกเป็น ทำไมพอถึงตาเจ้า กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่พ้นฟ้าเสียล่ะ”


 


 


“เพราะว่าใต้ฟ้ามีโยวเอ๋อร์เพียงคนเดียว” หวงฝู่อี้เซวียนตอบอย่างเชื่องช้าและสงบจิตสงบใจ


 


 


ฮ่องเต้สะอึก หันหน้าไปจ้องอ๋องฉีเขม็ง ต้องการบอกว่าลูกชายแสนดีที่เจ้าเลี้ยงบังอาจเถียงคำไม่ตกฟาก


 


 


อ๋องฉีเอียงศรีษะ แกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่มุมปากของเขากลับเผยอยิ้มอย่างได้ใจ


 


 


ฮองเฮาไม่พอใจ กำลังจะปริปากติเตียนหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


สายตาของฮ่องเต้เหลือบมองนางแวบหนึ่ง คำพูดที่กำลังจะถูกเอ่ยออกมาของฮองเฮาก็ถูกกลืนกลับไปหมด


 


 


ฮ่องเต้หัวเราะและพูดขึ้นว่า “ดีๆๆ เจ้าตบแต่งกับภรรยาแสนดี ไม่มีชายใต้หล้าใดดีเหมือนเจ้าแล้ว”


 


 


ฮ่องเต้พูดประชดประชันจบก็รอดูปฏิกิริยาของหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


ไม่คิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนกลับโค้งศรีษะประสานมือ “ขอบคุณเสด็จลุงที่ชมขอรับ”


 


 


ฮ่องเต้สะอึกจนเกือบจะเหลือกตามองบน พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ชี้นิ้วไปที่เขา สุดท้ายสะบัดเขนเสื้อและเดินจากไปด้วยความโมโห


 


 


อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนส่งฮ่องเต้และฮองเฮาออกไปอย่างนอบน้อม มองดูขบวนเสด็จจากไปแล้วจึงหันหลังกลับตำหนัก


 


 


“เสด็จแม่ของเจ้าล่ะ”


 


 


“อยู่ห้องของลูกขอรับ”


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้ว “แม่นางเมิ่งดีขึ้นบ้างไหม”


 


 


“เมื่อครู่ไม่ค่อยสบาย แต่หลังจากดื่มยาไปแล้วก็ดีขึ้นเยอะแล้วขอรับ”


 


 


“ข้าขอไปดูหน่อย” พูดจบ อ๋องฉีก็หันหลังกลับทันที กำลังจะเดินมุ่งไปเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


“เสด็จพ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเขาและพูดขึ้นว่า “ในห้องมีแต่ผู้หญิง หากท่านไปอาจจะไม่เหมาะสมขอรับ”


 


 


อ๋องฉีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าครอบครัวตระกูลเมิ่งมา จึงถอนหายใจ หันหลังกลับไปถามอย่างจริงจังว่า “แล้วข้าจะได้เจอหลานรักของข้าเมื่อไหร่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกุมขมับ “เสด็จพ่อ โยวเอ๋อร์เพิ่งตั้งครรภ์ได้เดือนเดียว เร็วสุดก็ต้องรอเก้าเดือนขอรับ”


 


 


“อีกเก้าเดือนเลยหรือ” น้ำเสียงอ๋องฉีเต็มไปด้วยความผิดหวัง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพลันรู้สึกว่าเสด็จพ่อผู้เก่งกล้าสามารถของเขากลายเป็นคนเพี้ยนไปในทันที


 


 


เมื่อเขาคิดจบ อ๋องฉีก็ถามอีกหนึ่งคำถามด้วยความจริงจัง ซึ่งทำให้หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งมั่นใจว่าเสด็จพ่อของเขาเป็นคนเพี้ยนจริงๆ “ต้องนานขนาดนี้เลยหรือ เร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่อยากยอมรับว่าคนที่อยู่ตรงหน้าที่ถามคำถามโง่ๆ เช่นนี้คือเสด็จพ่อของเขา เขากุมขมับอีกครั้งแล้วถอนหายใจ “เสด็จพ่อ หากท่านมีเวลากังวลเรื่องนี้ เอาเวลาไปห้องหนังสือตั้งชื่อลูกไม่ดีกว่าหรือ ต้องรู้ว่า…”


 


 


ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกอ๋องฉีพูดขัดขึ้น “ใช่ๆๆ ต้องตั้งชื่อให้หลานข้า ต้องตั้งสองชื่อด้วย ข้าไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”


 


 


พูดจบ ก็ไม่สนใจหวงฝู่อี้เซวียนอีก เดินไปห้องหนังสืออย่างเบิกบานใจ


 


 


ผ่านไปนาน ปากที่อ้าค้างอยู่ของหวงฝู่อี้เซวียนจึงหุบลง แล้วก้าวเท้าเดินไปทางเรือนรับรอง


 


 


เพิ่งเดินถึงประตู หมอหลวงเจียงก็เดินยิ้มเข้ามา ยื่นของขวัญชิ้นใหญ่ให้ “ซื่อจื่อ!”


 


 


ฝีเท้าของหวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่หยุด “รอโยวเอ๋อร์ตื่นแล้ว ข้าจะถามนาง หากนางเห็นด้วย ข้าจะนำรายการยาให้เจ้า”


 


 


“ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ” เสียงดีอกดีใจของหมอหลวงเจียงดังขึ้นจากด้านหลัง


 


 


ในเรือนรับรองก๊งเหล้ากันเสียงดัง


 


 


เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไป ทุกอย่างก็พลันเงียบลง ทุกคนมองไปที่เขา


 


 


เขาขมวดคิ้ว หยุดเดินและประสานมือขึ้น “วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของข้า เชิญทุกท่านดื่มให้อิ่มหนำสำราญเถิด”


 


 


พูดจบ ก็หันหลังออกจากเรือนไป


 


 


ทุกคนในเรือนมองหน้ากันไปมา ทันใดนั้นก็ระเบิดเสียงแห่งความปิติยินดีออกมา ซื่อจื่อมาประสานมือแสดงความเคารพต่อพวกเขาแล้ว เป็นบุญหนักหนายิ่งนัก หากวันนี้ดื่มจนตายก็คุ้มค่า แล้วเสียงในเรือนก็ดังขึ้นกว่าเดิม


 


 


มีแต่คนมาร่วมอวยพร หวงฝู่อี้เซวียนเดินเล่นไปหนึ่งรอบ แล้วเพิ่งพบว่าตนไม่มีที่ไป เมื่อครั้นกำลังจะหันหลังกลับเรือนของตนเอง เพื่อขอร้องพระชายาฉีให้เขาอยู่ เมิ่งเสียนก็เดินเข้ามาหาด้วยหน้าตาชื่นมื่น “อี้เซวียน”


 


 


“พี่ใหญ่”


 


 


เขาเดินจนหยุดอยู่ตรงหน้า ถามอย่างดีใจว่า “น้องเล็กเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างหรือยัง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ขอรับ หมอหลวงตรวจชีพจรแล้ว เป็นลูกแฝด”


 


 


เมิ่งเสียนยิ่งดีใจ “ลูกแฝดหรือ ดีจังเลย”


 


 


“นางหลับไปแล้ว ท่านแม่และเสด็จแม่ดูแลอยู่ ข้าถูกไล่ออกมา”


 


 


เมิ่งเสียนชะงัก “ทำไมล่ะ”


 


 


“เสด็จแม่บอกว่าข้ามือหนักเกินไป กลัวว่าจะถูกโยวเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเสียนหัวเราะ ตบบ่าเขาเบาๆ “น้องชายผู้น่าสงสาร ตั้งแต่โบราณกาลมาเจ้าจะเป็นเจ้าบ่าวคนแรกที่ถูกไล่ออกมา”


 


 


“พี่ใหญ่” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกด้วยเสียงทุกข์ใจ “ข้าเป็นทุกข์จะตายแล้ว พี่ยังหัวเราะข้าอีก”


 


 


เมื่อเขาพูดจบก็คิดอะไรขึ้นได้ มองเมิ่งเสียนอย่างมีความหวัง “พี่ใหญ่ พี่ช่วยข้าโน้มน้าวให้ท่านแม่กลับไปได้ไหมขอรับ”

 

 

 


ตอนที่ 260 ผู้ชาย? ผู้หญิง?

 

เมิ่งเสียนชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสภาพน่าสงสารของหวงฝู่อี้เซวียน ก็ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “ข้าจะลองดู แต่ไม่รับรองว่าจะสำเร็จนะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนดีใจมาก กล่าวขอบคุณไม่หยุดปาก “ขอบคุณพี่ใหญ่ ขอบคุณพี่ใหญ่มากขอรับ”


 


 


เมิ่งเสียนตบบ่าเขาเบาๆ หน้าตายังคงยิ้มแย้มเช่นเดิม “ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้าหรอก แต่ข้าทำเพื่อน้องเล็กต่างหาก ข้าไม่อยากให้น้องเล็กต้องเสียใจน่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก รอยยิ้มเกร็งบนใบหน้า


 


 


เมิ่งเสียนเดินจากไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองดูแผ่นหลังที่จากไปอย่างร่าเริงของเขา พลันรู้สึกประหนึ่งเห็นชีวิตอันน่า ‘เวทนา’ ของตนในอนาคต


 


 


ทั้งสองเดินตามกันติดๆ เข้าไปในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน รอจนชิงหลวนรายงานแล้วจึงเดินเข้าไปในห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยว ‘ตื่น’ แล้ว นางนอนอยู่บนเตียง


 


 


พระชายาฉีและเมิ่งชื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่หัวเตียงและท้ายเตียง คอยถามไถ่นางว่ามีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า หิวไหม อยากทานอะไรไหม


 


 


เมิ่งเสียนคารวะพระชายาฉี แล้วมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยดวงตาเป็นประกายสดใส “น้องเล็ก ยินดีด้วยนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพยักหน้า “พี่ใหญ่ ยินดีด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ พี่จะเป็นคุณลุงแล้ว”


 


 


พระชายาฉีดีใจออกนอกหน้านอกตา ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหู


 


 


เมิ่งชื่อก็ไม่ต่างจากนาง แสดงสีหน้าท่าทางปลื้มปริ่มกว่าตอนที่ซุนเชี่ยนคลอดเส้าเอ๋อร์เสียอีก


 


 


สีหน้าเมิ่งเสียนก็ยิ่งมีความสุข น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเดิม “พักผ่อนเยอะๆ นะ มีอะไรสั่งอี้เซวียนไปทำให้ได้เลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียน ตอบว่า “รู้แล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่”


 


 


เมิ่งเสียนหันไปหาเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ นี่ก็เย็นมากแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะขอรับ”


 


 


เมิ่งชื่อโบกมือ “พวกเจ้ากลับไปเถอะ จากนี้ไปข้าจะอยู่ที่นี่กับโยวเอ๋อร์ จนกว่านางคลอดลูกแล้วค่อยว่ากัน”


 


 


รอยยิ้มของเมิ่งเสียนยังคงไม่เปลี่ยน “ท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่ายังอยู่ที่บ้านนะขอรับ หากท่านไม่กลับไปเกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะขอรับ หากท่านอยากดูแลโยวเอ๋อร์ ก็ทำเหมือนเมื่อก่อนก็ได้ กลางวันมาตำหนักอ๋อง ตกดึกข้าค่อยมารับท่านกลับไป”


 


 


เมื่อได้ยินซุนเหลียงไฉแจ้งเรื่องโยวเอ๋อร์ตั้งครรภ์ พวกเขาไม่ทันได้ส่งคนไปบอกสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ที่อยู่อีกเรือนหนึ่ง ก็รีบนั่งรถม้าออกมาทันที ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในวันที่เมิ่งเชี่ยนโยวแต่งงาน คนทั้งเมืองก็รู้ว่านางมีครรภ์แล้ว สำหรับเมิ่งจงจวี่ผู้ซึ่งเป็นซิ่วไฉมาตลอดชีวิตที่ปากพล่ามแต่เรื่องคุณธรรมพื้นฐานทั้งสี่ นั้น ก็คงสะเทือนใจเขาอยู่ไม่น้อย วันนี้คงต้องกลับไปเล่าที่มาที่ไปทั้งหมดให้พวกเขาทั้งสองฟัง


 


 


คิดได้เช่นนั้น เมิ่งชื่อก็พยักหน้า “ก็ดี วันนี้ข้าจะกลับไปพร้อมพวกเจ้า พรุ่งนี้เช้าค่อยมาอีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโล่งใจไปเปราะหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีใจมาก ในขณะที่ทุกคนไม่ทันสังเกตนั้นก็แอบส่งสายตาชื่นชมให้เมิ่งเสียน


 


 


ในเมื่อที่บ้านมีคนแก่อยู่ หากไม่กลับไปคงมีเหมาะสมจริงๆ พระชายาฉีจึงไม่ได้รั้งไว้ นางลุกขึ้นยืนแล้วส่งเมิ่งชื่อออกจากเรือนไป


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นๆ ก็กินอิ่มแล้ว กำลังจะมาถามไถ่พอดี แต่ดันเห็นเมิ่งชื่อออกมาเสียก่อน ทั้งบ้านจึงถูกหวงฝู่อี้เซวียนส่งออกจากตำหนักอ๋องไปขึ้นรถม้าและกลับบ้านตนไป


 


 


ส่วนเจ้าคนปัญญาอ่อนทั้งหกนายนั้น ครอบครัวเมิ่งลืมไปนานแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็คร้านจะสนใจพวกเขา จึงปล่อยให้พวกเขาดื่มจนพอใจ


 


 


ในห้องเหลือเพียงพระชายาฉีคนเดียว


 


 


เมื่อครู่นี้เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งหลับ แต่ตอนนี้นางเริ่มง่วงจริงๆ แล้ว จึงพูดขอโทษว่า “พระชายาฉี หม่อมฉันรู้สึกง่วงอีกแล้ว อยากนอนสักงีบเจ้าค่ะ”


 


 


“เจ้านอนเถอะ ข้าจะนั่งอยู่ในห้อง ไม่รบกวนเจ้า” พระชายาฉีกล่าวเสียงเบา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หลับตาลง ผ่านไปครู่เดียวก็ผล็อยหลับไป


 


 


พระชายาฉีรู้สึกแปลกๆ คิดอยู่นานจึงนึกขึ้นได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเรียกตนเองไม่ถูก นางควรเรียกตนว่าเสด็จแม่ เมื่อครั้นจะปริปากพูดแก้ไขนาง แต่เห็นนางหลับไปแล้ว จึงกลืนคำพูดทั้งหมดกลับไป นางนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ สายตากวาดมองไปที่ท้องน้อยๆ ของนาง รู้สึกอยากยื่นมือไปลูบ แต่ก็กลัวจะทำให้นางตื่น จึงได้แต่ทำท่าทางบนท้องของนางด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ประหนึ่งเห็นเด็กน้อยขาวผ่องสองหน่อกำลังเรียกนางว่า ‘ท่านย่า’


 


 


หลังจากส่งบ้านตระกูลเมิ่งกลับไปแล้ว ก็เหลือเพียงพระชายาฉีเพียงผู้เดียว หวงฝู่อี้เซวียนมีแผนในใจ เขาเดินย่องเข้าไปในห้อง ส่งสัญญาณให้นางว่าตนมีเรื่องจะคุยด้วย


 


 


พระชายาฉีกลัวว่าจะทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวตื่น จึงยื่นนิ้วชี้ขึ้นมาตรงปาก พร้อมทำเสียง จุ๊ จุ๊ เบาๆ แล้วชี้นิ้วไปด้านนอก ส่งสัญญาณว่ามีอะไรให้ไปคุยข้างนอก


 


 


ทั้งสองเดินย่องเหมือนโจรตามกันไปติดๆจนถึงในเรือน


 


 


พระชายาฉียังคงไม่กล้าพูดเสียงดัง นางพูดด้วยเสียงต่ำว่า “มีอะไรหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบเสียงต่ำว่า “เสด็จแม่ เสด็จพ่อตั้งชื่อลูกอยู่ที่ห้องหนังสือ ท่านไปดูหน่อยดีไหมขอรับ”


 


 


ชื่อที่ตั้งจะตามติดตัวลูกไปตลอดชีวิต จะทำเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่ได้ พระชายาฉีได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นอย่างเปรมปรีว่า “ข้าไปดูหน่อยแล้วกัน”


 


 


พูดจบ ก็หันหลังเดินออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะยิ้มได้ใจ


 


 


พระชายาฉีที่เดินออกไปสองก้าวกลับหยุดฝีเท้าลงแล้วหันหลังกลับ “เจ้ายืนทำอะไรอยู่น่ะ ตามข้าไปสิ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันได้แสดงสีหน้ายิ้มได้ใจของออกมา ก็ถูกห้ามไว้เสียแล้ว


 


 


พระชายาฉีเตือนเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ อย่าถือโอกาสตอนที่ข้าไม่สังเกตแล้วเจ้าแอบเข้าไปในห้องโยวเอ๋อร์ อีกประเดี๋ยวข้าจะสั่งคนให้เฝ้ารอบเรือนให้แน่นหนาเลย สามเดือนแรกไม่ให้เจ้าทำอะไรตามใจแน่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนร้องทุกข์ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับไม่ปรากฏสีหน้าใดๆ ให้เห็น เขาเตรียมคำพูดไว้แล้วว่า “เสด็จแม่ เมื่อครู่นี้พี่ใหญ่คุยกับข้าแล้ว บอกว่าเพราะว่าสถานการณ์ของโยวเอ๋อร์ไม่เหมือนใคร พวกเราไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน แต่จะไม่ให้เข้าเรือนหอด้วยไม่ได้นะขอรับ เช่นนั้นจะทำให้โยวเอ๋อร์เสียใจไปตลอดชีวิตนะขอรับ”


 


 


พระชายาฉีกำลังจะเอ่ยปากพูด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรีบพูดต่อ “พี่ใหญ่ยังบอกอีกว่า ข้ากับโยวเอ๋อร์ไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน ไม่มีเรือนหอก็ไม่เท่ากับว่าได้แต่งงานกันจริงๆ ต่อไปหากโยวเอ๋อร์ไม่พอใจเราตรงไหน พวกเขาจะส่งคนมารับนางกลับไป แม้แต่ลูกก็ไม่ให้พวกเรา”


 


 


คำพูดนี้ฟังดูเกินไป แต่ไม่คิดว่าพระชายาฉีกลับเชื่อ นางถามกลับว่า “พี่ใหญ่โยวเอ๋อร์พูดเช่นนั้นจริงหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าและพูดหน้าตายว่า “เสด็จแม่ ข้าเคยโกหกแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะขอรับ”


 


 


หลายปีที่ผ่านมานี้ เซวียนเอ๋อร์ไม่เคยโกหกตนเลย พระชายาฉีจึงเชื่อสนิทใจ แต่ก็ยังไม่อนุญาต “เจ้าไปหาเสด็จพ่อที่ห้องหนังสือกับข้าก่อน ให้เราปรึกษากันแล้วค่อยว่ากัน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหมดหนทาง เดินตามพระชายาฉีไปถึงที่ห้องหนังสือ


 


 


ในห้องที่ปกติเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนนี้กลับสะเปะสะปะไปด้วยหนังสือ ส่วนอ๋องฉีผู้สูงส่งและเก่งกล้าสามารถนั้นกลับนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางกองหนังสือ ในมือถือหนังสือไว้เล่มหนึ่ง พลิกหน้ากระดาษอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อได้ยินเสียงทั้งสองคนเข้ามา ก็เงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือในมือต่อ


 


 


พระชายาฉีเข้ามาก่อน นางเดินผ่านกองหนังสือที่อยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง กว่าจะถึงหน้าอ๋องฉี ก็เล่นเอาเหงื่อซึมบริเวณจมูก นางพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง…”


 


 


ยังไม่ทันได้พูดต่อ ก็ถูกเสียงที่เต็มไปด้วยความรำคาญของอ๋องฉีขัดขึ้น “อย่ารบกวนข้า ข้ากำลังตั้งชื่อให้หลานอยู่น่ะ”


 


 


นี่ช่างแตกต่างจากวันก่อนที่ปฏิบัติกับตนเองดั่งสมบัติล้ำค่าเสียเหลือเกิน พระชายาฉีเริ่มไม่พอใจ ร้อง ฮึ เบาๆ เหมือนเด็กน้อย ใช้เท้าเขี่ยหนังสือที่อยู่บริเวณเท้าออกไป แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ โต๊ะหนังสือ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโค้งตัวลงไปกำลังจะหยิบหนังสือที่อยู่บนพื้นออกเพื่อเดินเข้าไปในห้องหนังสือ แต่กลับถูกอ๋องฉีแผดเสียงห้ามขึ้น “อย่าแตะ!”


 


 


เสียงดังก้องนั้นทำเอาหวงฝู่อี้เซวียนตกใจโขยง หนังสือที่อยู่ในมือร่วนหล่นกลับไปบนพื้น


 


 


เสียงเย็นชาของอ๋องฉีดังขึ้น “มีธุระหรือ หากไม่มีก็อย่าเข้ามาเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่พระชายาฉี


 


 


พระชายาฉีทำเสียง ฮึ อีกครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่พอใจ หวังเรียกร้องความสนใจจากอ๋องฉี


 


 


แต่อ๋องฉีมัวจมปลักอยู่กับการตั้งชื่อหลาน ไม่ทันได้สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของนางเลย เขาถามหวงฝู่อี้เซวียนเสียงดุว่า “ดูซิว่าเสด็จแม่ของเจ้าทำอะไร มีอะไรก็ให้รีบพูด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่ง พูดอย่างลองเชิงว่า “ข้าอยากกลับไปดูแลโยวเอ๋อร์ ไม่ทราบว่าเสด็จพ่ออนุญาตไหมขอรับ”


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้ว เสียงดุดันกว่าเดิม “สภาพแม่นางเมิ่งตอนนี้ไม่ควรปล่อยให้นางอยู่คนเดียวแม้แต่วินาทีเดียว เจ้าไม่ไปดูแล แต่กลับมาถามคำถามโง่ๆ แบบนี้รึ”


 


 


แสดงว่าท่านอ๋องอนุญาตแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างดีใจว่า “ขอบพระคุณเสด็จพ่อขอรับ” แล้วก็หายวับไป


 


 


ครั้นพระชายาฉีจะห้ามปรามก็ไม่ทัน


 


 


พระชายาฉีทำเสียง ฮึ อีกครั้ง พูดด้วยความโมโหว่า “ท่านอ๋อง ท่านลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้วันอะไร”


 


 


อ๋องฉีเงยหน้ามองนาง กะพริบตาปริบ ถามอย่างสงสัยว่า “วันนี้วันแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ”


 


 


“ดีที่ท่านยังจำได้ ท่านไม่รู้หรือว่าวันนี้พวกเขาต้องเข้าเรือนหอ”


 


 


เพียงประโยคเดียวของนางก็เรียกสติอ๋องฉีกลับมา เขาผุดลุกขึ้น ตบศีรษะของตน “ข้าลืมไปเลย ข้าไปห้ามพวกเขาเดี๋ยวนี้แหละ”


 


 


พระชายาฉีไม่ได้ขยับ แต่พูดด้วยเสียงประชดประชันว่า “แขกอยู่ในเรือนเต็มไปหมด พวกเขายังไม่เลิกกินเลี้ยงกันเลย แต่ท่านออกไปห้ามเซวียนเอ๋อร์เข้าเรือนหอ หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป ท่านจะมีหน้าพบปะผู้คนอีกหรือเพคะ”


 


 


ในที่สุดอ๋องฉีที่มัวแต่จมปลักอยู่กับการตั้งชื่อหลานก็ตั้งสติกลับมาได้ และสังเกตได้ว่าพระชายาฉีผิดแปลกไป จึงถามอย่างแปลกใจว่า “พระชายาเป็นอะไรหรือ”


 


 


ตัวเองโกรธมาครึ่งค่อนวัน อ๋องฉีกลับไม่รู้เรื่องเลย พระชายาฉีรู้สึกตนน่าขันยิ่งนัก ความคุกรุ่นในใจค่อยคลายลง แล้วยิ้มพลางโบกมือว่า “ไม่มีอะไรเพคะ หม่อมฉันมาห้องหนังสือเพื่อถามท่านอ๋องว่าตั้งชื่อหลานได้แล้วหรือยัง”


 


 


เมื่อได้ยินว่านางบอกว่าไม่มีอะไร อ๋องฉีก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาส่ายหัว “ยังไม่เสร็จเลย”


 


 


“ท่านอ๋องจะตั้งกี่ชื่อเพคะ”


 


 


“สองชื่อ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง”


 


 


พระชายาฉีส่ายหน้า “ไม่ได้นะเพคะ หากเป็นผู้หญิงสองคนล่ะเพคะ”


 


 


“ไม่แน่นอน” อ๋องฉีพูดอย่างมั่นใจ “อาจจะเป็นชายสอง หรือแย่สุดก็ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง จะเป็นหญิงทั้งสองไม่ได้แน่นอน”


 


 


น้ำเสียงพระชายาฉีแฝงไปด้วยความโกรธ “ท่านอ๋องเพคะ ท่านให้ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญิงหรือ”


 


 


“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ขอเพียงเป็นสายเลือดของตระกูลหวงฝู่ ไม่ว่าชายหรือหญิง ข้าก็รักเอ็นดูทั้งนั้น แต่ตำหนักอ๋องที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ต้องมีคนสืบทอด ทางที่ดีควรมีผู้ชายสักหนึ่งคน”


 


 


“หม่อมฉันชอบผู้หญิง พวกนางจะได้กอดคอและเรียกหม่อมฉันด้วยเสียงหวานว่าท่านย่า อย่าว่าแต่สองคนเลย จะแปดคน สิบคน หม่อมฉันก็ไม่คิดว่ามากเกินไป เพราะฉะนั้นครรภ์ครั้งนี้ของโยวเอ๋อร์ต้องเป็นผู้หญิงก่อนแน่นอน”


 


 


เปลวไฟแห่งความหวังของอ๋องฉีถูกดับมอด เขารู้สึกฉุนเฉียว โต้กลับไปอย่างเด็กน้อยว่า “ต้องเป็นผู้ชายแน่นอน”


 


 


“ไม่แน่หรอก หม่อมฉันเคยคลอดเซวียนเอ๋อร์ หม่อมฉันรู้ดี เห็นท้องของโยวเอ๋อร์ก็รู้ว่าต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆ”


 


 


“เป็นผู้ชายแน่นอน” อ๋องฉีพูดซ้ำตอบกลับไปอย่างมั่นใจ


 


 


หลังจากนั้นคนใช้ที่เฝ้าอยู่นอกห้องหนังสือก็ได้ยินบทสนทนาเช่นนี้ขึ้น


 


 


“ผู้ชาย!”


 


 


“ผู้หญิง!”


 


 


“ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง!”


 


 


“ผู้หญิง!”


 


 


“ผู้ชาย!”


 


 


“ผู้หญิง!”


 


 


“ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง!”


 


 



 


 


เป็นครั้งแรกที่คนใช้ได้ยินสนทนาปัญญาอ่อนเช่นนี้ ตั้งแต่อยู่ตำหนักอ๋องมา หลังจากพวกเขามองดูกันไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก ก็ก้มหน้า เอามือปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมา


 


 


บทสนทนานี้ต่อเนื่องอยู่นาน จนอ๋องฉียอมแพ้ “ก็ได้ ก็ได้ เจ้าบอกว่าเป็นผู้หญิงก็ผู้หญิง”


 


 


เมื่อพระชายาฉีเห็นเขายอมให้ จึงค่อยสบายใจ และไม่ตอบโต้อีก นางพูดว่า “ท่านอ๋องพูดถูก อาจจะเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ทั้งท่านและหม่อมฉันจะได้สมหวังทั้งคู่เพคะ”


 


 


อ๋องฉีก็ดีใจ “ข้าก็คิดเช่นนั้น เตรียมจะตั้งสองชื่อ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง”


 


 


“แต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่แน่นอน” พระชายาฉีพูด “เอาอย่างนี้ไหมเพคะ เราตั้งสี่ชื่อ ชายสองชื่อหญิงสองชื่อ หลังจากเก้าเดือนแล้ว ไม่ว่าโยวเอ่อร์คลอดลูกชายหรือลูกสาว เราจะได้ไม่ต้องตั้งชื่อให้ใหม่อีก”


 


 


อ๋องฉีพยักหน้าอย่างดีใจ “วิธีนี้ของพระชายาดี เอาอย่างนี้ เจ้าอยู่ช่วยข้า เรามาตั้งชื่อกัน แล้วค่อยคัดออกทีละชื่อ เหลือสี่ชื่อสุดท้ายที่เราพอใจที่สุด”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า “ดีเลยเพคะ”


 


 


อ๋องฉีและพระชายาฉีจึงนั่งลงบนพื้นในห้องหนังสือ พลิกหนังสือที่อยู่ด้านซ้ายและขวารอบหนึ่ง จึงได้ชื่อที่ทั้งสองพอใจที่สุด จากนั้นก็เลือกชื่ออย่างพิถีพิถันแล้ว จนเหลือชื่อชายสองหญิงสอง ทั้งหมดสี่ชื่อ

 

 

 


ตอนที่ 261

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องหนังสือ เขาเดินกลับห้องตัวเองด้วยความดีใจ แล้วเดินย่องไปที่ข้างเตียง เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวหลับสนิทอยู่ ก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ครั้นยื่นมือไปที่กระดุมเสื้อกำลังจะถอดออก ก็นึกขึ้นได้ว่าเสื้อนอกเป็นเสื้อวิวาห์ เขาถอดทิ้งไปในเกี้ยวตั้งแต่ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวอาเจียนใส่เขาจนเลอะไปทั้งตัวแล้ว


 


 


เมื่อกวาดตามองเสื้อผ้าที่ตนใส่จนมั่นใจว่าไม่มีตรงไหนที่ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สบายตัวแล้วก็ขึ้นเตียงอย่างคล่องแคล่วทันที จากนั้นเขาก็กอดเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในอ้อมกอดตนด้วยความอ่อนโยน


 


 


เมื่อสัมผัสแผงหน้าอกกว้างของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวที่เหนื่อยจนลืมตาไม่ไหวก็แนบตัวลงไปในอ้อมกอดของเขาตามสัญชาติญาณ เมื่อขยับจนได้ท่าที่สบายแล้ว นางก็หลับต่อไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่กล้าขยับตัว เขาเอื้อมมือไปจับมือนางไว้ แล้วหลับตาลงอย่างสบายใจ ผ่านไปไม่นานก็ผล็อยหลับไป


 


 


คิดได้ว่าเมื่อคืนเขาตื่นเต้นเพราะงานแต่งงานวันนี้จนนอนไม่หลับ หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกเหนื่อย ตื่นมาอีกทีก็พลบค่ำแล้ว


 


 


เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนลืมตาขึ้น ก็เห็นดวงตาสดใสของเมิ่งเชี่ยนโยว หัวใจสั่นรัว ถามอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


 


“เมื่อครู่นี้เอง เห็นเจ้าหลับสบายอยู่ ก็เลยไม่กล้าปลุกเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ


 


 


“มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”


 


 


นางเอื้อมแขนไปกอดคอเขา พูดออดอ้อนว่า “ไม่มีเลย แต่ข้ารู้สึกหิว อยากกินข้าวต้มที่ท่านแม่ทำ”


 


 


เมิ่งชื่อต้มข้าวต้มเผื่อไว้ตั้งแต่ตอนที่ทำครั้งที่แล้ว และสั่งคนอุ่นไว้บนเตา พูดว่า “คนตั้งครรภ์น่ะ ไม่รู้ว่าจะหิวเมื่อไหร่บ้าง ข้าวต้มนี้อุ่นไว้บนเตานะ หากโยวเอ๋อร์อยากกินเจ้าค่อยตักให้นาง”


 


 


เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนก็จูบลงบนหน้าผากนางเบาๆ แล้วรีบลุกขึ้นทันที เขาไปตักข้าวต้มในครัวและยกมาให้นาง ค่อยๆ ป้อนนางจนหมดไปหนึ่งถ้วย


 


 


หลังจากทานข้าวต้มไปหนึ่งถ้วยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกอิ่ม ส่ายหน้าปฏิเสธทานอีกถ้วยหนึ่ง ถามขึ้นว่า “ท่านแม่ล่ะ แม่บอกว่าจะอยู่จวนอ๋องไม่ใช่หรือ ทำไมไม่เห็นแม่เลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม แล้วเล่าเรื่องที่เขาขอร้องให้เมิ่งเสียนช่วยให้นางฟัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้น “เจ้ายังอุตส่าห์คิดได้ที่ให้พี่ใหญ่ช่วยนะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะ “ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ข้าไม่อยากขัดใจทั้งแม่และเสด็จแม่ ก็เลยให้พี่ใหญ่ช่วย”


 


 


“ดีนะที่เป็นพี่ใหญ่ หากเป็นพี่รอง เขาไม่ช่วยเจ้าแน่ ซ้ำมีแต่จะยุยงให้ท่านแม่อยู่จวนอ๋อง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย “ก็นั่นแหละ ข้าก็เลยไม่กล้าไปหาพี่รอง”


 


 


พลบค่ำแล้ว แขกที่มาร่วมแสดงความยินดีก็ทยอยกลับไป จวนอ๋องที่ครึกครื้นมาตลอดทั้งวันก็เงียบสงบลง นอกจากเสียงที่คนดูแลจวนสั่งให้เก็บโต๊ะเก็บเก้าอี้ และทำความสะอากเรือนแล้ว ก็ไม่มีเสียงเอะอะอื่นใดอีก


 


 


เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบเดินก้าวยาวออกไปทันที แต่ก็ยังช้าไป เสียงของหวงฝู่อวี้เจ้าคนโง่ที่ถูกชิงหลวนห้ามอยู่ก็ดังขึ้นจากลานบ้าน “พี่ใหญ่ ข้าได้ยินว่าแม่นางเมิ่งท้องแล้ว เป็นจริงหรือขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาถึงลานบ้าน


 


 


เมื่อเห็นเขาออกมา ดวงตาหวงฝู่อวี้พลันลุกวาว “พี่ใหญ่ จริงหรือขอรับ ข้าจะเป็นคุณอาแล้วหรือ”


 


 


วันนี้หวงฝู่อวี้ถูกสั่งให้อยู่บ้านกับฉู่เหวินเจี๋ยเพื่อคอยต้อนรับแขก ไม่ได้ออกไปส่งตัวกับคนอื่น เขาจึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างส่งตัวเจ้าสาว คนที่มาแสดงความยินดีก็ไม่กล้าซุบซิบเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยวตั้งครรภ์เลยแม้แต่คำเดียว จนเมื่อส่งทุกคนกลับไปแล้ว หวงฝู่อวี้ที่เตรียมจะกลับห้องไปอาบน้ำอาบท่าก็ได้ยินเรื่องนี้จากปากคนใช้ จึงรีบวิ่งมาถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจทันที


 


 


เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา ชิงหลวนก็ปล่อยหวงฝู่อวี้ออก


 


 


หวงฝู่อวี้เดินก้าวขึ้นไปเพียงสองก้าวก็ถึงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน ถามอย่างใจร้อนว่า “พี่ใหญ่ เรื่องจริงหรือขอรับ ข้าจะเป็นคุณอาแล้วใช่ไหม”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับอืมเบาๆ


 


 


หวงฝู่อวี้ดีใจจนกระโดดโลดเต้น พูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่ใหญ่ พี่กล้าหาญมากเลย แต่งงานวันแรกก็เป็นพ่อคนเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหน้าดำคร่ำเครียดทันที


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ได้สังเกต รีบผลักหวงฝู่อี้เซวียนออกไป แล้วบุกเข้าไปในห้อง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งตั้งสติได้ ครั้นอยากจะดึงรั้งแขนเสื้อเขาไว้ ก็ไม่ทันเสียแล้ว


 


 


เขาเดินหน้าดำคร่ำเครียดเข้ามาในห้อง หวงฝู่อวี้กำลังถามไถ่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุดหย่อนว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าท้องแล้วหรือ ทำไมท้องยังเล็กขนาดนี้ล่ะ ให้หมอหลวงมาดูหรือยัง เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง…”


 


 


“ซ้อใหญ่!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดขัดเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่เข้าใจ มองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ “พี่ใหญ่ พี่ดีใจจนบ้าไปแล้วหรือ เรียกใครว่าซ้อใหญ่อยู่น่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้ความพยายามอย่างสูงเพื่อฝืนตนเองไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา


 


 


สีหน้าหัวฝู่อี้เซวียนยิ่งดำคร่ำเครียดไปใหญ่ ดำจนเหมือนก้นหม้อ กัดฟันพูดทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ข้าบอกให้เจ้าเรียกนางว่าซ้อใหญ่”


 


 


หวงฝู่อวี้ชะงัก แล้วตั้งสติได้ “อ้อ ใช่ วันนี้พี่กับแม่นางเมิ่งแต่งงานกันแล้ว ข้าต้องเรียกว่าซ้อใหญ่แล้วสินะ”


 


 


แล้วจึงมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เรียกอย่างไม่ลังเลว่า “ซ้อใหญ่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่เอนพิงบนพนักเตียงยิ้มให้ทีหนึ่ง


 


 


สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนค่อยผ่อนคลายลง


 


 


หวงฝู่อวี้เจ้าคนโง่ยื่นมือออกไป ทำท่าทางบนท้องเมิ่งเชี่ยนโยว “ซ้อใหญ่ หลานชายหรือหลานสาวของข้าอยู่ในนี้ใช่ไหมขอรับ”


 


 


สีหน้าที่เพิ่งผ่อนคลายลงของหวงฝู่อี้เซวียนคร่ำเครียดขึ้นกว่าเดิม เงื้อมมือออกไปจับปกเสื้อหวงฝู่อวี้ลากไปจนถึงประตู และโยนเขาออกไป “ชิงหลวง สิบเดือนนี้ห้ามคุณชายรองเข้าใกล้เรือนข้าเด็ดขาด”


 


 


หวงฝู่อวี้ที่ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกถูกโยนออกมา จนล้มลงบนพื้นดังตึง ชิงหลวนขานรับทันที “เจ้าค่ะ ซื่อจื่อ”


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ยอม เด้งตัวลุกขึ้นยืน ร้องอย่างไม่พอใจว่า “ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ลูกในท้องของซ้อใหญ่ไม่ใช่ของพี่คนเดียวเสียหน่อย ข้าก็มีส่วนเหมือนกัน”


 


 


เขาต้องการบอกว่า ข้าเป็นคุณอาของลูก มีสายเลือดเดียวกัน ไม่ใช่คนนอกแต่อย่างใด แต่เขาพูดกำกวม ทำให้อ๋องฉีและพระชายาฉีที่เพิ่งตั้งชื่อลูกเสร็จและกำลังเดินมาได้ยินเข้า ฝีเท้าทั้งสองพลันหยุดกึก แล้วรีบเร่งเท้าเข้ามาในเรือนทันที


 


 


สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนไม่สามารถใช้คำว่าหน้าดำคร่ำเครียดมาเปรียบเปรยได้อีกแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นางหลุดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะใส่แจ๋วดังออกมาถึงลานบ้าน


 


 


หวงฝู่อวี้ยิ่งได้ใจใหญ่ “พี่ดูสิ ขนาดซ้อใหญ่ยังไม่คัดค้านเลย”


 


 


“อวี้เอ๋อร์ หุบปาก” อ๋องฉีที่หน้าดำคร่ำเครียดเช่นกันก็ทำเสียงดุใส่เขา


 


 


หวงฝู่อวี้ขานเรียกอย่างน้อยเนื้อต่ำใจและฟ้องว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ พี่ใหญ่ห้ามไม่ให้ข้าเข้าใกล้เรือนนี้ขอรับ”


 


 


“จากคำพูดที่เจ้าพูดเมื่อครู่ อย่าว่าแต่ไม่ให้เข้าใกล้เรือนนี้เลย จะให้ไล่เจ้าออกจากจวนอ๋องไปก็ไม่มีใครว่าพี่ใหญ่เจ้าหรอก” อ๋องฉีพูดเสียงต่ำ


 


 


หวงฝู่อวี้ยังคงไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิด พูดคัดค้านเสียงเบาอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย จริงๆ แล้วลูกไม่ใช่ของเขาเพียงผู้เดียวเสียหน่อย ข้าก็มีส่วน”


 


 


ทันใดนั้นหวงฝู่อี้เซวียนเข้าประชิดตัวเขาอย่างรวดเร็ว ยื่นมือไปจับตัวเขาและโยนออกไปนอกเรือนโดยไม่เหลียวมองแม้แต่น้อย “ไสหัวกลับเรือนเจ้าไปซะ ก่อนที่ข้าจะบีบคอเจ้า”


 


 


เขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป หวงฝู่อวี้ตั้งสติไม่ทัน ครั้งนี้เขาจึงล้มรุนแรงกว่าเดิม แม้แต่เมิ่งเชี่ยนโยวยังได้ยินเสียงเขาล้มดัง ตึง บนพื้น


 


 


จากนั้นเสียงร้องร่ำไห้ของหวงฝู่อวี้ก็ดังไปทั่วทั้งจวนอ๋อง “โอ้ย เจ็บจังเลย” แล้วตะโกนว่า “พี่ใหญ่ พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้ พี่มีลูกแล้วจะไม่เอาน้องชายคนนี้แล้วไม่ได้นะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทหาร คุณชายรองเมาแล้ว ช่วยทำให้เขาสร่างเมาหน่อย”


 


 


โจวอันขานรับ รีบเดินมุ่งไปที่บ่อน้ำในจวนทันที


 


 


หวงฝู่อวี้ดื่มเหล้าไปจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ดื่มเยอะ เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่เป็นมิตรของหวงฝู่อี้เซวียนและเห็นว่าโจวอันเดินไปที่บ่อน้ำ ก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรทันที เขาจึงรีบลุกขึ้นยืน ไม่ร้องโวยวายอีก และเหินกลับเรือนของตัวเองทันที ขณะที่เหินไปก็ร้องไปว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ช่วยด้วยขอรับ”


 


 


อ๋องฉีสีหน้าเคร่งขรึม พระชายาฉีกลับหัวเราะและด่าว่า “เจ้าอวี้เอ๋อร์ เมื่อไหร่จะรู้จักโตนะ”


 


 


ในที่สุดก็เงียบสงบลง สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนก็กลับสู่สภาพปกติ หลีกทางให้พระชายาฉีเดินนำเข้าไปในห้อง อ๋องฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินตามเข้าไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนอนพิงอยู่บนเตียง เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง พระชายาฉี”


 


 


“วันนี้ข้าก็คิดอยู่ว่ามีตรงไหนแปลกๆ คิดอยู่นานถึงคิดได้ว่า เจ้าเรียกไม่ถูก แม้เจ้ากับเซวียนเอ๋อร์ไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน แต่เจ้าสองคนแต่งงานกันแล้ว เจ้าควรเรียกตามเขาว่า ‘เสด็จพ่อ’ ‘เสด็จแม่’ นะ” พระชายาฉีกล่าว


 


 


ตามธรรมเนียมแล้ว การเปลี่ยนคำเรียกขานจะเปลี่ยนหลังจากยกน้ำชาให้พ่อตาแม่ยายดื่มในเช้าวันที่สองหลังจากแต่งงาน เพราะว่าหลังจากเจ้าสาวไหว้ฟ้าดิน เข้าเรือนหอแล้ว จะได้ออกมาพบปะผู้คนในวันที่สอง แต่สถาณการณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวพิเศษ อีกทั้งพระชายาฉีเองก็ไม่ได้ต้องการให้นางตื่นมายกน้ำชาให้แต่เช้า จึงบอกนางอย่างตรงไปตรงมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ชักช้า ยิ้มแล้วเรียก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่”


 


 


อ๋องฉีตอบ อืม เบาๆ พระชายาฉีกลับดีใจจนตอบกลับเสียงดังว่า “จริงๆ แล้วข้าจะมอบอำนาจผู้ดูแลบ้านให้เจ้าเป็นของขวัญ แต่ดูท่าแล้วข้าคงต้องดูแลเองต่ออีกสักหนึ่งปี รอหลังจากที่เจ้าคลอดลูกแล้ว ค่อยมอบให้เจ้านะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ลำบากเสด็จแม่เลยเจ้าค่ะ”


 


 


“เสด็จแม่ไม่ลำบากหรอก ปกติแล้วเซวียนเอ๋อร์จะช่วยแม่บ้าง แต่เจ้าน่ะ ตั้งครรภ์ลูกแฝด ต้องลำบากกว่าคนอื่นเขาแน่ๆ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดี หากเจ้าอยากทานอะไร อยากดื่มอะไร บอกแม่ได้เลยนะ แม่จะทำให้เจ้าเอง”


 


 


“เจ้าค่ะ หม่อมฉันรู้แล้ว ขอบคุณเสด็จแม่เจ้าค่ะ”


 


 


“กับแม่ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก อย่าลืมว่าเจ้าเป็นวีรสตรีของจวนอ๋องเราเลยนะ มีครรภ์ทีเดียวสองคน คนมีบุญอย่างเจ้าทั้งเมืองนี้คงมีน้อยนัก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงระเรื่อ


 


 


อ๋องฉีไอกระแอมทีหนึ่ง


 


 


พระชายาฉีเพิ่งรู้ตัวว่าพูดจาไม่น่าฟัง นางจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ดูสิ แม่ดีใจจนบ้าไปแล้ว พูดจาสะเปะสะปะไปเสียหมด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินขึ้นไปช่วยแก้ต่างให้นาง “เสด็จแม่ขอรับ หมอหลวงเจียงสั่งไว้แล้ว โยวเอ๋อร์ต้องพักผ่อนให้มาก ท่านกับเสด็จพ่อกลับไปพักเถอะ ให้ข้าดูแลโยวเอ๋อร์เอง”

 

 

 


ตอนที่ 262 เรือนหอที่พลิกผันไปมา

 

 


 


พระชายาฉีไม่ยอม พูดขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์แพ้ท้องรุนแรงมาก เจ้าไม่มีประสบการณ์ ให้แม่อยู่ดูแลเองเถอะ เรือนที่ให้เจ้าพักผ่อนข้าสั่งคนเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าไปพักเถอะ”


 


 


“เสด็จแม่” หวงฝู่อี้เซวียนเรียก “ท่านลืมเรื่องที่พี่ใหญ่ฝากบอกไว้แล้วหรือ วันนี้เป็นวันเข้าเรือนหอของข้าและโยวเอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ย้ายออกไปไม่ได้นะขอรับ”


 


 


พระชายาฉีเพิ่งนึกถึงสิ่งที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดเมื่อตอนบ่ายได้ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่อ๋องฉีด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ขยิบตาถี่ๆ ให้เขา เพื่อส่งสัญญาณให้เขาเกลี้ยกล่อมพระชายาฉีกลับไป


 


 


อ๋องฉีเห็นดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากวันแต่งงานวันแรกก็ไล่หวงฝู่อี้เซวียนย้ายออกไปเลยก็ดูโหดร้ายกับเขาเกินไป เขาไอกระแอมเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “พระชายา หลายวันมานี้เจ้าไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลย เพราะมัวแต่จัดการเรื่องงานแต่งของเซวียนเอ๋อร์ วันนี้กลับไปพักผ่อนหน่อยเถอะ จะได้ไม่ป่วยไข้ เดี๋ยวจะไม่มีคนดูแลโยวเอ๋อร์”


 


 


ตั้งแต่ส่งของกำนัลจนถึงงานแต่ง ก็มีแค่สองสามวันนี้ที่มีข้อบกพร่องไปบ้าง พระชายาฉีเป็นคนจัดการเรื่องงานแต่งด้วยตัวเองทั้งหมด จึงรู้สึกเพลียขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่อ๋องฉีพูดก็ถูก สภาพร่างกายของตนไม่เหมือนคนอื่น หากป่วยในเวลาสำคัญแบบนี้ ตนจะดูแลโยวเอ๋อร์ไม่ได้เอา นางจึงพยักหน้าเบาๆ “ก็ได้ ข้ากลับไปพักผ่อน รอพรุ่งนี้พักผ่อนแล้วจะมาหานะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนร้องเฮในใจ


 


 


พระชายาฉีหันไปมองเขา จ้องเขม็งไปที่เขาแล้วพูดขึ้นว่า “คืนนี้ให้เจ้าอยู่นี่ ห้ามทำอะไรที่ไม่สมควร หากทำหลานรักของข้าเป็นอะไรไป ข้าไล่เจ้าออกจากจวนไปแน่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ไม่กล้าพูดแย้งอะไร ได้แต่พยักหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อมให้พระชายาฉีกลับไปได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน “ทราบแล้วขอรับ เสด็จแม่ ข้ารู้ว่าอะไรควรมิควรขอรับ”


 


 


พระชายาฉีกำชับอีกสองสามคำ แล้วจึงเดินจากไปพร้อมอ๋องฉี


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งลงบนข้างเตียง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วแซวเขาว่า “โถ่ พ่อของลูก ช่างน่าสงสารเสียจริง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาพลันเปล่งประกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “โยวเอ๋อร์ เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ เรียกอีกทีซิ”


 


 


จริงๆ นางแค่พูดหยอกเล่น แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเรียกอีกครั้งว่า “พ่อของลูก”


 


 


“จ๊ะ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบเสียงสูง แล้วเรียกนางกลับว่า “แม่ของลูก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มตอบเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งซึ้งใจ เรียกไม่หยุดปาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มตอบเขา


 


 


เรียกกันอยู่พักหนึ่งเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ ท่าทางตื่นเต้นของหวงฝู่อี้เซวียนพลันหายไป เขาขมวดคิ้ว เขยิบตัวเข้าใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว มองตาแล้วถามอย่างระมัดระวังและคาดหวังคำตอบจากนางว่า “โยวเอ๋อร์ ถ้ามีลูกแล้ว ข้าจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ในใจของเจ้าหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะหลุดหัวเราะ ภพชาติที่แล้วนางเคยได้ยินแต่เวลาผู้หญิงมีลูกแล้วจะเป็นทุกข์เป็นร้อนกับผลได้ผลเสียของตน นางไม่คิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะถามคำถามปัญญาอ่อนเช่นนี้เหมือนกัน นางกลั้นหัวเราะแล้วถามกลับว่า “เจ้าว่าล่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว คิดอยู่นาน แล้วกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ยื่นสามนิ้วออกมาอย่างลองเชิง “ที่สาม?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้ส่ายหน้า ได้แต่ยิ้มมองเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดาจากสีหน้านางไม่ได้ว่าถูกหรือผิด เขาเริ่มร้อนใจ “ที่สี่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่พูด ยิ้มมองเขาเหมือนเดิม


 


 


เหงื่อเริ่มซึมออกมาบริเวณจมูกของหวงฝู่อี้เซวียน “ที่ห้า?”


 


 


สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนเดิม


 


 


ในที่สุดหวงฝู่อี้เซวียนก็ทนไม่ไหว “ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ ลูกสองคนและพ่อแม่อยู่อันดับก่อนหน้าข้าได้หมด แต่ว่า…” ยังไม่ทันพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขัดขึ้นว่า


 


 


“เจ้าคนโง่ เจ้าอยู่อันดับที่หนึ่งในใจข้าเสมอ ไม่ว่าจะมีลูกกี่คนก็ตาม”


 


 


ไม่มีคำพูดพลอดรักคำไหนที่ทำให้ซึ้งใจไปมากกว่านี้แล้ว หัวใจของหวงฝู่อี้เซวียนเหมือนจะลอยล่องไปบนฟ้า เขามองนางอย่างตื้นตันใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหวาน หวงฝู่อี้เซวียนพลันนึกอะไรขึ้นได้ ค้ำหน้าผากนางไว้แล้วพูดอย่างงอแงว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าพูดเองนะ หากลูกคลอดออกมาแล้ว เจ้าเมินข้า ข้าจะโยนเจ้าลูกน้อยสองคนนี้ทิ้งไปเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ “เจ้าน่ะ คงเป็นพ่อคนแรกที่ลูกยังไม่คลอดออกมาก็ประกาศศึกชิงรักเสียแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ ต่อ “ข้าไม่สน เจ้าพูดเองนี่ เจ้าต้องทำให้ได้นะ”


 


 


“ได้จ๊ะได้ พ่อของลูก ข้ารับประกันเลยว่า ไม่ว่าเมื่อไหร่เจ้าอยู่อันดับที่หนึ่งในใจข้าเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางปลอบโยนเขา


 


 


เมื่อได้รับคำรับรองจากปากนาง หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกพอใจ มือลูบไปที่ท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดขึ้นว่า “ได้ยินหรือยัง เจ้าเด็กน้อยทั้งสอง แม่พวกเจ้ารักข้ามากที่สุด หลังจากพวกเจ้าออกมาแล้วอย่ามาแย่งความรักกับข้าล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ


 


 


ในห้องอบอวลไปด้วยความรัก


 


 


หลังจาก ‘สั่งสอน’ ลูกในท้องเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้า ถามเสียงอ่อนโยนว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าหิวไหม ข้าไปต้มข้าวต้มให้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มรู้สึกหิว พยักหน้า “หิวนิดหน่อยน่ะ ข้าไปห้องครัวกับเจ้าดีกว่า” พูดจบก็เปิดผ้าห่มที่อยู่บนตัวออก ทำท่าจะลงจากเตียง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรีบห้ามปรามนาง พูดเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอย่าขยับตัว นอนบนเตียงเถอะ ข้าไปทำข้าวต้มให้เอง แม่สอนข้าไว้แล้ว”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก ข้านอนบนเตียงมาทั้งวันแล้ว ควรลงจากเตียงขยับตัวบ้าง” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพูดขึ้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังคงยืนหยัดไม่ให้นางลงจากเตียง “เสด็จแม่บอกแล้ว ช่วงสามเดือนนี้เป็นช่วงที่อันตรายที่สุด เจ้าอย่าขยับตัวเลยจะดีกว่า”


 


 


“อี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาร้อนใจจนเหงื่อซึมบนหน้าผาก จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้าเป็นหมอนะ ข้ารู้ดีกว่าใครว่าทำอย่างไรจึงดีต่อคนท้องและลูก เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก”


 


 


“จริงหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่าไม่วางใจ แล้วพูดต่อทันทีว่า “เจ้าอย่าโกหกข้านะ”


 


 


“เราสองคนผ่านอุปสรรคมามากมายกว่าจะได้ลูกสองคนนี้มา ข้าระวังตัวกว่าเจ้าอยู่แล้ว เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจึงค่อยวางใจ คุกเข่าลงไปช่วยนางใส่รองเท้า แล้วประคองนางออกจากห้องไปอย่างระวัดระวัง


 


 


ชิงหลวนและจูหลีรีบเดินขึ้นมา “ซื่อจื่อ นายหญิง มีคำสั่งอะไรหรือ”


 


 


“ไม่มีอะไร ข้ากับอี้เซวียนจะไปห้องครัวทำข้าวต้มกิน ไม่ต้องอยู่รับใช้หรอก พวกเจ้าไปกินข้าวเย็นเถอะ”


 


 


ทั้งสองตกใจ ชิงหลวนพูดห้ามขึ้นว่า “นายหญิง ท่านมิควรทำนะเจ้าคะ ตอนนี้ท่านมีครรภ์อยู่ อย่าขยับเขยื้อนตัวเลย”


 


 


มาอีกคนหนึ่งแล้ว…


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี ขนาดแค่ตอนนี้ประคบประหงมขนาดนี้ ต่อไปนางท้องหกเจ็ดเดือนจนท้องโตแล้ว พวกเขาคงให้นางนอนอยู่แต่บนเตียงทั้งวัน นางจึงนำคำพูดที่พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนพูดให้พวกนางทั้งสองฟังซ้ำอีกครั้ง


 


 


ทั้งสองทำหน้ากึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้คัดค้านอะไร จึงหลีกทางให้พวกเขาสองคนออกไป แล้วเดินตามหลังพวกเขาไป


 


 


เนื่องจากเป็นช่วงมื้อเย็น คนใช้ส่วนใหญ่รวมตัวกันกำลังกินข้าวอยู่ในห้องครัว เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามา ทุกคนก็วางถ้วยและตะเกียบลงแล้วคารวะพวกเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือ “พวกเจ้ากินต่อเถอะ ข้ากับซื่อจื่อมาทำข้าวต้มน่ะ”


 


 


ผู้ดูแลห้องครัวตกใจ มีคนใช้มากมายขนาดนี้ แต่ปล่อยให้ซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อลงมือทำข้าวต้มเอง หากเรื่องนี้ถึงหูท่านอ๋องและพระชายาฉีเมื่อไหร่ เกรงว่าไม่ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ พวกเขาทั้งหมดถูกเฉดหัวออกไปแน่ เขาพูดอย่างเกรงกลัวว่า “ซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ ไม่ได้นะขอรับ ให้ข้าน้อยทำให้เถอะขอรับ”


 


 


“ช่วงนี้ต่อมลิ้มรสของข้าไม่เหมือนปกติ ข้าชอบทานแต่ข้าวต้มที่แม่ข้าทำน่ะ พวกเจ้าทำไม่ได้รสชาตนั้นหรอก ไปกินข้าวตามสบายเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและอธิบายเมื่อเห็นความกังวลของพวกเขา


 


 


ผู้ดูแลครัวรู้สึกค่อยโล่งใจ จึงถอยออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนให้เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ดูอยู่ข้างๆ เขาทำตามลำดับขั้นที่เมิ่งชื่อสอน โดยเริ่มจากล้างข้าว สะเด็ดน้ำ เติมน้ำ และลงต้มในหม้อ เมิ่งเชี่ยนโยวคอยอยู่ข้างๆ


 


 


ซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อกำลังทำอาหาร คนใช้อย่างพวกเขากลับนั่งทานอาหารอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ภาพแบบนี้ดูอย่างไรก็แปลกพิกล ทุกคนบ่นอุบอิบในใจ บางคนรีบซัดข้าวต้มในถ้วยจนหมด รีบล้างถ้วยเสร็จก็เดินออกไปทันที บางคนรีบยัดหมันโถวลงไป แล้วยกถ้วยข้าวต้มออกไปทานนอกห้องครัว ผ่านไปไม่นาน นอกจากผู้ดูแลห้องครัว ก็ไม่เหลือคนใช้สักคนเลย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็น จึงยิ้มและพูดว่า “อี้เซวียน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เราสร้างครัวเล็กๆ ในเรือนของเรากันเองเถอะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังวุ่นอยู่ในครัวก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวในห้องครัวเช่นกัน เขาตอบกลับว่า “ได้ เดี๋ยวโยกคนสองคนจากที่นี่ไป”


 


 


“ไม่ต้องหรอก คนในเรือนของเราก็พอ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเข้าใจความหมายของนาง เขาก็พยักหน้า “ได้ แล้วแต่เจ้าเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนวุ่นอยู่ในตลอด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อยากอยู่ว่างๆ นางจึงสั่งชิงหลวนและจูหลีอย่างคล่องแคล่วให้เตรียมวัตถุดิบอาหารที่หวงฝู่อี้เซวียนชอบทานสองจาน ครั้นนางถลกแขนเสื้อขึ้นกำลังจะผัด กลับรู้สึกคลื่นไส้เมื่อได้กลิ่นน้ำมันลอยมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนร้อนรนใจ ชิงหลวนและจูหลีก็ตกใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ดูแลครัวที่ถึงกับคุกเข่าลงบนพื้นอย่างอ่อนแรงทันที


 


 


ดีที่อาการคลื่นไส้ผ่านไประรอกหนึ่ง นางไม่ได้อาเจียนอะไรออกมา แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่วางใจ จะประคองนางกลับห้องทันที


 


 


สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวซีดเซียว โบกมือ “ไม่เป็นไร เจ้าไปเรียกแม่ครัวมา ข้าสอนนางเองว่าต้องทำอย่างไร”


 


 


ผู้ดูแลครัวรีบเดินขาสั่นออกไปเรียกแม่ครัวที่ดีที่สุดมา แล้วกับข้าวสองจานก็ผัดเสร็จตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวคอยประกบสอน


 


 


ข้าวต้มก็ทำเสร็จแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนประคองเมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวนและจูหลียกข้าวต้มและกับข้าวกลับไปที่ห้อง


 


 


หลังจากทานข้าวแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ออกไปเดินเล่นที่ลานบ้านเป็นเพื่อนนางตามที่นางร้องขออยู่หลายหน แล้วจึงกลับห้องพักผ่อน


 


 


เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ จวนอ๋องก็เงียบสงบ


 


 


หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว นางก็พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อี้เซวียน วันนี้เป็นวันเข้าเรือนหอของเรา เจ้าจะหลับไปอย่างนี้เลยหรือ”


 


 


ลูกกระเดือกของหวงฝู่อี้เซวียนกลิ้งขึ้นลง เขากัดฟันข่มอารมณ์ของตนไว้ “เสด็จแม่บอกไว้ว่าสามเดือนนี้ห้ามข้าทำอะไรล่วงเลย ข้า…”


 


 


“สองภพชาติรวมกัน นี่เป็นเรือนหอครั้งแรกของข้า ข้าไม่อยากทิ้งโอกาสนี้ไปอย่างเสียใจ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดยิ้มมองตาเขา


 


 


ความอดทนของหวงฝู่อี้เซวียนพังทลายลงทันที เขาไม่กล้าถามเรื่องภพชาติที่แล้วของนาง กลัวว่าทางนู้นของนางจะมีญาติ มีครอบครัว มีลูก มีสายใยผูกพันธ์ แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด ความกังวลใจทั้งหมดพลันหายไปทันที


 


 


ครั้นหวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะทำอะไรต่อ เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังขึ้นจากลานบ้าน ขณะเดียวกันเสียงของพระชายาฉีก็ดังขึ้นว่า “เซวียนเอ๋อร์ แม่บอกเจ้าไว้นะ…”


 


 


ขณะที่เสียงพูดดังขึ้น เสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรีบปล่อยตัวเมิ่งเชี่ยนโยว ดึงผ้าห่มข้างๆ มาห่มตัวนางไว้ และรีบลุกยืนขึ้น


 


 


พระชายาฉีเดินเข้ามาเห็นสภาพของทั้งสองคน ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างตกใจว่า “เซวียนเอ๋อร์ สิ่งที่ข้าพูดไปเจ้าฟังหูซ้ายทะลุหูขวาหรือ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าสามเดือนแรกห้ามแตะต้องตัวโยวเอ๋อร์”


 


 


หน้าทั้งสองคนแดงก่ำทันที เมิ่งเชี่ยนโยวก็อายจนอยากจะมุดตัวลงไปใต้เตียง หวงฝู่อี้เซวียนกลับนิ่ง “เสด็จแม่ ท่านคิดไปไหนน่ะ โยวเอ๋อร์บอกว่าจะพักผ่อน ข้าเพิ่งช่วยนางถอดเสื้อผ้าเสร็จ”


 


 


พระชายาฉีเหลือบมองเขาอย่างมีพิรุธ เมื่อเห็นเขายังใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยอยู่ ก็โล่งใจ แล้วพูดขึ้นว่า “เซวียนเอ๋อร์ แม่รู้ว่าแม่ทำเจ้าอึดอัด แต่เห็นแก่ลูกในท้องโยวเอ๋อร์เถอะ เจ้าทนหน่อยนะ รอให้โยวเอ๋อร์คลอดเสร็จแล้ว เจ้าอยากจะทำอะไรก็เชิญ แม่ไม่ห้ามหรอก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบอย่างเชื่อฟัง


 


 


พระชายาฉีพูดพล่ามไม่หยุด จนเหมือนกับว่าทั้งสองต้องลงลายลักษณ์อักษรว่าวันนี้จะไม่ทำอะไรในเรือนหอจึงจะยอมจากไปอย่างพอใจ


 


 


เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกจากลานไป ทั้งสองจึงโล่งใจ หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกเส้นเลือดสมองของตนเต้นตุบๆ จนเขานั่งบนขอบเตียงอย่างหมดแรง

 

 

 


ตอนที่ 263 คุณชายรอง มีคนมาหาขอรับ

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง แล้วยิ้มเฝื่อนๆ


 


 


ผ่านไปนานกว่าทั้งสองจะหยุดหัวเราะ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่พอใจ พูดอย่างเ**้ยมโหดว่า “เจ้าลูกน้อยทั้งสอง หัดรังแกข้าตั้งแต่ตอนนี้แล้วรึ รอพวกเจ้าออกมาก่อนเถอะ ข้าจะตีให้ก้นลายเลย”


 


 


“เจ้าทำไม่ลงหรอก” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเด็กที่เพิ่งคลอดนั้นผิวนุ่มอมชมพู น่ารักน่าชังขนาดไหน ตอนที่เส้าเอ๋อร์ยังไม่คลอดพี่ใหญ่ก็พูดแบบนี้ แต่พอได้เจอลูกเท่านั้นล่ะ ความคิดแบบนี้ก็จะหายไป กลายเป็นว่าคิดอยากจะอุ้มเด็กไว้ตลอดเวลา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคิดภาพตาม ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าลูกในท้องเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงนะ”


 


 


“เจ้าอยากให้เป็นเพศไหนล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


“ถ้าให้ดีก็ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ลูกชายเป็นคนโต จะได้ปกป้องน้องสาว และช่วยสืบทอดจวนอ๋องได้ด้วย ถึงตอนนั้นข้าก็จะได้ไปอยู่บ้านนอกกับเจ้า คอยดูแลท่านพ่อท่านแม่ ส่วนลูกสาวก็ให้อยู่จวนอ๋องเป็นเพื่อนเสด็จแม่ จะได้ทำให้ความฝันของเสด็จแม่ที่อยากมีลูกสาวเป็นจริงด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ “วางแผนซะดีเลยนะ”


 


 


“ข้าไม่ได้วางแผนดีหรอก แต่เพราะภรรยาข้ากล้าหาญ มีทีเดียวสองคน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะขอมาได้ง่ายๆ เลยนะ”


 


 


เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากลานบ้านอีกครั้ง และเสียงพระชายาฉีก็ดังขึ้นอีก “เซวียนเอ๋อร์ แม่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี คืนนี้ให้แม่นอนกับนางเถอะนะ”


 


 


แต่ครั้งนี้ไม่ได้อุกอาจเข้าไปในห้องทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถูกพระชายาฉีขัดจังหวะขึ้นในช่วงเวลาสำคัญถึงสองครั้ง ความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายพลันแล่นขึ้นในหัว เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เสด็จแม่ ข้ากับโยวเอ๋อร์นอนแล้วขอรับ ท่านกลับไปเถอะ”


 


 


“พวกเจ้าก็ยังไม่หลับนี่ไง เจ้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย แม่รออยู่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว ปกติแม่ของตนก็เป็นคนมีเหตุมีผล ทำไมวันนี้ถึงเอาแต่จะทำลายเรือนหอของเขาล่ะ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวซ่อนตัวใต้ผ้าห่ม หัวเราะคิกคักจนไหล่สั่นทั้งสองข้าง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือไปตีเชิงลงโทษนางเบาๆ เนื่องจากเป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด พระชายาฉีจึงได้ยินเสียง แปะ นางร้อนรนขึ้นทันที น้ำเสียงก็แข็งกระด้างขึ้น “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแม่จะบุกเข้าไปแล้วนะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจะตอบตกลงง่ายๆ ได้อย่างไร ในเมื่อกว่าตนจะขออยู่ต่อในห้องนี้ได้ เขาสั่งเสียงดังไปข้างนอกว่า “ชิงหลวน ไปเรียกอ๋องฉีมา”


 


 


ชิงหลวนขานรับ


 


 


พระชายาฉีมัวแต่คิดถึงลูกในท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงไม่ทันคิดว่าเหตุใดหวงฝู่อี้เซวียนจึงเรียกอ๋องฉีมา นางถามอย่างแปลกใจว่า “เซวียนเอ๋อร์ เรียกเสด็จพ่อของเจ้ามาทำไมรึ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้แผนของเขาทันที นางหัวเราะหนักกว่าเดิม


 


 


ในห้องไม่มีเสียงตอบ พระชายาฉีเริ่มใจร้อน พูดเร่งว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าใส่เสื้อเสร็จหรือยัง ออกมาเร็วสิ”


 


 


ความคิดอย่างเดียวในหัวของเซวียนเอ๋อร์คือ ตอนนั้นตนเองคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ทำไมถึงตามอ๋องฉีกลับมานะ ทำเอาเขาจะเป็นอย่างคนปกติก็ไม่ได้ แค่เรือนหอยังถูกพระชายาฉีที่ปกติเป็นคนมีเหตุมีผล รู้หนังสือ และฉลาดนอบน้อมคอยขัดขวาง เขาจึงตอบอย่างเชื่องช้าว่า “ทราบแล้วขอรับ เสด็จแม่ ข้าลุกเดี๋ยวนี้แหละ”


 


 


ชิงหลวนทำงานกระฉับกระเฉง เมื่ออ๋องฉีได้ยินว่าตอนนี้พระชายาฉีอยู่ในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ก็รีบมาทันที เขาเห็นพระชายาฉีเดินไปมาในลานบ้าน และยังพูดเร่งหวงฝู่อี้เซวียน ก็รีบปริปากหวังเกลี้ยกล่อมนางกลับไป “พระชายา…”


 


 


เมื่อพระชายาฉีเห็นเขา ดวงตาก็ลุกวาว นางรีบพูดตัดว่า “ท่านอ๋อง ท่านมาแล้วหรือ เจ้าเซวียนเอ๋อร์ลูกคนนี้ไม่เชื่อฟังข้าเลย ข้าเรียกหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมออกมากจากในห้อง ข้าร้อนใจเหลือเกินเพคะ”


 


 


เมื่อนางพูดจบ เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังมาจากในห้อง “เสด็จพ่อ รีบพาภรรยาท่านกลับไปเถอะ หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ลูกต้องพิการแน่ๆ”


 


 


แม้อ๋องฉีเข้าใจความหมายของเขา เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่กลับกระแอมหนึ่งทีตอบว่า “ร่างกายของโยวเอ๋อร์พิเศษ เจ้าอย่าทำอะไรเกินเลย”


 


 


เขาอยากจะเอาหัวโขกกับกำแพงเสียให้รู้แล้วรู้รอด ถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะค้นพบว่า เสด็จพ่อและเสด็จแม่เป็นคนพิลึกพิกล พ่อตาที่พูดแบบนี้ออกมาได้ในวันแต่งงานของลูกชายคงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว


 


 


อ๋องฉีเริ่มรู้ตัวว่าตนพูดไม่มีเหตุผล หลังจากที่พูดจบ จึงรีบเกลี้ยกล่อมว่า “พระชายา เราคุยกันไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าวันนี้กลับไปนอนพักกันดีๆ ”


 


 


“สภาพโยวเอ๋อร์เป็นแบบนี้ จะให้ข้านอนหลับได้อย่างไร ให้ข้าเฝ้านางอยู่ที่นี่ข้าจะสบายใจเสียกว่า”


 


 


“เสด็จพ่อ หากท่านยังไม่พาภรรยาท่านกลับไปอีก ข้าจะพาโยวเอ๋อร์กลับหนานเฉิงเสียพรุ่งนี้เลย คลอดลูกเสร็จก็จะไม่กลับมาอีก”


 


 


เมื่อเขาพูดจบ พระชายาฉีถึงกับชะงัก ความโกรธปะทุขึ้นมาอย่างพลุ่งพล่าน นางเตรียมก้าวขากำลังจะเข้าไปในห้อง


 


 


อ๋องฉีรู้ทันทีว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น จึงรีบเดินตามพระชายาฉีขึ้นไป เขาซ้อนมืออุ้มนางขึ้นมาจากด้านหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วเดินออกจากเรือนไป


 


 


พระชายาฉีตกใจ ครั้นได้สติกำลังจะหันไปด่าเขา ก็ถูกเขาสกัดจุดไว้จนนางพูดอะไรไม่ได้สักคำเสียแล้ว


 


 


ชิงหลวนและจูหลีมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตกตะลึง


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ผ่านไปนานจนเขากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง หันไปขอคำยืนยันจากชิงหลวนและจูหลีว่า “พี่สาวขอรับ เมื่อครู่นี้คือท่านอ๋องและพระชายาใช่ไหม”


 


 


ทั้งสองหันไปหาเขาอย่างงงงวย มองเขาอย่างว่างเปล่า และพยักหน้าอย่างงงงวย


 


 


ปากของหวงฝู่อวี้อ้ากว้างขึ้นเหมือนไข่ไก่ รีบวิ่งเหยาะๆ ตามออกไป มองดูแผ่นหลังทั้งสองที่ไกลออกไป ก็ยังคงตั้งสติไม่ได้


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นจากในห้องอีกครั้ง “พวกเจ้าไม่ต้องอยู่รับใช้ตรงนี้แล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ”


 


 


ทั้งสามจึงได้สติกลับมา มองกันไปมองกันมา แล้วย่องถอยกลับไป


 


 


เมื่อไม่ได้ยินเสียงจากในลานอีก เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะขึ้นมา หวงฝู่อี้เซวียนหันไปมองนาง นัยน์ตาแฝงไปด้วยความอันตราย ถามเสียงทุ้มต่ำว่า “ตลกมากหรือ”


 


 


เมื่อสัมผัสถึงอันตราย เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะ แล้วรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที “เปล่าเจ้าค่ะ”


 


 


แม้จะพูดเช่นนี้ แต่สายตากลับแสดงความดีอกดีใจไปกับความโชคร้ายของเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจะไม่รู้ความคิดของนางได้อย่างไร เขาแกล้งพูดอย่างโหดเ**้ยมว่า “ดูซิข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วก้มหน้าลง ความรู้สึกคลื่นไส้พลันมาเยือนอีกครั้ง นางจึงรีบปิดปาก ตัวเหยียดตรง และรีบโบกมือให้หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยมือเสีย แต่นางเคลื่อนไหวมากเกินไปจนอาหารจุกขึ้นมาในปาก นางอั้นไว้ไม่อยู่ จึงเอนศีรษะออกด้านข้าง แล้วอาเจียนออกมา แม้จะไม่ได้อาเจียนใส่หวงฝู่อี้เซวียนทั้งหมด แต่อาหารก็กระเด็นไปโดนตัวเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจึงยิ่งมั่นใจว่าตนเป็นคนโชคร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว ก่อนหน้านี้ถูกเสด็จพ่อเสด็จแม่กลั่นแกล้ง กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาไปได้ ลูกสองคนในท้องก็ไม่วายมารังแกเขาอีก


 


 


ไม่เพียงแต่อาหารที่ทานไปเมื่อครู่ถูกอาเจียนออกมาเท่านั้น แม้แต่น้ำดีก็เกือบจะอาเจียนออกมาด้วย เมิ่งเชี่ยนโยวถึงรู้สึกสบายตัวขึ้น นางจึงรีบพูดขอโทษโดยที่ยังไม่ได้เช็ดปากว่า “อี้เซวียน ขอ…”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับไปไหน พูดเสียงอ่อนโยนด้วยความเป็นห่วงว่า “ดีขึ้นบ้างไหม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดีขึ้นบ้างแล้ว แค่…”


 


 


“เจ้านอนลงไปเลย ที่เหลือไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวข้าจัดการเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอีกครั้ง นอนลงบนเตียงพร้อมผ้าห่มผืนใหม่


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขยับตัวที่ชาไปทั้งตัว เขาลุกขึ้นจากเตียง ใส่เสื้อผ้า เดินไปที่ประตูแล้วเปิดประตูสั่งว่า “ทำความสะอาดหน่อย”


 


 


ชิงหลวน จูหลีและหวงฝู่อวี้ได้ยินเสียงจากในห้อง รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวอาเจียนอีกแล้ว จึงไม่กล้ากลับไปพักผ่อน พวกเขาเฝ้าอยู่ในลานบ้านตลอดเวลา เมื่อได้ยินคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน ชิงหลวนและจูหลีก็รีบเดินเข้าห้องทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งต่อว่า “อวี้เอ๋อร์ ใส่น้ำมา ข้าจะเช็ดล้างตัวหน่อย”


 


 


หวงฝู่อวี้ขานรับ เดินไปที่ห้องครัว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังกลับ เดินไปข้างเตียง โค้งตัวลง อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมผ้าห่มขึ้นมา


 


 


ชิงหลวนและจูหลีทั้งสองคนรีบเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จเรียบร้อย และรีบทำความสะอาดห้องด้วยความกระฉับกระเฉง จากนั้นก็เปิดหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นเหม็นในห้องออกไป


 


 


เมื่อทำความสะอาดเสร็จ ทั้งสองก็ก้มหน้าถอยออกไป และแง้มประตูทิ้งไว้


 


 


หลังจากวางเมิ่งเชี่ยนโยวลงบนเตียง ก็พูดเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้านอนไปก่อนนะ ข้าไปเช็ดล้างแล้วจะรีบมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด


 


 


หลังจากนำผ้าห่มอีกผืนห่มให้นางแล้ว ก็นำเสื้อผ้าของตนออกมาจากใน**บ แล้วหอบผ้าห่มผืนเดิมออกไปข้างนอก โยนไว้ในลานบ้าน


 


 


เมื่อตนไปห้องอาบน้ำเช็ดล้างตัวเสร็จก็กลับเข้าไปในห้อง


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเขาเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังง่วงสะลืมสะลือก็พยายามลืมตาขึ้น เปิดผ้าห่มอีกฝั่งขึ้นเพื่อบอกให้เขานอนลง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนอนลง เมิ่งเชี่ยนโยวมุดเข้าไปในอ้อมกอดเขา จนได้ท่าที่สบาย นางไม่ได้พูดอะไร แล้วหลับตาลงผล็อยหลับไปทันที


 


 


เมื่อได้ยินเสียงหายใจคงที่ของนาง หวงฝู่อี้เซวียนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหลับตาลง


 


 


ความเหนื่อยล้าจากการวุ่นกับงานแต่งหลายวันมานี้ก็เข้าจู่โจม ผ่านไปไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไป


 


 


หลังจากหลับสนิทไปหนึ่งตื่น ขณะที่สะลืมสะลืออยู่นั้นก็ได้ยินเสียงในจวนอ๋อง เมื่อลืมตาขึ้น เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตื่นแล้ว เขาพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ยังเช้าอยู่เลย นอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หลับไปอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับนอนไม่หลับแล้ว ได้แต่เฝ้ามองหน้านางที่หลับพริ้มอยู่


 


 


หวงฝู่อวี้ยังคงตื่นแต่เช้าเช่นเคย หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว ก็รีบทานข้าวเช้า แล้วนั่งรถม้าไปโรงงานทันที


 


 


มันฝรั่งของฤดูนี้โตเต็มที่แล้ว ถูกเก็บเกี่ยวจนกองสูงเป็นภูเขาในโรงงาน ตั้งแต่ก่อนที่ยังหาตัวเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เจอ เมิ่งฉีก็ตัดสินใจเปิดโรงงานมันฝรั่งขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้หวงฝู่อวี้และเสี่ยวซือทั้งสองคนจึงยุ่งมาก ทุกๆ เช้าจะมาถึงที่โรงงานตั้งแต่ไก่โห่ ไม่เคยมีวันไหนขาดหรือสายเลย


 


 


ประตูโรงงานถูกเปิดแล้ว คนงานก็จับกลุ่มน้อยใหญ่กันเดินเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นหวงฝู่อี้ลงจากรถม้า ต่างก็คารวะทักทายเขา


 


 


เขาเดินผ่านและพยักหน้าตอบทุกคน ในทุกวันเขาจะไปห้องทำงานปกติของเขาก่อน เพื่อนำรายชื่อคนงานมาเช็คชื่อในแต่ละโรงงาน หลังจากตรวจเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปที่ห้องของตนอีกครั้ง เพื่อนำรายการบัญชีออกมาตรวจทาน หลังจากตรวจแล้วไม่มีปัญหาจึงจดลงในสมุดบัญชี เผื่อไว้ให้เมิ่งฉีที่สองสามวันมาตรวจตราเข้ามาตรวจดู


 


 


เสี่ยวซือที่ให้คนเร่งรถม้าออกไปซื้อหมูซื้อผักก็กลับมาแล้ว สั่งคนนำเสบียงทั้งหมดลงไป หลังจากเข้าห้องไปแล้วก็นำรายการวัตถุดิบอาหารในมือยื่นให้หวงฝู่อี้


 


 


หลังจากหวงฝู่อี้ตรวจสอบละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็เขียนลงบนสมุดบัญชี


 


 


ตอนนี้ทั้งสองแบ่งงานกันชัดเจน เสี่ยวซือมีหน้าที่ซื้อเสบียงและดูแลงานนำเข้าส่งออก ส่วนหวงฝู่อวี้ดูแลเรื่องบัญชี เมื่อแบ่งงานกันชัดเจนแบบนี้ ทั้งสองจึงมีเวลาว่างเพื่อไปดูแลบริหารโรงงานด้วยกันมากขึ้น


 


 


หลังจากทำธุระเหล่านี้เสร็จ ทั้งสองจึงแยกกันไปตามโรงงานที่ตนดูแล


 


 


ทหารลาดตระเวนนายหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พูดกับหวงฝู่อวี้ว่า “คุณชายรอง มีคนมารอพบท่านอยู่ข้างนอกขอรับ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)