ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 240-243
ตอนที่ 240 ยืดเยื้อ
ไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนคุยกับจูหลานอย่างไร แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน รอยยิ้มบนใบหน้าจางลี่ก็ปรากฎมากขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้โอกาสตอนที่อยู่ลำพังเพียงสองคน เขย่งปลายเท้ายื่นหน้าไปจูบริมฝีปากเขาดั่งแมลงปอเกาะบนผิวน้ำเพื่อให้รางวัลเขา ใครจะไปรู้ว่ากลับทำให้อารมณ์ที่เขาเก็บซ่อนมาตลอดช่วงนี้พลันลุกโชน เขากอดนางแน่น ประทับริมฝีปากของตนลงไปอย่างแนบแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยอารมณ์ไปตามเขา จนตัวเองเริ่มหายใจไม่ออก จึงตบหลังเขาเบาๆ
เขาผละออกจากนาง จ้องมองปากแดงระเรื่อของนาง หวงฝู่อี้เซวียนห้ามใจไม่ไหว ริมฝีปากประทับลงไปอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นห้าม “ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองอยู่นี่กันหมด หากพวกท่านเห็นเข้า ต่อไปเจ้าจะเข้ามาได้อีกหรอก”
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดลง กอดนางไว้แน่น เกยคางของตนบนไหล่ของนาง พูดกัดฟันว่า “อีกแค่สองเดือน ข้าจะทน ถึงตอนนั้นพวกเราแต่งงานแล้ว ข้าจะดูว่าใครจะกล้าเข้ามาห้าม”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ
อีกคนหนึ่งที่ร้อนใจไม่แพ้กันคือพระชายาฉี เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวย้ายออก คนตระกูลเมิ่งก็ออกกันไปหมด เด็กน้อยที่มาจวนอ๋องบ่อยๆ ก็ตามไปด้วย ปกติจวนอ๋องที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้นตอนนี้กลับเงียบเหงา โดยเฉพาะหวงฝู่อี้เซวียนที่กลับมานอนเฉพาะตอนกลางคืน เวลาอื่นไม่เจอแม้แต่เงาเลย ส่วนอ๋องฉีเอง ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงทำหน้าเคร่งขรึมทุกวัน และถอนหายใจเป็นครั้งคราว เมื่อถามว่าเป็นอะไร เขาก็ไม่บอก
พระชายาฉียิ่งทนบรรยากาศเช่นนี้ไม่ไหว วันที่ห้าหลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวไป ท้ายสุดนางก็ทนไม่ไหว เดินไปหาอ๋องฉีที่ห้องหนังสือ พูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องเพคะ อีกไม่นานก็เดือนสิบแล้ว ควรกำหนดวันแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์แล้วนะเพคะ หากวันนี้ท่านมีเวลาว่าง ก็เข้าวังกับหม่อมฉันหน่อยเถอะ จะได้ให้เสด็จแม่ช่วยเลือกฤกษ์ดีด้วย”
ให้เสด็จแม่ช่วยเลือกวันเป็นเพียงฉากบังหน้า จุดประสงค์แท้จริงแล้วต้องการให้ฮ่องเต้กำหนดวันมากกว่า อ๋องฉีจะไม่รู้ความหมายของนางได้อย่างไร สายตาเหลือบมองนางผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหวัง ก็ทำใจบอกนางเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีลูกยากไม่ได้ เพราะไม่อยากทำลายอารมณ์ดีของนาง ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า “เจ้ารอสักครู่ ข้ากลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
อ๋องฉีเดินออกจากห้องหนังสือ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กำลังจะก้าวเดินไปเรือนของตน เสียงของพระชายาฉีก็ดังขึ้นจากข้างหลังของเขา เขาตกใจจนเกือบจะลื่นล้มลงบนพื้น “ท่านอ๋องช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจหรือเพคะ เห็นถอนหายใจบ่อย”
พูดจบ พระชายาฉีก็มาถึงหน้าอ๋องฉีแล้ว นางเงยหน้ามองเขาตาไม่กะพริบ
อ๋องฉีรู้สึกไม่สบายใจ หลบสายตาไปครู่หนึ่ง พูดขึ้นว่า “ข้าจะมีเรื่องกลุ้มใจอะไรล่ะ ก็แค่เรื่องไม่ลงรอยกับขุนนางท่านอื่นในวังเท่านั้นเอง”
พระชายาฉียังคงสงสัยมองเขาแวบหนึ่ง จึงพยักหน้า “เรื่องในวังหม่อมฉันไม่ค่อยรู้ หากท่านอ๋องแก้ปัญหาไม่ได้จริงๆ ลองเรียกเหวินเจี๋ยมาปรึกษาหน่อยไหมเพคะ”
“ไม่ต้องหรอก สภาพน้องสะใภ้แบบนั้น เหวินเจี๋ยคอยประคบประหงมนางขนาดนั้น จะมีใจมาสนใจเรื่องในวังได้อย่างไร” พูดจบ ก็กลัวว่าพระชายาฉีจะถามอีก จึงรีบพูดขึ้นว่า “ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้แหละ แล้วเราเข้าวังกัน”
“ให้หม่อมฉันไปช่วยเถอะ จะได้เร็วหน่อยนะเพคะ”
อ๋องฉีชะงัก แล้วพยักหน้าตอบรับ
เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ทั้งสองนั่งรถม้าไปถึงหน้าพระราชวัง ยื่นป้ายให้ เดินเข้าไปในวัง คนหนึ่งไปตำหนักไทเฮา อีกคนไปห้องหนังสือ
ตั้งแต่เรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยว อ๋องฉีก็ตีตัวห่างจากฮ่องเต้ นอกจากทรงว่าราชกิจแล้ว ก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกับฮ่องเต้เพียงลำพัง เมื่อได้ยินขันทีรายงาน ฮ่องเต้ก็ตกใจ และรีบให้เขาเข้ามา ถามขึ้นด้วยความกรุณาว่า “วันนี้น้องข้ามีธุระอะไรหรือ”
อ๋องฉีประสานมือ คารวะแล้วพูดขึ้นว่า “ใกล้จะถึงเดือนสิบแล้ว วันนี้ที่กระหม่อมมา ก็อยากให้เสด็จพี่ช่วยกำหนดวันสมรสของเซวียนเอ๋อร์พ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบก็ก้มศีรษะยืนตัวตรง ไม่ได้พูดอะไรอีก
ฮ่องเต้เกือบจะบันดาลโทสะเมื่อเห็นท่าทางของเขา จ้องมองเขาอยู่นาน
อ๋องฉีไม่ขยับ ก้มศีรษะไว้ ปล่อยให้ฮ่องเต้มอง
ผ่านไปนานฮ่องเต้ถึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรื่องขององค์หญิงชิงเหอ เราเองที่…”
“เสด็จพี่” อ๋องฉีพูดแทรกขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอีกครั้งว่า “ที่กระหม่อมมาวันนี้อยากให้เสด็จพี่ช่วยกำหนดวันสมรสของเซวียนเอ๋อร์พ่ะย่ะค่ะ”
พระพักตร์ของฮ่องเต้เกร็งขึ้น ขันทีที่คอยรับใช้อยู่รอบๆ ก็เหงื่อตกแทนอ๋องฉี ยังไม่มีใครกล้าพูดตัดบทฮ่องเต้เช่นนี้ อ๋องฉีเป็นคนแรก ไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง
อ๋องฉีทำเหมือนตนไม่ได้ทำผิดอะไร เมื่อพูดจบก็ก้มหัวยืนตรงอยู่ที่เดิม รอฮ่องเต้ตอบ
บรรยากาศในห้องทรงพระอักษรพลันเคร่งเครียดขึ้นมา ขันทีและนางในที่คอยรับใช้ตัวแข็งเกร็งจนแทบจะหยุดหายใจ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ฮ่องเต้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ควบคุมโทสะของตนไว้ บัญชาให้ทุกคนออกไป พูดอย่างอ่อนโยนว่า “องค์หญิงชิงเหอช่วยสร้างความดีให้กับเมืองหลวงเราไว้มาก และเราเองที่มอบราชโองการการสมรสครั้งนี้ ตามหลักแล้วเราควรให้สำนักโหรหลวงเลือกฤกษ์งามให้เซวียนเอ๋อร์ ให้พวกเขารีบสมรสกัน แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม องค์หญิงชิงเหอมีบุตรยาก อีกทั้งเซวียนเอ๋อร์เป็นซื่อจื่อ เรื่องนี้มีผลกระทบต่อผู้สืบทอดของจวนอ๋องเราต้องพิจารณาใหม่ให้ถี่ถ้วนจึงจะตัดสินใจได้”
ในที่สุดอ๋องฉีก็เงยหน้ามองฮ่องเต้ กำลังจะอ้าปากพูด
ฮ่องเต้กลับเอ่ยปากขึ้นก่อน พูดอย่างจริงใจว่า “ที่เราทำก็เพื่อจวนอ๋อง จะปล่อยให้ลูกของพระชายารองมาเป็นผู้สืบทอดมิได้”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร
ห้องทรงพระอักษรเงียบสงัด
ผ่านไปครู่หนึ่งอ่องฉีจึงเอ่ยปากอย่างยากเย็นว่า “เสด็จพี่ไม่ต้องคิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้สำนักโหรรีบกำหนดวันเถอะพ่ะย่ะค่ะ หากต่อไปเซวียนเอ๋อร์ไม่มีผู้สืบทอดจริงๆ ก็คงเป็นชะตากรรมของจวนอ๋องเอง กระหม่อมขอน้อมรับพ่ะย่ะค่ะ”
“พูดจาเหลวไหล” ฮ่องเต้บันดาลโทสะ “ชะตากรรมอะไร คนบ้านตระกูลหวงฝู่เราหากยอมรับชะตากรรม จะมีใต้ฟ้าให้เราได้นั่งเช่นทุกวันนี้รึ ก็แค่ผู้หญิงที่คลอดลูกไม่ได้ เราจะอุ้มชูให้นางอยู่สูงแค่ไหน ก็จะทำให้นางตกลงเจ็บได้มากเท่านั้น”
อ๋องฉีถอนหายใจเบาๆ “ความรักของเซวียนเอ๋อร์ที่มีต่อนางนั้นลึกซึ้ง กระหม่อมก็เห็นด้วยที่เขาจะสู่ขอองค์หญิงชิงเหอ อย่าขัดขวางเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทีของฮ่องเต้กลับยืนหยัดเหมือนเดิม “เราบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ เรื่องนี้ไม่มีพื้นที่ให้เจรจา”
พระชายาฉีก็ถูกไทเฮาห้ามปรามเช่นกัน เพียงแต่ไทเฮาพูดอ้อมค้อมหน่อย “องค์หญิงชิงเหอเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ร่างกายยังไม่หายดีนัก ไม่เหมาะจะจัดงานทันที เอาอย่างนี้ วันสมรสเลื่อนออกไปอีกหน่อย รอให้ร่างกายนางหายดีแล้ว ไม่เป็นอะไรมากแล้ว เราค่อยมาคุยเรื่องวันสมรสกัน”
พระชายาฉีรู้สึกถึงความผิดปกติ หลังจากออกจากวัง ก็ถามอ๋องฉีทันที “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่เพคะ เสด็จแม่และฮ่องเต้จึงไม่ยอมกำหนดวันสมรสของเซวียนเอ๋อร์เสียที”
อ๋องฉีส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด “ไม่มี ช่วงนี้ในวังก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”
พระชายาฉีกังวลใจ ไม่ทันได้สังเกตสีหน้าเขา พูดว่า “ท่านกลับจวนไปก่อนเถอะเพคะ ข้าไปดูโยวเอ๋อร์หน่อย จะได้นำเรื่องวันนี้เล่าให้เซวียนเอ๋อร์ฟังด้วย”
อ๋องฉีอยากห้ามนางไว้ แต่เมื่อคิดได้ว่าหากห้ามนางแล้ว อาจจะทำให้นางสงสัย จึงปล่อยนางไป
พระชายาฉีไปถึงจวนของเมิ่งเชี่ยนโยว รีบตามหาหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว เล่าเรื่องทั้งหมดของวันนี้ให้ฟังอย่างไม่ลังเลว่า “แม้สิ่งที่ไทเฮาและฮ่องเต้พูดจะมีเหตุผล แต่ข้าก็รู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดปกติ”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นทันที พูดว่า “เสด็จแม่อยู่นี่เป็นเพื่อนโยวเอ๋อร์ก่อนนะขอรับ ข้าขอเข้าวัง จะกลับมาโดยเร็วขอรับ”
พระชายาฉีไม่ได้ห้าม
หวงฝู่อี้เซวียนรีบเดินออกไปทันที
มองดูแผ่นหลังที่รีบร้อนแต่ไม่ลนลานของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา
ไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนเข้าวังแล้วพูดอะไรกับฮ่องเต้ ทราบเพียงว่าหลังจากนั้นฮ่องเต้เขวี้ยงของในห้องทรงพระอักษรอีกครั้ง แล้วก็มีราชโองการให้สำนักโหรหลวงหาฤกษ์ดีให้ซื่อจื่อและองค์หญิงชิงเหอสมรสกัน
พระชายาฉีได้ยินดังนั้นก็ดีใจเดินกลับไปจวนอ๋องอย่างมีความสุข นำข่าวดีนี้ไปบอกอ๋องฉีที่ห้องหนังสือว่า “เซวียนเอ๋อร์กับโยวเอ๋อร์แต่งงานเดือนสิบ หากเร็วหน่อย ภายในตรุษจีนปีหน้าจวนอ๋องของเราก็จะมีสมาชิกเพิ่มแล้วนะเพคะ”
อ๋องฉีก็ดีใจมากเช่นกัน พยักหน้า “ใช่”
“ไม่ได้ ข้าต้องไปดูของที่พวกเขาต้องใช้สมรสกันอีกครั้งว่าลืมอะไรหรือเปล่า” พูดจบ พระชายาฉีก็เดินออกไปอย่างเบิกบานใจ
มองแผ่นหลังที่มีควาสุขของนาง อ๋องฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ออกคำสั่งไปว่า “ส่งคนไปหาหมอที่มีชื่อเสียงจากทุกสารทิศ หากเจอแล้วรีบมารายงานข้า”
มีคนขานรับ หลังจากเสียงสายลมพัดผ่าน ห้องหนังสือก็เงียบสงัดอีกครั้ง
เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ก็ดีใจมาก คุยกันว่าจะกลับบ้านกันเลยทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พ่อ แม่ วันสมรสถูกกำหนดมาแล้ว แต่จวนอ๋องยังไม่ได้ส่งของหมั้นมาให้ หากพวกท่านไปแล้ว จะให้เขายกของกำนัลไปถึงตำบลชิงซีหรือ”
เมิ่งซื่อพูดว่า “เรื่องส่งของหมั้นข้าคุยกับพ่อเจ้าแล้ว เมืองหลวงห่างไกลจากบ้านเรามาก ให้คนส่งของหมั้นไปที่นั่นไม่เหมาะสมจริงๆ เอาอย่างนี้ รอต้นเดือนสิบเราจะกลับมา ถึงตอนนั้นจะพาปู่กับย่ามาด้วย ตอนนั้นเรื่องของหมั้นรวมถึงของที่ต้องแลกเปลี่ยนกันเราค่อยทำพร้อมกันทีเดียวเลย”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาตกลงกันแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ หลังจากรั้งให้พวกเขาอยู่ต่ออีกสิบกว่าวัน ก็ส่งพวกเขากลับไป รวมถึงจูหลานที่ยังอาลัยอาวรณ์อยู่ด้วย
อยู่ๆ คนก็น้อยลงไปเยอะ บ้านก็เงียบลงมากด้วย เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกไม่ชิน จึงไปเดินดูโรงงานและนอกเมืองเป่ยเฉิง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ห้ามนาง แต่คอยตามติดนางตลอดเวลา
ตอนแรกเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ชิน ไล่ให้เขากลับไปจวนอ๋องช่วยพระชายาฉีตระเตรียมของใช้ในงานสมรส
หวงฝู่อี้เซวียนกลับมองนางอย่างเว้าวอน พูดอย่างไม่พอใจว่า “ยังไม่แต่งงานกันเลย เจ้าก็เริ่มหน่ายหนีข้าเสียแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ตามใจเขา
หลังจากนั้นนางก็ค่อยๆ เคยชิน หากวันไหนไม่ได้เจอเขา กลับรู้สึกไม่สบายใจเสียเอง
และนี่คือสิ่งที่หวงฝู่อี้เซวียนต้องการ เมื่อเห็นว่าเป็นไปตามแผน ก็แอบได้ใจเงียบๆ อยู่เพียงผู้เดียว
อาการบาดเจ็บของชิงหลวนและจูหลีก็ดีขึ้นแล้ว พวกนางไม่สนใจคำห้ามปรามของเมิ่งเชี่ยนโยว ตามนางเข้าๆ ออกๆ ไปทุกที่ คอยดูแลความปลอดภัยของนางตลอดเวลา
ส่วนกัวเฟยและเหวินเปียว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงให้พวกเขาติดตามอยู่ข้างกาย
ทุกวันนี้นางใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุข เมื่อเห็นว่าวันสมรสใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีใจมาก หน้าตาเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่อดกลั้นไว้ไม่อยู่ทุกวัน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็มีความสุขมากเช่นกัน ตั้งแต่เกิดมา ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด
ในขณะที่ทุกคนต่างเฝ้ารอวันสมรสของทั้งสองให้มาถึงไวๆ ก็ถึงกำหนดคลอดของเฝิงจิ้งซู
วันนี้วันที่หวงฝู่อี้เซวียนค้างคืนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กลับไป
เช้าตรู่ ลืมตาขึ้น กำลังจะไปหอมแก้มเมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังหลับอยู่นั้น
ไม่คิดว่าอยู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลบ หวงฝู่อี้เซวียนจูบลงบนผมของนางแทน นางลืมตามองเขาแล้วหัวเราะ
เมื่อเห็นนางตื่นแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ลังเล ประทับริมผีปากลงไปทันที
ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้หลบ จูบตอบเขาอย่างอ่อนโยน
เสียงร้อนรนจากข้างนอกของนายประตูดังขึ้น “นายหญิงขอรับ คนจากจวนท่านแม่ทัพมาบอกว่าฮูหยินจะคลอดแล้วขอรับ ท่านแม่ทัพและพระชายาฉีเชิญนายหญิงรีบไปขอรับ”
ทั้งสองชะงัก สบตากัน เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เสียงฝีเท้าของนายประตูไกลห่างออกไป
ทั้งสองลุกนั่งขึ้น สวมเสื้อผ้าลงจากเตียง ชิงหลวนได้ยิงเสียงจากข้างใน เติมน้ำในอ่างยกเข้ามา เมื่อทั้งสองล้างหน้าเสร็จแล้วก็ขี่ม้ามาถึงจวนแม่ทัพ
เพิ่งเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของเฝิงจิ้งซู
ทั้งสองเร่งฝีเท้าเข้าไปในเรือน หน้าตาที่ร้อนรนของฉู่เหวินเจี๋ยกำลังมองเข้าไปในห้อง สีหน้าเปลี่ยนไปตามเสียงร้องของเฝิงจิ้งซู สภาพไม่หนักเอาเบาสู้เหมือนตอนอยู่ในสนามรบเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ก็หันหลังไป เห็นทั้งสองมา รีบพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เร็วเข้า เร็วหน่อย แม่นางเมิ่ง ซูเอ๋อร์ปวดมาครึ่งชั่วยามแล้ว เจ้าช่วยหาวิธีให้นางหน่อย ปวดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นางต้านทานไม่ไหวแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ ยากเกินกว่าจะอธิบายกับเขา จึงเดินเข้าไปในห้อง
หวงฝู่อี้เซวียนยืนรอในเรือนเป็นเพื่อนเขา
ในห้องมีหมอตำแยอยู่สามสี่นางกำลังวุ่นอยู่ พระชายาฉีก็อยู่ในนั้นเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นหรือสงสาร เหงื่อท่วมหัวนาง คอยให้กำลังใจเฝิงจิ้งซูว่า “ซูเอ๋อร์ เบ่งหน่อย ลูกกำลังจะออกมาแล้ว”
ตอนที่ 241 อิจฉา
ทั้งใบหน้าและตัวของเฝิงจิ้งซูชุ่มไปด้วยเหงื่อ นางกำลังออกแรงอย่างสุดกำลัง
เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา พระชายาฉีดีใจประหนึ่งเห็นที่พึ่งหนึ่งเดียว รีบพูดขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ รีบมาดูหน่อยเร็ว ทำไมผ่านไปนานขนาดนี้ซูเอ๋อร์ยังไม่คลอดอีก”
หมอตำแยอาวุโสท่านหนึ่งพูดขึ้นว่า “พระชายาฉีเจ้าคะ ตั้งแต่ฮูหยินของท่านแม่ทัพปวดจนถึงตอนนี้ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งยาม ปากมดลูกก็ขยายจนเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่านแล้ว ถือว่าเร็วแล้วนะเจ้าคะ”
หมอตำแยอีกสองคนรีบพยักหน้าสำทับ
ความปวดระลอกนี้ผ่านไป เฝิงจิ้งซูสงบลง เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ก็แสดงสีหน้าน่าเวทนา ดวงตาแดงก่ำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปข้างหน้านาง เสยผมที่เปียกโชกด้วยเหงื่อของนาง แล้วยิ้มให้กำลังใจ “ซูเอ๋อร์ ใกล้จะเป็นแม่คนแล้วนะ อดทนหน่อย”
เฝิงจิ้งซูพยักหน้า ยื่นมือไปจับมือนางแน่น
ความปวดระลอกใหม่มาเยือนอีกครั้ง เฝิงจิ้งซูร้องอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง เสียงตกใจของฉู่เหวินเจี๋ยดังมาจากด้านนอก “ซูเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หากไม่ไหวจริงๆ เราไม่คลอดแล้วก็ได้นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นเสียงหัวเราะออกมา
พระชายาฉีหัวเราะและด่าว่า “โตขนาดนี้แล้ว ยังวุ่นวายอีก ลูกนี่บอกว่าไม่คลอดก็ไม่คลอดได้รึไง”
หมอตำแยสามสี่คนมองหน้ากันไปมา เม้มปากกลั้นหัวเราะ
เฝิงจิ้งซูก็ได้ยินที่เขาพูดเช่นกัน อยากหัวเราะ แต่ก็ปวดท้องมาก นางจึงหัวเราะทั้งน้ำตา
ท่านแม่ทัพฉู่ผู้ซึ่งสง่าและฉลาดปราดเปรื่องของเรา บัดนี้ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของเฝิงจิ้งซู กลับลนลานไม่เป็นท่า ไม่รู้ว่าตนพูดอะไรทำให้คนเขาหัวเราะ และก็ไม่ได้ยินคำด่าของพระชายาฉี รีบตะโกนเสียงดังต่อว่า “ซูเอ๋อร์ เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ เราไม่ต้องคลอดแล้ว ไม่ต้องแล้ว”
ครั้งนี้พระชายาฉีอดกลั้นไม่อยู่แล้ว หัวเราะเสียงดังออกมา
หมอตำแยไม่กล้าหัวเราะ พวกนางกลั้นหัวเราะไว้จนไม่สามารถพูดแนะนำจังหวะการเบ่งให้เฝิงจิ้งซูได้ ต่างใช้มือปิดปากตัวเองไว้
แล้วความปวดระลอกนี้ของเฝิงจิ้งซูก็ผ่านไปพอดี นางจึงหัวเราะออกมา
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแหบเล็กน้อยของนางดังมาจากในห้อง ฉู่เหวินเจี๋ยก็โล่งใจ พูดขึ้นว่า “ขอบคุณฟ้าดิน คลอดเสียทีนะ”
ในห้องส่งเสียงหัวเราะลั่นออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ข้างเขาไม่อยากจะยอมรับเลยจริงๆ ว่าชายทึ่มที่อยู่ข้างตนคนนี้คือคนเดียวกับท่านแม่ทัพที่เป็นน้าแท้ๆ ที่ตนนับถือและภาคภูมิใจตลอดเวลา ผู้ซึ่งผ่านสนามรบนับร้อย เผชิญทหารมานับพันด้วยความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม
เหมือนว่าจะรับรู้ถึงสายตาแปลกประหลาดของเขา ฉู่เหวินเจี๋ยรีบเช็ดเหงื่อบนหน้าออก หันไปข้างๆ ถามอย่างสงสัยว่า “เซวียนเอ๋อร์ มีอะไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะเอ่ยปากพูด เสียงร้องเจ็บปวดของเฝิงจิ้งซูก็ดังออกมาจากในห้องอีกครั้ง
ฉู่เหวินเจี๋ยตัวเกร็ง ร้องขึ้นอย่างไม่เชื่อว่า “ทำไมมีสองคนล่ะ”
เสียงหัวเราะทั้งน้ำตาของพระชายาฉีดังขึ้น “เหวินเจี๋ย เจ้าหุบปากซะ!”
หมอตำแยทั้งสามคนหัวเราะตัวโยนจนยืนตัวตรงไม่ได้
ฉู่เหวินเจี๋ยที่อยู่ข้างนอกกะพริบตาปริบๆ ถามหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ข้าพูดอะไรผิดหรือ”
แล้วก็เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกชั่วยามกว่า จึงถึงเวลาคลอดจริงๆ สีหน้าทุกคนจริงจังขึ้นมา หมอตำแยผู้มีประสบการณ์ให้เฝิงจิ้งซูอมโสมหนึ่งแผ่นไว้ในปาก แล้วก็สอนวิธีเบ่งตอนที่นางยังมีสติและไม่ปวดอยู่
เฝิงจิ้งซูยิ่งตื่นเต้น จับมือเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ปล่อย
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงร้องของเด็กทารกก็ดังขึ้นจากภายในห้อง
หมอตำแยต่างดีใจและตะโกนเสียงดังว่า “คลอดแล้วเจ้าค่ะ คลอดแล้ว เป็นพ่อหนูจ้ำม่ำ”
ฉู่เหวินเจี๋ยตัวเกร็งอีกครั้ง ยืนนิ่งในเรือนไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิด
ทั้งตัวของเฝิงจิ้งซูชุ่มไปด้วยเหงื่อ อาการเหนื่อยล้าจู่โจม ยังไม่ทันรอให้หมอตำแยเช็ดทำความสะอาดแล้วอุ้มเด็กมาให้ดูก็ผล็อยหลับไปแล้ว
พระชายาฉีรับเด็กมาอย่างดีใจ อุ้มไว้ในอ้อมกอดดูแล้วดูอีก “เด็กคนนี้เหมือนฉู่เหวินเจี๋ยตอนเด็กยิ่งนัก”
หลังจากสั่งให้บ่าวรับใช้เข้ามาทำความสะอาดห้องแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็เดินเข้ามา หมอตำแยต่างรีบพูดแสดงความยินดีกับเขา “ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
ปากของฉู่เหวินเจี๋ยฉีกยิ้มจนจะถึงหูแล้ว โบกมือขึ้นพูดว่า “ให้รางวัลคนละห้าสิบตำลึง”
หมอตำแยสามสี่นางดีใจใหญ่ เสียงกล่าวขอบคุณดังขึ้นกว่าเดิม
พระชายาฉีส่งสัญญาณ สาวใช้ของเฝิงจิ้งซูนำพวกนางไปห้องบัญชีเพื่อรับรางวัล
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินไปหน้าพระชายาฉี
พระชายาฉีอุ้มลูกที่อยู่ในอ้อมกอดของตนให้เขา “รีบดูเร็ว นี่ลูกชายของเจ้า ต่อไปตระกูลฉู่ของเรามีผู้สืบเชื้อสายแล้ว”
ฉู่เหวินเจี๋ยตัวสั่นเทา รับลูกมาด้วยมือทั้งคู่ที่แข็งเกร็ง มองดูหน้าตาจิ้มลิ้มที่หลับอยู่ของเด็กน้อย น้ำตาก็พลันรื้นขึ้นมา
เหมือนกับว่าแขนที่แข็งเกร็งของเขาจะทำให้ทารกไม่สบายตัว ดวงตาของเขาปิดแน่น ปากอ้ากว้าง อุแว้ ร้องเสียงดังขึ้น
ฉู่เหวินเจี๋ยสะดุ้ง ตกใจจนเกือบจะโยนลูกออกไป
พระชายาฉีรีบรับมา อุ้มแกว่งเบาๆ ไปมาสองสามที
ทารกหยุดร้องไห้
ฉู่เหวินเจี๋ยงุนงง มองลูกชายตนอย่างไม่เชื่อสายตา ปากก็ค่อยๆ แย้มออกอีกครั้ง เผยรอยยิ้มอิ่มเอมใจออกมา “เจ้าเด็กนี่ หน่ายหนีข้าตั้งแต่ตอนนี้ซะแล้ว รอเจ้าโตก่อนเถอะ ข้าจะจัดการเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวขำ พระชายาฉีไม่ยอม “เจ้ากล้ารึ นี่หลานข้าเชียวนะ ถ้าเจ้ากล้าจัดการเขา ก็ลองดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
ฉู่เหวินเจี๋ยลูบจมูกเบาๆ บ่นเสียงเบาว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้ว่าจะทำจริงเสียหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินเข้ามาดู เห็นทารกตัวน้อยจิ้มลิ้ม น่าเกลียดน่าชัง ชื่นใจยิ่งนัก ยื่นมือไปหยิกแก้มเขาอย่างอดใจไม่ได้
เด็กน้อยที่ปิดตาอยู่ ไม่เพียงไม่ได้ร้อง ยังเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา
พระชายาฉียิ่งดีใจใหญ่ พูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้น่ารักน่าชังนัก ไม่เหมือนเหวินเจี๋ยตอนนั้นเลย หยอกเล่นอะไรด้วยไม่เคยยิ้มสักนิด”
“ได้ซูเอ๋อร์มาน่ะเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
พระชายาฉีพยักหน้า อุ้มไกว่เด็กไปมาอย่างมีความสุข
ลูกคลอดออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว เฝิงจิ้งซูก็เหนื่อยจนหลับไปแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินสาวเท้าไปข้างนอก เรียกหวงฝู่อี้เซวียนไปที่ห้องรับแขก
หลังจากอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพมาหนึ่งวันเต็ม รอจนเฝิงจิ้งซูตื่นแล้ว พระชายาฉีก็กำชับนางสองสามเรื่อง เมื่อนางจำได้หมดแล้ว ก็อุ้มลูกวางลงข้างๆ นางอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วทั้งสามคนก็ออกจากจวนแม่ทัพไป
ทั้งสามนั่งรถม้าคันเดียวกัน พระชายาฉียุ่งมาทั้งวัน แต่ไม่มีร่องรอยความเหนื่อยล้าเลย มองทั้งสองและพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่า “เจ้าเด็กคนนี้น่ารักยิ่ง รอให้ถึงตอนนี้ของปีหน้า ไม่แน่ว่าจวนอ๋องเราก็จะมีเด็กน้อยน่ารักเช่นนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งคน”
คำพูดนางชัดเจนเกินไป เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง หวงฝู่อี้เซวียนไอกระแอมอย่างจงใจทีหนึ่ง
พระชายาฉีพูดต่อว่า “แต่ว่า ข้าอยากให้พวกเจ้าคลอดเด็กผู้หญิงก่อน เจ้าดูนะ ญาติและคนสนิทรอบตัวเราคลอดเด็กผู้ชายก่อน ตอนเด็กยังดี แต่พอโตแล้วไม่สนุกเลย ไม่เหมือนเด็กผู้หญิง โตแล้วยังจูงมือเจ้า คอยออดอ้อนได้ แค่คิดข้าก็มีความสุขมากแล้ว”
เห็นสีหน้านางมีความสุข วาดฝันอนาคตไว้สดใส หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก และปริปากพูดว่า “ท่านแม่ ข้า…”
พระชายาฉีมองเขา
เหลือบไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดต่อ
พระชายาฉีก็ไม่ได้สนใจ พูดอย่างสำราญใจว่า “พวกเจ้าวางใจเถอะ รอพวกเจ้าคลอดลูกแล้ว ไม่ต้องห่วง ข้าช่วยพวกเจ้าดู…”
เห็นท่าทีที่ไม่มีทีท่าจะหยุดของนาง หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเสียงดังว่า “เสด็จแม่”
พระชายาฉีหยุดพูด เห็นสีหน้าแดงก่ำของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจ หัวเราะและพูดว่า “ไม่พูดแล้ว ยังไงเหลืออีกไม่กี่วันก็ถึงงานสมรสของพวกเจ้าแล้ว”
ถึงทางแยก ทั้งสามแยกทางกัน หวงฝู่อี้เซวียนจะตามเมิ่งเชี่ยนโยวไปหนานเฉิง พระชายาฉีพูดหยอกเล่นกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โชคดีที่พวกเจ้าจะแต่งงานแล้ว ไม่เช่นนั้นอย่าว่าแต่ลูกสะใภ้เลย เกรงว่าลูกชายก็จะหนีไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง
พระชายาฉีนั่งรถม้าแล้วยิ้มจากไป
หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือนาง กลับไปที่รถม้าของตน แล้วกลับบ้าน
สองวันต่อจากนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวและพระชายาฉีต้องไปดูแลเฝิงจิ้งซูและลูกที่จวนนายพล หวงฝู่อี้เซวียนตามไปไม่เหมาะ จึงกลับจวนอ๋องตระเตรียมงานแต่งของตน
วันที่สาม ถึงวันสี่ซาน[1] หน้าประตูจวนแม่ทัพเต็มไปด้วยผู้คนและรถม้า ขุนนางน้อยใหญ่ในวังต่างพาครอบครัวตนมาแสดงความยินดี แม้แต่ฮ่องเต้และไทเฮายังประทานของดีให้ไม่น้อย
อ๋องฉี ฉู่เหวินเจี๋ยและหวงฝู่อี้เซวียนต่างวุ่นกับการต้อนรับพวกเขา
พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปต้อนรับบรรดาครอบครัวขุนนาง
ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวมีสถานะเป็นองค์หญิงชิงเหอ และยังได้รับการแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อเฟย ไม่มีใครกล้าเพิกเฉยนาง ทุกคนต่างแสดงความเกรงอกเกรงใจ
แน่นอนว่าก็มีคนถือโอกาสประจบประแจงพระชายาฉี พูดว่า “พระชายาฉีโชคดีนัก มีลูกสะใภ้ที่เก่งและสวยอย่างองค์หญิงชิงเหอ”
ทุกคนเห็นด้วย
พระชายาฉียิ้มจนหุบปากไม่ได้ “แน่นอน เซวียนเอ๋อร์ของเราสั่งสมบุญมาหลายภพชาติ ถึงได้ตบแต่งกับแม่นางเมิ่งที่ดีเช่นนี้”
ทุกคนก็เห็นด้วยอย่างประจบประแจง
เมิ่งเชี่ยนโยวทนเห็นสีหน้าท่าทางพวกนางไม่ได้ นางไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์ต่อ จึงหาข้ออ้างเดินออกมา และเข้าไปในห้องของเฝิงจิ้งซู
แม่ พี่สะใภ้ของเฝิงจิ้งซู และเฝิงจิ้งเหวินก็มาคุยอยู่รอบเตียงนาง
เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา ฮูหยินเฝิงยิ้มพลางลุกขึ้น ต้อนรับนางเข้ามา กุมมือนางแล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “แม่นางเมิ่ง ลูกสาวทั้งสองของข้าอยู่ถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะเจ้า ข้าอยากไปขอบคุณเจ้าด้วยตัวเองตั้งแต่แรกแล้ว แต่สถานะข้าไม่เหมาะ ก็เลยล้มเลิกความคิดนี้ไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบว่า “ท่านเกรงใจไปแล้วเจ้าค่ะ ข้า พี่สะใภ้ และน้องซูเอ๋อร์เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกนางมีเรื่องอะไรข้าต้องช่วยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว อีกอย่าง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
“เจ้าอย่าพูดเยี่ยงนี้” ฮูหยินเฝิงพูด “ข้าได้ยินเหวินเอ๋อร์บอกแล้ว เพื่อรีบไปช่วยนาง เจ้าเกือบจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว บุญคุณของเจ้าตระกูลเฝิงของเราไม่ลืมแน่นอน ต่อไปหากมีอะไรต้องการให้ตระกูลเฝิงช่วย ก็ขอให้พูดเถิด พวกเราจะช่วยเจ้าอย่างเต็มกำลังแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ “อย่างนั้นข้าขอกล่าวขอบคุณล่วงหน้านะเจ้าคะ”
เฝิงจิ้งเหวินแอ่นท้องโตๆ ของตน ก้มลงไปนำเก้าอี้มาตัวหนึ่งมาวางข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องโยวเอ๋อร์ รีบนั่งสิ ระวังร่างกายหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ รีบยื่นมือไปดึงให้นางนั่งลง บ่นอุบอิบว่า “พี่สะใภ้ พี่ท้องโตขนาดนี้แล้ว ยังยกเก้าอี้ให้ข้าอีก นี่ทำให้ข้าดูไม่ดีนะเจ้าคะ”
เฝิงจิ้งเหวินก็ส่งสัญญาณให้นางนั่งลง พูดว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าเพิ่งหายดี ยืนนานไม่ได้ รีบนั่งลงเถอะ”
“ใช่ๆๆ” พี่สะใภ้ใหญ่ของเฝิงจิ้งเหวินยกเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมาไว้ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เชิญนั่งเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธ แล้วหย่อนตัวลงนั่ง
ฮูหยินเฝิงและพี่สะใภ้ใหญ่บ้านเฝิงนั่งเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ฮูหยินเฝิงพูดขึ้น “เขาว่าความเจ็บที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน แม่นางเมิ่งนั้นมีบุญหนักหนา ต่อไปต้องเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยโชคลาภแน่”
“แน่นอน” เฝิงจิ้งซูที่นอนอยู่บนเตียงกล่าวขึ้น “อีกไม่นาน พี่โยวเอ๋อร์และซื่อจื่อก็แต่งงานกันแล้ว ตอนนั้นก็จะได้เป็นซื่อจื่อเฟยแล้ว จะไม่มีโชคได้อย่างไร”
พี่สะใภ้ใหญ่บ้านเฝิงหัวเราะพูดว่า “ใช่ๆ วันนั้นซื่อจื่อพูดต่อหน้าคนทั้งเมืองว่า ชาตินี้แต่งกับเจ้าเพียงผู้เดียว ไม่รู้จะทำให้หญิงสาวโสดที่รอสู่ขออิจฉาตั้งเท่าไร แม่นางเมิ่งโชคดีจริงๆ ถึงตอนนั้นก็เพิ่มสมาชิกใหม่ให้ซื่อจื่ออีกคน ชีวิตต่อไปของเจ้าก็คงอาบด้วยน้ำผึ้งแล้ว”
แล้วทุกคนก็หัวเราะออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ มองไปที่ท้องโตของเฝิงจิ้งเหวิน
เฝิงจิ้งเหวินก็ใกล้จะคลอดแล้ว ท้องนางใหญ่มาก เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปลูบท้องนางเบาๆ น้ำเสียงของฮูหยินเฝิงเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ “ลูกน้อยคนนี้ของเหวินเอ๋อร์ ฝ่าอุปสรรคมาหลายครา โชคดีที่คุ้มกันไว้ได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตต่อไปนี้ คงทรมานน่าดู”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองฮูหยินเฝิง ถามเสียงเบาว่า “มีหรือไม่มีลูกสำคัญมากเลยหรือเจ้าคะ”
“แน่นอน” ฮูหยินเฝิงพูด “ความอกตัญญูมีสามประการ แต่ที่สุดของความอกตัญญูคือการไร้ทายาทสืบสกุล แต่งออกไปแล้วเรื่องสำคัญที่สุดก็คือการมีลูก ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ท้ายสุดก็ต้องมีสักคน ขอแค่มีหนึ่ง ก็ต้องมีสอง และสาม ไม่เช่นนั้น แม้จะถูกเอ็นดูในบ้านสามีแค่ไหน หรือสามีจะรักเจ้ามากแค่ไหน หากไม่มีลูก เวลานานไป ความรักนั้นก็จะค่อยๆ จืดจางไป”
[1] สี่ซาน หมายถึง พิธีสรงสาม คือพิธีที่รวมเหล่าญาติมิตรมาร่วมอาบน้ำชำระกายให้ทารก หลังจากเกิดมาครบสามวัน
ตอนที่ 242 ขอคำยืนยัน (1)
“ตอนนั้นลูกคนแรกของเหวินเอ๋อร์เป็นทารกตายในครรภ์ หมอบอกว่าต่อไปนางจะคลอดลูกไม่ได้อีก ตอนนั้นข้ารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบจะถล่มลงมา หากไม่ใช่เพราะความรักใคร่เอ็นดูของคุณลุงที่มีต่อเหวินเอ๋อร์ตั้งแต่เล็ก คงจะหาเมียน้อยให้เขาตั้งแต่นางยังอยู่ไฟไม่เสร็จแล้วล่ะ”
พี่สะใภ้ใหญ่ของจวนเฝิงพยักหน้าสำทับ “ผู้ชายน่ะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้สืบเชื้อสาย แรกๆ อาจจะรักและหวงแหนผู้หญิงสักปีสองปี แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ก็ไม่คิดเช่นนั้นแล้ว หากไม่มีลูกอีก ก็จะครอบครองเขาไว้ไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีเรื่องแน่ แม้แต่คนปกติทั่วไปยังเป็นเช่นนี้ อย่าพูดถึงคนฐานะร่ำรวยเลย”
เฝิงจิ้งเหวินก็พยักหน้าสำทับ “เมื่อครั้งตอนที่ท่านพี่ได้ยินว่าข้าคลอดลูกไม่ได้อีกแล้ว ก็เจ็บปวดมาก นิสัยเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นคนพูดน้อยลง แม้ท่านปู่จะหาเมียน้อยให้ แต่เขาก็ยืนกรานปฏิเสธ แต่ข้ารู้ว่าในใจเขานั้นต้องการลูกเพียงไหน”
“อีกอย่างนะ ข้าเองก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน มักรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนี้บ้านตระกูลเหวิน อย่าว่าแต่ออกไปต้อนรับแขกบ้านเลย แม้แต่ในจวนเองยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับใครเลย ไม่กล้าแม้แต่เข้าไปอยู่ในที่ที่มีคน มองคนอื่นแล้วกลับมามองตัวเอง ก็สมเพชยิ่งนัก เพราะฉะนั้นผู้หญิงน่ะ ต้องมีลูกเป็นของตัวเอง ไม่เช่นนั้นชาตินี้คงไม่มีหน้าเผชิญกับใครอีกเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดพลางยิ้มว่า “ผู้หญิงที่ให้กำเนิดลูกไม่ได้แท้จริงแล้วมีปัญหามากมายเช่นนี้”
“ใช่น่ะสิ” ฮูหยินเฝิงกล่าวต่อ “แต่ว่า ผู้หญิงที่คลอดลูกไม่ได้น่ะ น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ลองหาทั้งเมืองหลวงคงไม่พบแม้แต่คนเดียว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
อาจเป็นเพราะเสียงพูดคุยของพวกเขาดังไปเกินไป จนปลุกให้เจ้าเด็กน้อยที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ร้อง อุแว้ อุแว้ ออกมา
ฮูหยินเฝิงรีบลุกขึ้นยืน เดินไปข้างเตียงอุ้มเจ้าเด็กน้อยขึ้นมา กล่อมเด็กน้อยสองสามที
เจ้าเด็กน้อยหยุดร้องทันที
ทุกคนต่างลุกขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงเฝิงจิ้งเหวินเดินไปหน้าฮูหยินเฝิง มองเจ้าเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดนาง
สามวันแล้ว เจ้าเด็กน้อยลืมตาได้แล้ว ลูกตาดำในดวงตาดวงใหญ่ใสแป๋ว มองดูทุกคน ทำเอาฮูหยินเฝิงดีใจจนอุ้มทารกในอ้อมกอดโยกไปมา
เมื่อตอนที่คลอดเจ้าเด็กน้อยสองสามคนของบ้านนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ข้างกายตลอด แต่ความรู้สึกตอนนั้น กลับไม่ได้รู้สึกเหมือนตอนนี้ที่ซับซ้อนและมีความสุขไปพร้อมกัน นางอดใจไม่ไหวยื่นมือออกไปสัมผัสแก้มน้อยๆ ของทารก
เจ้าเด็กน้อยเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสัมผัสของนาง เผยรอยยิ้มออกมา
ฮูหยินเฝิงรู้สึกอัศจรรย์ พูดว่า “ปินเอ๋อร์ชะตาตรงกับแม่นางเมิ่งเสียจริง หยอกนิดเล่นหน่อยก็หัวเราะแล้ว”
วันนี้เป็นวันสำคัญ หลินหันเยียนในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรมของฉู่เหวินเจี๋ยจึงมาด้วยเช่นกัน
เมื่อตอนที่รับฉู่เหวินเจี๋ยเป็นพ่อบุญธรรม เฝิงจิ้งซูยังไม่ได้แต่งเข้าบ้าน หลังจากที่แม่ทัพแต่งงานแล้ว หลินหันเยียนให้เหตุผลว่าร่างกายตนอ่อนแอ เกรงว่าจะแพร่เชื้อให้ทั้งสอง จึงไม่ได้มาแสดงความยินดี ตอนนี้ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ร่างกายนางก็ดีขึ้นแล้ว วันสำคัญเช่นนี้จะไม่มาไม่ได้ แต่จะให้เรียกผู้หญิงที่อายุเท่าตนว่าแม่บุญธรรม หลินหันเยียนพูดไม่ออก ตั้งแต่ที่ตามพ่อแม่มาถึงจวนแม่ทัพก็ยืดยาดอืดอาดไม่ยอมมา จนหลังจากฮูหยินราชเลขาเร่งนางนับครั้งไม่ถ้วน จึงตามนางมาอย่างไม่เต็มใจนัก
ตามหลักแล้ววันสี่ซาน หากไม่ใช่ญาติใกล้ชิดจะไม่ได้เข้าห้องของผู้คลอด หลินหันเยียนเป็นลูกบุญธรรมของฉู่เหวินเจี๋ย ฮูหยินของท่านราชเลขาเป็นแม่ของหลินหันเยียน ถือว่าไม่ใช่คนนอก สำหรับการมาของทั้งสองที่ไม่ได้ถูกเชิญนั้น ทุกคนก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร
แต่บ้านตระกูลเฝิงและบ้านตระกูลเหวินเป็นบ้านนักการค้า เทียบกับฮูหยินราชเลขาแล้วก็ต่างกันอยู่หลายระดับ ฮูหยินเฝิงที่อุ้มเด็กอยู่ เฝิงจิ้งเหวินที่ท้องแอ่นโต และพี่สะใภ้ใหญ่ของจวนเฝิงต่างคารวะฮูหยินราชเลขา
ฮูหยินราชเลขาเคยชินกับการอยู่เหนือผู้อื่น ปกติแล้วอนุของขุนนางชั้นผู้น้อยก็ยังไม่อยู่ในสายตา อย่าพูดถึงเหล่าผู้หญิงในบ้านนักการค้าเลย แต่สถานการณ์วันนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นญาติมิตรของฮูหยินแม่ทัพ จะให้ความกล้าหาญเพียงใดกับนางนางก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา จึงรีบพูดให้ละเว้นการคารวะพลางยิ้มว่า “เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ต่อไปมารยาทเหล่านี้ก็ละไว้เถอะ”
ทุกคนกล่าวขอบคุณ
หลินหันเยียนเดินไปหน้าเฝิงจิ้งซู ถอนสายบัวคารวะ “ลูกหลินหันเยียนขอคารวะท่านแม่บุญธรรมเจ้าค่ะ”
แม้จะเตรียมใจมานานแล้ว แต่เมื่อได้ยินหญิงสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเรียกตนว่าแม่บุญธรรม เฝิงจิ้งซูก็เกือบจะหลุดร้องขึ้นมา ใช้ความพยายามอย่างสูงจึงพยักหน้าด้วยความฝืน พูดขึ้นว่า “ร่างกายข้ายังไม่หายดี มาต้อนรับเจ้าไม่ได้ คุณหนูหลินตามสบายเถิด”
หลินหันเยียนมาเยี่ยมเยียนอย่างเลือกไม่ได้ ได้ยินดังนั้นก็กล่าวขอบคุณ ลุกยืนตัวตรง รับกล่องที่อยู่ในมือของสาวใช้ข้างๆ เปิดออกให้เฝิงจิ้งซูเห็น “นี่คือกุญแจอายุยืน ที่ข้าทำให้น้องชายที่เพิ่งเกิด หวังว่าท่านแม่บุญธรรมจะไม่รังเกียจนะเจ้าคะ ”
เฝิงจิ้งเหวินส่งสัญญาณให้สาวใช้รับไว้ พูดว่า “คุณหนูหลินมีน้ำใจยิ่ง ข้าขอขอบใจแทนปินเอ๋อร์”
หลินหันเยียนยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ ก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรอีก
ฮูหยินราชเลขายิ้มแล้วเดินขึ้นไปข้างหน้า ส่งสัญญาณให้สาวใช้นำ**บห่อในมือมา เปิดออกแล้ววางไว้หัวเตียงของเฝิงจิ้งซู พูดว่า “นี่คือเสื้อผ้าเด็กที่ข้าทอให้เองกับมือ ฮูหยินอย่าว่าฝีมือที่ทอผ้าไม่งามนักของข้าเลยนะ”
“ฮูหยินอย่าพูดล้อเล่นเช่นนี้สิเจ้าคะ” เฝิงจิ้งซูยิ้มและพูดว่า “ได้เสื้อผ้าที่ฮูหยินทอเองกับมือ เป็นบุญของปินเอ๋อร์เจ้าค่ะ ข้าดีใจมาก จะกล่าวว่าได้อย่างไรเจ้าคะ”
คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินราชเลขาดีใจมาก พูดว่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ฮูหยินพูดเช่นนี้ก็เกรงใจกันเกินไปแล้ว หากไม่รังเกียจ ต่อไปข้าจะทอเสื้อมาให้อีกนะ”
เฝิงจิ้งซูไม่ได้ปฏิเสธ ตอบพลางยิ้มว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณฮูหยินมากแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินราชเลขาโบกมือ หันหลังเดินไปหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ยิ้มแล้วทักทายนาง “แม่นางเมิ่ง ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเจ้าบาดเจ็บ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถอนสายบัวคารวะ “ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วงนะเจ้าคะ”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้าเบาๆ “อย่างนั้นก็ดี ร่างกายผู้หญิงน่ะไม่ควรบาดเจ็บนะ ไม่เช่นนั้นจะเจ็บป่วยนั่นบ้างนี่บ้าง แม่นางเมิ่งต้องพักฟื้นอีกเสียหน่อยนะ ต้องให้หายดีจริงๆ เสียก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
จากนั้นก็ทักทายฮูหยินเฝิง แล้วจึงพาหลินหันเยียนออกจากห้องไป สาวใช้พาทั้งสองคนเดินมุ่งไปที่เรือนต้อนรับแขกหญิงโดยเฉพาะ
สี่ซานเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่หวงฝู่อวี้ก็ตามมาเช่นกัน แต่ไม่ได้อยู่เฉยๆ ถูกหวงฝู่อี้เซวียนพาไปต้อนรับเหล่าขุนนางที่มาแสดงความยินดี ถึงแม้เขาเป็นลูกนอกสมรส แต่ทุกคนรู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนดูแลเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ ของตน โดยเฉพาะเมื่อจวนเฮ่อถูกฆ่าทั้งบ้าน เฮ่อกุ้ยเฟยและองค์ชายหกตายไป แต่สถานะของหวงฝู่อวี้กลับไม่เปลี่ยนแปลง ทุกคนจึงยิ่งไม่กล้าดูถูกเขา ต่างเกรงอกเกรงใจเขา
หวงฝู่อวี้ทำงานในโรงงานมานาน มีประสบการณ์การต้อนรับไม่น้อย เขาต้อนรับทุกคนอย่างมีมารยาทและดูแลอย่างทั่วถึง
ทุกคนก็ยิ่งชื่นชมเขา
หวงฝู่อี้เซวียนคนใจดำ เห็นเขารับมือต้อนรับแขกที่ไม่ได้เชิญได้อย่างง่ายดาย ก็ถือโอกาสหนีไปที่อื่น ให้เขาดูแลทุกอย่าง ตลอดทั้งเช้านี้ หวงฝู่อวี้ยิ้มจนปวดแก้ม กว่าจะได้มีเวลาว่างนั่งลงพักผ่อน เมื่อเห็นหลินหันเยียนและฮูหยินราชเลขาออกมาจากเรือนฝั่งนี้ ก็รีบเดินไปกล่าวทักทายว่า “เยียนเอ๋อร์ ร่างกายเจ้าดีแล้วหรือ”
จากนั้นจึงหันไปทักทายฮูหยินราชเลขา “ท่านป้า”
สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติของฮูหยินราชเลขาปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “คุณชายรองก็มาด้วยหรือ”
“ขอรับ” หวงฝู่อวี้ตอบ “ท่านลุงและเสด็จพ่อให้ข้ามาช่วยน่ะขอรับ”
ท่าทีฮูหยินราชเลขาชะงักไปชั่วครู่
หลินหันเยียนมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ได้เจอกันปีกว่า ตัวเขาสูงขึ้น ดูสูงสง่ามากขึ้น และยังแผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นอายความมั่นคง ไม่เหมือนกับคนในความทรงจำที่เคยเล่นกับนางตอนเด็กๆ คนนั้นแล้ว
เมื่อเห็นนางไม่พูด มัวแต่พินิจพิเคราะห์ตน หวงฝู่อวี้พูดพลางหัวเราะว่า “ไม่ได้เจอกันเพียงไม่ถึงปี เยียนเอ๋อร์จำข้าไม่ได้แล้วหรือ”
หลินหันเยียนไม่ได้พูดอะไร ฮูหยินราชเลขาเอ่ยปาก “คุณชายรอง ตอนนี้พวกเจ้าโตกันแล้ว เจ้ายังเรียกเยียนเอ๋อร์เช่นนี้ หากใครมาได้ยินเข้า ข่าวลือคงแพร่ไปทั่วเมืองหลวงอีก เจ้าน่ะ ต่อไปเรียกคุณหนูหลินเถอะ”
หวงฝู่อวี้ชะงัก มองไปที่หลินหันเยียน
หลินหันเยียนเม้มปากไม่พูดอะไร
ปีนี้ผ่านเรื่องราวมามากมาย แม้หวงฝู่อวี้จะทำตัวเหลวไหลอย่างไรเขาก็เติบโตขึ้นเยอะแล้ว ไหนจะความตั้งใจบ่มเพาะของเมิ่งเชี่ยนโยวอีก ที่ให้เขาดูแลการเจรจาการค้าในโรงงาน ได้พูดคุยและทำการค้ากับคนมากหน้าหลายตา ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้มากมาย เมื่อฮูหยินราชเลขาพูดจบ หวงฝู่อวี้ก็เข้าใจความหมายของนางทันที นางต้องการให้ตนกับหลินหันเยียนแบ่งแยกให้ชัดเจน พูดตรงๆ ก็คือสถานะของตนไม่เหมาะที่จะไปมาหาสู่กับนางแล้ว เขามองหลินหันเยียน ถามเสียงเบาว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าก็คิดเช่นนี้หรือ”
หลินหันเยียนก้มหน้าไม่พูดอะไร
หวงฝู่อวี้พยักหน้า หัวเราะให้ตนเอง “เข้าใจแล้ว ต่อไปหากพบเจอคุณหนูหลินอีก ข้าจะไม่ทักทายก่อนแล้ว” พูดจบก็มองตานางด้วยความลึกซึ้งอีกครั้ง หันหลังกลับ เดินจากไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์
หลินหันเยียนกัดปากตนแน่น มองแผ่นหลังที่จากไปของเขา พลันเกิดความรู้สึกขมขื่นในใจอย่างบอกไม่ถูก
ฮูหยินราชเลขาดึงแขนนางทีหนึ่ง ให้นางมองมาที่ตนเอง จ้องตานางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เยียนเอ่อร์ เจ้าจะทำตัวโง่เง่าไม่ได้นะ ตอนนี้สถานะของเขาเป็นเพียงลูกนอกสมรสที่ไม่เอาไหน และก็ยังไม่มีคนนอกคอยเกื้อหนุน ภพนี้ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตหรอก แต่เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าเป็นลูกแท้ๆ ของภรรยาเอก และยังมีท่านแม่ทัพเป็นพ่อบุญธรรม สถานะของเจ้าสูงส่งกว่าเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ จากนี้ไป เจ้าห้ามไปมาหาสู่กับเขาอีก จะได้ไม่มีข่าวลือมาทำลายชื่อเสียงของเจ้าเสียเปล่า”
หลินหันเยียนก้มหน้าไม่พูดอะไรอีกครั้ง
น้ำเสียงฮูหยินราชเลขากังวล ถามนางอย่างร้อนรน “ที่แม่พูดไปเจ้าจำไว้แล้วใช่ไหม”
หลินหันเยียนเงยหน้า ถามว่า “ท่านแม่ ลูกยังมีชื่อเสียงอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ”
ฮูหยินราชเลขาชะงัก
หลินหันเยียนก้มหน้าอีกครั้ง
หวงฝู่อวี้ที่อยู่ไกลออกไปเห็นทุกอย่างตรงหน้า หลบตาลงต่ำ
หวงฝู่อวี้ที่หันหลังจากไป ในใจรู้สึกโหวงๆ นัยน์ตาพลันร้อนรุมๆ เงยหน้าขึ้น แล้วหลับตาลงเพื่อไล่น้ำตากลับไป เมื่อลืมตาอีกครั้ง นัยน์ตาก็ไม่แสดงอาการใดๆ อีก เผยรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง แล้วจึงเดินเข้าไปในเรือนต้อนรับแขกต่อ
พิธีสี่ซานที่ครึกครื้นจบลง ของที่แขกให้วางสุมกันจนเต็มเกือบครึ่งห้อง หลังจากส่งแขกกลับแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งให้คนใช้บันทึกไว้ให้ดี แล้วนำไปเก็บในห้องเก็บของ จากนั้นก็เหนื่อยจนเอนตัวลงบนเก้าอี้ พูดกับอ๋องฉีว่า “ท่านพี่ การต้อนรับแขกนี่เหนื่อยจังเลย เหนื่อยกว่าข้าออกไปรบเสียอีก”
อ๋องฉีรู้สึกสับสนใจใน เขาดีใจที่ฉู่เหวินเจี๋ยมีทายาทแล้ว แต่เมื่อนึกถึงเมิ่งเชี่ยนโยวมีลูกยากก็เสียใจอีก หลังจากฝืนตนเองคอยต้อนรับแขกเหล่านี้ ตอนนี้เขาเองก็เหนื่อยทั้งกายและใจนัก เอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลายไม่สนภาพลักษณ์ ถือแก้วชาใบหนึ่งในมือไม่พูดอะไร
ฉู่เหวินเจี๋ยคิดว่าเขาคงเหนื่อยแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ นั่งเป็นเพื่อนเขาเงียบๆ
เหวินซื่อไม่วางใจสภาพเฝิงจิ้งเหวินที่เป็นเช่นนี้ จึงส่งนางกลับไปพักผ่อนตั้งแต่แรกแล้ว
ท้ายสุดจึงส่งฮูหยินเฝิงและพี่สะใภ้ใหญ่จวนเฝิงกลับไป พระชายาฉีค่อยโล่งใจ นั่งพักผ่อนกับเมิ่งเชี่ยนโยวครู่หนึ่งในห้องของเฝิงจิ้งซู
เมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของนาง เฝิงจิ้งซูพูดอย่างขอบคุณว่า “โชคดีที่วันนี้มีพระชายาฉีและพี่โยวเอ๋อร์ช่วย ขอบคุณพวกท่านมากนะเจ้าคะ”
พระชายาฉีผู้ซึ่งพูดโน้มน้ามให้นางแก้ชื่อเรียกตนให้เหมือนฉู่เหวินเจี๋ยเรียกตนว่าพี่หลายครั้งแล้วไม่ได้ผลนั้น ก็พูดขึ้น “ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น พูดเช่นนี้ทำไม เจ้าน่ะ ดูแลพักฟื้นดีๆ ต่อไปจะได้ช่วยบ้านตระกูลฉู่ของเราแตกหน่อต่อไปอีก ส่วนเรื่องอื่น เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
เฝิงจิ้งซูหน้าแดง
หลังจากกำชับนางให้อยู่ไฟจนฟื้นตัวดีแล้ว พระชายาฉีและคนที่เหลือก็ออกจากจวนแม่ทัพ
อ๋องฉีและพระชายาฉีนั่งรถม้าคันเดียวกัน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งคันเดียวกัน ส่วนหวงฝู่อวี้นั่งคนเดียว
เมื่อถึงทางแยก หวงฝู่อี้เซวียนไปหนานเฉิงพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว พระชายาฉีเปิดม่านรถ มองดูรถม้าที่ไกลออกไป น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขก็ดังขึ้น “ท่านอ๋อง ไม่แน่ปีหน้าจวนอ๋องของเราก็จะมีสมาชิกเพิ่มเร็วๆ นี้แล้วนะเพคะ”
อ๋องฉีไม่พูดอะไร
พระชายาฉีมองเขาอย่างประหลาดใจ ถามอีกครั้งว่า “ท่านอ๋อง ท่านมีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่าเพคะ”
ตอนที่ 243 ขอคำยืนยัน (2)
เขาเงยหน้ามองนาง แม้จะเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ไม่มีร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของนางให้เห็นเลย อ๋องฉีปริปาก คำพูดที่ติดอยู่ในปากกลับเปลี่ยนกลายเป็น “ไม่ได้ต้อนรับแขกมากมายขนาดนี้มานานแล้ว รู้สึกเหนื่อยน่ะ”
ได้ยินดังนั้น พระชายาฉีขยับเข้าไปใกล้ ส่งสัญญาณให้เขาหันหลังไป ตนยืนคุกเข่าข้างหลัง ยื่นมือไปวางบริเวณไหล่ของเขา แล้วนวดอย่างเบามือ “วันนี้ลำบากท่านอ๋องแย่เลยนะเพคะ”
ตลอดหลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พระชายาฉีทำกับเขาเช่นนี้ อ๋องฉีรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ยื่นมือไปตบมือนางเบาๆ “พระชายาก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนหน่อยเถอะ”
พระชายาฉียังคงนวดต่อไป “ท่านอ๋อง เราเป็นสามีภรรยากัน หากมีเรื่องอะไร ขอแค่ท่านบอกหม่อมฉัน แม้หม่อมฉันอาจจะช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ แต่หม่อมฉันก็เผชิญหน้าด้วยกันกับท่านได้นะเพคะ”
อ๋องฉีเกือบจะพูดเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีลูกยากออกมา โชคดีที่เมื่อคำพูดมาถึงปากแล้วก็ถูกกลืนกลับไปอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่มีอะไรหรอก เรื่องในวังน่ะ สักสองสามวันจัดการแล้วก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
ผู้หญิงไม่ยุ่งเรื่องการเมือง เมื่อเป็นเรื่องในวัง พระชายาฉีก็ไม่ได้ซักไซร้ต่อ
บนรถม้าอีกคัน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพูดหยอกหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ซื่อจื่อ ท่านกลับบ้านตามข้ามาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เดี๋ยววันไหนพระชายาพบข้าก็จะบอกว่าข้าลักพาตัวลูกชายนางไปอีกหรอก”
หวงฝู่อี้เซวียนผู้ซึ่งนั่งเอนและปล่อยตัวพิงในรถม้าอย่างไม่สนใจภาพพจน์นั้น เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ก็ยิ้มแล้วลุกนั่งขึ้น ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด หัวเราะแล้วพูดว่า “ตอนนี้เสด็จแม่มีความสุขอยู่น่ะ เพราะว่าลูกนางที่ถูกลักพาตัวไปคนนี้ อีกไม่นานก็จะลักพาตัวลูกสะใภ้คนหนึ่งกลับไปให้นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วมองค้อนเขาทีหนึ่ง ยื่นมือไปโอบคอเขาไว้ ประชิดหน้าจูบเบาๆบนริมฝีปากของเขาดั่งแมลงปอเดินบนผิวน้ำ “พระชายาซื้อขายเก่งจัง แค่ปล่อยให้ลูกตนออกไปสองเดือน แต่ลูกสะใภ้ที่ลักพาตัวกลับมากลับต้องอยู่ในจวนอ๋องไปตลอดชีวิต”
หวงฝู่อี้เซวียนจะพลาดโอกาสดีเช่นนี้ได้อย่างไร เขาก้มหน้าลงไปจูบนาง จนทั้งสองหอบหายใจจึงผละออกจากกัน พูดพลางหอบหายใจว่า “หลังจากแต่งงานแล้ว หากเจ้าไม่อยากอยู่จวนอ๋อง เราย้ายไปอยู่บ้านเจ้าก็ได้นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพรวดออกมา “ซื่อจื่อถูกความรักเข้าครอบงำแล้วหรือ อย่าลืมสถานะของเจ้าสิ หลังจากแต่งงาน หากมาอาศัยอยู่บ้านข้า เราจะถูกขี้ปากคนอื่นทับถมตายเอานะ”
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะ หอมแก้มนาง พูดอย่างโอหังว่า “ในเมืองหลวงนี้ข้ามีชื่อเสียงเป็นหนึ่งเรื่องกลัวเมีย ใครเขาจะกลัวขี้ปากคนอื่นล่ะ”
เสียงหัวเราะคิกคักอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ของชิงหลวนดังขึ้นจากข้างนอก นางรีบป้องปากตัวเอง พูดอมยิ้มว่า “ซื่อจื่อ นายหญิง ท่านทั้งสองเชิญต่อเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”
หวงฝู่อี้เซวียนไอกระแอมอย่างไม่เป็นธรรมชาติไปสองที เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะและซบลงบนตัวของเขา
นอกรถม้า ชิงหลวนและจูหลีใบหน้ายิ้มแย้ม มุมปากของกัวเฟยก็เผยรอยยิ้มเช่นกัน
คนทั้งขบวนกลับบ้านอย่างมีความสุข
สำหรับเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนเกาะแจอยู่ในจวนไม่ยอมกลับ แม้แต่นายประตูและคนใช้ในจวนก็เห็นจนชินแล้ว หากวันไหนเขาไม่มา ทุกคนกลับรู้สึกไม่ชิน
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไปถึงหูของหวงฝู่ซวิ่น เขาจะปล่อยโอกาสอันดีที่จะเย้ยหยันหวงฝู่อี้เซวียนไปได้อย่างไร จึงหาเวลาว่างพาองครักษ์เงานั่งรถม้ามือโบกพัดอย่างสบายใจจนไปถึงบ้านของเมิ่งเชี่ยนโยว
นายประตูจำเขาได้ รีบจะเข้าไปรายงาน หวงฝู่ซวิ่นโบกมือ ส่งสัญญาณว่าไม่ต้อง แล้วตนก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปตรงไปที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดส่งเสียงเข้าไปในห้องว่า “เจ้าคนคลั่งรัก ยังไม่ออกมาต้อนรับข้าอีกรึ”
ในห้องไม่มีเสียงตอบรับ
หวงฝู่ซวิ่นกำลังสงสัย เก้าอี้ตัวหนึ่งก็บินลอยมาทางเขา
หวงฝู่ซวิ่นตกใจ รีบหลบ ครั้นกำลังจะพูดขึ้น เงาของหวงฝู่อี้เซวียนก็เหินเหาะออกมาจากในเรือน บุกตรงไปหาเขาอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อหลบเก้าอี้ไปได้แล้ว หวงฝู่ซวิ่นรีบออกท่าอย่างวุ่นวาย พูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “เจ้าคนต่ำทราม เดี๋ยวนี้รู้จักซุ่มโจมตีแล้วหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร แสดงทุกกระบวนท่าอย่างแม่นยำ จนเขาถอยหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านประตูเดินออกมาจากในห้อง ยืนดูทั้งสองต่อสู้อยู่หน้าประตู
หวงฝู่ซวิ่นเห็นนางประหนึ่งวีรสตรี รีบร้องตะโกนว่า “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าช่วยหยุดเขาหน่อย ข้าเป็นถึงไท่จื่อเชียวนะ เขาไม่ไว้หน้าข้าเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดเสียงดังด้วยหน้าตาจริงจังกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “อี้เซวียน เจ้าอย่าลงมือหนักเกินไป เอาแค่จมูกช้ำหน้าบวม ทำอะไรเองไม่ได้สักครึ่งเดือนก็พอแล้ว อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงไท่จื่อผู้สูงส่ง”
พรึบ พรึบ เมื่อนางพูดจบ ก็มีเงาร่างมากมายหล่นมาจากทุกทิศ นอนหน้าคว่ำลงบนพื้นอย่างไร้ซึ่งภาพลักษณ์
หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกว่าตนถูกทำร้ายนับครั้งไม่ถ้วน ร้องอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าคนใจดำทั้งสองคน ทำอย่างนี้กับข้ากรรมตามสนองแน่”
“อี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเสียงอ่อนโยน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าลงมือหนักหน่อย เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นไท่จื่อตัวปลอมแน่ๆ”
องครักษ์เงาที่ร่วงลงบนพื้นและพยายามลุกขึ้นนั้น คิดในใจว่า คนที่กล้าพูดเช่นนี้กับไท่จื่อบนโลกใบนี้ คงมีเพียงซื่อจื่อและองค์หญิงชิงเหอแล้วล่ะ
หวงฝู่อี้เซวียนได้รับแรงสนับสนุน เข้าจู่โจมรวดเร็วกว่าเดิม
หวงฝู่ซวิ่นเลิกเล่นหยอกล้อ ตั้งใจต่อสู้กับเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินอ้อมพวกเขาไปอย่างระมัดระวัง และตรงเข้าไปในห้องครัว
นางไม่ได้เข้าครัวนานแล้ว เมื่อแม่ครัวและสาวใช้ทั้งสามเห็นก็ตกใจ รีบห้ามว่า “นายหญิง ซื่อจื่อบอกแล้ว ต่อไปไม่ให้ท่านเข้าครัว หากท่านอยากกินอะไรให้บอกพวกข้า ท่านออกไปเถอะเจ้าค่ะ”
“วันนี้มีแขกพิเศษมา ฝีมือของพวกเจ้าเขาไม่ยอมกินหรอก ให้ข้าทำเองเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ฝีมือของตนสู้นายหญิงไม่ได้จริงๆ พวกเขามองหน้ากันไปมา พูดขึ้นว่า “ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านลงแค่ครัวร้อนนะเจ้าคะ ที่เหลือพวกข้าทำเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยักหน้า สั่งให้พวกเขาเก็บผัก หั่นเนื้อ
หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่ซวิ่นสู้กันอย่างดุเดือด ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด สู้กันตั้งแต่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวจนถึงพื้นที่ว่างในจวน จนทำให้กัวเฟย ชิงหลวน และจูหลีรวมถึงองครักษ์ลับต่างมามุงดู
องครักษ์เงาของหวงฝู่ซวิ่นที่ล้มไปสองครั้งจนจมูกช้ำหน้าบวมแล้วก็ไม่ซ่อนตัวอีกต่อไป ยืนมองอยู่ไกลๆ เหมือนทุกคน
ฝีมือการต่อสู้ของทั้งสองไม่ต่างกันมาก แต่หวงฝู่อี้เซวียนเข้าจู่โจมอย่างไม่เลิกละราวกับเอาความโมโหทั้งหมดมาลงที่เขา หวงฝู่ซวิ่นเกือบจะรับมือไม่ไหว ถูกหมัดของหวงฝู่อี้เซวียนต่อยเข้าอย่างจังไปสองสามที
เมื่อทำอาหารเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่หน้าห้องอาหาร แล้วตะโกนเรียกไปทางผู้คนในเรือนว่า “อาหารทำเสร็จแล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ เงาของผู้คนก็พลันหายวับไป แม้แต่องครักษ์เงาของหวงฝู่ซวิ่นก็ชิงกันเหาะเหินไปทางห้องครัว ช่วยไม่ได้จริงๆ อาหารที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำอร่อยเกินหักห้ามใจ หลังจากที่พวกเขาเคยได้กินไปสองสามหน ก็ลืมไม่ลงอีกเลย
คนในจวนก็รีบไปไม่แพ้กัน เมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บมานานขนาดนี้ กว่าจะได้ลงมือทำอาหารเอง หากไปช้า คงแย่งไม่ทันคนอื่น
หวงฝู่อี้เซวียนผละตัวออก กระโดดไปข้างหน้านาง หายใจหอบเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวนำผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยเช็ดเหงื่อบนใบหน้าเขา แล้วจึงเดินเข้าไปห้องอาหาร
ใครบางคนที่ประจักษ์ทุกอย่างเบื้องหน้าก็กรอกตามองบน เดินตามเข้าไปในห้องอาหาร นั่งบนหัวโต๊ะอย่างไม่เกรงใจ
คนใช้ยกอาหารมาวาง หวงฝู่ซวิ่นหยิบตะเกียบขึ้นมาทานอย่างมูมมามทันที
เสียงไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “รายได้พระคลังตอนนี้คงไม่ขาดแคลนหรอก เจ้าเป็นถึงไท่จื่อ แต่ทำประหนึ่งคนไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน ไม่มีพิธีรีตองเลย”
หวงฝู่ซวิ่นกลืนข้าวที่อยู่ในปากลงไป ตอบโต้กลับไปว่า “พิธีรีตองกินไม่ได้ เอามันมาทำอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนสำลัก
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า คีบผักใส่ในชามข้าวเขา “เจ้ารีบกินเถอะ คุยกับคนหน้าด้านบางคนแถวนี้มีแต่จะอารมณ์เสียเปล่าๆ”
หวงฝู่ซวิ่นสำลัก
หวงฝู่อี้เซวียนอารมณ์ดีขึ้นมา ยกชามข้าวขึ้นทานอย่างผู้ดี
พูดตามจริง อาหารที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำนั้นอร่อยมาก ที่สำคัญกว่านั้นคือการกินข้าวที่นี่ไม่รู้สึกมีภาระ ไม่ต้องกังวลว่ามีคนแอบใส่ยาพิษ และก็ไม่ต้องมีคนจุ้นจ้านคอยยืนเฝ้าข้างๆ หวงฝู่ซวิ่นจึงกินมากกว่าปกติ วันนี้ก็เช่นกัน
หวงฝู่ซวิ่นลูบท้องที่ป่องของตนเอง พลางเรออกมาอย่างอิ่มเอมใจ
หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งระอาเขา “กินอิ่มแล้วก็รีบไสหัวไปซะ อย่าเอาแต่ทำตัวน่ารำคาญอยู่ที่นี่”
หวงฝู่ซวิ่นเคยชินกับท่าทีของเขาเช่นนี้มานานแล้ว ไม่ได้สนใจอะไร นั่งตัวตรงแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “พวกเจ้าใกล้จะแต่งงานกันแล้ว บอกข้าเถอะว่าอยากได้ของขวัญอะไร ในฐานะพี่ใหญ่ข้าทำให้พวกเจ้าแน่นอน”
ประโยคนี้ค่อยน่าฟังหน่อย หวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “ของขวัญน่ะไม่ต้องหรอก ขอแค่เจ้าอย่ามาปรากฎต่อหน้าพวกเราอีกก็พอ”
หวงฝู่ซวิ่นโบกมือ “เรื่องนี้ยากไปหน่อยนะ เจ้าเปลี่ยนอีกอย่างเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนสะอึก
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็สิ้นเดือนเก้าแล้ว จวนถึงงานสมรสเต็มที มีงานที่ต้องเตรียมในจวนมากมาย หวงฝู่อี้เซวียนจึงอยู่เป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยวตลอดทุกที่ทุกเวลาไม่ได้แล้ว
ในขณะที่ไม่มีหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ข้างกาย เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเศร้าเหงา แต่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สั่งชิงหลวนว่า “ให้กัวเฟยไปจูงรถม้ามา เราไปร้านยาเต๋อเหรินกัน”
ชิงหลวนขานรับ
กัวเฟยเก็บกวาดรถม้าเสร็จอย่างรวดเร็ว เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งรถม้าไปถึงร้านยาเต๋อเหริน
วันกำหนดคลอดของเฝิงจิ้งเหวินก็ใกล้จะถึงแล้ว นอกจากเหวินซื่อจะมาคิดบัญชีทุกวันแล้ว เวลาที่เหลือเขาก็อยู่กับนางตลอดไม่จากไปไหนเลย ตอนนี้เขาจึงไม่อยู่ในร้านยาเต๋อเหริน
แต่คนดูแลของร้านยาเต๋อเหรินจำนางได้ ต้อนรับนางอย่างเป็นมิตร “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้วหรือขอรับ นายท่านของเราไม่อยู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กวาดตามองไปรอบโถงห้อง เมื่อเห็นหมออาวุโสที่เคยรักษาเฝิงจิ้งเหวิน ก็พูดกับลูกน้องว่า “เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ ข้ามีธุระคุยกับหมออาวุโสหน่อย”
ลูกน้องขานรับ นำทางนางพาไปหยุดอยู่หน้าหมออาวุโส แล้วจึงถอยออกมา
หมออาวุโสจำนางได้ ทักทายนางด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเมิ่งมาแล้วหรือ มีอะไรให้ข้าช่วยเหลือหรือ”
มีคนไข้อยู่ในโถงเยอะ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะรบกวนหมออาวุโสเจ้าค่ะ แต่ว่าตรงนี้คนเยอะไป ท่านตามข้าขึ้นไปข้างบนหน่อยได้หรือไม่”
ชิงหลวนและจูหลีก็จะตามขึ้นไปเช่นกัน เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งทั้งสองคน “ข้าจะขอปรึกษาวิชาแพทย์กับหมออาวุโสหน่อยน่ะ พวกเจ้าสองคนเฝ้าที่ตีนบันไดนะ ห้ามให้ใครขึ้นมา”
ทั้งสองขานรับ ไม่มีคำถาม ยืนเฝ้าอยู่ทั้งสองฝั่งของบันได
ทั้งสองเดินถึงชั้นสอง เมิ่งเชี่ยนโยวผลักประตูเชิญหมออาวุโสเข้าไป นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ทางซ้ายมือ ยิ้มแล้วเอ่ยปากว่า “ก่อนหน้านี้ข้าบาดเจ็บ หมออาวุโสน่าจะได้ยินแล้ว”
หมออาวุโสพยักหน้า “ได้ยินว่าแม่นางอาการสาหัส เกือบจะเสียชีวิต ดีที่เจ้ามีบุญสูงส่ง รอดชีวิตมาได้ ต่อไปจะต้องมีแต่ความโชคดีแน่ๆ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเบาๆ “ท่านอาจจะไม่ทราบว่าข้าบาดเจ็บบริเวณท้อง”
หมออาวุโสชะงัก ถามเกริ่นขึ้นว่า “จุดประสงค์ที่วันนี้แม่นางเมิ่งมาหาข้าคือ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบัง “ข้าอยากให้ท่านช่วยดู ว่าการบาดเจ็บครั้งนี้มีผลกระทบอะไรกับร่างกายข้าหรือเปล่า”
หมออาวุโสเคยอาบน้ำร้อนมาก่อน รู้ทันทีว่านางหมายถึงอะไร เขาพยักหน้า “รบกวนแม่นางเมิ่งยื่นมือมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปวางบนโต๊ะ
หมออาวุโสก็ไม่ได้หลีกเลี่ยง นำมือของตนแตะลงบนชีพจรของนาง ขมวดคิวคิดอยู่นาน จึงปล่อยมือ “รบกวนแม่นางยื่นมืออีกข้างมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำตาม
ผ่านไปนาน หมออาวุโสจึงเก็บมือ ถามว่า “แม่นางเมิ่งรู้สึกตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านก็น่าจะรู้ ข้าพอรู้วิชาแพทย์มาบ้าง แต่ไม่ค่อยแน่ใจกับร่างกายของตน วันนี้จึงมาขอคำยืนยันจากท่าน”
หมอย่อมไม่รักษาหมอกันเอง หมออาวุโสรู้เรื่องนี้ดี มองไปที่นาง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แม่นางเมิ่งพูดถูก ร่างกายของเจ้าได้รับความเสียหายใหญ่หลวงจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา รอคำพูดที่เหลือของเขา
หมออาวุโสกัดฟัน พูดต่อว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าสาหัสเกินไป ต่อไปคงจะมีบุตรยาก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น