ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 234-239

ตอนที่ 234 เสด็จแม่ ข้าเป็นบุตรแท้ๆ ข...

 

วันที่สามแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่ฟื้น


 


 


ไม่เพียงแต่พระชายาฉี อ๋องฉีก็กังวลยิ่งนัก ตวาดด่าหมอหลวงเจียงและคณะ


 


 


หลังจากที่หมอหลวงเจียงและคณะจับชีพจรเมิ่งเชี่ยนโยวทีละคนด้วยความเกรงกลัวแล้ว ต่างเห็นตรงกันว่าทุกอย่างปกติดี แต่ปัญหาคือไม่ฟื้นเสียที หลังจากที่ทุกคนปรึกษากันแล้ว จึงลงความเห็นกันว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังอ่อนแอเกินไป ต้องบำรุงร่างกายให้มาก


 


 


อ๋องฉียังจำเรื่องที่พระชายาฉีบำรุงร่างกายมากเกินไปจนทำให้ร่างกายอ่อนแอได้อย่างขึ้นใจ ได้ยินดังนั้นจึงก่นด่าว่า “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ นอกจากสักแต่จะบำรุงแล้ว ยังทำอะไรเป็นอีก ขนานนามตนว่าเป็นผู้มีศาสตร์ที่เชี่ยวชาญแห่งสำนักหมอหลวง ทุกวันนี้พวกเจ้าใช้แต่วิชาเดิมๆ มาหลอกลวงฮ่องเต้และเหนียงเหนียงในแต่ละตำหนักเช่นนั้นใช่ไหม”


 


 


ข้อหานี้ใหญ่หลวงนัก หมอหลวงเจียงและคณะตกใจจนเหงื่อตก รีบคุกเข่าลงทันที หมอหลวงเจียงพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องฉีขอโปรดอย่าได้โกรธเลยขอรับ อาการของแม่นางเมิ่งมิได้ย่ำแย่ลงจริงๆ สองสามวันนี้เลือดลมของนางก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตามหลักแล้วก็ควรฟื้นแล้ว แต่ว่า…”


 


 


ความโกรธของอ๋องฉีทวีเพิ่มขึ้น “ตามหลักแล้วรึ พวกเจ้าเอาชื่อเสียงของสำนักหมอหลวงมาบังหน้าแล้วทำตัวเป็นหมอโดยชอบธรรม ตามหลักเหตุผลแล้วข้าก็ควรจะตัดกะบาลของพวกเจ้าเสีย”


 


 


เมื่ออ๋องฉีพอโกรธก็ฆ่าล้างทั้งตระกูลเฮ่อ ทิ้งภาพจำที่อ่อนโยน และมีสัมมาคารวะเมื่อก่อนไป เผยให้เห็นธาตุแท้ที่เป็นสัตว์ป่ากระหายเลือด จากที่หมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ กลัวมากอยู่แล้ว เมื่อถูกอ๋องฉีด่าฉาดใหญ่ ก็ยิ่งตกใจกลัวจนตัวสั่นระริก รู้สึกสันคอตนเสียววาบ


 


 


ถึงแม้จะโมโห แต่อ๋องฉีก็ยังมีสติ ในฐานะที่หมอหลวงเจียงเป็นหัวหน้าหมอในสำนักหมอหลวง วิชาแพทย์ต้องดีกว่าคนอื่นเป็นแน่อยู่แล้ว หากประหารพวกเขาไป เมิ่งเชี่ยนโยวอาจจะไม่ฟื้นเลยก็ได้ อ๋องฉีทำเสียง ฮึ สั่งว่า “คืนพรุ่งนี้เป็นอย่างช้าสุด หากแม่นางเมิ่งยังไม่ฟื้น พวกเจ้าเตรียมรับผิดได้เลย”


 


 


แม้ตอนนี้หัวตนจะถูกคุ้มกันไว้ชั่วขณะ แต่หากเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังไม่ฟื้น เขาก็แค่ได้ทานข้าวเพิ่มอีกสามมื้อเท่านั้น หมอหลวงเจียงและคณะจึงไม่รีรอ รีบปรึกษาหารือกันถึงอาการป่วยของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแทบไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้เลย เขาใช้พลังและแรงที่เหลือของตนเฝ้ารอเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นขึ้นมา


 


 


ผ่านไปอีกหนึ่งคืน นอกจากคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ทนอยู่ไม่ได้ จึงไปพักผ่อนสองสามยามแล้ว แม้แต่บ่าวในจวนอ๋องก็ไม่มีใครกล้าไปนอน ทุกคนต่างยืนเฝ้าในตำแหน่งตนอย่างเงียบๆ ภาวนาให้เมิ่งเชี่ยนโยวรีบฟื้นขึ้นมา ไม่เช่นนั้นในจวนอ๋องคงไม่มีเสียงหัวเราะอีกต่อไป


 


 


ราวกับว่าได้ยินเสียงภาวนาของทุกคน และราวกับว่าเสียงเรียกของหวงฝู่อี้เซวียนตลอดสองสามวันที่ผ่านมาได้ผล วันรุ่งขึ้นตอนฟ้าสาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขยับตัวเล็กน้อย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจ้องมองนางตลอดเวลา จึงไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวของนางแม้แต่เล็กน้อย เขาดีใจจนร้องด้วยเสียงแหบแห้งเบาๆ ว่า “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์”


 


 


ขนตาของเมิ่งเชี่ยนโยวสั่นไหวแรงขึ้น ผ่านไปนานพอสมควรจึงลืมตาขึ้น มองหวงฝู่อี้เซวียนที่อิดโรยตรงหน้า ขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่พอใจว่า “เสียงไม่น่าฟังเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก แล้วน้ำตาก็ไหลพราก ยิ้มไปร้องไปพูดขึ้นว่า “ใครให้เจ้าหลับไปหลายวันเช่นนี้เล่า ข้าเลยต้องใช้เสียงน่าเกลียดเช่นนี้กวนให้เจ้าตื่น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้น อยากจะเช็ดน้ำตาให้เขา หวงฝู่อี้เซวียนจับมือนางไว้ แนบแก้มตนลงไปบนฝ่ามือของนาง แล้วน้ำตาก็ไหลลงบนมือนาง เขามองตานางพูดเสียงเบาว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว”


 


 


“เจ้าคนโง่!” เมิ่งเชี่ยนโยวน้ำตาคลอ เมิ่งเชี่ยนโยวตำหนิ “ที่นี่มีเจ้า ข้าจะทิ้งเจ้าลงได้อย่างไร”


 


 


ใบหน้าหวงฝู่อี้เซวียนปรากฏรอยยิ้มแรกตลอดสี่วันที่ผ่านมา พูดขึ้นว่า “เจ้าพูดเองนะ ต่อไปเจ้าจะอยู่กับข้า ไม่ว่าบนนภาหรือผืนพิภพ หากเจ้าผิดสัญญา ข้าไม่ยอมแน่”


 


 


ขอบตาของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงก่ำขึ้นอีก น้ำตาก็รินไหลออกมาจากขอบตา พยักหน้ายิ้ม รับคำเบาๆ “ตกลง ข้ารับปากเจ้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือไปปาดน้ำตาให้นาง และปล่อยให้น้ำตาตนไหลต่อไป จนหยดลงบนผ้าห่มทีละหยดสองหยด แต่กลับประทับลงในใจของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


สาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงจากข้างใน แอบเปิดม่านประตูอย่างดีใจโดยม่สนใจเรื่องมารยาท มองเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้วจริงๆ ก็รีบวิ่งไปรายงานพระชายาฉีทันที


 


 


พระชายาฉีตื่นนานแล้ว แต่ไร้ซึ่งความกระฉับกระเฉง นั่งถอนหายใจอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินรายงานจากบ่าวหญิง พลันได้สติขึ้นมา ลงจากเตียงทันที ยังไม่ทันสวมใส่เรียบร้อยก็วิ่งออกไปทันที หลิงหลงจะห้ามไว้ก็ห้ามไม่ทัน


 


 


อึดใจเดียวก็วิ่งไปถึงห้องของหวงฝู่อี้เซวียน มองเมิ่งเชี่ยนโยวที่ตื่นขึ้นแล้วพลางหอบหายใจ ใจก็ชื้นขึ้น แล้วขอบตาก็แดง


 


 


พระชายาฉีเบียดตัวเข้าไปข้างหวงฝู่อี้เซวียน นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ถามอย่างดีใจว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว ขอบคุณฟ้าขอบคุณดิน เจ้าตื่นเสียที สองสามวันนี้ข้าเป็นห่วงเหลือเกิน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ทานข้าวแม้แต่เม็ดเดียวตลอดสองสาวันที่ผ่านมา ร่างกายทรุดโทรมมาก เมื่อถูกพระชายาฉีเบียดเข้ามา ร่างก็เซล้มนั่งลงบนพื้น รู้สึกวูบไปพักหนึ่ง จนเกือบจะสลบไป


 


 


พระชายาฉีกลับไม่แม้แต่มองเขา สนใจแต่เมิ่งเชี่ยนโยว “หิวไหม ให้ข้าไปทำข้าวต้มให้ไหม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสภาพทุลักทุเลของหวงฝู่อี้เซวียน ก็พ่นหัวเราะออกมาเบาๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “เสด็จแม่ ข้าเป็นบุตรแท้ๆ ของท่านนะ ข้าก็ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว”


 


 


พระชายาฉีหันไปถลึงตาใส่เขา พูดขึ้นว่า “สมควร! ใครให้เจ้าไม่ปกป้องโยวเอ๋อร์ดีๆ ล่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนอ้ำอึ้ง มองพระชายาฉีอย่างไม่น่าเชื่อ ได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางเขาทุลักทุเลเป็นครั้งแรก หัวเราะออกมา จนสะกิดโดนแผลของตน เจ็บจนร้องซี้ดเบาๆ


 


 


พระชายาฉีรีบถามขึ้นว่า “เป็นอะไร เจ็บแผลหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบลุกขึ้น ถามอย่างกังวลว่า “เจ็บแผลขนาดนี้…” เขาลุกขึ้นเร็วเกินไป หน้ามืดไปครู่หนึ่ง ล้มลงไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ในขณะที่พระชายาฉีตกใจ ก็พลางใช้มือผลักตัวเขาออกไป


 


 


ในขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนล้มตัวลงไป เขาก็ได้สติ รีบยื่นมือไปจับขอบเตียงไว้ ประคองตัวเองไม่ให้ร่างทับโดนเมิ่งเชี่ยนโยว ใครจะไปรู้ว่าเมื่อถูกพระชายาฉีผลักออกสักครู่นี้ ร่างที่ทรุดโทรมของเขาก็ถูกนางผลักออก ทั้งร่างเอนไปทางหัวของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วนางก็ได้ยินเสียง ตึง หัวของหวงฝู่อี้เซวียนที่ไร้เรี่ยวแรงก็ชนเข้ากับราวเตียงอย่างจัง จนปรากฏดาวนับล้านดวงต่อหน้าเขา


 


 


เมื่อเขาไม่ได้ล้มทับบนตัวและแผลของเมิ่งเชี่ยนโยว พระชายาฉีก็โล่งอก ไม่แม้แต่จะสงสาร กลับหันมาตำนิหวงฝู่อี้เซวียน “เจ้านี่ไม่ระวังเลย ถ้าทับโดนแผลของโยวเอ๋อร์ ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจับหัวที่เจ็บแปลบของตน ส่ายหัวไปมา หลังจากสะบัดจนดาวตรงหน้าหมดไป พูดขึ้นอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า “เสด็จแม่ นี่ข้า บุตรแท้ๆ ของท่านเองนะขอรับ”


 


 


พระชายาฉีโบกมือไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “เรื่องนี้เจ้าไม่พูด คนทั้งโลกก็รู้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอดหัวเราะไม่ได้อีกครั้ง เหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความสงสาร แล้วเก็บสีหน้าอมยิ้มของตน พูดกับพระชายาฉีด้วยความรู้สึกผิดว่า “ทำให้ท่านเป็นห่วงแย่เลยนะเพคะ”


 


 


พระชายาฉีตารื้นอีกครั้ง ก้มหน้าลง ดึงผ้าห่มห่มเท้านาง พยายามปกปิดอารมณ์ของตนไว้ แต่ก็กลั้นไว้ไม่อยู่ น้ำตาไหลเอ่อ พูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือว่า “สองสามวันนี้ ข้ารู้สึกเจ็บเหมือนถูกเฉือนเนื้อไป เจ้าน่ะ ต่อไปห้ามบาดเจ็บอีกนะ ข้าทนไม่ไหวแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวน้ำตาคลอ พยักหน้าเบาๆ “หม่อมฉันสัญญา ต่อไปจะไม่เป็นอีกแล้วเพคะ”


 


 


พระชายาฉีก็พยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ข้างๆ เม้มปากไม่พูดอะไร


 


 


อ๋องฉีและหมอหลวงก็ได้ข่าวเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้ว รีบเข้ามาหา ยิ่งเมื่อหมอหลวงเจียงรู้ว่าหัวของตนถูกคุ้มกันไว้แล้วก็ยิ่งดีใจ มาถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน รอเข้าพบ


 


 


เมื่อพระชายาฉีพูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวเสร็จแล้ว ก็นำผ้าเช็ดหน้าออกมาวางบนข้อมือของนาง แล้วจึงสั่งให้คนข้างนอกเข้ามา


 


 


ทุกคนรีบเดินเข้ามา เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางมองไปที่เขา หมอหลวงเจียงก็รู้สึกยินดี เงยหน้าหัวเราะ เดินก้าวยาวไปหยุดอยู่หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดด้วยความดีใจว่า “แม่นางเมิ่ง ฟื้นเสียทีนะ หากเจ้าไม่ฟื้นอีกนี่ หัวข้าและคนอื่นคงคุ้มกันไม่อยู่แน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเบาๆ พูดเย้าแหย่ว่า “อายุปูนนี้แล้ว หัวของท่านแข็งปึกจะตายไป จะขาดไปง่ายๆ ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อนึกถึงตอนที่เจอกับเมิ่งเชี่ยนโยวครั้งแรก เนื่องจากรักษาพระชายาฉีไม่หาย อ๋องฉีพูดขู่ว่าจะตัดหัวตน จนถึงเรื่องโรคระบาดในเมือง คิดว่าชีวิตใกล้ถึงฝั่งของตนจะจบลงตรงนั้นเสียแล้ว จนถึงบัดนี้ที่มารักษาเมิ่งเชี่ยนโยว ทุกครั้งก็รอดตัวไปอย่างหวุดหวิด หมอหลวงเจียงยิ้ม พูดขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้ก็เพราะแม่นางเมิ่ง ข้าจึงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้”


 


 


หมอหลวงสองสามท่านที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หัวเราะเสียงเบา


 


 


พระชายาฉีลุกขึ้น หมอหลวงนั่งลง มือแตะไปที่ชีพจรของเมิ่งเชี่ยนโยว ช่วยจับชีพจรอย่างละเอียด แม้ชีพจรจะเต้นเบา แต่มั่นคง ไม่เป็นอะไรมากแล้ว จึงยิ้มและพยักหน้า “อาการไม่เป็นอะไรมากแล้ว แม่นางดูแลตนให้ดีก็พอ สักสองสามเดือนก็กลับมาเป็นปกติแล้วขอรับ”


 


 


บาดเจ็บหนักขนาดนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้มากกว่าเขา ย่อมรู้อาการร่างกายของตนดี แต่ที่ให้เขาตรวจชีพจร ก็เพื่อให้พระชายาฉี อ๋องฉี และหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินและหายห่วง เมื่อหมอหลวงเจียงพูดจบ ก็ยิ้มแล้วพูดขอบคุณ “ขอบคุณเจ้าค่ะ”


 


 


หมอหลวงเจียงตกใจจนรีบโบกมือ “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำ”


 


 


อ๋องฉี พระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ อ๋องฉีสั่งบ่าวไปว่า “ไปยกน้ำแกงโสมมาให้แม่นางเมิ่งดื่ม”


 


 


ข้างนอกมีเสียงขานรับ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


หมอหลวงเจียงและคณะก็วางใจ กำชับเรื่องอาหารการกินอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินจากไป


 


 


จากนั้นอ๋องฉีก็เดินออกไป


 


 


น้ำแกงโสมถูกยกเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือหวังจะรับมา แต่พระชายาฉีกลับแย่งไป พูดว่า “ในครัวมีข้าวต้มอยู่ เจ้าก็ไปกินหน่อยเถอะ ไม่ได้ทานกินมาหลายวัน ร่างกายที่แข็งแรงเพียงใดก็ต้านทานไม่ไหวหรอก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่ไม่ได้พักผ่อนมาสี่วัน ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง จึงไม่ได้ต่อต้านใดๆ สั่งให้คนใช้ยกข้าวต้มมาที่ห้อง จะได้ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวและทานไปด้วย


 


 


พระชายาฉีป้อนน้ำแกงโสมให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระมัดระวังจนนางทานหมดไปครึ่งถ้วย ช่วยนางเช็ดปาก เมื่อเห็นสีหน้านางยังเพลียอยู่ จึงพูดขึ้นว่า “ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอ พักผ่อนก่อนเถอะ ยังไม่ต้องคิดเรื่องอื่น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ หลับตาลง สักครู่ก็ได้ยินเสียงหายใจอย่างเป็นจังหวะ


 


 


เมื่อเห็นนางหลับไป พระชายาฉีก็ลุกขึ้น ส่งสัญญาณมือให้หวงฝู่อี้เซวียน แล้วแม่ลูกทั้งสองก็ย่องเดินออกไป


 


 


เมื่อเดินถึงข้างนอก สายตาพระชายาฉีก็แสดงความสงสาร พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เจ้าก็ไม่ได้พักมาหลายวันแล้ว ไปพักที่เรือนข้างๆ เถอะ แม่ช่วยดูแลโยวเอ๋อร์เอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าปฏิเสธ “ขอบพระคุณเสด็จแม่ แต่ให้ข้าดูแลเองเถอะขอรับ ไม่เช่นนั้นข้าไม่สบายใจ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว พระชายาฉีเข้าใจความหวาดกลัวของเขา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดขึ้นว่า “ก็ได้ เจ้ามีสติหน่อยแล้วกัน หากทนไม่ไหวก็ส่งคนไปเรียกแม่มาช่วยนะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า หลิงหลงประคองพระชายาฉีเดินออกจากเรือนไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินย่องเข้าไปในห้อง ตรงไปที่เตียง ถอดรองเท้าตนออก ข้ามตัวเมิ่งเชี่ยนโยวไปข้างๆ นาง เอื้อมแขนพาดไปบริเวณหน้าอกนาง โอบกอดนางไว้ และหลับไปอย่างอิ่มเอมใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลับไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน เมื่อนางลืมตาอีกครั้ง รอบเตียงก็เต็มไปด้วยผู้คน และใบหน้าที่นางจำได้ทันทีคือใบหน้าของเมิ่งซื่อที่แสดงสีหน้ากังวลอยู่


 


 


“โยวเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ” เมื่อเห็นนางตื่น เสียงเมิ่งซื่อก็เต็มไปด้วยความดีใจ


 


 


“ท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวทำเสียงเล็กออดอ้อน


 


 


น้ำตาเมิ่งซื่อไหลลงมา ตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “แม่อยู่นี่”

 

 

 


ตอนที่ 235 จบชีวิตตัวเอง

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันหน้าไป เห็นสีหน้ากังวลอีกใบหนึ่งของเมิ่งเอ้ออิ๋น เรียกขึ้นว่า “ท่านพ่อ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็น้ำตาคลอ ตอบว่า “พ่ออยู่นี่”


 


 


“พี่ใหญ่”


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่”


 


 


“พี่รอง”


 


 


“พี่สะใภ้รอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกไปทีละคน


 


 


ทุกคนน้ำตารื้นตอบว่า “พี่ใหญ่อยู่นี่” “พี่สะใภ้ใหญ่อยู่นี่” “พี่รองอยู่นี่” “พี่สะใภ้รองอยู่นี่”


 


 


ใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวปรากฏรอยยิ้มปลอบโยน “ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านไม่ต้องกังวลหรอก”


 


 


แล้วน้ำตาทุกคนก็ไหลลงมา


 


 


พระชายาฉีเองก็น้ำตาคลอ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างอดกลั้นไม่ได้ ส่งสายตาไปที่อ๋องฉี ทำสัญญาณให้พวกเขาสองคนออกไป ให้ครอบครัวตระกูลเมิ่งได้พูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


อ๋องฉีเข้าใจ ลุกขึ้น เดินตามพระชายาฉีออกไป


 


 


น้ำตาของเมิ่งซื่อไหลพลั่ก หยดลงบนผ้าห่มที่ห่มเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปจะเช็ดน้ำตานาง หวงฝู่อี้เซวียนห้ามนางไว้ “ระวังจะโดนแผล”


 


 


เมิ่งซื่อรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาตนเอง และรีบพูดห้ามว่า “เจ้าอย่าขยับเลย”


 


 


เมื่อเห็นตาแดงก่ำของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งแสดงสีหน้าสบายใจ “พวกท่านไม่ต้องกังวลหรอก แผลครั้งนี้ของข้าเบากว่าเมื่อห้าปีที่แล้วเยอะ ไม่กี่เดือนก็หายแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อนางพูดจบ น้ำตาเมิ่งซื่อก็ไหลลงมาอีกครั้ง


 


 


จริงๆ แล้วนางต้องการปลอบประโลมทุกคน แต่กลับทำให้เมิ่งซื่อน้ำตาไหลอีก เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มแสดงสีหน้ากังวล “ท่านแม่ หยุดร้องได้แล้ว ข้าจะหายในเร็ววันนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งซื่อพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้า


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยังพอมีสติอยู่ ก็ช่วยปลอบประโลมเมิ่งซื่อ “โยวเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาได้ก็ดีแล้ว หมอหลวงบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าใช้เวลาพักฟื้นไม่กี่เดือนก็กลับมากระโดดโลดเต้นได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสำทับ “ใช่เจ้าค่ะ ข้าจะหายไวๆ ท่านแม่ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งซื่อเช็ดน้ำตา สะอึกไปหนึ่งที พูดขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ แม่คิดไว้แล้ว เมื่อเจ้าหายดีแล้ว เจ้ากับอี้เซวียนกลับบ้านพร้อมพ่อและแม่เถอะ แม่จะได้เห็นเจ้า เฝ้าดูเจ้าทุกวัน แม่จะได้สบายใจ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองเขา แล้วหัวเราะพูดกับเมิ่งซื่อว่า “ท่านแม่ ท่าจะยากหน่อยนะ อี้เซวียนเป็นซื่อจื่อของจวนอ๋อง จากที่นี่ไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อกำลังจะพูดต่อ หวงฝู่อี้เซวียนพลันคุกเข่าต่อหน้าทั้งสอง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่ดีเอง ไม่ได้ดูแลโยวเอ๋อร์ให้ดี”


 


 


ทุกคนในห้องตกใจ เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบเดินไปพยุงเขาขึ้นมา “เจ้าลูกคนนี้ โยวเอ๋อร์บาดเจ็บโทษเจ้าได้อย่างไร รีบลุกขึ้นมา”


 


 


เมิ่งซื่อก็รีบพูดขึ้น “แม่ก็แค่พูดไป เจ้าทำอะไรของเจ้ากัน แม่จะไม่รู้ความเอาใจใส่ของเจ้าที่มีต่อโยวเอ๋อร์หรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านทั้งสองวางใจเถอะขอรับ จากนี้ไป จะไม่มีใครกล้าทำร้ายโยวเอ๋อร์อีกขอรับ”


 


 


เรื่องที่จวนเฮ่อถูกฆาตรกรรมหมู่ ครอบครัวเมิ่งรู้กันแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “แม่รู้ เชื่อว่าต่อไปเจ้าจะปกป้องโยวเอ๋อร์อย่างดี”


 


 


เด็กน้อยเมิ่งเส้ายืนอยู่ข้างๆ ซุนเชี่ยน มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสีหน้ากังวล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางโบกมือเรียกเขา “เส้าเอ๋อร์ มานี่สิ”


 


 


เมิ่งเส้าเดินไปหาอย่างว่าง่าย ยื่นตัวไปใกล้ มือน้อยๆ ของเขาลูบไปที่ใบหน้าขาวซีดของเมิ่งเชี่ยนโยว ถามด้วยเสียงแผ่วว่า “ท่านอา เจ็บไหมขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขาเบาๆ ยิ้มแล้วตอบกลับว่า “เมื่อกี้ยังเจ็บอยู่ แต่ตอนนี้เห็นหน้าเส้าเอ๋อร์ก็หายเจ็บแล้ว”


 


 


“อย่างนั้นข้าจะดูแลท่านอาเอง ท่านอาจะได้ไม่เจ็บ” เมิ่งเส้าพูดอย่างรู้ความ


 


 


ทุกคนต่างขบขันกับความน่าเอ็นดูของเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็หัวเราะเล็กน้อย พยักหน้าเบาๆ “ได้ ต่อไปเส้าเอ๋อร์ดูแลอานะ”


 


 


เมื่อครอบครัวเมิ่งทราบเรื่องก็รีบมาทันที ไม่มีใครได้พักผ่อน ตอนนี้สีหน้าทุกคนจึงปรากฏความเหนื่อยล้า หวงฝู่อี้เซวียนสังเกตเห็น พูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าสั่งคนเก็บกวาดเรือนในจวนไว้แล้ว พวกท่านทั้งสอง พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่รอง และพี่สะใภ้รองไปพักผ่อนเถอะขอรับ ข้าดูแลโยวเอ๋อร์เอง”


 


 


เมื่อทั้งบ้านมาถึงเมืองหลวง ก็ตรงมาที่จวนอ๋องฉีทันที เพราะว่าเป็นห่วงเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วนายประตูเป็นคนพาพวกเขามาที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ตอนนั้นมัวแต่กังวลอาการของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจร้อนรน ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้ว หมอหลวงก็บอกกับพวกเขาเองว่าไม่เป็นอะไร เพียงแค่พักผ่อนไม่กี่เดือนก็หาย ทั้งบ้านจึงโล่งใจ เมิ่งซื่อถึงรู้สึกกลัวขึ้นมา ได้ยินดังนั้นก็รีบโบกมือ “ไม่ได้ ไม่ได้ พวกข้าอยู่ที่จวนอ๋องไม่ได้หรอก”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็กลัวเช่นกัน พวกเขาทั้งบ้านเป็นคนบ้านนอก ไม่ทราบกฎระเบียบในจวนอ๋อง หากพูดอะไรผิด หรือทำอะไรผิดไป ทำให้อ๋องฉีและพระชายาฉีไม่พอใจจะแย่เอา จึงรีบพยักหน้าสำทับว่า “พวกข้าไม่นอนที่นี่ พวกข้าไปอาศัยในจวนที่โยวเอ๋อร์ซื้อไว้ รอสักสองสามวัน อาการโยวเอ๋อร์ดีขึ้นแล้ว พวกข้าจะรับนางกลับไป”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจว่าพวกเขาคิดอะไร รู้ว่าหากรั้งให้พวกเขาอยู่ในจวนอ๋อง พวกเขาต้องกินไม่ได้ นอนไม่หลับแน่ จึงมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพูดว่า “ตามใจท่านเถอะ”


 


 


เมิ่งซื่อค่อยโล่งอก พูดขึ้นว่า “ต่อจากนี้เวลากลางวันแม่จะมาดูแล ตกดึกค่อยกลับไปนะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะพูดขึ้นว่าไม่เป็นไร มีตนดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวก็พอแล้ว แต่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นก่อนว่า “ได้เจ้าค่ะ วันนี้แม่กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมา ข้าอยากกินอาหารฝีมือท่านแม่แล้ว”


 


 


เมิ่งอี้สองสามีภรรยาที่ไปมาจวนอ๋องทุกวัน ก็กลับมาหนานเฉิง พร้อมเมิ่งเอ้ออิ๋นสองสามีภรรยา เมื่อได้ข่าวว่าเมิ่งเสียวเถี่ยตายแล้ว ก็ชะงักไป เมิ่งอี้พูดอย่างเจ็บปวดว่า “ข้าอกตัญญูจริงๆ ไม่ได้ส่งน้าสี่แม้แต่ครั้งสุดท้าย”


 


 


เมิ่งเสียนตบบ่าเขา พูดด้วยความรู้สึกโชคดีว่า “โชคดีที่เจ้าไม่ได้กลับไปพร้อมโยวเอ๋อร์ ไม่อย่างนั้น…” ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกมา ทุกคนต่างรู้ว่าหมายถึงอะไร หากเมิ่งอี้สองสามีภรรยากลับไปพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็ต้องกลับมาพร้อมนางอีก การลอบฆ่าที่เกิดขึ้นระหว่างทางต้องเอาชีวิตพวกเขาทั้งครอบครัวแน่


 


 


ทั้งบ้านอาศัยในเมืองหลวง เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียน และเมิ่งอี้นั่งรถม้าไปนอกเมืองทุกวัน คอยคุมคนงานให้ดูแลมันฝรั่งหนึ่งพันห้าร้อยหมู่ ส่วนเมิ่งฉีไปดูแลโรงงาน


 


 


เมิ่งซื่อพาซุนเชี่ยน หวังเยียน และโจวอิ๋งทำอาหารให้เมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อทำเสร็จก็ใส่กล่องไปที่จวนอ๋อง ผลัดกันไปดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ช่วงนี้พระชายาฉีก็มาหาทุกวัน คุยเล่นกับพวกนาง


 


 


เมิ่งซื่อเห็นว่าพระชายาฉีไม่ยกตนข่มท่าน เมื่อผ่านไปไม่กี่วัน ความตื่นเต้นและความกลัวก็มลายหายไป เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวหลับไป ก็ไปเรือนของพระชายาฉีช่วยทำเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เมิ่งเชี่ยนโยว พลางพูดคุยกับนาง และเล่าเรื่องตลกในชนบทให้ฟัง


 


 


พระชายาฉีฟังอย่างสนุกสนาน พูดว่าหากต่อไปมีเวลาว่าง จะไปอาศัยในชนบทสักระยะหนึ่ง


 


 


ส่วนซุนเชี่ยน หวังเยียน และโจวอิ๋งก็ออกไปซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ในงานสมรสของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ลูกของหวังเยียนยังเล็ก พระชายาฉีรักใคร่เอ็นดูมาก ทุกครั้งเมื่อถึงเวลานี้ ก็จะอาสาช่วยดูแลลูกเอง เพียงเด็กน้อยอยู่ในมือนาง นางก็จะอุ้มไม่ปล่อยเลย โยกซ้ายโยกขวาหยอกเล่นกับเด็กน้อยอย่างสนุกสนานจนทำให้ภายหลังทุกครั้งที่เห็นพระชายาฉีอยู่ต่อหน้าเขา ก็จะอ้าแขนขอให้นางอุ้ม


 


 


และหนึ่งในนี้ คนที่ไม่มีความสุขที่สุดก็คือหวงฝู่อี้เซวียน กลางวันเมิ่งเชี่ยนโยวถูกคนบ้านตระกูลเมิ่งครอบครองไปทั้งวัน ส่วนตัวเองได้แต่รอให้ถึงกลางคืนถึงจะได้กอดนางกระซิบคุยกับนาง


 


 


เป็นเช่นนี้จนผ่านไปอีกสองสามวัน โจวอันพาองครักษ์ลับสิบนายตะลอนกลับมา นำเงินทองที่ได้จากองค์ชายหกส่งให้หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้รับไว้ สั่งว่า “ไปแบ่งให้พี่น้องทั้งสามพันนายเถอะ”


 


 


องค์ชายหกมีเงินทองหลายแสนตำลึง แม้จะแบ่งเท่ากันสามพันนาย คนหนึ่งก็ยังได้ไม่น้อย โจวอันดีใจใหญ่ กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณนายท่านขอรับ”


 


 


ในขณะเดียวกัน ฮ่องเต้ก็ได้รับสาสน์รายงานจากข้าราชบริพารจากแดนกันดาร ในสาสน์รายงานว่าเมื่อครั้นองค์ชายหกใกล้ถึงดินแดนกันดาร เจอพวกอันธพาล เกิดการต่อสู้ และถูกอันพาลฆ่าตาย ทรัพย์สินที่มีถูกแย่งชิงไปหมด แต่คนขับรถม้ารอดมาได้เพราะว่ายอมแพ้ตั้งแต่ตอนสู้กัน สาสน์ยังถูกประทับด้วยรอยนิ้วมือของคนขับรถม้าผู้เป็นพยานให้เหตุการณ์


 


 


ส่วนองครักษ์หลวงที่ถูกฮ่องเต้ส่งไปก็กลับมาแล้ว รายงานว่าพบร่างขององค์ชายหก และก็สืบสวนคนขับรถม้าแล้ว พยานพูดตรงกันว่าองค์ชายหกเจออันธพาล ถูกพวกเขาใช้ดาบยาวแทงข้างหลัง เป็นดาบยาวที่อันธพาลมักใช้กัน คนทั่วไปไม่มี


 


 


 บุตรที่เลี้ยงดูเติบโตมาเองกับมือ ฮ่องเต้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่ากำลังวังชาขององค์ชายหกไม่น้อยหน้าใคร จะตายในมือของอันธพาลง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร จึงเดาได้ในใจว่าอาจจะเป็นฝีมือของพ่อลูกอ๋องฉี แต่ก็ไม่มีหลักฐาน ได้แต่เขวี้ยงของในห้องหนังสืออย่างโมโหอีกครั้ง หลังจากด่าว่าองครักษ์หลวงเป็นพวกไร้ประโยชน์แล้ว เรื่องนี้ก็จบอย่างค้างคา


 


 


ส่วนเฮ่อผินเฟยผู้ซึ่งเสียสติหลังจากได้ข่าวว่าบ้านนางถูกสังหารหมดแล้ว เมื่อมี ‘ผู้หวังดี’ ส่งข่าวมาว่าองค์ชายหกของนางตายแล้ว ก็วิ่งไปคุกเข่าหน้าห้องหนังสือหวังพบฮ่องเต้ เพื่อถามข้อเท็จจริง


 


 


ความรักใคร่เอ็นดูตลอดหลายปีที่ผ่านมา จะว่าไม่เหลือเยื่อใยเลยก็มิใช่ อีกทั้งยังสงสารนางที่เสียทั้งครอบครัวและลูกไป ฮ่องเต้จึงยอมออกมาพบนาง และบอกนางด้วยปากของตนว่า เรื่องขององค์ชายหกเป็นเรื่องจริง ทรงส่งองครักษ์หลวงไปช่วยแล้ว แต่ก็สายไป


 


 


เมื่อสูญเสียทั้งครอบครัวและลูกไป แผนที่วางมาตลอดหลายปีพังไม่เป็นท่า เฮ่อผินเฟยเดินหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกลับวังของตน เมื่อตกดึกในเวลาที่ไม่มีใครทันสังเกต ก็แขวนคอตัวเองในห้อง เมื่อบ่าวในวังพบเข้า ร่างก็แข็งไปแล้ว


 


 


เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ข่าวนี้จากในวัง เขาไม่แม้แต่กะพริบตา


 


 


ฮ่องเต้กลับเจ็บปวดใจ ออกพระราชโองการคืนตำแหน่งกุ้ยเฟยให้นาง ฝังศพนางในฐานะกุ้ยเฟย และประกาศกร้าวว่าตนจะไม่พิศวาสใครอีกในสามวันนี้


 


 


คู่ศัตรูหลายปีเจอจุดจบแบบนี้ ฮองเฮานั้นชื่นบานใจยิ่งนัก แม้แต่อาหารเช้ามื้อนั้นนางก็ทานไปไม่น้อยเลย


 


 


หวงฝู่ซวิ่นมาถึงจวนอ๋องฉี เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนก็ถามขึ้นทันที “เป็นฝือมือเจ้าใช่หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเม้มปากไม่พอใจ พูดว่า “เจ้านี่แล้งน้ำใจจริง ข้าสู้กับเขามาตั้งหลายปี อย่างน้อยเจ้าก็ควรให้ข้าได้เห็นความทรมานของเขาก่อนตายสิ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเสียงเกรี้ยวกราด “ทหาร!”


 


 


โจวอันเดินเข้ามา ประสานมือ พูดอย่างสุภาพ “ขอรับนายท่าน!”


 


 


“ส่งไท่จื่อไปแดนกันดารตอนนี้เลย หากศพลงหลุมไปแล้ว ก็ให้ขุดขึ้นมาให้เขาดู” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง


 


 


โจวอันยังไม่ทันขานรับ หวงฝู่ซวิ่นก็ตกใจจนกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึก ถามขึ้นอย่าไม่เชื่อว่า “เจ้าพูดเล่นใช่ไหม”


 


 


สีหน้าพูดเล่นของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ปรากฏแม้แต่น้อย พูดขึ้นว่า “ท่านเป็นไท่จื่อ เป็นพระราชาในอนาคต คำสั่งของท่านข้าจะไม่ทำตามได้อย่างไร ท่านวางใจเถอะ องครักษ์ลับทำงานรวดเร็ว ไม่เกินห้าวันก็ส่งท่านไปแดนกันดารได้แล้ว”


 


 


แดนกันดารห่างจากเมืองหลวงไกลโพ้น ห้าวันถึงที่นั่น ผิวหนังคงถลอกปลอกเปิก ไม่สิ ตัวเองไม่ได้อยากไปอยู่แล้ว แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ หวงฝู่อี้เซวียนเจ้าคนใจดำ คงคิดจะกลั่นแกล้งกันแน่ๆ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นคิดได้ รีบลุกขึ้น ออกจากจวนอ๋องฉีไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจากไปพูดด้วยความแค้นเคืองว่า “ข้ายอมปล่อยเจ้าไปเพราะเห็นแก่น้องสะใภ้ของข้าที่กำลังบาดเจ็บอยู่หรอกนะ หากครั้งหน้าเจ้ายังแกล้งข้าแบบนี้ ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่”


 


 


โจวอันมองเขาหนีออกไปจากจวนอ๋องฉีด้วยความไวแสง ยืนมองอย่างตกตะลึงอยู่ชั่วครู่


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มมุมปาก อาการเบื่อหน่ายที่ไม่ได้ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยตัวเองค่อยคลายลงไปบ้าง ก้าวขาขึ้นเตรียมเดินไปห้องของตนเพื่อดูว่าเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นหรือยัง เสียงดังไร้มารยาทก็ดังขึ้นอีกเสียงจากห้องรับแขก “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าดูแลโยวเอ๋อร์อย่างไรกันแน่”


 


 


สิ้นเสียง หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยังไม่ทันพูดอะไร เงาใครสักคนก็วูบผ่านตรงหน้า สวมหมัดมุ่งตรงมาทางเขา

 

 

 


ตอนที่ 236 กัดคน

 

หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกไป หยุดหมัดของเขาด้วยแรงเพียงเล็กน้อย ชายผู้นั้นไม่ยอม เปลี่ยนท่าซัดมาที่เขา


 


 


เขาหลบได้อีกครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนตอบโต้กลับไปอย่างไม่เกรงใจ


 


 


ทั้งสองไม่พูด สู้สวนกันไปสวนกันมาอยู่สิบกว่ากระบวนท่า


 


 


ตอนแรกโจวอันตั้งท่าเตรียมเข้าช่วยเหลือหวงฝู่อี้เซวียน แต่เมื่อเห็นทั้งสองสู้กันครู่หนึ่ง เห็นซื่อจื่อไม่ได้ใช้กำลังภายใน แต่สู้ด้วยพลังอย่างคนทั่วไป วิธีการต่อสู้ก็คล้ายคลึงกัน คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนสนิทของหวงฝู่อี้เซวียน จึงลดเกราะป้องกันลง ยืนมองนิ่งๆ อยู่ข้างๆ


 


 


ทั้งสองสู้กันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ชายผู้นั้นก็หายใจหอบ แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่แม้แต่หายใจแรง


 


 


ชายผู้นั้นหยุดลง นั่งลงบนพื้น โบกมือ “ไม่สู้แล้ว เหนื่อยจะตายแล้ว”


 


 


เมื่อได้ต่อสู้ด้วยความไร้ความกังวล โดยไม่ต้องใช้พลังใน ความเบื่อหน่ายที่เหลือเพียงน้อยนิดของหวงฝู่อี้เซวียนก็หายไป เดินไปตรงหน้าเขา เตะเขาเบาๆ พูดเย้ยหยันว่า “ซุนเหลียงไฉสองสามปีนี้เจ้ามัวแต่หลงใช้ชีวิตมั่นคั่งและร่ำรวยใช่ไหม กำลังวังชาไม่ดีขึ้นเลย”


 


 


ซุนเหลียงไฉยื่นแขนออกไป กอดขาเขาไว้แน่น อ้าปากกัดลงไป


 


 


ครั้งนี้เขากัดจริง ซุนเหลียงไฉแรงเยอะ เมื่อกัดลงไป หวงฝู่อี้เซวียนร้องเสียงหลง สะบัดแขนเขาออกไปทันที


 


 


ซุนเหลียงไฉถูกแรงเหวี่ยงของขาเขาจนล้มหงายหลังลงพื้น


 


 


โจวอันตกตะลึงอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโค้งตัวลงไปจับบริเวณที่โดนกัด พูดเสียงดัง “ซุนเหลียงไฉเจ้าเกิดปีจอรึไง”


 


 


ซุนเหลียงไฉลุกขึ้นยืนเสียงหอบหนัก ลูบหัวที่ชนกับพื้นเมื่อครู่ พูดอย่างได้อกได้ใจว่า “สมน้ำหน้า ใครให้เจ้าไม่ดูแลโยวเอ๋อร์ให้ดีเอง”


 


 


คำก็โยวเอ๋อร์ สองคำก็โยวเอ๋อร์ สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนหนักอึ้งขึ้น พูดขู่ด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ถ้าเจ้ายังกล้าเรียกโยวเอ๋อร์อีก ข้าจะต่อยเจ้าฟันร่วงจนหาไม่เจอแน่”


 


 


ซุนเหลียงไฉได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวประสบ ก็ยืดอก เชิดหน้าชูตาอีกครั้ง พูดว่า “ก็ข้าจะเรียก ‘โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์’ เจ้าจะทำไม”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ตัวตั้งตรง สั่งโจวอันว่า “แขวนคุณชายซุนไว้บนต้นไม้ใหญ่ของจวนอ๋อง”


 


 


โจวอันขานรับ เดินขึ้นไป กำลังจะลากซุนเหลียงไฉออกไป


 


 


ซุนเหลียงไฉตะโกนเสียงดังประหนึ่งอยู่ในโรงเชือดหมู “ช่วยด้วย เขาจะฆ่าคนแล้ว จะฆ่าคนแล้ว!”


 


 


เมื่อพระชายาฉีที่กำลังเย็บปักเสื้อผ้าอาภรณ์กับเมิ่งซื่อได้ยืนเสียงร้องโหยหวนนั้นแล้ว ก็ตกใจสะดุ้งจนมือที่ถือเข็มอยู่ทิ่มโดนมืออีกข้างของตน ร้องเสียง โอย


 


 


หลิงหลงรีบเดินเข้ามา ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดออก


 


 


เมิ่งซื่อถามอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ”


 


 


พระชายาฉียิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”


 


 


เมิ่งซื่อขมวดคิ้ว พูดกับตัวเองว่า “ทำไมข้าได้ยินเสียงเหมือนซุนเหลียงไฉเลยนะ” พูดจบก็ส่ายหัว ก่อนหน้านี้ซุนเชี่ยนกลับบ้านนางไป พอกลับมาบอกว่าซุนเหลียงไฉไปทางใต้ซื้อผ้าไหมด้วยตัวเองแล้ว สองสามเดือนนี้คงกลับมาไม่ได้ ตัวเองน่าจะฟังผิดไปเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่หลับลึกอยู่ก็ตื่นเพราะเสียงร้องอนาถนี้ นางฟังออกว่าเป็นเสียงของซุนเหลียงไฉรู้ว่าต้องถูกหวงฝู่อี้เซวียนลงโทษอยู่แน่ๆ นางหัวเราะแล้วเรียก “ชิงหลวน ไป…” เพิ่งปริปาก ก็นึกขึ้นได้ว่าชิงหลวนสละตนปกป้องตัวเองไว้ ถูกชายชุดดำใช้ดาบแทงเข้าที่ลำตัว ตัวเองที่อยู่ข้างล่างตัวนางยังรู้สึกถึงปลายดาบที่ทะลุโดนตัวตน อารมณ์นางพลันหล่นวูบ ผ่านมาก็หลายวันแล้ว แต่นางไม่กล้าถามถึงอาการของชิงหลวงและจูหลี รวมถึงเหวินเปียวและกัวเฟยเลย กลัวว่าตนจะได้ยินข่าวร้าย นางไม่ถาม ก็จะได้หลอกตัวเองไปว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ต่อไปก็จะคอยอยู่เคียงข้างนางไปตลอด


 


 


นางเม้มปาก สั่งคนข้างนอก “มีใครอยู่ไหม!”


 


 


สาวใช้ข้างนอกเปิดม่านเดินเข้ามา คารวะ “แม่นางเมิ่งมีอะไรให้รับใช้เจ้าคะ”


 


 


“ไปบอกอี้เซวียน นำตัวเขาเข้ามา ข้าอยากเจอ”


 


 


สาวใช้ขานรับ เดินออกไป


 


 


เสียงร้องของซุนเหลียงไฉก็ทำเอาหวงฝู่อี้เซวียนตกใจ รีบเดินไปปิดปากซุนเหลียงไฉไว้ พูดขู่ว่า “ถ้าเจ้ากล้าร้องอีก ทำให้โยวเอ๋อร์ตื่น ข้าจะตัดลิ้นเจ้าเสีย”


 


 


เขาใช้มือปิดปากแรงมาก จนซุนเหลียงไฉหายใจไม่ออก


 


 


ซุนเหลียงไฉดึงมือเขาออกพลาง ร้องเสียงอู้อี้พลาง


 


 


เมื่อสาวใช้เข้ามารายงาน เห็นสภาพของทั้งสองคน ก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบก้มหน้า ไม่กล้าสบตารายงานว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่งตื่นแล้วเจ้าค่ะ เชิญแขกเข้าพบ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นตามที่คิดไว้ หวงฝู่อี้เซวียนโกรธจัด ยื่นมืออีกข้างจับตรงเอวของซุนเหลียงไฉไว้ ใช้แรงหมุนตัวเขาสามร้อยหกสิบองศา แล้วจึงปล่อยตัวเขาไป


 


 


ซุนเหลียงไฉร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บ แล้วลุกลี้ลุกลนยืนขึ้น พูดเสียงดังว่า “เจ้ามันคนใจดำ ข้าจะฟ้องโยวเอ๋อร์ว่าเจ้ารังแกข้า!”


 


 


โจวอันมองดูอย่างตั้งใจ ทำปากเหวอ ตาเบิกโตเท่าไข่ไก่ มองหวงฝู่อี้เซวียน แล้วมองซุนเหลียงไฉแล้วกลับไปมองหวงฝู่อี้เซวียนอีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้านายของตนจะกระทำราวคนปัญญาอ่อนอย่างเมื่อครู่นี้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้แต่จะสนใจคำขู่ของซุนเหลียงไฉร้อง ฮึ เบาๆ เดินไปทางเรือนของตน


 


 


ซุนเหลียงไฉเดินฉุนตามหลังไป


 


 


แต่ก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวหลอกซุนเหลียงไฉว่าตนโตกว่าเขา จนซุนเหลียงไฉเรียกนางว่าพี่มาหลายปี ภายหลังซุนเชี่ยนรู้สึกแปลกใจ ถามว่าซุนเหลียงไฉโตกว่าเมิ่งเชี่ยนโยว ทำไมถึงเรียกเมิ่งเชี่ยนโยวว่าพี่ ซุนเหลียงไฉจึงรู้ว่าตนถูกหลอก หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเรียก โยวเอ๋อร์ มาตลอด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ห้ามเขา


 


 


ทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง ซุนเหลียงไฉผลักหวงฝู่อี้เซวียนตรงหน้าออกทันที รีบเดินไปหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ฟ้องอย่างร้องขอความเห็นใจว่า “เจ้าคนใจดำคนนี้เกือบจะฆ่าข้าตาย”


 


 


พูดจบ เขาตั้งตารอให้เมิ่งเชี่ยนโยวด่าหวงฝู่อี้เซียวนฉาดใหญ่ แก้แค้นแทนเขา


 


 


ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มแล้วด่าว่า “สมน้ำหน้า ใครให้เจ้าทำผิดล่ะ”


 


 


“เจ้า…” ซุนเหลียงไฉโกรธจนชี้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอะไรไม่ออก


 


 


เสียงข่มขู่ของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “ถ้าเจ้ายังชี้หน้าโยวเอ๋อร์อีก ระวังข้าจะตัดนิ้วเจ้าทิ้ง!”


 


 


แม้ซุนเหลียงไฉจะไม่ยอม แต่ก็จำใจเอามือลง ทำเสียงฟุดฟิดนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง บ่นอย่างไม่พอใจว่า “ถ้ารู้ว่าพวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าแต่แรกนะ ข้าคงไม่รีบกลับมาหาเจ้าจนม้าข้าตายไปหลายตัวหรอก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพอทราบเรื่องที่เขาไปทางใต้เพื่อซื้อของเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้ว่าหากเขาอยู่ตำบลชิงซี ได้ยินข่าวใหญ่โตของเมิ่งเชี่ยนโยว คงมาหาตั้งนานแล้ว พวกเขาสบตากัน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดขึ้น “ใช่ๆๆ ขอบคุณคุณชายซุนที่เป็นห่วงข้า ข้อน้อยซาบซึ้งใจมาก รอให้ข้าหายแล้ว จะทำอาหารอร่อยให้นะเจ้าคะ”


 


 


สีหน้าซุนเหลียงไฉถึงหายโกรธลงบ้าง พูดว่า “ค่อยยังชั่ว ข้าบอกเจ้าไว้เลยแล้วกัน ข้าจะกินกุ้งอบ ปีกไก่ทอดกระเทียม…”


 


 


มือของหวงฝู่อี้เซวียนกำหมัดแน่นแล้วคลายออก คลายออกแล้วกำหมัดแน่นอีก เขาใช้ความพยายามอดกลั้นตัวเองไว้ไม่ให้ปล่อยหมัดไปที่ซุนเหลียงไฉ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าซุนเหลียงไฉจงใจแกล้งหวงฝู่อี้เซวียนให้โกรธ จึงได้แต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร


 


 


ตามคาด หลังจากที่ซุนเหลียงไฉพูดชื่ออาหารไปหลายชื่อ ก็มองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างได้ใจ แล้วจึงหันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว ถามขึ้นด้วยสายตากังวลว่า “ทำไมไม่ระวังตัวเลย ปล่อยให้คนทำร้ายจนบาดเจ็บหนักขนาดนี้ ตอนที่ข้าได้ยินข่าวนี้ ตกใจจนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง รีบกลับมาเลยทันที โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่เช่นนั้นข้าจะจัดการเจ้าคนสวะพวกนั้นให้ราบคาบแน่”


 


 


พูดจบ เหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียน พูดอย่างพิกลว่า “ใครบางคนยังพูดอยู่ทุกวันว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี เขาดูแลอย่างนี้หรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดไม่ออก


 


 


ซุนเหลียงไฉจึงร้อง ฮึ เบาๆ อย่างได้ใจ


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าโทษตัวเองของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดเปลี่ยนเรื่องว่า “การค้าเป็นอย่างไรบ้าง คุยกันเรียบร้อยดีหรือไม่”


 


 


“ได้ข่าวว่าเจ้าเกือบไม่มีชีวิตรอด ข้าตกใจแทบตาย ยังมีกะจิตกะใจอะไรไปคุยการค้าอีกล่ะ” ซุนเหลียงไฉพูดขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกอบอุ่นใจ แม้ซุนเหลียงไฉจะไร้สติบ้างบางครั้ง แต่ความห่วงใยที่เขามีให้นั้นกลับจริงใจเหลือเกิน พูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ก็มา มาดูแลข้าทุกวันด้วย แต่พอดีน่าจะเห็นว่าข้าหลับแล้ว ก็เลยไปเรือนของพระชายาฉีน่ะ”


 


 


“พี่สาวข้าก็มาแล้วรึ” ซุนเชี่ยนถามด้วยความประหลาดใจ แล้วก็พูดขึ้นต่อว่า “ดีเลย ให้นางอยู่เมืองหลวงช่วยข้าทำการค้าหน่อย ข้าจะอยู่ดูแลเจ้าสักสองวัน แล้วจะกลับไปคุยการค้าต่อ”


 


 


เมิ่งซื่อเปิดม่านประตูเดินเข้ามา เห็นซุนเชี่ยนจึงยิ้มพูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าข้าได้ยินผิดไปเสียอีก เหลียงไฉมาจริงๆ ด้วย”


 


 


พระชายาฉีและซุนเชี่ยน หวังเยียน โจวอิ๋งเดินเข้ามา


 


 


ซุนเหลียงไฉลุกขึ้น คารวะทีละคนอย่างนอบน้อม


 


 


หลังจากนี้อีกสองวัน คนที่ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวก็เพิ่มอีกหนึ่งคน เพราะว่ารู้ว่าซุนเหลียงไฉไม่ได้มีใจให้เมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนจึงยอมกัดฟันทนจนผ่านไปได้อีกสองวัน


 


 


วันที่สาม เขาเปลี่ยนม้าตัวหนึ่ง จัดแจงเรื่องในร้านให้ซุนเชี่ยนและซุนเหลียงไฉเรียบร้อยก็ขี่ม้าไปทางใต้ ก่อนไปตบบ่าหวงฝู่อี้เซวียน “ไม่ใช่ว่าข้าว่าเจ้านะ ผู้หญิงของตนก็ควรอุ้มชูและเอ็นดูนางไว้ อย่าให้นางได้กังวลใจเรื่องอะไรอื่นเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตามองเขา


 


 


ซุนเหลียงไฉยันตัวขึ้นควบม้า สะบัดบังเ**ยนพุ่งตัวออกไป


 


 


เห็นแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปของเขา จนหายวับไป หวงฝู่อี้เซวียนจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในจวนอ๋อง


 


 


หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าบาดแผลตนดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว จึงขอร้องให้ตนได้ลงจากเตียง เพื่อเดินและเคลื่อนไหวบ้าง แต่ทุกคนตกใจ


 


 


ก่อนอื่นเมิ่งซื่อไม่เห็นด้วย รีบโบกมือ “เจ้าเด็กคนนี้ ท้องยังมีหลุมแผลใหญ่ขนาดนั้น จะบอกว่าหายเพียงเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร รีบกลับไปนอนเลย ฟังแม่นะ นอนอีกสักหนึ่งเดือน รอให้หายจริงๆ แล้วค่อยว่ากัน”


 


 


คนที่เหลือก็ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะพระชายาฉี ตอนนั้นนางเป็นคนทำความสะอาดแผลให้เมิ่งเชี่ยนโยว รู้ว่าแผลลึกขนาดไหน พูดห้ามปรามว่า “ใช่ โยวเอ๋อร์ ฟังแม่เจ้าเถอะ หากแผลนี้ของเจ้าไม่หายแล้วเกิดอะไรขึ้นมาจะแย่เอา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองนางอย่างกังวล


 


 


ใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้ม “ท่านแม่ พระชายา หากให้ข้านอนอยู่บนเตียงต่ออีกหนึ่งเดือน ข้าต้องเป็นง่อยแน่ๆ ตอนนี้บาดแผลของข้าเริ่มสมานจนจะหายดีแล้ว การเคลื่อนไหวเล็กน้อยจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัว ที่สำคัญคือ จะได้อาบน้ำอาบท่าสักหน่อยนะ” แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายนางไม่กล้าพูดออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้วิชาแพทย์ ฟังสิ่งที่นางพูดนั้นไม่ผิดแน่นอน แต่แผลของนางใหญ่เกินไป เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ก็กลัวว่าถ้านางลงจากเตียงเร็วเกินไป จะยิ่งทำให้อาการแผลสาหัสขึ้น ตัดสินใจไม่ได้ มองหน้ากันครู่หนึ่ง พระชายาฉีพูดขึ้นว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าไปถามหมอหลวงเจียงหน่อยว่าโยวเอ๋อร์ลงจากเตียงได้หรือยัง”


 


 


ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา แผลหนักขนาดนี้ปกติต้องนอนถึงสองเดือน แต่ตอนนี้หมอหลวงเจียงชื่นชมเมิ่งเชี่ยนโยวมาก เขาจึงเห็นด้วยกับคำพูดเกี่ยวกับวิชาแพทย์ทุกอย่างของนาง ดังนั้นเมื่อหวงฝู่อี้เซวียนมาถาม หมอหลวงเจียงก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล “แม่นางเมิ่งพูดถูก ออกกำลังบ่อยๆ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ได้รับบาดเจ็บ”


 


 


เมื่อได้คำตอบยืนยันจากหมอหลวงเจียง ก็ไม่มีใครไม่เห็นด้วย เมิ่งซื่อและซุนเชี่ยนเดินไปข้างหน้า ค่อยๆ ประคองนางอย่างระมัดระวัง พยุงนางลงจากเตียง หวังเยียนโค้งตัวลงไปช่วยนางใส่รองเท้า หลายคนคอยประกบร่างนางปกป้องนางไว้


 


 


เมื่อขาทั้งสองข้างของเมิ่งเชี่ยนโยวสัมผัสพื้น ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง ส้นเท้าทั้งสองเหมือนเหยียบบนปุยนุ่น อ่อนแอมาก นางกัดฟัน พยายามอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อาการเจ็บแล่นแปล๊บ เหงื่อพลันซึมออกมาบนหน้าผาก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคอยสังเกตสีหน้าของนาง เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วเล็กน้อย และเหงื่อซึมตรงหน้าผาก ก็สงสารจับใจ พูดขึ้นว่า “พอแล้ว ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอนัก เดินก้าวเดียวก็พอแล้ว เราค่อยๆ ฝึกนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร กัดฟัน ค่อยๆ ก้าวออกไปก้าวที่สอง แผลยิ่งเจ็บหนัก เจ็บจนนางเกือบจะร้องออกมา


 


 


เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นความผิดปกติของนาง รีบประคองนางกลับไปที่เตียง ท่าทีเมิ่งซื่อหนักแน่นกว่าเดิม “ไม่ได้ เจ้าต้องนอนบนเตียงอีกหลายวัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือจับแผลที่อยู่บริเวณท้องของตน เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ แล้วขมวดคิ้ว

 

 

 


ตอนที่ 237 การพบกันของนายหญิงและองครักษ์

 

หวงฝู่อี้เซวียนคอยมองนางไม่ละสายตา เมื่อเห็นนางตกอยู่ในภวังค์ ก็มีลางสังหรณ์ใจ เขาร้องเรียกด้วยเสียงเป็นกังวล “โยวเอ๋อร์!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นจากภวังค์ เห็นทุกคนมองตัวเองด้วยสายตาเป็นห่วง นางจึงหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “ฟังท่านแม่ดีกว่า ข้านอนบนเตียงอีกสักสองสามวันแล้วกัน”


 


 


เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ค่อยโล่งใจ แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมองนางอย่างไม่สบายใจ


 


 


เมื่อตกดึก เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ กลับไปหนานเฉิงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวขอร้องหวงฝู่อี้เซวียนให้ตนได้อาบน้ำด้วยเสียงเบา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่เห็นด้วยแน่นอน แล้วก็รู้ทันทีว่าเหตุใดเมื่อกลางวันนางจึงอยากลงจากเตียง จึงจ้องนางอยู่พักหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอาแต่หลบสายตา เขาจึงหันหลังเดินออกไป ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็นำอ่างใส่น้ำร้อนเข้ามาไว้ในห้อง แล้วเดินไปพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น กำลังจะถอดเสื้อชั้นในและกางเกงชั้นในออก เพื่อช่วยเช็ดตัวนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงจับมือเขาไว้ พูดเสียงเบาว่า “เจ้าออกไปเถอะ ข้าจัดการเอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร มองนางนิ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนสายตาที่เขามองไม่ได้ จนยอมปล่อยมือออก หวงฝู่อี้เซวียนช่วยถอดเสื้อผ้าของนางอย่างเบามือ เมื่อเห็นแผลบริเวณท้องที่ถูกปิดด้วยผ้าปิดแผลของนาง ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงปิดแผลให้เรียบร้อย ยกอ่างน้ำมาข้างเตียง ลองอุณหภูมิน้ำแล้วรู้สึกกำลังดี จึงนำผ้าขนหนูมาช่วยเช็ดตัวนางอย่างเบามือ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง เขินจนปิดตาไม่กล้ามองเขา


 


 


หลังจากรอจนหวงฝู่อี้เซวียนเช็ดตัวให้เสร็จด้วยความอ่อนโยนและละเอียดลออ ก็รีบดึงผ้าห่มปิดร่างตัวเองไว้


 


 


เห็นนางเขินอายเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะออกมา แล้วหอมแก้มนางพูดเสียงเบาว่า “ต่อไปหากอากาศร้อน ข้าจะช่วยเจ้าเช็ดตัวทุกวันเลย เจ้าทำตัวให้ชินนะ”


 


 


หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งแดง


 


 


ยากนักที่จะได้เห็นท่าทางเขินอายเช่นนี้ของนาง หวงฝู่อี้เซวียนอารมณ์ดี อมยิ้มแล้วยกอ่างน้ำออกไปเทน้ำทิ้ง


 


 


เห็นแผ่นหลังของเขาที่เดินออกไป จับแผลตัวเอง สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวเคร่งขรึม เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเก็บของเสร็จกลับมา สีหน้านางก็กลับมาเป็นปกติ


 


 


ผ่านไปอีกประมาณสิบวัน แผลหายดีแล้ว ผ้าปิดแผลก็เอาออกแล้ว เมิ่งซื่อยอมให้นางลงจากเตียงเดินอีกครั้ง หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวขอร้องวิงวอน


 


 


ครั้งนี้ดีขึ้นมาก แม้ร่างกายจะยังไม่ค่อยชิน นางยังไม่กล้ายืดตัวตรงและทำท่าทางใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเหมือนเข็มทิ่มหัวใจแล้ว แต่เพราะว่าตลอดเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เมิ่งเชี่ยนโยวนอกจากดื่มยาแล้ว ก็กินแต่ยาบำรุง เป็นอาหารเหลวทั้งนั้น ร่างกายไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็หายใจหอบแล้ว แขนขาอ่อนแรง สองทศวรรษที่ผ่านมา ไม่เคยอ่อนแอเช่นนี้มาก่อนเลย เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อน เม็ดเหงื่อเริ่มซึมออกมาบนหน้าผาก


 


 


พระชายาฉีเหมือนรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ ปลอบอย่างอ่อนโยนว่า “โยวเอ๋อร์ ใจเย็นๆ นะ ร่างกายเจ้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว ออกกำลังหน่อย สักพักก็หายดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจะปริปากพูด แต่ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปริปาก “เจ้าวางใจเถอะ พวกเขาไม่เป็นไร”


 


 


ทุกคนไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเงยหน้า มองเขาอย่างประหลาดใจ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างจริงใจ อธิบายว่า “พวกนางก็อ่อนแอมากเหมือนกัน มาดูเจ้าไม่ได้”


 


 


ยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยสบายใจขึ้น ค่อยๆ ก้าวเท้าตนเองต่อไป


 


 


ฝึกเดินได้ครู่หนึ่ง ใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวก็ซึมไปด้วยเหงื่อ


 


 


เมิ่งซื่อเห็นแล้วสงสาร หลังจากช่วยนางเช็ดเหงื่อ ก็ไม่ให้นางเดินต่ออีก พยุงนางกลับไปนั่งลงบนเตียง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เหนื่อยมากแล้ว ไม่ได้ฝืนเดินต่อไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกน้ำมาให้นางอย่างรู้หน้าที่ ยื่นไปให้นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ค่อยๆ ดื่มน้ำ เมื่อดื่มเสร็จก็ส่งแก้วน้ำกลับคืนให้หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับไว้ ค่อยๆ เขี่ยผมที่ปรกหน้าผากนางออกไปด้านหลัง แล้วจึงหันหลังกลับนำแก้วไปวางไว้บนโต๊ะ


 


 


เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ มองทุกการกระทำของเขา แล้วใจชื้นอย่างบอกไม่ถูก ความโกรธเคืองและความไม่พอใจเมื่อตอนที่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บก็มลายหายไปในทันที


 


 


พระชายาฉีก็มองทุกอย่างตรงหน้าอย่างชื่นใจ นั่งคิดในใจว่า หากเมิ่งเชี่ยนโยวหายดีแล้ว งานสมรสของพวกเขาก็จัดตามวันที่ตกลงกันไว้แต่แรกเลย ไม่เลื่อนออกไปอีกแล้ว


 


 


ในเมื่อบาดแผลไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ก็เหลือแค่บริหารร่างกายให้แข็งแรง ทุกครั้งที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีเวลา ก็จะขอร้องหวงฝู่อี้เซวียนพยุงนางเดินอย่างช้าๆ จนสามารถเดินออกจากห้อง ออกจากเรือนในจวน และเดินไปถึงเรือนพักฟื้นของชิงหลวน จูหลี กัวเฟย และเหวินเปียว รวมถึงองครักษ์ลับนายอื่นๆ


 


 


กัวเฟยสูญเสียแขนซ้ายของตนไป เส้นประสาทขาของเหวินเปียวถูกฟันจนบาดเจ็บ ทั้งสองกลับไปสภาพเดิมไม่ได้แล้ว ตอนนี้คนหนึ่งไม่มีแขน อีกคนก็ขากะพร่องกะแพร่ง ทั้งสองกำลังฝึกเดินเหมือนเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา กัวเฟยเป็นคนแรกที่เห็นพวกเขา เรียกขึ้นอย่างดีใจ “นายท่าน นายหญิง ท่านไม่เป็นอะไรแล้วหรือขอรับ”


 


 


มองแขนซ้ายที่หายไป เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ ฝืนยิ้มออกมา ตอบว่า “อื้ม” เบาๆ


 


 


เหวินเปียวและคนอื่นก็รุมล้อมเข้ามา คารวะทักทาย


 


 


เมื่อเห็นร่างกายพวกเขามีบาดแผลไม่มากก็น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็น้ำตาคลอ โค้งคำนับต่อหน้าทุกคน พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ขอโทษ ข้าทำพวกเจ้าลำบากแย่เลย”


 


 


ทุกคนตกใจ กัวเฟยรีบพูดขึ้นว่า “นายหญิง ท่านพูดอะไรขอรับ เพราะพวกข้าไม่ได้ปกป้องท่านให้ดี ท่านถึงบาดเจ็บหนักหนาเพียงนี้ พวกข้าต้องขอโทษมากกว่าขอรับ”


 


 


กัวเฟยพยักหน้าพูดสำทับว่า “ใช่ขอรับ นายหญิง พวกข้าผิดเอง พวกข้าไม่ได้ปกป้องท่านให้ดี”


 


 


องครักษ์ลับที่ยังมีชีวิตเหลือรอดก็พยักหน้าเช่นกัน


 


 


มองดูทุกคนที่แย่งกันรับผิด เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือเชิงห้ามปรามให้พวกเขาหยุดขอไถ่โทษ พูดขึ้นว่า “พวกเจ้ารักษาตัวให้หายไวๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เมื่อหายดีแล้วข้าจะจัดการทุกอย่างให้เอง”


 


 


สิ่งที่นางพูดทำให้ทุกคนที่อยู่อย่างไม่สงบสุขรู้สึกเหมือนได้กินยาชูใจเข้าไป


 


 


เหวินเปียวอย่างไรก็มีคนในครอบครัวดูแล อย่างมากก็แค่กลับบ้านเกิด กลับไปดูแลบ้านและสำนักกับพี่น้องในสำนักคุ้มภัย แต่กัวเฟยกับองครักษ์ลับที่เหลือนี่สิ หน้าที่พวกเขาคือปกป้องเจ้านาย แต่ตอนนี้พวกเขาบ้างก็ไร้แขน บ้างก็ไร้ขา แม้จะมีกำลังวิชาดีแค่ไหนก็ใช้ได้ไม่เต็มที่ ตั้งแต่ที่พวกเขาฟื้นขึ้นมา ในใจก็ลุ่มๆ ดอนๆ หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป พวกเขากลัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะให้เงินทองสักก้อนแล้วผลักไสพวกเขาไป แต่ตอนนี้ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ความกังวลใจที่มีมาตลอดหลายวันนี้ก็คลายลง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มสบายใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจดจำสีหน้าพวกเขาไว้ พูดขึ้นอีกว่า “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าพวกเจ้าจะยังปกป้องข้าได้อีกหรือไม่ ข้าไม่ทิ้งพวกเจ้าไปหรอก”


 


 


ไม่เพียงแต่กัวเฟยและองครักษ์ลับที่บาดเจ็บ โจวอันและองครักษ์ลับที่มาช่วยดูแลพวกเขาได้ยินคำพูดของนางต่างก็ชาบซึ้งใจ


 


 


การปกป้องเจ้านายเป็นหน้าที่ของพวกเขา น้ำน้อยแพ้ไฟจนได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติ แต่คนอย่างพวกเขาหลังจากที่บาดเจ็บแล้วมักมีจุดจบสองแบบ หนึ่งคือเจ้านายทิ้งไว้ที่เดิม ไม่สนใจไม่ถามถึง ปล่อยให้ล้มลุกคลุกคลานเอง อีกแบบหนึ่งคือเจ้านายจะสั่งให้ฆ่าทิ้งเพื่อปิดปากเสีย จะได้ไม่มีข้อมูลเสียๆ หายๆ ของตนรั่วไหลออกไป


 


 


เจ้านายที่นำตัวองครักษ์ที่บาดเจ็บกลับมาช่วยรักษาอย่างหวงฝู่อี้เซวียนนั้นน้อยนัก แล้วก็เจ้านายที่ให้สัญญาว่าจะดูแลพวกเขาอย่างครอบครัวนั้นยิ่งหามีไม่ ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาซาบซึ้งใจยิ่งนัก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ แต่จากสายตาของเขา ทุกคนต่างรู้ว่าเขาก็คิดเช่นนี้


 


 


เสียงดีใจของชิงหลวนและจูหลีดังมาจากในห้อง “นายหญิง หายดีแล้วหรือเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “หายแล้ว พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“พวกข้าก็หายดีแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะกลับไปอยู่ข้างกายนายหญิงแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางเดินไปทางห้องพักฟื้นของทั้งสอง เดินถึงหน้าประตู หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยนาง ส่งสัญญาณให้สาวใช้พยุงนางเข้าไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือเบาๆ ให้สาวใช้ แล้วเดินเข้าไปเองอย่างช้าๆ


 


 


ในห้องมีเตียงสองตัวเรียงติดกัน ชิงหลวนนอนด้านซ้าย จูหลีนอนด้านขวา ทั้งสองกำลังเงยหน้า มองนางอย่างดีอกดีใจ แต่เมื่อเห็นนางค่อยๆ เดินมาที่ข้างเตียง ตาก็เริ่มแดงก่ำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าของพวกนางอย่างชัดเจน พูดพลางยิ้มว่า “เจ้าคนโง่ทั้งสอง ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่น่ะ”


 


 


ชิงหลวนกำลังจะพูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขัดขึ้นว่า “อย่าบอกว่าเป็นเพราะพวกเจ้าละเลยหน้าที่ ไม่ได้ปกป้องข้าให้ดีนะ หากไม่มีพวกเจ้าสละตัวเองมาคุ้มกันข้า ป่านนี้ข้าคงไปเจอยมบาลแล้ว”


 


 


คำพูดที่กำลังจะถูกเอ่ยของชิงหลวนก็ถูกกลืนกลับไปอีกครั้ง


 


 


สาวใช้ยกเก้าอี้มาตัวหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงข้างๆ เตียงของพวกนางทั้งสอง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วยื่นมือไปจับชีพจรของชิงหลวนครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “พื้นตัวได้ดี อีกสักสิบวัน ก็น่าจะลงจากเตียงเดินได้แล้ว”


 


 


นางหันไปกำลังจะจับชีพจรให้จูหลีต่อ จูหลีกลับไม่ยื่นมือมา เม้มปากอย่างน้อยใจ ฟ้องว่า “นายหญิง ข้าไม่เป็นอะไรตั้งนานแล้ว แต่หมอหลวงเจียงนั่นสั่งให้ข้านอนบนเตียงต่อเจ้าค่ะ”


 


 


นานๆ ทีจะเห็นท่าทีเช่นนี้ของนาง ดูท่าคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหัว ส่งสัญญาณให้นางยื่นมือออกมา


 


 


จูหลียื่นมือออกมาอย่างว่าง่าย เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นไปจับชีพจร ผ่านไปพักใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “หมอหลวงเจียงพูดถูก เจ้าควรนอนพักอีกสักพักใหญ่เลย”


 


 


 ทั้งสองถูกดาบแทงทะลุ แต่ก่อนหน้านี้จูหลีถูกฝ่ามือที่ใช้กำลังภายในของหัวหน้าชายชุดดำ อวัยวะภายในทุกส่วนถูกทำลายไม่มากก็น้อย อาการรุนแรงกว่าชิงหลวนเล็กน้อย จึงต้องพักฟื้นอีกหลายวัน


 


 


แม้แต่เมิ่งเชี่ยนโยวยังพูดเช่นนี้ จูหลีไม่มีความเห็นอะไร ยอมนอนแต่โดยดี แต่ก็พูดบ่นสองสามคำอย่างอดไม่ได้


 


 


นางพูดคุยกับองครักษ์อยู่ประมาณชั่วก้านธูป หวงฝู่อี้เซวียนเป็นห่วงนาง เขารอข้างนอกจนเริ่มร้อนรน พูดเสียงดังว่า “โยวเอ๋อร์ ถึงเวลากินยาแล้ว”


 


 


ชิงหลวนและจูหลีได้ยินก็รีบพูดขึ้นว่า “นายหญิง ท่านกลับไปทานยาก่อนเถอะ รอพวกข้าหายดีแล้วจะไปหาท่านเจ้าค่ะ”


 


 


ตอนมาเพิ่งทานยาไป นี่เพิ่งผ่านไปนานแค่ไหนเชียว ที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดเช่นนี้คงจงใจเร่งให้ตัวเองรีบกลับไปแน่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น หลังจากกำชับให้ทั้งสองพักผ่อนดีๆ จึงค่อยๆ เดินออกจากห้องไป


 


 


เมื่อก้าวออกจากห้อง หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบเข้าไปพยุงนางทันที ทั้งสองเดินกลับไปภายใต้สายตาของกัวเฟยและคนอื่นๆ


 


 


อาการของเมิ่งเชี่ยนโยวดีขึ้นเรื่อยๆ คนที่มาเยี่ยมเยียนก็มากขึ้น คู่แรกเลยคือสองสามีภรรยาเปาชิงเหอและสองสามีภรรยาเปาอีฝาน เมื่อตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวหลับอยู่ เปาฮูหยินและซุนฮุ่ยก็มาหานาง จากนั้นหมอเจียงบอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวต้องการพักผ่อนเงียบๆ ทั้งสองจึงไม่มารบกวน


 


 


เมื่อเจอกัน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เป็นอะไรมากแล้ว สภาพไม่ต่างจากปกติเลย ในใจก็รู้สึกดีใจมาก ซุนฮุ่ยกุมมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้บอกนางว่า เมื่อตอนที่นางสลบไปหลายวัน พวกเขาทั้งสองก็นอนไม่หลับเช่นกัน สิ่งเดียวที่ทำทุกวันคือรอเปาอีฝานเสร็จธุระจากจวนอ๋องแล้ว หลังจากตกดึกกลับบ้าน ถามเขาว่าเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นหรือยัง


 


 


เด็กน้อยมั่วเอ๋อร์ก็เดินไปหน้านาง เงยหน้าพูดอย่างลูกผู้ชายว่า “ท่านอา ท่านบอกข้า ใครรังแกท่าน ข้าจะไปต่อยเขาเอง”


 


 


พูดจบ ก็รูดแขนเสื้อขึ้น ทำประหนึ่งขอแค่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก ก็จะไปแก้แค้นให้นางทันที


 


 


ทุกคนหัวเราะ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขา หัวเราะและพูดว่า “ได้ รอให้มั่วเอ๋อร์โตหน่อย แล้วไปแก้แค้นให้อานะ”


 


 


ต่อมาก็คือสองสามีภรรยาฉู่เหวินเจี๋ย


 


 


ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวสลบไม่ได้สติ ฉู่เหวินเจี๋ยมาช่วยงานที่จวนอ๋องทุกวัน กลับไปก็ไม่กล้าบอกเรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยว กลัวว่านางจะตกใจจนสะเทือนไปถูกครรภ์ และยังสั่งให้ทุกคนในจวนห้ามบอกนาง จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ อาการเมิ่งเชียนโยวดีขึ้น ฉู่เหวินเจี๋ยจึงหาโอกาสบอกนาง


 


 


เฝิงจิ้งซูใจร้อนขึ้นมาทันที บอกให้ฉู่เหวินเจี๋ยส่งนางไปหาทันที


 


 


ครรภ์เจ็ดเดือนแล้ว เฝิงจิ้งซูเป็นกังวลจึงเดินเร็วขึ้น เมื่อเจอเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก แต่ก็จับเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ทันที มองนางจากหน้าไปหลัง จากบนลงล่าง พูดขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพไม่ได้บอกข้าเลยว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับเจ้า ไม่เช่นนั้นข้ามาหาเจ้าแต่แรกแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 238 ล่วงรู้

 

 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยมองนางอย่างกังวล มือสองข้างคอยประคองตัวทั้งสองข้างของนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบประคองนางไว้เช่นกัน พูดขึ้นว่า “ช้าหน่อย เจ้าจะเป็นแม่คนอยู่แล้ว ยังลุกลี้ลุกลนอย่างนี้อีก”


 


 


ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน เฝิงจิ้งซูกินอิ่มนอนหลับทุกคืน นอกจากท้องที่ขยายใหญ่ขึ้น ก็ไม่มีอาการไม่สบายเลย ลืมความตื่นเต้นและกังวลเมื่อตอนเริ่มตั้งครรภ์ไปนานแล้ว นางได้ยินดังนั้นจึงโบกมือ พูดอย่างไม่สนใจว่า “เจ้าเด็กนี่ซนจะตาย ไม่เป็นอะไรหรอก”


 


 


ฟังนางพูดไป พลางมองสีหน้ากังวลของฉู่เหวินเจี๋ยไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็เผยรอยยิ้ม พูดว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านวางใจให้น้องซูเอ๋อร์อยู่กับข้าเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้นางเป็นอะไร”


 


 


ผิวหน้าคล้ำของฉู่เหวินเจี๋ยปรากฏรอยแดงระเรื่อ พยักหน้า หันหลังเดินออกไปพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


มาถึงห้องรับแขก นั่งลง บ่าวรับใช้ยกน้ำชามาให้ จิบชาและเอ่ยปากว่า “ตอนนี้สองสามีภรรยาเฮ่อจางถูกกำจัดไปแล้ว หญิงสาวที่พวกเจ้าให้ข้าจัดแจงมาให้ปากคำก็ควรปล่อยนางกลับไปได้แล้วหรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นเขาให้องครักษ์ลับนำตัวเฉียวหมิ่นและรั่วหลานส่งให้ฉู่เหวินเจี๋ย เฉียวหมิ่นเป็นโสเภณีในค่ายทหาร ส่วนรั่วหลานก็ปล่อยให้เขาช่วยจัดการ รอให้เมื่อเก็บหลักฐานของเฮ่อจางครบแล้ว เมื่อตอนจะแก้แค้น ค่อยให้นางออกมาเป็นพยาน แต่ตอนนี้เฮ่อจางตายแล้ว เก็บนางไว้ก็ไม่มีประโยชน์ จึงพูดขึ้นว่า “ท่านน้าให้เงินเดินทางนางสักเล็กน้อย ให้นางกลับไปอำเภอชิงเหออยู่กับพ่อแม่เถอะขอรับ ส่วนเฉียวหมิ่น ขอแค่ไม่ตาย จะทรมานอย่างไรก็ได้”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า


 


 


เมื่อพระชายาฉีได้ยินว่าฉู่เหวินเจี๋ยและเฝิงจิ้งซูมาแล้ว ก็ไปห้องเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นกัน เมื่อเห็นท้องโตๆ ของเฝิงจิ้งซูก็ตกใจ แล้วจากนั้นก็พูดขึ้นอย่างดีใจว่า “โตไวจังเลย ครั้งที่แล้วที่ข้าเจอเจ้า ท้องยังไม่ใหญ่ขนาดนี้เลย”


 


 


เฝิงจิ้งซูยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านไม่เจอข้ามาหนึ่งเดือนกว่าแล้วนะเจ้าคะ ตอนนี้เด็กคนนี้โตเจ็ดเดือนกว่าแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บ พระชายาฉีก็ไม่ได้ไปหานางที่จวนแม่ทัพอีกเลย ได้ยินดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ก็จริง” จากนั้นก็รีบกำชับนางว่า “เจ้าน่ะ ช่วงนี้ระวังหน่อยนะ อย่าขยับตัวไปมาเยอะ อย่าทำอะไรที่อันตราย เดี๋ยวจะสะเทือนไปถูกลูกในครรภ์เอา”


 


 


เฝิงจิ้งซูพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


 


 


พระชายาฉียังคงไม่วางใจ พูดอีกว่า “ต้องให้สาวใช้คอยอยู่ข้างๆ เจ้าทุกที่ทุกเวลาเลยนะ หากรู้สึกไม่สบาย ส่งคนมารายงานข้าทันที”


 


 


นี่คือสายเลือดแรกของตระกูลฉู่ พระชายาฉีจึงให้ความสำคัญมาก ไม่กี่เดือนก่อนได้ยินว่าตำแหน่งครรภ์ของเผิงจิ้งซูไม่ปกติ ก็ไปที่จวนแม่ทัพคอยปรนนิบัตินางทุกวัน หากไม่ใช่เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บ คิดว่านางคงจะคอยอยู่รับใช้เฝิงจิ้งซูจนทำคลอดเสร็จ


 


 


เฝิงจิ้งซูพยักหน้า พระชายาฉีปลื้มใจ แม้น้องสะใภ้คนนี้อายุจะน้อยไปหน่อย แต่ก็รู้เรื่องและเชื่อฟัง มีแต่คนรักและเอ็นดู ถึงแม้บางครั้งจะร่าเริงไปหน่อย แต่ก็รู้ว่าอะไรควรมิควร นางพูดอย่างดีใจว่า “เจ้าคุยกับโยวเอ๋อร์ต่อเถอะ ข้าไปสั่งในครัวให้ทำอาหารให้พวกเจ้า”


 


 


“ขอบพระทัยพระชายาฉีเจ้าค่ะ” แม้จะแต่งงานมาแล้วครึ่งปีกว่า เฝิงจิ้งซูก็ยังแก้ชื่อเรียกเป็นพี่สาวไม่ได้ พระชายาฉีพูดแก้ให้หลายหนแต่ก็ไม่เป็นผล จึงปล่อยให้นางเรียกต่อไป


 


 


เมื่อพระชายาฉีออกไป เฝิงจิ้งซูก็รีบคว้ามือเมิ่งเชี่ยนโยวถามว่า “พี่บาดเจ็บตรงไหนหรือ ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมเจ้าคะ ตอนนี้ร่างกายเป็นอย่างไรบ้างแล้วเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงนางนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วจึงหัวเราะพูดขึ้นว่า “บาดเจ็บตรงท้องน่ะ ไม่เป็นอะไรมาก หายดีแล้วล่ะ”


 


 


“แล้วพี่กับซื่อจื่อยังจะแต่งงานในเดือนสิบไหมเจ้าคะ” เฝิงจิ้งซูถามต่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก ตั้งแต่ที่บาดเจ็บ ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย นางเองก็ไม่รู้จริงๆ


 


 


เฝิงจิ้งซูเห็นนางชะงักไปก็รู้ว่ายังไม่ได้คุยกัน จึงเปลี่ยนเรื่องคุย ถามนางว่าต่อไปนางต้องคอยระวังเรื่องอะไร และยังแอบกระซิบนางว่าตอนนี้ทุกครั้งที่คิดถึงตอนที่คลอดลูกก็กลัว เพราะว่าเมื่อตอนที่พี่สะใภ้ของตนคลอดลูก ใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็มถึงคลอดออกมาได้ เสียงร้องที่เจ็บปวดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วบอกนางว่า “เจ้าน่ะ ตั้งแต่ตอนนี้ไปต้องเดินออกกำลังกายอย่างพอเหมาะในจวนทุกวัน อย่ากินยาบำรุงเยอะเกินไป เวลาที่คลอดลูกก็จะไม่ทรมานขนาดนั้นแล้ว”


 


 


“ท่านแม่ทัพเข้มงวดกับข้ามากเลยเจ้าค่ะ อันนี้ก็ไม่ให้ทำ อันนั้นก็ไม่ให้แตะ ข้าเดินเร็วหน่อย เขาก็ตกใจจนหน้าซีดเผือก จะให้ข้าเดินเล่นได้อย่างไร” เสียงบ่นของเฝิงจิ้งซูปนไปด้วยความหวาน


 


 


“ตอนนั้นแม่ของท่านแม่ทัพฉู่ก็เป็นเพราะเดินไม่ระวังแล้วลื่นล้ม จึงทำให้คลอดพระชายาลำบาก ท่านแม่ทัพคงกลัวน่ะ หลังจากเจ้ากลับไปแล้ว ก็นำสิ่งที่ข้าพูดไปบอกเขา เขารู้ว่าต้องทำอย่างไร”


 


 


เฝิงจิ้งซูพยักหน้าจำคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวไว้


 


 


สุดท้ายคนที่มาเยี่ยมคือเหวินซื่อและเฝิงจิ้งเหวิน


 


 


ตั้งแต่เมื่อนายท่านเหวินกระทำโหดเ**้ยมด้วยการฆ่าแม่เลี้ยงของเหวินซื่อไป คนในจวนเหวินต่างตกใจกลัว ตอนนี้ทุกคนต่างทำแต่เรื่องของตนอย่างเคร่งครัด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ เฝิงจิ้งเหวินจึงเพิ่งรู้จากปากเหวินซื่อว่าเมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บ จึงรีบรุดมาหาทันที


 


 


สภาพของเฝิงจิ้งเหวินและเฝิงจิ้งซูต่างกันสิ้นเชิง ตอนนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวกำชับนางว่าให้นอนพักฟื้นบนเตียง สองสามเดือนมานี้ นางจึงแทบจะไม่ได้ลงจากเตียงเลย เมื่อเห็นนางตอนนี้จึงดูบวมกว่าเฝิงจิ้งซูเสียอีก นางจับมือเมิ่งเชี่ยนโยว มองรอบตัวนาง ไถ่ถามด้วยความกังวลและหลังจากยืนยันว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ พูดขึ้นว่า “ข้าเพิ่งได้ยิน ตกใจจนแขนขาอ่อนแรงไปหมดเลย อันตรายและโหดร้ายเหลือเกิน ตอนนั้นเจ้าจะเจ็บมากขนาดไหนกันนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มตอบและพูดว่า “ตอนนั้นห่วงแต่สู้กับคน ไม่รู้สึกเจ็บหรอกเจ้าค่ะ”


 


 


นัยน์ตาเฝิงจิ้งเหวินแดงก่ำ “เจ้ายังมีอารมณ์หัวเราะอีก รอยแผลใหญ่ขนาดนี้ จะไม่รู้สึกเจ็บได้อย่างไร อย่าโกหกข้าเลย ข้าไม่ใช่ซูเอ๋อร์เด็กน้อยคนนั้นที่เชื่อทุกอย่างที่เจ้าพูดนะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ” พูดจบ ก็กำชับอีกว่า “เจ้าน่ะ ดูแลร่างกายดีๆ เป็นแผลตรงท้องนี่เรื่องใหญ่นะ อย่าละเลยล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพยักหน้าตกลง


 


 


หลังจากร่วมทานมื้อเย็นกับพวกเขาสองคนแล้ว พระชายาฉีมองเหวินซื่อที่คอยพยุงเฝิงจิ้งเหวินที่ท้องโตอย่างระมัดระวัง ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “รอเวลานี้ของปีหน้า ไม่แน่โยวเอ๋อร์ก็จะเป็นแบบพวกเขาแล้วล่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก แล้วกลับมาเป็นปกติ หัวเราะและพูดว่า “เสด็จแม่ ท่านคิดเร็วไปหน่อยนะขอรับ ข้ากับโยวเอ๋อร์ยังไม่แต่งงานกันเลย”


 


 


พระชายาฉีกลับรู้สึกประหนึ่งเห็นภาพท้องโตของเมิ่งเชี่ยนโยว ยิ่งคิดยิ่งดีใจ หัวเราะและพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เห็นจะยาก อาการของโยวเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรมากแล้ว สองสามวันนี้ข้ากับเสด็จพ่อของเจ้าจะไปให้เขาหาฤกษ์ดี กำหนดวันแต่งงานของพวกเจ้าเสีย พ่อแม่โยวเอ๋อร์ก็อยู่ที่นี่พอดี เราจะได้ไม่ต้องเอิกเกริกไปสู่ขอถึงบ้านนอก”


 


 


พูดจบก็เดินไปหาอ๋องฉีอย่างมีความสุขโดยไม่รอให้ทั้งสองพูดอะไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะเอ่ยปากห้ามท่านไว้ แต่เห็นท่าทางมีความสุขของท่าน ก็กลืนคำพูดทั้งหมดกลับไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูทุกอย่างโดยไม่พูดอะไรสักคำ ยิ่งมั่นใจกับการคาดเดาที่เก็บไว้ในใจของตน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังไปพยุงนางเดินกลับไป


 


 


จริงๆ ก็ผ่านมานานแล้ว ร่างกายเมิ่งเชี่ยนโยวดีขึ้นเยอะมากแล้ว การเดินก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วางใจ คอยอยู่เคียงข้างนางตลอดเวลา เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ก็เห็นจนชินไปแล้ว


 


 


“อี้เซวียน อาการของข้าดีขึ้นมากแล้ว ข้าอยากย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน ท่านแม่กับพี่สะใภ้จะได้ไม่ต้องไปกลับอย่างนี้ทุกวัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่คอยประคองนางอยู่ก็ชะงัก ไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้ากลับแสดงให้เห็นว่าไม่พอใจ หากนางอยู่จวนอ๋อง กลางคืนเขายังสามารถอยู่เป็นเพื่อนนาง แต่ถ้านางกลับบ้าน ก็คงไม่สะดวกหากตนอยากอยู่กับนาง


 


 


เหมือนว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาคิดอะไร พูดว่า “ท่านพ่อท่านแม่มาเมืองหลวงนานขนาดนี้แล้ว ข้าไม่มีเวลาอยู่กับพวกเขาเลย หลังจากเราแต่งงานกันก็ยิ่งไม่มีเวลาให้ ข้าอยากใช้เวลาช่วงนี้อยู่กับพวกท่านมากๆ น่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อและพี่สะใภ้มาจวนอ๋องทุกวันก็จริง แต่เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียน และเมิ่งฉีทั้งสามคนกลับไม่ค่อยมา หนึ่งคือหากมาแล้วก็คงช่วยอะไรไม่ได้ สองคือทั้งสามต่างรู้สึกเกรงกลัวท่านอ๋องไม่กล้ามาบ่อยๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ค่อยได้เจอพวกเขา ที่พูดเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลดี หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้คิดเยอะ พยักหน้า “ก็ดี คืนนี้ข้าจะบอกเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้”


 


 


“แล้วก็ ชิงหลวน จูหลี และกัวเฟยกับเหวินเปียวก็กลับไปด้วยกันเถอะ หากข้าไปแล้ว พวกเขาก็คงอยู่อย่างไม่สบายใจ คนที่บ้านก็มีไม่น้อย ช่วยดูแลพวกเขาได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นอีก


 


 


พวกเขาก็ฟื้นตัวดีขึ้นเยอะแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ได้คัดค้าน


 


 


เมื่อพระชายาฉีได้ยินดังนั้น แม้จะรู้สึกอาลัย แต่เมื่อคิดว่าอีกแค่สองเดือนทั้งสองก็จะแต่งงานกันแล้ว งานการในจวนอ๋องก็ต้องตระเตรียมบ้างแล้ว จึงไม่ได้ห้ามอะไร


 


 


วันต่อมาก็ส่งเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ ด้วยความอาลัยอาวรณ์


 


 


เมื่อครั้นเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ เมิ่งซื่อพาสะใภ้ทั้งสองมาที่นี่ทุกวัน และมาคุยเล่นกับพระชายาฉีเป็นครั้งคราว อีกทั้งยังมีเด็กๆ อย่างเส้าเอ๋อร์ มั่วเอ๋อร์ และเซิ่งเอ๋อร์ พระชายาฉีรู้สึกในจวนครึกครื้นมาก แต่ตอนนี้เมื่อทุกคนจากไป จวนอ๋องก็เงียบเหงาขึ้นมาทันที ไร้ซึ่งชีวิตชีวา พระชายาฉีผู้ซึ่งคุ้นชินกับบรรยากาศครึกครื้นแล้วนั้นก็ไม่ชินกับบรรยากาศตอนนี้เลย พูดกับอ๋องฉีว่า “ดีที่เซวียนเอ๋อร์กับโยวเอ๋อร์กำลังจะแต่งงานแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องตามพวกเขากลับไปด้วยแน่ๆ ตอนนี้ในจวนเงียบเหงาเหลือเกิน”


 


 


อ๋องฉีเหลือบมองนาง ไม่ได้พูดอะไร กลับไปห้องหนังสือเงียบๆ


 


 


พระชายาฉีรู้สึกแปลก แต่เดี๋ยวนี้นางก็ชินแล้ว อะไรที่อ๋องฉีไม่ได้พูดเยอะ นางก็ไม่จี้ถาม แล้วนางก็หันหลังเดินกลับเรือนของตนเอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตามรถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวไปจนถึงบ้านของนาง เมื่อส่งนางถึงในห้องก็ไม่ได้กลับเลยทันที แต่กลับนั่งลงและอยู่คุยเป็นเพื่อนนาง


 


 


เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ วุ่นกับการดูแลชิงหลวนและคนอื่นๆ รู้ว่าพวกเขาบาดเจ็บเพราะปกป้องเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รู้สึกขอบคุณพวกเขามาก จึงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี


 


 


เหวินหู่ถูกสั่งให้เฝ้าบ้าน เมื่อรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและองครักษ์บาดเจ็บ ก็กังวลมาก แต่ไม่มีสิทธิ์ไปเยี่ยมเยียน ได้ข่าวคราวอาการของเหวินเปียวจากปากของเมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นๆ อยู่บ้าง แม้จะเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่เมื่อเห็นสภาพขาด้วนของเหวินเปียว ก็อดน้ำตาคลอเบ้าไม่ได้


 


 


เหวินเปียวทำใจยอมรับเรื่องที่ตนพิการแล้ว ตบบ่าเขา “เหลือเพียงชีวิตให้ข้าอยู่ต่อ ให้ข้ายังได้พบกับพี่น้องข้า ก็ขอบคุณฟ้ามากแล้วล่ะ ไม่มีอะไรน่าเสียใจหรอก”


 


 


เหวินหู่พยักหน้า


 


 


เหวินเป้าก็น้ำตาคลอ พี่ใหญ่ของเขาคนนี้ ถูกฟูมฟักให้เป็นผู้สืบทอดในสำนักคุ้มภัย ไม่เพียงแต่ลำบากกว่าพวกเขา แต่ยังต้องคอยแบกรับหน้าที่อันหนักอึ้งของสำนักคุ้มภัยตั้งแต่เล็ก หากไม่ใช่เพราะสำนักคุ้มภัยถูกคนใส่ร้าย ตอนนี้เขาคงเป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัยที่มีชื่อเสียงไปนานแล้ว แต่ตอนนี้…


 


 


เหวินเปียวก็ตบบ่าเขา พูดว่า “หากไม่ใช่เพราะนายหญิง เราทุกคนคงเหลือแต่กระดูกแล้ว ตอนนี้มีโอกาสคุ้มกันภัยให้นายหญิง ช่วยให้ท่านมีชีวิตรอด ข้าก็ดีใจมากแล้ว นายหญิงบอกแล้วว่าจะไม่ทิ้งพวกเราไป และยังให้พวกเราคอยคุ้มกันท่านต่อด้วย”


 


 


เหวินหู่และเหวินเป้าไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวี้ยนอยู่จนเมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียน และเมิ่งฉีกลับมาแล้ว ร่วมทานอาหารและคุยกับพวกเขาครู่หนึ่ง จึงจากไป


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็ดีใจมาก พูดว่า “พวกเราออกมาเดือนกว่าแล้ว ที่ดินและโรงงานของที่บ้านมีน้าและพี่ของเจ้าช่วยดูแลอยู่ เราอยู่อีกไม่กี่วัน ก็ควรกลับไปแล้วล่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อก็เริ่มคิดถึงบ้านแล้ว จึงพยักหน้าเห็นด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ค่อยพอใจ เกาะแขนเมิ่งซื่อพูดอ้อนว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ อยู่ต่ออีกนานหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ไม่ได้อยู่ด้วยแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันนานมากแล้วนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งซื่อตีมือนางเบาๆ “ครั้งนี้เรารีบมากัน การงานที่บ้านไม่ได้จัดแจงไว้ให้ดีเลย กลับไปครั้งนี้ ต้องย้ายของที่เจ้าต้องใช้แต่งงานมาเมืองหลวงก่อนล่วงหน้า ยังต้องไปรับท่านปู่และท่านย่ามานี่ด้วย รอพวกเจ้าแต่งงานแล้ว เราก็ไม่ยุ่งขนาดนี้แล้วล่ะ”


 


 


“เรื่องพวกนี้ให้พี่ใหญ่ พี่รองไปทำเถอะ ท่านพ่อท่านแม่อยู่ต่อเถอะนะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ยอม ยังคงอ้อนขอร้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยงอแงกับใคร แต่ครั้งนี้กลับขอร้องให้ตนกับเมิ่งเอ้ออิ๋นอยู่ต่อ เมิ่งซื่อคิดว่าคงเป็นเพราะการบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้นางเป็นเช่นนี้ จึงหัวเราะและพูดปลอบว่า “เราก็แค่บอกเจ้าไว้ก่อน อย่างไรเสียก็ต้องรอให้แผลเจ้าหายดีก่อนแล้วค่อยกลับไป”

 

 

 


ตอนที่ 239 สังหรณ์ใจ

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลอกตา รีบแสร้งโค้งตัวลงแกล้งทำเป็นปวด “โอ้ย ข้าเจ็บแผลอีกแล้ว ท่าจะยังไม่หายดีแน่ๆ ข้าคงต้องนอนบนเตียงอีกสองเดือน”


 


 


ท่าทางนางปลอมเกินไป ทุกคนดูออก เมิ่งซื่อหัวเราะแล้วใช้มือตบหลังนางเบาๆ “เจ้าเด็กนี่ โตขนาดนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กอีก”


 


 


“ไม่ว่าจะโตแค่ไหน อยู่ต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี” เมื่อถูกทุกคนจับได้ว่าโกหก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เขินอาย แต่กลับโต้กลับอย่างตรงไปตรงมา


 


 


มีเพียงเส้าเอ๋อร์เชื่ออยู่คนเดียว เขารีบเดินไปหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว เงยหน้าน้อยๆ ของตนขึ้น พูดด้วยเสียงอย่างอ่อนโยนกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ท่านอา เจ็บตรงไหนหรือขอรับ เส้าเอ๋อร์ช่วยเป่าให้ ท่านอาจะได้หายเจ็บนะขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบขันกับท่าทีของเขา ก้มหน้าลงไปหอมแก้มเขาทีหนึ่ง “มีแต่เส้าเอ่อร์นี่แหละที่ดีกับอา อาชอบเส้าเอ๋อร์ที่สุดเลย”


 


 


เส้าเอ๋อร์ทำหน้าจริงจัง พูดอย่างขึงขังว่า “เส้าเอ๋อร์ก็ชอบท่านอาที่สุดเหมือนกันขอรับ เมื่อข้าโตก็จะปกป้องท่านอาได้แล้วนะขอรับ ใครกล้ามารังแกท่านอาอีก ข้าจะต่อยเขาจนฟันร่วงหมดปากเลย”


 


 


ทุกคนต่างขบขันกับท่าทางของเขา


 


 


เมิ่งซื่อยิ้มพลางส่ายหน้า “เส้าเอ๋อร์คงได้นิสัยมาจากโยวเอ๋อร์ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายนะ”


 


 


ทั้งบ้านคุยเล่นสนุกสนานกันพักหนึ่ง แล้วจึงแยกย้ายกลับห้องตนไปพักผ่อน


 


 


วันที่สอง ฟ้าเพิ่งสว่าง หวงฝู่อี้เซวียนก็มาถึงแล้ว เขาร่วมทานอาหารเช้ากับทั้งบ้าน แล้วออกไปเดินเล่นในเรือนกับเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


รถม้าสองคันหยุดอยู่หน้าประตู จูหลานเปิดม่านเดินลงจากรถ นายประตูจำเขาได้ รีบเดินขึ้นไปพูดว่า “คุณชายจู ท่านมาแล้วหรือขอรับ”


 


 


“นายหญิงพวกเจ้าอยู่ไหม” จูหลานถาม


 


 


นายประตูพยักหน้า “อยู่ขอรับ ก่อนหน้านี้นายหญิงพักฟื้นอยู่ที่จวนอ๋องเพิ่งกลับมาเมื่อวานขอรับ”


 


 


“เจ้าไปรายงานหน่อยว่าเราทั้งบ้านมาเยี่ยมนางแล้ว”


 


 


นายประตูขานรับ รีบเดินเข้าไป


 


 


จูหลานหันไป โค้งตัวลงไป พยุงจางลี่ที่เคลื่อนไหวตัวค่อนข้างลำบากลงมาจากรถม้า พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่รีบ ช้าๆ หน่อย”


 


 


ม่านรถม้าคันหลังก็ถูกเปิดออก นายท่านจูและฮูหยินจูก็ลงมาจากรถม้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินนายประตูรายงาน ก็ดีใจรีบเดินออกไปต้อนรับ ยังไม่ทันถึงประตูก็เห็นท้องโตๆ ของจางลี่มาแต่ไกล รีบพูดขึ้นว่า “ไกลขนาดนี้ เจ้าตามมาทำไม”


 


 


จางลี่ไม่ได้สนใจว่าตนมีครรภ์อยู่ สาวเท้ายาวไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว จูหลานรีบเดินตามข้างๆ นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เร่งฝีเท้าขึ้นไปต้อนรับ


 


 


จางลี่คว้ามือนางขึ้นมา พูดอย่างกังวลว่า “หลังจากที่พวกเราได้ยินแล้ว ก็จะมาเลยทันที แต่ร่างกายข้าไม่ค่อยเอื้ออำนวย หมอบอกว่าไม่ควรเดินทางไกล ก็เลยรอจนถึงตอนนี้ ข้านี่เป็นห่วงจะแย่แล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


นายท่านและฮูหยินจูก็พาจูเสี่ยวมาถึงหน้านาง มองนางอย่างห่วงใย


 


 


“ท่านลุง ท่านป้า” เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายอย่างมีมารยาท


 


 


ทั้งสองขานรับ


 


 


“ลำบากพวกท่านทั้งสองมาถึงที่นี่ เชี่ยนโยวไม่รู้จะพูดอย่างไรเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ


 


 


“เจ้าพูดอะไรของเจ้า พวกเราควรมาตั้งแต่แรกแล้ว” ฮูหยินจูพูด


 


 


พูดจบก็กวาดตามองนางอย่างละเอียด เมื่อเห็นสีหน้านางแดงระเรื่อ ร่างกายก็เหมือนปกติ ดูดีกว่าที่ตนคิดไว้เยอะเลย จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก “พวกเราได้ยินแล้วเป็นห่วงกันแทบแย่”


 


 


“ครั้งนี้รุนแรงและอันตรายมากจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้ว ท่านทั้งสองไม่ต้องกังวลแล้วนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียน และเมิ่งฉีไปเป่ยเฉิงไม่อยู่บ้าน เมิ่งซื่อได้ยินคนรับใช้รายงาน รีบพาซุนเชี่ยนออกไปต้อนรับ นางรู้จักสองสามีภรรยาจูหลาน แต่นางเพิ่งเคยเจอพ่อแม่ของจูหลานครั้งแรก ยิ้มแล้วกล่าวทักทายว่า “อย่ามัวยืนอยู่หน้าประตูสิ เข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ”


 


 


หลังจากพาทั้งครอบครัวไปถึงห้องรับแขก ก็สั่งคนยกชาเข้ามา เมิ่งซื่อพูดว่า “ลำบากท่านทั้งสองมาเยี่ยมโยวเอ๋อร์ ข้าขอขอบคุณเป็นอย่างสูง”


 


 


ฮูหยินจูโบกมือ “ท่านเกรงใจเกินไปแล้วล่ะ แม่นางโยวเอ๋อร์เคยช่วยชีวิตเราทั้งบ้านไว้ หากไม่ใช่เพราะนาง เราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันไปนานแล้ว อย่าว่าแต่เมืองหลวงเลย จะอยู่ไกลกว่านี้เราก็ควรมาเยี่ยม”


 


 


เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตรุษจีนที่ผ่านมา เมิ่งซื่อไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมด คิดว่าฮูหยินจูหมายถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยแม่ลูกจางลี่และจูเสี่ยวไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “เราและคุณชายจูรู้จักกันมานาน หากไม่ใช่เพราะเขา การค้าบ้านเราก็คงไม่ใหญ่โตขนาดนี้ สิ่งเหล่านี้ที่โยวเอ๋อร์ทำไปเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ท่านทั้งสองมิต้องเกรงใจหรอก”


 


 


เมื่อฟังทั้งสองเกรงใจกันไปเกรงใจกันมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะ พูดว่า “ท่านแม่ ท่านป้าจู พวกเราไม่ใช่คนนอก ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้กันหรอกเจ้าค่ะ พวกท่านมาพอดีเลย เมื่อวานนี้พ่อแม่ข้าเพิ่งบอกว่าจะกลับบ้าน พวกท่านมาแล้ว พวกเขาก็จะได้อยู่ต่ออีกหลายวันหน่อย”


 


 


ฮูหยินจูก็ไม่ได้เกรงใจ พยักหน้าแล้วตอบว่า “การงานที่บ้านจัดแจงไว้เรียบร้อยแล้ว เราไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง อยู่ได้หลายวัน เพียงแต่จะรบกวนมากเกินไปหรือไม่”


 


 


“ไม่รบกวนเลยเจ้าค่ะ ข้าชอบคนเยอะ ครื้นเครงดี อาการบาดเจ็บของข้าจะได้หายเร็วขึ้นด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


จางลี่นั่งบนเก้าอี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จูหลานรีบถามว่า “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”


 


 


จางลี่ส่ายหน้า พูดตามความจริงว่า “ข้าเหนื่อยน่ะ”


 


 


ฮูหยินจูรู้สึกว่านางพูดเสียมารยาท จึงรีบอธิบายว่า “ตอนที่เรามา กลัวว่าครรภ์ของลี่เอ๋อร์จะได้รับการสะเทือน ใช้เวลาถึงห้าวันถึงมาถึงที่นี่ ลี่เอ๋อร์เหนื่อยเพราะนั่งรถม้าน่ะ”


 


 


ปกติแล้วใช้เวลาเพียงสองถึงสามวัน แต่พวกเขากลับใช้เวลาไปห้าวัน คงจะเหนื่อยแย่ เมิ่งซื่อรีบพูดว่า “ข้าไปเก็บกวาดห้องให้ลี่เอ๋อร์พักผ่อนนะ เดี๋ยวสั่งให้คนรับใช้ทำความสะอาดเรือนแยกต่างหากอีกเรือนให้พวกเจ้า”


 


 


จางลี่ขอบคุณ ลุกขึ้นยืน พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “พี่โยวเอ๋อร์ ไม่ได้เจอตั้งนาน ข้าคิดถึงพี่มากเลย พี่อยู่เป็นเพื่อนข้าหน่อยได้ไหมเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วลุกขึ้น เดินออกจากห้องรับแขกพร้อมนางและเมิ่งซื่อ ฮูหยินจูเห็นดังนั้นก็เดินตามออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียน นายท่านจู และจูหลานยังคงอยู่ในห้อง


 


 


จูหลานเอ่ยปากถามทันทีว่า “เพราะว่าเรื่องของเราทำให้เฮ่อจางมาแก้แค้นหรือเปล่า”


 


 


ตอนนี้เฮ่อจางถูกกำจัดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง


 


 


หลังจากที่ผ่านเรื่องราวครั้งที่แล้วมา จูหลานสุขุมมากขึ้น เมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพียงขมวดคิ้ว พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น คนที่มีภัยคุกคามต่อพวกเจ้าถูกกำจัดไปแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนลอบทำร้ายแล้วใช่ไหมขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “อืม” เบาๆ


 


 


จูหลานพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี หวังว่าต่อไปนางจะไม่บาดเจ็บอีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร


 


 


เรือนในจวนถูกทำความสะอาดทุกวัน ที่บอกว่าเก็บกวาด จริงๆ แล้วก็แค่นำผ้าห่มผืนใหม่มา เมิ่งซื่อและฮูหยินจูจัดการให้จางลี่เรียบร้อยด้วยความรวดเร็ว เพื่อให้นางได้นอนพักผ่อนก่อน จากนั้นทั้งสองก็พาสาวใช้ไปอีกเรือนหนึ่งเพื่อเก็บกวาด


 


 


หลังจากที่ทั้งสองจากไป จางลี่ไม่ได้นอน แต่กลับกุมมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ กวาดตามองนางอย่างละเอียด ถามเสียงเบาว่า “คนเขาว่ากันว่าพี่บาดเจ็บหนักมาก จนเกือบจะไม่มีชีวิตรอด พี่บาดเจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ”


 


 


“บาดเจ็บตรงท้องน่ะ ไม่ได้รุนแรงอย่างที่เขาว่ากันหรอก ฟื้นตัวได้ตั้งนานแล้ว เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าก็ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางปลอบนาง


 


 


จางลี่ไม่เชื่อคำพูดของนาง “ข้าไม่ใช่เด็กน้อย พี่อย่ามาโกหกข้าเลย สีหน้าของพี่ดูแย่กว่าปกติเล็กน้อย ตอนนั้นคงบาดเจ็บหนักเลย หากไม่ใช่เพราะร่างกายที่ไม่เอาไหนของข้า ข้าคงมาหาพี่แต่แรกแล้วล่ะ”


 


 


เมื่อสังเกตเห็นว่าสีหน้านางไม่ค่อยสู้ดีนัก เมิ่งเชี่ยนโยวรีบจูงมือนางนั่งลงบนเก้าอี้ ยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ อย่าคิดมากเลย อีกอย่างนะ ตอนนี้ข้าก็ยังดีอยู่ไม่ใช่หรือ” พูดจบ ก็ยื่นมือไปแตะชีพจรของนาง


 


 


จางลี่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ปล่อยให้นางตรวจชีพจรไป


 


 


“ไม่ได้เป็นอะไรมาก พักผ่อนให้มากก็พอ” ตรวจชีพจรเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น


 


 


จางลี่พยักหน้า “หมอก็พูดเช่นนี้ ท่านพี่เอาแต่ให้นอนบนเตียง ไม่กล้าขยับตัวเลย”


 


 


“ก็ไม่แปลก เสี่ยวเอ๋อร์สี่ขวบแล้ว กว่าลูกคนนี้ที่พวกเขาตั้งตารอมาถึง จะไม่คอยดูแลเจ้าอย่างระมัดระวังได้อย่างไร”


 


 


จางลี่ยื่นมือไปวางบนท้อง ลูบไปมา หน้าตาก็เผยแววความสุข “ตอนแรกที่แพ้ท้อง ข้าคิดว่าข้าคิดไปเองเสียอีก ไม่กล้าบอกคนในบ้าน กลัวว่าพวกเขาจะดีใจเก้อ ไม่คิดว่าจะมีจริงๆ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ขอแค่ให้เสี่ยวเอ๋อร์มีเพื่อนก็พอ อย่าเป็นเหมือนท่านพี่ อยู่ตัวคนเดียว เป็นอะไรขึ้นมาก็ไม่มีคนช่วย ครั้งที่แล้วหากไม่ใช่เพราะพี่โยวเอ๋อร์ เราคง…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขัดนางว่า “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่าไปพูดถึงอีกเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเจ้าต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี”


 


 


จางลี่พยักหน้า เหมือนจะพูดอะไรอีก กำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นท่าทางของนาง พูดขึ้นว่า “มีอะไรก็พูดตรงๆ มัวอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ทำไม”


 


 


จางลี่มองไปข้างนอก พูดเสียงต่ำว่า “ข้าแค่อยากถามว่า เรื่องครั้งที่แล้ว พวกพี่ปิดบังอะไรข้าหรือเปล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก แต่สีหน้ายังคงปกติ “เรื่องราวทั้งหมดก็เล่าให้เจ้าฟังแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้าถึงถามอย่างนี้ล่ะ”


 


 


จางลี่ขมวดคิ้ว “ข้ามักคิดว่าพวกพี่มีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกข้า ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมานี้ท่านพี่เปลี่ยนไปเยอะเลย ไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์ แต่พูดน้อยลงด้วย”


 


 


จูหลานเจ้าคนโง่ เมิ่งเชี่ยนโยวด่าในใจ ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มชวนสงสัย เข้าใกล้นาง กวาดไปที่ท้องของนาง ถามแหย่ว่า “เปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่ดีล่ะ”


 


 


จางลี่หน้าแดงขึ้นมาทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำสีหน้ากลับมาปกติ พูดว่า “ผ่านเรื่องร้ายแรงขนาดนี้มา ถ้าท่านพี่ของเจ้ายังไร้หัวจิตหัวใจเหมือนเมื่อก่อน ก็คงกู่ไม่กลับแล้วล่ะ นี่เป็นเรื่องดีนะ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก”


 


 


จางลี่แสดงสีหน้าสงสัย ถามทีเชื่อทีสงสัยว่า “เป็นเช่นนี้หรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอนสิ พี่โยวเอ่อร์เคยโกหกเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน”


 


 


จางลี่ไม่ได้เชื่อทั้งหมด ส่ายหน้า “แต่ข้าก็ยังรู้สึกแปลกๆ เขาไม่ได้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่…” คิดอยู่นาน แล้วพูดต่อว่า “พูดอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกับว่าทำอะไรผิดกับข้ามาน่ะ มักใช้สายตาอย่างคนสำนึกผิดมองข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวด่าจูหลานในใจอีกครั้ง กวักมือเรียกจางลี่ให้นางยื่นหูมาใกล้ๆ


 


 


จางลี่ทำตาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหวานพูดเสียงเบาว่า “เรื่องนี้ง่ายจะตาย พี่โยวเอ๋อร์ช่วยหาวิธีให้นะ รอคืนนี้เจ้า…”


 


 


ไม่ทันที่นางจะพูดจบ ไม่เพียงหน้าจางลี่เท่านั้นที่แดง แต่คอก็แดงด้วย พูดอย่างขวยเขินว่า “พี่โยวเอ๋อร์ นี่พี่…”


 


 


สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เปลี่ยนพูดขึ้นว่า “ข้าทำไมรึ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเขาเหมือนทำอะไรผิดมา ลองถามเขาช่วงจังหวะสำคัญก็จบแล้วไม่ใช่หรือ จะได้ไม่ต้องมานั่งเดาไปเองคนเดียว เหนื่อยใจเสียเปล่า”


 


 


“แต่ว่า แต่ว่า…”


 


 


ยังไม่ทันฟังจางลี่พูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขัดขึ้น “แต่ว่าอะไร นี่เป็นความรื่นรมย์ของสามีภรรยา ไม่มีอะไรต้องหลีกเลี่ยงหรอก”


 


 


จางลี่อ้าปากน้อยๆ ของนาง มองนางอย่างไม่น่าเชื่อ ผ่านไปพักใหญ่เหมือนคิดอะไรได้ ถามขึ้นทันทีว่า “พี่โยวเอ๋อร์ อย่าบอกนะว่าพี่ถูกเนื้อต้องตัวกับซื่อจื่อแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร


 


 


จางลี่พูดต่อว่า “อย่างนั้นพี่ต้องระวังหน่อยนะ อย่าให้ตั้งครรภ์ ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะมองไม่ดีเอา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก เขกหัวนางไปทีหนึ่ง “คิดอะไรของเจ้า พี่โยวเอ๋อร์ดูเป็นคนทำอะไรอย่างนั้นหรือ”


 


 


จางลี่กลับพยักหน้าอย่างจริงใจ ตอบกลับว่า “ใช่เจ้าค่ะ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง พลางยกมือขึ้นจะตีนาง จางลี่หัวเราะแล้วหลบตัว ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่มาจากใจจริงๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจเบาๆ ตั้งใจว่าอีกสักพักเมื่อมีเวลาจะคุยกับจูหลาน


 


 


น่าเสียดายที่นางไม่มีโอกาสนี้เลย เพราะหวงฝู่อี้เซวียนไม่ยอม


 


 


นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องที่นางเห็นร่างเปลือยของจูหลานจึงพะวงตลอดเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าไปหาจูหลานลับหลังเขา เพียงแค่เล่าเรื่องความรู้สึกของจางลี่และเรื่องที่ตนอยากพูดไกล่เกลี่ยกับจูหลานให้เขาฟัง แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังคงไม่ยอมให้นางเจอจูหลานเพียงลำพัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ขอร้องเขา “อย่างนั้นเจ้าไปพูดโน้มน้าวเขาแล้วกัน อย่าทำให้พวกเขาสองสามีภรรยาแตกหักกันเพราะเรื่องนี้เชียวล่ะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)