ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 23.1-25.2

ตอนที่ 23-1 พบหมาบ้า

 

หลิวลี่ยืดตัวขึ้นนั่งอย่างช้าๆ นางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาขมขื่นปนเคียดแค้น “สี่ปีที่แล้วท่านลุงของข้าหาบ้านสามีที่ดีในเมืองหลวงให้ข้าได้ครอบครัวหนึ่ง แม้ว่าจะต้องเข้าไปในฐานะอนุแต่ก็ถือว่าเป็นอนุของคนชั้นสูง ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่หรือการใช้ชีวิตอีก แต่เป็นเพราะเจ้า…” พูดถึงตรงนี้นางก็ยกนิ้วชี้ไปที่หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแผดเสียงตะโกนดังลั่น “เป็นเพราะเจ้าสั่งคนให้มาทำร้ายข้าจนฟันข้าหลุดไปซี่หนึ่ง คืนแรกที่เข้าประตูจวนไปข้าก็ถูกขุนนางพวกนั้นโกรธจนทุบตีข้าเกือบตาย หากไม่ใช่ว่าพวกเขายังเห็นแก่หน้าของท่านลุงข้าอยู่บ้าง ป่านนี้ข้าคงกลายเป็นศพไปนานแล้ว น่าสงสารก็แต่ข้าที่ถูกทุบตีจนไม่เหลือสภาพดี ถูกโยนทิ้งไว้ข้างถนนราวกับเป็นขยะ หากไม่ใช่เพราะมีคนใจดีผ่านมาแล้วพาข้าไปส่งที่โรงหมอ ใช้เครื่องประดับทั้งหมดบนตัวแลกกับค่ายา ข้าคงได้นอนตายอยู่ในตรอกตรงไหนสักแห่งไปจริงๆ หลังจากที่อาการบาดเจ็บของข้าหายดี ข้าก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวไม่มีที่ให้กลับ ได้แต่อาศัยถนนเป็นที่พักพิงขอทานไปวันๆ ทุกวันต้องถูกคนที่เดินผ่านไปมาดูถูกเหยียดหยามนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น! วันนี้ต้องขอบคุณที่สวรรค์มีตาให้ข้าได้มาเจอเจ้าอีกครั้ง ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก ข้าก็จะให้เจ้าได้ฉิบหายตามไปด้วย ให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงได้รู้กันไปเลยว่าสตรีอย่างเจ้ามันชั่วช้าอำมหิตมากแค่ไหน”


 


 


ทันใดนั้นเอง เสียงถกเถียงพูดคุยกันของผู้คนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่โดยรอบก็ทยอยดังขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รีบร้อนลนลาน นางใช้น้ำเสียงที่สงบมั่นคงสยบตอบกลับไป กล่าวให้ทุกคนได้ยินโดยทั่วกันว่า “สี่ปีที่แล้วเจ้าใช้อำนาจของลุงเจ้าพาคนมาหาเรื่องข้าถึงหน้าประตูบ้าน ยั่วยุข้านับครั้งไม่ถ้วน แต่ข้าก็ยังทำเป็นหลับหูหลับตาปล่อยผ่านไปไม่คิดติดใจเอาความ อย่างไรก็ตาม คนอย่างเจ้ากลับไม่ได้สำนึกสักนิด ยังคงพาคนมารังควานข้าไม่เลิกรา สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ ตัวเองหกล้มฟันหักไปหนึ่งซี่ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กลายมาเป็นสภาพแบบนี้ในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากเจ้าทำตัวเองทั้งนั้น เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย? วันนี้เจ้าแหกปากร้องปาวๆ ต่อหน้าผู้คนว่าข้าเป็นคนทำร้ายเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะขอพูดซ้ำอีกครั้ง เห็นแก่ที่เจ้าน่าสงสารข้าจะไม่เอาความกับเจ้าในครั้งนี้ แต่หากมีครั้งหน้าอีก ข้าจะให้คนไปตัดเส้นเอ็นที่ข้อมือและข้อเท้าของเจ้าเสีย จากนั้นก็จับเจ้าโยนออกนอกเมืองหลวงไป ให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าอะไรคือความทรมานที่แท้จริง”


 


 


ได้ยินนางพูดถ้อยคำโหดร้ายออกมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายไม่แยแส ผู้คนที่รอชมเรื่องสนุกอยู่โดยรอบก็พลันตวัดสายตามองมาทางนางด้วยความตื่นตระหนกเป็นตาเดียว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้คนมองพิจารณาตนเองตามอำเภอใจ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วขึ้น เดินเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆ หญิงสาวก่อนจะพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าจะถือสาหาความกับคนประเภทนี้ไปไย มีแต่เป็นการลดฐานะตัวเองให้ตกต่ำลง ข้าว่าเลิกสนใจนางเถอะ หรือหากเจ้าไม่อยากเห็นหน้านางจริงๆ ข้าจะสั่งให้คนมาโยนนางออกไปจากเมืองหลวงเอง”


 


 


หลิวลี่รู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหูอยู่ไม่น้อยจึงได้เหล่ตาขึ้นไปมองทางหวงฝู่อี้เซวียนอย่างพิจารณา และเมื่อนึกออก นางก็เปล่งเสียงร้องอุทานออกไปด้วยความตะลึงงันว่า “เจ้าคือไอ้หนุ่มหน้าขาวที่บ้านเมิ่งรับเลี้ยงไว้?”


 


 


ทันทีที่สิ้นคำร่างของหลิวลี่ก็บินออกไปอีกครั้ง


 


 


คนที่มุงดูอยู่ต่างพากันร้องอุทานเป็นเสียงเดียว


 


 


กัวเฟยถอนเท้ากลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ตะโกนด่าออกไปว่า “บังอาจใช้วาจาหยาบคายเช่นนี้ต่อซื่อจื่อแห่งจวนอ๋อง เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ”


 


 


ร่างของหลิวลี่บินออกไปไกลมาก ก่อนจะร่อนลงกับพื้นอย่างแรง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนสักนิดว่านางจะเป็นหรือตาย เพียงพูดออกไปว่า “ไปกันเถอะ อย่าไปสนใจนางอีกเลย”


 


 


จะมีก็แต่เถ้าแก่ร้านนี่แหละที่ใบหน้ามืดครึ้มไปทั้งแถบแล้ว เขาอุตส่าห์ใจดีมีเมตตาให้ของเหลือแก่ขอทานเหล่านี้ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งพวกมันจะมาขี่หัวล่วงเกินนายท่านของเขาเข้า ในใจพลันทั้งนึกเสียใจแล้วก็คับแค้นใจในเวลาเดียวกัน จึงหันไปกวักมือเรียกพนักงานคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ประตูให้เข้ามาหา แล้วสั่งความลงไปว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่อนุญาตให้นำของเหลือไปให้ขอทานพวกนี้อีก หากว่าเจ้าเห็นขอทานคนไหนมาเดินด้อมๆ มองๆ อยู่แถวหน้าประตูเหลาจวี้เสียน ก็ให้ไล่ไปให้หมด”


 


 


พนักงานขานรับไปคำหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินจากไป ขอทานสองสามคนก็เบียดเสียดวิ่งเข้ามาจากในระยะไกล


 


 


ขอทานคนนั้นวิ่งมาหยุดอยู่ต่อหน้าของเถ้าแก่ร้าน โค้งหัวปลกๆ พลางพูดว่า “ขอเถ้าแก่อย่าได้มีโทสะ นังผู้หญิงน่าตายผู้นั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบังอาจไปล่วงเกินนายท่านเข้า ข้าจะเรียกคนให้มาลากตัวมันกลับไปเดี๋ยวนี้ รับรองว่าจะสั่งสอนให้ดีไม่ให้มาก่อความเดือดร้อนอีก ขอเถ้าแก่ท่านมีเมตตาอย่าได้เอาของเหลือพวกนั้นกลับไปเลย อย่าได้ตัดหนทางรอดของพวกเราเลย พวกเรายังต้องอาศัยมันเพื่อประทังชีวิตอยู่ต่อไปนะขอรับ”


 


 


ขอทานเหล่านี้มาขออาหารที่นี่ได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว เถ้าแก่เองก็รู้ว่าขอทานคนนี้เป็นหัวหน้าของบรรดาขอทานทั้งหมดที่อาศัยอยู่ระแวกนี้ จึงชักสีหน้าพูดตอบไปด้วยความตรงไปตรงมาว่า “ข้าใจดีให้ของเหลือกับพวกเจ้า หวังก็เพื่อในทุกวันพวกเจ้าจะได้มีอาหารเติมท้องไม่ต้องทนหิวโหย ผู้ใดจะคิดเล่าว่าความใจดีของข้าจะนำพามาซึ่งหายนะอย่างเช่นในวันนี้ โชคดีที่นายท่านท่านนั้นมิได้ติดใจเอาความ มิได้พาลพาโลโกรธมาถึงตัวข้าด้วย ไม่อย่างนั้นตำแหน่งของข้าในเหลาจวี้เสียนคงไม่อาจรักษาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ไหนเลยจะยังอนุญาตให้พวกเจ้ามาขอทานที่นี่ได้อีก”


 


 


ขอทานคนนั้นพยักหน้าติดกันหลายครั้งและโค้งคำนับให้อย่างรุนแรง “เถ้าแก่ท่านวางใจได้ ข้ารับรองว่าเหตุการณ์อย่างเช่นวันนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปท่านจะไม่เห็นหน้านังผู้หญิงน่าตายผู้นั้นอีกแล้ว แน่นอนว่าจะไม่มีใครกล้ามาสร้างปัญหาให้ท่านถึงหน้าประตูอีกเช่นกัน ขอท่านโปรดเมตตาเก็บคำสั่งกลับไปด้วยเถิด”


 


 


มีของเหลือมากมายอยู่ในเหลาจวี้เสียนทุกวัน และมันก็เกินพอที่จะเลี้ยงขอทานในพื้นที่นี้ทั้งหมด หากเถ้าแก่ร้านขับไล่พวกเขาไปจริงๆ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปขอทานที่ไหน ไม่รู้ว่าจะมีขอทานอีกกี่คนที่ต้องกลับมาทนหิวโหยในทุกๆ วัน กลับมาต่อสู้แย่งอาหารกันราวกับสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งในฐานะของหัวหน้าอย่างเขาย่อมไปปรารถนาให้เกิดภาพเช่นนี้ขึ้น ดังนั้นแล้วแม้จะเป็นเพียงหัวหน้าของกลุ่มขอทานเล็กๆ เขาจึงพยายามพูดให้เถ้าแก่เห็นใจมากที่สุดและขอร้องให้อีกฝ่ายเก็บคำสั่งนั้นกลับไป


 


 


นี่เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างนางกับหลิวลี่ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากพาลใส่ขอทานพวกนี้จึงได้พูดกับเถ้าแก่ร้านไปว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นความบังเอิญอย่างแท้จริง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับขอทานเหล่านี้เลย ท่านก็อย่าได้กล่าวโทษพวกเขา เถ้าแก่ปกติให้อาหารที่เหลือกับพวกเขาอย่างไรก็ปฏิบัติไปตามเดิมเถิด”


 


 


ในเมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นฝ่ายออกปากเอง เถ้าแก่ร้านก็ไม่ขัดข้อง เขาขานรับอย่างเชื่อฟังก่อนจะหันไปพูดกับหัวหน้าของกลุ่มทานด้วยเข้มว่า “ในเมื่อนายท่านช่วยพูดแทนพวกเจ้า ข้าก็จะเก็บคำสั่งนั้นกลับไป อีกหน่อยพวกเจ้าสามารถมารับของเหลือที่นี่ได้ทุกวันเวลาเดิม อย่างไรก็ตามจำคำที่เจ้ารับปากข้าเอาไว้ให้ดี หากเกิดเรื่องล่วงเกินนายท่านเข้าอีก อีกหน่อยก็อย่าได้หวังว่าจะเข้าใกล้ประตูเหลาจวี้เสียนได้อีกเลย”


 


 


“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณเถ้าแก่ร้านขอรับ” หัวหน้าของกลุ่มทานกล่าวขอบคุณพวกเขาด้วยความนอบน้อม


 


 


เถ้าแก่ร้านโบกมือให้


 


 


จากนั้นหัวหน้าขอทานคนนั้นก็หันไปสั่งขอทานที่เหลือทันทีว่า “พวกเจ้ายังมัวรีรออะไรอยู่ รีบไปลากนังผู้หญิงน่าตายคนนั้นออกไปเดี๋ยวนี้”


 


 


ขอทานหลายคนก้าวขึ้นไปข้างหน้าและลากหลิวลี่ที่นอนไม่ขยับอยู่บนพื้นออกไป


 


 


ชายที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มขอทานรออีกสักพักก่อนจะเดินตามไปทีหลัง


 


 


เหล่าบรรดาคนมุงทั้งหลายหลังจากที่เห็นว่าไม่มีเรื่องตื่นเต้นให้ดูอีกก็ทยอยแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ฉากละครในวันนี้กลายเป็นเรื่องสนุกปากให้หลายคนได้นำไปถกเถียงเล่าสู่กันฟัง


 


 


เถ้าแก่ร้านปาดเหงื่อเม็ดโป้งที่ผุดซึมขึ้นมาบนหน้าผาก กำลังจะโค้งตัวกล่าวขอโทษคนทั้งสองที่ได้ล่วงเกินไป


 


 


แต่เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษ พวกเราไปดูร้านกันดีกว่า”


 


 


หลังจากกล่าวขอบคุณ เถ้าแก่ร้านก็พาคนทั้งสองไปที่ร้านขายผลไม้ตากแห้งที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม


 


 


มีป้ายประกาศขายติดอยู่ที่หน้าประตูร้านขายผลไม้ตากแห้ง แต่มันถูกบานประตูถูกบังไว้อยู่


 


 


หลังจากเถ้าแก่ร้านเปิดประตูออกแล้ว เขาก็ตะโกนเข้าไปข้างในด้วยเสียงดังว่า “มีใครอยู่ไหม? ออกมาหน่อย พวกเราอยากเข้าไปดูข้างในร้านหน่อย”


 


 


ชายชราในวัยห้าสิบคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังร้านทันที หลังจากได้ยินเสียงร้องตะโกนและเห็นว่าเป็นเถ้าแก่ตู้ที่ยืนอยู่หน้าประตู เขาก็ยิ้มต้อนรับไปด้วยความสดใสแล้วถามว่า “เถ้าแก่ตู้ ท่าน…?”


 


 


“เถ้าแก่หลี่ นายท่านทั้งสองท่านนี้วันนี้เข้ามาถามข้าว่ามีร้านค้าไหนที่ไม่ได้ใช้งานอยู่ใกล้ๆ บ้างหรือเปล่า ข้ารู้ว่าท่านกำลังจะขายร้าน ดังนั้นจึงได้แนะนำทั้งสองท่านให้มาที่นี่”


 


 


หลังจากเถ้าแก่หลี่กล่าวขอบคุณเขาแล้วก็ใช้สายตาอันปราดเปรื่องมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนหนึ่งที สายตาพิจารณากวาดมองคนทั้งสองไปรอบหนึ่งแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เชิญท่านทั้งสองเข้ามาดูได้ตามสบาย ไม่รู้ว่าร้านข้าจะเข้าตาพวกท่านไหม”


 


 


ภายใต้การนำของเถ้าแก่หลี่ หลายคนสำรวจดูทั้งภายในและภายนอกร้านอย่างระมัดระวัง เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าติดกันหลายครั้งด้วยความพึงพอใจ นางกล่าวว่า “ไม่เลวเลย ไม่ทราบว่าร้านนี้ท่านต้องการขายในราคาเท่าไหร่?”


 


 


เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เขาติดประกาศขาย และแม้จะมีคนจำนวนมากเข้ามาดูที่ร้าน แต่กลับมีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่แสดงออกว่าสนใจร้านนี้ เถ้าแก่หลี่รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามเกี่ยวกับราคา แต่ด้วยฟังออกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีความตั้งใจจะซื้อ เขาก็ดีใจมากแล้วรีบตอบกลับไปว่า “ร้านของข้านี้อยู่ในย่านที่เจริญที่สุดในเมืองหลวง ดังนั้นราคาจึงสูงกว่าที่อื่นค่อนข้างมาก ข้าตั้งใจว่าจะขายในราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเงิน อย่างไรก็ตามเนื่องจากที่บ้านข้าเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย จำเป็นต้องรีบใช้เงินด่วน ประกอบกับพวกท่านเป็นแขกที่เถ้าแก่ตู้แนะนำมา เห็นแก่ความเป็นสหายเก่า ข้าสามารถลดให้ท่านได้เหลือห้าพันตำลึงเงิน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เถ้าแก่


 


 


เถ้าแก่พยักหน้าให้เป็นสัญญาณบอกว่าราคานี้สมเหตุสมผล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตกลงในทันที “ได้ ตกลงตามนี้ อิงราคาที่ท่านบอกข้าเมื่อสักครู่ ร้านนี้ข้าซื้อแน่แล้ว เพียงแต่วันนี้ข้าไม่ได้นำตั๋วเงินติดตัวมาด้วยมากขนาดนั้น ไว้พรุ่งนี้เช้าข้าจะกลับมาใหม่ พวกเราไปที่จวนที่ว่าการด้วยกัน จัดการขั้นตอนทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยในทีเดียวเลย”


 


 


เถ้าแก่หลี่ไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้าจะใจถึงและตรงไปตรงมาได้ขนาดนี้ จึงชะงักไปชั่วครู่ แต่พอเรียกสติกลับมาได้เขาก็หัวเราะเสียงดังแล้วพูดออกไปว่า “ได้ พรุ่งนี้เช้าข้าจะรอแม่นางมาหา”


 


 


หลังจากพูดจบ เขาก็อดไม่ได้ตวัดสายตาขึ้นไปมองพิจารณานางอีกสองสามที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาพิจารณาของเขา เดินออกจากร้านไปพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนและเถ้าแก่ตู้ เดินไปจนถึงหน้าประตูทางเข้าเหลาจวี้เสียน 

 

 


ตอนที่ 23-2 พบหมาบ้า

 

เถ้าแก่หลี่เฝ้าดูพวกเขาจนเห็นว่าอีกฝ่ายเดินจากไปไกลแล้วจึงถอดป้ายประกาศขายที่ติดอยู่ที่ประตูหน้าร้านออก จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในร้านอย่างอารมณ์ดี


 


 


เนื่องจากว่ากิจธุระที่มาติดต่อในวันนี้สำเร็จลุล่วงลงไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ได้เดินเข้าไปในเหลาจวี้เสียนอีก หลังจากหันกลับไปทักทายเถ้าแก่อีกสองสามประโยค เมิ่งเชี่ยนโยวก็เตรียมพร้อมขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับจวนของตนเอง


 


 


จู่ๆ มือของหวงฝู่อี้เซวียนก็ยื่นออกมาหยุดนางไว้ “วันนี้ข้าว่างไม่มีอะไรทำ ไปเดินเล่นรอบๆ เมืองหลวงเป็นเพื่อนเจ้าดีไหม? จะได้ซื้อของขวัญให้เจ้าด้วย”


 


 


คิดว่าในอนาคตคงต้องลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวงแน่แล้ว การทำความเข้าใจวิถีชีวิตของคนชาวเมืองหลวงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น ดังนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงพยักหน้าไปอย่างเห็นด้วย


 


 


ทั้งสองคนทิ้งรถม้าเอาไว้ด้านหลัง เดินไปตามถนนที่พลุกพล่านอย่างเป็นกันเอง ทำตัวเหมือนกับเป็นชาวบ้านทั่วไป


 


 


กัวเฟยยังคงติดตามอยู่ด้านหลังพวกเขาไม่ห่าง


 


 


เหวินเปียวลงมาจูงรถม้าตามหลังไปอีกต่อ


 


 


เนื่องจากเมืองหลวงเป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางระดับสูงและเจ้านายมากมาย คณะของพวกเขาที่มีคนเพียงไม่กี่คนจึงไม่ได้เป็นที่ดึงดูดสายตาของใคร


 


 


ทั้งสองคนเดินไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าร้านขายเครื่องประดับแห่งหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้น “เข้าไปดูข้างในกันเถิด ดูว่ามีชิ้นไหนถูกใจเจ้าไหมเดี๋ยวข้าซื้อให้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ปฏิเสธและเดินเข้าไปในร้านพร้อมกับเขา


 


 


พนักงานที่เฝ้าร้านอยู่เห็นว่าทั้งสองคนแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรา ฝั่งหญิงสาวดูสง่างดงาม ฝั่งบุรุษเองก็สูงศักดิ์ไม่ธรรมดา เห็นว่าต้องเป็นลูกค้ารายใหญ่แน่ๆ จึงได้รีบปรี่เข้าไปทักทายด้วยความกระตือรือร้น


 


 


นี่คือร้านขายเครื่องประดับที่หรูหราเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง เครื่องประดับส่วนใหญ่ในร้านนี้เกินกว่าครึ่งถูกตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งนั้น และด้วยลูกเล่นที่แปลกใหม่บวกกับการออกแบบที่ไม่ธรรมดา มูลค่าของเครื่องประดับแต่ละชิ้นจึงไม่เบาเลย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับอิทธิพลจากประกายระยิบระยับแทบทำให้ผู้คนตาบอดเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย ยังคงมองดูเครื่องประดับที่ถูกจัดตั้งอยู่บนชั้นวางอย่างใจเย็น สีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง


 


 


เถ้าแก่เจ้าของร้านขายเครื่องประดับเปิดกิจการมาได้หลายปีแล้ว เพราะแบบนั้นแววตาของเขาจึงคมกริบนัก เห็นว่าคนทั้งสองไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์ธรรมดาๆ เขาจึงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง พร้อมกล่าวแนะนำอย่างกระตือรือร้นว่า “เครื่องประดับในร้านของเราถูกประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตโดยช่างฝีมือชั้นครู ใช้เวลาร่วมหลายเดือนทีเดียวกว่าจะทำเสร็จแต่ละชิ้น นอกจากนี้แต่ละแบบจะมีอยู่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ไม่มีซ้ำกันแน่นอน ดังนั้นแม่นางท่านสามารถเลือกได้อย่างวางใจ แต่หากว่าตรงนี้ยังไม่มีชิ้นไหนที่ถูกใจท่าน ก็สามารถแจ้งความต้องการของท่านกับทางเราได้ พวกเรารับรองว่าจะตีออกมาได้ถูกใจท่านอย่างแน่นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแต่เดิมยังไม่ได้สนใจเครื่องประดับมากนัก เพียงแค่ต้องการอยากจะเดินดูไปเรื่อยๆ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่เถ้าแก่พูดมาเมื่อสักครู่ นางก็เริ่มสนใจมันขึ้นมาบ้างแล้ว สายตากวาดมองเครื่องประดับแต่ละชิ้นในชั้นวางอย่างละเอียด หลังจากเดินผ่านมาหลายชั้นแล้วพบว่าไม่มีชิ้นไหนที่มีรูปแบบเหมือนกันเลยจริงๆ ก็อดไม่ได้แอบยกย่องร้านเครื่องประดับแห่งนี้ในใจ สามารถจัดการร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งให้มีกฎเกณฑ์รูปแบบได้ขนาดนี้ ชื่อเสียงในเมืองหลวงคงไม่ธรรมดาแน่ๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามหลังนางไปอย่างเงียบๆ


 


 


เมื่อเห็นว่าไม่มีชิ้นไหนที่เหมาะกับนาง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเงยหน้าขึ้นแล้วหันกลับไปมองทางหวงฝู่อี้เซวียน เห็นเพียงแต่ว่าเขาในตอนนี้กำลังจ้องไปที่เครื่องประดับชิ้นหนึ่งบนชั้นวางอย่างใจจดใจจ่อ จึงได้ชะโงกหน้าเข้าไปดู อยากรู้ว่าเขาถูกใจชิ้นไหน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกมือขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ปิ่นผีเสื้อบนชั้นวางแล้วพูดออกไปว่า “เอาออกมาให้ข้าดู”


 


 


เถ้าแก่ร้านหยิบปิ่นผีเสื้อออกมาด้วยตัวเอง ก่อนจะวางมันลงตรงหน้าเขาอย่างระมัดระวังพร้อมกับพูดว่า “นายท่านช่างตาแหลมยิ่งนัก ปิ่นทองอันนี้ช่างฝีมือของพวกเราใช้เวลาขัดเงาและตีนานถึงสามเดือนก่อนจะประดิษฐ์ออกมาได้ เพิ่งนำขึ้นชั้นวางเมื่อวานนี้เองขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยิบปิ่นทองขึ้นมา ทำท่าเป็นส่งสัญญาณบอกว่าไม่ให้เมิ่งเชี่ยนโยวขยับก่อนจะปักปิ่นทองไปบนผมของนางด้วยท่าทีเงอะงะ


 


 


ผิวของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นทั้งขาวทั้งสวยมาก เครื่องหน้าเองก็งดงามจับตา ยิ่งใส่เครื่องประดับเสริมเข้าไปก็ยิ่งทวีความงามให้กับหญิงสาวจนเรียกได้ว่างามไปทั้งตัวแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหันมองซ้ายทีขวาที ยิ่งมองก็ยิ่งถูกใจ ยิ่งมองก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น จึงเปิดปากพูดไปโดยไม่ลังเลเลยว่า “ข้าเอาปิ่นทองอันนี้แหละ”


 


 


เถ้าแก่ดีใจมาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบกระจกทองแดงขึ้นมาส่องใกล้ๆ รู้สึกว่าปิ่นทองอันนี้เหมาะกับตนมากจริงๆ จึงไม่ได้คัดค้าน เพียงยิ้มแล้วถามเถ้าแก่ออกไปว่า “ปิ่นทองอันนี้ราคาเท่าไหร่?”


 


 


“ห้าพันตำลึงเงินขอรับ ไม่มีต่อรอง”


 


 


มือที่กำลังสัมผัสปิ่นทองอยู่ของเมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไปชั่วครู่หลังจากที่ได้ยิน


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขัดขึ้น “ห่อมันให้ข้า อีกเดี๋ยวไปรับเงินที่จวนอ๋องฉี”


 


 


เถ้าแก่ร้านชะงักไปแล้วถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ “คุณชายท่านคือ…”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวว่า “เจ้าไปหาพ่อบ้านจวนอ๋องฉี บอกว่าซื่อจื่อผู้นี้มาซื้อเครื่องประดับให้หญิงในดวงใจที่ร้านเจ้าแต่ไม่ได้พกตั๋วเงินมาด้วย เดี๋ยวเขาจะให้เงินกับเจ้าเอง”


 


 


เถ้าแก่ร้านเมื่อได้รู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้คือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีก็รีบถอยออกมาจากด้านหลังชั้นวางทันที เข้ามาคุกเข่าคารวะอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง “ผู้น้อยไม่ทราบว่าซื่อจื่อให้เกียรติมาเยือนถึงร้าน หากมีตรงไหนเผลอล่วงเกินท่านไปขอซื่อจื่อโปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือแล้วบอกให้เถ้าแก่ลุกขึ้น “ข้าก็แค่มาเดินเล่นซื้อเครื่องประดับเป็นเพื่อนโยวเอ๋อร์ เถ้าแก่ไม่จำเป็นต้องพิธีการถึงขนาดนี้ เจ้ารีบห่อปิ่นทองให้ข้าเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะพาโยวเอ๋อร์ไปซื้อของที่อื่นต่อ”


 


 


เถ้าแก่ร้านเช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก กำลังจะเดินเข้าไปที่หลังชั้นวางเพื่อห่อปิ่นทองให้กับเขา


 


 


แต่ในทันใดนั้นเองสตรีนางหนึ่งในชุดอาภรณ์หรูหราใส่เครื่องประดับเต็มยศก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับสาวใช้หลายคนที่ล้อมอยู่รอบตัว


 


 


เถ้าแก่ร้านเมื่อได้เห็นก็กระวีกระวาดออกมาต้อนรับ “ฮูหยินท่านมาแล้ว วันนี้ร้านของข้าน้อยมีเครื่องประดับใหม่ๆ เข้ามาเยอะมากเลยขอรับ เชิญท่านนั่งรอทางนี้สักครู่ ประเดี๋ยวข้าน้อยจะนำมาแสดงให้ท่านดู”


 


 


สตรีสูงศักดิ์บิดเอวของนาง ขณะกำลังจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งไว้อีกด้าน เท้าของนางก็เป็นอันต้องชะงักเมื่อสายตาเลื่อนขึ้นไปเห็นหวงฝู่อี้เซวียน นางหยุดลงชั่วครู่ ปรับเปลี่ยนการแสดงออกบนใบหน้าก่อนจะเดินเข้าไปทักทายเขาอย่างมีมารยาท “ซื่อจื่อ!”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้เล็กน้อย “ฮูหยินใหญ่”


 


 


ฮูหยินใหญ่มองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่งจากนั้นก็เดาตัวตนของนางได้ในทันที มือยกขึ้นปิดปากแล้วแสยะยิ้ม วาจากระแนะกระแหนดังออกไปว่า “นี่คงเป็นแม่นางท่านนั้นที่ถูกซื่อจื่อรับเข้าจวนมากระมัง? ข้าได้ยินมานานแล้ว คิดอยู่ว่าเป็นผู้หญิงแบบไหนกันนะถึงได้ล่อล่วงท่านได้ ทำให้ท่านที่ไม่เคยสนใจชายตาแลอิสตรีนางใดเลยยอมแหกกฎของถึงขั้นสร้างเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนั้น ที่แท้ วันนี้พอได้มาเห็นตัวจริง มันก็แค่นี้เอง? นางยังสวยได้ไม่เท่าครึ่งของสาวใช้ข้าด้วยซ้ำ”


 


 


สาวใช้ด้านหลังพากันหัวเราะเยาะนางอย่างให้ความร่วมมือ


 


 


หลังจากคำพูดนี้ตกลงไปสีหน้าหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดิ่งฮวบลงอย่างอันตราย กลิ่นอายแห่งความโกรธเข้าครอบคลุมทั่วร่างทันที


 


 


เถ้าแก่ร้านตอนนี้หวาดกลัวมากจนเหงื่อซก ฮูหยินใหญ่ผู้นี้ทุกทีก็ดูเป็นคนอ่อนโยนมีน้ำใจและมีมารยาทอยู่หรอก ไฉนวันนี้ถึงได้พูดจายั่วยุซื่อจื่อออกไปแบบนั้น แล้วแบบนี้หากซื่อจื่อโมโหขึ้นมาจะไม่พาลพังร้านเล็กๆ นี้ของเขาไปด้วยเหรอ


 


 


การแสดงออกของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด นางเพียงยื่นมือออกไปห้ามหวงฝู่อี้เซวียนไว้ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกที่ในเมืองหลวงล้วนดีหมด เสียก็แต่หมาบ้าเยอะไปหน่อย สามารถพบพวกมันได้ทุกที่”


 


 


กัวเฟยแทบหลุดพ่นเสียงหัวเราะออกมา ในใจทั้งปรบมือทั้งตะโกนชมเมิ่งเชี่ยนโยวว่าเยี่ยมติดๆ กันหลายครั้ง กล้าเปรียบเทียบลูกสะใภ้คนโตของจวนท่านเสนาบดีเป็นหมาบ้า ในเมืองหลวงมีคุณหนูของเขานี่แหละเป็นคนแรก


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนผ่อนคลายลงมาก ความโกรธของเขาค่อยๆ จางหายไป ชายหนุ่มหันมาพูดกับนางเบาๆ “เห็นทีหลายวันนี้คงต้องหาเวลาเข้าวังไปยื่นฎีกาต่อเสด็จลุงหน่อยแล้ว ให้เขาช่วยส่งคนมาทำความสะอาดให้หน่อย เผื่อเจ้าจะได้ไม่ต้องรำคาญหากต้องเห็นมัน”


 


 


คำพูดของเขาเพิ่งจบลงไป เสียงแหลมของฮูหยินใหญ่ก็ดังขึ้น “เจ้าว่าใครเป็นหมาบ้า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มและตอบกลับไปว่า “ใครรับก็คนนั้นแหละที่เป็น เรื่องแค่นี้ท่านยังไม่รู้อีกเหรอ?”


 


 


ฮูหยินใหญ่โกรธมาก นางชี้ไปที่หน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวและเริ่มสาปแช่ง “นังเด็กสมควรตาย อย่าคิดนะว่าเจ้าปีนเตียงซื่อจื่อแล้วจะได้เป็นพระชายาซื่อจื่อ เจ้าก็เป็นได้แค่อนุ เป็นได้แค่นางบำเรอเท่านั้นแหละ คนเขามีคู่หมั้นคู่หมายที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เจ้าไม่มีทางได้แต่งให้เขาอย่างแน่นอน เจ้าน่ะมันก็เป็นได้แค่ของเล่น รอเขาเบื่อเมื่อไหร่แม้แต่หมาบ้าเจ้าก็ยังเทียบไม่ติด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ยังคงยิ้มและตอบโต้กลับไปด้วยความสงบ “ข้าเทียบกับหมาบ้าเช่นท่านไม่ติดจริงๆ นั่นแหละ ในที่สาธารณะแบบนี้ยังทำเรื่องหมื่นฐานะของตัวเองออกมาได้ ไม่ต่างอะไรกับหญิงหม้ายสามีตายเลย”


 


 


ฮูหยินใหญ่จุกจนพูดไม่ออก โกรธมากจนสั่นไปทั้งตัว


 


 


สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังรีบก้าวขึ้นไปเพื่อปลอบนาง “ฮูหยินใหญ่อย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ ไม่คุ้มกันหรอก เสียสุขภาพไปเปล่าๆ นะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่นางอย่างดูถูกก่อนละเลิกสนใจนางอีกแล้วหันไปพูดกับเถ้าแก่ว่า “รบกวนท่านช่วยห่อปิ่นทองให้ข้าด้วย พวกเราจะเอาไปด้วยเลย”


 


 


“โอ้ ขอรับ” เถ้าแก่ยังคงรู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย แต่พอได้ฟังคำของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ฟื้นสติขึ้นมาทันที เขารีบวิ่งไปที่หลังชั้นวาง ห่อปิ่นทองด้วยความเคารพแล้วส่งมอบมันให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างนอบน้อม “นี่ขอรับแม่นาง ถือระวังๆ ด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบมันขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะนำมันออกไป


 


 


แต่ทันใดนั้นเองฮูหยินใหญ่ที่กำลังโกรธแค้นมากก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วปัดปิ่นทองในมือของเมิ่งเชี่ยนโยวลงพื้นอย่างรุนแรง “นังแพศยาสมควรตาย! อย่างเจ้าน่ะเหรอจจะคู่ควรปักปิ่นทองแบนนี้”


 


 


—————————-

 

 

 


ตอนที่ 24-1 ไปเก็บหนี้ที่จวนท่านเสนาบดี

 

ปิ่นทองร่วงลงกับพื้นพร้อมกับเสียงดัง “แพล้ง” ก่อนจะหลุดออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย 


 


 


ทุกคนในร้านตะลึง 


 


 


เถ้าแก่ร้านอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าปิ่นทองจะหักไปทั้งแบบนี้ 


 


 


ฮูหยินใหญ่เองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ตาของนางเบิกกว้างและก้มมองไปที่มือของตนเองแบบอึ้งๆ 


 


 


เป็นถ้าแก่ร้านมีปฏิกิริยาไวสุด เขาวิ่งออกจากชั้นวางอย่างรวดเร็วก่อนจะไปนั่งยองๆ อยู่ต่อหน้าเศษซากปิ่นอันนั้น พูดขึ้นด้วยความทุกข์ใจว่า “นี่…นี่คือปิ่นทองที่ช่างทำใช้เวลานานกว่าสามเดือนกว่าจะทำมันออกมาได้เชียวนะ แล้วมันก็หักไปทั้งแบบนี้ ข้าจะทำอย่างไรดี? ข้าควรจะรายงานกับเจ้านายอย่างไร?” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปากลง ขณะที่กำลังจะพูดบางอย่างออกไปกลับถูกเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเอาไว้ก่อน นางพูดกับเถ้าแก่ร้านไปว่า “ในเมื่อเราซื้อปิ่นทองอันนี้แล้วมันก็ถือว่าเป็นของเราแล้ว แม้ว่ามันจะหักไปแล้วก็ตาม ท่านก็ยังสามารถส่งคนไปเก็บเงินที่จวนอ๋องฉีได้ตามเดิม วางใจเถอะ” 


 


 


เถ้าแก่ร้านเงยหน้าขึ้นมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนอีกครั้งเพื่อยืนยันคำตอบ 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้ 


 


 


เถ้าแก่ร้านแทบจะปล่อยโฮหลั่งน้ำตาออกมาในขณะนั้น เขากล่าวขอบคุณทั้งคู่ซ้ำๆ ด้วยความดีใจว่า “ขอบคุณซื่อจื่อ ขอบคุณแม่นาง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือให้เขา “รบกวนเถ้าแก่ช่วยห่อปิ่นทองที่หักแล้วอันนี้ให้ข้าใหม่ที พวกเราจะเอามันกลับไปด้วย” 


 


 


เถ้าแก่ร้านหยิบปิ่นทองที่หักแล้วอันนั้นขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างระมัดระวัง เขาจัดมันใส่ลงในกล่องเครื่องประดับอีกครั้งแล้วส่งมันให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมารับมันไว้ จากนั้นก็หันไปยิ้มให้กับฮูหยินใหญ่ที่ยังคงงุนงงอยู่แล้วพูดว่า “นี่เป็นของขวัญที่อี้เซวียนมอบให้ข้า ในเมื่อมันถูกทำลายโดยท่านเช่นนั้นท่านก็ต้องรับผิดชอบ แต่เห็นแก่ที่ท่านเป็นท่านป้าแท้ๆ หวงฝู่อวี้ พวกเราจะไม่เอาความอันใด เพียงท่านจ่ายเงินทุกอย่างก็จบ” 


 


 


ฮูหยินใหญ่เห็นว่านางทำเพิ่งปิ่นทองหักไป ก็เกรงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะเอาความมีโทสะต่อนางเพราะเรื่องนี้ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใจคิดแอบดูถูกอีกฝ่ายในใจ “หญิงบ้านนอกอย่างไรก็ยังเป็นหญิงบ้านนอกยังวันยังค่ำ ปิ่นที่ดีขนาดนี้หักไปแต่เพียงจ่ายเงินทุกอย่างก็จบ” จากนั้นก็พูดต่ออย่างไม่แยแสว่า “จ่ายก็จ่ายสิ เงินเล็กน้อยแค่นี้ข้าไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ยื่นมือออกไปก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อฮูหยินใหญ่ร่ำรวยขนาดนี้ เช่นนั้นโปรดนำเงินออกมาด้วย” 


 


 


ฮูหยินใหญ่ส่งสายตาให้กับสาวใช้คนสนิทครั้งหนึ่ง ไม่นานสาวใช้คนสนิทนางนั้นก็หยิบถุงใส่เงินออกมา 


 


 


สาวใช้ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเปิดถุงใส่เงินส่วนตัวของนางออกแล้วหยิบตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่ง 


 


 


ฮูหยินใหญ่ถามออกไปว่า “เท่าไหร่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ “ห้าหมื่นตำลึงเงิน” 


 


 


เสียงกรีดร้องของฮูหยินใหญ่แทบจะแทงทะลุแก้วหู “เท่าไหร่นะ?” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชักมือของนางกลับมาแล้วยกขึ้นนวดหูเบาๆ พูดออกไปอีกครั้งว่า “ห้าหมื่นตำลึงเงิน” 


 


 


เสียงกรีดร้องของฮูหยินใหญ่ดังขึ้นไปอีกขั้น “เป็นไปไม่ได้!” 


 


 


ครั้งนี้เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวมีการป้องกันไว้ก่อนแล้วจึงไม่ได้ถูกโจมตีโดยเสียงที่เต็มไปด้วยมลพิษของฮูหยินใหญ่ นางดันหวงฝู่อี้เซวียนให้ถอยหลังกลับไปอีกหลายก้าวแล้วกล่าวออกไปว่า “จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร?” 


 


 


ฮูหยินใหญ่หันไปทางเถ้าแก่ร้านทันทีและถามด้วยโทสะว่า “เจ้าขายปิ่นทองอันนี้ให้พวกเขาเท่าไหร่?” 


 


 


เถ้าแก่ร้านตกใจมากกับราคาที่เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งเรียกไป แต่หลังจากได้ยินคำถามจากปากของฮูหยินใหญ่แล้วเขาก็ตื่นตระหนก มองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างขอความช่วยเหลือ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางกล่าวว่า “เถ้าแก่ร้านเจ้าขายให้พวกเราเท่าไหร่ก็บอกไปตามตรงเถิดไม่ต้องปิดบัง ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปในภายหลังชื่อเสียงของร้านเจ้าจะเสียหายเอา”  


 


 


เถ้าแก่ร้านพยักหน้าให้นางด้วยความขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็ตอบกลับไปอย่างระมัดระวังว่า “ฮูหยินใหญ่ ปิ่นทองอันนี้ร้านเราขายให้แม่นางไปในราคาห้าพันตำลึงเงินขอรับ” 


 


 


ฮูหยินใหญ่เมื่อได้ยินเช่นนี้นางก็โกรธมาก ตวาดด่าไปทันทีโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลยว่า “นังเด็กสมควรตาย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าราคามันแค่ห้าพันตำลึงเงิน แต่เจ้ากลับบอกว่ามันมีราคาถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน เจ้าคิดจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้หลอกเอาเงินจากข้าใช่หรือไม่ บอกได้เลยว่าอย่าได้ฝัน!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขึ้นอีกครั้งอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงที่กล่าวออกไปไม่รีบไม่ร้อน “ฮูหยินใหญ่ท่านผิดแล้ว ปิ่นทองอันนี้ราคาเดิมของมันอยู่ที่ห้าพันตำลึงเงินก็จริง แต่เนื่องจากว่ามันเป็นของขวัญที่ซื่อจื่อเลือกซื้อให้ข้าเองกับมือ ดังนั้นต่อให้เอาเงินมากองอยู่ตรงหน้าข้าก็ไม่คิดจะขาย น่าเสียดายที่มันถูกทำลายไปด้วยน้ำมือคนโดยเจตนาเสียแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมท่านถึงไม่สามารถจ่ายมันคืนในราคาเดิมได้ อันที่จริงนี่เพราะเห็นแก่หน้าหวงฝู่อวี้แล้วหรอกนะถึงได้เรียกเงินเพียงแค่ห้าหมื่นตำลึงเงิน ไม่อย่างนั้นจากห้าหมื่นข้าจะเก็บเป็นห้าแสนตำลึงเงินแทน” 


 


 


“เพ้ย!” ฮูหยินใหญ่ถ่มน้ำลายใส่เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนกับสตรีปากร้ายในตลาด “นังเด็กบ้านนอก เจ้าอยากได้เงินจนบ้าไปแล้วหรือ คิดหรือว่าอาศัยเพียงปากของเจ้าก็จะปล้นเงินจากข้าไปได้ถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน ไม่ส่องกระจกดูบ้างเล่าว่าตัวเองมีสภาพไหน คู่ควรกับราคาห้าหมื่นตำลึงเงินหรือเปล่า” 


 


 


ตอนนี้ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนมืดครึ้มยิ่งนัก เขาไม่อาจหักห้ามอารมณ์ได้อีกต่อไปแล้วจึงตะโกนออกไปว่า “กัวเฟย!” 


 


 


“ข้าน้อยอยู่ที่นี่แล้ว!” 


 


 


“โยนนางออกไป!” 


 


 


กัวเฟยขานรับเสียงดังว่า “ขอรับ ซื่อจื่อ” จากนั้นเขาก็เดินดุ่มๆ เข้าไปหาฮูหยินใหญ่อย่างรวดเร็ว 


 


 


ฮูหยินใหญ่ถอยหลังกรูดไปด้วยความหวาดกลัว อุทานออกไปเสียงดังว่า “เจ้ากล้า!” 


 


 


กัวเฟยต้องการลงมือจริงๆ 


 


 


แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเรียกหยุดเขาไว้ “กัวเฟย หยุดมือ!” 


 


 


กัวเฟยหยุดแล้วมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปคลี่คิ้วที่ผูกเป็นปมอยู่ของหวงฝู่อี้เซวียนออกด้วยความอ่อนโยน น้ำเสียงอบอุ่นบางเบากระซิบขึ้นที่ข้างหูว่า “ถ้าเราโยนนางออกไปใครที่ไหนจะมาจ่ายเงินห้าหมื่นตำลึงเงินแทนนางเล่า ถึงตอนนั้นนางหนีกลับจวนไป คิดจะไปเอาเงินคืนนึกเสียใจภายหลังก็สายเกินกาลแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยแสดงออกกับหวงฝู่อี้เซวียนด้วยท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อน พออยู่ๆ ถูกนางปฏิบัติด้วยแบบนี้ ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ขึ้นสีแดงก่ำ การแสดงออกที่มืดมนบนใบหน้าของเขาสลายหายวับไปราวกับหมอกควัน เขายอมโอนอ่อนให้นางแต่โดยดี “ได้ ข้าฟังเจ้า” 


 


 


กัวเฟยตกตะลึง 


 


 


ฮูหยินใหญ่กัดฟันแทบอยากจะพุ่งขึ้นไปแล้วควักหัวใจของเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาให้รู้แล้วรู้รอด 


 


 


เถ้าแก่ร้านยืนเฉยไม่กล้าพูดอะไร 


 


 


ภายในร้านฉับพลันบังเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโหยวหันหน้ากลับไปอีกครั้งแล้วเอ่ยเร่งรัดออกไปว่า “ฮูหยินใหญ่ ข้ากับซื่อจื่อยังต้องไปเดินตลาดกันต่อ ไม่มีเวลาว่างมาเสียเวลาที่นี่หรอก ฉะนั้นแล้วได้โปรดส่งมอบเงินของท่านออกมาโดยเร็วที่สุด รีบๆ จ่ายจะได้รีบๆ จบกันไป วันหน้าให้ดีอย่าได้มาเจอกันอีกเลย” 


 


 


ฮูหยินใหญ่กัดฟันจนแทบแหลกเป็นผุยผง ฝืนบังคับเปล่งเสียงลอดไรฟันออกไปว่า “ข้าจะให้แค่ห้าพันตำลึงเงินเท่านั้น ส่วนที่เหลือเจ้าอย่าได้หวัง” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ?” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา ถามกลับไปด้วยเสียงเรียบ 


 


 


ฮูหยินใหญ่ตั้งท่าระวัง “เจ้าจะทำอะไร?” 


 


 


“แน่นอนว่าต้องไปเก็บหนี้ที่จวนของท่านเสนาบดีอยู่แล้ว” หลังจากพูดจบ นางก็หันไปถามความเห็นจากอี้เซวียนว่า “ซื่อจื่อ ท่านคิดว่าอย่างไร?” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้อย่างร่วมมือ “นี่เป็นความคิดที่วิเศษมาก ข้าเชื่อว่าจวนของท่านเสนาบดีผู้มีเกียรติจะไม่ยอมเบี้ยวเงินอย่างแน่นอน” 


 


 


ฮูหยินใหญ่ตกใจจนสติเตลิดไปหมดแล้ว ขืนมีคนมาทวงหนี้ถึงหน้าจวนจริงๆ ชื่อเสียงของจวนเสนาบดีมีหวังได้ป่นปี้หมดแน่ เมื่อถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่คุณชายใหญ่เลย แม้กระทั่งท่านพ่อตาของนางก็คงไม่ยอมปล่อยนางไว้ 


 


 


บรรดาสาวใช้เองต่างก็หวาดกลัวกันมาก สาวใช้คนสนิทที่หยิบตั๋วเงินออกมารีบปรี่เข้าไปกระตุกชายเสื้อของนายหญิงตนเบาๆ กระซิบกล่าวไปด้วยเสียงค่อยว่า “ฮูหยินเจ้าคะ พวกเราเอาเงินให้พวกเขาเถิด ขืนพวกเขาไปเก็บหนี้ถึงหน้าจวนเสนาบดีจริงๆ คุณชายใหญ่ต้องพิโรธแน่” 


 


 


ในใจของฮูหยินใหญ่ตอนนี้เต็มไปด้วยความสยองขวัญ นางจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร แต่หลังจากฟังคำของสาวใช้คนสนิทนางก็ตบหน้าอีกฝ่ายไปหนึ่งฉาด “ยังต้องให้เจ้าช่วยเตือนหรือ ไม่ต้องพูดถึงว่าคุณชายใหญ่จะโกรธหรือเปล่า แต่เงินถึงห้าหมื่นตำลึงเงินเจ้าจะให้ข้าไปเอามาจากไหน ทรัพย์สินทั้งหมดของข้ารวมกันยังไม่ถึงห้าหมื่นตำลึงเงินด้วยซ้ำ เจ้าจะให้ข้าเอาปัญญาที่ไหนไปจ่าย” 


 


 


สาวใช้คนสนิทยกมือขึ้นกุมแก้มที่ถูกตบแล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก จากนั้นก็ถอยออกไปยืนด้านข้างอย่างเงียบๆ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการถากถาง “ที่แท้ภาพพจน์ร่ำรวยของฮูหยินใหญ่ก็เป็นสิ่งที่ท่านเสแสร้งขึ้น” 


 


 


ฮูหยินใหญ่หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย นางบิดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างคับแค้นใจ ก่อนจะฝืนข่มกัดฟันแล้วพูดออกไปอย่างดิ้นรนว่า “ข้าให้ได้มากที่สุดแค่หนึ่งหมื่นตำลึงเงินเท่านั้น เรื่องนี้ให้จบลงไปเท่านี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวปฏิเสธ “ห้าหมื่นตำลึงเงินก็คือห้าหมื่นตำลึงเงิน ไม่สามารถน้อยไปกว่านี้ได้” 


 


 


ฮูหยินใหญ่คุ้นเคยกับการถูกยกย่องเอาอกเอาใจจากบรรดาผู้คนโดยรอบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไหนเลยจะเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้ ทั้งที่นางยอมถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วแต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังบีบคั้นไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม สุดท้ายหัวใจของนางก็ถูกความโกรธเข้าครอบงำจนหมด ข่มขู่ออกไปอย่างไม่สนอะไรอีกแล้วว่า “นังเด็กสมควรตาย คิดว่ามีคนสนุนหลังเจ้าแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบหรือ ให้หน้าแล้วยังไม่ยอมรับ ทำให้ข้าโกรธมากเข้า ระวังว่าแม้แต่ลูกชายเจ้าก็จะไม่มีวันได้อุ้ม” 


 


 


อารมณ์ของหวงฝู่อี้เซวียนจมดิ่งลงอีกครั้ง เขาสั่งออกไปทันทีด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “กัวเฟย โยนนางออกไป!” 


 


 


คราวนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้หยุดยั้งเขาไว้อีก 

 

 

 


ตอนที่ 24-2 ไปเก็บหนี้ที่จวนท่านเสนาบดี

 

กัวเฟยก้าวขึ้นไปหยุดอยู่ต่อหน้าฮูหยินใหญ่ผู้นั้น จากนั้นโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้เปล่งเสียงร้องออกมา มือใหญ่ของเขาก็ยื่นออกไปแล้วตวัดแบกนางขึ้นหลัง เขาเดินตรงไปที่หน้าประตูร้าน ไม่แม้แต่จะมองว่าด้านนอกมีสิ่งใดอยู่หรือไม่ร่างของฮูหยินใหญ่ก็ถูกโยนลงกับพื้นดังตุบท่ามกลางเสียงกรีดร้องของบรรดาสาวใช้ที่ติดตามมาด้วย 


 


 


ในตอนนี้เองเสียงกรีดร้องของฮูหยินใหญ่ก็ดังก้องไปทั่วทั้งถนน 


 


 


เหวินเปียวที่รออยู่ด้านนอกข้างรถม้าถึงกับผงะไปกับภาพที่ได้เห็น 


 


 


ร่างของฮูหยินใหญ่กระแทกลงกับพื้นดังมาก นางกลิ้งออกไปราวสองถึงสามครั้งได้ก่อนจะหยุดลง สาวใช้หลายคนที่ติดตามอีกฝ่ายมาด้วยรีบเข้าไปดูอาการของนายหญิงตนทันทีพลางช่วยพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา ร้องถามไปด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกว่า “ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินใหญ่ ท่านเป็นไรไหมเจ้าคะ?” 


 


 


สภาพของฮูหยินใหญ่ตอนนี้นิยามว่าน่าเกลียดยังจะน้อยไป นางไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นได้เลย ในใจเต็มไปด้วยความโกรธจากนั้นนางก็เป็นลมหมดสติไป 


 


 


ภายในร้านขายเครื่องประดับ เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยขอโทษเถ้าแก่ร้านที่กำลังยืนตกตะลึงอยู่ “ต้องขอโทษเถ้าแก่แทนลูกน้องข้าด้วยที่ทำตัวหยาบคาย ทำให้ท่านต้องหวาดกลัวแล้ว” 


 


 


ปากของเถ้าแก่ร้านอ้าพงาบๆ เปิดแล้วก็หุบอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ กันหลายที พูดอะไรไม่ออกสักคำ 


 


 


นานมากทีเดียวก่อนที่ฮูหยินใหญ่จะได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง นางชี้นิ้วไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนด้วยเนื้อตัวสั่นระริก วาจาที่เปล่งออกจากปากมีแต่คำขู่และโทสะเต็มเปี่ยม “จะเอาแบบนี้สินะ ก็ได้ พวกเจ้ากล้าทำกับข้าแบบนี้ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน ข้าไม่ยอมให้อภัยพวกเจ้าง่ายๆ แน่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมิได้แยแสต่อคำขู่ของนางเลย “อืม แบบนี้ก็พอดีเลย ในเมื่อท่านบอกว่าจะไม่ยอมปล่อยพวกเราไปง่ายๆ แบบนี้เรื่องที่เราจะไปเก็บหนี้ที่จวนท่านเสนาบดี เงินห้าหมื่นตำลึงเงินนั้นก็มีหวังแล้ว” 


 


 


ถูกคนตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ ฮูหยินใหญ่เองก็ไม่สนอะไรแล้วเหมือนกัน นางไม่หลงเหลือความกลัวอีกต่อไป กัดฟันแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้ากล้าไป ข้าจะให้ยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจวนหักขาเจ้าเสีย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปลดจี้หยกชิ้นหนึ่งลงจากเอวของเขาจากนั้นก็ส่งมันให้กับกัวเฟย “เจ้ารีบกลับไปที่จวนอ๋อง บอกให้อี้เอ๋อร์ยกกำลังทหารสองร้อยนายไปรอข้าที่หน้าจวนของท่านเสนาบดี” 


 


 


กัวเฟยขานรับเสียงดัง ไม่นานนักร่างของเขาก็หายลับไป 


 


 


ฮูหยินใหญ่บัดนี้หน้าซีดเผือด นางจินตนาการถึงสีหน้าของคุณชายใหญ่ออกเลยว่าจะเป็นเช่นไร แน่นอนรวมถึงจุดจบของตัวเองหลังจากนี้ด้วย อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาใบหน้าของจวนเสนาบดี นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอมปล่อยให้นางเผชิญปัญหาเพียงลำพังโดยเด็ดขาด จึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมีความมั่นใจมากขึ้น พูดออกไปอย่างเผ็ดร้อนว่า “ข้าจะกลับไปบอกสามีที่จวนว่าพวกเจ้าดูถูกข้าอย่างไร อยากรู้เหมือนกันว่าเงินห้าพันตำลึงเงินนี้พวกเจ้าจะเก็บได้หรือเปล่า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างดูถูกเหยียดหยาม เตือนออกไปด้วยน้ำเสียงการุณย์ว่า “ฮูหยินใหญ่ท่านนับผิดแล้ว ไม่ใช่ห้าพันตำลึงเงิน แต่เป็นห้าหมื่นตำลึงเงินต่างหาก” 


 


 


ฮูหยินใหญ่จ้องตอบนางด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่กล้าหุนหันพลันแล่นหรือดุด่านางอีก ได้แต่สั่งให้สาวใช้ช่วยพยุงตนขึ้นรถม้าแล้วจากไปด้วยความอับอาย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนเองก็ขึ้นรถม้าตามหลังจากนั้น พอนั่งเสร็จก็สั่งให้เหวินเปียวค่อยๆ ขับไปทางจวนเสนาบดีอย่างสบายใจ 


 


 


กัวเฟยที่ถือจี้คาดเอวของหวงฝู่อี้เซวียนมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉีด้วยความรวดเร็ว เขาแสดงป้ายให้ยามที่เฝ้าประตูดูแวบหนึ่ง ก่อนจะพุ่งเข้าไปด้านในตรงไปยังเรือนซื่อจื่อโดยตรง จากนั้นก็ถ่ายทอดคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนให้กับหวงฝู่อี้ที่กำลังทำความสะอาดลานบ้านอยู่อย่างไม่ให้มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว 


 


 


หวงฝู่อี้ได้ยินว่าให้เขายกกำลังทหารไปที่หน้าจวนของท่านเสนาบดีเพื่อเก็บหนี้ก็ตกใจมาก ไม้กวาดที่ถืออยู่ในมือร่วงลงกับพื้นดังตุบ เขาหยิบจี้หยกคาดเอวชิ้นนั้นขึ้นมาดูก่อนรอบหนึ่ง ก่อนจะรีบไปเรียกทหารองครักษ์ทั้งสองร้อยนายให้ตามไปที่จวนของท่านเสนาบดีโดยเร็ว 


 


 


รถม้าที่เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนนั่งมาขับช้ามาก เพราะเหวินเปียวได้รับคำสั่งมาแบบนี้จึงค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าทีละนิดทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวมีโอกาสได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ภายนอกผ่านหน้าต่างรถม้าอย่างสบายอกสบายใจ เรื่องที่ว่าไปทวงหนี้อะไรนั่นนางไม่ได้เก็บมาใส่หัวสมองเลย 


 


 


เหวินเปียวรู้สึกสับสนกับนางไม่น้อย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมนายสาวเพียงแค่เข้าไปดูเครื่องประดับครู่เดียว กลับออกมาถึงได้กลายเป็นการไปทวงหนี้ผู้อื่นได้ มิหนำซ้ำลูกหนี้ยังกลายเป็นจวนเสนาบดีเสียอีก 


 


 


หวงฝู่อี้เร่งพาทหารองครักษ์ไปประจำที่หน้าจวนเสนาบดีตามคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน เขาออกคำสั่งบอกให้ทหารเหล่านั้นรีบวิ่งไปโดยไว และเมื่อพวกเขามาถึงหน้าจวนของท่านเสนาบดี พวกเขาก็พบว่าหน้าประตูไม่มีใครเฝ้าอยู่เลย หัวใจของเขาจมลงชั่วครู่ ใบหน้าที่ซีดเผือดหันไปมองทางกัวเฟยอย่างขอความเห็น 


 


 


โดยที่ไม่มีใครเห็น กัวเฟยเองก็กำลังตื่นตระหนกอยู่เช่นกัน แต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็เริ่มกลับมาสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างถี่ถ้วน แล้วเขาก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางกล่าวออกไปว่า “ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ นายท่านน่าจะยังมาไม่ถึง” 


 


 


หัวใจที่ค้างเติ่งอยู่ของหวงฝู่อี้กลับลงสู่ตำแหน่งเดิม เขาหันไปออกคำสั่งกับทหารสองร้อยนายที่เหลือ จากนั้นก็ยืนคุมอยู่อย่างนั้น รอให้เจ้านายทั้งสองคนมาถึง 


 


 


คนที่รับหน้าที่เฝ้าประตูจวนเสนาบดีอยู่จู่ๆ เมื่อเห็นว่ามีทหารสองร้อยนายมายืนออกันอยู่ที่หน้าประตูจวน ก็ให้ตกใจจนแข้งขาสั่น รีบวิ่งเข้าไปในจวนแล้วรายงานด้วยสภาพล้มลุกคลุกคลาน 


 


 


เนื่องจากว่ายามนี้ท่านเสนาบดีกำลังขึ้นท้องพระโรงอยู่ ไม่อยู่ที่เรือน คนที่รับเรื่องจึงกลายเป็นเฮ่อเหลี่ยนไปโดยปริยาย 


 


 


ฮูหยินใหญ่กลับมาถึงจวนได้สักพักแล้ว นางไม่ยอมให้สาวใช้ช่วยตัวเองแต่งตัวหรือจัดทรงผมให้ใหม่ แต่แบกหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นสีเทากับเศษใบไม้บนหัวไปหาเฮ่อเหลี่ยนทั้งๆ อย่างนั้นแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางฟ้องสิ่งที่ตนเองได้เจอในวันนี้ รวมถึงบอกเขาด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ 


 


 


เมื่อได้ยินว่าภรรยาของตนเองถูกโยนออกมาจากร้านเครื่องประดับโดยบ่าวรับคนหนึ่งเฮ่อเหลี่ยนก็โกรธมาก สบถออกไปด้วยโทสะว่า “รังแกคนมากเกินไปแล้ว ดีเลย ข้ากำลังหาโอกาสคิดบัญชีกับมันอยู่พอดี ในเมื่ออีกฝ่ายส่งมอบตัวเองมาถึงหน้าประตูจวนเอง แค้นเก่าแค้นใหม่ข้าจะได้ชำระเสียในทีเดียว ข้าจะให้มันมาได้แต่กลับออกไปไม่ได้!” 


 


 


ฮูหยินใหญ่ดีใจยิ่งนัก ขณะที่กำลังจะสุมเชื้อเพลิงเติมไฟเข้าไปอีกระลอก เสียงร้องตกอกตกใจของคนเฝ้าประตูก็ดังขึ้นที่ด้านนอกลาน “เร็วเข้า รีบไปแจ้งคุณชายใหญ่เร็วว่ามีทหารองครักษ์ของจวนอ๋องฉีกระทำการอุกอาจบุกมายืนเฝ้าถึงหน้าประตูจวนของพวกเรา” 


 


 


โดยไม่รอให้สาวใช้ได้เข้ามาแจ้งความ เสียงตำหนิของเฮ่อเหลี่ยนก็ดังส่งออกมาเสียก่อน “เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ตื่นตระหนกอันใดกัน อย่างไรพวกมันก็ไม่กล้าบุกโจมตีเข้ามาอยู่แล้ว” 


 


 


นายประตูหมดคำจะกล่าวไปในทันที 


 


 


เสียงของเฮ่อเหลี่ยนดังขึ้นอีกครั้ง “ไสหัวกลับไปเฝ้าประตูไว้ อย่าให้พวกมันเข้าใกล้ประตูจวนได้โดยเด็ดขาด” 


 


 


คนเฝ้าประตูลนลานขานรับ จากนั้นก็วิ่งกลับออกไป 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนเดินออกมาจากห้องแล้วหันไปสั่งบ่าวที่อยู่รอบๆ “เรียกทหารองครักษ์ของจวนมา บอกให้ตามข้าไปที่หน้าประตูจวนเดี๋ยวนี้ ข้าเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าวันนี้มันจะมีปัญญาทวงเงินห้าพันตำลึงเงินไปจากมือข้าได้หรือไม่” 


 


 


ฮูหยินใหญ่ที่นั่งนิ่งอยู่ในห้องกระพริบตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจเดินตามออกไป 


 


 


ไม่นานนักทหารองครักษ์ของจวนเสนาบดีก็มารวมตัวกันครบ พวกเขาเดินตามเฮ่อเหลี่ยนไปที่หน้าประตูจวนอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


และเมื่อเห็นว่าทหารองครักษ์ประจำจวนอ๋องฉียืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ที่หน้าประตูจวนของตนเอง เฮ่อเหลี่ยนก็โบกมือให้กับทหารองครักษ์ทางฝั่งตนบ้าง พวกเขาเข้ามาจัดแถวยืนเรียงอย่างเป็นระเบียบด้วยเหมือนกัน 


 


 


แต่พอไม่เห็นเงาของหวงฝู่อี้เซวียน เฮ่อเหลี่ยนก็เยาะเย้ยออกไปว่า “ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีกล้าที่จะทำร้ายผู้หญิงแต่พอเอาเข้าจริงกลับหดหัวเป็นลูกเต่าไม่กล้าออกมาอย่างนั้นเหรอ? ดีแต่ส่งพวกเจ้าที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยมาแทน” 


 


 


เมื่อได้ยินคำสบประมาทหวงฝู่อี้เซวียนของเฮ่อเหลี่ยน หวงฝู่อี้ก็แค้นใจนัก จึงได้ตอกหน้าเขากลับไปว่า “คุณชายใหญ่แห่งจวนเสนาบดีเองก็เช่นกัน กะอีแค่เงินเพียงห้าหมื่นตำลึงเงินก็ไม่มีปัญญาจ่าย ช่างน่าสงสารน่าสมเพชโดยแท้ ยังมีหน้าออกมาให้ผู้คนหัวเราะเยาะอีก” 


 


 


เห็นว่ากระทั่งเด็กหน้าเหม็นปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเขากล้าพูดกับตนเองแบบนี้หัวใจของเฮ่อเหลี่ยนก็เต็มไปด้วยความโกรธ เขาสะบัดมือออกไปหนึ่งที สั่งความลงไปว่า “ไปจับไอ้เด็กไม่รู้ความ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนั้นมาให้ข้า ข้าจะฆ่ามันแล้วแขวนศพมันไว้บนต้นไม้” 


 


 


องครักษ์หลายนายขานรับอย่างฮึกเหิม จากนั้นก็พุ่งออกไปอย่างก้าวร้าว 


 


 


กัวเฟยขยับขึ้นไปบังหวงฝู่อี้ไว้ ดันอีกฝ่ายให้ไปยืนอยู่ด้านหลัง 


 


 


องครักษ์หลายนายจากจวนอ๋องฉีเองก็เป็นเพียงไม้ประดับเสียที่ไหน ดาหน้าขึ้นไปรับการปะทะขององครักษ์จากจวนเสนาบดีทีละคนๆ 


 


 


ทั้งสองฝ่ายเริ่มเปิดฉากปะทะกันแล้ว จังหวะนี้เองที่เหวินเปียวค่อยๆ ขับรถม้าเข้ามาจอดเทียบอยู่หน้าประตูจวนเสนาบดี 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาจากรถม้าอย่างสบายใจ ก่อนจะยื่นมือออกไปแล้วช่วยพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวให้ลงจากรถม้า จากนั้นก็มองไปที่ฉากการเผชิญหน้ากันขององครักษ์ทั้งสองฝ่าย ออกปากดุกัวเฟยไปว่า “พวกเจ้าเองก็ใจร้อนเกินไปแล้ว จะไว้หน้าคุณชายใหญ่สักหน่อยก็ไม่ได้ รอให้เขาพูดว่าไม่ให้เงินก่อนสิค่อยเข้าปะทะ” 


 


 


กัวเฟยกับทหารองครักษ์อีกหลายคนหยุดตอบโต้แล้วถอยเท้ากลับไปทันที 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนโกรธจนแทบกระอัก ตะโกนด่าอีกฝ่ายไปด้วยความโกรธว่า “หวงฝู่อี้เซวียน แม้ว่าเจ้าจะเป็นซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถรังแกผู้คนเกินไปได้ กะอีแค่ทำปิ่นปักผมหล่นแตกอันเดียวเจ้ากลับเรียกเงินถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน แถมยังจับภรรยาของข้าโยนออกมานอกร้านอีก แบบนี้มันตบหน้าจวนเสนาบดีของข้าชัดๆ วันนี้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าในเรื่องนี้ให้ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขึ้นอย่างประชดประชันเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว “ได้ยินถึงความรอบรู้และปราดเปรื่องของฮูหยินใหญ่ผู้สูงศักดิ์แห่งจวนเสนาบดีมานาน ไม่คิดว่ากระทั่งความสามารถในการกลับขาวเป็นดำก็จะเหนือชั้นด้วย” 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนมีหรือจะไม่ได้ยินคำพูดเหน็บแนมจากปากของนาง จึงพูดออกไปอย่างโกรธๆ ว่า “เด็กแพศยาที่มาจากบ้านนอกอย่างเจ้าบังอาจนักที่กล้ามาดูถูกข้า ครั้งที่แล้วเจ้าล่วงเกินข้าไปยังไม่ได้คิดบัญชี วันนี้ยังมาดูถูกภรรยาของข้าอีก ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ คอยดูเถอะว่าข้าจะให้เจ้าตายอย่างไร” 


 


 


การแสดงออกของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงในทันใด น้ำเสียงของเขาเย็นลง “คุณชายใหญ่ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ถึงขั้นกล้าดูถูกข่มขู่ผู้หญิงที่ข้ารักต่อหน้าต่อตาข้า เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือกับเจ้าจริงๆ?” 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนแค่นเสียงฮึใส่ “มันก็แค่ของเล่นเท่านั้น ซื่อจื่อหลงไหลนางถึงเพียงนี้ถึงขั้นกระทำเรื่องไม่สมควรมากมายเพื่อนาง วันนี้ข้าช่วยเจ้ากำจัดนางออกไป ถือว่าเป็นการช่วยปัดเป่าหายนะที่นางจะนำมาสู่เจ้าในอนาคตก็แล้วกัน” 


 


 


แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขัดขึ้นก่อน “กัวเฟย ตบสองครั้ง!” 


 


 


การตอบสนองกัวเฟยยอดเยี่ยมมาก เขากระโดดไปยืนต่อหน้าเฮ่อเหลี่ยนจากนั้นก็ยื่นมือออกไปตบหน้าอีกฝ่ายซ้ายทีขวาทีชนิดที่ว่าไม่ให้อีกฝ่ายได้หาปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเองเจอเลย จากนั้นเขาก็ถอยกลับไปยืนอยู่ด้านข้างของหวงฝู่อี้เซวียนตามเดิม 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนตะลึงงัน 


 


 


ทหารองครักษ์ของจวนท่านเสนาบดีก็ตะลึงตามไปด้วย 


 


 


ผู้คนที่มาเฝ้าชมเรื่องสนุกต่างตะลึงยิ่งกว่า 


 


 


ดวงตาของทหารองครักษ์ฝั่งจวนอ๋องฉีเบิกกว้าง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเห็นต่อนี้หน้าเลย 


 


 


เป็นเวลานานทีเดียวก่อนที่ความโกรธของเฮ่อเหลี่ยนจะพวยพุ่งขึ้นมา เสียงตวาดลั่นฉับพลันดังสะท้อนไปถึงหูทุกผู้คน “หวงฝู่อี้เซวียน วันนี้ไม่ข้าก็เจ้าต้องมีใครตายไปคนหนึ่ง!” 


 


 


—————————- 

 

 

 


ตอนที่ 25-1 ไม่จำเป็นต้องออมมือ เป็นต...

 

หวงฝู่อี้เซวียนกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยกยิ้มเย็นชา “ถ้าเช่นนั้นก็ลองดู!” 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนเดือดดาลถึงขีดสุด โบกมือ สั่งองครักษ์ประจำจวนด้วยความโมโหว่า “ไปจับตัวพวกเขามาให้ข้า!” 


 


 


องครักษ์ประจำจวนเสนาบดีรับคำสั่ง และเดินหันหน้าเข้าไปทางองครักษ์ประจำจวนอ๋องฉีโดยพร้อมเพรียง 


 


 


ผู้คนที่มามุงดูต่างก็กลัวว่าโดนลูกหลง จึงถอยหลังออกไปหลายสิบก้าว แม้จะถอยออกไปไกล แต่ก็ยังชะโงกหน้ามองเข้ามาดู 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ออกคำสั่งกับองครักษ์ประจำจวนสองร้อยนายของตนเองด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมว่า “อย่าอ่อนข้อ เป็นตายไม่คำนึง!” 


 


 


องรักษ์ประจำจวนอ๋องฉีขานรับเสียงดังฟังชัดอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็ออกไปรอรับมือ 


 


 


กัวเฟยกับหวงฝู่อี้อยู่ข้างซ้ายและขวา ทั้งสองคนขนาบข้างเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


องรักษ์ประจำจวนของทั้งสองฝ่ายกำลังจะเข้าปะทะกันอยู่เดี๋ยวนั้นเอง 


 


 


อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่วิ่งออกมาด้วยความรีบร้อนของพ่อบ้านจากจวนเสนาบดีพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “หยุด!”  


 


 


องครักษ์ประจำจวนเสนาบดีหยุดชะงัก 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนโกรธจนสมองเลอะเลือน ตวาดพ่อบ้านขึ้นว่า “เรื่องของข้าเจ้าก็เข้ามายุ่ง เบื่อชีวิตแล้วหรืออย่างไร” 


 


 


พ่อบ้านเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจากหน้าผาก เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เขาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “คุณชายโปรดไตร่ตรองดูให้ดีก่อนขอรับ วันนี้มีผู้คนมากเกินไป หากสู้กันจริงๆ จะต้องทำให้เหล่าบรรดากองกำลังทหารต้องแตกตื่น ถึงตอนนั้นเรื่องจะไปถึงพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ จวนเสนาบดีของเราก็เจรจาต่อรองผลประโยชน์อันใดมิได้ และถ้าหากนายท่านทราบว่าท่านก่อเรื่องวุ่นวายให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะต้องลงโทษท่านอย่างแน่นอน” 


 


 


คำพูดของพ่อบ้านเป็นดั่งน้ำเย็นจัดถังหนึ่ง ที่สาดใส่หัวใจของเฮ่อเหลี่ยนจากอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ได้ดับมอดลงไป สติสัมปชัญญะก็เริ่มกลับคืนมา 


 


 


เมื่อเห็นว่าเขายอมเชื่อฟังคำพูดของตน พ่อบ้านจึงสั่งให้องครักษ์ประจำจวนเสนาบดีถอยกลับมาทั้งหมด 


 


 


คุณชายใหญ่ก็ไม่ได้คัดค้าน 


 


 


เมื่อเห็นพวกเขาถอยไปแล้ว องครักษ์ประจำจวนอ๋องฉีก็ถอยกลับไปอยู่ข้างหลังหวงฝู่อี้เซวียนเช่นเดิม 


 


 


พ่อบ้านโค้งคำนับให้กับหวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อโปรดระงับโทสะก่อนขอรับ หากมีเรื่องอันใดก็เข้าไปเจรจาในจวนเถิด” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองเฮ่อเหลี่ยนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง กล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องเข้าจวนหรอก เอาเงินค่าปิ่นทองคืนมาพวกเราก็จะกลับ” 


 


 


ถึงแม้เฮ่อเหลี่ยนจะมีสติกลับคืนมาแล้ว แต่พอนึกถึงว่าตัวเองต้องถูกตบหน้าถึงสองฉาดต่อหน้าผู้คนมากมายก็รู้สึกสงบจิตสงบใจได้ยาก เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนพูดเช่นนั้น จึงกล่าวด้วยความเคียดแค้นขึ้นว่า “อยากได้เงินหรือ ไม่มีแม้แต่ตำลึงเดียว หากเจ้าเก่งกล้าก็เข้ามาแย่งเอาถึงในจวน ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะกล้าหรือไม่” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเหยียดยิ้ม “ดูท่าทางจวนเสนาบดีเจ้าคิดจะชักดาบเช่นนั้นหรือ” 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนกล่าวอย่างอวดดีว่า “ชักดาบแล้วอย่างไร เจ้าจะทำอะไรข้า” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ว่าอะไรต่อ ทว่าหันกลับไปถามหวงฝู่อี้ว่า “อี้เอ๋อร์ หากชาวบ้านติดค้างหนี้แล้วไม่ชำระ ต้องทำเช่นไร” 


 


 


หวงฝู่อี้ตอบกลับด้วยเสียงที่ดังเป็นพิเศษ “เรียนซื่อจื่อ ตัดมือหรือไม่ก็ตัดขาขอรับ” 


 


 


พ่อบ้านเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดผวา 


 


 


คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ต่างก็อ้าปากค้าง 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนก็เบิกตากว้าง กล่าวเสียงดังขึ้นว่า “เจ้ากล้าหรือ” 


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นโดยไร้ความรู้สึก “กัวเฟย ต้องให้ข้าสอนไหมว่าต้องทำอย่างไร” 


 


 


กล่าวจบ เงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้าไปหาเฮ่อเหลี่ยนอย่างรวดเร็ว 


 


 


พ่อบ้านรู้สึกเพียงแค่ว่าเห็นเงาคนปรากฏวาบออกมา กัวเฟยที่อยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวก็หายไปแล้ว จึงร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า “ปกป้องคุณชายใหญ่” 


 


 


หลังจากที่เขาพูดจบก็มีเงาร่างสองร่างโผล่ออกมาขวางกัวเฟยไว้อย่างรวดเร็ว 


 


 


กัวเฟยถูกคนที่มาใหม่บีบให้ถอย มีดเล็กๆ ที่อยู่ในมือที่กำลังวางพาดอยู่บนแขนของเฮ่อเหลี่ยนก็พลาดตัดได้เพียงแต่เสื้อผ้าที่แขนจนขาด  


 


 


เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนเหงื่อเย็นชื้น พร้อมกับถอยหลังไปหลายก้าว 


 


 


ทั้งสามคนต่อสู้พัวพันเข้าด้วยกัน 


 


 


พ่อบ้านหันกลับมาทันควัน เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เฮ่อเหลี่ยน แล้วถามขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า “คุณชายใหญ่ ท่านเป็นอะไรไหมขอรับ”  


 


 


เฮ่อเหลี่ยนมองรอยที่ขาดบนแขนเสื้อในใจยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ สั่นศีรษะด้วยอาการที่ยังหวาดผวาอยู่ พร้อมทั้งกล่าวตอบขึ้นว่า “ไม่เป็นอะไร เสื้อผ้าขาดเท่านั้น” 


 


 


เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวของพ่อบ้านก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เม็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากก็หยดลงมา แล้วก็สั่งงานคนรับใช้ด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “เข้ามา มาประคองคุณชายใหญ่เข้าไปข้างใน” 


 


 


คนรับใช้ขานรับ แล้วเดินเข้ามาประคองเฮ่อเหลี่ยนที่กำลังขาสั่นไปทั้งสองข้าง 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนผลักพวกเขาออกฉับพลัน กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา มองสามคนนั้นที่กำลังต่อสู้กันอย่างใจจดใจจ่อ 


 


 


หัวหน้าหน่วยองครักษ์ลับของจวนเสนาบดีทั้งฉีอีกับมั่วอีตลอดจนยอดฝีมือขององครักษ์ลับต่างก็สูญเสียไปจากน้ำมือขององครักษ์เมื่อตอนสี่ปีที่ผ่านมา องครักษ์ลับในเวลานี้ต่างก็ได้รับการฝึกฝนขึ้นมาใหม่ วิทยายุทธ์อ่อนด้อยกว่าพวกเขามาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามเมื่อเผชิญหน้ากับกัวเฟย ในตอนที่เฮ่อเหลี่ยนกล่าวจบเดี๋ยวนั้นเอง หนึ่งในนั้นก็ถูกกัวเฟยตัดแขนขาดไปข้างหนึ่ง จนลงไปนอนโอกครวญอยู่ไม่หยุด ส่วนองครักษ์ลับอีกคนมองเหม่อไปเพียงพริบตาเดียว ก็ถูกกัวเฟยใช้มีดแทงร่าง จากนั้นโน้มตัวลงไปข้างหน้า แล้วนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย 


 


 


ผู้คนที่มามุงดูต่างก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก 


 


 


กัวเฟยไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น เขากระโดดลอยไปทางเฮ่อเหลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้ไม่รอให้พ่อบ้านออกคำสั่ง เงาหลายร่างก็พุ่งออกมาจากข้างในประตู เข้ามาประทะเข้ากับเขา 


 


 


“กัวเฟย กลับมา!” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น 


 


 


ร่างของกัวเฟยไม่ได้แตะพื้น เขาม้วนตัวกลับกลางอากาศ แล้วกระโดดลอยกลับมาอยู่ข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน คุกเข่าลงบนพื้นข้างหนึ่งพร้อมกับกล่าวขออภัย “ผู้น้อยทำงานไม่ดี ไม่สามารถทำภารกิจที่ซื่อจื่อมอบหมายให้สำเร็จได้ ขอให้ซื่อจื่อได้โปรดลงโทษ!” 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนโมโหจนแทบจมูกเบี้ยว ใช้เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถจัดการกับองครักษ์ลับที่ตนฝึกฝนมาอย่างยากลำบากลงไปได้ แต่กลับยังต้องคุกเข่าขอรับโทษ นี่มันจงใจตบหน้าเขาชัดๆ  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแอบกู่ร้องชื่นชมกัวเฟย แต่ก็กลั้นยิ้มเอาไว้ กล่าวด้วยใบหน้านิ่งเฉยว่า “อืม กลับไปเจ้าค่อยไปรับโทษด้วยตัวเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ไหวส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา กล่าวโดยไม่ไว้หน้าว่า “ซื่อจื่อ ถึงอย่างไรคนเขาก็เป็นถึงคุณชายใหญ่ของจวนเสนาบดี เจ้าตบหน้าเขาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้จะดีหรือ” 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนอดทนจนถึงขีดสุดแล้ว ศีรษะร้อนระอุขึ้น คำพูดเมื่อกี้นี้ของพ่อบ้านโยนทิ้งไว้ในสมองส่วนท้ายแล้ว ตะโกนสั่งองครักษ์ประจำจวนว่า “จับพวกมันมาให้ข้า จับได้คนหนึ่งจะได้รางวัลหนึ่งพันตำลึง จับได้สองคนจะได้รางวัลหมื่นตำลึง!” 


 


 


องครักษ์ประจำจวนทุกนายต่างก็ขานรับ 


 


 


พ่อบ้านรีบเข้ามายับยั้งไว้ทันที “คุณชายใหญ่ขอรับ ทำเช่นนั้นมิได้เด็ดขาด อีกไม่นานนายท่านก็จะกลับมาแล้ว เรื่องทุกอย่างไว้รอให้นายท่านกลับมาก่อนเถิดค่อยจัดการ” 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนที่โมโหจนเสียสติมีหรือจะยอมฟัง ดวงตาราวกับว่ามีประกายไฟลุกโชน ตวาดพ่อบ้านเสียงดังลั่นว่า “ตรงนี้ไม่มีที่ให้เจ้าพูด ไสหัวออกไป” 


 


 


พ่อบ้านอยู่ที่จวนเสนาบดีมาหลายสิบปีแล้ว ท่านเสนาบดีค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ทุกคนในจวนตั้งแต่เจ้านายตลอดจนบ่าวไพร่ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวเช่นนี้กับเขามาก่อน ตกตะลึงไปในทันที มองดูเฮ่อเหลี่ยนอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง 


 


 


ในสมองของเฮ่อเหลี่ยนคิดแต่ว่าจะจับตัวเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียน จะลงโทษทั้งสองคนอย่างทารุณที่สุด ไม่ได้สังเกตเห็นความรู้สึกของเขา ตวาดใส่องครักษ์ประจำจวนเสียงดังลั่น “ยังไม่รีบเข้าไปอีก!” 


 


 


เหล่าบรรดาองครักษ์ประจำจวนเสนาบดีต่างก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ต่างก็พุ่งเข้าไปทันที 


 


 


องครักษ์ประจำจวนอ๋องฉีก็ออกไปรอรับมือโดยไม่ต้องให้หวงฝู่อี้เซวียนต้องสั่ง 


 


 


ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ปะทะกัน 


 


 


เหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็ฝึกการป้องกันดูแลความปลอดภัยภายในจวน ฝีมือจึงไม่ได้อ่อนด้อยเท่าไหร่นัก เวลาเพียงไม่นานไม่อาจทราบได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะ ต่างฝ่ายต่างก็มีการบาดเจ็บไปตามๆ กัน 


 


 


หลังจากที่พ่อบ้านได้สติจากการตะลึง แล้วเห็นเหตุการณ์อันสับสนวุ่นวายเช่นนี้ จึงกวักมือเรียกคนรับใช้คนหนึ่งมาอย่างลนลาน สั่งเขาอย่างร้อนใจว่า “เจ้ารีบไปรอรับนายท่านที่กลางทาง บอกให้ท่านรีบกลับมาเร็วๆ” 


 


 


คนรับใช้รับคำสั่งแล้วเดินอ้อมกลุ่มคนที่กำลังปะทะกันอยู่ด้วยความระมัดระวัง แล้ววิ่งออกไปทิศทางวังหลวงอย่างรวดเร็ว 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะคอยควบคุมสติไปหมดแล้ว จนไม่สนใจภาพลักษณ์อันอ่อนโยนที่พยายามอย่างหนักเพื่อรักษาไว้ในยามปกติเลย ส่งเสียงแผดร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า “จัดการมัน ฆ่ามันให้ตาย ใครที่สังหารมันได้จะได้รับรางวัลอย่างงาม” 


 


 


เหล่าบรรดาองครักษ์ประจำจวนต่างก็ต่อสู้กันจนวุ่นวาย มีผู้ใดบ้างที่ได้ยินเสียงของเขา 


 


 


พ่อบ้านมองออกไกลๆ ด้วยความกระวนกระวายใจ คาดหวังให้ท่านเสนาบดีรีบกลับมาโดยเร็ว 

 

 

 


ตอนที่ 25-2 ไม่จำเป็นต้องออมมือ เป็นต...

 

ท่านเสนาบดีนั่งรถม้ากลับมาแล้ว ได้ยินเสียงรบราฆ่าฟันกันจากที่ไกลๆ ยังเกิดความรู้สึกแปลกใจขึ้น เป็นใครกันที่ช่างบังอาจเช่นนี้ กล้าลงมือใช้อาวุธในที่ที่มีผู้คนมากมายรวมถึงขุนนางอีกไม่น้อย 


 


 


ขณะที่ยังใคร่ครวญอยู่ คนรับใช้ที่มาส่งข่าวก็วิ่งมาหยุดอยู่หน้ารถม้าด้วยอาการเหนื่อยหอบ โดยไม่รอให้รถม้าหยุดลง เขาก็พูดขึ้นอย่างลนลานว่า “นายท่านขอรับ จวนของเรากับจวนอ๋องฉีต่อสู้กันแล้วขอรับ พ่อบ้านบอกให้ข้ามาส่งข่าวให้ท่าน” 


 


 


ท่านเสนาบดีตกตะลึง สั่งสารถีว่า “เร็ว เร็วขึ้นอีก” 


 


 


สารถีเงื้อแส้ฟาดหลังม้า รถม้าก็ตรงไปยังจวนเสนาบ่ดีอย่างรวดเร็ว 


 


 


คนรับใช้ก็รีบวิ่งตามหลังไป 


 


 


ที่หน้าประตูจวนเสนาบ่ดีต่อสู้กันจนวุ่นวาย คนที่มุงดูอยู่รอบๆ จากที่ไกลๆ โอบล้อมขวางทางอยู่ สารถีจึงตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ท่านเสนาบดีกลับจวนแล้ว หลีกทางไปให้หมด!” 


 


 


คนที่มุงดูอยู่ต่างก็รีบแหวกเป็นทางออกให้ทันควัน 


 


 


รถม้าขี่ผ่านกลุ่มคนที่มุงดูเข้าไป เสนาบดีเลิกผ้าม่านขึ้น แล้วตะโกนเสียงดุดันอย่างเกรี้ยวกราดกับองครักษ์ประจำจวนขึ้นว่า “พวกเจ้าหยุดประเดี๋ยวนี้!” 


 


 


องครักษ์ประจำจวนเสนาบดีเมื่อได้ยินเสียงนี้ดังขึ้นต่างก็ชะงักไปตามๆ กัน 


 


 


องครักษ์ประจำจวนอ๋องฉีก็ไม่ได้ลงมือต่อ หยุดต่อสู้ไปพร้อมกัน 


 


 


แต่ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มิได้ถอยร่นออกไป ยังคงถือกระบี่ประจัญบานกันอยู่  


 


 


เฮ่อเหลี่ยนราวกับเห็นเทพมาโปรดอย่างไรอย่างนั้น รีบวิ่งไปหาที่รถม้าทันที พร้อมกับกล่าวฟ้องท่านเสนาบดีที่เพิ่งจะลงจากรถม้าว่า “ท่านพ่อขอรับ ซื่อจื่ออ๋องฉีรังแกกันเกินไปแล้ว ไม่เพียงแต่พาองครักษ์ประจำจวนมาหาเรื่องถึงหน้าประตูเท่านั้น อีกทั้งยังสั่งให้คนมาตัดแขนลูกด้วย” พูดจบก็หันหลังให้เสนาบดีเห็นรอยเสื้อที่ขาด 


 


 


สามารถเป็นถึงตำแหน่งเสนาบดีได้จึงมิใช่คนธรรมดา ถึงแม้ภายในใจของเฮ่อจางจะรู้สึกโกรธ แต่ภายนอกกลับกล่าวถามหวงฝู่อี้เซวียนด้วยท่าทางอบอุ่นอ่อนโยน “ซื่อจื่อ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อธิบายให้เฒ่าชราฟังได้หรือไม่” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคำนับเขา กล่าวขึ้นง่ายๆ อย่างอ่อนน้อมทว่าไม่อ่อนข้อว่า “วันนี้ข้าพาโยวเอ๋อร์ไปร้านเครื่องประดับ เพื่อที่จะซื้อปิ่นทองให้นางเพื่อเป็นสิ่งของแทนใจ แต่บังเอิญว่าฮูหยินใหญ่ก็อยู่ที่ร้านเครื่องประดับร้านนั้นเช่นกัน แล้วก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใด จู่ๆ ก็ด่าประจานโยวเอ๋อร์แล้วก็ลงมือทำลายปิ่นทองอันนั้น เห็นแก่นางที่เป็นสะใภ้ใหญ่ของจวนเสนาบ่ดี พวกเราจึงระงับโทสะนี้ไว้ เพียงแต่ต้องการให้นางชดใช้เงินค่าปิ่นทองเพียงเท่านั้น นึกไม่ถึงว่านางกลับหยาบคายไร้เหตุผล ข้าทนไม่ได้จึงต้องพาองครักษ์ประจำจวนมาสองร้อยนายเพื่อมาทวงคืน แต่ก็ไม่คาดคิดว่าคุณชายใหญ่จะไม่แยกแยะผิดถูกแล้วออกมาด่าประจานโยวเอ๋อร์ ข้ามีโทสะจึงสั่งให้คนไปลงมือกับคุณชายใหญ่” 


 


 


เฮ่อจางหันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว ดวงตาที่สามารถทำให้คนรู้สึกหนาวสั่นได้มองนางอย่างประเมินคราหนึ่ง 


 


 


ท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปล่อยให้เขาพิจารณาดูอย่างไม่สะทกสะท้าน 


 


 


เฮ่อจางหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วเบนสายตากลับมาถามเฮ่อเหลี่ยนว่า “ที่ซื่อจื่อกล่าวเป็นความจริงหรือไม่” 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนรีบแก้ต่างเป็นพัลวัน “ท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้น เป็นเขาที่สั่งให้คนโยนฮูหยินของข้าออกมาจากร้านนั้น ทำเช่นนั้นมันเหมือนกับการตบหน้าจวนเสนาบดีของเราต่อของหน้าสายตาทุกคู่ ลูกโมโหจึงด่าว่านางคนนี้ไปไม่กี่คำ เขาก็ไม่พอใจ แล้วสั่งให้คนมาหักแขนหักขาของลูก” 


 


 


โดยไม่รอให้เฮ่อจางสอบถาม หวงฝู่อี้เซวียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมว่า “วันนี้มีคนมามุงดูมากมาย คำพูดของเจ้าเมื่อครู่นี้พวกเขาต่างก็ได้ยินกันหมด พวกเจ้าต้องการเรียกคนมาถามหรือไม่ ถามว่าเจ้าพูดว่าอย่างไรกันแน่” 


 


 


เฮ่อเหลียนหลบสายตา ไม่กล้ากล่าวอะไรต่อ 


 


 


เฮ่อจางเห็นท่าทางของเขาก็รู้แล้วว่าเขากำลังพูดปดอยู่ จึงยกเท้าขึ้นเตะบุตรชายที่ไร้สมองคนนี้ไปหลายครั้ง 


 


 


สี่ปีก่อนอ๋องฉีให้คนนำศีรษะของคนคนหนึ่งมามอบให้ต่อหน้าเขา เพื่อที่จะเตือนพวกเขาว่าให้สำรวมอาการบ้าง อย่าได้คิดที่จะทำเรื่องที่เป็นผลเสียต่อซื่อจื่อเด็ดขาด 


 


 


ตอนนี้ทั้งคนทั้งเรื่องก็มาถึงที่นี่แล้ว เขาย้ำนักย้ำหนาว่าหากเขาไม่มีคำสั่งห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด รอโอกาสอันเหมาะสมพวกเขาค่อยลงมือจัดการหวงฝู่อี้เซวียนสองคนแม่ลูก แล้วให้หวงฝู่อวี้ขึ้นเป็นซื่อจื่อ ใครจะคิดว่าบุตรชายที่ไร้สมองคนนี้จะไปหาเรื่องเขาเข้าจนได้ หวงฝู่อี้เซวียนจะต้องรู้อะไรอยู่บ้างเป็นแน่ จึงได้เอากองกำลังมาทวงเงินคืนถึงมากมายเพียงนี้ อีกทั้งยังไม่ยอมรามือไปง่ายๆ 


 


 


ระหว่างที่กำลังคิดทบทวนอยู่ในใจนั้น เฮ่อจางก็เสแสร้งแกล้งทำเป็นยิ้มออกมา กล่าวหลบเลี่ยงเรื่องที่สาหัสแล้วหันมาพูดเรื่องที่เบากว่าว่า “เรื่องของสตรีที่เห็นเครื่องประดับดีๆ อยู่ในมือของผู้อื่น จึงทำให้รู้สึกริษยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขอให้ซื่อจื่อเห็นแก่หน้าของข้าอย่าสืบหาความเรื่องนี้ต่อเลย ปิ่นทองราคาเท่าใดข้าจะชดใช้ให้ก็แล้วกัน” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นชอบ “ข้าก็ไม่อยากสืบหาความเรื่องนี้ต่อไปเช่นกัน ขอเพียงพวกท่านชดใช้เงินก็พอแล้ว…” 


 


 


เฮ่อจางถอนหายใจโล่งอก 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขึ้นอีกว่า “แต่ข้ามีเรื่องที่ไม่เข้าใจ โยวเอ๋อร์มาเมืองหลวงครั้งแรกไม่เคยมีปัญหากับพวกท่าน แต่คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่กลับด่าประจานนางครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดหรือ” 


 


 


เฮ่อจางจมอยู่กับความคิด นี่หวงฝู่อี้กำลังเตือนเขาอยู่ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำลงไปเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้นเขาทราบเป็นอย่างดี ที่วันนี้ขนกองกำลังมาก็เพื่อที่จะตักเตือน ถ้าขืนต่อไปพวกเขายังคิดสิ่งที่ไม่เหมาะสมแล้วล่ะก็ เกรงว่าเขาอาจจะพาองครักษ์ประจำจวนมาจัดการจวนเสนาบดีของเขาให้ราบเป็นหน้ากลอง  


 


 


ถึงอย่างไรนั่นก็คือสุนัขจิ้งจอกเฒ่า หลังจากที่หัวเราะฮ่าๆ อำพรางขึ้นมา แล้วเฮ่อจางก็เบี่ยงประเด็นกล่าวว่า “เรื่องในวันนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด เฒ่าชราต้องขออภัยซื่อจื่อแทนพวกเขา เฒ่าชรารับประกันว่าต่อไปพวกเขาจะไม่กล้าทำเช่นนี้อีก” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเขา ก็ปล่อยให้จบๆ ไป ท่าทีอ่อนลง “ท่านเป็นผู้อาวุโส อีกทั้งยังเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ในเมื่อท่านเอ่ยมาเช่นนี้ข้าก็จะไม่ซักไซ้เรื่องนี้ต่ออีก ขอเพียงท่านชดใช้ค่าปิ่นเงิน ข้าก็จะถอนกำลังออกไป” 


 


 


เฮ่อจางลอบสาปแช่งเขาอยู่ในใจนับร้อยนับพันครั้ง พร้อมกับคิดอย่างโกรธแค้นว่าในตอนที่ทำลายพวกเขาสองคนแม่ลูกลงได้จะต้องทรมานพวกเขาให้สาสมใจ  


 


 


เฮ่อจางพยายามทำให้ตัวเองสงบจิตสงบใจลง แล้วเผยรอยยิ้มแห่งความกรุณาออกมา แล้วกล่าวขึ้นอย่างเป็นมิตรว่า “เฒ่าชราขอบคุณซื่อจื่อที่ใจกว้าง ปิ่นทองราคาเท่าใด ข้าจะชดใช้คืนให้ท่านสองเท่า” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังถ่อมตนอยู่ กล่าวด้วยความเคารพว่า “ปิ่นทองนี้เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้โยวเอ๋อร์เป็นสิ่งงของแทนใจ เป็นของมีค่าที่ไม่สามารถตีราคาได้ ถ้าหากเป็นผู้อื่นทำพัง ข้าจะต้องให้เขาชดใช้จนสิ้นเนื้อประดาตัว จนต้องไปขอข้าวที่ข้างถนน แต่สำหรับท่านมิใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอน ข้าไม่ต้องการสิ่งใดมาก ท่านเอาให้หนึ่งแสนตำลึงก็เพียงพอแล้ว” 


 


 


ตอนที่เขาพูดออกไปได้ครึ่งเดียว เฮ่อจางก็รู้สึกไม่ค่อยดี แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด เพราะประโยคสุดท้ายนั้นทำให้เขาตัวสั่นสะท้าน หนึ่งแสนตำลึง เงินเดือนทั้งปีของเขาก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น 


 


 


เขายังไม่ได้กล่าวอะไร เสียงของเฮ่อเหลี่ยนก็ดังขึ้นอย่างฉุนเฉียวว่า “เจ้าอย่าทำเกินไปนัก ฮูหยินข้าบอกว่าตอนที่ซื้อปิ่นทองชิ้นนี้เจ้าจ่ายไปเพียงห้าพันตำลึงเท่านั้น เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าห้าหมื่นตำลึง มาตอนนี้กลับกลายเป็นหนึ่งแสนตำลึง นี่เจ้าจงใจตั้งตัวเป็นศัตรูกับจวนเสนาบดีชัดๆ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังมีสีหน้าคงเดิม กล่าวว่า “ฮูหยินใหญ่กล่าวไม่ผิด ตอนที่ซื่อปิ่นทองอันนี้มาจ่ายไปเพียงห้าพันตำลึงเท่านั้น แต่นั่นเป็นราคาจากร้านเครื่องประดับ แต่หลังจากที่ข้าซื้อมามอบให้โยวเอ๋อร์เป็นสิ่งของแทนใจ คุณค่ามันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ห้าหมื่นตำลึงเป็นราคาของมัน ห้าแสนตำลึงก็เป็นราคาของมัน หรือแม้แต่หนึ่งล้านก็ยังเป็นของมันเช่นเดิม สรุปแล้วสำหรับข้ากับโยวเอ๋อร์ของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ วันนี้ข้าเห็นแก่หน้าของท่านเสนาบดีถึงได้คิดราคากับพวกท่านหนึ่งแสนตำลึง หากเป็นผู้อื่นข้าจะไม่คิดราคาเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน” 


 


 


เฮ่อจางเป็นเสนาบดีมาหลายปี แต่ไหนแต่ไรมาเขาเองต้องเป็นคนที่คิดบัญชีกับผู้อื่น ไม่เคยมีครั้งใดที่ถูกคนคิดบัญชี พลันก็โมโหจนรู้สึกถึงความคาวที่อยู่ในลำคอ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงฝืนกลืนมันกลับลงไป น้ำเสียงที่ออกมามีความดุดันขึ้น “แค่เพียงพริบตาเดียวก็ทำให้ห้าพันตำลึงกลายเป็นหนึ่งแสนตำลึงไปได้ ซื่อจื่อจะไม่โลภไปหน่อยหรือ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มบางๆ “เดิมทีข้าต้องการแค่ห้าหมื่นตำลึงเท่านั้น แต่ว่าคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ดื้อดึงไม่ยอมเอาให้ อีกทั้งยังสั่งให้คนทำร้ายองครักษ์ประจำจวนของข้า ท่านก็ทราบดีว่าในตอนนี้จวนของเรามีชายารองเป็นผู้ควบคุมบ้าน อัตคัดขัดสนเงินทองยิ่งนัก ข้าจึงจำเป็นต้องเก็บค่ารักษาองครักษ์ประจำจวนจากท่าน” 


 


 


ขู่กรรโชกชัดๆ 


 


 


ขู่กรรโชคกันอย่างเปิดเผย 


 


 


เฮ่อจางเกือบจะกระอักเลือดออกมา โมโหจนตัวสั่นเทิ้ม 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนรีบเข้าไปพยุงเขา ร้องเรียกอย่างลนลานว่า “ท่านพ่อ” 


 


 


เฮ่อจางเอามือขึนมาปิดปากไม่ให้เขากล่าวอะไรขึ้นมาอีก ใบหน้าถมึงทึง ถามอย่างเดือดดาลว่า “ซื่อจื่อ เจ้าต้องการตัดขาดเช่นนี้จริงหรือ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มน้อยๆ เช่นเดิม “ท่านเสนาบดีคิดว่าข้าทำเกินไปหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้าไปคุยกันต่อหน้าเสด็จลุงฮ่องเต้ไหม ให้พระองค์เป็นผู้พิจารณา ดูสิว่าที่ข้าต้องการหนึ่งแสนตำลึงมันมากเกินไปหรือไม่” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนอายุยังน้อย เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง มีความรู้ความสามารถ ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเขายิ่งนัก ในตอนที่ไม่ได้ทำสิ่งใดมักจะเรียกให้เขาเข้าวังไปพูดคุย หากเรื่องนี้บานปลายไปจนถึงพระเนตรพระกรรณแล้วล่ะก็ จากท่าทางของฮ่องเต้ ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งแสนตำลึงเลย แม้แต่ห้าแสนตำลึงฮ่องเต้ก็อาจจะเห็นด้วย ที่เขากล้าทำเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าตนนั้นไม่กล้าให้เรื่องบานปลายไปจนถึงฮ่องเต้ 


 


 


ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ควรให้ทราบไปถึงฮ่องเต้เด็ดขาด แต่ว่าต้องสูญเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ตั้งแสนตำลึง เฮ่อจางก็ไม่ยินยอม 


 


 


ไตร่ตรองดูสักครู่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ เฮ่อจางจึงหันหน้าไปสั่งคนใช้ที่อยู่ข้างๆ ว่า “รีบไปเชิญท่านอ๋องมา บอกว่าข้ามีเรื่องเร่งด่วนจะปรึกษา” 


 


 


—————————- 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)