ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 228-233
ตอนที่ 228 ยากจะมีลูกสืบสกุล
ใต้จมูกมีลมหายใจอุ่นๆ ออกมาเบาๆ
หวงฝู่อี้เซวียนดีใจยิ่ง ค่อยๆ จับเมิ่งเชี่ยนโยวแยกออกจากชิงหลวนและอุ้มนางขึ้น สั่งเสียงขรึม “พาทุกคนกลับเมืองหลวงอย่างระมัดระวัง ไปส่งที่จวนอ๋อง”
พูดจบ อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดขึ้นบนหลังม้า แล้วออกแรงสะบัดบังเ**ยน เร่งให้ม้าตะบึงมุ่งไปยังเมืองหลวง
องครักษ์ลับหลายนายก็กระโดดขึ้นหลังม้า แล้วตามหลังไปติดๆ
องครักษ์ลับที่เหลือ ก็ไม่สนใจที่จะแยกแยะว่าใครชายใครหญิงอีก วางชิงหลวนกับจูหลีบนหลังม้าอย่างระวัง แล้วนำเหวินเปียวกับกัวเฟยที่หมดสติไปแล้ว พร้อมกับเหล่าองครักษ์ลับที่ได้รับบาดเจ็บมากน้อยต่างกัน หรือที่บาดเจ็บปางตายล้วนยกขึ้นบนหลังม้า
การปะทะต่อสู้ครั้งนี้รุนแรงมากจริงๆ รวมถึงคนใกล้ชิดของเมิ่งเชี่ยนโยวทุกคนล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในใจของพวกองครักษ์ลับเกิดความรู้สึกที่ทั้งตกตะลึงและโกรธเกลียดอย่างมาก เมื่อยกคนของตัวเองขึ้นหลังม้าแล้ว ก็ไม่สนคนอื่นที่ตายอยู่บนพื้น ปล่อยให้พวกเขาถูกหมาป่ากัดกินให้ร่างแหลกไป พวกเขาลอยตัวขึ้นบนม้า ตะบึงไปทางเมืองหลวงโดยที่พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้การสั่นโคลงของม้ากระทบบาดแผลของคนที่เจ็บ
ทั้งกายของเมิ่งเชี่ยนโยวเต็มไปด้วยเลือด หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้ว่านางบาดเจ็บที่ใดบ้าง ในใจก็ร้อนรนอย่างมาก เมื่อถึงประตูเมือง ก็เร่งม้าเข้าไปในประตูเมือง พลางโยนป้ายห้อยเอวให้กับองครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลัง “ไปที่สำนักหมอหลวง สั่งหมอหลวงเจียงให้พาหมอหลวงและหมอหญิงที่ดีที่สุดไปยังจวนอ๋อง”
องครักษ์ลับรับคำ รับป้ายห้อยเอวมา หลังจากเข้าประตูเมือง ก็หันหัวม้า มุ่งไปเส้นทางสู่สำนักหมอหลวงอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวตรงกลับมาถึงจวนอ๋อง
นายประตูที่จวนอ๋องเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่ทั้งร่างที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวที่เลือดไหลไม่หยุดเข้าประตูจวน ก็ตกใจจนมือเท้าอ่อน ไม่มีแม้แต่แรงที่จะเดินหรือตะโกนเรียก
คนรับใช้ของจวนอ๋องก็ตื่นตระหนกอย่างมาก ในขณะที่ตกใจพร้อมกันก็มีคนวิ่งโซซัดโซเซมารายงานต่อพระชายาฉี
หลายวันนี้ว่างไม่มีไรทำ พระชายาฉีจึงเตรียมชุดแต่งงานของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเสร็จแล้ว เวลานี้กำลังถือบนมือและถามหลิงหลงว่าสวยหรือไม่อย่างปลื้มปริ่มใจ
บ่าวรับใช้วิ่งกระย่องกระแย่งเข้ามาภายในเรือน ลืมแม้กระทั่งคำนับตามธรรมเนียม รายงานด้วยเสียงสั่นเครือ “พระชายาฉี เกิดเรื่องแล้วขอรับ! ซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งกลับมาด้วยร่างที่เต็มไปด้วยเลือดเลยขอรับ”
ชุดแต่งงานบนมือของพระชายาฉีร่วงลงพื้น พลันสีหน้าขาวซีด และมือเท้าชาไปบางส่วนทันที จึงหันกาย สาวเท้าไปยังที่ขอบประตูอย่างรวดเร็ว ถามด้วยเสียงร้อนรน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
บ่าวรับใช้ส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ซื่อจื่ออุ้มแม่นางเมิ่งเข้าไปในเรือนแล้วขอรับ”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของบ่าวรับใช้คนนี้ ก็มีบ่าวรับใช้อีกคนวิ่งจนแทบจะล้มกลิ้งเข้ามาในเรือน และรายงานว่า “พระ…พระชายาฉี เกิดเรื่องแล้วขอรับ สาวใช้ผู้ติดตามของแม่นางเมิ่งและบ่าวรับใช้ของตระกูลเมิ่งทั้งหมดล้วนมีบาดแผลเต็มตัว และได้ถูกส่งเข้ามาในจวนอ๋องแล้วขอรับ”
เบื้องหน้าพระชายาฉีมืดมัวขึ้น ร่างกายเริ่มโอนเอียง หลิงหลงจึงรีบไปพยุงนาง แล้วพูดว่า “พระชายา ท่านต้องรักษากายของท่านให้ดีนะเจ้าคะ”
พระชายาฉียกเท้าเพื่อจะเดินออกไปข้างนอก “เร็วเข้า พยุงข้าไปดู”
ในเวลาเดียวกัน อ๋องฉีก็ได้รับรายงานที่จากบ่าวรับใช้ที่ตกใจลนลาน จึงมาถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนก่อนแล้ว ครั้นเดินเข้าไปในห้อง สิ่งที่เข้ามาปะทะสายตาเป็นอย่างแรก คือร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดของหวงฝู่อี้เซวียน จากนั้นถึงจะเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ดวงตาทั้งคู่ปิดแน่น นอนอยู่บนเตียง บนกายมีเลือดไหลรินอย่างไม่ขาดสาย
“เซวียนเอ๋อร์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกเจ้าถึงได้บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้” อ๋องฉีถามด้วยเสียงดังแบบควบคุมไม่ได้
“ลูหไม่เป็นอะไรขอรับ เลือดบนกายเป็นของคนอื่น แต่โยวเอ๋อร์สิบาดเจ็บหนัก รบกวนเสด็จพ่อช่วยไปดูเสียหน่อยขอรับว่าทำไมหมอหลวงเจียงยังไม่มาเสียที” มองบนกายของเมิ่งเชี่ยนโยวที่มีเลือดไหลไม่หยุด หวงฝู่อี้เซวียนก็สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลังจากตอบอย่างลนลานแล้ว ก็ยื่นมือออก อยากจะตรวจสอบเมิ่งเชี่ยนโยวว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างกันแน่ แต่พอเห็นร่างที่มีแต่เลือดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มลงมือจากตรงไหนดี
อ๋องฉีก้าวเท้ายาวเดินออกมา
พ่อบ้านผู้ดูแลจวนอ๋องรุดหน้าเดินออกมาหา และรายงาน “ท่านอ๋อง คนพวกนี้บาดเจ็บสาหัสเหลือเกินขอรับ ภายในเรือนไม่ได้มียาห้ามเลือดมากขนาดนั้น…”
“สั่งคนไปตามเถ้าแก่เหวินที่ร้านยาเต๋อเหริน บอกเขาอย่างละเอียด ให้เขาเอายาห้ามเลือดทั้งหมดในร้านส่งมา” อ๋องฉีเดินไปพลางสั่ง
ผู้ดูแลจวนรับคำ แล้วส่งเด็กรับใช้ที่คล่องแคล่วคนหนึ่งไปยังร้านยาเต๋อเหรินโดยทันที
ยังเดินไปไม่ถึงประตูจวน หมอหลวงเจียงก็พาหมอหลวงสิบกว่าคนและหมอหญิงสามคนมาอย่างรีบร้อนโดยที่มีเหงื่อท่วมศีรษะ พอเห็นอ๋องฉี จึงคิดจะแสดงความเคารพ
อ๋องฉีโบกมือยั้งเอาไว้ “ช่วยคนสำคัญกว่า รีบไปเร็วเข้า!”
หมอหลวงเจียงพาทุกคนวิ่งเหยาะๆ เข้าไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน หมอหลวงเจียงกับหมอหญิงคนหนึ่งอยู่ แล้วคนที่เหลือก็มีผู้ดูแลจวนนำไปที่เรือนอื่น
พระชายาฉีได้มาถึงในห้องของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ครั้นเห็นสภาพหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยว ก็เกือบจะหมดสติไป ถามอย่างต่อเนื่อง “นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันได้ตอบ หมอหลวงเจียงนำหมอหญิงเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็สะอึกไป จากนั้นสั่งหมอหญิงด้วยเสียงที่เร่งรีบ “รีบไปรักษาแม่นางเมิ่งเร็ว”
ปกติแล้วหมอหญิงจะเป็นคนที่ตรวจชีพจรให้แก่บรรดาสนมของฮ่องเต้ในแต่ละตำหนัก ไหนเลยจะเคยพบเจออาการบาดเจ็บเช่นนี้ จึงตกใจจนตัวเกร็ง เดินเข้าไปด้านหน้าอย่างสั่นเทิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นหญิงสาว และยังเป็นซื่อจื่อเฟยในอนาคต ย่อมไม่เหมาะไม่ควรที่หมอหลวงเจียงจะอยู่ในห้องนี้ แต่ก็กลัวว่าวิชาแพทย์ของหมอหญิงจะไม่เชี่ยวชาญ แล้วทำให้อาการบาดเจ็บของแม่นางเมิ่งล่าช้า จึงได้แต่หันหลังไป แล้วพูดว่า “เจ้าตรวจดูแม่นางเมิ่งก่อน ลองดูว่าได้รับบาดเจ็บที่แห่งใดบ้าง และสาหัสเพียงใด”
พระชายาฉีเห็นท่าทางของหมอหญิงจึงเข้าไปช่วยเหลือ พลางสั่งหลิงหลง “ไปยกม่านบังลมเข้ามา” จากนั้นก็พูดกับหวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าไปนั่งบนเก้าอี้ก่อน อย่ายืนขวางอยู่ตรงนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนขยับกายถอยไปข้างหลังอย่างเชื่อฟัง แต่ไม่ได้นั่ง และยืนอยู่ไกลๆ เม้มปาก ตาจ้องไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กะพริบ
ม่านบังลมยกมา แล้ววางกั้นอยู่หน้าหมอหลวงเจียงและหวงฝู่อี้เซวียน
หลิงหลงยกเก้าอี้มาวางไว้ตรงหน้าสองคน เชิญทั้งสองคนนั่งลง
หมอหลวงเจียงนั่งลง หวงฝู่อี้เซวียนยังคงยืนอยู่
พระชายาฉีกับหมอหญิงนั่งลงบนผ้าปูเตียง แล้วถอดเสื้อผ้าบนกายเมิ่งเชี่ยนโยวออกอย่างระแวดระวัง พอเห็นแผลที่มีเลือดไหลออกมา หมอหญิงก็เผลอร้องออกมา “ท่านหัวหน้าหมอหลวงเจ้าคะ นี่ นี่ นี่…”
มือของหวงฝู่อี้เซวียนกำหมัดแน่น
“เป็นอะไรไปหรือ” หมอหลวงเจียงถามอย่างรีบร้อน
ริมฝีปากของหมอหญิงสั่นจนพูดไม่ออก
เวลานี้พระชายาฉีกลับนิ่งขรึม พูดอย่างใจเย็น “มีบาดแผลที่หน้าอก และลึกมาก น่าจะมีการใช้ยาห้ามเลือดแล้ว แต่ตอนนี้ยังคงมีเลือดไหลไม่หยุด ส่วนที่เหลือไม่มีแผลอะไร”
หมอหลวงเจียงเปิดกล่องยาที่นำติดตัวมา หยิบยาห้ามเลือดออกมาหลายขวด แล้วส่งให้แก่หลิงหลงทั้งหมดทันที “เอาทั้งหมดนี้ราดลงบนแผล”
หลิงหลงรับมา และถือไปที่ข้างเตียง
พระชายาฉีรับมาหนึ่งขวด เปิดจุกขวดออก แล้วราดลงบนแผลของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความว่องไว จากนั้นก็หยิบขวดต่อไป…จนกระทั่งได้ราดยาห้ามเลือดทั้งหมด เลือดของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงจะดูเหมือนว่าหยุดไหลแล้ว
พระชายาฉีโล่งอก พูดอย่างดีใจ “ห้ามเลือดได้แล้ว!”
หมอหลวงเจียงย่นคิ้ว ได้รับบาดเจ็บที่อก แล้วใช้ยาห้ามเลือดตั้งหลายขวด เกรงว่า…ทว่า ตัวเองยังไม่ได้ตรวจชีพจร หวังว่าทุกอย่างล้วนเพียงแต่การคิดมากไป จึงพูดต่อทันทีว่า “ดูจากสีหน้าของแม่นางเมิ่งแล้ว คาดว่าน่าจะเสียเลือดมากเกินไปขอรับ หากในจวนมีโสมแก่ชั้นดีหลายร้อยปี ก็สั่งคนให้ต้มมาส่วนหนึ่งเดี๋ยวนี้จะเป็นการดีที่สุด”
ร่างกายของพระชายาฉีไม่แข็งแรง จึงมียาบำรุงชั้นดีหลายชนิดที่เก็บไว้นานหลายปีเตรียมไว้อยู่ในเรือน บวกกับที่ฮ่องเต้และฮองเฮาพระราชทานให้ แต่ไม่รู้ว่ามีเท่าไร พระชายาฉีสั่งโดยพลัน “หลิงหลง ไปให้หัวหน้าพ่อบ้านนำโสมดีๆ ในจวนออกมามากหน่อย ต้มเป็นน้ำแกง แล้วให้คนที่ได้รับบาดเจ็บคนอื่นดื่มด้วย”
หลิงหลงรับคำ สาวเท้าเดินออกไป
ผู้ดูแลได้รับคำสั่ง ไม่กล้าชักช้า ก็หยิบโสมชั้นดีออกมาห้าหกต้น สั่งให้คนรีบไปต้มเป็นแกงโสม
หมอหลวงเจียงรับคำสั่ง “บาดแผลของแม่นางเมิ่งลึกเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเสียเลือดมากเกินไป จึงเคลื่อนไหวไม่ได้แม้แต่น้อย พวกท่านสองคนเช็ดตัวให้นางแล้วตรวจดูอย่างละเอียดว่ามีแผลที่อื่นอีกหรือไม่ ถ้าหากไม่มีก็ห่มผ้าให้นางมิดชิดเสียหน่อย ข้าจำเป็นต้องตรวจชีพจรให้นางขอรับ”
พระชายาฉีสั่งหลิงหลงยกน้ำอุ่นมา แล้วเช็ดตัวให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างทะนุถนอมหนึ่งรอบ และไม่พบว่าได้รับบาดแผลอะไรอีก
ในทุกๆ ขั้นตอน ด้วยความที่มือไม้ทำอะไรไม่ถูก หมอหญิงที่ตามมาจึงได้แต่ยืนอยู่ด้านข้างตลอด
พระชายาฉีถอนหายใจเบาๆ แล้วพูด “เจ้าออกไปก่อนเถิด ที่นี่ข้าทำเองก็แล้วกัน”
หมอหญิงเกือบจะร้องไห้ออกมา นางทุ่มเทแรงกายและใจถึงจะสอบเข้ามาในสำนักจนเป็นหมอหญิงได้ ถ้าหากถูกหมอหลวงเจียงไล่ออกจากสำนักหมอหลวงเนื่องด้วยเหตุนี้แล้ว เช่นนั้นอนาคตในภายภาคหน้านางจะต้องสูญสิ้นหมดเสียแล้ว จึงอ้าปาก ร้องขอเมตตา
พระชายาฉีสกัดคำพูดที่นางจะพูดออกมากลับไปด้วยเสียงที่เยือกเย็น “ออกไปเถิด ข้าไม่โทษเจ้าหรอก”
ได้ยินคำพูดนี้ แววตาของหมอหลวงเจียงก็ส่องประกาย
หมอหลวงหญิงเดินออกมานอกม่านบังลมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอาย
หมอหลวงเจียงมองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
พระชายาฉีห่มผ้าให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างมิดชิดด้วยความรอบคอบแล้ว ถึงจะสั่งคนให้ยกม่านบังลมออก และเชิญหมอหลวงเจียงเข้ามาใกล้เมิ่งเชี่ยนโยวเพื่อตรวจชีพจร
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาเช่นกัน
พระชายาฉีเช็ดใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวสะอาดแล้ว ทุกคนถึงจะเห็นสีหน้าของนางที่ซีดขาวยิ่งกว่าแผ่นกระดาษ
ไม่เพียงแค่หวงฝู่อี้เซวียนกับพระชายาฉี แม้แต่ในใจของหมอหลวงเจียงก็เคร่งเครียดขึ้นมาเป็นระยะ นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ส่งสัญญาณให้หลิงหลงนำมือของเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา
ไม่ต้องรอให้หลิงลงเอนตัวลง พระชายาฉีก็ก้มศีรษะลง แล้วคว้ามือขวาของเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาด้วยตัวเอง พร้อมล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมา แล้ววางทาบบริเวณข้อมือของนาง
หมอหลวงเจียงยื่นมือออกมา ตรวจชีพจรที่ข้อมือของนาง
คนในห้องล้วนกลั้นหายใจ มองหมอหลวงเจียงด้วยความอึดอัด
ผ่านไปนานมาก นานจนหลิงหลงรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะขาดอากาศหายใจแล้ว หมอหลวงเจียงถึงจะปล่อยข้อมือของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูด “โชคดีที่ไม่ได้บาดเจ็บโดนจุดตายขอรับ ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องชีวิต แต่เสียเลือดมากเหลือเกิน และร่างกายก็เสียหายอย่างหนัก อย่างน้อยครึ่งปีถึงจะฟื้นฟูขอรับ” พูดจบ ก็มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความสงสารแวบหนึ่ง การแต่งงานซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งเชี่ยนโยวต้องประสบกับความผันผวนแปรปรวนมากมาย กว่าจะได้รับพระราชอนุญาตจากฮ่องเต้ให้สองคนนี้ได้แต่งงานกันก็ยากมากอยู่แล้ว แม่นางเมิ่งกลับประสบกับเรื่องใหญ่โตเช่นนี้อีก เกรงว่าเดือนสิบอาจไม่สามารถแต่งงานได้ดั่งที่ปรารถนาแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ มองดูผ่านๆ ราวกับว่าไม่ได้หายใจ
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่บ้าง และไม่ได้พูดอะไร
พระชายาฉีกลับถอนหายใจโล่งอก พูดไม่ขาดสาย “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!”
ราวกับว่าคำพูดของนางทำให้หวงฝู่อี้เซวียนตกใจจนได้สติคืน มองหมอหลวงเจียง แล้วพูด “ข้าเปลี่ยนชุดก่อน รบกวนท่านหมอหลวงเจียงไปรอที่ห้องรับแขก ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะถามท่านเสียหน่อย”
หมอหลวงเจียงพยักหน้า เขาก็มีเรื่องที่ต้องพูดกับอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนพอดี ลุกตัวขึ้น เปิดกล่องยา เขียนใบสั่งยาส่งให้หลิงหลง พร้อมกำชับให้นางรีบไปนำมาต้มให้เดือด แล้วให้เมิ่งเชี่ยนโยวทาน จากนั้นปิดฝากล่องยา และเดินแบกออกไปด้านนอก
หมอหญิงเดินตามอยู่ด้านหลัง
หลิงหลงรีบตามไป นำสองคนไปยังห้องรับแขก
หวงฝู่อี้เซวียนถอดชุดนอกที่เปื้อนไปด้วยเลือด เดินไปยัง**บเสื้อผ้า หยิบเสื้อนอกออกมาชุดหนึ่ง เปลี่ยนอย่างเงียบๆ เสร็จแล้วถึงจะพูดกับพระชายาฉีว่า “เสด็จแม่ ท่านเฝ้าโยวเอ๋อร์สักพักนะขอรับ ข้าไปไม่นานก็จะกลับมา”
พระชายาฉีพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนหันตัวเดินออกไป
เห็นเงาของแผ่นหลังเขา พระชายาฉีก็ย่นคิ้วเล็กน้อย นางมักจะรู้สึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนมีบางอย่างแปลกประหลาดไป แต่ก็พูดไม่ออกว่าเป็นเพราะอะไร
ชิงหลวนกับจูหลีและองครักษ์ลับที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดถูกจัดไว้อยู่ในเรือนอีกเรือนหนึ่ง บ่าวรับใช้ของจวนอ๋องวุ่นวายเดินเข้าเดินออกกันอย่างไม่หยุดหย่อน
องครักษ์ลับที่ตามมาพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้พัก ช่วยหมอหลวงพันแผลให้แก่เหล่าองครักษ์ลับที่บาดเจ็บนั้น
ผู้ดูแลจวนก็ยุ่งจนเหงื่อท่วมศีรษะเช่นกัน ทั้งนอก ทั้งใน ทั้งเข้า ทั้งออก ต้องสั่งการไม่ขาดสาย
ขณะที่ผ่านประตูเรือน หวงฝู่อี้เซวียนเพียงแต่เอียงศีรษะมองเข้าไปด้านในแวบหนึ่ง แล้วข้ามผ่านประตูไป มาถึงห้องรับแขก
อ๋องฉีนั่งทำหน้าถมึงทึงอยู่ภายในห้องรับแขก
หมอหลวงเจียงนั่งตัวสั่นเทิ้มอยู่ในตำแหน่งที่เล็กกว่า ซึ่งอยู่ตำแหน่งที่มีระยะห่างไกลจากเขามาก เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา ถึงจะถอนหายใจโล่งอกได้บ้าง สีหน้าของอ๋องฉีทำให้คนต้องผวาเหลือเกิน ราวกับแทบอยากจะฆ่าคนอย่างไรอย่างนั้น
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงแล้ว ก็เอ่ยปากพูดตรงๆ “ร่างกายของโยวเอ๋อร์มีสภาพที่ไม่ดีอย่างไรกันแน่ ขอท่านหมอหลวงเจียงพูดตรงๆ เถิดขอรับ”
กลืนน้ำลายลง ลอบมองอ๋องฉีแวบหนึ่ง หมอหลวงเจียงพยายามปรับเสียงให้มั่นคงที่สุด แล้วบอกความจริงที่ตัวเองรับรู้ได้หลังจับชีพจรออกไป “บาดแผลที่บริเวณอกของแม่นางเมิ่งนั้นลึกมากเสียเหลือเกินขอรับ แม้ว่าจะรักษาได้หายแล้ว ต่อไปก็คงยากที่จะมีลูกสืบสกุลขอรับ”
ตอนที่ 229 โลหิตล้างจวนเฮ่อ
พรึ่บ เสียงอ๋องฉีลุกขึ้นยืน ถามอย่างตกใจด้วยเสียงที่ดุดัน “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
ร่างกายของหมอหลวงเจียงสั่นเทาโดยสัญชาตญาณ ควบคุมเสียงของตัวเองไม่ได้อีก จึงพูดอีกรอบด้วยเสียงสั่นเครือ
อ๋องฉีกระแทกนั่งกลับที่เก้าอี้ อี้เซวียนเคยบอกเขาไว้แล้วว่าชีวิตนี้จะแต่งงานกับเมิ่งเชี่ยนโยวแค่เพียงคนเดียว ถ้าหากนางมีบุตรยาก เช่นนั้นจวนอ๋องฉีของเขาก็…อ๋องฉีไม่กล้าคิดต่อไป และไม่ปรารถนาที่จะคิดต่อไปอีกด้วย จึงปิดตาอย่างทุกข์ระทม สีหน้าถมึงทึงยิ่งกว่าเมื่อครู่
ราวกับหวงฝู่อี้เซวียนคาดเดาได้ว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ตั้งแต่แรก อาการบนใบหน้าไม่มีการสะทกสะท้านใดๆ ยังคงนิ่งขรึมและถามด้วยเสียงที่นุ่มนวล “แล้วอย่างอื่นล่ะ ตัวคนมิได้ปัญหาใหญ่โตใช่หรือไม่”
ปฏิกิริยาของหวงฝู่อี้เซวียนกลับอยู่เหนือความคาดหมายของหมอหลวงเจียง เขาส่ายศีรษะ ตอบตามข้อเท็จจริง “ไม่มีขอรับ เพียงแค่นอนพักฟื้นอย่างดี ผ่านไปครึ่งปีร่างกายของแม่นางเมิ่งก็ไร้ซึ่งอันตรายแล้วขอรับ”
“ขอบพระคุณหมอหลวงเจียงมากขอรับ ต่อไปอาจจะต้องรบกวนท่านมาบ่อยๆ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่พูด หมอหลวงเจียงก็ต้องมาจับชีพจรทุกวันอยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นจึงรีบพูด “ซื่อจื่อเกรงใจไปแล้วขอรับ นี่เป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องทำ ก็สมควรแล้วขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะ “สาวใช้และลูกน้องของโยวเอ๋อร์ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ภายในเรือนอีกเรือน รบกวนหมอหลวงเจียงไปตรวจดูชีพจรของพวกเขาด้วยตัวเองอีกครั้งเสียหน่อย พยายามรักษาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ด้วยสุดแรง อี้เซวียนจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งขอรับ”
ตอนที่ข้ามมาที่ห้องรับแขก หมอหลวงเจียงก็ได้เห็นอีกเรือนหนึ่งมีบ่าวรับใช้เข้าๆ ออกๆ แล้ว พอได้ยินดังนั้น จึงยืนขึ้น พูด “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ ข้าจะไปตรวจดูเดี๋ยวนี้ขอรับ”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
หมอหลวงเจียงรีบสาวเท้าเดินออกไป
ภายในห้องรับแขกเงียบสงัด
ผ่านไปนาน อ๋องฉีถึงจะกัดฟันถามขึ้น “ใครทำ”
“เฮ่อเหลี่ยนกับเหวินเอ้อร์ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบเสร็จ ก็ลุกขึ้นยืน แล้วพูด “เสด็จพ่อ ท่านต้องดูแลภายในจวนให้ดี ข้าจะออกไปสักหน่อย”
อ๋องฉีก็ยืนขึ้นเช่นกัน “ไม่ต้อง ข้าไปเอง”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปทางเขา เห็นรอบตัวเขาแผ่ไอของสัตว์ป่าดุร้าย ก็รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อาจมีลูกได้ทิ่มแทงใจเขา จึงมิได้ห้ามปราม พูดว่า “องครักษ์ลับสามพันนายอยู่ในเมืองหลวง ข้าจะรีบสั่งคนให้ระดมพลมา ท่านพาพวกเขาไปเถิดขอรับ”
เรื่องขององครักษ์ลับ หลายปีมานี้อ๋องฉีแต่เพียงได้ยิน ไม่เคยได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่ว่า ในปีนั้นแม่ทัพอาวุโสสามารถเลือกคนจากผู้คนนับไม่ถ้วนออกมาสามพันนาย เพื่อฝึกฝนในการคุ้มกันเซวียนเอ๋อร์ได้ ฝีมือจะต้องไม่เลวอย่างแน่นอน และน่าจะแข็งแกร่งกว่าองครักษ์ในจวนของตนมาก จึงพยักหน้า รับคำ “ดี”
“ให้พวกเขาไปอย่างเอิกเกริกนะขอรับ ไม่จำเป็นต้องปิดบังสถานะของพวกเขาอีกต่อไป รอให้เรื่องนี้ผ่านไป ข้าจะให้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงได้โดยชอบธรรม ถ้าหากมีคนไม่พอใจ ตัวข้ามีแผนรับมือขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
คนที่จะไม่พอใจได้ก็มีแต่เพียงฮ่องเต้เท่านั้น ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน อ๋องฉียังเป็นกังวลบ้าง ทว่า ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เมิ่งเชี่ยนโยวถูกดูหมิ่นว่าเป็นปิศาจสิงร่าง และฮ่องเต้กลับเชื่อแล้วนั้น ในใจของอ๋องฉีก็ผิดหวังต่อพระเชษฐาคนนี้เป็นอย่างมาก เขาเข้าใจแล้วว่า พอนั่งตำแหน่งนั้นนานเกินไป ก็สูญสิ้นความสัมพันธ์เลือดเนื้อเชื้อไขใดๆ อีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องสำรวมเก็บเขี้ยวเล็บและทำตัวเป็นอ๋องที่ง่ายๆ สบายๆ คนหนึ่งอีก จึงพยักหน้าและรับคำ
สองพ่อลูกเดินออกไปนอกห้องรับแขกในเวลาเดียวกัน
อ๋องฉีเข้าไปในเรือนของตัวเอง เปลี่ยนเป็นชุดราชการประจำตำแหน่งอ๋อง
หวงฝู่อี้เซวียนก็มาในเรือนที่มีบ่าวเข้าออก สั่งกับองครักษ์ลับคนหนึ่งให้ไปส่งสารถึงเถ้าแก่ของเหลาจวี้เสียน โดยสั่งให้เขารีบส่งสารแก่องครักษ์ลับทั้งหมดว่า ให้มารวมตัวกันที่หน้าประตูจวนอ๋องหลังจากเวลาหนึ่งก้านธูป
อ๋องฉีสวมใส่ชุดอย่างเป็นระเบียบ เดินออกจากเรือน บ่าวภายในเรือนเห็นแล้วก็ต่างพากันประหลาดใจ โดยปกติอ๋องฉีจะสวมใส่เสื้อชุดทางการเมื่อเข้าร่วมหารือราชการเช้า เหตุใดวันนี้ใกล้จะพลบค่ำแล้ว อ๋องฉีกลับสวมชุดทางการ ไม่รู้ว่าต้องการจะไปทำอะไร
สีหน้าของอ๋องฉีเคร่งเครียด รอบกายมีไอสังหารแผ่ซ่าน ครั้นเดินออกไปนอกจวน ผู้ดูแลจวนที่กำลังออกมาสั่งบ่าวรับใช้ให้ต้มน้ำร้อนพอดี เห็นเงาด้านหลังของเขา ก็รู้สึกราวกับเห็นเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่นำทหารบุกเข้าพระราชวัง เบื้องหน้าก็มืดสลัวชั่วขณะ กว่าจะรอให้ได้สติกลับมา ไหนเลยจะมีเงากายของอ๋องฉีอีก
การเคลื่อนไหวของพวกองครักษ์ลับเร็วมาก เมื่อได้สัญญาณจากเถ้าแก่ ไม่ถึงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปก็มารวมตัวกันที่หน้าประตูจวนอ๋องโดยพร้อมเพรียงแล้ว
การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ย่อมทำให้คนที่อยู่รอบข้างตื่นตระหนก แต่ละคนส่งคนออกมาโผล่หัวสอดส่องการเคลื่อนไหวของทางด้านนี้
แน่นอนว่าก็ทำให้คนภายในจวนตื่นตระหนกด้วยเช่นกัน พวกบ่าวรับใช้พากันพูดวิพากษ์วิจารณ์ จนดังไปถึงหูของหลิงหลง และย่อมไปถึงหูของพระชายาฉีด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวกับคนของนางล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูก็รู้ว่าถูกคนวางกลอุบายลอบสังหาร พระชายาฉีใช้นิ้วเท้าหัวแม่โป้งคิด ก็รู้ว่าใครเป็นคนลงมือ ได้ยินคำพูดของหลิงหลง ความตกใจแต่เพียงน้อยก็ไม่มี สอดขอบผ้าห่มให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างมิดชิด แล้วพูด “ปล่อยท่านอ๋องไปเถิด ไม่ชำระแค้นครั้งนี้ ในใจนี้ของข้าก็อัดอั้นเจียนตายเหมือนกัน”
แผ่นหลังของอ๋องฉียืดตรง ภายในเสียงที่สงบนิ่งมีรังสีสังหารไร้ขอบเขต พูดกับเหล่าองครักษ์ลับทุกคน “วันนี้ พวกเจ้าฟังคำสั่งของข้า ตามข้าไปล้างแค้นให้แก่นายของพวกเจ้า”
“ขอรับ ท่านอ๋อง!” องครักษ์ลับสามพันนายรับคำเสียงกระหึ่มสะท้านฟ้า ก้องกังวานจนทำให้ในใจของคนที่มาลอบดูต่างไหวหวั่น ตกใจจนรีบกระวีกระวาดปิดประตูใหญ่ของจวนตัวเอง ปราดเข้าไปรายงานต่อเจ้านายของตัวเองทันควัน
สิบกว่าปีก่อน อ๋องฉีสั่งคนให้ฆ่าบ่าวรับใช้ที่ปกป้องพระชายาฉีที่ขี้ขลาดหนีเอาชีวิตรอด เรื่องที่เส้นทางของประตูจวนอ๋องนองไปด้วยเลือดแดงฉานได้ปรากฏขึ้นบนหัวของทุกคนอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าวันนี้ใครจะต้องเป็นผู้โชคร้ายเสียแล้ว ในใจทั้งหวาดหวั่นพรั่นพรึงและสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก จึงสั่งคนให้รีบไปสืบอีกครั้ง
อ๋องฉีไม่ได้ขี่ม้า สวมชุดราชการ สีหน้าบึ้งตึง สาวเท้ายาวๆ มุ่งไปด้านหน้า องครักษ์ลับสามพันคนก็ก้าวเดินตามหลังไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
พอถึงเวลาค่ำ คนเดินสัญจรบนถนนใหญ่มีน้อยมาก มีแต่เพียงคนเดินสัญจรไม่กี่คนที่เห็นเป็นเงาดำทึมๆ เมื่อคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา และเห็นแต่ละคนล้วนแผ่รังสีสังหาร จึงตกใจจนต้องรีบไปหลบอยู่ด้านข้าง
ผ่านถนนไปสองสาย ก็มาถึงจวนเฮ่อ
ประตูใหญ่ของจวนเฮ่อปิดสนิท ภายในจวนไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
อ๋องฉีโบกมือ ส่งสัญญาณให้องครักษ์ลับส่วนหนึ่งรุดเข้าไปข้างหน้า แล้วกระแทกชนประตูใหญ่ของจวนเฮ่อ
พลธนูแถวหนึ่งจากภายในกำแพงโผล่ออกมา ศรแต่ละดอกง้างบนสายคันธนู อยู่ในท่าที่เตรียมเล็งไปที่พวกเขา
อ๋องฉีเพียงแค่กวาดตามอง แล้วละสายตาออกราวกับไม่เห็นการมีอยู่ของพวกเขา แล้วพูดกับด้านในของประตู “เฮ่อจาง เจ้าคิดว่าแค่พลธนูพวกนี้จะต้านข้าไหวหรือ”
ภายในประตูมีเสียงหัวเราะที่ชั่วร้ายของเฮ่อจางดังออกมา “อ๋องฉี พลธนูเหล่านี้ของข้าล้วนเป็นพลธนูเก่งกาจหาตัวจับยาก หากท่านไม่เชื่อ ก็สามารถลองดูได้ ดูว่าคนของท่านเก่ง หรือพลธนูของข้าเก่งกว่ากัน”
ภายในเสียงของอ๋องฉีเต็มไปด้วยความดูแคลน “เฮ่อจาง เจ้ากับข้ารู้จักกันมาก็ไม่ใช่วันสองวันแล้ว ความสามารถของข้า เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ คนที่ข้าคิดจะกำจัด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครที่สามารถหนีรอดไปได้เลยนะ”
ก็เพราะว่ารู้ ข้าถึงได้ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างไรล่ะ เฮ่อจางพูดในใจ แน่นอนว่าคำพูดที่ทำลายความกล้าหาญของตัวเองเช่นนี้ไม่ได้พูดออกมา เดิมทีเขารอข่าวดีอยู่ในบ้าน แต่ว่าจนกระทั่งฟ้ามืดเฮ่อเหลี่ยนก็ยังไม่กลับมา เขาก็รู้ว่าพวกเขาพลาดแล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าเฮ่อเหลี่ยนจะไม่กลับมาอีก คนผมขาวอย่างตัวเองต้องส่งศพคนผมดำ ภายใต้ความเจ็บปวดจนแทบขาดใจนั้น ก็แอบระดมพลธนูทั้งหมดที่เตรียมไว้ในที่ลับ เพื่อเตรียมรับมือกับหวงฝู่อี้เซวียนที่จะมาหาเหมือนกับปลาตายที่หลุดเข้ามาในแห แต่เขานึกไม่ถึงว่า กลับเป็นอ๋องฉีที่มาด้วยตัวเอง ในใจก็ตื่นตระหนกขึ้นอย่างทวีคูณ
เสียงของอ๋องฉีดังเข้าหูของเขาอีกครั้ง “เห็นแก่ความรอบคอบ หากเจ้ายอมรับความตายแต่โดยดี ข้าก็จะเหลือศพให้เจ้าโดยสมบูรณ์ มิเช่นนั้นแล้ว ข้าจะให้เจ้าตายโดยที่ไร้ร่างฝัง”
เฮ่อจางเป็นมหาเสนาบดีมาหลายปี ทำเรื่องชั่วร้ายไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรประโยคนี้เป็นสิ่งที่ตัวเองพูดกับคนอื่น ไม่เคยนึกเลยว่าวันนี้จะเป็นตัวเองที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้เสียเอง จึงเงยหน้าหัวเราะขึ้นฟ้าอยู่นาน และพูดขึ้น “เป็นคำพูดที่อวดดียิ่งนัก รอเจ้าผ่านด่านพลธนูให้ได้แล้วค่อยว่ากันเถิด”
พูดจบ ก็สั่งพลธนู “ยิงได้!”
ศรธนูนับไม่ถ้วนพร้อมเสียงลมพุ่งตรงมาที่อ๋องฉีและเหล่าองครักษ์ลับ
ถ้าหากพาทหารองครักษ์ของจวนมา ธนูดั่งห่าฝนครั้งนี้ต้องทำให้พวกเขาบาดเจ็บและตายนับไม่ถ้วน แต่วันนี้ที่มาคือองครักษ์ลับ ตั้งแต่ที่พลธนูโผล่ออกมา ทุกคนก็เตรียมความพร้อมอย่างดีแล้ว เมื่อลูกศรถูกปล่อยออกมา คนข้างหน้าก็พากันกระโดดขึ้น และใช้กำลังภายในทำให้ศรที่กำลังเข้ามาตรงหน้าลอยออกไป องครักษ์ลับด้านหลังก็ถอยออกไปอีกสองก้าว ให้พวกเขาได้มีระยะถอย
มีธนูสองดอกลอยพุ่งมาที่อ๋องฉีอย่างรวดเร็ว
อ๋องฉีไม่ได้ขยับ และตาก็ไม่ได้กะพริบ ใช้กำลังภายใน โบกมือปัดศรนั้นร่วงหล่นลงพื้น แล้วสั่งด้วยเสียงเย็นชา “พังประตูใหญ่!”
เหล่าพลธนูเห็นลูกศรที่กระจายออกไปไม่ได้ทำให้ใครบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว มือเท้าก็เริ่มชุลมุนทำให้การเคลื่อนไหวที่จะง้างธนูอีกครั้งช้าลงเล็กน้อย องครักษ์ลับประมาณสิบคนก็สบโอกาสนี้กระโดดลอยขึ้นไปเหนือกำแพง ในมือมีแสงประกายที่เย็นยะเยือกผ่านไป ปาดคอของพลธนูโดยฉับพลัน
พลธนูเหล่านี้เชี่ยวชาญการยิงธนู แต่การต่อสู้ในระยะประชิดไม่ได้มีความสามารถพอที่จะต่อกรได้เลย ครู่เดียวก็ตายราบเป็นหน้ากอง
เฮ่อจางยืนอยู่ภายในเรือน มองไม่เห็นสถานการณ์ด้านนอก แต่เมื่อเห็นพลธนูถูกโจมตีครั้งเดียวและถึงแก่ความตาย มือเท้าวุ่นวาย และรีบโบกมือส่งสัญญาณให้แก่ทหารรักษาการณ์ภายในจวนสามร้อยนายที่ยืนอยู่ด้านหลังตัวเองเข้าไปช่วยเหลือ
ทหารรักษาการณ์ของจวนส่วนหนึ่งรุดไปด้านหน้า ต้านประตูใหญ่ที่กำลังจะถูกพังออกอย่างสุดชีวิต และทหารรักษาการณ์ของจวนอีกส่วนหนึ่งถืออาวุธหลากหลายชนิดเพื่อปะทะกับองครักษ์ลับที่อยู่บนกำแพง กวัดแกว่งฆ่าฟันอย่างอลหม่าน
องครักษ์ลับสิบกว่าคนข้ามกำแพงเข้ามาภายในจวน ปะปนกับทหารรักษาการณ์ของจวน
องครักษ์ลับที่เหลือรุดมาด้านหน้า ออกแรงช่วยกระแทกประตูใหญ่
ประตูใหญ่รับแรงกระแทกมาเช่นนี้ไม่ไหว เสียง โครม ดังขึ้นประตูพังล้มเข้ามาภายในจวน ทับทหารรักษาการณ์ที่ต้านอยู่ด้านในประตูตาย
ครั้งนี้ก็ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีกแล้ว อ๋องฉีก็นำองครักษ์ลับที่เหลือก้าวยาวเดินเข้ามาภายในจวน
องครักษ์ลับที่อยู่บนกำแพงจัดการพลธนูทั้งหมดแล้ว ทยอยกันกระโดดลงมา ปะปนสู้รบกับพวกทหารรักษาการณ์
ถ้าจะให้พูดดีหน่อย ทหารรักษาการณ์ของจวนเฮ่อก็คือคนที่คุ้มครองความปลอดภัยของทุกคนภายในจวน แต่พูดอย่างแย่ก็คือคนเฝ้าจวนดีๆ นี่เอง ความสามารถมีไม่เท่าไร จึงย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าองครักษ์ลับเป็นธรรมดา ในช่วงเวลาพริบตาเดียวทหารรักษาการณ์สามร้อยนายก็ล้วนนอนเป็นศพเรียงรายอยู่ตรงหน้าเฮ่อจางทั้งหมด
สีหน้าของเฮ่อจางเลิ่กลั่กไปชั่วขณะ พลันทำสีหน้าเป็นปกติอีกครั้ง
อ๋องฉียืนอยู่หน้าเฮ่อจางที่มีองครักษ์ลับล้อมคุ้มกันอยู่ด้านใน ยิ้มอย่างเยือกเย็น สั่งกับองครักษ์ลับ “นอกจากคนของตระกูลเฮ่อ ที่เหลือก็ไม่เอาไว้แม้แต่คนเดียว”
เสียงสั่งนี้ออกไป สีหน้าของเฮ่อจางเปลี่ยนไปโดยแท้จริง อ๋องฉีนี่มันจะข้าล้างนี่นา จึงรีบร้องเสียงดัง “บังอาจ!”
คนที่ตอบเขาคือเสียงรับคำของเหล่าองครักษ์ลับ
องครักษ์ลับหลายร้อยคนแยกย้ายออกไปทั่วสารทิศ ภายในจวนก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องตกใจทันที เพียงแต่ว่า เวลาเพียงพริบตาเดียว เสียงเหล่านี้ก็หายไปแล้ว
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม มีองครักษ์ลับสองคนหิ้วหลานชายสองคนของเฮ่อจางที่ตกใจจนร่างกายอ่อนชาไปหมด โยนมาตรงหน้าอ๋องฉี
หลานทั้งสองคนนี้อายุสิบหก สิบเจ็ดปีแล้ว เก่งกาจกว่าเฮ่อเหลี่ยนมาก เป็นสมบัติล้ำค่าของเฮ่อจาง ในทุกๆ วันเขาจะรักและเอ็นดูอย่างมาก เห็นพวกเขาในเวลานี้ตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งกาย เฮ่อจางก็เจ็บปวดใจเป็นที่สุด จึงพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้าปล่อยพวกเขาไป พวกเรามีอะไรก็คุยกันดีๆ”
เท้าหนึ่งของอ๋องฉีเหยียบลงบนกายคนหนึ่ง กล่าวเหน็บแนม “ตอนนี้เจ้ายังมีคุณสมบัติพอที่คุยกับข้าอีกหรือ”
เฮ่อจางถูกพูดย้อนยอก
หลานที่ถูกอ๋องฉีเหยียบเจ็บปวดจนร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง “ท่านปู่ ช่วยข้าด้วยขอรับ!”
ภายในเรือนไร้เสียงอันใด น่าจะเป็นเพราะพวกเขาฆ่าล้างจนหมดแล้ว เฮ่อจางรู้ว่าวันนี้ตัวเองหลบหนีได้ยาก จึงเอ่ยปาก ภายในเสียงมีการขอร้องอ้อนวอน “เจ้าปล่อยพวกเขาเถิด ข้าจะเอาชีวิตนี้แลกกับเจ้า”
อ๋องฉีเงยหน้ามองไปที่เขา มุมปากค่อยๆ เลิ่กขึ้นและเผยอออก เผยรอยยิ้มที่มืดทึมราวสัตว์โหยเลือด ยื่นมือออก องครักษ์ลับคนหนึ่งก็หยิบดาบที่อยู่บนพื้นเล่มหนึ่งส่งให้เขาอย่างนอบน้อม
ตามองเฮ่อเหลี่ยน ยกดาบขึ้นอย่างช้าๆ
เฮ่อจางรู้ว่าเขาจะทำอะไร เบิกตาโพล่งด้วยความพรั่นพรึง ยื่นมือออกไปห้ามโดยสัญชาตญาณ “อย่านะ!”
ดาบในมือของอ๋องฉีปักลงกลางอกของคนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
คนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าไม่ได้แม้แต่ส่งเสียงกระอักออกมา ศีรษะเอนไป สิ้นลมหายใจ
เฮ่อจางปวดใจจนเลือดกระอักออกมาจากปากอึกใหญ่
หลานอีกคนหนึ่งตกใจจนคลานไปทางเฮ่อจางไม่หยุด
อ๋องฉีไม่ได้ขวางไว้ แต่ทันทีที่เขาเพิ่งจะถึงตรงหน้าของเฮ่อจาง และเฮ่อจางก็กำลังยื่นมือออกไปเตรียมจะดึงเขา มีดในมือก็ลอยพุ่งไป แทงตรงเข้าที่หลังเขาอย่างนิ่งสนิท
เฮ่อจางมองร่างกายที่แข็งทื่อของหลานตัวเองตาค้าง มือที่ยืนออกไปก็ร่วงตกลง ศีรษะก้มต่ำลง พร้อมสิ้นลมหายใจไปอีกเช่นกัน
เลือดกระอักออกจากปากของเฮ่อจางอีกครั้งหนึ่ง ร่างกายโซซัดโซเซไม่หยุด ตะโกนร้องด้วยความเดือดดาล “ข้ากับเจ้ายังไม่จบ!”
อ๋องฉีกลับไม่ได้สนใจเขา หันตัวเดินออกไปด้านนอก สั่งด้วยเสียงเยือกเย็น “ไม่ไว้ชีวิตใครทั้งสิ้น!”
ตอนที่ 230 ฝ่าบาททรงพิโรธ
การเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตเช่นนี้ ทำให้คนในกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองตื่นตกใจ เมื่อเฮ่อจู้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการคนใหม่ของกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองควบม้ามาถึง ประตูใหญ่จวนเฮ่อก็ได้ล้มพังอยู่บนพื้น สีหน้าของอ๋องฉีเคร่งขรึมยืนอยู่ด้านนอกประตูจวน และภายในจวน แม้ว่าจะมีคนนับไม่ถ้วนเป็นเงาดำมืดๆ ยืนอยู่ แต่ก็ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย มีเพียงกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งออกตามลมที่พัดออกมาเป็นระลอก ลอยเข้าจมูกของเฮ่อจู้ และเข้าจมูกของทหารที่อยู่ด้านหลัง
เฮ่อจู้เป็นเครือญาติของเฮ่อจาง หลังจากที่ผู้บัญชาการโต้วต้องโทษไปเฝ้าประตูเมืองแล้ว เฮ่อจางก็ใช้อำนาจของตำแหน่งตัวเองแต่งตั้งตำแหน่งผู้บัญชาการให้แก่เขา
เมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้เมตตาของอ๋องฉี และได้กลิ่นคาวเลือดพัดเข้ามาที่ปลายจมูก เฮ่อจู้ก็รู้ว่าจวนเฮ่อน่าจะมีคนตายไม่น้อย แต่เขานึกไม่ถึงว่าอ๋องฉีจะฆ่าทุกคนที่อยู่ภายในจวนตายหมด ทว่า เขายังอยากจะพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่อย่างเฮ่อจางนี้ในคราที่เขาได้กลับมาผงาดขึ้นอีกครั้ง ตัวเองก็จะได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นอีก มือจึงชี้ไปที่อ๋องฉีและแผดร้องว่า “ช่างบังอาจนัก ใต้ผืนดินแห่งองค์ฝ่าบาทกลับกล้าฆ่าคนโดยตามใจชอบ จงยอมให้จับกุมแต่โดยเร็วเสีย แล้วข้าจะรายงานต่อฝ่าบาทให้เหลือศพเจ้าอย่างสมบูรณ์”
ถ้าหากว่าเขาตวาดใส่คนอื่น ทุกคนคงจะออกปากชื่นชมเขา จะบอกว่าเขาเกิดมาเป็นคนกล้าหาญแต่โง่เขลา ราวกับลูกวัวที่ไม่รู้จักเสือก็ได้ ต่อหน้านั้นเป็นผู้ใดกัน อ๋องฉี! พี่น้องท้องเดียวกับฮ่องเต้ เป็นบุตรแท้ๆ ของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นอ๋องที่มีสายเลือดเชื้อพระวงศ์แท้จริงเพียงคนเดียวแห่งรัฐอู่ เขาไม่เพียงแต่ไม่ลงจากม้ามาแสดงความเคารพ และยังนั่งอยู่บนม้ากล่าววาจาบ้าบิ่นออกมา นั่นก็คือโง่เขลาแล้ว แม้ว่าทหารที่อยู่ด้านหลังเขาเหล่านี้จะเงยหน้ามองแผ่นหลังเขาด้วยความสงสารหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ แต่ต่างก้าวถอยหลังออกไปสองก้าวอย่างเงียบๆ โดยมิได้นัดหมาย เพื่อห่างจากเขาไกลเสียหน่อย จะได้ไม่ให้ความโชคร้ายของเขาที่จะเกิดขึ้นในอีกประเดี๋ยวพลอยมาโดนตัวเองด้วย
และแล้ว อ๋องฉีก็หรี่ตาลง ประเมินเฮ่อจู้ด้วยสายตา เดินออกมาอย่างไม่เร่งรีบ
เฮ่อจู้ไม่ใช่ไม่รู้จักอ๋องฉี แต่เป็นเพราะเดิมทีเขาเป็นเครือญาติของเฮ่อจาง เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ได้เพราะพึ่งพิงเฮ่อจาง จึงย่อมเป็นขั้วปรปักษ์ของอ๋องฉี เมื่อเห็นอ๋องฉีออกมา ก็ยังคงร้องเอะอะอย่างบ้าคลั่ง “จงยอมให้จับกุมแต่โดยเร็ว แล้วจะไว้ชีวิตเจ้าให้ไม่…”
พูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกอ๋องฉีแทรกด้วยเสียงที่เ**้ยมโหด “ลากลงมา!”
องครักษ์ลับสองคนกระโดดออกมาจากด้านหลังของอ๋องฉี ตอนที่เฮ่อจู้ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ทั้งคู่ก็กระโดดมาถึงหน้าเขา คนหนึ่งฉุดแขนข้างหนึ่งของเขา แล้วโยนมาตรงหน้าของอ๋องฉีอย่างรุนแรง
เฮ่อจู้ก็มีวิชาการต่อสู้อยู่บ้าง มิฉะนั้นเฮ่อจางก็ไม่คงไม่สามารถดันเขาให้ไปถึงตำแหน่งผู้บัญชาการได้ แต่วิทยายุทธ์แค่เพียงเล็กน้อยของเขานั่นก็ไม่ได้ผลต่อหน้าองครักษ์ลับพวกนี้อยู่แล้ว เวลานี้ถูกโยนล้มลงจนมึนหัวตาพร่า หน้าแดงจมูกเขียว นัยน์ตาวิบวับเป็นประกายดาว เคลื่อนไหวไม่ได้
เสียงพูดของอ๋องฉีที่เยือกเย็นดังขึ้นจากหัวของเขา “ความกล้าของเจ้าได้มาแต่ผู้ใดกัน บังอาจพูดกับข้าเช่นนี้ได้”
ก็ไม่รู้ว่าเฮ้อจู้ล้มจนสับสนงงงวย หรือว่ามีกล้ามเนื้อน้อยแต่กำเนิด หรือว่าอยากจะบอกกับคนในจวนที่เข้าใจว่ายังมีคนฟังอยู่ ขณะที่คลานบนพื้น ก็พูดเสียงดังอย่างไม่คาดคิด “เจ้ารู้กฏแต่ละเมิดกฏ ดูแคลนชีวิตคนดั่งใบไม้ใบหญ้า ผู้บัญชาการอย่างข้าปฏิบัติตามกฎหมายอย่างชอบธรรม เจ้ายังกล้าเอาสถานะมากดขี่ผู้อื่น ตัวข้าไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ของเจ้า…”
พูดยังไม่จบ อ๋องฉีก็เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบที่ศีรษะของเขา
หน้าของเฮ่อจู้เบียดแนบไปกับพื้นแน่น
จมูก ปากล้วนถูกกดไว้ด้านล่างทำให้หายใจไม่ออก ร่างของเฮ่อจู้ดิ้นรนสุดแรง สองเท้าสะบัดไม่หยุด สองมือยกสูงขึ้นเหนือศีรษะ กวัดแกว่งกันว่อน ราวกับอยากจะจับเท้าของอ๋องฉีเอาไว้
เท้าของอ๋องฉียิ่งออกแรงหนักขึ้น การเคลื่อนไหวของเฮ่อจู้ก็ยิ่งดิ้นรนอย่างบ้าระห่ำมากขึ้น
เหล่าทหารกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองที่ตามเขามาหลายปีแล้ว เพิ่งจะเห็นอ๋องฉีมีท่าทีที่ดุร้ายเช่นนี้ครั้งแรก ในใจก็รู้สึกครั่นคร้าม แล้วถอยออกไปหลายก้าวอีกครั้งโดยพร้อมเพรียง
เฮ่อจู้ดิ้นไม่หยุด และยังเปล่งเสียงร้องอู้อี้ ออกมา
อ๋องฉีราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น เท้าก็ยิ่งออกแรงหนักขึ้น ผ่านไปสักพัก ท่าทางที่ดิ้นรนของเฮ่อจู้อ่อนลงอย่างช้าๆ จนไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก สุดท้ายร่างกายแน่นิ่ง และสิ้นลมหายใจในที่สุด
ใบหน้าไร้อารมณ์ที่มองร่างของเฮ่อจู้ค่อยๆ แข็งทื่อแล้ว อ๋องฉีถึงจะปล่อยเท้า แล้วกวาดตามองเหล่าทหารอย่างไม่ใส่ใจ
อากาศได้เข้าสู่เดือนหกแล้ว แต่พวกทหารกลับรู้สึกว่ามีความหนาวเป็นระลอกพัดผ่านบนกาย และทำให้แต่ละคนหนาวสั่นพร้อมกัน
“มีใครอยากจะคิดบัญชีกับข้าก็เดินออกมา” เสียงของอ๋องฉีไม่ดัง แต่ก็พอให้พวกทหารได้ยินอย่างชัดเจน พากันส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ แล้วก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าวพร้อมๆ กัน
“ลากทุกคนออกมา แล้วประจานศพเป็นเวลาสามวัน ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าใกล้” อ๋องฉีสั่งกับองครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลัง น้ำเสียงสงบ ไม่มีความหวั่นไหวใดๆ
พวกองครักษ์ลับรับคำ หันหลังกลับไปในจวน ยกศพทีละศพออกมา วางไว้ประตูจวนเป็นแถวเรียงยาวกันทั้งหมด
เหล่าทหารกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองมองศพที่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตกใจจนขาสั่น อยากจะถอยหลังกลับไม่กล้า อยากจะเข้าไปช่วยเหลือ ก็ไม่กล้า ขาทั้งสองคู่ที่สั่นเทา ได้แต่ยืนอยู่ที่ไกลๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ทั้งตระกูลเฮ่อ คนใช้ ข้าทาสบริวาร ทหารรักษาการณ์ในจวน องค์รักษ์ลับทั้งหมดสี่ร้อยแปดสิบคน ไม่มีปล่อยไว้แม้แต่คนเดียว ทั้งหมดล้วนถูกอ๋องฉีสั่งฆ่าให้ตาย ไม่นานข่าวนี้ก็แพร่กระจายออกไปทั่วเมืองหลวง แพร่ไปถึงหูของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อย แพร่ไปถึงฮองเฮาในพระราชวัง และไปถึงห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้
ได้ยินขันทีประจำตัวรายงานอย่างระมัดระวัง ฮ่องเต้ที่กำลังอ่านเอกสารราชการอยู่นั้น ก็เขวี้ยงเอกสารราชการลงพื้นอย่างแรง โกรธจนตัวสั่น และพูดด้วยเสียงสั่น “บังอาจ อยู่ในใต้ตอบเขตของข้าแล้วยังทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ได้ ในสายตาของเขายังมีข้าผู้เป็นฮ่องเต้นี้อยู่อีกหรือไม่”
ไม่มีคนพูด คนทุกคนล้วนคุกเข่าบนพื้นอย่างสั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมา
“สั่งให้เจ้าระยำนี่เข้ามาพบข้าที่พระราชวังเดี๋ยวนี้!” ฮ่องเต้พูดด้วยเสียงดาลเดือด
ขันทีผู้ดูแลรับคำ คลานออกจากห้องทรงพระอักษรแล้วถึงจะลุกขึ้นยืน ซับเหงื่อบนหน้าผาก วิ่งออกไปถ่ายทอดกระแสรับสั่งอย่างรีบร้อน
ได้ยินคำของกูกูผู้ดูแลแล้ว ฮองเฮารู้สึกแต่เพียงเบื้องหน้าที่มืดทะมึนขึ้น เจ้าจิ้งเอ๋อร์คนนี้ สำแดงความบ้าอะไรกัน นึกไม่ถึงว่าจะฆ่าล้างทั้งจวนของเฮ่อจางอย่างบังอาจโจ่งแจ้งเช่นนี้ ถ้าหากฮ่องเต้ลงโทษเขา ชีวิตนี้ของเขาก็ยากที่จะรักษาไว้เสียแล้วสิ คิดถึงตรงนี้ ก็รีบสั่งกูกูผู้ดูแล “เร็ว สั่งคนไปสืบสาวว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ที่ทำให้เขาทำเรื่องบ้าคลั่งได้เช่นนี้”
ขันทีที่ถ่ายทอดกระแสรับสั่งมาถึงประตูจวนเฮ่อ องครักษ์ลับยังคงยกศพออกมาด้านนอก
เห็นคนตายที่นอนเรียงแถวอยู่บนพื้น และมองไม่เห็นหัวแถว ในใจของขันทีผู้ถ่ายทอดกระแสรับสั่งก็สั่นเทิ้ม ตัวสั่นระริกเดินมาตรงหน้าอ๋องฉี โค้งตัวลง พูดด้วยความพินอบพิเทา “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านรีบเข้าพระราชวังเดี๋ยวนี้ขอรับ”
อ๋องฉีคาดเดาได้อยู่แล้ว จึงผ่านขันทีผู้ถ่ายทอดกระแสรับสั่งไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เดินไปยังหน้าม้าที่เฮ่อจู้เพิ่งจะขี่มา กระโดดตัวขึ้นบนม้า แล้วขี่ไปยังพระราชวัง
ขันทีผู้ถ่ายทอดกระแสรับสั่งเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เดินกลับไปอย่างเร่งรีบ
ในเวลาปกติประตูพระราชวังได้ลงกลอนแล้ว แต่วันนี้ได้รับพระบัญชาของฮ่องเต้ ประตูพระราชวังยังคงเปิดออก อ๋องฉีมาถึงหน้าประตูพระราชวัง ลงจากม้า ทิ้งบังเ**้ยน และเดินมุ่งเข้าไปที่ห้องทรงพระอักษร
มีเพียงทหารอวี้หลินที่เฝ้าประตูพระราชวังกุลีกุจอมาเก็บบังเ**ยนอยู่ด้านหลัง
ตรงมาถึงหน้าประตูห้องทรงพระอักษร ไม่ต้องรอให้ขันทีป่าวร้องรายงาน ก็เดินเข้าไป ยังไม่ทันยืนนิ่งดี ก็มีเอกสารราชการเล่มหนึ่งลอยมาทางเขา ตามมาด้วยเสียงตวาดด่าอย่างโกรธเคืองของฮ่องเต้ “เจ้าคนระยำ ทำเรื่องวินาศใหญ่หลวงเช่นนี้ วันรุ่งพวกคนเฒ่าหัวรั้นในสำนักวินิจฉัยเหล่านั้นจะต้องทำให้เราจมในกองน้ำลายให้ได้เป็นแน่”
อ๋องฉีไม่หลบไม่หลีก ปล่อยให้เอกสารราชการกระแทกเข้าร่างของตัวเอง พอตกลงพื้น ก็พูดด้วยเสียงที่ใจเย็นว่า “พวกคนเฒ่าหัวรั้นเหล่านั้นก็ควรจะเกษียณกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้แล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตกใจ แต่ไหนแต่ไรมาอ๋องฉีสุภาพนอบน้อม มีสัมมาคารวะกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยในวังเสมอ ไม่เคยเห็นว่ามีใครขัดหูขัดตาเขาเลย และไม่เคยพูดคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าพระองค์มาก่อน วันนี้กลับอ้าปากพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด ทว่า กลับยิ่งทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วมากขึ้น “เจ้าพูดง่าย นั่นมันคนร้อยกว่าชีวิต แค่พริบตาเดียว ก็ถูกเจ้าฆ่าตายหมดแล้ว แม้ว่าจะทำให้พวกคนเฒ่าสำนักวินิจฉัยนั้นเกษียณกลับบ้านไปได้ แต่ปากของคนเล่า จะสามารถอุดเอาไว้ได้หรือ”
คำตรัสของพระองค์ออกไป นางกำนัลและขันทีที่ดูแลอยู่ภายในห้องทรงพระอักษรต่างอึ้งไปพร้อมกัน พวกเขาไม่เคยได้ยิน และไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงเรียกบรรดานายท่านในสำนักวินิจฉัยว่าพวกคนเฒ่า นี่ นี่ นี่…ชัดเจนว่าถูกอ๋องฉีทำให้กริ้วจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้เสียแล้ว
ฮ่องเต้ก็ไม่รู้สึกตัว ขณะที่จะตรัสต่อไป
เสียงที่ไม่สนใจของอ๋องฉีดังขึ้นอีก “ไม่ต้องอุดหรอก ข้าก็อยากจะให้ประชาชนรู้นั่นแหละว่าข้าฆ่าล้างทั้งจวนเฮ่อจาง มีใครอยากจะล้างแค้นแทนเขา ก็มาหาข้าได้เลย”
“เจ้า…” ฮ่องเต้ถูกทำให้กริ้วจนตรัสไม่ออก หยิบแท่นหมึกข้างพระหัตถ์โยนใส่อ๋องฉี
อ๋องฉีก็ยังคงไม่หลบ แล้วแท่นหมึกก็กระแทกเข้าที่หน้าผากของเขา ในชั่วขณะนั้น น้ำหมึกและเลือดก็ไหลออกมาผสมกัน
ฮ่องเต้ทรงผงะไป
อ๋องฉีไม่พูด ก้มศีรษะมองน้ำหมึกที่ปนด้วยเลือดหยดลงบนเสื้อผ้าของตัวเอง เบ้มุมปากอย่างเย้ยเยาะ
ไม่เคยเห็นอ๋องฉีเป็นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ฮ่องเต้รู้สึกกระสับกระส่ายไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ไม่ยอมลดละศักดิ์ศรีที่จะตรัสขอโทษ และสั่งนางกำนัลที่อยู่ด้านหนึ่ง “เหม่ออะไรอยู่เล่า ยังไม่รีบไปหาอะไรมาเช็ดให้อีก”
นางกำนัลที่ถูกภาพตรงหน้านี้ทำให้ตกใจจนแข็งทื่อ ได้สติคืนมา ครั้นจะไปด้านหน้า เสียงที่เย็นชาของอ๋องฉีก็ดังขึ้น “ไม่ต้องหรอก คนของจวนเฮ่อข้าก็ได้ฆ่าแล้ว ถ้าหากเสด็จพี่รู้สึกว่าไม่อาจให้อภัยข้าได้ ก็ตัดสินโทษเสียเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงที่เย็นยะเยือกของเขา ไม่มีความรู้สึกใดๆ ไม่มีท่าทีที่สนิทสนมเหมือนกับอดีตที่เป็นพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันแม้แต่น้อย ฮ่องเต้กระสับกระส่ายไปบ้าง น้ำเสียงผ่อนลง “เจ้าสังหารคนทั้งจวนเฮ่อ ก็ควรให้ข้ารู้ว่าเพราะเหตุใด”
อ๋องฉีกวาดสายตามองคนในห้องทรงพระอักษร
ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้สั่งทุกคน “ทุกคนออกไปให้หมดเถิด หากไม่มีคำสั่งของข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าใกล้”
ทุกคนต่างรับคำ และถอยออกไปโดยพร้อมเพรียง ภายในห้องทรงพระอักษรเหลือแต่เพียงฮ่องเต้และอ๋องฉีสองคน
ครึ่งชั่วยามผ่านไป อ๋องฉีเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษรด้วยสีหน้าที่เหมือนปกติ มุ่งไปยังประตูพระราชวัง
จากนั้นก็มีรับสั่งดังออกมาจากในห้องทรงพระอักษร “เฮ่อจาง ช่างกล้ายิ่งนัก แอบใช้สถานะสามัญชนธรรมดาร่วมกับเฮ่อเหลี่ยนลูกชายของเขาลอบสังหารองค์หญิงชิงเหอ ทำให้องค์หญิงชิงเหอบาดเจ็ดสาหัสไม่ฟื้น โทษนี้มิอาจละเว้นได้ ทว่า นึกถึงที่เคยทำคุณประโยชน์ให้แก่ราชวงศ์มาหลายปี จึงพ้นโทษฆ่าล้างเก้าชั่วโคตร ส่วนทั้งตระกูลเฮ่อล้วนต้องถูกประหารโดยสิ้น พร้อมกับประจานศพเป็นระยะเวลาหนึ่งวัน แล้วทิ้งไปที่สุสานรกร้าง”
พระราชโองการออกไป ทั้งเมืองก็เกิดเสียงฮือฮา
เฮ่อผินเฟยที่ได้ยินข่าวนี้ก็หมดสติไปตรงนั้น มีเพียงองค์ชายหกที่อยู่ห่างไกลไปหลายร้อยลี้นั่งอยู่บนรถม้าที่โคลงเคลง และยังคงกำลังหลับฝันหวานอยู่
ตระกูลของเฮ่ออีกเก้าตระกูลที่ได้รับการเว้นโทษ ล้วนรู้สึกว่าหลังคอมีลมหนาวๆ ส่วนพวกคนเฒ่าในสำนักวินิจฉัยก็ไม่ได้พูดอะไร
หวงฝู่อวี้ที่เพิ่งกลับมาถึงจวนหลังจากไปที่โรงงาน เห็นภาพเหตุการณ์ในจวนก็ตกใจสะดุ้ง และข่าวนี้ก็ทำให้เขาตื่นตระหนกจนเหม่อไป จากนั้นก็กระชากเสื้อผ้าของบ่าวรับใช้อย่างไม่อยากเชื่อ และถามด้วยเสียงที่ดุร้าย “เจ้าพูดอะไร พูดอีกทีสิ!”
บ่าวรับใช้พูดอีกครั้งหนึ่งอย่างสั่นระริก ครั้งนี้หวงฝู่อวี้ได้ยินชัดแล้ว จึงคลายมือออกแล้วกระแทกก้นนั่งบนเก้าอี้ นั่งเหม่อเหมือนกับคนไร้วิญญาณ ไม่ได้พูดอะไร
อ๋องฉีออกจากประตูพระราชวัง กลับมาถึงหน้าประตูของจวนเฮ่อ
พวกองครักษ์ลับขนศพทั้งหมดออกมา วางไว้ที่หน้าประตู สั่งคนให้ผลัดเวรกันเฝ้าแล้ว อ๋องฉีก็นำองครักษ์ลับส่วนใหญ่กลับจวนอ๋องไป
ทหารกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิม ตัวเองก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เมื่อเห็นเขาไปแล้ว ถึงจะถอนหายใจโล่งอก มองหน้ากัน แล้วเดินมุ่งไปทางอื่นโดยไม่ได้นัดหมาย ในเมื่อผู้บัญชาการเฮ่อตายแล้ว พวกเขาอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีใครสั่งการ สู้กลับไปรอที่กองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองดีกว่า
แสงไฟในจวนอ๋องสว่างไสวราวกับเป็นยามกลางวัน บ่าวรับใช้ภายในเรือนยังคงวุ่นวายเดินเข้าๆ ออกๆ กันไม่หยุด
แต่ภายในห้องของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวที่ดื่มยาและน้ำแกงโสมแล้วยังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ฟื้น หากไม่ใช่เป็นเพราะหน้าอกของนางที่ยังคงเผยิบเบาๆ สีหน้าที่ซีดขาวนั่นก็คงทำให้คนที่เห็นในแวบแรก คิดว่าตายไปแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ข้างเตียงไม่ขยับ จ้องนางเขม็ง นัยน์ตามีความรู้สึกผิดและโทษตัวเองอย่างลึกซึ้ง
พระชายาฉีก็มีใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
หลิงหลงเดินเข้ามาเบาๆ แล้วรายงาน “พระชายาเจ้าคะ ท่านอ๋องกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีผงกศีรษะเพื่อแสดงออกว่ารับทราบแล้ว
แต่หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน เดินไปด้านนอกโดยไม่พูดสักคำ
พระชายาฉีอ้าปาก กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
เดินออกไปนอกเรือน เห็นอ๋องฉีที่ทั้งกายดูมอมแมมทุลักทุเล อารมณ์ภายในดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนมีความไม่ชัดเจน และเอ่ยปากขึ้น “เสด็จพ่อ ลำบากท่านแล้ว ต่อไปก็ให้เป็นหน้าที่ลูกเถิดขอรับ”
ราวกับรู้ว่าต่อไปเขาจะทำอะไร อ๋องฉีพยักหน้า แล้วกำชับ “ระวังเสียหน่อยล่ะ!”
ตอนที่ 231 ฆ่าล้างหมู่บ้านตระกูลหมิง
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ก้าวเท้ายาวข้ามออกไปด้านนอก
องครักษ์ลับนับพันนายยืนนิ่งอยู่ด้านนอกจวน เงียบสงัดไร้เสียง
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไป ยืนอยู่หน้าประตูจวน องครักษ์ลับทั้งหมดตะโกนพร้อมเพรียงกัน “นายท่าน!”
เสียงตะโกนร้องกึกก้องสะท้านฟ้า ทำเอาคนที่อยู่ภายในจวนแตกตื่น และทำให้คนที่อยู่รอบจวนอ๋องแตกตื่นด้วยเช่นกัน ไม่นานก็มีคนจำนวนไม่น้อยชะโงกศีรษะออกมามองด้านนี้อย่างสงสัยใคร่รู้
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า พูดเสียงดัง “สิบกว่าปีแล้ว พวกเจ้าต้องหลบซ่อนอยู่ในที่ลับ ไม่เห็นแสงตะวัน ตั้งแต่วันนี้ต่อไป พวกเจ้าก็จะได้ยืนอยู่ใต้แสงตะวันอย่างชอบธรรม และคอยรับฟังคำสั่งของข้า”
ท่าทางของพวกองครักษ์ลับตื่นเต้น ตั้งแต่ที่หวงฝู่อี้เซวียนสูญหายไป พวกเขาก็แฝงนามและปลอมเป็นสถานะต่างๆ หลบซ่อนอยู่แต่ละแห่ง หลายปีนี้ ไม่เคยมีใครเรียกพวกเขา พวกเขาเกือบจะลืมหน้าที่ของตัวเองเสียแล้ว บัดนี้ คำพูดไม่กี่คำของหวงฝู่อี้เซวียน ก็เป็นการบอกแก่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อไปพวกเขาก็ไม่ต้องเร่ร่อนตามแห่งต่างๆ อีกแล้ว ไม่มีใครที่เป็นคนธรรมดาสามัญแล้ว แต่จะเป็นองครักษ์ลับแกร่งกล้าที่ทำให้คนได้ยินชื่อก็กลัวจนตัวสั่น
หวงฝู่อี้เซวียนเปล่งเสียงดังพูดอีกครั้ง “วันนี้ มีเรื่องที่สำคัญสองเรื่องที่จะมอบหมายให้พวกเจ้าไปทำ หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
พวกองครักษ์ลับมองเขาอย่างรอคอย
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดสายตามองพวกเขา แล้วเปล่งเสียงถาม “ผู้บัญชาการองครักษ์ลับอยู่ที่ใดกัน”
ผู้ชายที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำเดินออกมา ประสานมือคารวะ “ข้าน้อยนามว่าโจวอัน รับหน้าที่ผู้บัญชาการองครักษ์ลับแห่งเมืองหลวง ขอนายท่านโปรดรับสั่งขอรับ”
“กัวเฟยได้รับบาดเจ็บ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นหัวหน้าที่ดูแลองครักษ์ลับสามพันนาย และฟังคำสั่งจากข้าโดยตรง”
“ข้าน้อยรับบัญชาขอรับ!” โจวอันเปล่งเสียงดังรับคำ
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า กวักมือเรียกโจวอัน
โจวอันเดินมาข้างหน้า ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา เอนกายลง และฟังคำสั่งของเขา
หวงฝู่อี้เซวียนกระซิบสั่งไม่กี่คำ
โจวอันผงกศีรษะ ยืดตัวตรง หันหลังกลับไปหน้ากองทัพ แล้วเลือกองครักษ์ลับแยกออกมาสิบนาย
“ไปเถิด ภายในจวนมีม้าเร็ว ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งเดือน”
โจวอันรับคำ นำองครักษ์ลับสิบนายไปหลังจวน แต่ละคนจูงม้าออกมา แล้วกระโดดลอยตัวขึ้นบนม้า ตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นสั่งคนให้ไปจูงม้าออกมาตัวหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็กระโดดขึ้นหลังม้า นำพวกองครักษ์ลับออกจากประตูตะวันออก มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านตระกูลหมิงที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงห้าสิบลี้
การเคลื่อนไหวนี้ย่อมได้ยินไปถึงหูของฮ่องเต้อีก อ๋องฉีได้บอกเรื่องทั้งหมดแล้ว ฮ่องเต้เข้าพระทัย ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนต้องการไปล้างแค้นถึงบ้านบรรพบุรุษของเหวินเอ้อร์ จึงทรงถอนหายใจยาว นวดพระกรรเจียกทั้งสองข้างที่ปวด แล้วตรัสสั่งเบาๆ “สั่งให้คนในหน่วยลาดตระเวนตามหลังเขาไปติดๆ รอให้ซื่อจื่อจัดการเสร็จแล้ว ค่อยพาเขากลับมาหาข้า”
เจตนาที่พระองค์ตรัสนั้นก็คืออย่าได้ห้ามปราม รอให้หวงฝู่อี้เซวียนฆ่าตายให้หมดหลังจากนั้นค่อยปรากฏตัว ชัดเจนว่าฮ่องเต้มีพระทัยเข้าข้างปกป้องซื่อจื่อ ขันทีรับใช้ประจำตัวก็เข้าใจความหมายของพระองค์ ผู้บัญชาการหน่วยลาดตระเวนก็เข้าใจเจตนาของพระบัญชาของฝ่าบาทเช่นกัน จึงเรียกทหารและม้าอย่างไม่รีบเร่ง เมื่อครบแล้วก็มุ่งไปยังหมู่บ้านตระกูลหมิงที่อยู่ไกลๆ
หมู่บ้านตระกูลหมิงไม่ใช่เป็นหมู่บ้านธรรมดาๆ หมู่บ้านหนึ่ง หัวหน้าของหมู่บ้านนี้มีเพียงครอบครัวเดียว ก็คือ หมิงเซิ่งจู่ผู้เป็นบรรพบุรุษตระกูลของเหวินเอ้อร์ ตระกูลหมิงนี้ไม่ใช่คนท้องถิ่น แต่เป็นบรรพชนรุ่นก่อนที่อพยพมาจากแดนไกล ว่ากันว่าเป็นครอบครัวเศรษฐี มีกิจการการค้าในมือไม่น้อย ในปีนั้น เนื่องจากหมิงเซิ่งจู่ที่ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุใด ชีวิตจึงเข้าสู่ขีดอันตราย โชคดีที่ได้เถ้าแก่เหวินช่วยชีวิตเขาไว้ ถึงรอดมาได้ เพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต จึงส่งบุตรสาวคนเล็กไปแต่งงานกับพ่อของเหวินซื่อ และแต่งตั้งให้เป็นภรรยาเอกคนถัดไป”
ครั้งก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวประสบกับการลอบโจมตี หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งคนให้ไปสืบความตื้นลึกหนาบางทั้งหมดของตระกูลหมิงจนชัดเจนแล้ว ในอดีตเป็นโจรที่ลักลอบทำการค้าอยู่ทางใต้ หลังจากนั้นในราชวงศ์ได้ล้อมปราบหลายครั้ง จึงไม่อาจเลี่ยง ถึงเปลี่ยนสถานะเพื่อหนีออกจากกฎหมายของใต้ฝ่าบาท พร้อมทั้งเปลี่ยนรูปโฉมของตัวเองกลายเป็นพ่อค้า
ขุนนางทางใต้ แม้ฝันก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่าพวกเขาจะบังอาจเช่นนี้ แล้วยังมาที่เมืองหลวงอีก ดังนั้นหลายปีก่อนจึงหาไม่เจอว่าเขาลงหลักปักฐานอยู่แห่งใด จึงได้แต่ทิ้งเรื่องนี้เอาไว้อย่างค้างคา
แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ตระกูลหมิงก็นับว่าได้ล้างสะอาดแล้ว และทำการค้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งหลายปีก่อนก็ทำจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพียงชั่วขณะเดียว ก็กลายเป็นคนที่พอจะมีชื่อเสียงในบรรดารอบๆ เมืองหลวงอยู่บ้าง
ทว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด กิจการเริ่มตกต่ำลง
คนในหมู่บ้านล้วนเป็นคนที่พามาจากทางใต้ คนหลายร้อยคนล้วนต้องการการดูแล ดังนั้นจึงคิดจะสร้างร้านยาเต๋อเหริน และเหวินเอ้อร์ก็ได้กุมร้านยาเต๋อเหรินไว้ในมือแล้ว ไม่เพียงแต่เส้นทางทรัพย์สินจะไร้ซึ่งความพะว้าพะวงอีกต่อไป คนว่างงานในหมู่บ้านพวกนี้ก็พอจะมีงานมีการเลี้ยงชีพได้บ้าง
น่าเสียดายนัก วางแผนคำนวณได้ดีสมปรารถนา กลับนึกไม่ถึงว่าจะถูกเมิ่งเชี่ยนโยวพังทลายลงอีกครั้ง หมิงเซิ่งจู่ก็โกรธแค้นอย่างมาก ถึงกล้าจะเดินทางเสี่ยง ลอบทำร้ายเมิ่งเชี่ยนโยวครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะครั้งสุดท้ายที่ใช้กำลังขององครักษ์ลับที่เลี้ยงดูมาหลายปีนี้ของหมู่บ้านเกือบทั้งหมด
แสงของฟ้าเริ่มมืดลง เหวินเอ้อร์ยังไม่กลับมา เวลานี้หมิงเซิ่งจู่ก็นั่งไม่ติดแล้ว เดินวนไปมาอยู่ภายในห้องไม่หยุด
ครั้นหวงฝู่อี้เซวียนนำเหล่าองครักษ์ลับมาถึงหมู่บ้านตระกูลหมิงแล้ว คนที่เฝ้าประตูก็พบพวกเขาโดยทันที และรีบวิ่งเข้าไปรายงานโดยเร็ว
หมิงเซิ่งจู่ฟังจบ ก็นั่งตัวชาลงบนเก้าอี้ หวงฝู่อี้เซวียนมาแล้ว เช่นนั้นแสดงว่าเฮ่อเหลี่ยนกับเหวินเอ้อร์ทั้งคู่ลงมือไม่สำเร็จ ไม่แน่ว่ายัง…ไม่กล้าคิดต่อไป รวบรวมพลังฮึดขึ้นมา หมิงเซิ่งจู่กัดฟันสั่ง “เร็ว ไปรวมคนในหมู่บ้าน อย่าให้พวกเขาเข้ามาในหมู่บ้านได้โดยเด็ดขาด”
คนในหมู่บ้านมีกลองใหญ่ที่ส่งสัญญาณเรียกรวมตัว เมื่อเจอเหตุเร่งด่วน กลองนี้ก็จะดังขึ้น จากนั้นไม่ว่าเด็กอคนแก่ ชายหรือหญิงในหมู่บ้านจะมารวมตัวกันในที่แห่งนี้ทั้งหมด
ในความมืดยามค่ำคืน เสียงกลองลั่นไปไกล หวงฝู่อี้เซวียนย่อมได้ยินเป็นธรรมดา จึงเบ้ปากอย่างดูแคลน นำองครักษ์ลับมาถึงประตูของหมู่บ้านโดยตรง
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งอายุราวสี่สิบกว่าปีที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับเหวินเอ้อร์ ถือดาบเล่มใหญ่ที่สะท้อนแสงขึ้นมา นำคนชุดดำไปยืนที่หน้าประตูด้วยสีหน้าอำมหิตดั่งซาตาน จ้องหวงฝู่อี้เซวียนขมึงด้วยความโกรธความชัง
หวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้าอย่างนิ่งสงบ เดินมาตรงหน้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน และหยุดอยู่ที่ห่างจากเขาสามจ้าง แล้วเอ่ยปากขึ้น ภายในเสียงไร้ซึ่งความหวั่นไหวใดๆ “จะให้ข้าให้คนลงมือ หรือเจ้าจะจบชีวิตด้วยตัวเอง”
ชายฉกรรจ์ เฮอะ ใส่เขา และพูดอย่างหยามเหยียด “ช่างพูดจาอวดดียิ่งนัก ตั้งแต่เกิดมาจนข้าอายุเท่าปู่ของเจ้า ยังไม่มีคนไหนกล้าพูดเช่นนี้กับข้า ชีวิตเจ้า…”
ยังพูดไม่ทันจบ เงาของคนตรงหน้าก็เบลอไป หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว คนเสื้อดำที่อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์ร้องตกใจ ชายฉกรรจ์ยกดาบขึ้นอย่างลนลานเพื่อคิดจะป้องกัน เสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง มือหวงฝู่อี้เซวียนได้แทงลงบนต้นคอของเขา เมื่อออกแรง ก็ได้ยินแต่เพียงเสียง ฉับ แล้วคอของชายฉกรรจ์เบี้ยวออก และสิ้นลมหายใจทันที
หวงฝู่อี้เซวียนดึงมือออก พลุบ ชายฉกรรจ์ล้มลงบนพื้น ทำให้ฝุ่นดินและทรายปลิวว่อนขึ้นมา
คนชุดดำทั้งหมดตื่นตระหนกจนถอยออกไปหลายก้าวอย่างควบคุมไม่ได้
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมุ่งเข้าไปในหมู่บ้านทีละก้าว เสียงเท้าที่เหยียบพื้น สั่นสะท้านจนทำให้ใจของคนชุดดำไหวสั่น
องครักษ์ลับตามติดอยู่ด้านหลัง
หลังจากเดินเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่ง กวาดตามองคนชุดดำปราดหนึ่ง ถามด้วยเสียงเย็นชา “หมิงเซิ่งจู่ล่ะ ให้เขาโผล่หัวออกมา!”
สายตาของคนชุดดำมองกันเองอย่างเลิ่กลั่ก ไม่มีใครพูดอะไร
คนชุดดำคนหนึ่งในนั้นทนบรรยากาศเช่นนี้ไม่ไหว จึงร้องคำรามเสียงดัง ถลาออกมาจากฝูงคน แล้วยกดาบบนมือมุ่งจะมาแทงหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ไม่ขยับ องครักษ์ลับคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขารุดหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว และผ่านหัวไหล่ของคนชุดดำไป
ร่างของคนชุดดำชะงัก ผ่านไปครู่ใหญ่ร่างกายถึงจะล้มลงไปข้างหน้า
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นในเวลาเดียวกัน “สังหาร!”
องครักษ์ลับบุกเข้ามาข้างหน้า ไม่มีเสียงตะโกนร้องฆ่า ไม่มีเสียงปะทะต่อสู้ คนชุดดำหลายสิบคนตายลงในชั่วขณะนั้น
หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจมองศพที่เต็มพื้นนี้ เดินมุ่งเข้าไปภายในหมู่บ้านต่อ
ทันใดนั้นคบเพลิงนับไม่ถ้วนก็ส่องสว่างขึ้น ส่องภายในหมู่บ้านจนสว่างราวกับแสงในยามกลางวัน คนชราคนหนึ่งที่สวมชุดสีดำ สีหน้าถมึงทึง ถูกพยุงออกมาพร้อมกับชายฉกรรจ์ที่หน้าตาคล้ายกันสองคน ด้านหลังเขาคือชายหญิงคนแก่และเด็กที่ถืออาวุธหลากหลายอยู่
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดฝีเท้าของตัวเอง มองพวกเขา และถามขึ้น “หมิงเซิ่งจู่?”
หมิงเซิ่งจู่ไม่ได้ตอบ แต่กลับพูดด้วยเสียงโกรธแค้น “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าฆ่าลูกชายและหลานของข้า ข้าไม่จบกับเจ้าแน่!”
มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนบุ้ยเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน ราวกับจะถามว่าลมฟ้าอากาศของวันนี้เป็นเช่นไร พร้อมพูดว่า “เหวินเอ้อร์ได้ไปทางของเขาแล้ว ในเมื่อเจ้ารักเขาขนาดนี้ ก็ลงไปเป็นเพื่อนเขาเถิด”
เมื่อสิ่งที่คิดและสิ่งที่ได้ยินจากหูของตัวเองเป็นสิ่งเดียวกัน ในใจของหมิงเซิ่งจู่บีบแน่น ร่างกายก็โซเซไปเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์ข้างกายสองคนร้องขึ้นพร้อมกัน “ท่านพ่อ” แล้วพยุงเขาไว้
หมิงเซิ่งจู่หายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างดุร้าย “หวงฝู่อี้เซวียน ข้าจะเฉือนเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”
“รอให้เจ้ามีชีวิตรอดให้ได้แล้วค่อยว่ากันเถิด” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนไม่เร่งไม่รีบ กลับได้ยินเสียงสั่นระรัวของฝูงคนภายในหมู่บ้านอย่างน่าประหลาด
ในปีนั้น หมิงเซิ่งจู่ก็เป็นขุนโจรที่มีอำนาจอยู่ในพื้นที่หนึ่ง แม้จะแก่แล้ว ก็ยังมีเลือดแห่งโจรที่กระฉับกระเฉงอยู่ จะกลืนคำพูดเช่นนี้อย่างไรได้ไหว จึงสั่งทุกคน “บุกเข้าไปให้หมด วันนี้ต่อให้ต้องเป็นเหมือนปลาตายที่หลุดเข้าแห ก็ต้องฆ่าไอ้เดรัจฉานนี้ให้ได้ เพื่อล้างแค้นให้กับนายน้อยทั้งสอง”
ทุกคนร้องตะโกนบุกเข้าไป
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ องครักษ์ลับสิบกว่าคนล้อมเขาอยู่ตรงกลาง ส่วนคนที่เหลือก็แยกกันไปเผชิญกับคนในหมู่บ้าน
ผู้มีความสามารถสูงของหมู่บ้านล้วนตายหมดหลังจากที่ไปลอบสังหารเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียน พวกที่เหลือจึงยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าองครักษ์ลับ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปทุกคนก็นอนลงบนพื้น คบเพลิงเรียงรายทั่วทุกหนแห่ง
หมิงเซิ่งจู่สีหน้าขาวซีดแล้ว เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่หวงฝู่อี้เซวียนพามาจะเก่งฉกาจขนาดนี้ เกือบจะไม่ได้ออกแรงอะไรมาก ก็ฆ่าทุกคนจนสิ้น เหลือแต่เพียงพวกเขาสามคน ไม่ ยังมีอยู่ ขอแต่เพียงพวกเขาสามารถหนีออกไปได้ไกลเสียหน่อย
ยังคิดไม่ทันเสร็จ เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “หมิงเซิ่งจู่ ปีนี้อายุหกสิบสาม มีบุตรชายสาม บุตรสาวสอง ไม่รวมบุตรสาวคนเล็กที่แต่งเป็นภรรยาเอกคนถัดไปของนายน้อยร้านยาเต๋อเหริน ที่เหลือล้วนอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหมิง ในนั้นมีบุตรชายสามคนรวมเป็นชายห้า หญิงสาม ลูกสาวคนโตมีบุตรชายสองบุตรหญิงหนึ่ง บุตรสาวคนเล็กคลอดบุตรชายอีกคนหนึ่ง รวมลูกหลานทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน ไม่รวมลูกสาวคนเล็กของเจ้ากับเหวินเอ้อร์ ไม่รวมคนที่เพิ่งจะฆ่าตายนั่น ก็ยังเหลืออีกสิบสี่คน และวันนี้มีเพียงลูกชายสองคนที่อยู่ข้างกายเจ้า ไม่รู้ว่าคนอื่นไปที่ไหนเสียแล้ว”
ในใจของหมิงเซิ่งจู่สั่นไหว นึกไม่ถึงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะรู้สถานการณ์ครอบครัวเขาได้แม่นยำขนาดนี้ จึงฮึดพูดขึ้น “ข้าได้เตรียมการไว้สองวิธีตั้งนานแล้ว ข้าได้ส่งพวกเขาก่อนที่จิ่วเอ้อร์จะออกไปแล้ว หากเจ้าอยากจะตามหาพวกเขา ก็ฝันไปเถิด”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มเล็กน้อย แล้วถามย้อน “จริงหรือ”
ในใจของหมิงเซิ่งจู่สั่นระรัว แต่วางมาดอย่างสง่าผ่าเผย และกัดฟันพูด “ข้าก็มีชีวิตที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ทีเดียว วันนี้จะไม่ยอมให้โดนจับกุมแต่โดยดีเป็นแน่ อยากจะเอาชีวิตข้า มีปัญญาก็มาเอาสิ”
ลูกชายทั้งสองคนก็วางมาดอย่างองอาจเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่งไม่ขยับ พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “เหตุไฉนหัวหน้าหมู่บ้านตระกูลหมิงจำต้องรีบร้อนด้วยเล่า รอให้ครอบครัวของเจ้าพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วค่อยส่งพวกเจ้าเดินไปด้วยกันก็ไม่สาย”
พูดจบ ก็โบกมือ และสั่ง “หนึ่งก้านธูป!”
พวกองครักษ์ลับรับคำ แล้วแยกย้ายกันออกไปรอบทิศ
ในใจของหมิงเซิ่งจู่กระวนกระวาย ลูกชายทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วควงดาบเล่มใหญ่บนมือบุกเข้าหาหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ พวกองครักษ์ลับรุดเข้าไปด้านหน้า ปะทะกับพวกเขา
อย่าเห็นว่าเขาแก่แล้ว มือและกายของหมิงเซิ่งจู่ยังดีอยู่ ผ่านไปนาน พวกองครักษ์ลับก็ไม่สามารถล้มเขาได้
หวงฝู่อี้เซวียนไม่รีบร้อน ยืนมองอยู่ด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป พ่อลูกทั้งสามคนก็ถูกล้มพร้อมกัน
และผ่านไปหนึ่งก้านธูปพวกองครักษ์ลับก็นำหนุ่มสาววัยรุ่นสิบกว่าคนและผู้หญิงที่อายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเดินออกมาจากป่าลึกของหมู่บ้าน
เห็นมากันไม่น้อย หมิงเซิ่งจู่ก็ถลึงตาด้วยความโกรธ กระเสือกกระสนถาม “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าจะทำอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เดินมาตรงหน้าเขา หยิบดาบเล่มใหญ่ของเขาที่ตกลงบนพื้น ยืดตัวตรง เดินมาที่ตรงหน้าของเด็กชายคนหนึ่ง พอยกมือขึ้น ดาบก็ฟันลงไป หัวของเด็กผู้ชายตกลงบนพื้น กลิ้งมาถึงหน้าเขา
นั่นเป็นหลานชายคนโตที่เขารักและเอ็นดูมาตลอด หมิงเซิ่งจู่ปวดใจจนแทบหมดสติ ใช้แรงดิ้นรนอย่างสุดชีวิต พร้อมคำรามเสียงแหบ “เจ้าอยากจะฆ่าก็ฆ่าข้า เรื่องที่ลอบฆ่าองค์หญิงชิงเหอไม่เกี่ยวกับพวกเขา”
“เรื่องที่ข้าทำผิดอย่างมหันต์ที่สุดก็คือ ตอนที่อยู่ซีเฉิงได้ปล่อยเหวินเอ้อร์ไป โดยไม่ได้ฆ่าล้างพวกเจ้าตั้งแต่แรก ทำให้โยวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนี้ข้าก็จะไม่เมตตาและใจอ่อนปล่อยคนของพวกเจ้าไปอีกแม้แต่คนเดียว” พูดถึงตรงนี้ ก็เผยร้อยยิ้มที่มืดครึ้มน่าสะพรึงกลัว ทำให้ในใจของหมิงเซิ่งจู่หวั่นไหวไปครู่หนึ่ง แล้วหวงฝู่อี้เซวียนถึงจะพูดต่อ “วางใจเถิด ข้าจะให้พวกเขาตายต่อหน้าเจ้าทีละคนๆ ให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดไปถึงกระดูกเชียวล่ะ
ตอนที่ 232 ตามฆ่าหลายพันลี้
หมิงเซิ่งจู่ยิ่งทุรนทุรายหนักขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนทิ้งดาบใหญ่ลงตรงหน้าเขา ยืนตัวตรง แล้วโบกมือ
เหล่าองครักษ์ลับคุมตัวลูกหลานตระกูลหมิงมาไว้ข้างหน้า แล้วประหารทีละคนต่อหน้าหมิงเซิ่งจู่
หมิงเซิ่งจู่กับลูกชายทั้งสองคนของปวดใจจนหมดสติไปครั้งแล้วครั้งเล่า
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้รีบร้อน สั่งองครักษ์ลับสาดน้ำให้พวกเขาตื่นแล้วก็ค่อยทำต่อ จนกระทั่งผู้สืบสกุลของตระกูลหมิง ซึ่งรวมถึงลูกชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคนของหมิงเซิ่งจู่ ล้วนศีรษะหลุดออกจากร่างต่อหน้าเขา หลังจากที่เหลือเขาเพียงคนเดียว หมิงเซิ่งจู่ก็ได้เสียสติแล้ว ร้องเสียงดังไม่หยุดตลอด “เจ้าฆ่าข้าซะ! ฆ่าข้าซะสิ!”
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้พวกองครักษ์ลับปล่อยเขา
หมิงเซิ่งจู่นั่งตัวชาบนพื้นราวกับดินโคลน ไม่มีเรี่ยวแรงดิ้นรนเหลืออีก
หวงฝู่อี้เซวียนไม่มองเขาแม้แต่น้อย หันกายเดินออกไปนอกหมู่บ้าน องครักษ์ลับทุกคนก็เดินตามหลังออกไป
เดินออกหมู่บ้านมา หวงฝู่อี้เซวียนก็คว้าคบเพลิงที่อยู่บนมือขององครักษ์ลับคนหนึ่ง แล้วปาเข้าไปในหมู่บ้าน โดยที่ไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับไปด้านหลัง
เขารับคบเพลิงบนมือขององครักษ์ลับมา แล้วเขวี้ยงเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
กว่าที่คนของหน่วยลาดตระเวนจะมาถึง หมู่บ้านก็กลายเป็นดั่งทะเลเพลิงแล้ว
มองเห็นสีหน้าที่เป็นปกติของหวงฝู่อี้เซวียน ในใจของตู้หรูไห่ซึ่งเป็นผู้บัญชาการหน่วยลาดตระเวนก็สั่นไหวไปชั่วครู่ ลงจากม้า เดินมาตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน ประสานมือขึ้นคำนับ พร้อมพูดอย่างนอบน้อม “ซื่อจื่อ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าพระราชวังขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะให้เล็กน้อยเพื่อเป็นการไว้หน้าเขา แล้วเดินผ่านเขาไป ขึ้นขี่ม้า นำพวกองครักษ์ลับมุ่งไปที่เมืองหลวงอย่างไม่รีบร้อน
ตู้หรูไห่เห็นทะเลเพลิงด้านหลัง ก็ทอดถอนหายใจ รออยู่ที่เดิมด้วยความจำนนกับชะตาชีวิต เมื่อรอให้มหาเพลิงนั้นมอดจนสิ้นแล้ว ก็ไปตรวจดูว่ายังมีคนที่มีชีวิตรอดอยู่อีกหรือไม่ เพื่อจะได้กลับไปรายงาน แต่แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามีคนที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่อีกประปราย แต่ใครใช้ให้เขารับผิดชอบหน้าที่นี้กันเล่า
แม้ว่าจะมีระยะห่างจากกันห้าสิบลี้ เพลิงไฟสุมใหญ่ยังคงแดงฉานไปกว่าครึ่งฟ้าของเมืองหลวง ครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่ต้องตรัสถามก็ทรงทราบแล้ว ทรงกริ้วจนคว่ำโต๊ะที่มีเอกสารราชการอยู่มากมาย แล้วเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องทรงพระอักษรด้วยพระบาทเปลือยเปล่า
กว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะมาถึง ห้องทรงพระอักษรก็ได้กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร หยิบของสิ่งหนึ่งจากชายเสื้อส่งให้ขันทีผู้ดูแล
ขันทีผู้ดูแลส่งให้แก่ฮ่องเต้
ฮ่องเต้ทรงเปิดออก อ่านจบ สีพระพักตร์ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ว่าน้ำเสียงของความโกรธยังคงอยู่ “อย่าคิดว่าเป็นเช่นนี้แล้วเราจะปล่อยเจ้าไป นับแต่วันนี้ จะต้องถูกกักบริเวณในจวนเพื่อสำนึกผิด หากไม่ได้รับอนุญาตจากเราก็ห้ามออกจากเมืองหลวงแม้แต่ก้าวเดียว”
เรื่องที่ควรทำก็ได้ทำแล้ว คนที่ควรฆ่าก็ได้ฆ่าแล้ว ที่เหลือก็มีคนไปทำต่อเอง หวงฝู่อี้เซวียนก็รับพระราชโองการอย่างว่าง่าย และออกจากพระราชวังไป
ถูกพ่อลูกสองคู่นี้รบกวนพระทัยตอนกลางคืนดึกดื่น และจวนจะถึงเวลาออกว่าราชการเช้าแล้ว สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูค่อนข้างเหนื่อยล้า นวดพระนลาฏของพระองค์ที่มีอาการปวด แล้วสั่ง “ส่งองครักษ์หลวงไปคุ้มครององค์ชายหกเดี๋ยวนี้”
ตั้งแต่ที่เฮ่อกุ้ยเฟยเข้าวัง ฮ่องเต้ก็ค่อนข้างเอ็นดูนาง ก็ย่อมรักองค์ชายหกบุตรชายของนางมาก ดังเช่นที่ว่า รักบ้านต้องรักนกกาที่อยู่ด้วย จึงพะเน้าพะนอกว่าใครเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายหกโดยปกติก็เป็นคนที่น่ารักน่าเอ็นดูมากอยู่แล้ว ครั้งนี้แม้ว่าจะโกรธ และส่งเขาออกไปยังถิ่นทุรกันดาร แต่ในพระทัยที่รักและเอื้ออาทรต่อเขาก็ยังคงตัดไม่ขาด นึกถึงสิ่งที่วันนี้ที่พวกอ๋องฉีพ่อลูกได้ทำ ก็กลัวว่าพ่อลูกบ้าคู่นี้จะทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีต่อองค์ชายหกขึ้นมา ดังนั้นถึงได้ออกพระราชบัญชาดังนี้
ต้องบอกก่อนว่า ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ ดังนั้น สิ่งที่คิดย่อมต้องมากกว่าคนอื่น ทว่า น่าเสียดายนัก ทรงคิดช้าไปก้าวหนึ่ง กว่าจะรอให้องครักษ์หลวงออกไป พวกองครักษ์ลับก็นำหน้าออกไปหลายร้อยลี้เสียแล้ว
องค์ชายหกไม่มีผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว หลังจากนั่งรถม้าออกจากเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่ได้เร่งเดินทาง แต่เดินๆ หยุดๆ และสืบฟังการเคลื่อนไหวทางด้านเมืองหลวงเป็นพักๆ พอเห็นว่าเดินออกมาพันลี้แล้ว ยังสืบไม่ได้ข่าวคราวอันใด องค์ชายหกก็รู้สึกกังวลใจขึ้นบ้างแล้ว จึงถือโอกาสสั่งคนรถให้หยุดสองวันแล้วค่อยเดินทางอีกครั้ง
เขาเป็นนาย ตัวเองเป็นบ่าว แน่นอนว่านายพูดอะไรก็ต้องทำอย่างนั้น คนรถหาโรงเตี้ยมดีๆ แห่งหนึ่ง แล้วต้องการห้องบนและห้องล่าง เมื่อรับใช้องค์ชายหกในการล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ก็กลับห้องตัวเองไปพักผ่อน
ในใจขององค์ชายหกรู้สึกกระวนกระวาย พักผ่อนอยู่ในห้องได้ชั่วครู่ ก็ลงมาที่ห้องโถงใหญ่ ได้ยินแขกที่มาจากเหนือและใต้พูดถึงเรื่องแปลกประหลาดที่ได้ยินจากหลายท้องที่ จึงลอบตั้งใจฟังการเคลื่อนไหวทางด้านเมืองหลวง
โจวอันที่นำองครักษ์ลับสิบคนเร่งเดินทางตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ทันทีที่เข้าประตูโรงเตี้ยมมา ก็เห็นองค์ชายหกนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน จึงทำสายตาส่งให้แก่คนอื่น แล้วเดินผ่านไปโดยที่ไม่ให้รู้ตัว นั่งในตำแหน่งที่ไม่ห่างจากเขามาก เรียกบริกรให้นำสุรากับกับแกล้มมา แล้วพูด ‘กระซิบกระซาบ’ ขึ้น
“เจ้าได้ยินหรือไม่ หลายวันก่อนในเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“ได้ยินแล้ว น่าสังเวชทีเดียว”
องค์ชายหกหูผึ่ง
มองพวกเขาอย่างนิ่งเฉยแวบหนึ่ง แต่ละคนก็พูดต่อ “ใช่แล้ว น่าสังเวชจริงเทียว ได้ยินว่าครั้งนี้องค์หญิงชิงเหอเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้ว”
ในใจขององค์ชายหกยินดียิ่ง แล้วเข้าใกล้คนพวกนั้นอีกเล็กน้อย
“สิ่งที่ยิ่งแย่กว่านั้นอยู่ที่หลังจากนี้ต่างหาก ได้ยินว่าอ๋องฉีฆ่าล้างทุกคนทั้งจวนเฮ่อด้วยความโกรธจัด”
องค์ชายหกไม่ได้ตอบสนองกลับโดยทันที เพราะไม่รู้ว่าจวนเฮ่อที่พวกเขาพูดคือตระกูลใด ในใจก็รู้สึกอึดอัด อะไรที่แทงใจอ๋องฉีกันนะ เขาถึงได้กล้าฆ่าล้างทั้งตระกูลเช่นนี้ มิเกรงกลัวเสด็จพ่อจะลงโทษเขาหรือ
เห็นเขาไม่ตกใจแม้แต่น้อย ใบหน้าก็ยังคงเผยรอยยิ้มออกมา โจวอัน ‘กระซิบ’ ถามคนตรงข้าม “จวนเฮ่อที่เจ้าว่า คงไม่ใช่ว่าเป็นบ้านของเฮ่อจางที่เป็นมหาเสนาบดีคนก่อนกระมัง”
“ถูกเผงเลย!”
เสียง ตึง ดังขึ้น ทุกคนหันไปมอง เห็นแต่เพียงองค์ชายหกล้มนั่งบนพื้น สุราและอาหารทั้งหมดที่เขาสั่งล้วนหกใส่ศีรษะเขาขณะที่ล้มและพยายามปีนโต๊ะไปด้วย
ทุกคนมองเขาด้วยความประหลาดใจ
บริกรของโรงเตี้ยมก็เดินมาสอบถามอย่างร้อนรน “ท่านลูกค้า ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ”
องค์ชายหกได้สติขึ้นมาราวกับตื่นจากฝัน ดีดตัวขึ้นอย่างตกใจ และพูดไม่ขาดสาย “เจ้าอย่ามาแตะต้องข้า!”
มือของบริกรที่อยากจะช่วยเขาพยุงก็ดึงกลับมาอย่างกระอักกระอ่วน ทุกคนยิ่งรู้สึกประหลาดใจ สายตาที่มองล้วนไม่หมือนเดิม
พอตระหนักได้ว่าท่าทางของตัวเองไม่เหมาะสม องค์ชายหกจึงกระเสือกกระสนปีนตัวลุกขึ้นมา สั่งกับบริกร “ช่วยยกน้ำมาให้ข้าสักหน่อย” แล้วกลับห้องของตัวเองไปอย่างรีบร้อน
ปิดประตูด้วยสติที่ยังไม่สงบนิ่ง ภายในสมองได้ยินเสียงคำพูดที่ในยินเมื่อครู่ “จวนเฮ่อโดนฆ่าล้างทั้งตระกูล จวนเฮ่อโดนฆ่าล้างทั้งตระกูล…”
ปู่ของตัวเองตายแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่า อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนล้วนรู้แล้ว ถ้าหากพวกเขารู้ว่าตนเป็นคนเสนอความคิดขึ้น ก็ต้องไม่ปล่อยไว้ด้วยแน่นอน ตัวเองก็รีบออกเดินทางเถอะ อย่างน้อยหลังจากที่ไปถึงถิ่นทุรกันดารก็จะปลอดภัยขึ้นบ้าง
คิดถึงตรงนี้ ก็เปิดประตูห้องออกอย่างแรง ขณะกำลังจะเดินออกไปด้านนอก ก็เกือบจะชนกับบริกรที่ยกน้ำมา
บริกรกล่าวขอโทษไม่ขาดสาย
องค์ชายหกไม่ได้พูดอะไร เขยิบกายออก เพื่อให้เขาเอาน้ำเข้าไปวาง แล้วจ้องเขม็งเขาให้ออกไป ถึงจะเอาศีรษะล้างเหงื่อไคลที่สกปรกอย่างรีบร้อนพักหนึ่ง จากนั้นถอดเสื้อนอกทิ้งอยู่บนพื้น คว้าเสื้ออีกชุดหนึ่งด้วยความลนลาน พร้อมจัดแจงสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่ได้เปิดออก แล้วจึงไปยังห้องด้านล่างอย่างลุกลี้ลุกลน เรียกคนรถ สั่งให้เขาเร่งเดินทางโดยเร็ว
คนรถแม้ว่าจะประหลาดใจ แต่ก็ทำตามที่บอก ไปหลังเรือนแล้วขี่รถม้าออกมา และออกเดินทางอย่างฉุกละหุก
พวกโจวอันมองตากัน จึงคิดบัญชีค่าสุราและอาหาร แล้วตามไป
วิ่งออกไปหลายสิบลี้ในรวดเดียว ไปอีกไม่ไกลก็เป็นถิ่นทุรกันดารแล้ว ในใจขององค์ชายหกยินดียิ่ง เร่งคนรถให้ขับเร็วขึ้น และเร็วขึ้นอีก
คนรถสังเกตเห็นความผิดปกติจากท่าทางของเขา จึงยิ่งเพิ่มความเร็วรถขึ้นอีก
สายตาเห็นเส้นเขตแดนยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ในใจขององค์ชายหกก็สงบลงบ้างในที่สุด ขณะที่กำลังจะพ่นลมหายใจ ก็มีเสียงเท้าที่กำลังวิ่งของม้าพร้อมคลุ้งไปด้วยฝุ่นทรายดังขึ้นจากที่ไกลๆ
ยังไม่ทันรอให้องค์ชายหกเห็นชัด ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนที่ปิดหน้าขี่ม้าเข้ามา พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้า และล้อมอยู่รอบรถม้าของพวกเขา
คนรถถูกบีบบังคับให้หยุดรถม้า มองพวกอย่างตระหนก กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วถามด้วยเสียงสั่นเครือ “พวก พวกเจ้าจะทำอะไร”
“ปล้น!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
คนรถหันศีรษะมองที่องค์ชายหกอย่างเลิ่กลั่ก
องค์ชายหกกอดกระเป๋าผ้าในมือแน่น
ชายฉกรรจ์ที่เพิ่งจะพูดเมื่อครู่แสยะยิ้ม ขี่ม้าเข้ามา แล้วยื่นมือออก “เอามา!”
องค์ชายหกกอดแน่นไม่ปล่อย ในนี้ไม่เพียงแต่มีตั๋วแลกเงินจำนวนมาก ยังมีตราประทับของตัวเองด้วย ถ้าหากให้พวกเขาไปแล้ว ตัวเองก็ไม่มีสิ่งใดที่จะแสดงหลักฐานเข้าไปในถิ่นทุรกันดารได้ และไม่ถูกข้าราชการท้องถิ่นนั้นยอมรับ
เห็นเขาไม่ปล่อย ชายฉกรรจ์ก็ร้อนใจ เอี้ยวตัวดึงดาบเล่มใหญ่ที่อยู่หลังม้าข้างหนึ่งออกมา แล้วฟันเข้าที่รถม้า เสียง ฉับ ดังขึ้น ห้องบนรถถูกแทงออกเป็นรูขนาดใหญ่ “หากยังไม่เอามาอีก ก็จะเอาชีวิตชั้นต่ำของพวกเจ้า!”
“องค์ องค์ชาย ตราบใดที่มียังมีชีวิต ก็ยังไม่สิ้นไร้ไม้ตอกนะขอรับ ส่งให้พวกเขาเถิดขอรับ” น้ำเสียงของคนรถมีความอ้อนวอน
ดูท่าแล้วถ้าไม่ให้ก็คงหนีไม่รอดแล้ว องค์ชายหกจึงเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าผ้า แล้วเอาตราประทับของตัวเองออกมาเงียบๆ จากนั้นก็โยนกระเป๋าผ้าไปให้ชายฉกรรจ์ “เอาไป!”
จากนั้นก็อาศัยช่วงเวลาที่ชายฉกรรจ์รับกระเป๋าก็พุ่งตัวมาที่หน้าห้องบนรถม้าอย่างว่องไว แย่งบังเ**ยนในมือของคนรถ และฟาดลงอย่างแรง ม้าเจ็บปวด จึงวิ่งตะบึงไปด้านหน้า
คนรถไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกผลักล้มตกลงไปจนสายตาพร่ามัว เบื้องหน้าระยิบระยับเป็นดวงดาว
พวกชายฉกรรจ์ที่ปิดบังใบหน้าไม่ได้ลังเล ตามไป ไม่นานก็ตามรถม้าได้ทัน
องค์ชายหกก็ไม่ได้ไม่รู้ความ สายตาเห็นพวกเขากำลังตามมา ก็หยิบดาบเล่มใหญ่ที่เตรียมไว้อยู่บนรถม้าขึ้นมา แล้วฟันเชือกที่ยึดติดกับห้องรถม้าขาด จากนั้นกระโดดลอยตัวไปหลังม้า แล้วก้มตัวลงต่ำ กอดหลังม้าไว้แน่น มุ่งตะบึงไปยังเขตแดนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างบ้าระห่ำ
ถึงแล้ว อีกประเดี๋ยวเดียวก็จะถึงแล้ว ความคิดในใจขององค์ชายยังไม่ทันสิ้น เงาของร่างหนึ่งที่ขี่ม้าก็ผ่านข้างกายเขาไป ลอยตัวกระโดดขึ้น เท้าหนึ่งถีบเขาลงจากหลังม้า
องค์ชายหกล้มกลิ้งกระดอนไปกับพื้น รีบปีนตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว และเร่งวิ่งไปทางชายแดนสุดชีวิต
ม้ากลุ่มหนึ่งก็ขวางตรงหน้าเขา ฝุ่นดินที่ล่องลอยบดบังทัศนวิสัยของเขา
องค์ชายหกปิดตาสนิทอย่างสิ้นหวัง แล้วเบิกตาขึ้นอีกครั้ง พูดเสียงเข้ม “ข้ารู้ว่าใครส่งพวกเจ้ามา เพียงแค่พวกเจ้าปล่อยข้าไป ข้า…”
สีของเลือดก็กระเซ็นตรงหน้าเขา และพุ่งเข้าเต็มหน้าองค์ชายหก
หลังจากที่องค์ชายหกหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ถึงจะรู้สึกเจ็บปวด ก้มศีรษะลง เห็นหน้าอกตัวเองแหว่งเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่อย่างไม่เชื่อสายตา ยื่นมือชี้ชายฉกรรจ์ที่ปิดหน้าอยู่ อยากจะพูดอะไรสักอย่าง กลับไม่มีโอกาสได้พูดออกมา ร่างกายก็ล้มลงไปด้านหน้าและดิ้นสั่นอยู่ครู่หนึ่ง ขาดอากาศหายใจตายไป
ชายฉกรรจ์ที่ปิดบังใบหน้าลงจากม้า พลิกร่างของเขา หลังจากแน่ใจว่าเขาตายแล้วจริงๆ ถึงจะพยักหน้าให้คนอื่น จากนั้นกระโดดขึ้นขี่ม้า แล้วกลับทางเดิมไป เมื่อมาถึงตรงหน้าของคนรถ ก็หยิบดาบใหญ่ที่องค์ชายหกทิ้งไว้ที่พื้นเมื่อครู่ขึ้นมา แล้วจากไปโดยไม่แม้จะหันหน้ากลับมา
รอให้พวกเขาเดินไปไกลแล้ว คนรถถึงจะคืบคลานมาถึงข้างกายขององค์ชายหก เห็นรูโหว่ใหญ่ที่มีเลือดไหลซิบๆ ทะลักออกมาจากหน้าอกเขา ตัวเองก็แทบอยากจะตายตามไปด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนออกจากพระราชวัง กลับถึงจวนอ๋อง ก็สั่งพวกองครักษ์ลับไปพักผ่อน แล้วกลับเรือนของตัวเอง
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงขาวซีด นอนหลับตาสนิทอยู่บนเตียง พระชายาฉีฝืนแรงกายของตัวเองนั่งอยู่ข้างเตียง
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว และเห็นเขาเข้ามา พระชายาฉีก็อ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้ถามออกมา เพียงแต่พูดว่า “เหนื่อยแล้วสินะ ไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด”
“ข้าไม่เหนื่อยขอรับ แต่ท่านแม่สิ ไม่ได้นอนทั้งคืน ไปพักผ่อนเถิดขอรับ โยวเอ๋อร์น่ะ ให้ข้าเฝ้าก็พอแล้ว” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
พระชายาฉีโบกมือขึ้นที่หน้าจมูกของตัวเอง พูด “เจ้าเนี่ยนะ ทั้งตัวคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือด โยวเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาต้องรับไม่ได้แน่ๆ เจ้าไปอาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดเสียก่อน ค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนโยวเอ๋อร์ อย่าให้นางต้องมากังวลเพราะเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนเงียบ จ้องเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่นาน แล้วหันตัวเดินออกไป
พระชายาฉีถอนหายใจ
อาบน้ำสะอาดสะอ้านแล้ว สวมชุดที่ปกติเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าดูดี หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง
ไม่รอให้เขาพูด พระชายาฉีก็ลุกขึ้นยืน สั่งว่า “ดูโยวเอ๋อร์ให้ดี” แล้วก็ให้หลิงหลงพยุงตัวเองกลับที่เรือนของตนเพื่อไปพักผ่อน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเช่นนี้ ผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่ฟื้น เวลานี้ตัวเองจึงจะสร้างความวุ่นวายเพิ่มอีกเป็นไม่ได้เป็นอันขาด จึงต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ถึงจะมีแรงดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวได้มากขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเตียง เปิดผ้าห่มบางๆ ที่ห่มอยู่บนกายของเมิ่งเชี่ยนโยวออกด้วยมือที่สั่นไหว เห็นหน้าอกที่มีผ้าพันหลายชั้น น้ำตาหยดใหญ่ๆ ก็ผล็อยออกมา บาดแผลใหญ่ขนาดนี้ แล้วยังจะพันอีกหลายชั้น ชัดเจนว่าหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว ยังจะเข้าปะทะต่อสู้ด้วยชีวิตอีก แล้วจะไม่ทำให้เขาปวดใจ ไม่โทษตัวเองได้อย่างไร
ห่มผ้าห่มผืนบางให้ดีแล้ว ศีรษะก็แนบลงบนใบหน้าของนาง น้ำตาของหวงฝู่อี้เซวียนก็หยดลงข้างแก้มของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดพึมพำด้วยเสียงที่ทุกข์ระทม “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์…”
ตอนที่ 233 ความกังวลที่สุมอก
หลังจากที่ฟ้าสางแล้ว ข่าวที่จวนเฮ่อถูกอ๋องฉีฆ่าล้างทั้งบ้านก็แพร่ออกไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว แพร่ไปถึงแต่ละซอกแต่ละมุมของเมืองหลวง และแพร่เข้าไปถึงหูของทุกคน
ตั้งแต่เฝิงจิ้งซูได้รับการวินิจฉัยว่าตำแหน่งในครรภ์ผิดปกติ ก็กลัวว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับนาง คราที่ตะวันใกล้คล้อยฉู่เหวินเจี๋ยก็กลับจากค่ายทหารมาอยู่เป็นเพื่อนนาง ห้าเดือนผ่านไป ท้องของเฝิงจิ้งซูก็ค่อยๆ โตขึ้นแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยยิ่งไม่กล้าชะล่าใจ แทบอยากจะเฝ้าอยู่ข้างกายนางทุกๆ เสี้ยวเวลา ดังนั้น ทุกวันหลังจากที่ฟ้ามืด ฉู่เหวินเจี๋ยก็สั่งคนในจวนให้ปิดประตู แล้วรับประทานอาหารตั้งแต่ค่ำๆ แล้วนั่งเป็นเพื่อนคุยกับนางอยู่ในห้อง พูดเรื่องน่าสนใจต่างๆ ในค่ายทหารให้นางฟัง หยอกล้อให้นางอารมณ์ดี และคอยป้องกันระวังไม่ให้นางขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่าภายในเมืองหลวงได้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น
ตอนเช้านายประตูเปิดประตูใหญ่ออก ได้ยินคนที่เดินผ่านอยู่หน้าประตูพูดวิพากษ์วิจารณ์ ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปฟัง ถึงจะรับรู้ข่าวนี้ จึงเร่งรีบไปรายงานต่อฉู่เหวินเจี๋ย
ฉู่เหวินเจี๋ยได้ยินแล้วก็ย่นคิ้ว และพูดกับเฝิงจิ้งซูว่า “ข้าไปดูจวนอ๋องเสียหน่อย เจ้าดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”
คำพูดนี้เกือบจะกลายคำพูดที่เขาต้องพูดก่อนออกจากบ้านทุกวัน เฝิงจิ้งซูพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ไปเถิดเจ้าค่ะ เดินทางระวังด้วยนะเจ้าคะ”
กำชับพวกสาวใช้ให้ดูแลเฝิงจิ้งซูให้ดีแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็เดินออกจากจวนแม่ทัพ ขี่ม้าม้ามาถึงจวนอ๋องอย่างรวดเร็ว
ถึงหน้าประตู ลงจากม้า แล้วทิ้งบังเ**ยนให้แก่นายประตู พร้อมถามออกมาทันที “ในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“แม่นางเมิ่งกับลูกน้องของนางประสบเหตุลอบสังหาร ทุกคนล้วนได้รับบาดเจ็บกันหมดขอรับ” นายประตูตอบทันที
คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ฉู่เหวินเจี๋ยเดินก้าวยาวเข้าภายในจวน
วุ่นทำงานทั้งคืน คนในจวนต่างเหนื่อยล้าแล้ว ผู้ดูแลจวนจัดแจงทุกคนให้ผลัดเวรกันไปพักผ่อน ดังนั้นภายในจวนจึงเงียบสงัด ไม่มีเหตุการณ์ที่เห็นบ่าวรับใช้วิ่งเต้นอยู่ทุกหนทุกแห่งเหมือนเช่นเคยอีก
เดินเลี้ยวผ่านไปหลายแนวระเบียง ตรงมาถึงภายในเรือนของพระชายาฉี สาวใช้ที่ประจำเวรเฝ้าประตูก็เอนกายแสดงความเคารพ และพูดเสียงเบา “ท่านแม่ทัพใหญ่ พระชายาเพิ่งจะหลับไปเจ้าค่ะ ท่านมีธุระเร่งด่วนใดหรือไม่เจ้าคะ”
ฝีเท้าชะงักลง ตระหนักถึงร่างกายของพระชายาฉี จึงส่ายหน้าและพูดเสียงเบา “ไม่มีอะไรหรอก อย่ารบกวนนางเลย”
สาวใช้รับคำเบาๆ
ฉู่เหวินเจี๋ยหันตัวมายังในเรือนของอ๋องฉี
อ๋องฉีไม่ได้นอนทั้งคืน ราวกับซูบแก่ลงไปมาก ได้ยินเสียงของบ่าวรับใช้ จึงพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “เข้ามาเถิด”
ฉู่เหวินเจี๋ยเข้าไปภายในห้อง เห็นสภาพของอ๋องฉีอย่างชัดเจน ฝีเท้าหยุดลงกะทันหัน และมีท่าทางอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด “ท่านพี่เขย เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือขอรับ”
อ๋องฉีถอดถอนหายใจ โบกมือ ไม่ได้พูดอะไร ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงเอนไปด้านหลัง พิงกับเก้าอี้ ไม่มีลักษณะที่อ่อนโยน สบายๆ และสง่างามเหมือนวันก่อนๆ หลงเหลืออยู่
ฉู่เหวินเจี๋ยยิ่งรู้สึกคับอกคับใจ จึงเอ่ยปากสอบถาม “วันนี้ตอนเช้า บ่าวรับใช้ในเรือนได้ยินคนที่เดินผ่านพูดวิพากษ์วิจารณ์ว่าท่านฆ่าล้างทั้งตระกูลเฮ่อจาง เนื่องด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ”
เรื่องที่อ๋องฉีถูกพระชายารองเฮ่อวางยาไร้บุตรเป็นปัญหาที่เขายากจะเอ่ยปากมาตลอด ดีที่อายุมากแล้ว อีกทั้งรุ่นต่อไปก็ยังมีหวงฝู่อี้เซวียน หลังจากทุกข์ระทมไปพักหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ ปล่อยวางลง ทว่า วันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้ต่อไปจะมีลูกหลานสืบสกุลยาก ไม่แน่ว่าตัวเองก็จะไร้ซึ่งผู้สืบสกุลต่อแล้ว ในใจที่เศร้าโศกของอ๋องฉีนั้นยิ่งชัดแจ้ง เมื่อคืนหลังจากฆ่าล้างตระกูลเฮ่อจางกลับมาล้างเนื้อล้างตัวที่จวนจนสะอาดดีแล้ว ก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือไม่ขยับจนถึงตอนนี้ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่ยากเกินบรรยาย
ได้ยินฉู่เหวินเจี๋ยถามขึ้น ก็ทอดถอนหายใจแรงขึ้นอีกครั้ง แล้วบอกเล่าเรื่องราวที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บจากการถูกลอบสังหาร แต่ไม่ได้บอกว่าการบาดเจ็บที่ช่วงหน้าอกทำให้ต่อไปมีทายาทสืบสกุลยาก เพียงแต่บอกเขาว่าได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรง ไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น
หลังจากที่ฉู่เหวินเจี๋ยได้ฟังแล้ว ก็เป็นเดือดเป็นดาล และพูดอย่างโกรธแค้น “ควรจะจัดการไอ้เฒ่านั่นไปเสียแต่แรก ล้วนเป็นเพราะพวกเราเมตตาใจอ่อนเกินไป ถึงทำให้แม่นางเมิ่งต้องมาประสบเคราะห์อันใหญ่หลวง”
อ๋องฉีถอนหายใจยาวอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ใบหน้ามีความรู้สึกเสียใจภายหลังอย่างลึกๆ เมื่อใคร่ครวญถึงปีนั้นที่เสด็จพี่รากฐานยังไม่มั่นคง ต้องการแรงช่วยจากเฮ่อจาง ตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนหายสาบสูญไป ก็พอเดาได้ว่าอาจจะเป็นเขาและพระชายารองร่วมกันลงมือ อีกทั้งยังเลือกทรมานบ่าวรับใช้ของพระชายาฉีทุกคน อดทนไม่หือไม่อือมาตลอดหลายปีนี้ ทำให้พวกเขายิ่งสามหาวขึ้น ถึงขนาดลามปามมาถึงขั้นทุกวันนี้
คิดถึงตรงนี้ อ๋องฉีก็ถอนหายใจแรงอีกครั้ง
จวนเฮ่อได้กำจัดสิ้นซากแล้ว ปราศจากซึ่งความกังวลต่อลูกหลานของพวกเขา อ๋องฉีกลับยังถอนหายใจไม่หยุด ฉู่เหวินเจี๋ยเข้าใจว่าเขากังวลเรื่องหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่อาจแต่งงานได้ตรงตามฤกษ์ยาม จึงพูดปลอบใจ “ยังดีที่การแต่งงานอยู่ภายใต้พระราชโองการ เซวียนเอ๋อร์กับแม่นางเมิ่งแต่งงานช้าหน่อยก็ไม่มีปัญหา ท่านพี่เขยอย่าได้เป็นกังวลมากเกินไปเลยขอรับ”
เหตุผลที่แท้จริงไม่อาจพูดออกมาได้ อ๋องฉีก็ถอนหายใจแรงอีกครั้ง
เมื่อคืนผู้ดูแลจวนอ๋องสั่งบ่าวรับใช้ไปซื้อยาห้ามเลือดที่ร้านยาเต๋อเหริน แต่เหวินซื่ออยู่ที่จวนนเป็นเพื่อนเฝิงจิ้งเหวิน ตอนนี้จึงแทบไม่ได้ประจำอยู่ที่ร้านยาเต๋อเหรินเท่าไร หลังจากที่เขาได้ยินการรายงานแล้ว ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดของสถานการณ์ สั่งพนักงานเอายาห้ามเลือดชั้นดีทั้งหมดมอบให้แก่บ่าวรับใช้จวนอ๋อง
ตอนเช้าถึงจะได้ยินว่าจวนเฮ่อสูญสิ้นทั้งตระกูล เหตุผลเพราะตระกูลเฮ่อลอบสังหารองค์หญิงชิงเหอ เขาก็รีบขี่ม้ามาที่จวนอ๋อง และเข้ามาเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรีบร้อน
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียงของเขาแล้ว แต่กลับไม่ได้สนใจเขา
บ่าวรับใช้ที่เข้าเวรเฝ้าประตูไม่ได้รับคำสั่ง ก็ไม่กล้าปล่อยเขาเข้าไป ได้แต่เพียงเชิญให้เขาไปนั่งที่ห้องรับแขก
ไม่ได้ยินเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจของเหวินซื่อก็ตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย ตอนที่ตามคนใช้ไปยังห้องรับแขก เห็นภายในอีกเรือนหนึ่งมีบ่าวรับใช้เข้าๆ ออกๆ ก็รู้ว่าพวกกัวเฟยได้รับบาดเจ็บเช่นกัน จึงเลี้ยวเข้าไปตรวจดู
รอให้ดูอาการของคนส่วนหนึ่งชัดเจนแล้ว ในใจยิ่งเคร่งเครียดหนักขึ้น เด็กน้อยนั่นเป็นคนที่ชอบปกป้องผู้น้อย พวกกัวเฟยได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ นางไม่อาจจะไม่สนใจได้ เว้นแต่ว่านางจะบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าพวกเขา
กัวเฟย เหวินเปียว ชิงหลวน จูหลียังไม่ฟื้น เหวินซื่อหาคนที่จะสอบถามรายละเอียดของเหตุการณ์ไม่ได้ จึงร้อนใจอย่างมาก
เปาชิงเหอ เปาอี้ฝานได้ยินข่าวนี้แล้วเช่นกัน ต่างก็เร่งมาอย่างรีบร้อน
ตี้ซือ โจวเสี้ยว โจวหลี่ และสามีภรรยาเมิ่งอี้ได้ยินข่าวนี้ก็มารีบมาอย่างด่วน โดยเฉพาะคู่สามีภรรยาเมิ่งอี้ ความกะทันหันที่เมิ่งเสียวเถี่ยตาย เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันได้บอก พวกเขาก็กลับบ้านเกิดไปอย่างเร่งรีบแล้ว ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่รู้ว่าในบ้านเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นเลย ทว่า โชคดีที่ทั้งคู่ไม่ได้พาลูกกลับไปด้วย มิเช่นนั้นแล้ว ผลที่ตามมาอาจจะย่ำแย่มากกว่าที่คาดคิด
แต่คนทุกคนนี้ล้วนถูกหวงฝู่อี้เซวียนกันเอาไว้อยู่นอกเรือน ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้แม้แต่เพียงคนเดียว
ในใจของทุกคนก็เข้าใจดี เกรงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวครั้งนี้คงจะได้รับบาดเจ็บที่ค่อนข้างร้ายแรงทีเดียว
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ เฝ้ารอให้นางฟื้นขึ้นโดยเร็ว ไม่ได้สนใจคนใดๆ ที่มาเยี่ยมเลย
ในใจของอ๋องฉีโศกเศร้า ดูเซื่องซึมไร้เรี่ยวแรง จึงไม่ได้สนใจเช่นกัน
ครั้นเมื่อฟ้าสว่าง พระชายาฉีถึงจะได้ไปพักผ่อน ผู้ดูแลจวนก็ไม่กล้าให้คนไปรบกวนนาง จึงจัดแจงให้คนพวกนี้อยู่ที่ห้องรับแขกด้วยตัวเอง แล้วสั่งบ่าวรับใช้ยกน้ำชา บอกให้พวกเขารอสักครู่
นั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือ ฉู่เหวินเจี๋ยที่อยู่เป็นเพื่อนอ๋องฉีได้ยินการรายงานของบ่าวรับใช้ จึงลุกขึ้นยืน พูดว่า “ท่านพี่เขย ท่านกลับห้องไปพักผ่อนเสียหน่อยเถิด ข้าไปต้อนรับพวกเขาเองขอรับ”
อ๋องฉีนั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้นานแล้ว ได้ยินก็เงยศีรษะขึ้นพูด “ลำบากเจ้าแล้ว”
วันนี้ นอกจากคนพวกนี้แล้ว แม้แต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักแต่ละคนก็นำของขวัญต่างๆ มาเยี่ยม
นอกจากฉู่เหวินเจี๋ยแล้ว โจวเสี้ยว โจวหลี่ทั้งสองก็ช่วยกันต้อนรับคนที่มาเยี่ยม
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังตรอมตรมระทมใจ
ภายในจวนมีคนมาเยี่ยมอย่างไม่ขาดสาย ทั้งวันก็ผ่านไปเช่นนี้
ตั้งแต่เมื่อวานที่หวงฝู่อวี้กลับจวน ก็ได้ยินข่าวและไปเยี่ยมเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ถูกปฏิเสธให้อยู่ด้านนอกประตู หวงฝู่อวี้จึงกลับเข้าเรือนของตัวเอง และไม่ได้ออกมาอีก ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้จนถึงฟ้าสว่าง จนกระทั่งมองแสงของฟ้าที่มืดขึ้นเรื่อยๆ หวงฝู่อวี้ก็ฮึดขึ้น ยืนขึ้นมา เดินออกจากประตูห้องมาถึงภายในเรือนของอ๋องฉี
เกือบจะสองวันหนึ่งคืนที่ไม่ได้นอน ตอนบ่าย อ๋องฉีเหนี่ยวรั้งกายไม่ไหวแล้ว จึงไปพักผ่อนในเรือนของตัวเองสักพักหนึ่ง และก็เป็นเพียงเวลาพักหนึ่งจริงๆ เพราะยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยามเขาก็ตื่นแล้ว เมื่อลุกขึ้น และเพิ่งจะสั่งบ่าวรับใช้ให้ยกชามาให้เขาเสร็จ ก็ได้ยินเสียงของหวงฝู่อวี้ที่สอบถามบ่าวรับใช้ จึงใช้เสียงที่แหบแห้งพูด “เข้ามาเถิด!”
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปในห้อง เห็นอ๋องฉีที่ไร้เรี่ยวแรง และมีท่าทางหดหู่ ก็นิ่งอึ้งไป หลังจากนั้นก็กัดฟัน ถลกเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วคุกเข่าลง “ลูกชายที่อกตัญญูคนนี้มีคำร้องขอหนึ่งประการ ขอโปรดเสด็จพ่อเมตตาอนุญาตด้วยขอรับ”
อ๋องฉีเบิกหนังตาขึ้น ดื่มน้ำชาอึกหนึ่งอย่างช้าๆ แล้วปิดฝาชา หลังจากวางน้ำชาบนโต๊ะอย่างมั่นคง ถึงจะเอ่ยปากถามขึ้น “อยากจะฝังศพของเฮ่อจางหรือ”
หวงฝู่อวี้ประหลาดใจ แล้วรับคำอย่างตรงไปตรงมาทันที “ใช่ขอรับ หวังว่าเสด็จพ่อจะกรุณา” พูดจบ ก็ก้มหน้าลง รอคำตอบของอ๋องฉีอย่างกระวนกระวาย
เฮ่อจางเป็นตาของตัวเอง ตั้งแต่เล็กก็พินอบพิเทาตัวเองเป็นพิเศษ ตอนนี้แม้จะรู้ว่าพวกเขาอาจจะมีจุดประสงค์อื่น แต่เช่นนี้แล้วอย่างไรล่ะ หลายปีที่รักและเอ็นดูก็ต้องมีความจริงใจบ้าง แม่ของตัวเองตายแล้ว ตระกูลเฮ่อถูกพ่อของตัวเองฆ่าล้างทั้งตระกูล หากตัวเองไม่ออกหน้าช่วยจัดการให้พวกเขา เกรงว่าศพของตระกูลเฮ่อจะถูกทิ้งไว้ที่สุสานร้างเพื่อเป็นอาหารให้แก่หมาป่าแล้วจริงๆ ตัวเองมีศักดิ์เป็นหลาน เขาจึงได้แต่เพียงทำเรื่องเล็กน้อยนี้ให้แก่พวกเขา
อ๋องฉีจ้องเขา มองลูกชายคนเล็กที่ตัวเองรักและเอ็นดูอย่างมากตั้งแต่เล็ก แต่หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมา กลับดูถูกดูแคลนเขาทุกๆ อย่าง ในใจก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรบ้าง
หวงฝู่อวี้ถูกมองจนในใจเกิดหวาดกลัว ตอนที่หน้าผากเกือบจะมีเหงื่อไหลออกมา อ๋องฉีถึงจะเอ่ยปากด้วยเสียงสงบเรียบ และนึกไม่ถึงว่าเขาจะออกปากเห็นด้วยอย่างไม่มีท่าทีที่ไม่พอใจเลย “ได้ เขาเป็นตาของเจ้า เจ้าทำเช่นนี้ก็ให้อภัยได้ แต่จำไว้ว่า ซื้อเพียงโลงศพบางๆ ให้พวกเขาได้นอนตายอย่างเงียบๆ ก็พอ ไม่อนุญาตให้จัดงานอย่างใหญ่โต”
ในใจของหวงฝู่อวี้ยินดียิ่ง รีบกระแทกศีรษะคำนับทันที “ขอบพระคุณขอรับเสด็จพ่อ”
อ๋องฉีโบกมือ “ไปเถิด ถือโอกาสที่ตอนนี้ฟ้ายังมืด ลากศพไปฝังให้ดี”
หวงฝู่อวี้ขอบคุณอีกครั้ง ลุกขึ้น เดินออกนอกเรือนอย่างรวดเร็วไปร้านขายโลงศพ เมื่อซื้อโลงศพบางๆ สี่อันด้วยตัวเอง แล้วก็บรรจุเฮ่อจาง ฮูหยิน และลูกพี่ลูกน้องชายสองคนขึ้นมา ส่วนเฮ่อเหลี่ยนนั้น หวงฝู่อวี้หาอยู่นานก็หาศพของเขาไม่เจอ แต่ก็ไม่กล้าถามอ๋องฉี จึงยอมแพ้ ได้แต่เพียงสั่งคนให้หาสถานที่ฝังศพทั้งสี่คนนี้อย่างเงียบๆ
ส่วนคนอื่นก็มีคนจากกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองรับช่วงต่อในวันที่สองหลังจากฟ้ารุ่งสาง โดยไปทิ้งไว้สุสานรกร้าง ภายในชั่วขณะเดียวก็มีหมาป่าที่นั่นมากันเป็นฝูง
ที่จวนอ๋องมีคนมาเยี่ยมทุกวันไม่ขาด เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ฟื้นตัว และหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ออกจากห้องเลย เฝ้าอยู่แต่ตรงหน้านาง
ส่วนคนอื่นก็ยังไม่ฟื้น หมอหลวงเจียงพร้อมกับหมอหลวงหลายคนจากสถาบันหมอหลวงก็ต้องพักอยู่ที่จวนของอ๋องฉี
ฮองเฮาและฮ่องเต้มีพระรับสั่งให้คนมาส่งวัตถุดิบปรุงยาที่ล้ำค่ามา อีกทั้งยังมีสิ่งที่ส่งมาจากจวนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่แต่ละคน จึงทำให้พื้นที่ในห้องเก็บสินค้าของจวนอ๋องเต็มไปครึ่งหนึ่ง
น้ำแกงยาหลายชนิดและแกงโสม กรอกเข้าปากของทุกคนอย่างไม่ขาดสาย หลังจากนั้นสองวัน กัวเฟย เหวินเปียว ชิงหลวน จูหลีและพวกองครักษ์ลับก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยังหลับสนิทไม่ฟื้น
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย เฝ้าดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวสองคืนสองวันไม่นอนไม่พัก ทั้งร่างก็ซูบผอมลงไป ขอบตาปรากฏรอยคล้ำดำ พละกำลังก็ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว
พระชายาฉีปวดใจ อ้อนวอนให้เขาไปพักผ่อน แล้วนางจะมาช่วยดูแลเอง
หวงฝู่อี้เซวียนราวกับไม่ได้ยิน ไม่สนใจใครอื่น ตาเพียงแต่จ้องที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กะพริบ และร้องเรียกเบาๆ ข้างๆ นางตลอด “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์”
พระชายาฉีเห็นแล้วปวดช้ำใจ แต่ก็จนปัญญาไร้หนทาง
ไม่มีใครเข้าใจความกระวนกระวายในใจของหวงฝู่อี้เซวียน เขากลัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะทิ้งเขา ไม่สนใจใยดี กลัวว่านางจะกลับไปที่โลกนั่นของนาง กลัวว่านางจะหายราวกับควันเมฆ กลัวว่าชาตินี้ภพนี้จะไม่อาจพบนางได้อีก
เนื่องจากเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ฟื้นขึ้นมา บรรยากาศภายในจวนก็อึดอัดคุกรุ่นอย่างมาก สาวใช้และบ่าวรับใช้ที่ไปๆ มาๆ ก็ไม่กล้าหายใจแรง เวลาจะเดินก็ต้องเขย่งปลายเท้า ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ แม้แต่น้อย และทุกคนที่เพิ่งตื่นครั้นได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ฟื้น ในใจก็โทษตัวเองอย่างหนัก โดยเฉพาะชิงหลวนกับจูหลีทั้งคู่ แทบอยากจะให้คนที่บาดเจ็บสาหัสคือตัวเอง คนที่ไม่ตื่นขึ้นมาก็คือตัวเอง
สามีภรรยาเมิ่งอี้ที่มาทุกวันก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป หลังจากปรึกษากันลับๆ แล้ว ก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปที่บ้าน เพื่อบอกสถานการณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวให้แก่ที่บ้าน
จริงๆ แล้วพวกเขาไม่เขียนจดหมาย เรื่องใหญ่เช่นนี้ก็ปิดบังคนในบ้านไม่ได้
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อได้ยินคำบอกเล่าของทุกคนแล้ว ก็รีบสั่งเมิ่งเสียน เมิ่งฉีเตรียมรถม้าให้เรียบร้อย แล้วเอาเงินทั้งหมดในบ้านไปด้วย ส่วนเรื่องโรงงานของที่บ้านก็มอบหมายให้เมิ่งต้าจินจัดการ แล้วทั้งบ้านไม่ว่าคนแก่หรือเด็กเล็กล้วนนั่งรถม้ามุ่งมายังเมืองหลวง โดยที่มีองครักษ์ลับสิบกว่าคนและเหวินเป้าคอยคุ้มครองอยู่ ในใจของพวกเขากังวลราวกับมีเพลิงไฟสุมอก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น