ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 223-225
ตอนที่ 223-1 เกิดเรื่องอีกแล้ว
เสียงที่ไม่พอใจของชิงหลวนดังขึ้น “จูหลี เจ้านี่อย่างไรกัน ข้ากำลังวุ่นจะไปยกโจ๊กมาให้นายหญิง เจ้าก็ลุกลี้ลุกลนจนโกลาหลไปหมด แล้วยังมาชนหัวของข้าจนเจ็บอีก”
จูหลีลูบหน้าผากของตัวเอง เสียงบ่นดังยิ่งกว่า “ข้าก็จะไปยกโจ๊กมาให้นายหญิงเหมือนกัน ไม่ได้หรืออย่างไร”
เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นอีก
ทันทีที่เห็นนางฟื้นขึ้นมาและมีอารมณ์ดีเช่นนี้ หาได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องนั้นแม้แต่น้อย หวงฝู่อี้เซวียนก็อารมณ์ดีตามไปด้วย จึงหันศีรษะมามองทั้งสองคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ซื่อจื่อคนนี้ เป็นเจ้านายที่ภายนอกสุขุมแต่ภายในมืดมนชั่วร้าย พอเขาใช้สายตาเช่นนี้มองตัวเอง ชิงหลวนและจูหลีก็รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา หน้าผากก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอีก จึงรีบเปิดม่านประตูออกพร้อมทั้งสาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหายไป มองเขาอย่างโมโห และพูดบ่นเล็กน้อย “เจ้าทำให้พวกนางตกใจแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนยกมือทั้งสองข้างขึ้น ร้องเสียงดังว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขาแหย่เล่นอีกแล้ว
ชิงหลวนยกโจ๊กและเครื่องเคียงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนพยุงนางนั่งขึ้นอย่างระวัง จุ่มผ้าเช็ดหน้ากับน้ำ แล้วเช็ดใบหน้าและมือให้นางอย่างละเมียดละไม จากนั้นยกโจ๊กขึ้นมา หยิบช้อนพร้อมตักโจ๊กขึ้นมา แล้วยื่นไปตรงหน้าของนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธ อ้าปากกินโจ๊กที่อยู่ในช้อนลงไปอย่างว่าง่าย
นางกินโจ๊กถ้วยหนึ่งเสร็จ ทั้งกายของเมิ่งเชี่ยนโยวอุ่นขึ้นและมีเรี่ยวแรงขึ้น จึงมองไปที่ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วพูดขอร้องเบาๆ “นอนมาสามวันแล้ว ปวดกระดูกไปหมด ข้าอยากจะลุกออกจากเตียงไปเดินเล่นเสียหน่อย”
มั่นใจอย่างเต็มอกว่าเขาจะต้องไม่ยอมแน่ แต่นึกไม่ถึงว่าหวงฝู่อี้เซวียนกลับพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจเป็นอย่างมาก ดึงผ้าห่มออก และกำลังจะลงจากเตียง
หวงฝู่อี้เซวียนยกมือปรามนางไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป และมองเขาอย่างฉงน
เขาก้มศีรษะและโค้งตัวลง หยิบรองเท้าของเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมา แล้วสวมใส่ให้นาง หวงฝู่อี้เซวียนจับมือนางอย่างอ่อนโยนพร้อมพูดด้วยเสียงละมุน “ไปกันเถอะ ออกไปเดินรอบๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัวแข็งทื่อ ได้แต่ปล่อยให้เขาพาออกไปอย่างงงงวย
เวลานี้แสงอาทิตย์กำลังดี ส่องลงบนกายอย่างอบอุ่น หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือนางตลอด ทั้งคู่เดินอยู่ภายในเรือนอย่างไม่เร็วไม่ช้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดด้วยเสียงเบา “อี้เซวียน ข้าไม่เป็นไร”
เขาหันศีรษะไปด้านข้างมองนาง แต่กุมมือแน่นยิ่งขึ้น “ข้ารู้”
สิ่งที่ทำกับสิ่งที่พูดนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจว่าตัวเองนอนหลับสนิทมาหลายวัน จนทำให้เขาตกใจ ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดปลอบเขา จูหลีก็เดินเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน “นายหญิง พวกคุณชายเซี่ยมาเจ้าค่ะ พวกเขารออยู่ด้านนอกจวน จะให้พบหรือไม่เจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวงฝู่อี้เซวียน
“พาพวกเขาไปรอที่ห้องรับแขก ข้ากับโยวเอ๋อร์จะไปเดี๋ยวนี้”
จูหลีรับคำ หันตัวเดินออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือนางเดินมุ่งไปยังห้องรับแขกอย่างไม่เร่งรีบ
ขณะที่พวกจูหลานสามคนยังมาไม่ถึงเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวแล้วว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เป็นอะไร ทว่า ในใจก็เป็นห่วงนาง จึงยังคงเร่งม้าให้มาถึงโดยเร็ว ทันทีที่เข้าเรือน เห็นทั้งสองคนยืนเรียงกันรอพวกเขาอยู่ในห้องรับแขก จึงคิดจะทำความเคารพต่อหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือปราม “ล้วนเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ต่อไปที่พวกเราอยู่ด้วยกันส่วนตัว การเคารพตามธรรมเนียมเหล่านี้ก็ละเว้นเถิด”
ตอนนี้ทั้งสามคนถึงจะมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นอารมณ์ของนางที่แม้ว่าจะดีมาก แต่สีหน้ากลับดูขาวซีดเล็กน้อย จูหลานถามอย่างต่อเนื่องด้วยความเป็นห่วง “สีหน้าซีดเซียวเช่นนี้ เพราะไม่สบายตรงไหนหรือไม่ ให้หมอมาดูอาการแล้วหรือยัง แล้วหมอว่าอย่างไรบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ได้ตอบ หวงฝู่อี้เซวียนก็เอ่ยปากพูดก่อน “โยวเอ๋อร์หลับมาสามวันแล้ว เพิ่งตื่นขึ้น สีหน้าก็ย่อมดูแย่ไปบ้างเป็นธรรมดา พักฟื้นสักสองวันก็จะหายดีแล้ว”
ระหว่างเดินทางทั้งสามคนก็ได้ยินเรื่องที่พระเซวี่ยนชิงร่ายมนตร์ใส่นาง คาดว่าอาจจะทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บได้ จึงพยักหน้า และไม่ได้ถามต่ออีก
เซี่ยเจียงเฟิงพูด “ตอนที่พวกข้าได้ยินเรื่องนี้ ตกใจแทบแย่ล ก็เลยเร่งรีบมาเมืองหลวง พอเดินทางได้ครึ่งทางก็ได้ยินว่าข่าวว่าเจ้าไม่เป็นอะไร ถึงจะสบายใจได้เปราะหนึ่ง ไม่มีเหตุผลอะไรแท้ๆ เหตุใดถึงมีการพูดกล่าวหาเช่นนี้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวมิได้ปิดบัง เล่าต้นสายปลายเหตุให้แก่ทั้งสามคน โดยเริ่มตั้งแต่หลิวลี่
หลังจากทั้งสามคนฟังจบ ก็โกรธจนแทบคลั่ง อันอี่หยวนพูดขึ้น “นึกไม่ถึงว่าในใต้หล้ายังมีคนที่ชั่วช้าไร้หัวใจเฉกเช่นนี้ได้ เป็นคนในหมู่บ้านด้วยกันเอง ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเหลือค้ำจุนกัน ยังหาเรื่องใส่ร้ายผู้อื่นอีก คนเช่นนี้ต้องไม่ตายดีแน่”
เซี่ยเจียงเฟิงกับจูหลานพยักหน้าเห็นด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งเงียบ นางไม่ได้บอกเรื่องที่หลิวลี่เป็นขอทานอยู่ในเมืองหลวงให้พวกเขาฟัง ส่วนจุดจบของนางนั้น ก็ไม่ต้องเดาเลย แน่นอนว่าต้องไม่ได้ดีไปถึงไหนแน่
ทั้งสามคนพูดคุยเรื่องนี้กันสักพัก เมื่อเห็นสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงดูซีดเซียวมาก จึงพูดว่า “เจ้าไปพักผ่อนให้สบายเถิด พวกข้าจะพักอยู่ที่เมืองหลวงสองสามวัน ถ้าหากมีอะไรที่ต้องการใช้ ก็เรียกได้เลย”
เซี่ยเจียงเฟิงกับอันอี่หยวนมีกิจการอยู่ที่เมืองหลวง ทั้งสามมีแหล่งที่พักพิงมีที่กินดื่ม เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่รั้งต่อไป พยักหน้าพูด “ถือโอกาสนี้ พวกเจ้าก็ไปเยี่ยมคุณชายเปาสิ แผลที่ขาของเขาจะหายดีเป็นปกติแล้ว”
สามคนรับคำ ลุกขึ้นยืน กล่าวบอกลากันเสร็จแล้วก็เดินออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวส่งทั้งสามคนด้วยสายตา เมื่อเห็นว่าไปไกลแล้ว ก็จูงมือกันกลับเข้ามาในห้อง
แม้ว่าพระสติไม่ดีรับรองว่าเมิ่งเชี่ยนจะฟื้นขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่วางใจ เฝ้านางไม่ห่างสักชั่วยามจนไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ครานี้เมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้ว ในใจก็ผ่อนคลายลง และรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าบ้างแล้ว จึงจูงเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปนอนที่เตียง หลังจากพูดคุยกับนางเบาๆ สักพัก ก็หลับสนิทไป
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนมาสามวันแล้ว เดิมทีคิดว่าจะนอนไม่หลับ ครั้นอยากจะหลับตาลงเป็นเพื่อนเขา ใครจะรู้ว่าสักพักก็หลับสนิทไปด้วย
ภายในห้องเงียบสงัดไร้การเคลื่อนไหว ชิงหลวนและจูหลีก็เดาได้ว่าทั้งคู่คงหลับไปแล้ว จึงค่อยๆ ย่องถอยออกจากออกมานอกเรือน แล้วปิดประตูอย่างเบาๆ และไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกอีก
พอรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวหลับนานแล้วยังไม่ตื่น ในใจของพระชายาฉีก็กระวนกระวาย ทุกวันต้องส่งคนไปสอบถาม กระทั่งวันนี้คนที่ส่งไปได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้ว ก็รีบควบม้ากลับไปรายงานโดยเร็ว พระชายาฉีได้ยินแล้วก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง
อ๋องฉีก็ลอบถอนหายใจโล่งอก ถ้าเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ตื่นอีก พระชายาฉีก็คงร้อนใจจนป่วยตามไปด้วย
ยังมีเหวินซื่อและฉู่เหวินเจี๋ยที่ได้รับข่าวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้ว ก็ถอนใจโล่งอก และรู้สึกยินดีอย่างยิ่งเช่นกัน
เถ้าแก่เหลาจวี้เสียนก็ดีใจมาก องครักษ์ลับทั้งสามพันคนยังคงอยู่ที่เมืองหลวง หากไม่ได้รับคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน เถ้าแก่ก็ไม่กล้าให้พวกเขาแยกย้าย ทว่า หากฮ่องเต้ทราบแล้ว ไม่แน่ว่าจะทำให้พระองค์เกิดความเคลือบแคลงพระทัยขึ้นอีกได้ แต่หลายวันนี้ ในจวนของเมิ่งเชี่ยนโยวปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ข่าวสารทั้งหมดก็ส่งเข้าไปไม่ได้ เขาจึงกังวลใจจนริมฝีปากพอง ตอนนี้ค่อยยังชั่ว เมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้ว นายท่านก็คงจะส่งข่าวอะไรที่ชัดเจนมาได้แล้ว
เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่ายหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะตื่นขึ้นมา พอจัดแจงแต่งกายเรียบร้อยและรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ชิงหลวนถึงจะเข้ามารายงานว่า มีผู้คนมากมายที่มาเยี่ยม แต่ถูกนางขวางให้กลับไป ทว่า พวกเขาก็คงจะมาอีกครั้งในวันรุ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะ สั่ง “ข้ากับโยวเอ๋อร์จะออกไปข้างนอกสักหน่อย พวกเจ้าไปจัดแจงรถม้า”
ชิงหลวนรับคำ เดินออกไป
ตอนที่ 223-2 เกิดเรื่องอีกแล้ว
หลังจากนอนหลับอีกครั้ง สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีขึ้นมากแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนพูด “ข้าจะพาเจ้าไปพบคนๆ หนึ่ง” พูดจบก็พูดเสริมอีก “ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถามอะไรมาก พยักหน้า ปล่อยให้เขาจูงมือพานางออกจากประตูบ้านและขึ้นนั่งบนรถม้า เมื่อมาถึงเรือนนอก ก็เดินเข้าไปด้านใน
ภายในเรือนนอกเงียบสงัด แม้แต่เงาของคนๆ หนึ่งก็ไม่มี
หวงฝู่อี้เซวียนย่นคิ้วเล็กน้อย ตะโกนขึ้น “อี้เอ๋อร์!”
หวงฝู่อี้ได้ยินก็วิ่งออกมาจากในห้อง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะโกนร้องอย่างตกใจปนดีใจ “พี่โยวเอ๋อร์!”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะยิ้มให้
“ไต้ซือล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
“อ๋อ ไต้ซือเพิ่งจะออกไปไม่นานขอรับ ท่านบอกว่าพี่โยวเอ๋อร์ฟื้นแล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่ต่อแล้ว และจะไปออกท่องทั่วพิภพ อีกทั้งยังบอกให้ท่านไม่ต้องตามหาเขาขอรับ” หวงฝู่อี้ตอบ
ภายในน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนมีความร้อนรนเล็กน้อย “ไต้ซือพูดอะไรอีกหรือไม่”
หวงฝู่อี้ส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ เขาพูดเพียงเท่านี้ก็ไปแล้ว ข้าเก็บข้าวของอยู่ภายในห้อง เตรียมจะรอให้เก็บเสร็จแล้ว ก็ไปหาท่านที่บ้านแม่นางเมิ่งอยู่เลยขอรับ”
พอเขามา ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอโยวเอ๋อร์มา เขาก็ไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพบโยวเอ๋อร์ หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก แล้วภายในหัวก็มีสิ่งต่างๆ แล่นขึ้นมากมายโดยพลัน โดยเฉพาะคำพูดนั้นของพระสติไม่ดียังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา
ต่อจากนั้นไม่กี่วัน คนรู้จักมักคุ้นเกือบทั้งหมดที่ต่างทราบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้วก็มาเยี่ยม หรือแม้แต่ฮองเฮาก็ส่งคนมาเยี่ยมโดยเฉพาะ และยังส่งสิ่งของต่างๆ มาให้ไม่น้อย พร้อมกับฝากพระราชดำรัสของพระองค์มาว่า เมื่อใดที่ทั้งสองคนมีเวลาว่างก็ให้เข้าพระราชวังไปพูดคุยเป็นเพื่อนนางด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนต่อหน้าพยักหน้าน้อมรับ แต่ในใจกลับเอาคำพูดของนางเป็นเสมือนลมที่ทะลุผ่านหูไป ขืนเอาสิ่งนี้เข้าไปในหู คงมีควันออกมาเป็นแน่ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
เถ้าแก่เหลาจวี้เสียนส่งคนมาถามไถ่ลับๆ เช่นกัน คำตอบที่ได้รับคือ ถ้าหากฝ่าบาททรงทราบเรื่องที่องครักษ์ลับสามพันนายยังอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ก็ปล่อยไป ไม่ต้องเกรงกลัว
พอได้คำชี้แนะ เถ้าแก่ก็วางใจ และจัดแจงแบ่งกลุ่มให้สามพันคนนั้นต่อไป
ในจวนของเมิ่งเชี่ยนโยวมีคนไปมาหาสู่ ทำให้บรรยากาศคึกคักกว่าปกติ ในขณะที่บรรยากาศในพระราชวังของเฮ่อผินกับองค์ชายหกกลับเต็มไปด้วยความหดหู่ คนในพระราชวังล้วนสบโอกาสแปรพักตร์ ทันทีที่ทั้งคู่สูญสิ้นความรักใคร่เอ็นดูจากฮ่องเต้ พวกที่เคยใกล้ชิดก็พากันตีตัวออกห่าง มิหนำซ้ำยังมีคนที่คอยฉวยโอกาสซ้ำเติม ราวกับกำแพงที่เริ่มคลอนแคลนแล้วก็ยังถูกผู้คนช่วยกันผลักให้ล้ม แม้แต่คนที่มาปลอบใจก็ไม่มี หรือแม้แต่นางรับใช้ในวังและขันที ก็ไม่ได้เต็มใจเหมือนเช่นเคยแล้ว ทว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ได้แย่ที่สุด เพราะสิ่งที่แย่ที่สุดคือ ฮ่องเต้ได้มีพระบัญชามาแล้วว่าให้องค์ชายหกออกจากเมืองหลวงไปถิ่นทุรกันดารภายในสามวัน และตอนนี้ก็ได้ผ่านไปสองวันแล้ว วันรุ่งขึ้นก็คือวันสุดท้ายเสียแล้ว
สิ่งของในตำหนักขององค์ชายหกที่สามารถแตกหักได้ ล้วนถูกทำให้แตกหักทั้งสิ้นไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว นอกจากนี้ เพราะเขาจะไปแล้ว สำนักพระราชวังก็ไม่ได้ส่งคนมาบอกให้เขาทำอะไรเพิ่มอีก บัดนี้ ในห้องของเขานอกจากเหลือเพียงโต๊ะและเก้าอี้ไม้ไม่กี่ตัว ของฟุ่มเฟือยอื่นๆ ล้วนไม่มีทั้งสิ้น
องค์ชายหกล้มทั้งโต๊ะและเก้าอี้เพื่อระบายอารมณ์ฉุนเฉียว แล้วนอนแผ่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง หนนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ แผนการต่างๆ ที่จัดการดำเนินมาอย่างยากลำบากในหลายปีนี้ล้วนพังราบเป็นหน้ากลองในพริบตา ถึงไม่ยินยอม ก็ไม่มีแรงที่จะพลิกสถานการณ์อีก เฮ่อจางถูกถอนตำแหน่ง สนมเฮ่อก็ถูกลดศักดิ์ ที่พึ่งพิงทั้งหมดของเขาล้วนไม่มีแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่จำนนอีก ก็ไม่อาจทำอะไรได้ และทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเมตตาที่เมิ่งเชี่ยนโยวมอบให้ ถูกต้อง ก็เพราะเมิ่งเชี่ยนโยว เพราะนางทำให้ตัวเองตกต่ำจนมีสภาพเช่นนี้ และเพราะนางที่ทำให้พระมารดาตกต่ำจนพบกับจุดจบเช่นนี้ และยิ่งเป็นเพราะนางที่ทำให้บรรพบุรุษตระกูลตัวเองกลายเป็นตัวตลกของผู้คนในเมืองหลวง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นเพราะนาง เพราะนางทั้งสิ้น! คิดถึงตรงนี้ นัยน์ตาขององค์ชายหกก็เผยไฟแห่งความชิงชัง ความโกรธแค้นและปนด้วยความชั่วร้าย นางมีสิทธิ์อะไรที่ตอนนี้จะมีชีวิตที่หวานสุข ขณะที่ครอบครัวตัวเองกลับได้รับผลตอบแทนเช่นนี้ ไม่ได้ เขาจะไม่ยอมให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ขนาดนี้ เขาต้องล้างแค้น เขาต้องทำให้นางไม่ได้ตายดี
เมื่อโดนความโกรธแค้นครอบงำ นัยน์ตาขององค์ชายหกเผยให้เห็นแสงของสัตว์ป่าบ้าเลือด เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และแผดเสียงร้อง “ใครก็ได้!”
เขาตะโกนติดต่อกันสองครั้ง ถึงจะมีขันทีผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งอย่างร้อนรนเข้ามา และพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายหก”
“เจ้า ไปเรียกมหาเสนาบดีมาหาข้า บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนที่อยากพบเขา” องค์ชายหกออกคำสั่ง
ขันทีไม่ขยับ ถามด้วยเสียงสั่น “มหาเสนาบดีท่านไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…” องค์ชายหกยกเท้าขึ้นมาโดยความโกรธ
ขันทีตกใจจนหัวใจเต้นตึกตัก แล้วคุกเข่าลงไปที่พื้น “บ่าวเพิ่งจะมาใหม่ ไม่ทราบจริงๆ ว่าองค์ชายหกทรงมีประสงค์จะหามหาเสนาบดีท่านไหนพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้ถึงได้นึกออก เฮ่อจางถูกปลดตำแหน่ง ไม่ได้เป็นมหาเสนาบดีแล้ว สถานะปัจจุบันของเขาตอนนี้คือไม่สามารถเข้าพระราชวังได้
เขาจึงวางเท้าลง สะบัดแขนเสื้อ เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
รอเขาเดินไปไกลแล้ว ขันทีผู้น้อยถึงจะกล้าปีนตัวขึ้นจากพื้น ซับเหงื่อที่ไหลออกบนหน้าผาก เดินไปด้านนอก ขันทีผู้น้อยอีกคนหนึ่งเข้ามาตรงหน้า แล้วด่าว่า “สมน้ำหน้า ใครให้เจ้าไม่จำให้ดีล่ะ เพิ่งจะบอกเจ้าไปหยกๆ ว่าตอนนี้พระองค์ก็คือหมาบ้าตัวหนึ่ง ที่ตามใครก็จะกัดคนนั้น เจ้าไปซ่อนตัวอยู่ไกลๆ เสีย หากมีรับสั่งอะไร แสร้งทำว่าไม่ได้ยินก็พอแล้ว อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้พระองค์ก็เสด็จไปแล้ว และจะไม่กลับมาอีกตลอดกาล”
ขันทีผู้น้อยนี้ย้อนนึกเรื่องเมื่อครู่แล้วก็รู้สึกหวาดหวั่น จึงพยักหน้าไม่หยุด “ครั้งนี้จะจำไว้แล้ว อีกครู่หนึ่งข้าก็จะเดินหนีไปไกลๆ แล้ว ไม่ว่าพระองค์จะตะโกนเรียกอย่างไร ข้าก็จะไม่รับหน้าเข้าไปอีก”
องค์ชายหกมาถึงที่พักที่ซอมซ่อปัจจุบันของเฮ่อผินอย่างโมโห พอคิดจะเข้าไป กลับถูกคนกันอยู่นอกประตู “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เฮ่อผินถูกกักบริเวณเพื่อสำนึกผิด ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเยี่ยมได้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายหกจนปัญญา มองไปยังประตูใหญ่ที่ปิดสนิท แล้วหันกายเดินออกพระราชวังไป มายังจวนเฮ่อ
ประตูใหญ่ของจวนเฮ่อปิดสนิท หน้าประตูเต็มไปด้วยความแห้งแล้งหดหู่ มิได้มีความคึกคักเหมือนเมื่อก่อน
องค์ชายหกเดินเข้ามาข้างหน้า คว้าห่วงทองแดงที่ประตูใหญ่ แล้วออกแรงเคาะสองสามครั้ง
ผ่านไปนานประตูใหญ่ถึงจะเปิดออกจากด้านใน นายประตูชะโงกหน้าออกมา พอเห็นชัดว่าเป็นองค์ชายหก จึงกระวีกระวาด และเปิดประตูใหญ่ออกมาครึ่งประตู “องค์ชายหก ทรงเสด็จมาแล้วหรือ เชิญเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายหกยกเท้าขึ้นก้าวข้ามไปในจวน พลางถามขึ้น “ท่านตาล่ะ”
“นายท่านอยู่ในห้องพ่ะย่ะค่ะ นอนอยู่บนเตียงมาหลายวันแล้ว”
เมื่อตรงมาถึงภายในเรือนของเฮ่อจาง ผู้ดูที่เฝ้าอยู่นอกห้องก็เดินเข้ามาแสดงความเคารพต่อเขา
เฮ่อจางได้ยินเสียงพูดของผู้ดูแล จึงกระวีกระวาดลุกตัวขึ้นนั่ง
องค์ชายหกเข้ามาในห้อง เห็นเฮ่อจางที่ไม่ได้เจอหลายวันดูแก่ลงอย่างมาก ความรู้สึกเกลียดชังในใจเพิ่มพูนยิ่งขึ้น และพูดอย่างตรงไปตรงมา “ท่านตาขอรับ นังสาวใช้ชั้นต่ำนั่นทำร้ายพวกเราถึงขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าท่านจะยอมหยุดเพียงเท่านี้”
แน่นอนว่าเฮ่อจางมิได้ยินยอม หลายวันนี้ที่นอนอยู่บนเตียงก็คิดหาวิธีนับไม่ถ้วนที่จะทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวตกอยู่ในสภาพที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีก ได้ยินดังนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกลียด “องค์ชายหก ข้า…” พูดมาถึงตรงนี้ ก็นึกถึงตัวเองที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งมหาเสนาบดี จึงเปลี่ยนคำ กัดฟันกรอด และเผยใบหน้าแสยะยิ้ม “ยอมหรือ เป็นไปได้อย่างไรกันล่ะ หากข้าตายก็จะต้องลากพวกมันลงไปด้วยสิ”
หนึ่งชั่วยามผ่านไป องค์ชายหกมีใบหน้าที่เบิกบานเดินออกจากจวนเฮ่อ หลังจากที่เขาเดินไป ประตูหลังของจวนเฮ่อก็มีองครักษ์ลับสวมชุดสีดำจำนวนหนึ่งควบม้าเร็วมุ่งออกไปคนละทาง
วันถัดมา ไม่มีใครมาส่งองค์ชายหก ไม่มีนางกำนัลหรือขันทีติดตามไปด้วยแม้แต่คนเดียว เขาได้แต่ขึ้นนั่งรถม้าไปถิ่นทุรกันดารอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
สองวันผ่านไป จางเจ๋อหวยผู้เป็นนายอำเภอแห่งหลินเฉิงสั่งคนขี่ม้าเร็วมาส่งข่าว ไม่รู้ว่าเหตุอันใด หลายมาวันนี้มันฝรั่งที่ปลูกไว้ล้วนตายลงมากมาย และยังมีโอกาสที่จะตายแผ่ออกเป็นวงกว้างอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยิน ก็ร้อนใจอย่างมาก พลันจะออกตัวเดินทางไปเมืองหลินเฉิง
หวงฝู่อี้เซวียนขวางนางไว้ “ร่างกายของเจ้าเพิ่งจะดีขึ้น ไม่ควรที่จะต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล เจ้าพักผ่อนอยู่ที่บ้านให้สบายเสีย ข้าไปเองแล้วกัน”
ก็ดี เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า บอกเขาถึงเรื่องต่างๆ ที่ต้องระวังอย่างละเอียด
หวงฝู่อี้เซวียนจดจำแต่ละอย่างไว้ แล้วกำชับนาง “ไม่ช้าข้าก็จะกลับมา ช่วงนี้เจ้าอย่าไปไหน เป็นเด็กดีรอข้ากลับมา หากมีเรื่องอะไร ก็ให้คนส่งข่าวไปบอกข้าโดยเร็วที่สุด”
เมิ่งเชี่ยนผงกศีรษะ รับคำ
หวงฝู่อี้เซวียนกลับจวนไปบอกอ๋องฉีและพระชายาฉี แล้วพาองครักษ์ลับสิบนายไปยังหลินเฉิง
เวลาถัดมาหลังจากที่เขาออกไป เหวินหู่ก็ขี่ม้ามาอย่างรีบเร่ง ทันทีที่เข้าประตู ก็แผดเสียงร้องขึ้น “นายหญิง ที่บ้านเกิดเรื่องแล้วขอรับ!”
ตอนที่ 224 งานศพที่ใหญ่โต
ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวร่วงหล่นลง เหวินหู่เป็นคนที่สุขุมหนักแน่น หากว่าไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นที่บ้าน เขาก็คงไม่ร้องตะโกนด้วยความลนลานได้ขนาดนี้ จึงเดินออกจากห้องทันที มาถึงหน้าประตูเรือนก็เอ่ยปากถาม “มีเรื่องอะไรหรือ”
“นายท่านสี่ถูกคนฆ่าตายแล้วขอรับ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวล้ม ฮวบ ลงไป แล้วยืนขึ้นทันควัน สายตาเผยประกายแห่งความเยือกเย็น เสียงที่แฝงด้วยความโกรธราวกับลมพายุฝนที่พัดโหมกระหน่ำพูดขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
เหวินหู่ที่วิ่งมาอย่างเหนื่อยหอบ หายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วพูด “คืนก่อน จู่ๆ มีคนชุดดำกลุ่มใหญ่บุกเข้าโจมตีในบ้าน ระหว่างที่นายท่านสี่กำลังต่อสู้อยู่ก็พลาดพลั้งจนถูกฆ่าตาย พี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกันขอรับ”
“พ่อแม่ข้าล่ะ พวกพี่ชายใหญ่ล่ะ เป็นอะไรหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างร้อนรน
เหวินหู่ส่ายหน้า “เวลานั้นข้า เหวินเป้า และคุณชายใหญ่คุ้มกันอยู่ข้างกายนายท่านกับฮูหยิน พวกเขามิได้เป็นอะไรขอรับ มีเพียงนายท่านสี่ที่ไม่ฟังการห้ามปรามของพวกเรา ดึงดันจะไปต้านพวกคนชุดดำด้วยกันกับเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยให้ได้ ถึง…”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกับทุกคนที่วิ่งมาหลังจากได้ยินเสียงในทันใด “เหวินเป้า เจ้าไปจัดแจงรถม้า พวกเราต้องออกเดินทางกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
“กัวเฟย รีบไปเหลาจวี้เสียน เรียกระดมองครักษ์ลับห้าสิบนายตามข้ากลับบ้าน”
“เหวินหู่ เจ้าวิ่งเต้นมาติดกันหลายวัน คงเหนื่อยแล้ว เก็บแรงไว้เสียบ้าง แล้วถือโอกาสดูแลจวนให้ดี”
ทุกคนรับคำ แล้วพากันหันกายออกไปตามหน้าที่
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับเข้าในห้อง คว้ากริชมาสองเล่มสอดไว้ที่กาย แล้วร้องเรียกชิงหลวนให้เข้าไป สั่งนางให้นำยาเม็ดที่ปรุงเตรียมไว้อยู่ทุกวันทั้งหมดออกมาห่อให้เรียบร้อย แล้วพกติดตัวไว้ให้ดี แล้วหยิบพระราชโองการมา จัดวางอย่างดีแล้ว ทั้งสองคนก็ออกจากห้อง สาวเท้าไปยังประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว
จูหลีตามอยู่ด้านหลัง พูดด้วยเสียงเบา “นายหญิง ท่านควรจะส่งข่าวนี้ให้แก่ซื่อจื่อหรือไม่เจ้าคะ”
ขาของเมิ่เงชี่ยนโยวชะงักเล็กน้อย แล้วเดินก้าวยาวไปข้างหน้าต่อ “ไม่ต้อง เขาเพิ่งจะออกไปเมื่อวาน ได้ข่าวนี้จะทำให้ไม่มีสมาธิเอาได้ พวกมันฝรั่งนั่นเป็นรากสำคัญที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตประชาชนเมืองหลินเฉิง จะสะเพร่าไม่ได้เป็นอันขาด”
มาถึงนอกประตูใหญ่ เหวินเปียวได้นำทุกคนขึ้นประจำบนรถม้ารออยู่แล้ว เหวินหู่ก็ต้องการกลับไป แต่ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ แล้วกำชับเหวินหู่อีกรอบว่าหลังจากที่พวกนางออกเดินทางไปให้ปิดประตูแน่น ไม่ต้อนรับแขกใดๆ
เหวินหู่พยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง แสดงออกว่าได้จำคำไว้แล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียวให้ตรงออกไปทางนอกเมืองทันที
รถม้าสิบกว่าคันออกจากประตูเมือง กัวเฟยที่นำองครักษ์ลับห้าสิบนายมาได้รอคอยอยู่นอกเมืองแล้ว
ทุกคนขึ้นบนรถม้า มุ่งไปยังตำบลชิงซี
ตลอดทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ่านไปสองวันก็มาถึงบ้าน
มองจากที่ไกลๆ หน้าประตูมีธงขาวโบกสะบัด ผู้คนมาเคารพศพกันอย่างไม่ขาดสาย
รอให้เข้าใกล้อีกหน่อย เสียงร่ำไห้ที่ดังสะท้านฟ้าจากด้านในห้องก็ดังออกมา
คนที่รับผิดชอบต้อนรับแขกที่มาคำนับศพอยู่นอกห้องเห็นกลุ่มม้าใกล้เข้ามาก็รีบออกไปต้อนรับทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินก้าวยาวมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน
ส่วนพวกคนอื่นที่ตามนางเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู
คอของเมิ่งชิงส่งเสียงร้องไห้จนแหบแห้งแล้ว ครั้นเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ลุกขึ้นอย่างโซเซ แล้วถลาเข้ามาที่อ้อมอกนางด้วยน้ำตานองหน้า เรียกร้องด้วยเสียงแหบ “พี่โยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะของเขา เม้มริมฝีปาก จูงมือเขามายังหน้าโถงเซ่นไหว้
เสียงร้องภายในห้องดังยิ่งขึ้น
สะใภ้ทั้งสามของตระกูลเมิ่ง ซุนเชี่ยน หวังเยียน และอิงจื่อต่างร้องไห้จนดวงตาทั้งคู่บวมแดงและเสียงแหบแห้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวแหวกผ้าปิดหน้าศพของเมิ่งเสียวเถี่ยออก ใบหน้าที่สงบนิ่งของเมิ่งเสียวเถี่ยปรากฏอยู่เบื้องหน้า บนหน้าของเขาคล้ายกับว่ายังมีรอยยิ้มน้อยๆ
น้ำตาของเมิ่งเชี่ยนโยวไหลออกมา เม้มริมฝีปาก ปิดผ้าให้เขาดังเดิมด้วยสองมือที่สั่นเทา แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าดวงวิญญาณ โป๊กๆๆ เสียงกระแทกศีรษะคำนับดังขึ้นสามครั้ง แล้วพูดเสียงดัง “น้าสี่ ขอให้จากไปด้วยดีนะเจ้าคะ แค้นนี้ข้าต้องชำระให้ท่านอย่างแน่นอน”
เสียงร้องไห้ที่อดกลั้นไม่ไหวของเหล่าเมิ่งซื่อดังออกมาจากในห้อง ความเจ็บปวดของคนผมขาวที่ต้องส่งคนผมดำทำให้นางทุกข์ทรมานจนจะเป็นลมหมดสติไป ในชั่วขณะนั้นเมิ่งจงจวี่ก็แก่ลงไปมาก ผมดำบนศีรษะเกือบจะเปลี่ยนเป็นเส้นสีเงินทั้งหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน สวมใส่ชุดไว้ทุกข์ คาดสายรัดเอว และคุกเข่าต่อหน้าดวงวิญญาณ
ตระกูลเมิ่งตอนนี้เป็นครอบครัวร่ำรวยที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เมิ่งเชี่ยนโยวยังได้รับศักดิ์เป็นองค์หญิงอีก คนร่วมพิธีงานศพมากันอย่างไม่ขาดสาย มีทั้งคนที่อยู่ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง สุภาพชนจากแต่ละแห่ง คนที่ตระกูลเมิ่งทำการค้าขายไปมาหาสู่ด้วย สุดท้ายแม้แต่เจ้าเมืองและนายอำเภอก็มาด้วยตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวคุกเข่าอยู่ตรงหน้าดวงวิญญาณตลอด ไม่ได้ขยับจนกระทั่งฟ้ามืด
วันที่สองคือวันที่ฝังศพของเมิ่งเสียวเถี่ย โลงศพถูกปิดผนึกลงท่ามกลางเสียงร้องไห้ที่เจ็บปวดของผู้คน
ในที่สุดเหล่าเมิ่งซื่อก็ทนไม่ไหว และเป็นลมไป โชคดีที่หัวหน้าตระกูลเมิ่งรู้ก่อนล่วงหน้า จึงได้เชิญหมอมาประจำอยู่ที่บ้านก่อนแล้ว ถึงเลี่ยงไม่ให้ทุกคนอลหม่านวุ่นวายได้
จากนั้น เมิ่งต้าจิน เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งซานถง เมิ่งเหรินอยู่ด้านหน้า พี่น้องเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้สองคนที่มีความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดอยู่ด้านหลัง ทั้งแปดคนเดินขบวนส่งศพด้านนอกด้วยตัวเอง เมิ่งชิงโบกธง เมิ่งเจี๋ยถือโกศบรรจุอัฐิ ทุกคนเดินแบกเมิ่งเสียวเถี่ยไปยังสุสานของตระกูลเมิ่งทีละก้าว ด้านหลังตามด้วยคนที่มาร่วมพิธี
ขบวนส่งศพอันใหญ่โตเรียงแถวยาวเกือบลี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่หมู่บ้านหวงจวงแต่เดิม เหล่าสุภาพชนหรือเศรษฐีในตำบลชิงซีก็ไม่มีแถวที่มโหฬารได้ขนาดนี้ เมิ่งจงจวี่ปวดใจและทุกข์เศร้าในเวลาเดียวกัน แต่ก็รู้สึกยินดีแทนลูกชายตัวเองที่มีคนมาส่งบั้นปลายชีวิตเขามากมายถึงเพียงนี้ ชีวิตนี้ของเขาก็ถือว่าคุ้มแล้ว
งานศพที่ใหญ่โตทำเอาวุ่นวายตลอดทั้งวันถึงจะสิ้นสุดลง คนในหมู่บ้านแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไป แต่พวกสุภาพชนกลับมาทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่ขาดสาย หวังจะได้คุ้นหน้าค่าตาบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้าตอบรับให้แต่ละคน
สุดท้ายเหลือแต่เพียงเจ้าเมืองและนายอำเภอที่ตัวสั่นเทาเข้ามาหา
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เพียงแต่เป็นองค์หญิงชิงเหอ ยังเป็นว่าที่ชายาของซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี แต่นึกไม่ถึงว่าครอบครัวของนางจะถูกคนชุดดำล้อมสังหาร นับแต่วินาทีที่ได้รับข่าวนี้แล้ว จิตใจของเจ้าเมืองก็ไม่เป็นอันสงบอีกเลย
ส่วนนายอำเภอเป็นผู้ที่เพิ่งจะรับตำแหน่งใหม่ จุดจบของนายอำเภอคนก่อนก็ย่อมได้ยินมาแล้ว กลัวแต่เพียงเมิ่งเชี่ยนโยวจะโยนความผิดมาโทษเขา ในเวลานี้จิตใจก็กระวนกระวายแทบแย่เช่นกัน
ทั้งสองคนยืนอยู่หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากทักทายนางแล้ว ก็รอคำพูดที่ตามมาของนางอย่างกระสับกระส่าย
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากขึ้น พร้อมกับเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อย “ขอบพระคุณทั้งสองท่านที่สละเวลาจากธุระมากมายของท่านเพื่อมาส่งศพน้าสี่ของข้า ความปรารถนาดีของพวกท่าน เชี่ยนโยวจะไม่ลืมตราบชั่วชีวิตเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนสะดุ้งตกใจ นายอำเภอรีบพูดด้วยเสียงที่นอบน้อม “องค์หญิงชิงเหอเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนชั่วช้าสามานย์มากระทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างโจ่งแจ้งในขอบเขตที่ข้าดูแลอยู่ เป็นเพราะข้าน้อยละเลยในหน้าที่ ข้าน้อยจะจับตัวพวกคนชั่วมาให้ได้ด้วยแรงกายและแรงใจทั้งหมดขอรับ”
เจ้าเมืองก็คล้อยตามด้วย
ใครคือคนที่ส่งพวกคนชุดดำมา เมิ่งเชี่ยนโยวรู้อยู่ในใจดีอยู่แล้ว แต่ไม่อาจบอกตรงๆ ได้ จึงได้แต่เพียงพูดอย่างเกรงใจ “ขอบพระคุณท่านทั้งสองเจ้าค่ะ”
ฟังน้ำเสียงของนางที่ไม่มีเจตนาว่าจะกล่าวโทษใดๆ นายอำเภอและเจ้าเมืองก็โล่งอกพร้อมกัน และหลังจากรับปากอีกครั้งหนึ่งว่าจะตรวจสอบให้แน่ชัดอย่างถึงที่สุดว่าเป็นผู้ใดกระทำ ถึงจะบอกลากลับไป
ยุ่งวุ่นวายหลายวัน ร้องไห้หลายวัน ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจนสภาพอิดโรย หลังจากส่งทุกคนแล้ว ต่างนั่งบนเก้าอี้ในห้องอย่างทื่อๆ ไม่มีใครพูดอะไร
ดวงตาของเมิ่งชิงบวมแดง เดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ในน้ำเสียงมีความทุกข์โศกยิ่ง “พี่โยวเอ๋อร์ ต่อจากนี้ข้าก็เป็นเด็กที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้ว” พูดจบ น้ำตาก็พรั่งพรูอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ติดตัวออกมา แล้วช่วยเขาเช็ดน้ำตา เห็นดวงตาที่บวมแดงของเขา ก็พูดทีละคำ “ชิงเอ๋อร์ วางใจนะ พี่โยวเอ๋อร์จะไม่ทำให้พ่อของเจ้าต้องตายอย่างสูญเปล่า แค้นนี้พี่จะเอาคืนกลับมาแทนเขาเอง ในที่นี่ยังมีพวกเราทุกคน พวกเราจะเอ็นดูเจ้ามากขึ้นกว่าเมื่อก่อน”
เมิ่งชิงพยักหน้าพร้อมสะอึกสะอื้น
เมิ่งซื่อเดินเข้ามากอดเมิ่งชิงไว้ในอ้อมอก พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ชิงเอ๋อร์ วางใจเถิดนะ แม้ว่าเจ้าจะไม่มีพ่อแล้ว ก็ยังมีป้ารอง ต่อจากนี้ป้ารองจะยิ่งรักและเอ็นดูเจ้า”
น้ำตาของเมิ่งชิงไหลออกมาอีกครั้ง
ครอบครัวของเมิ่งต้าจินและเมิ่งซานถงเดินเข้ามากอดเมิ่งชิงไว้ในอ้อมอกเช่นกัน
เมิ่งจงจวี่เอ่ยปาก “เถี่ยเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว หลังจากนี้ชิงเอ๋อร์ก็มาอยู่กับตาแก่อย่างพวกเราสองคนเถิด ต่อไปพวกเจ้าก็ไปทำหน้าที่ต่างๆ ของตัวเองเสีย ไม่ต้องเป็นห่วงเขา”
เมิ่งเอ้ออิ๋นส่ายหน้า “ท่านพ่อ น้องสี่ตายก็เพื่อปกป้องพวกเรา จะให้ท่านเลี้ยงดูชิงเอ๋อร์ได้อย่างไรขอรับ อยู่ที่บ้านของพวกเราเถิด ให้ข้าและแม่นางเสียนเอ๋อร์ดูแลเถิดขอรับ”
เมิ่งซื่อผงกศีรษะคล้อยตาม
หลายปีมานี้เมิ่งเสียวเถี่ยอาศัยอยู่ในบ้านของเมิ่งเอ้ออิ๋นมาโดยตลอด มีเมิ่งเอ้ออิ๋นและฮูหยินสองคนดูแล พร้อมถือโอกาสรับหน้าที่เฝ้าดูแลบ้าน ครั้งนี้แม้ว่าจะเพื่อปกป้องครอบครัวของเมิ่งเอ้ออิ๋นจนตัวตาย แต่ไม่อาจโทษว่าสาเหตุการตายของเขามาจากครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋น จึงยิ่งไม่อาจให้พวกเขารับภาระหน้าที่ดูแลเมิ่งชิง เมิ่งจงจวี่สายศีรษะ “แม้ว่าข้ากับแม่เจ้าอายุมากแล้ว แต่ก็ยังสามารถเลี้ยงดูสั่งสอนชิงเอ๋อร์ได้ ไม่ต้องรบกวนพวกเจ้าหรอก”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อไม่ยอม คู่ชราเมิ่งจงจวี่อายุมากแล้ว เพิ่งผ่านเรื่องเมิ่งเสียวเถี่ยไป กำลังวังชาของทั้งสองคนแย่ลงมากอย่างเห็นได้ชัด แล้วจะให้พวกเขาต้องเสียแรงดูแลเมิ่งชิงอีกได้อย่างไร
แต่ละคนดึงดันไม่ยอมกัน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเอ่ยปาก “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าคะ พวกท่านอย่าได้ทะเลาะกันเลย ให้ชิงเอ๋อร์อยู่บ้านพวกเราชั่วคราวก่อนเถิด รอให้ข้ากับอี้เซวียนแต่งงานแล้ว ก็จะมารับเขากับเจี๋ยเอ๋อร์ไปที่เมืองหลวงเพื่อเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนเจ้าค่ะ”
กั๋วจื่อเจี้ยนนั่นคือที่ใดกัน คือสถาบันอบรมเลี้ยงดูคนในเครือญาติของเชื้อพระวงศ์ เป็นที่ที่ลูกหลานของขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงได้เข้าเรียน บรรดาอาจารย์ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางศาสตร์แขนงใดล้วนแต่คือผู้ที่หาตัวจับยาก เก่งกาจชั้นหนึ่ง สถานที่เช่นนั้นเป็นที่ที่คนบ้านนอกอย่างพวกเขาไม่แม้แต่จะกล้าคิด บัดนี้เมิ่งเชี่ยนโยวพูดคำนี้ออกมา นอกเหนือจากความรู้สึกตื่นเต้นแล้ว เมิ่งจงจวี่ยังมีความกังวลใจเล็กน้อย “นี่จะเป็นการเหมาะสมหรือ ถ้าหากเจี๋ยเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์ทำให้เจ้าขายหน้าจะทำอย่างไร”
ก็ไม่โทษเมิ่งจงจวี่ที่จะคิดเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นซิ่วไฉ[1]ที่มีชื่อเสียงในละแวกหมู่บ้านนี้อยู่บ้าง แต่ชีวิตนี้ของเขา สถานที่ที่ไปไกลที่สุดก็คือเมืองศูนย์กลางของมณฑล หนำซ้ำยังเป็นตอนที่สอบซิ่วไฉเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น คนที่ได้ฟังแต่เพียงคำจากปากคนอื่น ไม่เคยได้ไปเมืองหลวงสักหนเดียว จึงเกิดความรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาอย่างชอบกล
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความคิดภายในใจของเขา จึงพูดว่า “ท่านปู่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ลูกหลานตระกูลเมิ่งของพวกเราไปที่ใดล้วนแต่เป็นแบบอย่างที่ดี จะไม่ทำให้คนในตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้าเป็นแน่เจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ทำเอาเลือดร้อนของเมิ่งจงจวี่พลุกพล่านขึ้น ใช่แล้ว บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อยเป็นครั้งแรกหลังจากที่หลายวันมานี้ไม่ได้ปรากฏออกมา มือลูบหนวดที่คางของตัวเอง พยักหน้าพูด “พูดได้ดี ลูกหลานตระกูลเมิ่งของพวกเรานับวันยิ่งเก่งกาจขึ้นจริงๆ ปู่จะรอคอยวันที่พวกเจ้านำเกียรติมาให้แก่คนในตระกูลนะ”
จิตใจโศกเศร้าของทุกคนในตระกูลทุเลาลงไม่น้อยเนื่องจากข่าวดีนี้
เมื่อส่งทุกคนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัย สั่งชิงหลวนให้นำยาที่พกมาแจกจ่ายให้แก่คนต่างๆ คนที่ควรกินยาก็มอบประเภทยากินให้ ส่วนคนที่ควรได้รับยาสำหรับใช้ทาภายนอกก็มอบยาทาภายนอกให้ ครั้นเสร็จแล้ว ก็ไปหาเมิ่งเสียน เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาเป็นไป
เมิ่งเสียนบอกนางอย่างละเอียด สุดท้ายพูดว่า “วิชายุทธ์ของคนพวกนั้นแกร่งกล้ายิ่ง หากพวกเขาลงมืออย่างเต็มกำลัง เกรงว่าคนของครอบครัวพวกเราอาจจะไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว แต่หลังจากสังหารน้าสี่ตายแล้ว พวกเขาก็ถอนตัวออกไปทันที กลับไม่มีเจตนาฆ่าล้างอย่างโหดเ**้ยม”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ในใจคาดเดาได้อย่างลับๆ ที่คนพวกนี้ลงมือกับครอบครัวตัวเอง และไม่ได้ฆ่าล้างทุกคน อาจเพียงเพื่อต้องการล่อให้ตนกลับมา ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ตัวเองก็ไม่อาจอยู่ที่บ้านได้นานและเพื่อเลี่ยงไม่ให้คนที่บ้านได้รับความสูญเสียไปมากกว่านี้
คิดมาถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดโกหกเมิ่งเสียน “พี่ชายใหญ่ มันฝรั่งที่เมืองหลินเฉิงประสบปัญหา อี้เซวียนได้พาคนไปแล้ว แต่ข้ากลัวว่าเขาจะแก้ปัญหาไม่ได้ รอให้ครบเจ็ดวันที่น้าสี่ตาย ข้าจะต้องรีบเร่งไปหา ดังนั้นเรื่องต่างๆ ในบ้านต้องมอบให้ท่านแล้ว นอกจากพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัย ตอนที่ข้ามาก็ได้พาองครักษ์ลับห้าสิบนายมาด้วย ข้าทิ้งไว้ให้พี่สี่สิบนาย ดูแลบ้านให้ดีล่ะ จะให้เกิดเหตุอะไรขึ้นอีกไม่ได้นะเจ้าคะ”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายเดือนที่ไม่ได้พบลูกสาวแล้ว เมิ่งซื่อมีหลายสิ่งที่อยากจะถามนาง อย่างแรกคือถามไถ่เรื่องงานแต่งของนางกับอี้เซวียน จากนั้นก็ถามนางถึงเรื่องหลายวันก่อนที่มีข่าวว่านางเป็นปิศาจร้ายที่สิงร่างนั่น ว่าตกลงแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกสาเหตุความเป็นไปของเรื่องโดยพูดอย่างเลี่ยงๆ จากหนักเป็นเบา
เมื่อได้ยินว่าหลิวลี่เป็นผู้ก่อเรื่องวุ่นวาย เมิ่งซื่อก็เดือดดาลยิ่ง “นังหลิวลี่คนนี้ พวกเรากับนางมิได้มีความแค้นบาดหมางต่อกัน นึกไม่ถึงว่านางจะใส่ร้ายเจ้าเช่นนี้ นางต้องไม่ได้ตายดีแน่”
จุดจบของหลิวลี่หวงฝู่อี้เซวียนได้ส่งคนไปสืบแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่มีจุดจบที่ดี แม้แต่ศพและกระดูกก็ถูกหมาป่าที่หิวโหยแทะกินจนสิ้น แต่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้แก่เมิ่งซื่อ อย่างไรก็ตาม นางยังเป็นคนบ้านนอก แม้ว่าจะเกลียดชังหลิวลี่สักเพียงใด ถ้ารู้ว่านางมีจุดจบเช่นนี้ ในใจก็คงรับได้ยากเป็นแน่ ยิ่งถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปอีก จนแม่ของหลิวลี่รู้เข้า เกรงว่าเรื่องวุ่นวายจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จึงไม่บอกดีที่สุด
[1] ซิ่วไฉ เป็นหนึ่งในคุณวุฒิของการสอบเข้ารับราชการของจีนที่เรียกว่า “เคอจวี่” ซึ่งประกอบด้วยการสอบทั้งหมดสามรอบ รอบที่หนึ่ง เป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น ผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะได้คุณวุฒิระดับเรียกว่า “ซิ่วไฉ” โดยจัดสอบทุกปี ปีละครั้ง รอบที่สอง เป็นการสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค เงื่อนไขคือ ผู้เข้าสอบจะต้องได้คุณวุฒิซิ่วไฉก่อน ผู้สอบผ่านขั้นนี้จะได้คุณวุฒิ “จวี่เหริน” โดยจะจัดสอบทุกสามปี ส่วนรอบที่สาม เป็นการสอบรอบสุดท้าย ผู้สอบผ่านรอบนี้จะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการ ผู้เข้าสอบทุกคน จะถูกเรียกว่า “ก่งเซิ่ง” ซึ่งก่งเซิ่งทุกคนจะได้รับโอกาสให้เข้าสอบรอบสุดท้ายในพระราชวัง และผู้สอบผ่าน จะได้คุณวุฒิที่เรียกว่า “จิ้นซื่อ”
ตอนที่ 225 เมิ่งเชี่ยนโยว วันนี้ต่อให...
ยุ่งจนเหนื่อยมาหลายวัน คนในบ้านล้วนอ่อนล้ากันมากแล้ว วันถัดมาจึงตื่นสายกันหมด เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ ลูกหลานก็พยุงหัวหน้าตระกูลเมิ่งมาหา
เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบเชิญเข้าไปนั่งในห้อง
หัวหน้าตระกูลเมิ่งพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างงกๆ เงิ่นๆ “องค์หญิงชิงเหอ…”
ทันทีที่เขาพูดคำนี้ออกมา สองสามีภรรยาเมิ่งเอ้ออิ๋นกับเมิ่งเชี่ยนโยวต่างสะดุ้งตกใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูด “ท่านปู่หัวหน้าตระกูล ท่านมักจะทำให้ข้าตกใจอยู่เสมอเลย ต่อหน้าท่านแล้ว ข้าหาใช่องค์หญิงอะไรเลยเจ้าค่ะ ตั้งแต่นี้ต่อไป ขอท่านอย่าได้เรียกข้าเช่นนี้อีกเลยนะเจ้าคะ”
หัวหน้าตระกูลลูบหนวดบนคาง ผงกศีรษะเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องตำแหน่งใหญ่เล็กอันใด สมกับเป็นลูกหลานที่ดีแห่งตระกูลเมิ่งของพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “ท่านชมเกินไปแล้ว ท่านมีเรื่องอันใดก็พูดมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ”
มองทุกคนที่อยู่ภายในห้องแวบหนึ่ง หัวหน้าตระกูลพูด “ข้าอยากจะให้คนทั้งตระกูลได้ชื่นชมพระราชโองการเสียหน่อย ไม่รู้ว่าโยวเอ๋อร์จะสนองความปรารถนานี้ของพวกเราได้หรือไม่”
โยวเอ๋อร์พยักหน้า “พระราชโองการ ข้าได้นำมาแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่ายังคงอยู่ในช่วงเจ็ดวันของน้าสี่ หากจะชื่นชมพระราชโองการในเวลานี้อาจจะไม่เหมาะสม เอาอย่างนี้ดีไหมเจ้าคะ รอให้ผ่านไปเจ็ดวัน ข้าจะนำพระราชโองการออกมา ถ้าหากท่านปู่หัวหน้าตระกูลไม่รังเกียจ หลังจากนี้ก็ให้วางพระราชโองการไว้ที่โถงไหว้บรรพบุรุษตระกูลเมิ่งตลอดไปเถิดเจ้าค่ะ”
หัวหน้าตระกูลเบิกตากลม มือก็ไม่สั่นอีก ขาแข้งมีเรี่ยวแรง พรึ่บ เขาลุกขึ้นยืนทันควัน แล้วถามอย่างร้อนรนปนด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ”
“แน่นอนเจ้าค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้ต้องให้ท่านปู่หัวหน้าตระกูลอนุญาตก่อนนะเจ้าคะ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ข้าก็จะไม่ทำเช่นนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างยิ้มแย้ม
หัวหน้าตระกูลพูดอย่างเร่งรีบโดยไม่พักหายใจ “ยอมสิ ยอม ต้องยินยอมอยู่แล้ว นี่เป็นเกียรติคุณแห่งตระกูลเมิ่งของพวกเรา เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจสมหวังได้ แล้วทำไมจะไม่ยินยอมกันเล่า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ตกลงกันแล้วนะเจ้าคะ รอให้ผ่านเจ็ดวันของน้าสี่ไปก่อน แล้วพวกเราจะจัดพิธีกันเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวให้คำสัญญา
หัวหน้าตระกูลพยักหน้าไม่หยุด สั่งลูกหลาน “เร็ว รีบพยุงข้ากลับไป ข้าต้องนำข่าวดีนี้ไปบอกคนในตระกูลทุกคน แล้วก็ ต้องให้คนไปทำความสะอาดโถงบรรพบุรุษให้สะอาดตั้งแต่ด้านในจรดด้านนอก อย่าให้เปรอะเปื้อนพระราชโองการแม้แต่น้อย”
เวลาผ่านไปไม่นานเรื่องที่จะนำพระราชโองการตั้งบูชาที่โถงบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่งก็ได้แพร่ออกไปแล้ว ผ่านไปอีกชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างก็แหงนหน้าเฝ้ารอ คอยให้วันนั้นมาถึง คนในเมืองที่ได้ยินข่าวนี้ถึงขนาดส่งคนไปถามนายอำเภออย่างด่วนที่สุด เพื่อถามว่าวันนั้นเขาจะมาเข้าร่วมหรือไม่
นายอำเภอเป็นเพียงตำแหน่งขุนนางเล็กๆ ไม่เคยได้เห็นพระราชโองการ ย่อมต้องมาเป็นธรรมดา
บรรดาลูกหลานของตระกูลเมิ่งแต่ละคนก็ปลื้มปริ่มอิ่มเอม ปัดกวาดเช็ดถูทุกซอกทุกมุมในโถงบรรพบุรุษอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ให้เหลือแม้แต่ไรฝุ่น
พอถึงวันที่กำหนด ไม่เพียงแต่คนของตระกูลเมิ่ง คนทั้งหมู่บ้านหวงจวงล้วนตื่นแต่เช้า กินข้าว สวมเสื้อผ้าใหม่ที่เพิ่งใส่ไปเมื่อช่วงตรุษจีน แล้วมารวมตัวกันหน้าโถงบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่ง
หัวหน้าตระกูลเมิ่งไม่ต้องการให้ลูกหลานช่วยค้ำพยุงแล้ว เขายืนสั่นเทิ้มอยู่หน้าประตูโถงบรรพบุรุษที่เปิดออกกว้าง เมิ่งจงจวี่กับผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลเมิ่งยืนอยู่ข้างกายเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับอยากจะกินข้าวอย่างไม่เร่งรีบแล้วค่อยไป แต่โดนเมิ่งซื่อเร่งเร้าตลอด จึงได้แต่กินข้าวอย่างลวกๆ ไม่กี่คำเสร็จ ก็กลับไปในห้อง หยิบกล่องที่ห่อพระราชโองการ แล้วมายังหน้าโถงบรรพบุรุษพร้อมกับสามีภรรยาเมิ่งเอ้ออิ๋น
ปีก่อนๆ มีเพียงตอนที่เซ่นไหว้บรรพบุรุษเท่านั้น โถงบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งถึงจะเปิด และอนุญาตให้เข้าได้แค่ผู้ชาย ดังนั้นเมิ่งซื่อกับผู้หญิงในครอบครัวคนอื่น อีกทั้งเมิ่งเชี่ยนโยวล้วนได้แต่รออยู่ด้านนอกเสมอมา วันนี้ไม่เหมือนอย่างเคย สิ่งที่จะเคารพบูชาเป็นพระราชโองการที่แสดงถึงการตำแหน่งเป็นองค์หญิงของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงย่อมไม่อาจให้ใครรับหน้าที่แทนได้ จำเป็นต้องให้เมิ่งเชี่ยนโยวนำเข้ามาด้วยมือของตัวเอง แล้วเซ่นไหว้บูชา ดังนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงกลายเป็นผู้หญิงคนแรกในบรรดาทั้งหมดของหมู่บ้านหวงจวงที่ได้เข้าไปในโถงบรรพบุรษ
นี่เป็นเกียรติภูมิอันแสนยิ่งใหญ่ เหล่าหญิงสาวที่มาดูบรรยากาศที่คึกคักรู้สึกอิจฉาอย่างมาก เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ได้รู้สึกอะไร คลายห่อที่อยู่ข้างหน้าออก ขณะที่กำลังจะนำพระราชโองการออกมา นายอำเภอและเจ้าเมืองก็นั่งรถม้ามาอย่างรีบร้อน
ทั้งสองคนรีบลงจากรถม้า เมื่อเห็นว่าพิธียังไม่เริ่ม ก็ถอนใจโล่งอกและพูดว่า “โชคดีที่ยังไม่สาย”
แม้แต่นายอำเภอและเจ้าเมืองก็มีสภาพเช่นนี้ ฝูงคนที่มุงดูก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้กับพระราชโองการยิ่งขึ้นไปอีก จึงพากันยืดหัวชูคอ เขย่งปลายเท้าสูง อยากจะดูเสียหน่อยว่าพระราชโองการนั้นเป็นอย่างไร
พระราชโองการของเมิ่งเชี่ยนโยวถูกนำออกมา แล้วทิ้งผ้าที่ห่อไว้ให้แก่ชิงหลวน เมิ่งเชี่ยนโยวยกพระราชโองการขึ้นสูง ทำให้ผู้คนเห็นได้อย่างชัดเจน
นายอำเภอกระวีกระวาดคุกเข่าลง ปากก็ร้องขึ้น “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
นายอำเภอคุกเข่าแล้ว หัวหน้าตระกูลและคนที่มาก็รีบคุกเข่าลงตาม แล้วร้องเสียงดังเลียนแบบเขา
เมื่อเสียงร้องที่กึกก้องไปทั่วฟ้าได้ผ่านพ้นไป ทุกคนก็ลุกขึ้น หัวหน้าตระกูลอยู่ด้านหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหลัง นายอำเภออยู่ด้านหลังนาง และคนในตระกูลเมิ่งตามหลังนายอำเภอเข้าไปในโถงบรรพบุรุษ
ที่ตำแหน่งตรงกลางโถงบรรพบุรุษ หัวหน้าตระกูลได้สั่งให้คนจัดแจงจุดสำหรับบูชาพระราชโองการไว้โดยเฉพาะแล้ว
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยววางพระราชโองการเรียบร้อย ทุกคนที่อยู่ภายในโถงบรรพบุรุษก็คุกเข่าคำนับอีกครั้ง
เมื่อลุกขึ้นยืนแล้ว นายอำเภอพูดขึ้น “พระราชโองการนี้เก็บรักษาไว้ที่แห่งนี้ จำเป็นต้องจุดธูปเซ่นไหว้ทุกวัน มิฉะนั้นจะถือว่าไม่เคารพต่อฝ่าบาท และดูหมิ่นพระราชโองการ ดังนั้น ต่อไปนี้หัวหน้าตระกูลไม่เพียงแต่ต้องให้คนมาทำความสะอาดโถงบรรพบุรุษทุกวัน เพื่อไม่ให้มีไรฝุ่นมาเกาะ และยังต้องจุดธูปตลอด”
หัวหน้าตระกูลพยักหน้า เอนกายคำนับ “ใต้เท้าโปรดวางใจ พวกเราตระกูลเมิ่งจะจัดการตามนั้นอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้คิดถึงปัญหาข้อนี้แล้ว จึงพูดว่า “ต่อไปตระกูลของพวกเราจะต้องออกเงินห้าตำลึงเพื่อเป็นค่าแรงและค่าธูปเทียนให้แก่คนที่รับผิดชอบทำความสะอาดทุกเดือน”
หัวหน้าตระกูลโบกมือปฏิเสธ “พระราชโองการวางไว้ในโถงบรรพบุรษเป็นความภาคภูมิใจของคนทุกคนในตระกูลเมิ่ง เงินนี้ไม่อาจให้บ้านของพวกเจ้าออกได้ ให้แต่ละบ้านแบ่งๆ กันจ่ายเถิด”
ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อยากจะดึงดันเรื่องเงินกับเขา จึงพยักหน้า รับคำของเขาชั่วคราว และคิดว่าหลังจากนี้ก็จะให้เมิ่งเสียนเป็นคนออกเงินโดยตรงก็ได้
ภายในโถงบรรพบุรุษสามารถเซ่นไหว้พระราชโองการ จึงเป็นความภูมิใจของตระกูลเมิ่ง หัวหน้าตระกูลดีใจมากกว่าปกติ และตัดสินใจกล่าวคำหนึ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลเมิ่ง และได้รับตำแหน่งเป็นองค์หญิงด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เป็นความภูมิใจของทุกคนทั้งตระกูล และควรค่าแก่การได้รับยกย่องจากอนุชนในตระกูลต่อไป ข้าจึงตัดสินใจว่า จะฝ่าฝืนกฎแห่งธรรมเนียม โดยการเขียนชื่อเจ้าลงไปในรายชื่อบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง”
เมื่อคำพูดนี้ได้ออกไป ทุกคนนิ่งอึ้งกันถ้วนหน้า แม้แต่เมิ่งจงจวี่และเมิ่งเอ้ออิ๋นก็ตกใจจนเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง ต้องรู้เสียก่อนว่า เหล่าบรรดาบรรพบุรุษที่ผ่านมาในรายชื่อนั้นล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นลูกสาวที่ไม่ได้แต่งงานหรือหญิงสาวที่แต่งงานเข้ามาก็ตาม ก็ไม่เหลือร่องรอยเสี้ยวหนึ่งทิ้งไว้ในรายชื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวสามารถมีชื่อจารึกอยู่ในรายชื่อบรรพบุรุษตระกูลได้ เป็นเกียรติอันใหญ่หลวงยิ่ง เท่ากับว่าให้ลูกหลานได้เคารพศรัทธานาง
เมิ่งเอ้ออิ๋นตื่นเต้นอย่างยิ่ง เร่งเร้าเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ ยังไม่รีบขอบคุณท่านปู่หัวหน้าตระกูลอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็อึ้งไปเช่นกัน ได้ยินคำพูดของเมิ่งเอ้ออิ๋นจึงได้สติคืนมา อ้าปากอยากจะปฏิเสธ เพราะในเมื่อผู้หญิงในที่นี่ล้วนอยู่ในกฎระเบียบเช่นนี้ ไม่สามารถเข้าอยู่ในรายชื่อบรรพบุรุษตระกูลได้ ตัวเองจะเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไรกัน
ราวกับว่ามองเห็นความคิดของนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เมิ่งเสียนเอ่ยปากห้ามนางทันควัน “โยวเอ๋อร์ หลายร้อยหลายพันปีมานี้ไม่มีลูกสาวคนใดได้รับเกียรติเช่นนี้เลย นี่คือความรักและความกรุณาของหัวหน้าตระกูลที่มอบให้แก่เจ้า อย่าทำให้ท่านผิดหวังเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนคำปฏิเสธที่ติดอยู่ที่ปากกลับไป แล้วกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านปู่หัวหน้าตระกูล”
หัวหน้าตระกูลลูบหนวดเคราและหัวเราะเสียงดัง สั่งให้คนนำหนังสือรายชื่อบรรพบุรุษออกมา แล้วเขียนชื่อของเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่มเข้าไปด้วยตัวเองท่ามกลางผู้คนที่เห็นเป็นพยาน
แม้ว่าผู้หญิงจะไม่อาจเข้าไปในโถงบรรพบุรุษได้ แต่ยืนอยู่ด้านนอกก็สามารถเห็นและได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านในอย่างชัดเจน หัวหน้าตระกูลเขียนชื่อเสร็จ เมิ่งซื่อก็ตื้นตันจนน้ำตารินไหลอาบแก้ม ซุนเชี่ยนที่พยุงอยู่ข้างนางก็ตื้นตันอย่างมากเช่นกัน
ทุกคนที่มามุงดูส่งเสียงดังครึกครื้นราวกับเสียงหม้อที่เดือดปะทุอย่างไรอย่างนั้น พากันวิพากษ์วิจารณ์ โดยมีทั้งคนพูดชื่นชมที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีโชคชะตาที่ดี และมีคนรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างมาก
บูชาพระราชโองการเรียบร้อยแล้ว นายอำเภอกับเจ้าเมืองก็นั่งรถม้าจากไป ฝูงคนที่มุงดูก็แยกย้ายกันไป หัวหน้าตระกูลจัดแจงผลัดเวรคนที่จะเฝ้าและทำความสะอาดโถงบรรพบุรุษเสร็จ ก็ให้ลูกหลานพยุงกลับบ้านไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าต้องไปช่วยหวงฝู่อี้เซวียนจัดการปัญหาเรื่องมันฝรั่งที่เมืองหลินเฉิงโดยเร็ว ดังนั้นวันนี้วางพระราชโองการที่โถงบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งแล้ว ก็วางแผนจะกลับเลย ดังนั้นจึงมาที่บ้านของเมิ่งต้าจินเพื่อบอกลาเหล่าเมิ่งซื่อ
ตั้งแต่ที่เมิ่งเสียวเถี่ยตายไป เหล่าเมิ่งซื่อก็ทุกข์ระทมจนล้มป่วย อาการป่วยก็หนักขึ้นเรื่อยๆ กินยาติดต่อกันหลายวัน ถึงจะดีขึ้นบ้าง แต่วันนี้ก็ยังคงไม่มีแรงใดๆ ที่จะเข้าร่วมพิธี
หลังจากเดินเข้าไปในห้องและจับชีพจรให้เหล่าเมิ่งซื่อแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดว่า “ร่างกายของท่านย่ามิได้มีปัญหาอะไรร้ายแรง พักฟื้นอย่างเต็มที่สักระยะหนึ่งก็ดีขึ้นแล้ว”
ในบรรดาลูกชายทั้งสี่คน เมิ่งเสียวเถี่ยเป็นลูกชายคนเล็กสุด ตั้งแต่เล็ก เหล่าเมิ่งซื่อก็รักเขามากเป็นพิเศษ แม้ว่าในหลายปีนั้นเขาจะเข้าเมือง แล้วกลายเป็นสุนัขรับใช้ของเศรษฐีอู๋ อีกทั้งทำเรื่องไม่ดีต่างๆ แต่สำหรับสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่แล้ว ก็ยังคิดว่าเขากตัญญูอย่างมาก เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรสิ่งใดที่อร่อยๆ เขาก็ไม่เคยละเลยพวกเขาเลย การที่เขาจากไปครั้งนี้ ใจของเหล่าเมิ่งซื่อเจ็บปวดจนเกือบจะทิ้งชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว พอได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยวโยวก็ถอนหายใจ และพูดว่า “ร่างกายของย่า ย่ารู้ดีเป็นที่สุด ขาข้างหนึ่งได้ตามเถี่ยเอ๋อร์ไปนานแล้ว ต่อไปปู่ของเจ้าน่ะ ก็ต้องฝากให้พวกเจ้าดูแลแล้วล่ะ”
ได้ยินคำนี้ ทำให้คนในห้องล้วนปวดใจและก้มหน้าลง
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่เล็กข้าก็ทราบว่าท่านย่ารักน้าสี่เป็นพิเศษ แต่ไม่นึกว่าท่านจะรักมากขนาดนี้เลยเจ้าค่ะ ท่านรู้ว่าน้าสี่จากไปแล้ว ท่านก็อยากจะตามไปด้วย ท่านเคยคิดหรือไม่เจ้าคะว่าลุงใหญ่ ท่านพ่อ น้าสามก็เป็นลูกของท่านเช่นกัน ท่านพูดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าทำให้พวกเขาต้องรู้สึกเสียใจยิ่งขึ้นไปอีกหรือเจ้าคะ โดยเฉพาะท่านพ่อท่านแม่ของข้า เดิมทีที่น้าสี่ตายก็เพื่อปกป้องคนในครอบครัวของข้า ในใจพวกเขาก็รู้สึกผิดและเสียใจอย่างมากอยู่แล้ว หากท่านมีอันเป็นไปด้วยเหตุนี้อีก ท่านจะทำให้พ่อแม่ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรเจ้าคะ”
น้ำตาของเหล่าเมิ่งซื่อไหลออกมา ตบมือของนาง ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยนางซับน้ำตาครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “อีกอย่าง อีกประมาณสี่เดือนข้าก็จะต้องแต่งงานแล้ว ท่านย่าไม่อยากเห็นข้าแต่งออกไปอย่างสง่างามหรือเจ้าคะ ต้องรู้นะเจ้าคะว่า คนที่ข้าแต่งด้วยเป็นถึงซื่อจื่อของอ๋องฉี เป็นผู้ที่สูงศักดิ์เหลือคณา ถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่เหล่าขุนนางชั้นสูงทุกคนจะมาร่วมฉลอง ไม่แน่ว่าแม้แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาก็มีพระราชประสงค์จะเสด็จด้วย ท่านก็ไม่อยากดูเสียหน่อยหรือเจ้าคะว่าพวกเขาเป็นอย่างไร”
ประเด็นนี้ราวกับมีแรงดึงดูด นัยน์ตาที่ไร้เรี่ยวแรงมาหลายวันของเหล่าเมิ่งซื่อก็วาววับขึ้นเล็กน้อย “ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ แม้แต่ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็จะเสด็จมาร่วมงานแต่งของพวกเจ้าหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะ “แน่นอนอยู่แล้วสิเจ้าคะ ดังนั้นท่านย่าต้องรีบแข็งแรงขึ้นไวๆ ช่วยแม่ของข้าเตรียมสินเดิมให้ครบครัน ถึงเวลานั้นจะไม่ได้ไม่ทำให้คนในเมืองหลวงต้องมาหัวเราะเยาะว่าหลานสาวของท่านทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงแล้ว”
“ใช่ ใช่ ใช่” เมิ่งซื่อมีกำลังวังชาขึ้นมาบ้าง “ต้องเตรียมสินเดิมบางส่วนให้ดี จะให้พวกเขามาดูถูกเจ้าไม่ได้”
“ข้าได้ซื้อบ้านหลังใหญ่โตในเมืองหลวงไว้แล้ว รอให้ผ่านไปอีกสองเดือน ก็จะส่งคนกลับมารับคนในบ้านไป ฉะนั้นวันที่ท่านและแม่ช่วยข้าเตรียมสินเดิมก็มีเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น หากท่านยังไม่หายดีมาช่วยจัดการล่ะก็ ถ้าท่านแม่ของข้าเตรียมสินเดิมที่ไม่ถูกใจข้าจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
เมิ่งซื่อเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “เจ้าเด็กคนนี้ แม่ของเจ้าเลี้ยงดูเจ้าแต่เล็กจนโต ล้วนรู้ดีว่าเจ้าชอบอะไร แล้วจะเตรียมสินเดิมให้ไม่ถูกใจเจ้าได้อย่างไรอีก”
“นั่นก็ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างยิ้มแย้ม “ตั้งแต่เล็กท่านแม่เห็นข้าเป็นสมบัติ ครั้งนี้ต้องแต่งออกไปแล้ว ก็แทบอยากจะยกสิ่งที่ดีสุดทั้งหมดให้ข้า ตอนที่จัดเตรียมสินเดิมไม่ว่าของอะไรก็จะซื้อให้เป็นแน่ ข้าไม่ไว้ใจเจ้าค่ะ และก็ยังรู้สึกว่าท่านย่ามีสายตาเฉียบแหลมกว่า รู้ว่าของสิ่งใดที่ข้าชอบจริงๆ”
แม้รู้ดีว่านางกำลังพูดปลอบตัวเอง เหล่าเมิ่งซื่อก็ยังรู้สึกดีใจอย่างมาก จึงยิ้มและพยักหน้าให้ “ก็ได้ๆๆ ย่ารับปากเจ้าว่าจะแข็งแรงไวๆ มาช่วยดูแม่ของเจ้าให้สักหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง พูดขอบคุณอย่างยินดี “ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่ที่ออกมาจากบ้านของเมิ่งต้าจินและกลับมาถึงบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เก็บข้าวของอะไรเลย พาชิงหลวนและจูหลี พร้อมกับเหวินเปียว กัวเฟยและองครักษ์ลับสิบนาย เดินทางกลับไปยังเส้นทางที่กลับสู่เมืองหลวง
หลายวันมานี้ที่บ้านไม่พบคนที่ผิดปกติใดๆ มาเดินเคลื่อนไหวรอบๆ นั่นก็หมายความว่าคนพวกนั้นมีแผนการอย่างอื่น ดังนั้นการกลับเมืองหลวงครั้งนี้ เส้นทางที่เดินล้วนเป็นถนนใหญ่ และเดินทางแต่ช่วงเวลาที่ฟ้าสว่าง เมื่อฟ้าเริ่มมืดหรือยังไม่มืดดี และคาดการณ์ว่าจะไปไม่ถึงโรงเตี้ยมถัดไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้ทุกคนหยุดก่อน แล้วพักโรงเตี๊ยม ไม่เร่งเดินทางอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ม้าเร็วที่เดินทางเพียงแค่สองวัน ก็ล่วงเลยจนกระทั่งวันที่สี่ถึงจะมาถึงหน้าป่าที่ห่างจากตัวเมืองหลวงสามสิบลี้
เป็นช่วงบ่ายคล้อยแล้ว บนถนนแทบไม่มีคนเดินสัญจรไปมา เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งด้วยเสียงเยือกเย็น “เร่งให้เร็วขึ้นอีก อีกครึ่งชั่วยามก็จะเข้าประตูเมืองได้แล้ว”
ทุกคนรับคำ สะบัดแส้บนมือเพื่อจะเร่งให้ม้าวิ่งเร็วขึ้น เสียงที่เยือกเย็นดังออกมาจากดงป่าไม้ “เมิ่งเชี่ยนโยว เกรงว่าวันนี้เจ้าจะไปไม่ถึงเมืองหลวงเสียแล้วล่ะ”
สิ้นคำพูด เส้นทางเบื้องหน้าก็มีเชือกขวางม้าหลายเส้นขึ้นมากั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ตะบึงม้าไปข้างหน้าต้องดึงบังเ**ยนหยุดเอาไว้ แล้วแผดเสียงตะโกนใส่อย่างเย็นชา “เฮ่อเหลี่ยน ไสหัวออกไปซะ!”
ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันชั่วร้าย เฮ่อเหลี่ยนเดินออกมาจากในป่า ยืนอยู่อีกฝั่งของเชือกขวางม้า พูดด้วยความทะนง “เมิ่งเชี่ยนโยว วันนี้ต่อให้เจ้าติดปีกบินหนีก็ไม่รอด ลงจากม้ามารับความตายเสียแต่โดยดีเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยใบหน้าที่มีรอยยิ้มดูแคลน แล้วพูดเหยียดหยาม “ลำพังตัวเจ้าเนี่ยนะ”
เสียงผู้ชายอีกคนหนึ่งจากเงามืดในป่าดังขึ้น “ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว ยังมีข้าอีก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น