ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 22.1-22.2
ตอนที่ 22-1 ขอทาน
คำพูดยังไม่ทันได้ตกลงไป วัตถุแปลกปลอมบางอย่างก็บินเข้ามาทางเขา
หวงฝู่อวี้เบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ รู้เพียงแต่ว่ามีของบางอย่างบินผ่านหูไป ก่อนที่เสียงดัง “แพล้ง” จะดังก้องไปทั่วห้อง ชายหนุ่มมองลงไปบนพื้น บัดนี้เบื้องล่างเศษกระเบื้องกระจัดกระจายไม่เหลือชิ้นดี
หลังจากมองมันอย่างตั้งใจอีกครั้งหนึ่งถึงได้รู้ว่าที่แท้มันก็คือถ้วยชานี่เอง หวงฝู่อวี้ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยเสียงดัง “นังตัวดี จิตใจเจ้าอำมหิตนัก ถึงขั้นกล้าเขวี้ยงถ้วยชาใส่ข้า โชคดีที่ข้าหลบทัน ไม่อย่างนั้น…”
ในตอนนี้เองถ้วยน้ำชาอีกใบก็บินไปอีกครั้ง คราวนี้หวงฝู่อวี้ไม่มีเวลาเบี่ยงหลบ ดังนั้นเขาจึงถูกมันจึงกระแทกเข้าที่ตัวเขาอย่างจัง น้ำชาในถ้วยไหลเปรอะไปทั่วทั้งอาภรณ์ของเขา หยดน้ำหยดแล้วหลดเล่าซึมผ่านไปตามแนวชายเลื้อก่อนจะหยดลงสู่พื้นด้านล่าง
หวงฝู่อวี้มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตะลึงงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงถือถ้วยน้ำชาที่เต็มไปด้วยน้ำไว้ในมือของนาง ดวงตาเรียวจ้องมองไปทางเขาอย่างเงียบๆ ราวกับว่าตราบใดก็ตามที่เขาเปล่งเสียงออกมา ถ้วยน้ำชาในมือใบนั้นก็จะลอยออกไปอีกครั้ง
หวงฝู่อวี้หันหน้าไปมองหวงฝู่อี้เซวียน
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนบัดนี้ฉายแววเย็นชาเล็กน้อย เขานั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ
หวงฝู่อวี้ทั้งงุนงงทั้งสับสน ถามไปด้วยแววตาว่างเปล่าว่า “พี่ใหญ่ นาง…”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ น้ำเสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน “อวี้เอ๋อร์ เจ้าลืมที่ข้าบอกเจ้าไปหมดแล้วใช่หรือไม่?”
หวงฝู่อวี้ตระหนักได้ในทันที พี่ใหญ่เคยเตือนเขาไว้แล้วว่าหากว่าเจอเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้งอย่าได้เรียกขานนางตามอำเภอใจ
ริมฝีปากเม้มลงอย่างอดกลั้น หวงฝู่อวี้เอ่ยแก้ตัวออกไปว่า “ก็ข้าไม่พอใจที่ท่านเอาขนมที่ข้าอุตส่าห์ยกมาให้ท่านเป็นพิเศษมอบให้นางนี่? ท่านรู้หรือเปล่าว่ากว่าท่านแม่ของข้าจะทำมันออกมาได้ลำบากแค่ไหน นางใช้เวลาไปเกือบทั้งบ่ายเลยทีเดียว แต่ท่านกลับเอามันมามอบให้นางง่ายๆ แบบนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่นกับถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือของนางอย่างไม่แยแสอันใด ปากหรือก็กล่าวคำแฝงความประชดประชันออกไปว่า “พระชายารองใช้ใจมากจริงๆ”
หวงฝู่อวี้ไม่รู้ว่าในขนมมีพิษอยู่ด้วย จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นตรง กล่าวออกไปด้วยความภาคภูมิใจว่า “นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว ท่านแม่ข้าบอกว่าพี่ใหญ่ดีต่อข้านัก นางจึงอยากทำขนมชั้นเยี่ยมเหล่านี้ไปให้เพื่อตอบแทนพี่ใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนหันมาสบตากันเบาๆ
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยถามเขาออกไปตรงๆ “เมื่อวานหลังจากที่เจ้ากินขนมแล้วกลับเรือนไป รู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนหรือไม่?”
หวงฝู่อวี้ส่ายหัวตอบ “ไม่มีขอรับ”
“หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว เจ้าได้กินอะไรเพิ่มเติมที่เรือนของท่านแม่เจ้าหรือเปล่า?”
หวงฝู่อวี้ยังคงส่ายหัวเช่นเดิม “ของว่างสองชิ้นนั้นทำเอาข้าอิ่มมากเลย หลังจากไปนั่งที่เรือนของท่านแม่ ข้าก็แค่ดื่มชาไปสองถ้วยเท่านั้น แถมชากานั้นท่านแม่ยังอุตส่าห์ชงให้ข้ากับมือเป็นพิเศษด้วย”
ทั้งสองหันมาสบตากันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวจะพูดประชดประชันออกไป “แม่ของเจ้าช่างดีต่อเจ้ามากจริงๆ ขนาดน้ำชายังอุตส่าห์ชงให้เองกับมือ”
“แต่ก่อนก็ไม่ใช่แบบนี้หรอก ล้วนเป็นสาวใช้ที่จัดการทั้งนั้น แต่เมื่อวานเห็นท่านแม่บอกว่านางถูกขังอยู่แต่ในเรือนทั้งวัน ว่างๆ ไม่ได้ทำอะไรเรื่องเล็กน้อยแบบนี้นางจึงอาสาไปทำเอง” หวงฝู่อวี้กล่าวไปตามตรง
ฟังถึงตรงนี้หวงฝู่อี้เซวียนก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้าของเขาดูสงบลงมาก ดูท่าอวี้เอ๋อร์จะไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ
ความสงสัยที่ติดอยู่ภายในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ถูกปัดเป่าไปด้วยเหมือนกัน
หวงฝู่อวี้จับสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของคนทั้งคู่ จึงเอ่ยถามออกไปด้วยความฉงนใจ “พวกท่านถามข้าเรื่องเมื่อคืนวาน หรือว่าหลังจากที่พี่ใหญ่ท่านกินขนมลงไปแล้วรู้สึกไม่สบายตัวอย่างนั้นหรือ?” กล่าวจบ สายตาก็มองไปทางขนมที่อยู่ในห่อผ้าเล็กๆ นั่นอีกครั้ง ทว่าข้อสันนิษฐานก็เป็นอันต้องตกไป เขาพูดต่อไปว่า “ไม่ถูกต้อง ขนมในจานนั้นทั้งหมดมีอยู่ห้าชิ้น ตัวข้ากินไปเองสองชิ้น เหลืออยู่ตรงนี้สามชิ้น พี่ใหญ่ไม่ได้แตะมันเลยไม่ใช่หรืออย่างไร”
ขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะพูดอะไรต่อ จู่ๆ หวงฝู่อวี้ก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน เขารวบผ้าเช็ดหน้าที่มีขนมวางไว้อยู่ด้านบนบนโต๊ะเก็บเข้าอกเสื้อไป สายตาจับจ้องไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวพลางทำหน้างอง้ำราวกับเด็กๆ ก่อนจะพูดว่า “เจ้าชอบรังแกข้าอยู่เรื่อย นี่เป็นขนมที่ท่านแม่ของข้าทำ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ในใจยิ่งแน่ใจแล้วว่าเรื่องวางยาพิษไม่เกี่ยวข้องกับหวงฝู่อวี้อย่างแน่นอน
หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ผงะตามไปด้วย สักพักหนึ่งก่อนจะหาปฏิกิริยาตอบสนองเจอ เขาส่ายหัวพลางแอบหัวเราะเบาๆ ให้กับการกระทำของอีกฝ่าย แต่สีหน้ากลับแสร้งทำเป็นตีหน้าขรึม กล่าวตำหนิเขาออกไปว่า “อวี้เอ๋อร์ วางขนมลง”
หวงฝู่อวี้คว่ำปาก จะอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด
หวงฝู่อี้เซวียนกลัวว่าเขาจะกินขนมพวกนี้ลงไปอีก น้ำเสียงที่ใช้ออกไปจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้น “วางมันลงเดี๋ยวนี้!”
หวงฝู่อวี้สะดุ้งโหยงไปในทันที รีบวางขนมลงบนโต๊ะอย่างลนลาน
หวงฝู่อี้รีบปรี่เข้ามาเก็บขนมพวกนั้นไปอย่างรู้เหตุการณ์และรวดเร็วว่องไว จากนั้นก็ยัดมันใส่อกเสื้อของตนเอง
เห็นว่าของว่างไม่ได้นำมาให้เมิ่งเชี่ยนโยวกินหวงฝู่อวี้ก็ไม่งอแงอีก ถอยไปยืนอยู่ข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียนอย่างเชื่อฟังแล้วถามออกไปว่า “พี่ใหญ่ เมื่อไหร่พวกเราจะกลับกัน?”
“ข้ากับโยวเอ๋อร์ยังมีธุระต้องไปข้างนอกต่อ หากเจ้าไม่ว่าอะไรจะรออยู่ที่จวนนี้จนกว่าพวกข้าจะกลับมาก็ได้ จากนั้นพวกเราค่อยกลับจวนไปพร้อมกัน”
“ไม่เอาหรอก” หวงฝู่อวี้ปฏิเสธออกไป “ข้าจะไปกับพี่ใหญ่ด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนหันไปมองทางเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเชิงถามความเห็น
เนื่องจากวันนี้ที่ที่พวกเขาจะไปก็คือเหลาจวี้เสียน ถึงตอนนั้นสถานการณ์อย่างเช่นการทักทายเจ้านายอะไรเทือกๆ นี้คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากว่าหวงฝู่อวี้ได้รู้ว่าเจ้านายที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังเหลาจวี้เสียนแท้จริงแล้วก็คือหวงฝู่อี้เซวียน น่ากลัวว่าไม่เกินข้ามวันคนทั่วทั้งเมืองหลวงคงจะได้รับรู้กันหมด เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวให้เขาเบาๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไม่อนุญาตให้อีกฝ่ายติดตามไปด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ตระหนักได้ถึงปัญหาข้อนี้ดี จึงได้ใช้น้ำเสียงอบอุ่นพูดกับหวงฝู่อวี้ไปว่า “ธุระที่ข้ากับโยวเอ๋อร์จะไปคุยในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจจึงไม่เหมาะสมหากจะพาเจ้าไปด้วย เจ้ากลับจวนไปก่อนเถิด”
หวงฝู่อวี้บ่นพึมพำออกมาเสียงเบาประโยคหนึ่ง อย่างไรก็ตามคนหูดีอย่างเมิ่งเชี่ยนโยวกลับได้ยินมันทุกคำพูด นางทั้งรู้สึกโกรธและก็ขำเขาในเวลาเดียวกัน
หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน เขาได้แต่ส่ายหัวให้อย่างระอาใจ ก่อนจะสั่งให้หวงฝู่อี้ไปกลับส่งหวงฝู่อวี้ที่จวนอ๋อง
หวงฝู่อวี้แม้จะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยอมเดินตามหวงฝู่อี้ออกไปแต่โดยดี
ฉับพลันหวงฝู่อี้เซวียนก็ฉุกคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นได้ จึงได้ตะโกนรั้งท้ายหวงฝู่อวี้ออกไปกำชับเขาไปว่า “เรื่องที่ข้าถามเจ้าในวันนี้อย่าได้นำไปพูดกับใครโดยเด็ดขาด แม้แต่กับท่านแม่ของเจ้าข้าก็ไม่อนุญาตให้พูด”
หวงฝู่อวี้พยักหน้ารับ “เข้าใจแล้วพี่ใหญ่ ข้าจะไม่บอกนาง”
มองดูคนทั้งสองเดินจากไป จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้น “ตอนนี้เจ้าก็สามารถมั่นใจได้แล้วว่าหวงฝู่อวี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนี้เลย ฉะนั้นแล้วอีกหน่อยหากเจ้าคิดจะลงมือกับสตรีนางนั้นก็ไม่ต้องกังวลและอ่อนข้ออีก”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ นางเดินออกไปจากห้องสั่งให้เหวินเปียวไปจัดเตรียมรถม้าบอกเขาไปว่าตนจะไปที่เหลาจวี้เสียน จากนั้นหลังจากกำชับกับเหวินหู่อีกครั้งว่าให้อีกฝ่ายเฝ้าบ้านให้ดี ทั้งเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินออกไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่หน้าประตูจวน
กัวเฟยขยับเข้าไปนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งตรงส่วนของคนขับรถม้า จากนั้นคนทั้งสี่ก็มุ่งหน้าสู่เหลาจวี้เสียน
เหลาจวี้เสียนที่อยู่ในเมืองหลวงมีขนาดใหญ่กว่าเหลาจวี้เสียนที่ตั้งอยู่ที่เมืองชิงซีมาก การตกแต่งก็ค่อนข้างหรูหรากว่า กิจการเองก็เพิ่งฟู แม้ว่าจะหมดเวลาอาหารกลางวันไปแล้วก็ตามแต่ก็ยังมีแขกจำนวนมากเดินเข้าออกให้เห็น
ทันทีที่เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้า พนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทักทายพวกเขาอย่างกระตือรือร้น “ทั้งสองท่านมาแล้ว ไม่ทราบว่าจะนั่งทานที่โถงใหญ่หรือในห้องส่วนตัวดีขอรับ?”
“ห้องส่วนตัว” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
พนักงานคนนั้นขานรับอย่างมีความสุขมาก เขาตะโกนเข้าไปข้างในด้วยเสียงดังประโยคหนึ่ง จากนั้นพนักงานอีกคนก็วิ่งออกมาพาทั้งสองขึ้นไปยังชั้นสองอย่างกระตือรือร้น หลังจากเปิดห้องส่วนตัวให้ เขาก็เชิญคนทั้งสองเข้าไปนั่งด้านใน รอจนกระทั่งทั้งคู่นั่งลงแล้ว ก็เริ่มแนะนำอาหารจานเด็ดของเหลาจวี้เสียนด้วยความชำนาญ ตบท้ายด้วยสอบถามคนทั้งคู่ว่าต้องการจะสั่งอะไรหรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวรอจนกระทั่งเขาพูดจบก็ยิ้มให้แล้วพูดออกไปว่า “อีกสักครู่พวกเราค่อยสั่งอาหาร ตอนนี้รบกวนเจ้าไปเรียกเถ้าแก่มาพบพวกเราหน่อย พวกเรามีธุระต้องพูดคุยกับเขา”
ได้ยินแบบนี้ความกระตือรือร้นที่มีของพนักงานคนดังกล่าวก็พลันมลายหายไปกว่าครึ่ง เขาพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “กิจการของเหลาจวี้เสียนของพวกเรานั้นดียิ่งนัก เถ้าแก่เองก็ยุ่งมาก หากแม่นางมีธุระอันใดต้องการจะบอกกล่าวสามารถบอกกับข้าได้ ข้าจะไปบอกต่อเถ้าแก่ให้เอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มแล้วพูดออกไปว่า “ไม่ปิดบังเจ้า พวกเรามาจากเมืองชิงซี เถ้าแก่ของที่นั่นมีสูตรอาหารอยู่หลายอย่างต้องการให้พวกเรานำมาส่งต่อให้กับเถ้าแก่ของพวกเจ้า หากว่าต้องให้ผ่านมือเจ้าอีกทอดหนึ่ง เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ อย่างไรรบกวนเจ้าไปเรียกเถ้าแก่ของพวกเจ้ามาพบพวกเราสักหน่อยเถิด”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เหลาจวี้เสียนที่เมืองชิงซีส่งสูตรอาหารมาให้ที่นี่ไม่น้อย แถมอาหารทุกจานก็ยังขึ้นแท่นกลายเป็นอาหารจานเด็ดของตึก เป็นที่นิยมอย่างมากในเมืองหลวงถึงขนาดที่ว่ามีคนยินยอมต่อแถวยาวเพื่อที่จะได้ลิ้มลองมันสักครั้ง พนักงานคนนี้คุ้นหูกับชื่อเมืองชิงซีเป็นอย่างมาก ดังนั้นพอได้ยินหญิงสาวกล่าวแบบนี้จึงได้รีบร้อนพูดออกไปอย่างเป็นมิตรว่า “แม่นางรอสักครู่ ประเดี๋ยวข้าจะไปรายงานเถ้าแก่ให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้อีกฝ่าย
จากนั้นพนักงานคนนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปด้วยความตื่นเต้น
กัวเฟยซึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเดินเข้ามาปิดประตูห้องส่วนตัวให้หลังจากที่พนักงานคนนั้นเดินจากไปแล้ว
รอจนกระทั่งพนักงานคนนั้นหาเถ้าแก่ร้านพบ เขาก็บอกคำที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดมาให้กับอีกฝ่ายฟังโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่ประโยคเดียว
เถ้าแก่ร้านฟังแล้วแม้จะบังเกิดข้อสงสัยขึ้นมาในใจ ด้วยเนื่องจากว่าตลอดมาสูตรอาหารจะถูกส่งมาโดยคนของนายหญิงมาโดยตลอด ซึ่งร้านสาขาแต่ละร้านล้วนมีมันอยู่ในครอบครองทั้งสิ้น ไฉนอยู่ๆ ถึงได้ส่งคนมามอบให้เขาเพียงลำพัง อย่างไรก็ตามเรื่องที่ว่าเหลาจวี้เสียนแห่งเมืองชิงซีส่งสูตรอาหารไปให้ร้านอื่นๆ นั้นเป็นความลับที่ไม่มีคนนอกรับรู้ ดังนั้นแม้ว่าเถ้าแก่ร้านจะติดใจสงสัย แต่สุดท้ายก็ยอมเดินตามพนักงานคนนั้นไปที่ห้องส่วนตัวดังกล่าวแต่โดยดี
ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก เขาก็ได้เห็นหญิงสาวหน้าตางามแฉล้มผู้หนึ่งกับชายหนุ่มที่ดูสูงศักดิ์อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กัน คล้ายกับว่าจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ เขาหันไปบอกกับพนักงานคนนั้นพลางกำชับลงไปว่า “เจ้าไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ ไม่ต้องมารอรับใช้ตรงนี้แล้ว”
พนักงานคนนั้นแม้จะรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง แต่เขาก็ตอบรับแต่โดยดี เพียงพริบตาก็เห็นว่าอีกฝ่ายไปทักทายต้อนรับลูกค้าคนอื่นๆ แล้ว
กัวเฟยเดินเข้ามาปิดประตูห้องให้ก่อนจะยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน
ตอนที่ 22-2 ขอทาน
เมิ่งเชี่ยนโยวเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเถ้าแก่ผู้นี้มาโดยตลอดตั้งแต่อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องแล้ว คิดว่าเขาน่าจะพอเดาอะไรได้บ้างแล้ว จึงไม่ได้หลบเลี่ยงอีกต่อไปแต่พูดออกไปตรงๆ ว่า “ท่านนี้คือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี”
เถ้าแก่ร้านดูตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด เขาโค้งคำนับด้วยความนอบน้อมก่อนจะเรียกขานหวงฝู่อี้เซวียนด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “นายท่าน”
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ทว่าน้ำเสียงอบอุ่นของเขากลับดังขึ้นเบาๆ แทน “เถ้าแก่ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป ที่พวกเรามาในวันนี้มิได้มีเรื่องสำคัญอันใดมาก แค่อยากมาดูว่ากิจการเป็นอย่างไรบ้างก็เท่านั้น แล้วก็มีเรื่องบางอย่างต้องการจะสอบถามเจ้า”
เถ้าแก่ร้านยืดตัวขึ้นตรงแล้วพูดออกไปอย่างตื่นเต้นว่า “สี่ปีก่อนหลังจากที่ข้าได้ยินว่าอ๋องฉีหาตัวท่านพบ ข้าก็รู้สึกยินดีและตื่นเต้นยิ่งนัก อยากหาโอกาสไปพบท่านโดยเร็ว แต่ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาท่านกลับไม่เคยมาเยือนที่เหลาจวี้เสียนเลยสักครั้งเดียว ข้าเองก็ยังเป็นกังวลอยู่ว่าตัวเองทำสิ่งใดผิดพลาดไปหรือเปล่า หรือว่าข้าทำผลงานได้ไม่ดีพอท่านถึงไม่เคยมาเยือนเลยสักครั้ง”
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือให้เบาๆ “ข้าเพิ่งกลับถึงเมืองหลวง มีดวงตาไม่รู้กี่คู่จับจ้องมาที่ข้า ประกอบกับอายุที่ยังน้อย หากมาที่นี่บ่อยๆ กลัวว่าจะมีคนสงสัยเอา เกรงว่าจะเป็นการนำปัญหามาให้พวกเจ้าเปล่าๆ ดังนั้นข้าจึงไม่เคยมาที่นี่เลย อย่างไรก็ตามวันนี้แตกต่างออกไป เนื่องจากว่าโยวเอ๋อร์ต้องการจะเปิดร้านขายบะหมี่แป้งมันฝรั่งใกล้ๆ กับเหลาจวี้เสียน ข้าก็เลยอยากจะมาถามเจ้าว่าพอจะมีร้านรวงไหนที่เหมาะสมบ้างไหม ส่วนตัวของข้าเกรงว่าคงต้องรออีกสักพักใหญ่กว่าจะมาที่นี่”
เถ้าแก่ร้านพยักหน้าให้อย่างเข้าใจ ที่นายน้อยกังวลอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยแต่อย่างใด เมื่อตอนที่นายน้อยกลับถึงเมืองหลวงใหม่ๆ ผู้คนในเมืองหลวงก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยกันนานกว่าครึ่งปีแล้ว กับคนที่มีใจยิ่งแล้วใหญ่ คอยแต่จะจับจ้องเล่นงานอยู่ไม่เว้นวัน ด้วยเห็นว่านายน้อยไม่เหมาะสมที่จะพบกับพวกเขาในเวลานี้จริงๆ จึงได้กล่าวออกไปว่า “ข้าน้อยทราบแล้ว อีกหน่อยหากไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ ข้าจะพยายามไม่ติดต่อกับนายท่านขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้อย่างพอใจ ก่อนจะหันไปแนะนำเขาให้รู้จักกับเมิ่งเชี่ยนโยว “นี่คือว่าที่พระชายาซื่อจื่อในอนาคต อีกหน่อยหากพวกเจ้ามีอะไรแล้วไม่สะดวกที่จะติดต่อข้า สามารถไปหานางแทนได้”
เถ้าแก่ร้านลนลานหันไปโค้งคำนับให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวในทันที ใช้นำเสียงเช่นเดิมพูดว่า “คารวะนายท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือให้กับเขา “เถ้าแก่อย่าได้เรียกข้าเช่นนี้ อีกหน่อยพบหน้ากันให้เรียกข้าว่าแม่นางเมิ่งก็พอ”
เถ้าแก่รับต่อคำได้อย่างคล่องแคล่วยิ่ง “ทราบแล้วแม่นางเมิ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ข้าอยากเปิดร้านขายบะหมี่มันฝรั่งใกล้ๆ กับเหลาจวี้เสียนของพวกเจ้า อีกหน่อยหากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยดูแลกันได้ ไม่รู้ว่าพอจะมีร้านดีๆพื้นที่ใหญ่หน่อยอยู่ใกล้ๆ บ้างหรือไม่”
ความตื่นเต้นของเถ้าแก่ร้านเพิ่งจะสงบลงไปได้ไม่เท่าไหร่ แต่พอได้ยินนางพูดถึงร้านขายบะหมี่มันฝรั่ง ดวงตาของเขาก็เป็นอันต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ ถามออกไปอีกครั้งด้วยความตื่นเต้นว่า “หรือท่านจะเป็นแม่นางเมิ่งผู้นั้นที่เถ้าแก่เหลาจวี้เสียนแห่งเมืองชิงซีพูดถึงอยู่บ่อยๆ แม่นางเมิ่งที่เป็นผู้มอบสูตรอาหารทั้งหลายให้กับเหลาจวี้เสียนของพวกเรา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพยักหน้า
เถ้าแก่ร้านเก็บซ่อนความยินดีไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว แทบจะผุดลุกขึ้นมาแล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ คำที่ออกมาจากปากฟังดูไม่ต่อเนื่องกันเล็กน้อย “เป็นข้าที่ตาไม่ดีมองไม่เห็นขุนเขาไท่ซานอย่างท่าน มองไม่ออกว่าท่านก็คือแม่นางเมิ่งผู้นั้น ท่านคือผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของเหลาจวี้เสียนทั้งหมด นับตั้งแต่ได้รับสูตรอาหารทั้งหลายมาจากท่าน กิจการของพวกเราทุกสาขาก็ดีวันดีคืน รายรับในแต่ละเดือนที่ได้มากขึ้นกว่าในอดีตถึงสองถึงสามเท่า อีกหน่อยเมื่อท่านกลายมาเป็นนายหญิงของพวกเราแล้ว หมายความว่ากิจการของเหลาจวี้เสียนของพวกเราจะยิ่งก้าวหน้าขึ้นๆ ไปอีกใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะและโบกมือออกไป “เถ้าแก่ท่านชมเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้าก็ได้ส่งมอบความรู้ทุกอย่างที่ข้ามีให้กับพ่อครัวของเหลาจวี้เสียนของพวกท่านไปจนหมดแล้ว บัดนี้ตัวข้าขาดแคลนและยากจนเป็นอย่างยิ่ง”
เถ้าแก่ร้านยังคงอยู่ในอารามตื่นเต้นไม่หาย “ไม่หรอกขอรับ ข้าได้ยินเถ้าแก่เหลาจวี้เสียนแห่งเมืองชิงซีเล่าว่าท่านรู้กรรมวิธีปรุงอาหารมากมาย วัตถุดิบใดก็ตามขอเพียงได้ผ่านมือท่านล้วนแล้วแต่กลายเป็นเมนูอาหารอันโอชะที่หาได้ยากยิ่งทั้งนั้น หากท่านมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ไม่ทราบว่าจะสามารถเชิญท่านมาชี้แนะสั่งสอนพ่อครัวของพวกเราบ้างจะได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไป “ไม่มีปัญหา รอข้าจัดการเรื่องร้านขายบะหมี่มันฝรั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจะแวะมาเยี่ยมที่นี่บ่อยๆ ถึงตอนนั้นอาจได้แนะนำของอร่อยให้พวกเจ้าเพิ่มได้อีกสักหนึ่งหรือสองอย่าง”
เถ้าแก่ร้านรีบขอบคุณด้วยความตื่นเต้นทันที “ขอบคุณแม่นางเมิ่ง ขอบคุณแม่นางเมิ่ง”
รอจนกระทั่งความตื่นเต้นผ่านพ้นไป เถ้าแก่ร้านถึงได้พูดขึ้นอีกครั้ง “แม่นางเมิ่งช่างมาได้จับจังหวะนัก ไม่กี่วันก่อนร้านขายผลไม้ตากแห้งที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามด้วยเพราะเกิดปัญหาที่บ้านจึงไม่คิดจะทำกิจการอีกต่อไป เห็นว่าต้องการจะขายร้านนั้นทิ้งพอดี แม่นางหากท่านสนใจสามารถตามข้าไปดูได้ หากแม่นางท่านคิดว่าเหมาะสมก็สามารถซื้อมันได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกพรวดขึ้นในทันใด “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ลงไปดูกันตอนนี้เลยเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืนตาม “ไปกัน”
เถ้าแก่ร้านรีบนำทางคนทั้งสองไปทันที กัวเฟยตามหลังพวกเขาไปอย่างกระชั้นชิด
เหลาจวี้เสียนตั้งอยู่ในย่านที่คึกคักและรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง ไม่ไกลจากประตูร้านมากนัก ก็คือถนนกว้างสายยาวที่ทอดตัดผ่านไป ตลอดสองฟากฝั่งของถนนเส้นนี้ ร้านแผงลอยจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังตะโกนเรียกลูกค้ากันอย่างไม่ยอมกัน เสียงตะโกนและเสียงพูดคุยของผู้คนมีดังมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย ลูกค้าที่เข้ามาเยือนเองก็มีขวักไขว่ให้เห็นอยู่ตลอด บ้างหยุดดูของที่วางขายอยู่บนแผงลอยเป็นพักๆ อย่างสนใจ บรรยากาศคึกคักดูมีชีวิตชีวาเป็นที่สุด ช่างตรงข้ามกับอีกมุมหนึ่งสิ้นดี บริเวณตรอกเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลไปจากถนนเส้นนี้ ขอทานสองสามคนกำลังแอบซ่อนอยู่ในมุมมืดมองภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
เห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางพวกเขา เถ้าแก่ร้านก็ก้าวขึ้นมาอธิบายให้ฟังว่า “ทุกวันข้าจะสั่งให้คนเอาอาหารที่เหลือจากแขกไปวางไว้ให้พวกนี้ได้กินเพื่อประทังความหิว ด้วยเหตุนี้ในช่วงเวลานี้ขอทุกวันจึงมีขอทานออกมารออาหาร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าและยิ้มให้อย่างชมเชย “เถ้าแก่ท่านช่างมีเมตตา มีจิตใจที่กรุณายิ่งนัก ท่านจะต้องได้รับ…” แต่ยังไม่ทันที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะได้พูดจนจบ เสียงร้องตะโกนด้วยความโกรธขึ้งก็พลันดังมาจากที่ซ่อนในตรอก เห็นว่าเป็นขอทานคนหนึ่งกำลังวิ่งออกมาจากที่ซ่อนด้วยความเคียดแค้น พุ่งเข้าใส่เมิ่งเชี่ยนโยวแล้วตะโกนใส่อีกฝ่ายไปว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ฉากนี้ทำเอาทุกคนนิ่งอึ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแน่น
กัวเฟยเตะขอทานที่กำลังประชิดเข้ามาคนนั้นจนร่างของอีกฝ่ายกระเด็นออกไปไกล
หลังจากที่ขอทานคนนั้นล้มลง นานทีเดียวก่อนที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้คนที่เดินไปเดินมาอยู่บริเวณนั้นหยุดลงและรวมตัวกันมุงดูรวมถึงพูดคุยเกี่ยวกับขอทานที่ไม่รู้ว่าตายแล้วหรือยังในตอนนี้ทันทีอย่างออกรสออกชาติ
ขอทานที่เหลืออยู่เห็นว่าขอทานคนนั้นเข้าไปล่วงเกินผู้สูงศักดิ์ก็พากันหยิบชามข้าวของตัวเองแล้ววิ่งหนีแตกฮือกันไปคนละทิศละทางอย่างตกใจและหวาดกลัว
เถ้าแก่ร้านถึงกับผงะไปกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ จากนั้นเขาก็โค้งตัวลงอ้อนวอนด้วยความหวาดกลัวว่า “แม่นางเมิ่งได้โปรดยกโทษให้ด้วย ขอทานเหล่านี้ปกติจะนั่งรออาหารด้วยความสงบมาโดยตลอด ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงได้…”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นเพื่อขัดคำพูดของเขา เท้าเดินเข้าไปหยุดอยู่ด้านหน้าขอทานคนนั้นก่อนจะถามอีกฝ่ายไปอย่างวางตัวว่า “เจ้าเป็นใคร? มีความแค้นอันใดกับข้าถึงได้คิดอยากจะฆ่าข้าเช่นนี้?”
ขอทานที่เพิ่งถูกโยนลงพื้นไปคนนั้นหลังจากได้สติกลับมาก็เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น
กลุ่มคนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่โดยรอบรู้สึกว่าขอทานคนนั้นคงจะบ้าไปแล้วจึงให้ถอยหลังไปอีกสองสามก้าวตามจิตใต้สำนึก
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าเสียงหัวเราะนี้คุ้นหูอยู่ไม่น้อยเลย คิ้วที่ผูกกันอยู่จึงยิ่งขมวดแน่นขึ้นไปอีก
หลังจากขอทานคนนั้นหัวเราะจนพอใจแล้ว ก็ยกมือสกปรกข้างนั้นปัดผมที่ยุ่งเหยิงปิดใบหน้าออก กัดฟันถามออกไปว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าดูให้ดี ทีนี้รู้แล้วหรือยังว่าข้าคือใคร?”
ใบหน้าของขอทานผู้นั้นสกปรกยิ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวต้องจ้องมองอย่างระมัดระวังอยู่สักพักก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจว่า “หลิวลี่?”
หลิวลี่ปล่อยเสียงหัวเราะดังฮ่าๆ ออกมาอีกครั้ง “เมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้ข้ากลายมาเป็นสภาพแบบนี้แล้ว เจ้าคงจะมีความสุขมากสินะ?”
เมื่อผู้คนจำนวนมากที่มุงดูอยู่โดยรอบเห็นว่าทั้งคู่รู้จักกันก็บังเกิดความประหลาดใจและความสงสัยขึ้นมา เท้าหรือก็ขยับขึ้นไปข้างหน้าอีกนิด พยายามตะแคงหูฟังว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่?
เมิ่งเชี่ยนโยวถามไปอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าหาบ้านสามีที่ดีในเมืองหลวงได้แล้วหรอกหรือ? ไฉนจึงกลายมาเป็นแบบนี้?”
หลิวลี่ลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก ทันใดนั้นนางก็พ่นน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดใส่เมิ่งเชี่ยนโยวก่อนจะตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงรวดร้าวว่า “ที่ข้าต้องกลายมาเป็นสภาพนี้ ทั้งหมดก็เพราะเจ้าทั้งสิ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอยหลังออกไป หลีกเลี่ยงน้ำลายที่อีกฝ่ายพ่นใส่มา
กัวเฟยก้าวขึ้นไปข้างหน้าต้องการที่จะโจมตีหลิวลี่อีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปหยุดเขาไว้ก่อน
หลิวลี่ยังคงถลึงตากล่าวหานางอย่างไม่ลดละ “เมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้เจ้าแสร้งทำเป็นคนดีแล้วเหรอ ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเจ้าให้คนมาทำร้ายข้าจนข้าฟันหลุดไปซี่หนึ่ง มีหรือที่ข้าจะจบลงด้วยสภาพนี้? วันนี้หากเจ้าไม่สั่งคนให้ตีข้าให้ตาย ข้าสาบานเลยว่าจะขอตามหลอกหลอนเจ้าทุกวันไม่ขอลดละ!”
อย่างไรก็ตามอารมณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ผันผวนไปเพราะคำกล่าวของอีกฝ่ายเลย นางกล่าวออกไปว่า “ที่ฟันของเจ้ามีสภาพนี้ใช่ข้าทำเสียที่ไหน วันนี้ข้าจะเลิกแล้วกันไปไม่ติดใจเอาความกับเจ้า แต่หากว่าวันหน้าเจ้ายังมารังควานหาเรื่องข้าไม่เลิก ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย อยากตายแต่ก็ไม่อาจตายได้”
มาถึงจุดที่ต้องกลายมาเป็นขอทาน หลิวลี่ก็ไม่มีอะไรไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว เสียงหัวเราะที่เหมือนกับจะบ้าคลั่งดังขึ้นอีกหลายครั้งพลางพูดออกไปว่า “เจ้าทำให้ข้ามีสภาพเช่นนี้แล้วยังคิดจะขู่ข้าอีก? ข้าจะบอกเจ้า ข้าขอทานอยู่ที่นี่มาสี่ปีแล้ว ทุกข์ทรมานแบบไหนบ้างไม่เคยพบ เจ้าคิดว่าคำพูดไม่กี่คำของเจ้าจะทำให้ข้ากลัวได้เหรอ หากว่าวันนี้ข้าไม่ได้แก้แค้นเจ้า ต่อให้ข้าตายไปเป็นผีก็จะไม่ละเว้นเจ้า”
หลังจากฟังบทสนทนาของทั้งคู่ คนที่อยู่โดยรอบก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น พวกเขากำลังคาดเดาถึงสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำลงไป ว่าทำอย่างไรถึงบีบให้หลิวลี่เดินมาถึงจุดนี้ได้
ฝั่งเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ได้สนใจหลิวลี่เลยแม้แต่น้อย ขณะที่หมุนตัวแล้วกำลังคิดจะเดินจากไปนั้นเอง นางก็ได้ยินผู้คนรอบข้างกำลังแสดงความคิดเกี่ยวกับเรื่องของพวกนางอยู่ พลันเปลี่ยนใจแล้วหันกลับไปถามหลิวลี่ว่า “เจ้าเอาแต่ร้องบอกว่าข้าทำร้ายเจ้า วันนี้ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่สู้เจ้าพูดให้ชัดเจนไปเลยว่าข้าทำอย่างไรถึงได้ทำให้เจ้ากลายมาเป็นสภาพนี้”
—————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น