ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 217-222
ตอนที่ 217 ระดมองค์รักษ์ลับเข้าเมืองหลวง
เฮ่อจางพูดไม่ออก
แม้ว่าฝ่าบาทจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดอ๋องฉีจึงมีประสงค์ให้ยืดเวลาออกไปอีกสามวัน แต่เขากล้าเอาหัวของตัวเองเป็นประกัน ก็แสดงว่าไม่มีทางให้เมิ่งเชี่ยนโยวหนีไปเป็นแน่ จึงพยักหน้า ตอบตกลง “ได้สิ ทำอย่างเจ้าว่า อีกสามวันให้พระเซวี่ยนชิงทำพิธีต่อหน้าชาวบ้านทุกคน”
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว พิธีเช้าก็จบลง เหล่าขุนนางทั้งหมดเดินออกมาด้านนอก เมื่อเฮ่อจางเห็นฝีเท้าอ๋องฉีเร่งรีบ จึงหรี่ตาลง รีบเดินออกไปจากประตูวัง จากนั้นก็สั่งเสียงเบาว่า ให้รีบปล่อยข่าวลือที่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจแพร่ออกไป
มีเสียงตอบรับตามมา จากนั้นก็จากไป
หลังจากที่อ๋องฉีกลับมายังจวนแล้ว เมื่อทราบว่าหวงฝู่อี้เซวียนยังไม่กลับมา ก็รีบไปนำเงินจากห้องบัญชีจำนวนสองหมื่นตำลึง ควบม้าเร็วไปยังหนานเฉิงทันที ไม่นานก็มาถึงจวนของเมิ่งเชี่ยนโยวตามคำบอกขององครักษ์เงา
นายประตูไม่รู้จักเขา แต่ดูว่าการแต่งกายของเขาอีกทั้งยังมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับหวงฝู่อี้เซวียน ก็เดาสถานะของเขาได้ จึงตกใจมาก รีบคุกเข่าลง “ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋อง”
“พวกเขาอยู่ด้านในหรือไม่” อ๋องฉีถามด้วยความร้อนรน
นายประตูผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า พวกเขาที่ว่าหมายถึงเมิ่งเชี่ยนโยวและซื่อจื่อ จึงได้รีบพยักหน้า “อยู่ขอรับ”
และสั่งว่า “พาข้าไปพบพวกเขา”
นายประตูรีบยืนขึ้น นำทางเขาไปยังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความนอบน้อม
ชิงหลวนและจูหลีเฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นอ๋องฉีต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก “อ๋องฉี!”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงร้องของชิงหลวนและจูหลี จึงมองตากัน และยืนขึ้นพร้อมกัน และเดินออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นอ๋องฉีจริงๆ ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนก็มีลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมาทันที “เสด็จพ่อ ท่านมาได้อย่างไรกันขอรับ”
อ๋องฉีหยิบเงินออกมา ส่งให้เขา และไม่อธิบายอะไร สั่งเสียงทุ้มต่ำว่า “รับเงินพวกนี้ไว้ และพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปจากที่นี่ ไปยิ่งไกลยิ่งดี”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ไม่ได้รับเงินมา
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจมาก “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ”
อ๋องฉีพยายามพูดให้ดูรุนแรงน้อยที่สุดว่า “เฮ่อจางส่งคนไปที่บ้านเกิดของเจ้าเพื่อสืบประวัติเจ้า และสืบเจอข้อมูลบางอย่างที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า และฝ่าบาทก็ได้มีรับสั่งให้ตามจับตัวเจ้า ข้าหาวิธียืดเวลาออกไปสามวัน เพียงพอให้พวกเจ้าหนีไปได้ไกลแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้มสบายๆ ออกมา ถามว่า “ท่านอ๋องยืดเวลาอย่างไรหรือเพคะ”
ท่านอ๋องร้อนใจ โบกมือ “เรื่องนี้พวกเจ้าอย่าห่วงไปเลย ไม่ต้องเก็บของอะไรทั้งสิ้น อาศัยจังหวะที่เฮ่อจางยังไม่รู้ตัวรีบหนีไปก่อนเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมส่ายหน้า “ต่อให้พระสงฆ์หนีไป แต่วัดก็ยังต้องอยู่เพคะ ครอบครัวของหม่อมฉันยังอยู่ที่ชิงซี ถ้าหากพวกเขาใช้คนในครอบครัวหม่อมฉันมาข่มขู่ ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว หม่อมฉันก็ต้องกลับมาแต่โดยดี ไม่หนีเสียยังจะดีกว่า”
อ๋องฉีใจร้อน คิดแต่อยากจะให้ทั้งสองรีบหนีไปอย่างเดียว ไม่ได้ไตร่ตรองไปถึงครอบครัวของนาง เมื่อได้ยินดังนั้นจึงผงะไป
“ท่านอ๋อง พวกเราไปคุยกันในห้องรับรองแขกเถิดเพคะ บอกหม่อมฉันมาตามจริงเถิดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
ทั้งสามเดินมานั่งในห้องรับแขก อ๋องฉีจิตใจสงบจิตลงมากขึ้นแล้ว นำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้เล่าให้พวกเขาฟัง พูดจบ ก็จ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีสีหน้าตกใจเลยแม้แต่น้อย ยิ้มและถามว่า “ท่านอ๋องมองว่าหม่อมฉันเหมือนปิศาจหรือไม่เพคะ”
อ๋องฉีส่ายหน้า “ตัวข้าไม่เชื่อหรอก แต่ว่าฝ่าบาทกลับเชื่อโดยไม่ลังเล ข้าเกรงว่า…”
“เสด็จพ่ออย่ากลัวไปเลย” หวงฝู่อี้เซวียนที่นั่งเงียบมาตลอดเปิดปาดพูด “เรื่องนี้ลูกได้เตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว โยวเอ๋อร์ไม่มีทางเป็นอะไรไปแน่นอน”
อ๋องฉีผงะไป
หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อว่า “ดูจากนิสัยของเฮ่อจางแล้ว บัดนี้คงจะส่งคนไปแพร่ข่าวลือแล้ว สิ่งที่เสด็จพ่อควรทำตอนนี้คือกลับจวนไปปลอบขวัญเสด็จแม่ ข้าจะอยู่ที่นี่กับโยวเอ๋อร์”
อ๋องฉีอ้าปาก ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หวงฝู่อี้เซวียนขัดเขา และเน้นย้ำอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อวางใจเถิดขอรับ พวกเราไม่เป็นอะไรหรอก”
คำที่อ๋องฉีต้องการจะพูดถูกกลืนลงคอไป มองทั้งสองเล็กน้อย และถอนใจออกมา ยืนขึ้นสาวเท้ายาวเดินออกไป
ทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนตาม ส่งเขาออกไปนอกจวน มองดูเขาขี่ม้าวิ่งไกลออกไปแล้วจึงได้หันหลังกลับเข้าบ้าน หวงฝู่อี้เซวียนพลางเดินพลางสั่งการไปว่า “ให้กัวเฟยมาพบข้า”
ชิงหลวนตอบรับ หันหลังตรงไปยังที่พักของบ่าวรับใช้
ทั้งสองเดินทางมาถึงห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว กัวเฟยตามมา หวงฝู่อี้เซวียนสั่งว่า “เจ้าไปหาเถ้าแก่ของเหลาจวี้เสียน ให้เขาประกาศเรียกองครักษ์ลับจำนวนสามพันนายมาที่เมืองหลวงภายในสองวันนี้”
ตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนที่หวงฝู่อี้เซวียนหายตัวไป องครักษ์ลับสามพันนายก็ได้กระจายตัวกันอยู่ตามเหลาจวี้เสียน ยังไม่เคยรวมตัวกันพร้อมหน้าเสียที บัดนี้เมื่อได้ยินคำสั่งเช่นนี้ กัวเฟยจึงรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว เขาไม่รอช้า เมื่อตอบรับแล้วก็รีบเดินออกไป
กัวเฟยออกไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงความเงียบ ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไรออกมา
เวลาผ่านไปนานแสนนาน เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น ยิ้มและถามว่า “เจ้ารู้มานานแล้วใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบอะไร
“กลัวหรือไม่” นางถามย้ำ
เขามองนางด้วยสายตาอ่อนโยน ยืนขึ้น เดินไปหานาง ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คนบื้อ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าก็จะเป็นหญิงผู้ครองใจข้าเพียงผู้เดียว”
ดวงตาของเมิ่งเชี่ยนโยวมีน้ำตารื้นขึ้น เอื้อมมือไปกอดเอวเขาไว้ “ชาติที่แล้วของข้า ขณะที่รู้ตัวว่าตนเองตายแล้วนั้นข้าไม่รู้สึกกลัว แต่กลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ที่ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นได้เสียที แต่บัดนี้ ข้ากลัว…”
“มีข้าอยู่ที่นี่ เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรอีก…” น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความอาลัย “ข้ากลัวว่าวิญญาณจะต้องล่องลอยอีกครั้ง กลัวว่าจะไม่ได้อยู่กับเจ้า กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้พบกับเจ้าอีก”
ในน้ำเสียงน่าฟังของหวงฝู่อี้เซวียนมีพลังที่คอยปลอบนางอยู่ “ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอก ชาตินี้เราก็ต้องอยู่ด้วยกัน มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง มีแต่ความสุขสมหวัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร ทำเพียงกอดเขาเอาไว้แน่น
ข่าวลือที่ว่าองค์หญิงชิงเหอคนใหม่เป็นปิศาจนั้นแพร่ไปเร็วราวกับติดปีก ไม่นานก็ลือกันไปทั่วเมืองหลวง ได้ยินไปถึงหูของทุกคน และจากนั้นก็กระจายไปยังนอกเมืองราวกับลม ไม่ถึงสองวัน ก็เกือบจะรู้เรื่องนี้กันไปทั่วแล้ว
ตอนที่เหวินซื่อรู้เรื่องนี้เข้า เป็นตอนที่เขากำลังคำนวณรายรับเมื่อวานของร้านยาเต๋อเหริน กำลังเตรียมตัวกลับบ้านไปหาเฝิงจิ้งเหวิน ได้ยินเสียงซุบซิบกันของคนไข้ ทำให้เขาที่กำลังจะเดินข้ามธรณีประตูเกือบจะสะดุดล้ม รีบชักเท้าเข้ามา เดินถอยหลังมาหาคนไข้ที่ซุบซิบกันอยู่ ถามเสียงดังด้วยความไม่อยากเชื่อ ว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าใครเป็นปิศาจแปลร่างนะ”
คนไข้ที่กำลังซุบซิบอย่างเมามันตกใจเพราะเสียงของเขา กำลังจะอ้าปากด่าไป แต่เมื่อเห็นชัดว่าเป็นเถ้าแก่เจ้าของร้านขายยา น้ำเสียงจึงได้อ่อนลง พูดว่า “องค์หญิงชิงเหอน่ะสิ”
เหวินซื่อยกตัวขอคนไข้ที่ตอบคำถามขึ้นมา ถามด้วยความดุดันว่า “ใครให้เจ้าพูดพล่อยๆ เช่นนี้ องค์หญิงจะเป็นปิศาจได้อย่างไรกัน”
คนไข้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจะต้องโมโหเช่นนี้ ตกใจจนเหงื่อผุดออกมา พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “คน คน คนบนท้องถนนต่างก็พูดเช่นนี้”
เหวินซื่อรีบปล่อยเขาลง แล้วรีบเดินออกไป
ทิ้งไว้เพียงคนไข้ที่นั่งงงมองแผ่นหลังของเขาเดินจากไป อาการป่วยไข้ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นฉับพลัน
เป็นอย่างนั้นจริงๆ เกือบทุกคนบนท้องถนนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอยู่ พูดเหมือนกับคนไข้คนนั้นไม่มีผิด
เหวินซื่อจึงหันหลังกลับไปยังหน้าร้านยาเต๋อเหริน ไม่เลือกนั่งรถม้า แต่สั่งให้คนรถปล่อยม้าออกมา และขึ้นขี่ทั้งที่ยังไม่ได้ใส่อานม้า ตรงไปยังหนานเฉิงทันที
เมื่อมาถึงก็รีบลงจากม้า ไม่รอให้นายประตูรู้ตัว เขาก็ได้เดินตรงเข้ามายังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวทันที ตะโกนเรียกเสียงดัง “เมิ่งเชี่ยนโยว ข่าวลือด้านนอกนั่นหมายความว่ายังไงกัน”
สิ้นเสียง ตัวคนพูดก็ได้เปิดม่านกั้นประตูเดินเข้าไปด้านใน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวสงบลงมากแล้ว กำลังนั่งเงียบๆอยู่ในห้อง มองหน้ากันและกัน เมื่อเห็นเข้าพรวดเข้ามา จ้องเขาและพูดว่า “อะไรเป็นยังไง”
“ข่าวลือด้านนอกอย่างไรเล่า บอกว่าเจ้าเป็นปิศาจมาสิงร่าง” เหวินซื่อตอบอย่างร้อนรน
“หากข้าบอกว่าเป็นเรื่องจริง เจ้าจะทำอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถามยิ้มๆ
เหวินซื่อยืนขึ้น เดินไปหานาง มองรอบตัวนาง พิจารณานางอย่างละเอียด
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขามองอย่างแปลกๆ “เจ้ามองอะไร”
“ปิศาจมิใช่ว่ามีสามหัวหกแขนหรอกหรือ เหตุใดเจ้าจึงไม่มี” เหวินซื่อถามอย่างสงสัย
“ไปไกลๆ เลยไป๊!” เมิ่งเชี่ยนโยวถีบเขาออกไป แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
จิตใจที่ตึงเครียดของหวงฝู่อี้เซวียนก็ผ่อนคลายลง พูดว่า “นั่นเป็นแผนที่เฮ่อจางจะเอามาใช้จัดการโยวเอ๋อร์ เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
เหวินซื่อนั่งลงบนเก้าอี้ “ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไร คนเจ้าเล่ห์อย่างเฮ่อจางมีแผนชั่วร้ายเต็มไปหมด ต่อให้นางไม่เป็นไร แต่หากถูกเขาใส่ร้ายเล่า ไม่ได้ พวกเราต้องคิดหาแผนที่ปลอดภัยกว่านี้”
“เจ้าไม่ต้องสร้างปัญหาเพิ่มก็พอ จะมาคิดแผนอะไรอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวล้อเขาเล่น
เหวินซื่อถลึงตาใส่นาง ตอบว่า “อย่างน้อยข้าก็เป็นถึงเถ้าแก่ร้านยาเต๋อเหริน จะคิดหาวิธีไม่ออกได้อย่างไร”
เก็บสีหน้าลง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างจริงจังว่า “นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกข้ากับเฮ่อจาง ไม่เกี่ยวกับเจ้า หากเจ้าไม่มีธุระแล้วก็รีบกลับบ้านไปเสีย อย่าเข้ามายุ่งเลย”
“ใครบอกว่าไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าเรียกเหวินเอ๋อร์ว่าพี่สะใภ้ อย่างนั้นข้าก็เป็นพี่ชายเจ้า พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน! รู้หรือไม่เล่า เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าแล้วข้าจะไม่สนได้อย่างไรกัน”
ความอบอุ่นในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่มขึ้น แต่กลับไม่หวังให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย จุดจบเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ได้ หากตนถูก… เข้าจริงๆ ก็ขอให้พวกเขาไม่ต้องติดร่างแหไปด้วย แต่เมื่อจะเปิดปากพูด กลับถูกเหวินซื่อตัดบทว่า “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าจะบอกอะไรให้ ข้าจะไม่มีทางยืนดูอยู่เฉยๆ แน่ เอาอย่างนี้ ข้าจะรีบกลับไปเขียนจดหมายให้เถ้าแก่ร้านยาเต๋อเหรินทุกสาขา ให้พวกเขารีบเข้ามาที่เมืองหลวง หากมะรืนเฮ่อจางมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรอีก พวกเราก็จัดการเขาก่อนค่อยว่ากัน” พูดจบ คิดว่าความคิดของตนเองใช้ได้ จึงลุกขึ้นยืนเดินออกไปด้านนอก
เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม ขณะเดียวกันก็เตะเก้าอี้ตรงปลายเท้าออกไปขวางไว้ตรงหน้าเหวินซื่อ
เหวินซื่อชะงักฝีเท้าลง หันหลังกลับ มองไปหานาง
“ข้าและอี้เซวียนเตรียมการณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าอย่ามายุ่งเลย ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรทำก็คือรีบกลับบ้านไป ป้องกันไม่ให้คนในจวนลือต่อๆ กัน จะได้ไม่แพร่เข้าหูของพี่สะใภ้ ข้าเป็นห่วงครรภ์นาง” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เหวินซื่อโบกมือ “อย่างนั้นไม่ได้ ข้าไม่วางใจ นอกเสียจากว่าเจ้าจะบอกข้าว่าเตรียมแผนอะไรไว้”
หากไม่บอกเขา เขาคงอาจจะเรียกคนจากร้านยาเต๋อเหรินทั่วรัฐอู่มาก็ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา พูดว่า “พวกเราระดมองครักษ์ลับทั้งหมดเข้าเมืองหลวงแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับข้า พวกเขาจะลงมือเอง”
เหวินซื่อรู้จักฝีมือขององค์รักษ์ลับดี เก่งกว่าคนของเขาตั้งไม่รู้กี่เท่า จึงได้วางใจลง นั่งลง พูดว่า “อย่างนี้ค่อยวางใจได้ สั่งมาสิ ว่าจะให้ข้าทำอะไร”
“สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือกลับจวนไปแต่โดยดี อยู่เคียงข้างพี่สะใภ้ ก็พอแล้ว”
เหวินซื่อถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่ต้องการข้าจริงๆ หรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“ก็ได้ อย่างนั้นข้ากลับไปเตรียมตัวที่จวน วันพรุ่งข้าจะมาใหม่” เขายืนขึ้น เตรียมจะเดินออกไปด้านนอก แต่กลับหยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับมา พูดพร้อมหน้าแดงว่า “เตรียมอานม้าให้ข้าชุดหนึ่งได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ
เหวินซื่อพูดด้วยใบหน้าที่แดงไปถึงหูว่า “หลังจากที่ข้าได้ยินคนไข้พูดถึงเจ้าแล้วนั้น ก็ร้อนใจมาก จึงได้ให้คนม้าคลายม้าออกมาจากรถม้า แล้วก็ขึ้นขี่มาทันที แล้ว…ตอนนี้…”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาเสียงดัง
เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนสั่งด้านนอกว่า “ชิงหลวน!”
ไม่มีเสียงตอบรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกได้ว่าหากอี้เซวียนอยู่ด้วย ทั้งสองจะไม่มายืนเฝ้าหน้าประตู จึงได้ยืนขึ้น พูดว่า “ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปจูงม้า”
หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น “ข้าไปเอง เจ้าพักผ่อนอยู่ในนี้แหละ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปหลังจวนกับเหวินซื่อ จูงม้าออกมาให้เขาหนึ่งตัว และส่งเขาออกจากบ้านไป เมื่อเห็นม้าวิ่งไปไกล จึงได้หันหลังกลับห้องมา
คนที่ได้ยินข่าวคราวในเวลาเดียวกันนั้นยังมีเปาชิงเหอ และก็ตกใจเช่นกัน ครู่ใหญ่จึงจะได้สติกลับมา
เปาอี้ฝาน เหวินเปียว และคนที่ทำงานอยู่นอกเป่ยเฉิงต่างก็ได้ยินข่าวนี้แล้ว ต่างคิดว่าตนฟังผิด โดยเฉพาะคนที่เป่ยเฉิงไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด คนที่เป็นดั่งแม่พระที่มอบโอกาสทำมาหากินแก่พวกเขา เปลี่ยนแปลงการเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างเมิ่งเชี่ยนโยวจะเป็นปิศาจสิงร่างได้อย่างไร
แต่ฉู่เหวินเจี๋ยที่อยู่ในค่ายทหารเพิ่งจะได้ยินข่าวนี้จากพ่อบ้านก็เมื่อกลับถึงจวนตอนมืดค่ำแล้ว ลุงฝูพูดว่า “ข้าได้สั่งให้คนในจวนห้ามวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอีก ป้องกันไม่ให้ฮูหยินรู้เข้า หากเกิดร้อนใจขึ้นจะเป็นอันตรายกับเด็กในครรภ์ได้”
ตอนที่ 218 เผชิญอันตรายด้วยกัน
ฉู่เหวินเจี๋ยหยุดฝีเท้าลง สั่งบ่าวรับใช้ว่า “ดูแลฮูหยินให้ดี” จากนั้นก็เดินออกจากจวนไป ขึ้นม้า ตรงไปยังจวนอ๋องฉีเพื่อถามให้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลังจากที่อ๋องฉีกลับจวนมาแล้ว ก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พระชายาฟังด้วยความระมัดระวัง พระชายาตกใจจนมีเงามืดปรากฎบนดวงตา เกือบจะเป็นลมไป อ๋องฉีรีบพยุงนาง และพานางไปนั่งบนเก้าอี้อย่างทะนุถนอม
ผ่านไปครู่ใหญ่พระชายาถึงได้สติกลับคืนมา กัดฟันก่นด่าด้วยความโกรธว่า “เจ้าแก่หนังเหนียวเฮ่อจางนี่มันช่างร้ายกาจเสียจริง คิดแผนเช่นนี้ออกมาได้” พูดจบ คว้ามือของอ๋องฉีเอาไว้ พูดด้วยความร้อนใจว่า “ท่านอ๋อง ท่านรีบไปเร็ว ใช้เวลาสองวันนี้พาเด็กสองคนนั้นหนีออกจากเมืองหลวงไป ยิ่งไกลยิ่งดี”
อ๋องอีไม่ขยับ “ข้าไปมาแล้ว เซวียนเอ๋อร์บอกว่าพวกเขาเตรียมการณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว”
“เขาจะไปมีแผนอะไร ครั้งนี้เฮ่อจางจะจัดการโยวเอ๋อร์จนถึงตายได้ ฮ่องเต้รังเกียจเรื่องแบบนี้เป็นที่สุด ถ้าหาก…” พูดถึงตรงนี้ก็ขยับร่างเตรียมจะลุกขึ้น “ไม่ได้การแล้ว ข้าจะต้องไปบอกให้พวกเขาหนีไปด้วยตัวเอง”
อ๋องฉีห้ามนาง ค่อยๆ พานางนั่งลงที่เก้าอี้ “เซวียนเอ๋อร์ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจมาก่อน พวกเราต้องเชื่อใจเขา และอีกอย่างหนีไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ฝ่าบาทสั่งให้องครักษ์ไปเฝ้าประตูเมืองไว้แล้ว”
พระชายาทั้งร้อนใจ ทั้งแค้นใจ ร่างของนางสั่นสะท้านไม่หยุด
ฉู่เหวินเจี๋ยมาถึงจวนอ๋อง อ๋องฉีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ให้เขาฟังโดยละเอียด
หลังฉู่เหวินเจี๋ยฟังจบแล้ว ขมวดคิ้วพูดว่า “ข้าจะไปทูลขอร้อง!”
อ๋องฉีโบกมือ “ครั้งนี้เฮ่อจางสะกิดจุดอ่อนของฮ่องเต้ หากเจ้าไปขอร้องไม่เพียงแต่จะไม่เป็นการช่วยเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ยังจะทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วมากขึ้น ดังนั้นอย่าไปเลย พวกเราคอยดูความเคลื่อนไหวไปก่อนกว่า”
ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นชายชาติทหาร แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดอย่างละเอียดรอบคอบเฉกเช่นอ๋องฉี เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า “เฮ่อจางเป็นคนเจ้าเล่ห์ เลี่ยงเรื่องกลลวงของเขาได้ยาก พวกเราจะต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี อย่าให้เขาได้ใจเป็นอันขาด”
อ๋องฉีเองก็มีความคิดเช่นนี้ ทั้งสองจึงไปคุยกันที่ห้องหนังสือ
ขณะเดียวกัน ฮ่องเต้ที่กระวนกระวายด้วยเรื่องที่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจมาแฝงร่างอยู่แล้ว ขณะที่เสวยอาหารค่ำกับไทเฮาที่ตำหนักของนาง ไทเฮาก็เตือนเรื่องนี้ขึ้นมา และยังบอกเขาเป็นนัยๆ ว่า ความสามารถของปิศาจนั้นมีอยู่มาก หากนางใช้โอกาสหลบหนีไปได้ จะมาจับนางภายหลังก็ยากเสียแล้ว
ฝ่าบาทไร้ซึ่งความอยากเสวยอาหารไปทันที จากนั้นก็ทรงมีรับสั่ง ให้ทหารองครักษ์จำนวนห้าพันนายไปล้อมจวนของเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ ห้ามมิให้ใครเข้าออก ผู้ใดฝ่าฝืนให้ฆ่าทันที
ทหารห้าพันนายยกขบวนมากันอย่างน่าเกรงขาม นายประตูวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้าไปรายงานด้านใน หวงฝู่อี้เซวียนละเมิ่งเชี่ยนโยวคาดเดาไว้แล้วว่าฮ่องเต้จะทำเช่นนี้ จึงไม่ได้ตกใจอะไร สั่งไปว่า “ปิดประตูจวน ห้ามมิให้ใครไปไหนทั้งนั้น”
ดังนั้นกว่าฉู่เหวินเจี๋ยจะเจรจากับอ๋องฉีเรียบร้อย เมื่อมาถึงหนานเฉิง ก็ถูกทหารกันตัวเอาไว้ “ท่านแม่ทัพ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่าห้ามมิให้ใครเข้าออกเด็ดขาด เชิญท่านกลับไปก่อนเถิด”
ฉู่เหวินเจี๋ยจนปัญญา นั่งอยู่บนม้า มองทหารด้วยสายตาเคร่งเครียด ทำได้เพียงขี่ม้ากลับจวนของตนเพื่อวางแผน
วันต่อมา เปาชิงเหอและเปาอี้ฝานพร้อมทั้งนายท่านเหวินและเหวินซื่อเองก็ถูกกันไว้ด้านหน้าประตูเช่นกัน มองดูประตูที่ถูกปิดเอาไว้ ทั้งสี่คนร้อนใจเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
ขณะเดียวกันชาวบ้านหลินเฉิงที่ได้รับข่าวก็ได้ร่วมใจกันเขียนหนังสือคำร้อง มอบให้จางเจ๋อหวย เพื่อให้ทูลถวายให้ฝ่าบาท
คำร้องของขุนนางเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ คำร้องของชาวบ้านรวมกับคำร้องของขุนนาง ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วันจึงจะถูกทูลถวายให้ฝ่าบาท จางเจ๋อหวยกัดฟัน ให้เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งขี่ม้าไปส่งคำร้องในเมืองหลวง
บ่ายวันที่สอง มีชาวบ้านที่ยากจนจำนวนมากทยอยเดินทางเข้าเมืองหลวง
ทหารประจำประตูเมืองเข้าใจว่าเป็นชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกกัน จึงไม่ได้สงสัยอะไร
คนเหล่านี้หลังจากเข้าเมืองหลวงมาแล้ว ก็ตรงไปยังเหลาจวี้เสียนทันที จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดออกมาอีกเลย
เช้าวันที่สาม หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นมาเหมือนวันปกติ หลังจากล้างหน้าล้างตา และกินอาหารเช้ากับคนในจวนเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้นายประตูไปเปิดประตูออก รอประกาศจากขันทีในวัง
หลายวันมานี้ฝ่าบาทพักผ่อนไม่เต็มที่ รู้สึกเสียใจที่ตนเองตอบรับคำขอของอ๋องฉีให้ยืดเวลาไปสามวัน ราชกิจในเช้าวันนี้ก็จบลงอย่างรวดเร็ว กลับมายังห้องทรงพระอักษร จากนั้นก็รับสั่งให้คนจับเมิ่งเชี่ยนโยวไปขึงไว้บนถนน ให้พระเซวี่ยนชิงทำพิธีให้เมิ่งเชี่ยนโยวคืนร่างเดิม
ขันทีนำพระราชโองการมาประกาศให้ทั้งสองคนฟัง หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว จับมือของนาง มองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “กลัวหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมา ส่ายหน้า พูดไปประโยคหนึ่ง ชิงหลวนและจูหลีฟังไม่ออก ขันทีที่มาส่งสาส์นก็ไม่เข้าใจ มีเพียงหวงฝู่อี้เซวียนที่เข้าใจ “ข้าได้รับจนคุ้มแล้ว ไม่กลัว”
หวงฝู้อี้เซวียนจูงมือนางไปยิ้มไป เดินออกไปด้านนอก
ขันทีห้ามเอาไว้ “ซื่อจื่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าให้เพียง…”
“หลบไป!” น้ำเสียงหวงฝู่อี้เซวียนเย็นชา เต็มไปด้วยความน่ากลัว “วันนี้หากใครมาห้ามข้าไม่ให้ไปกับโยวเอ๋อร์ ข้าจะฆ่าให้หมด”
เมื่อได้ยินดังนั้น ขันทีก็กลัวจนตัวสั่น ยอมหลีกทางให้แต่โดยดี มองทั้งสองคนเดินจูงมือเคียงข้างกันไปด้วยความงุนงง
ที่ตามขันทีมาติดๆ นั้นก็เป็นรถม้า บนรถม้ามีกรงเหล็กอันหนึ่ง เห็นชัดว่าเตรียมมาเพื่อเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนชายตามองเล็กน้อย สั่งกัวเฟยว่า “ไปนำรถม้ามา”
กัวเฟยตอบรับ ไปยังหลังจวน
ทหารองครักษ์มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความทรมานใจ กล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ซื่อจื่อ สิ่งนี้ผิดกฎ องค์หญิงเป็นปิศาจร้าย ถ้าหากนางเกิด…”
หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าเครียด ถีบเขากระเด็น
ทหารไม่ได้ตั้งตัว จึงถูกเขาถีบจนต้องเซถอยหลังไปหลายก้าว ถึงได้ยืนอย่างมั่นคง พูดอย่างเคืองโกรธว่า “ซื่อจื่อ ท่าน…”
“ชิงหลวน จูหลี!” หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจเขา แต่กลับออกเสียงสั่งการ
ชิงหลวน จูหลีมาด้านหน้า พูดอย่างนอบน้อมว่า “ซื่อจื่อ!”
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามองทหารองครักษ์ทุกคน สั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “หากมีใครกล้าพูดว่านายหญิงของพวกเจ้าเป็นปิศาจอีกล่ะก็ ฆ่ามันให้หมด!”
ชิงหลวนและจูหลีตอบรับเสียงดัง
เสียงของเขาเป็นดั่งลมหนาวพัดผ่านร่างของทหารองครักษ์เหล่านั้น หนาวจนสั่นสะท้านถึงวิญญาณ ความหนาวแผ่ซ่านมาจากปลายเท้าของทหาร เขาอ้าปาก แต่ไม่กล้าพูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
กัวเฟยนำรถม้าออกมา หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือเมิ่งเชี่ยนโยว ขึ้นไปนั่งข้างบน
ชิงหลวน จูหลี กัวเฟยและองครักษ์ลับฝั่งเมิ่งเชี่ยนโยวอีกกว่าสามสิบนายคอยปกป้องอยู่สองฝั่งของรถม้า
ไม่มีใครห้าม และไม่มีใครกล้าห้าม
จนกระทั่งรถม้าค่อยๆ เคลื่อนที่ตรงไปยังถนนใหญ่ เหล่าทหารองครักษ์จึงได้สติกลับมา โบกมือสั่งให้ทุกคนตามไป
สองฝั่งข้างทางตั้งแต่หนานเฉิงถึงถนนใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนที่มารอดูการทำพิธี ทุกคนต่างอยากเห็นองค์หญิงที่มีพื้นเพมาจากชาวบ้านผู้นี้มาก แต่ยังไม่เคยได้พบมาก่อน วันนี้จึงได้มารอดูว่าจริงๆ แล้วนางเป็นคนเช่นไร และเป็นปิศาจมาสิงร่างได้อย่างไร และยังมีบางกลุ่มที่ไม่รู้ว่าถูกยุยงมาจากที่ใด หรือว่าคิดเอาเอง แต่ในมือพวกเขาต่างถือของเอาไว้หลายอย่าง รอเวลาที่กรงเหล็กเคลื่อนผ่านหน้าของตนแล้วจะปาของเหล่านั้นใส่ทันที
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวังก็คือ ในกรงเหล็กกลับไม่มีคนอยู่ ทั้งหมดยืนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
จนรถม้าเคลื่อนที่ผ่านหน้าพวกเขาไป มีคนได้สติว่าไม่แน่เมิ่งเชี่ยนโยวอาจจะอยู่ในนั้นก็เป็นได้ จึงไม่ลังเลอีกต่อไป ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งปาหินในมือเข้าใส่รถม้าทันที ปัง เสียงหินกระทบกับผนังรถม้า จากนั้นก็ตามด้วยเสียงโกรธแค้นของเขาว่า “ฆ่าปิศาจตนนี้ให้ตายไปเลย…”
คนด้านหลังกำลังเตรียมจะประทุษร้าย แต่จูหลีรีบตรงดิ่งไปยกร่างของชายผู้นั้นขึ้นมา โยนลงไปบนพื้นอย่างเต็มแรง
คนตรงนั้นได้ยินเพียงเสียงดังสนั่น และฝุ่นคลุ้งลอยขึ้นมา ชายฉกรรจ์ผู้นั้นไม่มีเสียงร้องใดออกมา สลบไปทันที
คนที่กำลังจะโยนหินใส่รถม้าหยุดชะงัก มองดูร่างของชายฉกรรจ์ที่นอนแน่นิ่งบนพื้นหลังฝุ่นจางหายไป จากนั้นก็มองของในมือของตนเอง จากนั้นก็รู้ตัวและรีบนำผักเน่า ไข่เน่า และของแข็งในมือทิ้งลงพื้นทันที จากนั้นก็ยกมือขึ้นเหนือหัว เพื่อแสดงว่าในมือของตนไม่มีของอะไรทั้งสิ้น
จูหลีพูดด้วยเสียงที่มีพลังว่า “หากยังมีใครทำการประทุษร้ายอีก จุดจบก็จะเป็นเช่นนี้”
กลุ่มคนเงียบสงัดไม่มีเสียงเล็ดลอกออกมา
หัวหน้าเหล่าทหารองครักษ์ได้เห็นฝีมือคนของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นครั้งแรก รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ที่เมื่อครู่ตนเองเพียงถูกซื่อจื่อถีบเท่านั้น ไม่ได้เกิดอันตรายอะไรมาก เห็นสภาพของชายฉกรรจ์แล้ว เห็นทีอีกครึ่งชีวิตที่เหลือคงจะต้องนอนเป็นผักปลาอยู่บนเตียงเสียแล้ว
เหวินเปียวเดินออกมา เตะร่างชายฉกรรจ์ไปอีกทาง กัวเฟยควบรถม้าไปด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน ส่วนคนที่ดูอยู่รอบๆ นั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องโยนของใส่รถม้า เพราะแม้กระทั่งเสียงลมหายใจยังไม่มี ต่างพากันกลั้นลมหายใจเอาไว้ รอให้รถม้าเคลื่อนผ่านไปก่อน จึงได้กล้าพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ลูบคลำลำคอเย็นเฉียบของตนเอง รู้สึกดีใจที่มันยังอยู่ที่เดิม
มีตัวอย่างเช่นนี้ คนบนถนนไม่มีใครกล้าทำเรื่องโง่ๆ อีก รถม้าดำเนินไปยังถนนใหญ่อย่างราบรื่น
กลางถนนมีแท่นสูงตั้งอยู่ มีพระสงฆ์ท่าทางมีเมตตาผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านบน พนมมือ หลับตาสวดมนต์อยู่
ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างมากันเกือบหมด ปิดล้อมแท่นนั้นไว้อย่างหนาแน่น
ฮ่องเต้มีสีพระพักตร์เคร่งเครียด และไทเฮาที่มีสีพระพักตร์กดดันประทับอยู่ที่ไกลๆ
เมื่อรถม้ามาถึง เห็นว่าในกรงเหล็กไม่มีคน สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไป กำลังจะมีรับสั่ง
หวงฝู่อี้เซวียนลงมาจากรถม้าอย่างไม่เร่งรีบ จากนั้นก็ยื่นมาออกไปจูงเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา
เกิดเสียงวุ่นวายขึ้นในหมู่ชาวบ้าน ฮ่องเต้และไทเฮาก็ยิ่งตกพระทัยยิ่งกว่าเดิม
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามองผู้คนเล็กน้อย จากนั้นก็จูงมือ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปด้านหน้า
ไทเฮาอดไม่ได้ จึงมีรับสั่งว่า “เร็ว รีบไปห้ามซื่อจื่อไว้!”
ทหารสองนายรีบเดินมาด้านหน้า ยื่นมือออกมาห้ามเขาไว้ “ซื่อจื่อ ไปไม่ได้ขอรับ!”
หวงฝู่อี้เซวียนมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา ทั้งสองรู้สึกได้ว่าลำคอเย็นยะเยือก หดคอลงทันที แต่ก็ไม่ยอมถอยหลัง
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดฝีเท้าลง หันไปคารวะฮ่องเต้และไทเฮา “ฝ่าบาท ไทเฮา ขอได้โปรดเมตตาด้วย ขอพระราชทานอนุญาตให้กระหม่อมได้ไปกับโยวเอ๋อร์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินการขนานนามที่เปลี่ยนไป พระทัยของฮ่องเต้และไทเฮารู้สึกไม่ดี เข้าพระทัยทันทีว่าหวงฝู่อี้เซวียนนั้นกำลังกล่าวโทษพวกเขาอยู่ แต่พวกเขาก็ทำเพื่อเขา หากเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจแปลงกายมาจริงๆ ถูกพระเซวี่ยนชิงร่ายมนตร์ให้คืนร่างมาได้ อย่างนั้นก็จะเป็นอันตรายกับเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไทเฮาทรงกัดพระทนต์ ตรัสไปว่า “ย่าไม่อนุญาต นางเป็นปิศาจนะ! เจ้าจะอยู่กับนางได้อย่างไรกัน”
“ไทเฮา” หวงฝู่อี้เซวียนยืดเอวขึ้น พูดเสียงดัง “โยวเอ๋อร์เป็นปิศาจมาสิงร่างจริงหรือไม่นั้น ก็ยังไม่รู้ได้ ท่านตรัสเช่นนี้ จะไม่เกินไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
สี่ห้าปีมานี้ตั้งแต่เขากลับมา แม้ว่าเด็กคนนี้จะไม่ได้สนิทกับตนมากนัก แต่ก็ปฏิบัติต่อตนอย่างนอบน้อม ไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้สนทนากับตนมาก่อน ไทเฮาเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อสายตา “เซวียนเอ๋อร์ เจ้า…”
ราวกับว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจท่าทีของนาง พูดต่อไปว่า “โยวเอ๋อร์เป็นหญิงที่ครองใจกระหม่อม เป็นคนที่ผ่านความเป็นความตายมาพร้อมกระหม่อม บัดนี้นางถูกใส่ความ ถูกกล่าวหาว่าเป็นปิศาจ ต้องพิสูจน์ตนต่อหน้าผู้คนนับหมื่น หากกระหม่อมไม่อยู่เคียงข้างนาง กระหม่อมก็ไม่สมควรเป็นคนอีก และไม่สมควรจะเป็นผู้ชายของนางอีกต่อไป”
ผู้คนที่กำลังซุบซิบกันอยู่เมื่อครู่เงียบเสียงลงทันที ทุกคนมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นทั้งสองยืนหยัดเคียงข้างกันด้วยความกล้าหาญ ไร้ซึ่งความรู้สึกกดดันหรือร้อนใจ จึงเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจทันที
ฝ่าบาทหรี่พระเนตรลง
ไทเฮาพยักหน้าด้วยความกริ้ว “ได้ ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่ฟังคำของข้า ดึงดันจะอยู่กับนาง ข้าก็จะยอมเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจในภายหลัง”
คำพูดของไทเฮาก็เท่ากับคำสั่ง ทหารที่กันอยู่จึงได้ถอยออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นไปบนแท่น
ดวงตาของพระชายามีน้ำตารื้นขึ้น มองดูพวกเขาโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้
ตอนที่ 219 ความดีความชอบ
ทั้งสองเดินไปยังแท่นพิธี พระเซวี่ยนชิงหยุดสวดมนตร์ ลืมตาขึ้นมองคนทั้งสอง เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว สายตาของท่านแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกันนั้นดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ หลับตาลงอีกครั้ง
แม้ว่าคนอื่นจะดูอยู่ไกลๆ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ใบหน้าของเฮ่อจางเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา ขอเพียงวันนี้กำจัดเมิ่งเชี่ยนโยวไปได้ หวงฝู่อี้เซวียนก็จะตรอมใจตามไป พอถึงตอนนั้นตำแหน่งซื่อจื่อ ก็จะตกเป็นของหวงฝู่อวี้ องค์ชายหกก็รอวันรับตำแหน่งรัชทายาทได้เลย
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของพระเซวี่ยนชิงเช่นกัน เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยืนสงบนิ่งอยู่ข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน ไม่พูดอะไร หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือนาง เดินขึ้นไปบนแท่น พูดกับทุกคนด้านล่างว่า “หากโยวเอ๋อร์เป็นปิศาจจริง ข้าจะตัดหัวนางด้วยมือข้าเอง”
พูดจบ ก็เกิดเสียงวิพากษ์ดังสนั่นขึ้นมาจากฝูงชน
อ๋องฉีและพระชายาเองก็ตกใจจนสะดุ้งยืนขึ้น
หลังจากเจรจากับนายท่านเหวินแล้ว เหวินซื่อได้ระดมกำลังจากร้านยาเต๋อเหรินที่สามารถเรียกมาได้ภายในสองวันมายังเมืองหลวง และจับพวกเขาปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาแฝงกายอยู่ในฝูงชน เมื่อได้ยินดังนั้นจึงตกใจและเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ ในใจเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก
องค์รักษ์ลับกว่าสามพันนายที่ถูกระดมพลมาที่เมืองหลวงก็ตกใจไม่น้อย หรือว่าเขามีแผนซ้อนแผน
ภายใต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคน เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนแผดดังขึ้นมา “แต่หากนางไม่ใช่ อย่างนั้นนางก็จะเป็นชายาเพียงหนึ่งเดียวของข้า ชาตินี้ข้าจะมีนางผู้เดียว ใครหน้าไหนก็ห้ามไม่ได้”
เสียงของฝูงชนดังยิ่งกว่าเดิม เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ แพร่กระจายออกไปด้านนอกอย่างต่อเนื่อง
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้และไทเฮาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความรู้สึกต่างๆ นานาทั้งความตกตะลึง ความเสียใจ ความโกรธ และหัวเสีย ได้ถาโถมเข้ามา ทำให้สีพระพักตร์ของพวกเขาดูไม่ดีเลยสักนิด
เหล่าขุนนางที่ติดตามมาด้วยก็เกิดความคิดว่าซื่อจื่อของอ๋องฉีผู้นี้มีความสามารถรอบด้าน ตั้งแต่ปีก่อนที่ได้ทำงานให้ฝ่าบาทแล้ว ไม่ว่าเรื่องยากเช่นไรหากตกไปอยู่ในมือของเขาแล้วนั้นเขาก็สามารถจัดการได้โดยง่าย อันที่จริงเขาสามารถเป็นผู้ช่วยใกล้ตัวของฮ่องเต้ได้ สามารถอยู่คุ้มหัวของเหล่าเสนาบดีได้ แต่สิ่งที่ฝ่าบาททำกับเขาวันนี้ น่ากลัวว่าจะทำลายความเชื่อใจของเขา เช่นนั้นต่อไป…เหล่าขุนนางไม่กล้าคิดต่อ
เฮ่อจางเองก็ผงะไปเล็กน้อย เห็นท่าทีการพูดจาของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ราวกับว่าไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะเตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้วก็เป็นได้ และก็คิดได้ว่าสองสามวันนี้ได้ส่งคนไปเฝ้าดูที่จวนของเมิ่งเชี่ยนโยว นอกจากอ๋องฉีและเหวินซื่อแล้วก็ไม่มีใครเข้าไปด้านในอีก หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ออกมาเลย เขาพูดเช่นนี้ คงจะเป็นการคุยโวโอ้อวดเท่านั้น จึงได้วางใจลง มองทั้งสองด้วยสายตาเวทนา
เสียงซุบซิบของฝูงชนดังขึ้นไม่หยุด ฮ่องเต้และไทเฮาก็คิดเช่นเดียวกับเหล่าขุนนาง แต่หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจคนพวกนี้ พาเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงด้านหน้าของพระเซวี่ยนชิงพร้อมกัน
พระเซวี่ยนชิงไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีก แต่ที่ปากกลับร่ายมนตร์ไม่หยุด
หวงฝู่อี้เซวียนจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แน่น ทั้งสองมองเขาเงียบๆ
ฝูงชนเองก็เงียบเสียงลง เงยหน้ามองไปบนแท่น
ทุกความรู้สึกผ่านมาในพระทัยของฝ่าบาทแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นสีพระพักตร์ก็กลับมาเป็นปกติ เขาเป็นฮ่องเต้ มีอำนาจล้นฟ้า เป็นผู้กำหนดความเป็นความตายของคนทั้งแผ่นดิน เป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างในรัฐอู๋ เป็นผู้สืบทอดตระกูล เขาไม่อนุญาตให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ สิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยกับตัวนั้น เขาไม่ปล่อยผ่านเด็ดขาด เขาทำถูกแล้ว พอนึกถึงตรงนี้ จึงได้ยกพระหัตถ์ขึ้น กำลังจะมีรับสั่ง แต่เสียงขอร้องก็ดังขึ้น “กระหม่อม เปาชิงเหอขุนนางเป่ยเฉิงนำชาวบ้านเป่ยเฉิงมาขอร้องฝ่าบาท”
พูดจบ ชาวบ้านนับร้อยด้านหลังเขาก็คุกเข่าลงตามๆ กัน พูดพร้อมเพรียงกันว่า “ฝ่าบาทได้โปรดเมตตาด้วย”
เสียงร้องดังสนั่น จนทำให้ใครหลายคนใจสั่น
คิดไม่ถึงเลยว่าเปาชิงเหอจะทำเช่นนี้ มือของเมิ่งเชี่ยนโยวขยับเล็กน้อย อยากจะยืนขึ้น แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับจับมือนางไว้แน่น ส่ายหน้าให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก ใบหน้ามีความกังวลใจ
หวงฝู่อี้เซวียนมอบรอยยิ้มปลอบโยนให้นาง
พระพักตร์ของฝ่าบาทเคร่งขรึมขึ้นมา วางพระหัตถ์ลง ตรัสด้วยความโกรธว่า “เจ้าช่างกล้าดียิ่งนัก กล้าชักจูงชาวบ้านมาต่อต้านข้ารึ”
โทษนี้มีความรุนแรงมาก เปาชิงเหอก้มหัวลงบนพื้นอย่างแรง “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเป่ยเฉิงทุกคนประจักษ์กันดี ทั้งหมดนี้เป็นผลงานขององค์หญิงชิงเหอทั้งสิ้น หากไม่มีนาง บัดนี้ชาวบ้านก็คงต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ เอาลูกเอาเต้าไปเร่ขาย ไม่ใช่ชีวิตที่กินอิ่มนอนอุ่นเช่นทุกวันนี้ เป็นเพราะชาวบ้านอยากขอบคุณพระคุณของนาง จึงมากันด้วยความเต็มใจ”
คำพูดของเขาแต่ละคำทิ่มแทงไปในพระทัยของฝ่าบาท ความเป็นอยู่ของราษฎรเป่งเฉิงเป็นความทุกข์ในพระทัยของพระองค์มานานหลายปี ไม่มีวิธีแก้ได้ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เวลาไม่ถึงปีสามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ ผลงานชิ้นนี้พูดอย่างไรก็ไม่จล การตัดสินพระทัยของพระองค์ในวันนี้ไม่เพียงแต่จะสูญเสียความเชื่อใจจากหวงฝู่อี้เซวียนไป แต่จะต้องสูญเสียหัวใจของราษฎรชาวเป่ยเฉิงอีกด้วย แต่ผู้ใดก็มิอาจห้ามพระองค์ได้ พระองค์มิอาจยอมให้ปิศาจที่เป็นภัยต่อความมั่นคงมีตัวตนอยู่ได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีพระพักตร์ก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น ไม่อาจเดาได้ว่ายินดีหรือยินร้าย “เปาชิงเหอ การกระทำของเราในวันนี้ มิใช่เป็นเพราะต้องการทำลายชื่อเสียงขององค์หญิงชิงเหอ แต่จะเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้นาง หากนางมิใช่ปิศาจ เราก็จะชดเชยให้นาง และใช้โอกาสนี้ห้ามปากของชาวบ้าน แต่หากว่าใช่…เหอะ!” คำพูดที่เหลือไม่ต้องพูดก็รู้ คนที่อยู่ตรงนั้นต่างรู้กันดี หากเป็นจริง เมิ่งเชี่ยนโยวจะต้องตายเป็นแน่
คำพูดของฝ่าบาทเป็นดั่งประกาศิต วันนี้เปาชิงเหอนำชาวบ้านมาขอร้อง ก็เตรียมใจที่จะต้องถูกตัดหัวต่อหน้าผู้คนมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทไม่แม้แต่จะลงโทษเขา แถมยังให้คำอธิบายที่ไม่เชิงเป็นการอธิบายอีกด้วย หากตนยังดึงดันต่อไปก็จะถือว่าเป็นการนำคนมาก่อกบฎจริงๆ แล้ว เขาเป็นขุนนางมานานหลายปีเพียงนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีผลงานดีเด่นอะไร แต่เรื่องนี้เปาชิงเหอรู้ดี จึงไม่ดื้อดึงต่อไป พูดเสียงดังว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมในนามของชาวเป่ยเฉิง ขอบพระทัยที่ทรงกรุณา ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
ชาวเป่งเฉิงก็ได้สรรเสริญตามไปด้วย
บัดนี้สีพระพักตร์ของฝ่าบาทจึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย แผดเสียงตรัสกับคนบนแท่นว่า “ไต้ซือเซวี่ยนชิง เริ่มพิธีเถิด”
พระเซวี่ยนชิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย มองหน้าเมิ่งเชี่ยนด้วยด้วยสายตาโศกเศร้า กล่าวกับนางคำหนึ่งว่า “อมิตาพุทธ” จากนั้นก็ปรับท่านั่งใหม่ และเริ่มร่ายคาถาออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกกระวนกระวายใจ ราวกับว่ามีใครมาดึงทึ้งวิญญาณของนางอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าก็ซีดเผือด
อี้เซวียนกุมมือของนางแน่น สบตานาง รู้ได้ทันทีว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงกับนาง สายตามองไปทางเรือนรับรองทางทิศเหนือด้วยความร้อนใจ
ขณะเดียวกันไต้ซือที่สติไม่ดีภายในเรือนรับรองก็ได้นั่งขัดสมาธิเช่นเดียวกับพระเซวี่ยนชิง ปากก็ร่ายมตนร์ไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ว่าวิญญาณของนางถูกพลังสองฝั่งดึงทึ้งอยู่ ฝั่งหนึ่งดึงออก อีกฝั่งดึงเข้า วนไปเช่นนี้หลายครั้ง ส่วนนางนอกจากสีหน้าซีดเผือดแล้วนั้น ร่างของนางก็เริ่มสั่นเทิ้มอีกด้วย หน้าผากของนางมีเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด
หวงฝู่อี้เซวียนยกมือขึ้น เช็ดเหงื่อให้นางอย่างอ่อนโยน ใช้น้ำเสียงไพเราะและอ่อนโยนเรียกนาง “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์…”
คนด้านล่างมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของนางอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมทะลุผ่านร่างของนางออกมา ก็ดีใจกันมาก
เวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้ายินดีของฝูงชนก็มีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพระชายา รอไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปรับพวกเขาลงมา
สีหน้าหยิ่งผยองของเฮ่อจางก็ค่อยๆ จางหายไปตามเวลาที่นานขึ้น กลายเป็นสีหน้าแห่งความหวาดกลัวและตกตะลึงมาแทนที่ เป็นไปได้อย่างไร เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่ใช่ปิศาจมาสิงร่างได้อย่างไร ไม่ เป็นไปไม่ได้ จะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ใช่ จะต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่ เมื่อคิดถึงตรงนี้จึงได้วิ่งขึ้นไปบนแท่นทำพิธี เขาจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ฉู่เหวินเจี๋ยที่ยืนอยู่ด้านล่างแท่นทำพิธีตลอด แม้อ้างว่ามาถวายความปลอดภัยให้กับฝ่าบาท นำทหารนอกเครื่องแบบมา แต่หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็จะรีบไปแย่งตัวของนางมาก่อน เขาก้าวไปขวางทางเฮ่อจางเอาไว้ กล่าวอย่างดุดันว่า “ท่านมหาเสนาบดีต้องการจะทำอะไรหรือ”
เฮ่อจางลนลาน คิดแต่ว่าจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ เดินตรงไปยังแท่นพิธี “หลีกไป ข้าจะขึ้นไป”
ฉู่เหวินเจี๋ยมาขัดขวางเขาโดยเฉพาะ แล้วจะยอมเขาได้อย่างไร เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ “ท่านมหาเสนาบดี ฝ่าบาทมีรับสั่ง นอกจากพระเซวี่ยนชิงและองค์หญิงชิงเหอแล้ว ห้ามมิให้ใครเข้าใกล้พิธีเด็ดขาด
เฮ่อจางชี้ไปยังหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความโกรธ “แล้วเขาล่ะ เหตุใดเขาจึงขึ้นไปได้”
สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยไม่เปลี่ยนไป น้ำเสียงก็ไม่เปลี่ยน “อย่างนั้นเรียนเชิญท่านมหาเสนาบดีไปทูลถามเองเถิด”
เฮ่อจางพูดไม่ออก หันหลังกลับ รีบเดินไปหาฮ่องเต้ คุกเข่าลง กล่าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ปกติ กระหม่อมไปสืบมาชัดเจนแล้ว องค์หญิงชิงเหอเป็นปิศาจแน่ นานเพียงนี้ยังไม่มีปฏิกิริยา แสดงว่าพวกเขาจะต้องมีแผนอะไรเป็นแน่ ฝ่าบาทได้โปรดรับสั่งให้กระหม่อมขึ้นไปดูด้วยตาตัวเองด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อจากรับตำแหน่งมหาเสนาบดีมานานหลายปีแล้ว ฝ่าบาทรู้จักเขาดี เขาทำงานได้ดีมาตลอด ไม่มีการปั้นน้ำเป็นตัว โดยเฉพาะเรื่องใหญ่เช่นนี้ เขาใช้ตำแหน่งของตนเองเป็นประกัน แสดงว่ามีความมั่นใจเป็นอย่างมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แสดงว่าต้องมีบางอย่างผิดพลาดจริงๆ ให้เขาขึ้นไปดูก็ดีเหมือนกัน จึงพยักหน้า “อนุญาต!”
เฮ่อจางดีใจเป็นอย่างมากจนลืมก้มขอบพระทัย รีบยืนขึ้นและเดินตรงไปยังแท่นทำพิธี
ฉู่เหวินเจี๋ยได้ยินคำของฝ่าบาทแล้ว ไม่ห้ามเขา แต่มือกลับจับดาบที่เอวไว้แน่น หากเขาเห็นว่าเฮ่อจางขึ้นไปแล้วกระทำอะไรไม่ดี เขาก็จะขึ้นไปจัดการเป็นคนแรก
เสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นมายังแท่นทำพิธีของเฮ่อจางเป็นดั่งเสียงกลองที่ดังขึ้นในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ เสียงดังขึ้นมากทุกที ใจของหวงฝู่อี้เซวียนร้อนรนหาที่เปรียบไม่ได้ โยวเอ๋อร์เองก็เช่นกัน หากเฮ่อจางขึ้นมาก็จะเห็นสีหน้าผิดปกติของนาง ขณะที่กำลังร้อนใจนั้น พระเซวี่ยนชิงก็หยุดร่ายมนตร์ ลืมตาขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความเมตตา
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าวิญญาณของตนกลับเข้าร่างเช่นเดิมแล้ว มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
วินาทีที่เฮ่อจางก้าวเท้าขึ้นมาบนแท่นทำพิธีนั้น พระเซวี่ยนชิงก็ได้ยืนขึ้น พูดกับเขาว่า “อมิตาพุทธ โยม อาตมาทำเต็มที่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปกติ เฮ่อจางขาอ่อน ใจสั่น พูดด้วยเสียงสั่นว่า “ไต้ซือ นาง นาง นางไม่ใช่ปิศาจแน่หรือ”
ไต้ซือเซวี่ยนชิงไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่มองไปยังเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาราวกับคิดอะไรอยู่มากมาย เดินอ้อมเฮ่อจางลงจากแท่นทำพิธีไป
ขณะเดียวกัน พระสติไม่ดีที่ร่ายมนตร์อยู่ที่เรือนรับรองก็ได้ล้มลงบนอาสนะพร้อมเหงื่อท่วมตัว ในปากพึมพำว่า “ตาเฒ่าเซวี่ยนชิงนับว่าไม่ได้ทำอะไรผิด มิเช่นนั้นลงนรกสิบแปดขุมก็ลบล้างบาปของเจ้าไม่ได้” พูดจบ ก็พึมพัมต่อว่า “เจ้าแก่นี่ วิชาอาคมแก่กล้าขึ้นทุกที หากนานกว่านี้ ข้าคงทนไม่ไหวแล้ว”
เฮ่อจางล้มพับลงบนแท่นทำพิธี
หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวให้ยืนขึ้น
ฝูงชนโห่ร้องด้วยความดีใจเป็นระยะ
น้ำตาแห่งความยินดีของพระชายาไหลออกมา เดินตรงไปยังแท่นทำพิธีโดยไม่สนใจพิธีรีตอง
สีพระพักตร์ของฝ่าบาทและไทเฮาไม่สามารถหาคำใดมาเปรียบได้ มีความตกพระทัยเล็กน้อย และมีความคาดไม่ถึง ไม่ความไม่เชื่อ และยังมีความรู้สึกผิดอยู่เล็กๆ สรุปแล้ว ความรู้สึกมากมายปรากฎขึ้นบนพระพักตร์
ไต้ซือเซวี่ยนชิงเดินลงมาจากแท่นทำพิธีอย่างใจเย็น เดินไปยังฮ่องเต้ พนมมือ ก้มลงไหว้ กล่าวด้วยเสียงยินดีว่า “ฝ่าบาท อาตมาทำพิธีเสร็จสิ้นแล้ว องค์หญิงชิงเหอไม่ได้ถูกปิศาจสิงร่าง” พระเซวี่ยนชิงมีวิชาสูง คนทั้งแผ่นดินเลื่อมใสศรัทธาในตัวเขา เมื่อพูดออกมาเช่นนั้น เสียงโห่ร้องดีใจของฝูงชนก็ดังขึ้น
แต่สีพระพักตร์ของฝ่าบาทและไทเฮากลับไม่ได้ยินดีเช่นนั้น เพราะความหูเบาในครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงสูญเสียความเชื่อใจจากหวงฝู่อี้เซวียนไป แต่ยังสูญเสียความเชื่อใจจากราษฎรทั้งเมืองหลวงอีกด้วย
สายตาโกรธแค้นของฝ่าบาทปรากฎขึ้นชั่วครู่ ทรงยืนขึ้น โบกพระหัตถ์ บ่งบอกให้ฝูงชนที่กำลังโห่ร้องเงียบเสียงลง ตรัสเสียงดังต่อหน้าชาวบ้านว่า “วันนี้องค์หญิงชิงเหอถูกเหยียดหยาม เราจะปล่อยผ่านไม่ได้ จึงขอมอบทองคำสองพันชั่ง เงินหมื่นตำลึงเพื่อเป็นการทดแทน ส่วนเฮ่อจาง ก็ให้พ้นจากตำแหน่งไป กลับไปคิดทบทวนความผิดของตน หากไม่มีคำสั่งจากเรา ห้ามก้าวออกมาจากจวนเป็นอันขาด”
เฮ่อจางปิดตาลง ฝ่าบาททำเพื่อปกป้องเกียรติของตน จึงได้โยนความผิดทั้งหมดไว้ที่เขาผู้เดียว ตำแหน่งมหาเสนาบดีของเขาถูกเพิกถอนก็ไม่เป็นไร โชคดี โชคดีที่กุ้ยเฟยและองค์ชายหกไม่ติดร่างแหไปด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสได้ขึ้นมาผงาดอีกครั้ง
ยังคิดไม่จบ เสียงของฝ่าบาทก็ดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับดึงเขาลงนรกทันที “กุ้ยเฟยและองค์ชายหกก็ร่วมวางแผนด้วย ไม่สามารถให้อภัยได้เช่นกัน เฮ่อกุ้ยเฟยลดตำแหน่งเป็นสนมชั้นผิ่น ส่วนองค์ชายหกให้ย้ายไปประจำการในที่กันดารแร้นแค้น หากไม่มีคำสั่งจากเรา ชาตินี้ก็ห้ามกลับเมืองหลวงเด็ดขาด”
ตอนที่ 220 คลุ้มคลั่ง
ดวงตาของเฮ่อจางมีเพียงความมืด เป็นลมล้มไปบนแท่นทำพิธี
หวงฝู่อี้เซวียนถอดเสื้อคลุมของตน และนำไปคลุมให้เมิ่งเชี่ยนโยว โน้มตัวลงไปอุ้มนางเอาไว้ ไม่แม้แต่จะเสียเวลาชายตามองไปที่เฮ่อจาง ก้าวเดินลงจากแท่นทำพิธีอย่างมั่นคง
พระชายายืนเงยหน้ามองพวกเขาลงมาจากบันไดขั้นสุดท้าย แล้วจึงรีบเดินไปด้านหน้า เห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีสีหน้าซีดเผือด ก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก มองหวงฝู่อี้เซวียนกล่าวว่า “เร็วเข้า รีบพาโยวเอ๋อร์กลับบ้าน”
สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนกวาดไปยังฮ่องเต้ ไทเฮา อ๋องฉี เหล่าขุนนาง เม้มปาก อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปยังรถม้าทันที
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูไม่ดียิ่งกว่าเดิม
ไทเฮาเปิดพระโอษฐ์เล็กน้อย ราวกับต้องการตรัสอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกของหวงฝู่อี้เซวียนแล้วนั้น คำพูดจึงถูกกลืนลงไป
ไทเฮาประทับอยู่เงียบๆ อีกด้าน ไม่ได้ตรัสอะไร
ชิงหลวนรีบเปิดม่านรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนส่งเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง จากนั้นตนก็ตามขึ้นไปด้วย สั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไปได้!”
กัวเฟยยกแซ่หวดม้า ม้ายกสองเท้าขึ้น และลงแตะพื้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็มุ่งหน้าออกจากฝูงชนไป
องครักษ์ลับจำนวนสามพันนายที่แฝงตัวอยู่ในฝูงชนค่อยๆ ออกมา เดินตามมาด้านหลังรถม้า คุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขาจนกลับไปถึงหนานเฉิง
เหวินซื่อทำสัญลักษณ์มือบางอย่าง พรรคพวกของร้านยาเต๋อเหรินก็ทยอยออกมาจากฝูงชนเช่นกัน เดินไปยังร้านยาเต๋อเหรินตามสถานะของตน เหวินซื่อชายตามองรถม้าที่แล่นไกลออกไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังกลับเดินทางไปยังร้านยาเต๋อเหริน
เปาอี้ฝานที่พรางตัวซ่อนอยู่ในฝูงชนที่ใกล้แท่นทำพิธีที่สุด ก็ได้เดินออกจากฝูงชนไป
ไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ชาวบ้านก็ทยอยกันกลับบ้าน
พระชายาเดินมาหาฮ่องเต้ คารวะ “หม่อมชั้นยังมีธุระต่อ ขอตัวกลับก่อนนะเพคะ” พูดจบ ก็เดินออกไปด้านนอกด้วยความรีบร้อน อ๋องฉีก็รีบคารวะฮ่องเต้และไทเฮา สาวเท้ายาวเดินตามนางไป สองสามีภรรยาขึ้นนั่งบนรถม้าของจวนอ๋อง สั่งคนรถตรงไปยังหนานเฉิง
ไม่นาน ถนนที่กว้างขวาง ก็เหลือเพียงฮ่องเต้ ไทเฮา ฮองเฮาและเหล่าขุนนาง รวมทั้งพระเซวี่ยนชิง ส่วนเฮ่อจางที่อยู่บนแท่นพิธีนั้น ราวกับว่าทุกคนได้ลืมเขาไปแล้ว
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้และไทเฮาดูแย่ยิ่งนัก เหล่าขุนนางไม่มีใครกล้าปริปากพูด โดยเฉพาะกลุ่มที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับมหาเสนาบดี หดตัวเล็กลงทันที ไม่กล้าแม่แต่จะหายใจดัง เกรงว่าฝ่าบาทจะเอาอารมณ์มาลงที่พวกเขา
ขนาดเหล่าขุนนางยังไม่กล้าปริปาก เหล่าทหารองครักษ์ก็ไม่กล้ายิ่งกว่า ถนนทั้งสายเงียบสงัด ราวกับไม่มีคนอย่างไรอย่างนั้น มีเพียงพระเซวี่ยนชิงที่ยืนอยู่อีกด้านด้วยสีหน้าสงบ กล่าวทำลายความสงบขึ้นมาว่า “อมิตาพุทธ” จากนั้นก็ทำความเคารพ “ฝ่าบาท อาตมาต้องกลับไปแล้ว”
ในที่สุดฝ่าบาทก็เปิดปากขึ้น “ท่านแม่ทัพ ส่งไต้ซือเซวี่ยนชิงกลับวัด”
ฉู่เหวินเจี๋ยตอบรับ ทำท่าเรียนเชิญพระเซวี่ยนชิง
พระเซวี่ยนชิงขอบพระทัยฝ่าบาทอีกครั้ง ขึ้นไปบนรถม้าที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว กลับไปถึงวัดชิงอวิ๋นอย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของฉู่เหวินเจี๋ย
ฝ่าบาททอดพระเนตรไปยังเหล่าขุนนางด้วยความโกรธเคือง จนพวกเขารู้สึกชาไปทั้งหัว เหงื่อตกไปตามๆ กัน จากนั้นจึงไปทำเสียงไม่พอใจออกมา หันหลังและกลับวังไป ไทเฮาและฮองเฮาตามหลังไปติดๆ
เมื่อเห็นทั้งสามจากไปแล้ว เหล่าขุนนางจึงได้ถอนหายใจออกมา เช็ดหยาดเหงื่อที่หยดลงมาบนหน้า จากนั้นก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถม้า กลับบ้านของตนไป
ทหารองครักษ์ที่เหลือมองดูแท่นทำพิธีด้วยความกังวล แม้ว่าเฮ่อจางจะถูดยึดตำแหน่งไปแล้ว แต่ลูกสาวของเขาก็ยังเป็นสนม ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสได้รับความโปรดปรานอีกครั้ง บัดนี้เขานอนเป็นลมอยู่บนแท่นทำพิธี แล้วแท่นนี้ตนจะทำลายหรือไม่ ตัดสินใจเองไม่ได้ ต่างก็ได้มองไปยังผู้บัญชาการ
องค์ชายหกถูกขับไล่ กุ้ยเฟยถูกลดขั้นเหลือเพียงสนมขั้นผิน เฮ่อจางถูกปลดจากตำแหน่ง อำนาจของตระกูลเฮ่อได้สูญสิ้นไปแล้ว คิดอยากจะผงาดขึ้นมาอีกนั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก ผู้บัญชาการเองต้องปรับตัวไปตามน้ำ โบกมือสั่งลูกน้องว่า “ไปลากคนลงมาทิ้งไว้อีกฝั่งโน้นก็พอ”
เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว เหล่าทหารรีบเดินขึ้นไปบนแท่นทำพิธีทันที และลากร่างของเฮ่อจางลงมาทิ้งในที่ที่ห่างไกลจากแท่นทำพิธี จากนั้นทหารทุกคนก็เริ่มทำลายแท่น
เฮ่อจางถูกทิ้งอยู่ตรงนั้นราวกับหมาตายตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่มีใครชายตามองเขาเลยแม้แต่น้อย มีเพียงคนรถและบ่าวรับใช้ที่ยืนรออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นว่ารอนานแล้วแต่เขายังไม่กลับออกมา จึงได้เข้ามาตามหา เมื่อเห็นเขานอนหลับตาอยู่บนพื้น เสื้อผ้ายับเยิน จึงตกใจเป็นอย่างมาก รีบช่วยกันยกร่างของเขาขึ้นมา และวางขึ้นบนรถม้าด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็กลับจวนมหาเสนาบดีไป
รถม้าของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหน้า ชิงหลวน จูหลีและเหล่าองครักษ์คุ้มกันอยู่สองฝั่ง ส่วนองครักษ์ที่เหลือที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านก็คอยติดตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียงผิดปกติ จึงได้เปิดม่านออก สั่งกัวเฟยว่า “สั่งให้พวกเขาไปรอที่เหลาจวี้เสียน”
กัวเฟยเข้าใจความหมายของเขาแล้ว จึงได้ควบม้า พร้อมกับใช้มือสั่งการไปด้วย
เหล่าองครักษ์ลับที่ติดตามมาด้วยค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง หันหลังกลับไปยังเหลาจวี้เสียน
เมื่อถึงหน้าประตูจวน หวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้า และอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวผู้อ่อนแอเข้าไปด้านใน ตรงมายังห้องนอน จากนั้นก็ค่อยๆ วางนางลงบนเตียง
วิญญาณของนางถูกพลังสองฝ่ายฉุดกระชากอยู่นาน ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวหมดพลังอย่างมาก ไม่มีแม้แต่แรงจะกระดิกปลายนิ้ว หยาดเหงื่อที่ไหลออกมาทำเอาเสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มไปหมด
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้ชิงหลวนไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งด้านนอกและด้านใน จากนั้นก็สั่งจูหลีไปตวงน้ำอุ่นมา เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว เขาก็ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาทีละชิ้น ใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวให้นาง จากนั้นก็ค่อยๆ สวมเสื้อผ้าให้นางทีละชิ้น พยุงนางให้นอนบนเตียง ตนเองก็ถอดรองเท้าและขึ้นเตียงด้วย นอนอยู่ข้างกายนาง กอดเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ในอกด้วยมือที่สั่นเทา พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “นอนเถิด ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหมดแรงถึงขีดสุดแล้ว ปิดตาลงอย่างว่าง่าย และหลับไปแทบจะทันที
หวงฝู่อี้เซวียนมองหน้าของนาง ความรู้สึกผิดได้ถาโถมเข้ามา โชคดี โชคดีจริง ที่พระเซวี่ยนชิงหยุดบทสวดพอดีกับที่เฮ่อจางก้าวขึ้นมาด้านบน มิเช่นนั้นเขาจะต้องสูญเสียนางไปแล้ว
หลังจากอ๋องฉีและพระชายามาถึงแล้วนั้น ก็ถูกชิงหลวนและจูหลีห้ามไว้ด้านนอก “ท่านอ๋อง พระชายา กรุณารอสักครู่ ซื่อจื่อกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นายหญิงอยู่เจ้าค่ะ”
ทั้งสองอึ้งไป มองหน้ากัน และก็ยืนรออยู่ด้านหน้า เวลาผ่านไปนานแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นอี้เซวียนออกมา พระชายาจึงร้อนใจ สั่งชิงหลวนไปว่า “เจ้าไปดูทีว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชิงหลวนเดินไปถึงหน้าห้อง พูดเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ นายหญิงเจ้าคะ ท่านอ๋องและพระชายามาถึงแล้ว อยากจะพบท่านเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลับสนิทแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นช้าๆ ค่อยๆ เดินออกไปด้านนอกเสียงเบา เห็นสีหน้ากังวลของท่านอ๋องและพระชายา จึงเดินไปหาพวกเขา พูดว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ โยวเอ๋อร์หลับไปแล้วขอรับ พวกเราไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถิด”
ทั้งสองเดินตามมายังห้องรับแขก ยังไม่ทันนั่งลง พระชายาก็ถามออกมาด้วยความใจร้อน “โยวเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
“อ่อนเพลียเล็กน้อยขอรับ นอนหลับสักตื่นก็คงดีขึ้น เสด็จแม่อย่าเป็นกังวลไปเลย”
ตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากแท่นทำพิธี พระชายาก็ได้เห็นสีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเป็นห่วงยิ่งขึ้น “จะไม่ห่วงได้อย่างไร โยวเอ๋อร์หน้าซีดเพียงนั้น ไม่มีสีเลือดเลยสักนิด เพราะคาถาของพระเซวี่ยนชิงทำร้ายจิตวิญญาณของนางใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
พระชายาร้อนใจขึ้นมา “อย่างนั้นทำอย่างไรดี พวกเราไปเรียนเชิญผู้มีวิชาอาคมมาดูอาการให้นางดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอกขอรับ วิชาของพระอาจารย์เซวี่ยนชิงแกร่งกล้ามาก ในเมื่อเขาบอกว่าโยวเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไร ให้นางพักผ่อนเถิด ตื่นมาก็ไม่มีอะไรแล้ว”
พระชายาพยักหน้า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนหลับยาวไปเป็นเวลานานถึงสามวัน และในสามวันนี้ก็ได้เกิดเรื่องขึ้นมามากมาย
เรื่องแรกคือเมื่อเฮ่อกุ้ยเฟยรู้ว่าตนถูกลดตำแหน่งเป็นสนมขั้นผินก็เป็นลมไปทันที
และขณะเดียวกันองค์ชายหกเมื่อรู้เข้าก็ราวกับเสียสติไปแล้ว ทำลายข้าวของทุกอย่างในห้อง นั่งลงไปบนข้าวของเกะกะบนพื้น แม้แต่เท้าถูกบาดก็ยังไม่รู้สึกเจ็บ สองตาว่างเปล่ามองไปบนเพดาน
ตั้งแต่เขาจำความได้ เฮ่อกุ้ยเฟยก็ได้สอนระเบียบขั้นตอนในวังให้กับเขาทุกอย่าง เพื่อจะให้เขาเตรียมตัวมาชิงตำแหน่งขึ้นเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นเมื่ออยู่ในวังเขาจะทำการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ไม่ทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ ทั้งยังเอาอกเอาใจไทเฮาและฮองเฮาด้วย ต่อให้ฮองเฮาไม่ชอบเขา แต่เขาก็มักจะแบกหน้าไปเอาใจนางเสมอ ในที่สุด ไม่เพียงแค่คนในวังเท่านั้น แม้กระทั่งเหล่าขุนนางก็ยังชื่นชมเขาไม่หยุด เขาคิดว่าได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว เหลือเพียงโอกาส โอกาสเหล่านี้มักจะมาโดยกะทันหันไม่ทันให้ตั้งตัว
ส่วนเรื่องที่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจมาสิงร่างนั้น เขาโกรธที่เฮ่อจางไม่ไปสืบให้ดีเสียก่อน โกรธกุ้ยเฟยที่ทำการตัดสินใจเช่นนี้ เขาโกรธฮ่องเต้ที่สุด ไม่มีความเป็นพ่อเลยสักนิด โยนความผิดมาให้เขาเพียงผู้เดียว ให้เขาไปรับโทษในที่ทุรกันดาร และเขาเกลียดไท่จื่อเป็นที่สุด เห็นอยู่ว่าเทียบเขาไม่ได้สักอย่าง แต่เพียงเพราะคลานออกมาจากท้องของฮองเฮาเท่านั้น ตั้งแต่เกิดมาก็ได้รับความรักมากมาย ไม่เหมือนกับเขา ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องแย่งชิงมาด้วยตนเอง
รอจนเฮ่อกุ้ยเฟยฟื้นขึ้นมา ได้ยินเรื่องที่องค์ชายหกถูกสั่งให้ไปอยู่ที่แดนทุรกันดาร ก็เป็นลมไปอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่รอให้นางฟื้น ขันทีที่มาประกาศก็ไปสั่งคนให้เก็บของของนาง แบกนางไปไว้ในที่ที่สนมขั้นผินควรจะอยู่
ยังมีเฮ่อจาง หลังจากถูกบ่าวรับใช้ยกกลับจวนนั้น เฮ่อเหลี่ยนที่รอคอยข่าวดีอย่างตื่นเต้น รอจะได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวถูกประหารชีวิตแล้ว เมื่อเห็นร่างของเฮ่อจางถูกคนแบกเข้ามา ก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้น
บ่าวรับใช้เรียนเรื่องรางทั้งหมดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เฮ่อเหลี่ยนล้มลงไปทันที ดวงตามืดมัว เกือบจะเป็นลมไปแล้ว แต่บ่าวรับใช้เรียกสติเขาไว้ได้ “คุณ คุณชายใหญ่ จะเอาอย่างไรกับนายท่านดีขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนจึงได้หันไปสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “รีบไปตามหมอมา!”
บ่าวรับใช้ลนลานวิ่งออกจากจวนไป เวลาผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้พาหมอมา และหมอคนนั้นก็ยังไม่เต็มใจมาเสียด้วย
เรื่องวันนี้แพร่ไปทั่วเมืองแล้ว ทุกคนรู้เรื่องที่เฮ่อจางใส่ร้ายองค์หญิงชิงเหอ ดังนั้นเขาจึงถูกปลดให้เป็นไพร่พลธรรมดา หมอคนนี้ก็รู้ดี เมื่อตอนที่รู้ว่าผู้ที่ต้องการให้ไปรักษาคือเฮ่อจางนั้น หากไม่ใช่เพราะจรรยาบรรณของหมอแล้วนั้นเขาก็คงไม่มาแน่นอน เมื่อมาถึง เห็นเฮ่อจางหมดสติอยู่ ก็รู้ทันทีว่าเป็นเพราะอารมณ์โกรธจึงทำให้ลมขึ้น ไม่แม้แต่จะจับชีพจร เขาใช้ปลายเล็บแหลมจิ้มเข้าไปที่ใต้จมูกของเฮ่อจางทันที ปากก็พูดว่า “ปัญหาเล็กน้อย กดจุดนี้แรงๆ ก็ฟื้นแล้ว”
เป็นดังนั้นจริงด้วย ไม่นานเฮ่อจางก็ฟื้นขึ้นมา เบิกตามองคนที่รายล้อมตนอยู่ แต่สายตาเขาไม่หลักแหลม คมคายเช่นเดิมแล้ว กลับมีความขุ่นมัวขึ้นมา
หมอสะพายกระเป๋ายาใบโตของตนขึ้น พูดว่า “ให้คนไข้พักผ่อนเสียหน่อย อย่าให้เจอเรื่องกระทบกระเทือนใจก็พอ ไม่ต้องกินยาอะไร ถ้าหากมีสมุนไพรบำรุงชั้นดีล่ะก็ สามารถต้มให้เขาดื่มได้”
พูดจบก็เดินจากไป
หากเป็นเมื่อก่อน หากหมอกล้ามีท่าทีเช่นนี้ เฮ่อเหลี่ยนจะต้องสั่งคนประหารเขาเป็นแน่ แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาสองคนพ่อลูกไม่มีตำแหน่งขุนนางอีกแล้ว เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จึงไม่กล้าอารมณ์เสียใส่หมอ ทำได้เพียงอดกลั้นความโกรธนี้ไว้ สั่งให้คนไปส่งเขา
เฮ่อจางฟื้นขึ้นมาอย่างเต็มตัว ลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พูดว่า “เหลี่ยนเอ๋อร์ พวกเราถูกคนซ้อนแผนเสียแล้ว”
หลายวันมานี้หลิวลี่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแบบที่ไม่ได้ใช้มานาน มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ทั้งเรื่องกิน เรื่องนอน สื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม กระทั่งการเดินทาง หากนางไม่อยากเดิน ก็ยังมีคนแบกนางไป ส่วนฮูหยินก็ไม่ได้มารังควานนาง สิ่งเดียวที่ขาดไปก็คือ นางมาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว แต่เฮ่อเหลี่ยนกลับไม่มาหานางเลยสักครั้ง นางส่งคนใช้ไปเชิญเขาหลายหน คำตอบที่ได้คือเขากำลังยุ่งเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ ไม่มีเวลามาหานาง และยังให้สาวใช้บอกนางว่า รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวถูกประหารแล้ว เขาจะมาตบรางวัลให้นางอย่างงาม
หลิวลี่เกลียดเมิ่งเชี่ยนโยวมานานหลายปี รอไม่ได้ที่จะเห็นนางตายไปเสียที เมื่อได้ยินคำของสาวใช้ดังนั้น จึงได้วางใจลง ใช้ชีวิตอย่างที่ตนได้วาดฝันเอาไว้ในเรือนโดยไม่ก่อปัญหาเพิ่ม
แต่บางทีสาวใช้มองนางด้วยสายตาเวทนา นางไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ถามไปหลายครั้ง แต่สาวใช้กลับเลี่ยงที่จะตอบ ไม่พูดความจริงกับนาง อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนสนิทของนาง จะไม่จงรักภักดีต่อนางก็เป็นเรื่องที่เขาใจได้ รอให้นางได้รับความโปรดปรานเสียก่อนเถิด จะไปเป่าหูเฮ่อเหลี่ยนให้เขาซื้อคนรับใช้มาให้นางอีกสักสองสามคน แล้วค่อยสอนให้ภักดีต่อนางก็ได้
ขณะที่นางกำลังฝันหวานอยู่นั้น เฮ่อเหลี่ยนก็เดินเขามาหานางด้วยสีหน้าโกรธแค้น
หลิวลี่ดีใจเป็นที่สุด ลุกขึ้นเดินบิดร่างไปต้อนรับเขา พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “คุณชายใหญ่เจ้าขา ท่านมาจนได้ ข้าคิด…”
เฮ่อเหลี่ยนบีบคอนางแน่น พูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “เจ้าบังอาจโกหกข้า?”
ตอนที่ 221 จุดจบของหลิว
หลิวลี่ถูกบีบคอจนพูดไม่ได้ สีหน้าแดงซ่าน มือทั้งสองข้างออกแรงจับแขนของเฮ่อเหลี่ยนไว้ พยายามให้เขาปล่อยมือออก พร้อมกับกระเสือกกระสนเปล่งคำพูดออกมา “คุณชาย…”
พวกสาวใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องต่างตกตะลึงจนทรุดตัวลงไปคุกเข่าที่พื้น
มือของเฮ่อเหลี่ยนออกแรงบีบต่อไป ทำให้ร่างบางของหลิวลี่ลอยขึ้นเหนือพื้น
หลิวลี่หายใจไม่ออก เริ่มกวัดแกว่งมือทั้งคู่กันมั่ว และไม่นานตาก็เริ่มเหลือกขึ้น
เมื่อนึกได้ว่าเป็นเพราะดันไปเชื่อคำของนาง ตระกูลของตัวเอง เฮ่อกุ้ยเฟยและองค์ชายหกถึงได้พบจุดจบเช่นนี้ ถ้าหากจะให้นางตายไปทั้งอย่างนี้ ก็คงจะง่ายเกินไปหน่อยสำหรับนาง เฮ่อเหลี่ยนจึงคลายมือออก
หลิวลี่ล้มนอนลงกับพื้นราวกับโคลนดิน หอบหายใจเฮือกอย่างหนัก ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะหายใจได้สม่ำเสมอ แล้วเงยหน้ามองเฮ่อเหลี่ยนด้วยความตกใจกลัว ถามเสียงสั่นเครือ “คุณชายใหญ่ ข้าไปหลอกท่านอย่างไรหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของเฮ่อเหลี่ยนเริ่มเผยความดุดัน อารมณ์ก็เกรี้ยวกราดขึ้น พูดอย่างอดทนไม่ไหว “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะบังอาจหลอกข้าว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจสิงร่าง บอกมา ผู้ใดใช้ให้เจ้ามาหลอกลวงพวกข้า”
หลิวลี่ตกใจอารมณ์ที่ดุร้ายของเขา ขณะนั่งอยู่บนพื้นก็ต้องขยับถอยหลังออกไป และมีท่าทีที่คล้ายกับว่าน้ำตาจะไหลออกมา “คุณชายใหญ่ สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงนะเจ้าคะ นังเมิ่งเชี่ยนโยวถูกปิศาจเข้าสิงจริงๆ มิฉะนั้นจู่ๆ นางจะมีความสามารถมากมายเช่นนั้นได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
ดูท่าแล้วให้ตายนางก็ไม่ยอมรับ เท้าข้างหนึ่งของเฮ่อเหลี่ยนจึงถีบเข้าที่หน้าอกของนาง พูดด้วยเสียงที่เดือดดาล “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะเถียงข้างๆ คูๆ อยู่อีกหรือ”
หลิวลี่โดนถีบจนหน้าหงายล้มลงไปนอนกับพื้น แล้วกุมหน้าอกเอาไว้ ความรู้สึกอันเจ็บปวดนั้นทำให้แม้แต่หัวใจที่เต้นอยู่ต้องหยุดลง ผ่านไปนานก็ไม่ได้แม้แต่จะขยับ เฮ่อเหลี่ยนราวกับโทสะยังไม่คลาย จึงเข้าไปถีบอีกหลายครั้ง
หลิวลี่ที่ตัวแข็งทื่อถูกถีบอีกหลายครั้ง นางเจ็บจนขดตัวเป็นเกลียว และไอออกมาหลายครั้งอย่างควบคุมไม่ได้ เลือดไหลออกจากปากเป็นสาย แต่ยังคงพูดต่อไปไม่หยุด “คุณ คุณชายใหญ่ ข้า…มิได้โกหกจริงๆ เจ้าค่ะ นัง…เมิ่งเชี่ยนโยวนั่น…”
ไม่รอให้นางพูดจบ เฮ่อเหลี่ยนก็ถีบใส่นางอีกครั้ง “เจ้ายังจะกล้าเถียงอีก วันนี้ฮ่องเต้ได้พิสูจน์ต่อหน้าประชาชนทั้งเมืองแล้วว่านางมิได้ถูกปิศาจเข้าสิงแต่อย่างใด”
หลิวลี่ลืมความเจ็บปวด เบิกตาโตด้วยความตกใจ แล้วร้องเสียงแหลมอย่างไม่เชื่อ “นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน”
เมื่อครู่ยังเพิ่งจะเห็นนางหายใจอย่างอ่อนแรง ทว่าตอนนี้กลับสามารถร้องเสียงแหลมออกมาได้ เฮ่อเหลี่ยนจึงยิ่งแน่ใจว่า การกระทำใดๆ ของนางล้วนกำลังหลอกลวงเขาอยู่ ในใจก็เดือดดาล และถีบเข้าใส่อีกหลายครั้ง
หลิวลี่รู้สึกเจ็บจนแทบอยากจะสลบและตายไปให้ได้ แต่ก็ยังคงพยายามพูดแก้ต่างให้ตัวเอง “คุณชายใหญ่ ข้ามิได้หลอกลวงท่านจริงๆ เจ้าค่ะ นังเมิ่งเชี่ยนโยวถูกปิศาจเข้าสิงร่างแล้วจริงๆ ที่วันนี้มิอาจพิสูจน์ได้ ต้องเป็นเพราะมีคนแอบช่วยเหลืออยู่เป็นแน่ ท่านส่งคนไปตรวจสอบอีกครั้ง จะต้องพบเบาะแสบางอย่างแน่นอน”
เฮ่อจางถูกถอนออกจากตำแหน่งมหาเสนาบดี เฮ่อกุ้ยเฟยกับองค์ชายหกก็พาลได้รับเคราะห์ไปด้วย ต่อจากนี้ตระกูลเฮ่อของพวกเขาก็ถือว่าจบสิ้นแล้ว เฮ่อเหลี่ยนโกรธจนบ้าคลั่ง ในสมองล้วนคิดแต่เพียงว่าถูกนางหลอกลวง ไหนเลยจะยังฟังคำแก้ต่างของนางได้ จึงพูดอย่างโมโห “หุบปาก เจ้ามันคนต่ำช้า เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว ยังจะเถียงอยู่อีก ดูเถิดว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”
เห็นท่าทางของเฮ่อเหลี่ยนเริ่มดูจะบ้าคลั่งแล้ว และไม่ฟังคำพูดใดๆ ของตัวเองอีก หลิวลี่จึงปิดตาลงอย่างสิ้นหวัง แต่แล้วก็เบิกตาขึ้นอีกครั้ง และอุตสาหะดิ้นรนพูดอ้อนวอนต่อไป “คุณชายใหญ่…”
เฮ่อเหลี่ยนไม่สนใจนาง โบกมือขึ้น แล้วแผดเสียงดุร้ายสั่งกับทุกคนที่อยู่ภายในห้อง “พวกเจ้าออกไปให้หมด…”
ได้ยินคำสั่งของเขา เหล่าคนรับใช้ก็รีบลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งออกไปอย่างตื่นตระหนก
เฮ่อเหลี่ยนแสยะยิ้มพร้อมเดินเข้าไปใกล้หลิวลี่
หลิวลี่ตกใจจนขดตัวกลม ถามเสียงหลงด้วยความตกใจ “ท่านจะทำอะไร”
เฮ่อเหลี่ยนย่อตัวลง ฉีกเสื้อผ้าของนางออก ขณะที่เสียงร้องแหลมของหลิวลี่ดังขึ้น ก็ประชิดเข้าตรงหน้าของนาง พ่นลมหายใจรดใส่หน้านางแรงๆ แล้วกัดฟันแน่นพูดแต่ละคำออกมา “ทำอะไรน่ะหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าปรารถนาให้ข้าหลับนอนกับเจ้าอยู่ตลอดหรอกหรือ วันนี้ก็สนองให้เจ้าเสียเลยแล้วกัน” พูดจบก็อ้าปากกัดต้นคอของหลิวลี่
หลิวลี่ร้องโหยหวนออกมา
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ในเรือนต่างผวาร่างสั่นไปพร้อมกัน ขาขยับก้าวถอยไปด้านนอกอย่างควบคุมไม่ได้
มีเพียงอวิ๋นซีที่เฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เสียงร้องอันน่าเวทนาของหลิวลี่ดังไม่ขาดสาย ผ่านไปครึ่งชั่วยามถึงจะค่อยๆ เบาลง จนกระทั่งหนึ่งชั่วยามต่อมาก็ไม่มีเสียงใดๆ อีก
เสียงของเฮ่อเหลี่ยนถึงจะดังออกมาจากในห้อง “ใครก็ได้!”
อวิ๋นซีรับคำและเดินเข้าไปในห้อง เห็นแต่เพียงหลิวลี่ที่ทั้งร่างเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยรอยแผล ปิดตานอนหงายอยู่บนพื้น ด้วยความที่เป็นสาวใช้คนใกล้ชิดของเฮ่อเหลี่ยน ตั้งแต่ที่เขาไร้ซึ่งมนุษยธรรมแล้ว แม้ว่ามักจะเห็นสาวใช้ที่บอบบางถูกทรมานจนตายอยู่เสมอ ทว่า ถูกทรมานอย่างรุนแรงแบบที่หลิวลี่โดนเช่นนี้ อวิ๋นซีเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมาบ้าง
“เอาน้ำเย็นมา สาดให้ตื่น!” เฮ่อเหลี่ยนสั่งอย่างเย็นชา
อวิ๋นซีมองหลิวลี่ที่ไม่ได้สติอยู่ด้วยความสงสารแวบหนึ่ง แล้วออกไปยกน้ำเย็นเข้ามาสาดใส่ร่างของหลิวลี่ แล้วก็รีบถอยออกไปทันที
หลิวลี่ถูกน้ำเย็นสาดใส่จึงตื่นขึ้น พอเปิดตาออกก็เห็นเฮ่อเหลี่ยนยังคงอยู่ข้างกาย นางมองไปทางเขาอย่างหวาดกลัว แล้วขยับตัวออกอย่างเหน็ดเหนื่อย
ราวกับว่าอารมณ์ของเฮ่อเหลี่ยนจะดีขึ้นบ้างแล้ว เขาเผยรอยยิ้มให้นาง
ใจของหลิวลี่เพิ่งจะผ่อนคลายลงชั่วครู่ คำพูดที่เ**้ยมโหดของเฮ่อเหลี่ยนกลับดังขึ้นที่ข้างหูนางอีกครั้ง “คุณชายยังสนุกไม่หนำใจเลย แล้วจะให้เจ้าตายทั้งอย่างนี้ มิได้เอาเปรียบเจ้าไปหน่อยหรือ”
หลิวลี่เบิกตากว้างอย่างหวาดผวา
ภายในห้องมีเสียงโหยหวนของหลิวลี่ดังขึ้นอีกครั้ง
อวิ๋นซีถอนหายใจเบาๆ หวังจากใจจริงให้หลิวลี่รีบตายโดยเร็วเพื่อจะได้ไม่ถูกทรมานไปมากกว่านี้
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ภายในห้องก็ไม่มีเสียงใดอีก
เฮ่อเหลี่ยนสั่งอวิ๋นซีสาดน้ำให้หลิวลี่ฟื้นขึ้นอีก
ทรมานเช่นนี้ไปสามครั้ง กระทั่งครั้งที่สี่ที่อวิ๋นซีสาดน้ำใส่ร่างของนางอีกครั้ง ครานี้หลิวลี่ไม่ได้ตื่นขึ้น
เฮ่อเหลี่ยนที่ยืนอยู่ข้างหนึ่งใช้เท้าเตะหลิวลี่ดู
ร่างกายของหลิวลี่โคลงเคลงไปตามแรงเท้า แต่ตัวคนกลับมิได้มีการตอบสนองอย่างใด
เพราะลงมือด้วยตัวเอง ในใจของเฮ่อเหลี่ยนจึงรู้ดีว่าหลิวลี่ยังไม่ได้ตาย จึงยิ้มเยาะ แล้วสั่งอวิ๋นซี “เอาชุดสวยๆ ให้นางใส่ แล้วแต่งหน้าให้ดูงามเสียหน่อย”
อวิ๋นซียกหว่างคิ้วขึ้น มองเขาอย่างแปลกใจ แต่ก็รีบก้มหน้าลงทันที แล้วเดินเข้าไปห้องข้างๆ เปิดกล่องเสื้อผ้าออก เลือกชุดที่หลายวันนี้หลิวลี่ชอบใส่มากที่สุดจากบรรดาเสื้อผ้าใหม่ที่เพิ่งสั่งตัดให้หลิวลี่ แล้วเปิดประตูเรียกสาวใช้สองคนให้เข้ามาช่วย
แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ครั้นเห็นสภาพที่น่าอนาถของหลิวลี่ สาวใช้สองคนก็รีบเอามือป้องปากตัวเองเพื่อห้ามไม่ให้ร้องออกมาด้วยความตกใจซึ่งจะทำให้เฮ่อเหลี่ยนโมโหได้
เฮ่อเหลี่ยนมองสองคนนั้นตาขวางอย่างเย็นชา ด่าว่า “สวะสิ้นดี” แล้วเดินออกไป
อวิ๋นซีเรียกให้ทั้งคู่ยกหลิวลี่ขึ้นบนเตียง เปลี่ยนชุดที่เปียกปอนบนกายนางเป็นชุดที่เตรียมไว้ แล้วเช็ดใบหน้าของนางให้สะอาด ในครานี้ถึงได้พบว่า ไม่รู้ว่าลงมือโดยเจตนาหรือไม่ แต่บนหน้าของหลิวลี่ไม่มีรอยแผลแม้แต่น้อย ผงะไปครู่หนึ่ง อวิ๋นซีถึงจะรีบนำสาวใช้ทั้งสองแต่งหน้าหลิวลี่ให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้อง
เฮ่อเหลี่ยนยังคงยืนอยู่ภายในเรือน
อวิ๋นซีรายงาน “คุณชายใหญ่ แต่งตัวให้แม่นางหลิวเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
เฮ่อเหลี่ยนโบกมือขึ้น บ่าวรับใช้สองสามคนเดินเข้าไปแบกหลิวลี่ออกนอกเรือน แล้วเดินออกทางประตูหลังของจวนมหาเสนาบดี ไม่สิ จวนตระกูลเฮ่อ วางลงบนรถม้าคันหนึ่ง
เฮ่อเหลี่ยนเดินตามหลังออกไปติดๆ แล้วขึ้นนั่งบนรถม้าอีกคัน พร้อมสั่งคนรถให้ไปยังแหล่งรวมขอทานที่อยู่นอกเมือง
ท่ามกลางรถม้าที่สั่นไหวไปมา หลิวลี่ก็ฟื้นขึ้นช้าๆ นอกจากจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดแบบหาที่เปรียบไม่ได้บนร่างกายแล้ว ยังรู้สึกว่าร่างตัวเองโคลงเคลงไม่หยุด จึงตระหนักได้ทันทีว่าตนกำลังอยู่บนรถม้า ในใจนึกไปว่าเฮ่อเหลี่ยนคงคิดว่านางตายแล้ว และกำลังจะนำนางไปทิ้งที่สุสานรกร้าง ก็กระวนกระวายและร้องตะโกนออกมา “ข้ายังไม่ตายเจ้าค่ะ!”
แต่เสียงที่นางเข้าใจว่าตะโกนดังมากนั้นกลับถูกกลบด้วยเสียงเคลื่อนไหวของล้อรถม้า หามีใครได้ยินไม่
หลิวลี่ยิ่งรู้สึกกังวลใจ อยากจะยื่นมือออกไปตบห้องรถม้า กลับรู้สึกว่าแม้แต่แรงที่จะยื่นแขนออกไปก็ไม่มี
หลิวลี่หมดหวังแล้ว นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร เมิ่งเชี่ยนโยวควรจะถูกลงทัณฑ์จนตายไปเสียแล้วชัดๆ และตัวเองก็ควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างคนชนชั้นสูง แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ได้
อันที่จริง หากหลิวลี่รู้ว่าต่อไปนางจะต้องประสบกับอะไร นางก็คงจะรู้สึกดีใจที่บังเอิญโชคดีหากเวลานี้เขาส่งนางไปทิ้งที่สุสานรกร้างจริงๆ รถม้าเดินทางโคลงเคลงอยู่เป็นเวลานาน ถึงจะมาถึงแหล่งรวมขอทาน
สถานที่เช่นนี้ส่วนใหญ่จะมีผู้คนบางตา คนสัญจรผ่านไปผ่านมาก็น้อย ดังนั้น เมื่อพวกขอทานเห็นรถม้าอันหรูหราสองคันมา ก็ล้วนมองอย่างสงสัยใคร่รู้ นัยน์ตาเผยประกายแห่งความอิจฉาริษยา
รถม้าหยุดลง เฮ่อเหลี่ยนไม่ลงจากรถม้า แหวกม่านบนรถออกมาเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้เดินเข้ามา และพูดสั่งที่ข้างหูเขาสองสามคำ
บ่าวรับใช้พยักหน้า แล้วสั่งคนที่อยู่บนรถม้าด้านหลังให้ลากตัวหลิวลี่ที่แต่งหน้าสะสวย สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ลงจากรถ พร้อมพูดท่ามกลางสายตาแห่งความตัณหาจนน้ำลายหกของพวกขอทานทุกคน “นี่คือนางสนมนางหนึ่งในจวนของพวกข้า แต่กลับไม่รู้จักรักษาคุณธรรมหญิงอันดี ลักลอบคบชู้กับชายอื่น คุณชายของจวนพวกข้ามีใจเมตตา จึงสนองให้ตามที่นางต้องการ วันนี้จึงส่งมาให้แก่พี่น้องทุกท่าน เพื่อให้นางได้เสพสุขอย่างสาสมใจ”
เหล่าขอทานต่างมึนงงไปเพราะจู่ๆ สวรรค์ก็ประทานเรื่องดีๆ เช่นนี้มาให้โดยไม่คาดคิด จึงไม่มีใครกล้าขยับแม้แต่คนเดียว
ในเวลานี้หลิวลี่ถึงจะเข้าใจจุดประสงค์ของเฮ่อเหลี่ยน นางตื่นตระหนกอย่างมาก และดิ้นรนสุดชีวิต อยากจะพูดอะไรออกมา
บ่าวรับใช้คนหนึ่งตาไวมือเร็ว จึงรีบปิดปากนางเอาไว้อย่างรู้ทัน
พวกขอทานเริ่มเชื่อบางส่วนแล้ว บางคนลองเชิงเดินเข้ามาข้างหน้า แต่คนส่วนใหญ่ยังคงไม่เคลื่อนไหว
บ่าวรับใช้ควักเศษเงินบนตัวออกมา วางไว้บนมือและตรวจดูสักพัก แล้วจึงพูดรับปากขึ้น “คุณชายของพวกเราได้กล่าวว่า ถ้าหากทุกท่านรับใช้ให้นางได้รู้สึกสบายแล้ว จะมีรางวัลให้”
เมื่อก่อนหลิวลี่ก็เป็นขอทานเช่นกัน และมักคลุกคลีอยู่กับคนพวกนี้ แต่ตอนนั้นผมของนางยุ่งเหยิง หน้าตามอมแมม เนื้อกายก็สกปรกไปทั้งตัว ไม่มีคนจะมาคิดภาพซ้อนทับกับหญิงสาวที่สวมชุดหรูหรา แต่งหน้างดงามที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ พอนึกถึงเนื้อกายที่อ่อนนุ่มภายใต้เสื้อผ้าที่หรูหราของนาง พวกขอทานที่อดอยากมานานหลายปีก็เกิดความปรารถนาพลุกพล่านขึ้นตั้งนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังจะได้รับเงินอีก จึงไม่มีใครลังเลอีกต่อไป ทุกคนวิ่งกรูกันเข้ามาเหมือนกับฝูงผึ้งเพื่อแย่งตัวหลิวลี่จากมือของบ่าวรับใช้ แล้วลากเข้าไปในห้องที่ไม่อาจแม้แต่จะบังลมได้อย่างอดรนทนไม่ไหว
ในตอนแรกเสียงแผดร้องที่แหบแห้งของหลิวลี่ยังคงดังออกมา “ออกไป พวกเจ้าอย่าแตะต้องตัวข้านะ ออกไป”
เสียงฉีกขาดของเสื้อผ้าและเสียงคำรามของผู้ชายดังตามมาอย่างไม่หยุด จากนั้นก็ค่อยๆ เงียบลง
เฮ่อเหลี่ยนนั่งอยู่ภายในรถม้า ได้ยินเสียงคำรามของชายไม่ซ้ำคนดังออกมาจากในห้องนั้น ใบหน้าก็เผยความรื่นรมย์ใจที่ได้แก้แค้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ขอทานภายในห้องก็เดินออกมาทีละคนๆ อย่างพออกพอใจ จนกระทั่งเมื่อขอทานคนสุดท้ายเดินออกมาแล้ว บ่าวรับใช้จึงโยนเงินที่อยู่ในมือไปทางพวกขอทาน
เหล่าขอทานกรูกันเข้ามาแย่งอย่างบ้าคลั่ง
บ่าวรับใช้สองคนที่ลากตัวหลิวลี่ลงมาจากรถม้าเมื่อครู่เดินเข้าไปในห้อง เห็นร่างกายเปลือยเปล่าที่มีรอยแผลเต็มตัวของหลิวลี่ ตาของนางเบิกโต สิ้นลมหายใจไปนานแล้ว
บ่าวรับใช้สองคนก็ไม่ได้ปกปิดร่างกายให้แก่นาง คว้าร่างของนางเดินออกมาเลย และรอฟังคำสั่งของเฮ่อเหลี่ยน
“โยนทิ้งที่สุสานรกร้างเสีย เมื่อเห็นว่าหมาป่าได้กัดกินร่างของนางจนหมดแล้วค่อยกลับมา” เฮ่อเหลี่ยนกดเสียงของตัวเองต่ำลง ออกคำสั่งอย่างเย็นชา
บ่าวรับใช้รับคำ แล้วโยนหลิวลี่เข้าไปในรถม้าเหมือนดั่งที่โยนกระสอบเน่าๆ จากนั้นมุ่งไปยังสุสานรกร้าง
บ่าวรับใช้ที่โยนเงินเดินเข้ามาขู่ให้พวกขอทานเหล่านี้เกรงกลัว “เห็นแล้วหรือยัง คนถูกพวกเจ้าทรมานจนตายเสียแล้ว ถ้าหากไม่อยากถูกจับเข้าตารางล่ะก็ จงปิดปากของพวกเจ้าให้สนิท และทำเหมือนกับว่าวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”
แม้ว่าเป็นขอทานจะโดนผู้คนดูถูกเหยียดหยาม แต่ก็ยังดีกว่าถูกจับเข้าตารางอยู่มากโข พวกขอทานล้วนไม่โง่ ย่อมไม่พูดออกไปอย่างแน่นอน จึงพากันพยักหน้าเพื่อแสดงว่ารับทราบแล้ว
เป้าหมายของเฮ่อเหลี่ยนได้บรรลุแล้ว จึงสั่งคนรถให้กลับจวน
จางเจ๋อหวยเก็บหนังสือร้องทุกข์ของประชาชนไว้ในแขนเสื้อ แล้วรีบเร่งเดินทางไม่หยุด แต่ด้วยขาสองข้างที่ใกล้จะมีสภาพเหวอะหวะแล้ว กว่าจะมาถึงเมืองหลวงก็ล่วงเข้าเวลาบ่ายของวันที่สามนับจากวันที่พวกเขาออกเดินทางเสียแล้ว พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวปลอดภัยแล้ว ในขณะที่รู้สึกโล่งอก ก็นำหนังสือร้องทุกข์และเอกสารราชการมายื่นด้วยมือของตัวเอง
และเอกสารราชการกับหนังสือร้องทุกข์ฉบับนี้ก็ส่งมาถึงโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้
ทรงหยิบขึ้นและอ่านจนจบ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ย่ำแย่จนแทบดูไม่ได้ พลันโยนหนังสือร้องทุกข์ลงบนพื้นข้างหน้า แล้วตรัสด่าด้วยโทสะอันเดือดดาล “ช่างกล้ายิ่งนัก พวกขุนนางและประชาชนหลินเฉิงเหล่านี้จะก่อกบฏแล้วใช่หรือไม่”
ขันที นางกำนัลที่ทำหน้าที่รับใช้ล้วนสะดุ้งตกใจจนคุกเข่าลงตัวสั่นเทา ในเวลานั้นภายในห้องทรงพระอักษรไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ
ขันทีคนสนิทคุกเข่าลงแล้วพูดขึ้น “ขอฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ต้องรักษาพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ่งพิโรธหนักขึ้น “ทีแรกเปาชิงเหอก็นำประชาชนเป่ยเฉิงมาร้องขอเมตตาให้แก่องค์หญิงชิงเหอ บัดนี้ พวกขุนนางและประชาชนหลินเฉิงยังจะมาถวายหนังสือร้องทุกข์อีก พวกเขาตบหน้าเราเฉกเช่นนี้ จะให้เรารักษาพระวรกายได้อย่างไร”
ตอนที่ 222 จากไปอย่างเงียบๆ
ขันทีคนสนิทเงยหน้าขึ้น มองไปยังฮ่องเต้ และพูดอ้อนวอนอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท องค์หญิงชิงเหอมีบุญคุณต่อชีวิตของประชาชนหลินเฉิง หากพวกเขาจะตอบแทนด้วยอาทรไมตรี ก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเองก็น่าจะรู้สึกดีพระทัยที่มีประชาชนดีเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ เหตุไฉนพระองค์ถึงต้องพิโรธขนาดนี้ หากทรงกริ้วมากๆ จะไม่คุ้มเสียต่อพระวรกายของพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พ่นลมออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่ตรัสอะไรต่อ
ขันทีคนสนิทเห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ดูผ่อนคลายลงบ้าง จึงพูดอ้อนวอนต่อ “ฝ่าบาท กระหม่อมกลับคิดว่าพระองค์น่าจะถือโอกาสนี้พระราชทานรางวัลให้แก่องค์หญิงชิงเหออีกสักครั้ง ประการแรกคือเพื่อเชยชมที่นางทำคุณูปการต่อประชาชน ประการที่สองคือเพื่อปลอบขวัญและกำลังใจให้แก่ประชาชนหลินเฉิง”
จัดกองทัพทหารไปมากมายเช่นนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมิใช่ปิศาจร้ายที่สิงร่าง
ฮ่องเต้รู้สึกว่าอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนมีท่าทีต่อพระองค์เปลี่ยนไปจากเดิม
ในพระทัยของพระองค์รู้สึกหวั่นเกรงยิ่ง ตระหนักได้ว่า นับแต่นี้สองคนนั้นจะไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับตัวเองอีกต่อไปแล้ว แม้จะบอกว่าเป็นผู้ที่เยือกเย็นที่สุด แต่หลายปีมานี้อ๋องฉีก็ยังคงจงรักภักดีต่อพระองค์ ในปีนั้นเขาต่อสู้โดยไม่คิดชีวิต บุกเข้ามาในพระราชวัง และช่วยเหลือพระองค์กับฮองเฮาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือขององค์ชายห้าที่ก่อกบฏ หลังจากนั้นอีกหลายปีก็ค่อยๆ ถอดเขี้ยวเล็บของตัวเอง ยืนอยู่ด้านหลังพระองค์อย่างเงียบๆ เป็นมือซ้ายและมือขวาที่แข็งแกร่งที่สุดของพระองค์ แต่บัดนี้หลังจากเรื่องนี้ไป เกรงว่าเขาจะมีใจออกห่าง มิได้ใกล้ชิดกันเหมือนอย่างเคยอีก อีกทั้งยังมีประชาชนในผืนแผ่นดินที่ทราบเหตุและผลของเรื่องราว จะต้องรู้สึกผิดหวังอย่างมากกับฮ่องเต้องค์นี้ของตัวเอง และถ้าหากเสียความเชื่อใจจากประชาชนแล้ว นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ดังนั้น เมื่อพระองค์ได้เห็นหนังสือร้องทุกข์ของประชาชนจึงเกิดความรู้สึกเกลียดชังและเป็นเดือดเป็นดาลขึ้นมา
คำพูดของขันทีคนสนิทนี้ทำให้พระองค์ได้สติ จริงด้วย ถือโอกาสที่เรื่องยังเกิดขึ้นได้ไม่นานเท่าไร คนบนแผ่นดินยังไม่รู้กันทั่วทั้งหมด จะชดเชยตอนนี้ก็ยังทัน ครั้นไตร่ตรองถึงตรงนี้ ก็โบกพระหัตถ์ขึ้น “พวกเจ้ายืนขึ้นเถิด”
ขันทีคนสนิทและเหล่านางกำนัลลุกขึ้น
หลังจากนั้น ภายในห้องทรงพระอักษรก็ออกพระราชโองการสองฉบับต่อเนื่องกัน ฉบับแรกคือส่งไปที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยว โดยมีรับสั่งว่า “วันนี้มีประชาชนเมืองหลินเฉิงลงชื่อบนหนังสือร้องทุกข์ของประชาชน เราตระหนักถึงคุณูปการขององค์หญิงชิงเหอ จึงพระราชทานรางวัลมาให้”
พระราชโองการอีกฉบับหนึ่งได้ส่งให้แก่จางเจ๋อหวยมีใจความดังนี้ “ประชาชนเมืองหลินเฉิงมีจิตใจที่เอื้ออาทรและห่วงใย เรารู้สึกซึ้งใจและยินดีอย่างยิ่ง จึงจัดสรรข้าวสารจำนวนหนึ่งหมื่นจินเพื่อเป็นรางวัลชมเชย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ฟื้น จึงย่อมไม่อาจรับพระราชโองการได้ เมื่อขันทีผู้ส่งทอดกระแสรับสั่งยืนอยู่ภายในจวนอ่านพระราชโองการต่ออากาศที่ว่างเปล่าจบ ก็มอบให้แก่หวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อ ในเมื่อองค์หญิงชิงเหอยังไม่ฟื้น พระราชโองการนี้ก็ถือให้ท่านเป็นตัวแทนรับแล้วกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนรับมาอย่างเงียบๆ แล้วหันตัว เดินถือกลับเข้าไปในห้อง
ขันทีผู้ส่งทอดกระแสรับสั่งอ้าปากค้าง ชิงหลวนสังเกตได้จึงควักเงินจำนวนหนึ่งยัดใส่มือของขันทีผู้นั้นอย่างเงียบๆ “ลำบากกงกงแล้วเจ้าค่ะ”
ขันทีผู้ส่งทอดกระแสรับสั่งรับมา แล้วยัดใส่แขนเสื้อตัวเองอย่างคล่องแคล่ว พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว มิได้ลำบากเลย”
พอเข้าไปภายในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนก็นั่งลงที่ข้างเตียง เห็นใบหน้าหลับใหลที่เรียบนิ่งของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปทาบดูลมหายใจที่จมูกของนาง ลมหายใจเป็นปกติดี ไม่มีอะไรผิดแปลกไป แต่นี่มันก็วันที่สองแล้ว ทว่า ตัวคนก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา
เขาก้มศีรษะลง เรียกนางอย่างเบาๆ “โยวเอ๋อร์ ตื่นเถิด…”
ยังคงหลับสนิท ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ
ในใจก็กังวลเป็นอย่างมาก ลองผลักนางกี่ครั้งเบาๆ ร่างของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้แต่โอนเอนไปตามแรงของเขา ตัวคนกลับปิดตาแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นแต่อย่างใด
เขาลุกขึ้นยืน แล้ววางพระราชโองการของฮ่องเต้อย่างไม่ใส่ใจ เดินออกไป สั่งกับชิงหลวนและจูหลี “ดูแลโยวเอ๋อร์ให้ดี ไม่ว่าเป็นใครมาที่จวนล้วนไม่ให้เข้าพบทั้งสิ้น ข้าออกไปข้างนอก แล้วจะกลับมาโดยเร็ว”
ทั้งสองคนพยักหน้า
กัวเฟยที่รออยู่ในเรือนโดยตลอดไม่รอคำสั่ง ตรงไปท้ายเรือน จูงม้าออกมาสองตัว คนหนึ่งนั่งบนม้าตัวหนึ่ง อีกคนก็ตามเขามาถึงที่เรือนนอก
หวงฝู่อี้ อยู่รับผิดชอบที่เรือนนอกเพื่อรับใช้ไต้ซือสติไม่ดีคนนั้น ครั้นเห็นทั้งสองคนเข้าประตูมา ก็เดินไปต้อนรับ แล้วทักทาย “ซื่อจื่อ”
“ไต้ซือล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปพลางถามไปพลาง
“อยู่ในห้องขอรับ”
เมื่อพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็เปิดม่านประตูออกและเดินเข้าไปด้านในแล้ว
พระสติไม่ดีกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ด้านหน้ามีไหสุราหนึ่งใบพร้อมผักและเนื้อเป็นกับแกล้มสองสามอย่าง เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา ก็ดื่มสุราอึกหนึ่ง พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “โยม มาแล้วสินะ เชิญนั่งก่อนเถิด”
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง เห็นสีหน้าของเขาดูซีดเซียวเล็กน้อย และมีท่าทีที่ค่อนข้างเหนื่อยล้า จึงเม้มปากและกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบพระคุณไต้ซือขอรับ”
พระสติไม่ดีโบกมือปฏิเสธ ใช้มือหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก หลังจากกลืนลงไปแล้วถึงพูดขึ้น “ทุกความดีล้วนจะได้รับผลดีตอบแทน เพราะองค์หญิงชิงเหอได้ช่วยชีวิตประชาชนจำนวนมาก ถึงได้โชคดีเช่นนี้”
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนมีความรีบร้อนใจ “แต่ว่า หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว โยวเอ๋อร์ก็ยังไม่ฟื้นเลย นาง…”
พระสติไม่ดีพูดแทรกเขา “เจ็ดจิตสามวิญญาณ[1] ขององค์หญิงชิงเหอดึงรั้งกันเป็นเวลานาน ตอนนี้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม ย่อมต้องการการพักผ่อนสักระยะหนึ่ง โยมไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ภายในสามวันนางก็จะฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ และหลังจากนี้ต่อไปจิตและวิญญาณก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียว แปรเปลี่ยนสภาพใหม่ และยืนหยัดอยู่ในแดนต่างภพได้อย่างมั่นคงแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนวางใจ ลุกขึ้นยืน และโค้งตัวให้แก่พระสติไม่ดี “ขอบพระคุณไต้ซือเป็นอย่างยิ่งขอรับ หลังจากนี้หากไต้ซือต้องการให้อี้เซวียนรับใช้อะไร ก็ขอให้ท่านเอ่ยปากได้เลยขอรับ”
พระสติไม่ดีดื่มสุราอีกอึกหนึ่งอย่างออกรสออกชาติ กลืนลงไป ขยับปากจุ๊บจั๊บ แล้วถึงยิ้มกว้างพูดออกมา “ข้าเป็นพระสันโดษ ทุกหนทุกแห่งล้วนคือบ้าน ไม่มีเรื่องที่ทำให้ต้องยากลำบาก มีเสียแต่ก็โยมเองนั่นแหละ ภายในสามเดือนข้างหน้านี้ พยายามอยู่ข้างกายองค์หญิงชิงเหอไว้จะเป็นการดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้นางต้องประสบกับเรื่องไม่คาดคิด”
หวงฝู่อี้เซวียนฟังออกว่าคำพูดของเขาแฝงนัยยะบางอย่าง ร่างกายที่เพิ่งจะยืดตรง ก็โค้งลงไปอีก “ขอท่านพระอาจารย์โปรดช่วยชี้แนะให้กระจ่างด้วยขอรับ”
พระสติไม่ดีไม่พูดอะไรมากอีก จึงกล่าวแค่ “ลิขิตฟ้ามิอาจเปิดเผย อันตัวข้าได้ทรยศต่อโองการแห่งสวรรค์แล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้คงบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ โยมเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ก็ต้องเข้าใจความหมายที่อาตมาพูดอย่างแน่นอน”
พูดมาถึงตรงนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่คาดคั้นเขาอีก ยืนตัวตรงและขอบคุณอีกครั้ง แล้วหันหลังเดินออกไปอย่างรีบร้อน
เห็นเงาแผ่นหลังเขา พระสติไม่ดีก็ถอนหายใจ ยกไหสุราขึ้น แล้วดื่มหลายอึกติดต่อกัน
เมื่อได้ฟังคำพูดของพระสติไม่ดีแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็สบายใจขึ้น หลังจากกลับไปจวนของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ร้อนรนอีก กล่าวขอบคุณทุกคนที่มาเยี่ยม และใจจดใจจ่อเฝ้าเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ข้างกาย รอนางตื่นขึ้นมา
ข่าวที่เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจร้าย ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะแพร่กระจายกลับไปถึงชิงซี เข้าหูของชาวหมู่บ้านหวงจวง และย่อมรู้ไปถึงหูของคนในตระกูลเมิ่ง ทันทีที่เมิ่งซื่อฟังจบก็เป็นลมล้มหมดสติลงกับที่
ทุกคนตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ทั้งใช้เล็บจิกตรงบริเวณร่องปากใต้จมูกไว้ และรีบเชิญหมอมา พวกเขาต่างวุ่นวายกันยกใหญ่ เมิ่งซื่อถึงจะค่อยๆ ฟื้นขึ้น ประโยคแรกที่พูดหลังจากเปิดตาขึ้นก็คือสั่งกับเมิ่งเสียนว่า “เร็วเข้า ไปเตรียมรถม้า พวกเราไปเมืองหลวงกัน”
คนในครอบครัวเมิ่งรวมถึงเมิ่งเอ้ออิ๋นต่างมือเท้าลนลานไปหมด เดิมทีก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดของเมิ่งซื่อ ถึงจะได้สติ รีบสั่งคนให้ไปเตรียมรถม้า เมิ่งจงจวี่ที่มีเมิ่งต้าจินพยุงอยู่ เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา และสั่งต่อกันโดยไม่หยุดหายใจ “ไปเมืองหลวง รีบไปเมืองหลวง โยวเอ๋อร์จะโดนปิศาจร้ายเข้าสิงได้อย่างไร พวกเขาต้องเข้าใจผิดแน่ พวกเราต้องรีบช่วยนาง”
เหวินหู่ เหวินเป้าพาเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยประกอบรถม้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเสร็จแล้ว เมิ่งจงจวี่ เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งซานถงพร้อมด้วยฮูหยินของพวกเขาและเมิ่งเสียวเถี่ยที่พาชิงเอ๋อร์ไปด้วย อีกทั้งยังมีคู่สามีภรรยาของเมิ่งเหริน เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีที่พาเมิ่งเจี๋ยไปด้วย แต่ละคนล้วนขึ้นนั่งบนรถม้า ขบวนรถม้าอันมโหฬารนี้เคลื่อนตัวไปยังตำบลชิงซี
เมื่อคนในหมู่บ้านเห็นรถม้ามาแต่ไกล ถึงจะกล้าส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมา ย้อนนึกไปถึงเมิ่งเชี่ยนโยวที่เปลี่ยนไปหลายอย่างในหลายปีมานี้ ก็เชื่อเรื่องที่นางเป็นปิศาจสนิทโดยไร้ซึ่งข้อกังขา
หัวหน้าตระกูลเมิ่งได้ยินข่าวนี้ ก็แทบจะสิ้นลมหายใจ
นับแต่ที่เขารับหน้าที่เป็นผู้นำแห่งวงศ์ตระกูลมา คนในตระกูลเมิ่งก็ได้ดิบได้ดีถึงสามคน คนแรกคือเมิ่งอี้เซวียน อายุเพียงน้อยก็ผ่านการสอบจอหงวนรุ่นเยาว์ เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเมิ่งแต่เดิม ใครจะรู้ว่ากลับเป็นซื่อจื่อของอ๋องฉี ไปได้ครึ่งทางก็กลับสู่ต้นตระกูลบรรพบุรุษ และอีกคนหนึ่งก็คือเมิ่งเชี่ยนโยว แม้ว่าจะเกิดเป็นลูกสาว แต่ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงชิงเหอด้วยความสามารถในฐานะชาวบ้านธรรมดา นางยังไม่ได้แต่งงานจึงย่อมยังเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเมิ่งอยู่ เดิมทีเขายังคิดว่ารอให้นางกลับหมู่บ้านและนำพระราชโองการมาเมื่อไร จะให้สมาชิกในตระกูลเมิ่งทั้งหมดได้ชื่นชมเสียหน่อย ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า มีข่าวว่านางเป็นปิศาจร้ายที่เข้าสิงร่างแพร่ออกมา และยังถูกฮ่องเต้ออกพระบัญชาต่อหน้าประชาชนมากมาย ให้ไต้ซือร่ายมนตร์ใส่นาง ให้แปลงกายกลับคืนร่างเดิมกลางถนนของเมืองหลวง จะเอาให้ตายอย่างไม่ต้องสงสัย และคนสุดท้ายก็คือเมิ่งเจี๋ย ปีนี้ก็เข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว อีกทั้งยังสอบจอหงวนรุ่นเยาว์ผ่าน จึงเป็นความภาคภูมิใจของคนตระกูลเมิ่งโดยแท้จริง แต่วันนี้ต้องตามคนในตระกูลเมิ่งเข้าเมืองหลวง เกรงว่าอาจจะนำมาซึ่งความอัปมงคลเสียมากกว่ามีโชคลาภ และเป็นไปได้ว่าจะไม่ได้กลับมาอีก ความปรารถนาที่สูญสลายหายไปอย่างต่อเนื่องทำให้หัวหน้าตระกูลเกือบจะแบกรับไว้ไม่ไหว และแทบอยากจะวูบหมดสติไปเสียเดี๋ยวนั้น
ครอบครัวเมิ่งไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ จึงสั่งเหวินหู่และเหวินเป้าให้เร่งม้าออกจากตำบลชิงซีอย่างสุดชีวิต รถม้าตะบึงมาจากถนนของตำบลชิงซี เมื่อเร่งเดินทางมาได้ครึ่งทาง ก็ประจันหน้ากับม้าเร็วตัวหนึ่งที่พุ่งมา ครั้นเห็นขบวนรถม้าที่มโหฬารเบื้องหน้า ก็รีบตะบึงข้ามไป แต่เมื่อผ่านไปไกลมากแล้ว ราวกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ จึงดึงบังเ**ยนหยุด แล้วหันหัวม้า วกกลับไปอีกครั้ง เร่งม้าให้มายังหน้าขบวนรถม้า และถามเหวินหู่เสียงดัง “ขบวนรถม้านี้เป็นของตระกูลเมิ่งแห่งตำบลชิงซีใช่หรือไม่ขอรับ”
เหวินหู่ระแวดระวังมากขึ้น ผงกศีรษะเล็กน้อย ถาม “ใช่แล้ว เจ้าเป็นใคร”
คนบนม้าถอนหายใจโล่งอก แล้วตอบว่า “ข้าเป็นผู้ประจำการแห่งสถานีส่งสาร ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีที่ห่างไกลแปดร้อยเมตรเร่งให้มาส่งข่าวว่า ตอนนี้ได้พิสูจน์ความจริงแล้วว่าองค์หญิงชิงเหอถูกใส่ร้าย ฝ่าบาทจึงมอบตำแหน่งคืนให้อีกครั้ง ดังนั้นคนในตระกูลเมิ่งไม่จำเป็นต้องไปเมืองหลวง ขอให้รอคอยอยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ และเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานขององค์หญิงชิงเหอขอรับ”
เสียงของผู้ส่งสารไม่เบาจึงได้ยินกันเกือบทุกคน เมิ่งจงจวี่ตื่นเต้นจนน้ำตาไหลออกท่วมใบหน้าชราของเขา เมิ่งซื่อรู้สึกยินดีและน้ำตาไหลริน หากไม่ใช่ว่านั่งอยู่ในห้องบนรถม้าแล้ว เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีที่นั่งอย่างนิ่งสงบมาตลอดต้องกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจแน่นอน พวกเขารู้อยู่เชียวแล้วว่าน้องเล็กไม่ได้มีปิศาจสิงร่างอย่างแน่นอน
เมื่อได้ข่าวที่ถูกต้องแล้ว ก็ให้เงินแก่ผู้ส่งสารไม่น้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ คนตระกูลเมิ่งปรึกษากันครู่หนึ่ง แล้วจึงสั่งเหวินหู่ให้หันรถม้ากลับบ้านไป
ขณะที่เดินทางแต่ละคนก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ทว่า ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงยามกลับมา แต่ละคนกลับมีท่าทีเบิกบานปรีดา คนในหมู่บ้านรู้สึกคับอกคับใจจึงเข้ามาสอบถาม
คนในตระกูลเมิ่งย่อมบอกข่าวดีเช่นนี้กับพวกเขาเป็นธรรมดา
ข่าวนี้ก็ย่อมแพร่เข้าถึงหูของหัวหน้าตระกูลเมิ่งอย่างรวดเร็ว
สภาพของหัวหน้าตระกูลที่จะตายดีไม่ตายดีและถอนหายใจเป็นวักเป็นเวรเมื่อครู่หายไปทันควัน เปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่าขึ้น และสั่งกับคนในตระกูล “ไป ไปทำความสะอาดโถงบรรพบุรุษ อีกไม่กี่วันองค์หญิงชิงเหอก็จะกลับมาแล้ว”
คนในตระกูลเมิ่งล้วนได้ยินข่าวนี้กันหมด พวกจูหลานสามคนที่อาศัยที่เสียนเฉิงก็ไม่มีทางไม่ได้ยินข่าวนี้ด้วย ทั้งสามคนต่างตกใจโดยพร้อมกัน จึงรีบปรึกษากันเดี๋ยวนั้น แล้วขี่ม้าเร็วไปยังเมืองหลวง
แต่เมื่อพวกเขามาถึง ก็เป็นวันที่สามนับจากที่ได้ยินข่าวแล้ว
และหลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวนอนหลับสนิทไปแล้วสามคืน ก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น
เป็นเวลาสายกว่าๆ พอดี แสงแดดอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ลอดเข้ามาจากหน้าต่างไม้ ภายในห้องปกคลุมด้วยอากาศที่อบอุ่น เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้น รู้สึกว่ามือของตัวเองถูกคนกุมไว้แน่น จึงยิ้มเล็กน้อย ก้มศีรษะลง เห็นว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังนอนพาดอยู่ข้างเตียงตัวเองจริงๆ อย่างที่คิด
เวลาเช่นนี้ยังนอนหลับได้ จะต้องเป็นเพราะเหนื่อยมากแน่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวมีความคิดที่หลักแหลม จึงเดาได้ทันทีว่าตัวเองคงไม่ได้หลับไปแค่วันเดียว นางใช้มืออีกข้างหนึ่งลูบศีรษะของเขาเบาๆ ด้วยความรักใคร่
หวงฝู่อี้เซวียนตกใจตื่นขึ้น เงยหน้าอย่างประหลาดใจปนยินดี เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังมองด้วยดวงตากลมโตที่เป็นประกายทั้งสองคู่อยู่ สายตานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนส่งมาให้เขา จึงยกมือขึ้น ปัดเส้นผมที่ตกอยู่ด้านหน้าของนางไปไว้ด้านหลัง แล้วถามเบาๆ “ฟื้นแล้วหรือ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่” เสียงนั่นอ่อนโยนจนไม่อาจอ่อนโยนไปมากกว่านี้ได้อีก คล้ายกับว่ากลัวจะทำให้นางตกใจอย่างไรอย่างนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ตอบไม่ตรงคำถาม “ข้าหลับไปกี่วันแล้ว”
มือของหวงฝู่อี้เซวียนกุมแน่นขึ้น “สามวัน”
ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง ภายในเสียงเต็มไปด้วยความเอ็นดู “ตกใจแย่เลยสินะ”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายศีรษะยิ้ม “หลายปีมาแล้ว เจ้าก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว ถือโอกาสนี้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มเสียบ้างก็ดี”
ขอบตาของเมิ่งเชี่ยนโยวมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยซับน้ำตาให้นางอย่างนุ่มนวล และถามด้วยเสียงที่อ่อนโยน “หิวแล้วหรือยัง กินโจ๊กสักถ้วยไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะเบาๆ
“ชิงหลวน โยวเอ๋อร์ตื่นแล้ว ไปยกโจ๊กเข้ามา” หวงฝู่อี้เซวียนเปล่งเสียงดังสั่งออกไปด้านนอก
ตึง มีเสียงบางอย่างหล่นลงพื้น ตามมาด้วยชิงหลวนและจูหลีที่ถลาเข้ามาราวกับตัวจะลอยตัวบิน ถามเป็นเสียงเดียวกันด้วยความตื่นเต้นดีใจ “นายหญิง ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและผงกศีรษะเบาๆ
ริมฝีปากของทั้งสองสั่นระริก ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกและหันตัวออกไปด่รนอก แต่นึกไม่ถึงว่าจะรีบเร่งเกินไป เสียง โครม ก็ดังขึ้น ศีรษะของทั้งคู่ชนกัน
ร่างกายก็โอนเอียงไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพรวดออกมา
[1] เจ็ดจิตสามวิญญาณ เป็นความเชื่อในการเป็นคนอย่างสมบูรณ์ของจีน โดยเจ็ดจิตหมายถึง เจ็ดอารมณ์ทางจิตใจ แบ่งเป็น อารมณ์ดีใจ โกรธ เศร้า กลัว รัก ร้าย โลภ ส่วนสามวิญญาณ แบ่งออกเป็น วิญญาณแห่งฟ้า วิญญาณแห่งดิน และวิญญาณแห่งชีวิต หากมีไม่ครบหรือมีอย่างไม่สมดุลจะทำให้สูญเสียความมั่นคงในการดำรงความเป็นมนุษย์ซึ่งอาจเป็นภัยจนถึงแก่ความตายได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น