ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 214-216

ตอนที่ 214 พระสงฆ์เสียสติ

 

หลิวลี่ไม่ตอบ แต่กลับเอื้อมมือไปขยับเก้าอี้มานั่งข้างหน้าเฮ่อเหลี่ยน มือทั้งสองประสานกันบนตัก ปั้นยิ้มสวยออกมา พูดว่า “คุณชายใหญ่เจ้าขา ความลับของข้านี้จะต้องทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวจบสิ้นทุกอย่างแน่ แต่ว่าท่านจะต้องรับปากกับข้าสองอย่าง ข้าจึงจะบอกท่าน”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนหมดความอดทนตั้งนานแล้ว เมื่อได้ยินหลิวลี่พูดเช่นนี้ เขาก็ระเบิดความโกรธออกมา ยื่นมือมาบีบคอนาง พูดอย่างน่ากลัวว่า “คนอย่างเจ้า ยังกล้ามาเสนอเงื่อนไขกับข้าอีกหรือ”


 


 


หลิวลี่ถูกบีบคอ เจ็บจนพูดไม่ออก แต่ใบหน้านางไร้ซึ่งความรู้สึกกลัว ยังคงอดทนกัดฟันพูดออกมาที่ละคำ “คุณชายใหญ่…ถ้าหาก…ไม่…อยาก…จัดการ…นัง…ชั้นต่ำนั่น…ก็รีบ…ลงมือ…เถิดเจ้าค่ะ”


 


 


เขาตกต่ำถึงจุดนี้แล้ว เป็นฝีมือของเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนทั้งสิ้น เฮ่อเหลี่ยนคิดอยู่ทุกลมหายใจว่าจะจัดการกับสองคนนั้นอย่างไร จะปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ให้หลุดมือไปได้อย่างไร เมื่อได้ยินดังนั้นก็ปล่อยมือลง ปรับน้ำเสียงเล็กน้อย “ขอให้สิ่งที่เจ้าพูดแป็นความจริงเถอะ มิเช่นนั้นข้ามีเป็นร้อยเป็นพันวิธีที่จะทรมานให้เจ้าตาย”


 


 


เมื่อเป็นอิสระแล้ว หลิวลี่ไอออกมาอย่างแรง จากนั้นจึงได้หายใจหอบแรง


 


 


เฮ่อเหลี่ยนมองนางด้วยความรังเกียจ พูดว่า “บอกเงื่อนไขของเจ้ามา”


 


 


หลิวลี่หายใจสงบขึ้น พูดว่า “คุณชายใหญ่วางใจเถิดเจ้าค่ะ เงื่อนไขของข้าง่ายนิดเดียว ไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจแน่นอน”


 


 


“อย่าพล่ามให้มาก เงื่อนไขอะไรว่ามา” เฮ่อเหลี่ยนถามอย่างหมดความอดทน


 


 


เมื่อเห็นว่าเขาหมดความอดทนถึงขีดสุดแล้ว หลิวลี่จึงไม่ได้พูดจาไร้สาระอีกต่อไป ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว พูดว่า “ข้อแรก ข้าอยากจะให้คุณชายใหญ่รับข้ากลับไปอยู่ข้างกายของท่านดังเดิม ข้าไม่ขออะไรมาก ขอเป็นภรรยาน้อยของท่านก็พอเจ้าค่ะ”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนหรี่ตาลง จ้องมองนาง


 


 


ใจของหลิวลี่สั่นระรัว แต่กลับมองตอบสายตาเขาด้วยใบหน้าไร้ซึ่งความกลัว


 


 


เฮ่อเหลี่ยนยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าแน่ใจหรือ”


 


 


หลิวลี่พยักหน้าอย่างมั่นใจ


 


 


นี่เป็นเพราะนางไม่รู้ว่าเขาไร้ความเป็นคนไปเสียแล้ว มิเช่นนั้นก็คงไม่เสนอข้อเสนอเช่นนี้ออกมา กระนั้น มารยาในการบริการชายของหลิวลี่ก็ดีไม่น้อย น่าจะเป็นเพราะว่ามีคนสอนงานก่อนจะถูกส่งตัวเข้ามา หากไม่ใช่เพราะนางฟันหักไปสองซี่ละก็ เขาคงจะเอ็นดูนางอยู่บ้าง แต่ในเมื่อนางยกข้อเสนอเช่นนี้มา เฮ่อเหลี่ยนก็ตอบรับด้วยความยินดี เมื่อนางมั่นอกมั่นใจเสียเพียงนี้ ตอนเล่นสนุกกับนางคงจะบันเทิงกว่าพวกสาวใช้จืดชืดพวกนั้นเป็นแน่ เขาจึงพยักหน้า ตอบตกลง “ได้สิ เรื่องนี้ข้าตกลง แล้วข้อที่สองเล่า”


 


 


เมื่อได้ยินเขาตอบตกลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ หลิวลี่ดีใจเป็นอย่างมาก เผยสีหน้ามีความสุขออกมา “ข้อที่สองง่ายกว่าข้อแรกอีกเจ้าค่ะ เมื่ออยู่ที่นี่ข้าขอเรือนส่วนตัว นอกจากท่านและคนรับใช้แล้ว ห้ามมิให้ใครเข้าออกเด็ดขาด รวมทั้งฮูหยินก็ห้ามเข้าเจ้าค่ะ”


 


 


หลายปีมานี้นางร่อนเร่ขอข้าวกิน ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของฮูหยินมาว่าเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว และขี้หึง ตนภรรยาน้อย นางเป็นภรรยาเอก ภายหน้าตนได้รับความรักความเอ็นดูจากคุณชายใหญ่ หากนางมาหาเรื่องถึงที่ จะถือว่านางรนหาเรื่องใส่ตัว จึงได้ยกข้อเสนอเช่นนี้ขึ้นมา เป้าหมายก็เพื่อจะป้องกันตัวเอง


 


 


จะว่าไปหลิวลี่คนนี้ก็คิดอะไรรอบคอบดีอยู่ วางแผนเส้นทางชีวิตภายภาคหน้าของตนในจวนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว หากเป็นเมื่อก่อน ก็คงจะได้เฉิดฉายอยู่พักหนึ่ง แต่น่าเสียดาย นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลี่ยนศูนย์เสียความเป็นผู้เป็นคนไปแล้ว ฮูหยินไม่เพียงแต่จะไม่มาหาเรื่องนาง หากแต่ยังหวังอยากจะให้เฮ่อเหลี่ยนอยู่กับนางทุกวันใจจะขาด ส่วนนางก็จะได้เริ่มใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 


 


แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในอนาคต บัดนี้ชีวิตอดอยากที่ยาวนานมาถึงห้าปีจะจบลงเสียที หลิวลี่ดีใจจนแทบทนไม่ไหว ยังคงฝันกลางวันเช่นนั้นอยู่


 


 


เฮ่อเหลี่ยนยิ้ม รอยยิ้มนั้นมีความน่ากลัวซ่อนอยู่ แฝงไปด้วยความสะใจ


 


 


หลิวลี่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติอย่างไร


 


 


เฮ่อเหลี่ยนพยักหน้า รีบตอบตกลงทันที “ได้เลย ข้ายอมรับข้อตกลงของเจ้าทั้งหมด ตอนนี้รีบบอกความลับของเจ้ามาเถิด”


 


 


ในที่สุดก็จะได้ใช้ชีวิตโดยมีคนรองมือรองเท้าเสียที หลิวลี่ตื่นเต้นเป็นที่สุด ดีใจแทบแย่ นางพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะกระโดดโลดเต้นร้องตะโกนออกมาอย่างดีใจ เม้มปาก เดินเช้าประชิดใบหน้าของเฮ่อเหลี่ยน


 


 


เฮ่อเหลี่ยนถอยหลังทันที หลบตานาง ถามเสียงดุว่า “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”


 


 


“คุณชายใหญ่เจ้าขา กำแพงมีหู ประตูมีช่อง ความลับนี้มีเพียงท่านกับข้าที่รู้ ให้ใครอื่นรู้อีกไม่ได้นะเจ้าคะ ให้ข้ากระซิบข้างหูท่านเถิด”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนขมวดคิ้ว จ้องนาง


 


 


หลิวลี่พยักหน้า


 


 


เฮ่อเหลี่ยนเอียงหูให้นางอย่างเต็มใจ


 


 


หลิวลี่นำปากแนบติดข้างหูของเขา กระซิบบอกความลับที่นางกุมอยู่


 


 


เฮ่อเหลี่ยนผุดลุกขึ้นมา คว้าเสื้อของนาง ยกตัวนางขึ้นจากเก้าอี้ ดึงมาด้านหน้าของตน ถามอย่างดุดัน “ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ”


 


 


“แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าจะโกหกคุณชายใหญ่ได้อย่างไร ข้าน่ะโตมากับนางนะเจ้าคะ นางเป็นคนเช่นไรข้ารู้ดียิ่งกว่าใคร ไม่ใช่แบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่นอน”


 


 


เขาคลายมือลง ไม่แม้แต่จะชายตามองหลิวลี่ที่หล่นฟุบอยู่บนพื้น เฮ่อเหลี่ยนสั่งคนนอกประตูด้วยเสียงรีบร้อนว่า “เร็วเข้า ไปเชิญท่านพ่อกลับบ้าน บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนจะพูดด้วย”


 


 


บ่าวรับใช้ตอบรับ เสียงฝีเท้าวิ่งไกลออกไป


 


 


เฮ่อเหลี่ยนเดินวนไปมาในห้องอย่างร้อนใจ เมื่อคิดถึงความลับที่หลิวลี่ว่า จึงหัวเราะออกมาเสียงดัง “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าไม่รอดแน่ ข้าจะรอดูว่าครานี้เจ้าจะเอาตัวรอดอย่างไร”


 


 


หลิวลี่นั่งอยู่บนพื้น มองเฮ่อเหลี่ยนด้วยสายตาง้องอน อยากให้เขาพยุงนางขึ้นมา ใครจะไปคิดว่าเขากลับไม่ใส่ใจนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่พอใจ จึงได้ดัดทำเสียงออดอ้อนอย่างที่ตนคิดว่าน่ารัก พูดไปว่า “คุณชายใหญ่ล่ะก็!”


 


 


แต่นางลืมไป ว่ากล่องเสียงของนางพังไปแล้ว เสียงที่ออกมาจึงได้กลายเป็นเสียงแหบแห้งไม่น่าฟังเอาเสียเลย เสียงนี้เมื่อตะโกนออกไปก็ทำเอาเฮ่อเหลี่ยนรู้สึกแสบแก้วหู เกือบจะยกขาถีบนางไปอีกครั้ง แต่เมื่อคิดได้ว่านางยังมีประโยชน์อยู่ จึงได้อดกลั้นเอาไว้ เอ็ดนางไปว่า “ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีกหรือ”


 


 


มือที่หลิวลี่ยื่นมาหวังจะให้เขาช่วยดึงขึ้นหยุดชะงักทันที ใบหน้างุนงงขึ้นมา นางไม่เข้าใจว่านางบอกความลับเขาไปมากเพียงนั้นแล้ว ทั้งยังได้รับตบรางวัลแล้ว เหตุใดเฮ่อเหลี่ยนยังทำท่าทีเช่นนั้นกับนางอีกนะ


 


 


นางหดมือกลับ ยืนขึ้นมา มองเฮ่อเหลี่ยนด้วยอาการน้อยใจ


 


 


ตอนนี้จิตใจทั้งหมดของเฮ่อเหลี่ยนจดจ่ออยู่กับความลับที่นางว่า ไม่แม้แต่จะชายตามองนางเลยแม้แต่น้อย


 


 


เมื่อบ่าวรับใช้ได้ยินที่เขาสั่งแล้ว จึงได้รีบไปหาเฮ่อจาง รายงานอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านขอรับ คุณชายใหญ่มีเรื่องด่วนต้องการจะพบท่าน ขอให้ท่านรีบกลับจวนด้วยขอรับ”


 


 


น้ำเสียงของบ่าวรับใช้ค่อนข้างรีบร้อน เฮ่อจางขมวดคิ้วลง ถามว่า “เรื่องอะไรกัน”


 


 


บ่าวรับใช้ส่ายหน้า “บ่าวไม่ทราบขอรับ”


 


 


ตั้งแต่ที่เขาอบรมเฮ่อเหลี่ยนครั้งนั้น พักนี้เขาทำตัวดีขึ้นมาก คงจะไม่ได้ไปสร้างเรื่องวุ่นวายร้ายแรงอะไรอีก แล้วจะเป็นเรื่องอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนส่งคนมาตามเขากลับไปเช่นนี้ เขาครุ่นคิด พลางยืนขึ้น เดินไปด้านนอก และขึ้นเกี้ยวกลับจวนไป


 


 


เมื่อถึงจวน ก็รีบสั่งว่า “ให้คุณชายใหญ่ไปพบข้าที่ห้องหนังสือ”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนทำตามที่สัญญาไว้ สั่งอวิ๋นซีว่า “เก็บกวาดเรือนให้หลิวอี๋เหนียงที จัดแจงที่พักให้นางอาศัย และหาคนไปคอยรับใช้นาง”


 


 


คำว่าอี๋เหนียงคำเดียว สามารถแสดงถึงสถานะของหลิวลี่ในตอนนี้ได้


 


 


อวิ๋นซีผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบรับอย่างนอบน้อม


 


 


เฮ่อเหลี่ยนสาวเท้ายาวออกไปด้านนอก


 


 


หลิวลี่มองอวิ๋นซีอย่างเย้ยหยัน


 


 


สีหน้าของอวิ๋นซีไม่ได้เปลี่ยนไป พูดว่า “หลิวอี๋เหนียง เชิญเจ้าค่ะ”


 


 


หลิวลี่เชิดหน้าขึ้น เดินไปด้านหน้านาง ถามอย่างภาคภูมิว่า “ตอนนี้ข้าคงสามารถใส่เสื้อผ้าใหม่ได้แล้วสินะ”


 


 


อวิ๋นซีตอบโดยไร้ทีท่าไม่พอใจว่า “เรื่องนั้นข้าน้อยตัดสินใจไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ จะต้องได้รับการอนุญาตจากฮูหยินก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินจัดการเรื่องทุกอย่างในบ้านนี้ อวิ๋นซีตอบเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการปัดความรับผิดชอบ หลิวลี่แค่นเสียงไม่พอใจ เดินออกไปนอกห้อง


 


 


อวิ๋นซี ส่ายหัวให้นางเล็กน้อย เดินตามไปด้านหลัง


 


 


เฮ่อเหลี่ยนมาถึงห้องหนังสือแล้ว เขารีบบอกความลับที่หลิวลี่บอกทันที ไม่ต้องรอให้เฮ่อจางถามไถ่


 


 


เฮ่อจางเองก็ยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”


 


 


“แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกขอรับ อนุที่ถูกลูกไล่ออกไปจากบ้านเมื่อหลายปีก่อน โตมากับหญิงชั้นต่ำนั่น นางบอกข้ากับปากของนางเอง”


 


 


“ดี หากนี่เป็นเรื่องจริง ครานี้เราเอานางถึงตายได้เลย หากนางตายแล้ว เจ้าโง่นั่นก็อยู่ได้อีกไม่นานหรอก” เฮ่อจางกล่าว


 


 


เฮ่อเหลี่ยนพยักหน้าไม่หยุด “ดังนั้นลูกจึงได้รีบส่งคนไปเรียกท่านพ่อกลับมาอย่างไรล่ะขอรับ มาหารือกันว่าเราควรจะเปิดเผยเรื่องนี้อย่างไรดี ให้ฮ่องเต้ออกคำสั่งจัดการพวกมัน โดยที่พวกเราไม่ต้องออกแรงเอง”


 


 


เฮ่อจางโบกมือ “อย่ารีบร้อนไป นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเรา ต้องเตรียมการให้รอบคอบที่สุด อย่าให้พวกมันได้มีโอกาสแว้งกัดเราได้ อย่างนี้แล้วกัน เจ้าส่งคนหลายๆ กลุ่มไปสืบที่ตำบลชิงซีสักหน่อย หากมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คนอย่างข้าก็มีวิธีให้ฮ่องเต้ลงมือก็แล้วกัน”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนตอบตกลง เดินออกจากห้องหนังสือไป เรียกตัวองครักษ์เงา และองครักษ์ประจำจวน รวมถึงบ่าวรับใช้ที่ไว้ใจได้มารวมกัน ออกคำสั่งกับพวกเขา


 


 


เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป มีคนแบ่งกลุ่มออกมาจากจวนมหาเสนาบดี ขี่ม้ามุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงไป


 


 


 


 


มันฝรั่งในหลินเฉิงปลูกช้ากว่าที่เป่ยเฉิง ดังนั้นจึงสุกช้ากว่า ไม่เพียงเท่านี้ หัวมันยังเล็กกว่าด้วย แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ คนที่หลินเฉิงก็ดีใจกันมากแล้ว ภายใต้การชี้แนะของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่นานพวกเขาก็เก็บเกี่ยวเสร็จทั้งหมด เมื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เพียงพอแล้ว จางเจ๋อหวยก็แจกจ่ายให้แต่ละบ้านอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อรวมกับที่เคยส่งมาเมื่อครั้งก่อน สามารถอยู่ได้ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวหน้าได้อย่างไม่มีปัญหา


 


 


ขณะเดียวกันเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ให้สัญญากับชาวบ้านว่า หากครั้งหน้ามันฝรั่งของแต่ละบ้านมีเพิ่มขึ้น พวกเขาจะเก็บกลับไป หรือจะเอามาแลกเป็นธัญพืชชนิดต่างๆ ก็ได้


 


 


แน่นอนว่าชาวบ้านต่างพากันดีใจเป็นอย่างมาก


 


 


เมื่อเสร็จเรื่องวุ่นๆ ที่หลินเฉิงแล้ว ตอนแรกทั้งสองตั้งใจว่าจะเดินทางกลับตำบลชิงซีทันที แต่เมิ่งเชี่ยนโยวนึกได้ว่าสัญญากับเมิ่งจงจวี่ไปว่าจะเชิญพระราชโองการกลับไปให้คนในตระกูลได้บูชากัน จึงได้เปลี่ยนใจ กลับเมืองหลวงมาก่อน ตั้งใจว่าเมื่อเชิญราชโองการแล้วจะกลับบ้านทันที


 


 


หลังจากเข้าเมืองหลวงมาแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ตามเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่หนานเฉิง บอกว่า “ข้าไม่ได้กลับจวนมาราวครึ่งเดือนแล้ว อยากกลับไปเยี่ยมท่านแม่เสียหน่อย จากนั้นก็จะเตรียมของขวัญด้วย เจ้ากลับบ้านไปพักผ่อนก่อน วันมะรืนเราค่อยกลับบ้านด้วยกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หันหลังกลับกลางทาง กลับไปยังหนานเฉิง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นนางไกลออกไปแล้ว จึงได้สั่งรถม้าให้เดินทางกลับจวน


 


 


เมื่อถึงหน้าประตูจวนแล้ว ก็ลงจากรถม้า ขณะที่กำลังจะก้าวเดินเข้าไปด้านในนั้น ก็มีพระสงฆ์สติไม่ดีผู้หนึ่งยืนขวางหน้าเอาไว้พร้อมกับยิ้มหัวเราะ เขาไม่พูดอะไร แต่กลับมองพิจารณาเขาซ้ายทีขวาที


 


 


หวงฝู่อี้ที่อยู่ด้านหลังกำลังจะเดินมาไล่เขาไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนห้ามเขาไว้ สั่งว่า “เอาเงินให้ท่านไปบ้าง”


 


 


หวงฝู่อี้ตอบรับ ควักเศษเงินออกมาเล็กน้อย มอบให้พระสงฆ์สติไม่ดีผู้นั้นไป


 


 


“ท่านยังมีธุระอะไรอีกหรือขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


 


 


พระสงฆ์ยิ้มพร้อมกับเปิดปากพูด แต่กลับพูดหลายประโยคที่ไม่สัมพันธ์กัน “บุพเพสันนิวาสพันปี พบกันชาตินี้ หายนะใกล้เข้ามา จากกันอย่างน่ากลัว…” เขายังพูดไม่จบ แต่จิตใจของหวงฝู่อี้เซวียนก็หดหู่ลงทันที พูดตัดบทของเขา สั่งหวงฝู่อี้ว่า “เชิญไต้ซือไปที่เรือนรับรองแขกชั่วคราวก่อน สั่งให้คนดูแลไต้ซือให้ดี ข้าไปทักทายเสด็จแม่เรียบร้อยแล้วจะรีบตามไป” จากนั้นก็สั่งว่า “เชิญขึ้นรถม้าของข้าไปขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้งงเล็กน้อย มองพระสงฆ์เสียสติผู้นั้นอย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นก็ตอบรับด้วยความนอบน้อม


 


 


พระสงฆ์ที่แลดูสติไม่ดีผู้นั้นก็ไม่ปฏิเสธ เดินยิ้มมายังรถม้า ยกขาก้าวขึ้นไปบนรถ จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้น นอนแผ่อยู่ด้านบนอย่างสบายใจ


 


 


เมื่อเห็นว่าเขาใส่เสื้อผ้าเก่าซอมซ่อแต่กลับนอนแผ่สบายใจอยู่บนรถม้าหรูหราอย่างไม่สนใจอะไร และยังทำเบาะรองแสนแพงสกปรกอีก หวงฝู่อี้ย่นคิ้วลงด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนยังคงเดิม สั่งเขาว่า “ดูแลท่านให้ดี หากมีอะไรผิดพลาด ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”


 


 


อยู่กับเขามานานหลายปี เป็นครั้งแรกที่อี้เซวียนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้ หวงฝู่อี้ผงะไปครู่หนึ่ง คิดได้ว่าบางทีพระสงฆ์รูปนี้อาจจะมีความสำคัญกับซื่อจื่อเป็นอย่างมาก จึงได้รีบขึ้นไปบนรถม้า สั่งให้คนรถไปยังเรือนรับรองชั่วคราว


 


 


เมื่อเห็นรถม้าแล่นออกไป ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา รีบเดินเข้าไปด้านใน ไปยังเรือนของพระชายา บอกนางว่าตนกลับมาแล้ว นางจะได้ไม่ต้องกังวลใจ จากนั้น ก็รีบกลับออกไป


 


 


พระชายาเห็นเขามาได้ครู่หนึ่งก็รีบออกไป ในใจก็รู้สึกไม่ดี เขาเพิ่งจะแยกจากโยวเอ๋อร์ ฮ่องเต้เองก็ยังไม่ได้มีรับสั่งอะไรถึงเขา แล้วเขารีบร้อนเช่นนี้ไปทำอะไรกัน


 


 


ขณะเดียวกันนั้น กลุ่มคนที่จวนมหาเสนาบดีส่งไปสืบเรื่องได้กลับมาแล้ว เรื่องที่ไปสืบมาใกล้เคียงกับที่หลิวลี่กล่าว


 


 


เมื่อได้คำตอบที่แน่ชัดแล้ว เฮ่อจางและเฮ่อเหลี่ยนก็ดีใจกันยกใหญ่


 


 


เฮ่อจางสั่งว่า “เข้าไปส่งข่าวในวัง ข้าจะขอเข้าพบกุ้ยเฟย”

 

 

 


ตอนที่ 215-1 ตึงเครียด

 

หลังจากที่องค์ชายหกถูกลอบทำร้าย เขาก็ต้องนอนพักฟื้นบนเตียงเป็นเวลาสามวันเต็มจึงจะกล้าลุกลงจากเตียง แต่ว่าหลังจากนั้น ดูภายนอกเขาเหมือนอยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น นอบน้อมเคารพผู้อื่นมากขึ้น เมื่อมีเวลาว่างก็จะไปคุยเล่นกับไทเฮาที่ตำหนัก


 


 


คนเราเมื่อแก่แล้ว สิ่งที่ต้องการก็มีเพียงแค่มีคนคอยอยู่ข้างกาย คอยพูดคุยเป็นเพื่อน ไทเฮาเองก็ไม่ต่างกัน แต่น่าเสียดายที่ลูกชายของนางเป็นถึงฮ่องเต้ มีราชกิจต้องจัดการทุกวัน หากหวังจะให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนตนนั้น ยากเสียยิ่งกว่าฝัน โชคดีที่มีหลานชายมาคอยดูแลเอาใจนาง ไทเฮาโปรดเขามาก นอกเสียจากจะชมองค์ชายหกไม่หยุดปากแล้ว ยังประทานของกำนัลให้เขามากมาย ส่วนการเป็นหลานคนโปรดพร้อมทั้งของกำนัลมากมายก็ไม่ได้ทำให้องค์ชายหกนั้นกลายเป็นคนที่ไม่เห็นหัวใคร กลับกัน เขายิ่งนอบน้อมมากขึ้น ทำให้ไทเฮาโปรดหลานคนนี้ยิ่งขึ้น


 


 


จากเรื่องนี้เฮ่อกุ้ยเฟยรู้ดีว่าตนนั้นยังไม่ได้อยู่ในจุดที่ควรตอบโต้อะไรกับฮองเฮาและไท่จื่อ จึงได้เก็บความร้ายเอาไว้ และทำตัวดีกับผู้อื่นมากขึ้นกว่าเดิม


 


 


รู้จักกันมาหลายปีเพียงนี้ ฮองเฮารู้ดีว่านางเป็นคนเช่นไร เมื่อเห็นสองแม่ลูกมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเช่นนี้จึงได้ระแวงมากขึ้น พร้อมกันนั้นก็ได้เตือนไท่จื่อว่า “เจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้นหน่อย สองแม่ลูกคู่นี้เดาใจไม่ง่าย อย่าไปเสียท่าให้พวกเขา”


 


 


ไท่จื่อตอบรับด้วยท่าทีเคารพ แต่ในใจกลับคิดเยาะเย้ยว่า พวกนางก็มีปัญญาแค่เพียงออดอ้อนไทเฮาไปวันๆ เท่านั้น หากพวกนางกล้าลงมือกับข้า ข้าเองก็จะตอบโต้กลับอย่างไม่ใยดีเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นจะเอาให้พวกนางไม่มีวันกลับมาแก้แค้นได้อีกเลย


 


 


ตอนที่นางกำนัลไปรายงานว่าเฮ่อจางต้องการจะเข้าวังมาพบนางนั้น เฮ่อกุ้ยเฟยกำลังนอนอาบแดดอยู่ในวังอย่างสุขสบาย เมื่อได้ยินดังนั้น จึงได้รีบตอบว่า “รีบไปเชิญท่านมหาเสนาบดีเข้ามา”


 


 


นางสนมในวังรวมไปถึงฮองเฮาเองต่างก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับญาติมิตรได้โดยง่าย แต่ว่าหลายปีมานี้เฮ่อกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงได้ให้อภิสิทธิ์กับนาง ดังนั้นเฮ่อจางจึงสามารถมาขอเข้าพบในเวลานี้ได้


 


 


เฮ่อจางเดินตามนางกำนัลเข้ามาในห้อง กำลังรวบชายเสื้อเตรียมคำนับนาง เฮ่อกุ้ยเฟยก็ได้ห้ามเอาไว้ และยังสั่งคนให้ไปหาเก้าอี้มาให้นั่ง ถามว่า “ท่านพ่อ วันนี้ท่านเข้าวังมา มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”


 


 


เฮ่อจางชายตามองนางกำนัลรับใช้เล็กน้อย


 


 


เฮ่อกุ้ยเฟยเข้าใจความหมาย จึงได้สั่งว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ไปไกลๆ หน่อย หากไม่มีคำสั่งจากข้าก็ห้ามมิให้ใครเข้าใกล้เด็ดขาด”


 


 


นางกำนัลตอบรับ เดินออกไปด้านอก


 


 


“ท่านพ่อ บอกมาเถิดเจ้าค่ะว่ามีเรื่องอะไร”


 


 


เฮ่อจางลดเสียงลงอย่างระวัง “ลูกพ่อ พ่อได้รู้ความลับของนังเมิ่งเชี่ยนโยว เราสามารถใช้ความลับนี้จัดการกับนังหญิงชั้นต่ำและเจ้างั่งนั่นได้อย่างง่ายดาย จะได้แก้แค้นให้น้องสาวของเจ้าด้วย”


 


 


ครานั้นที่เฮ่อกุ้ยเฟยต้องการจัดการพระชายาฉี นอกจากจะเพื่อเป็นการแก้แค้นให้เฮ่อเหลียนอีแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญก็คือหวงฝู่อี้เซวียนได้ครองตำแหน่งซื่อจื่ออย่างมั่นคง หวงฝู่อวี้จึงไม่มีโอกาส และองค์ชายหกก็จะขาดผู้สนับสนุนที่จะช่วยให้เขาชิงตำแหน่งไท่จื่อไป และนี่ต่างหากที่เป็นเหตุผลที่นางโกรธแค้น เมื่อได้ยินคำของเฮ่อจาง สีหน้าของเฮ่อกุ้ยเฟยก็มีความยินดีปรากฎขึ้น พูดเสียงดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ท่านพ่อ ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ”


 


 


ในวังนี้ไม่มีความลับ นางถามเสียงดังเช่นนี้แน่นอนว่าต้องมีคนได้ยิน และจะทำให้เกิดการสงสัยได้ เฮ่อจางชี้ไปด้านนอก บอกให้นางเบาเสียงลง


 


 


เฮ่อกุ้ยเฟยได้ฟังเรื่องน่ายินดีเช่นนี้จึงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หลังจากร้องถามเสียงดังแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าไม่สมควร นางลุกขึ้น เดินไปยังหน้าประตู มองไปด้านนอกเล็กน้อย เห็นเหล่านางกำนัลยืนอยู่ด้านนอกประตูอย่างนอบน้อม จึงได้วางใจลง กลับมานั่งที่เดิม และถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านพ่อ ที่ท่านพูดเป็นความจริงหรือ”


 


 


เฮ่อจางพยักหน้า “พ่อได้ส่งคนไปสืบแล้ว มั่นใจเป็นอย่างมาก ไม่ผิดแน่”


 


 


“ท่านพ่อรีบบอกข้าเร็ว ว่าความลับนั้นคืออะไร” เฮ่อกุ้ยเฟยถามด้วยเสียงเบาแต่รีบร้อน


 


 


เสียงของเฮ่อจางเบาลงยิ่งกว่า เบาเสียจนมีเพียงคนสองคนได้ยินเท่านั้น “นังหญิงชั้นต่ำนั่นไม่ใช่เมิ่งเชี่ยนโยวตัวจริง แต่เป็นปิศาจกลับชาติมาต่างหาก”


 


 


เฮ่อกุ้ยเฟยตกใจจนแทบจะร้องออกมา ตกใจจนต้องเอามือมาอุดปากเอาไว้ เบิกตาโพลง ใช้สายตาถามย้ำอีกครั้ง


 


 


เฮ่อจางพยักหน้าด้วยความมั่นใจ


 


 


เฮ่อกุ้ยเฟยลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ถามอย่างร้อนรนว่า “แล้วจะรออะไรอีกเล่า พวกเรารีบไปรายงานให้ฮ่องเต้เร็ว ให้ฮ่องเต้รีบจัดการนางเสียที”


 


 


เฮ่อจางโบกมือ “อย่ารีบร้อนไปเลย เรื่องนี้พวกเราต้องวางแผนให้ดี”


 


 


“เรื่องนี้ยังมีอะไรต้องคิดอีก ฮ่องเต้รังเกียจเรื่องพรรค์นี้เป็นที่สุด หากทรงทราบว่านังเด็กนั่นเป็นปิศาจแปลงกายมา จะต้องบัญชาให้นางตายเป็นแน่”


 


 


“นางเป็นองค์หญิงที่ฝ่าบาทประทานตำแหน่งให้ หากเราป่าวประกาศออกไปว่านางเป็นปิศาจ ก็เท่ากับว่าตบหน้าตัวเอง จะเป็นที่ดูแคลนของคนภายนอก หากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดแล้ว ฝ่าบาทไม่มีทางเชื่อเป็นแน่ อีกอย่างเรื่องนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับพระชายาฉี ฝ่าบาทจะต้องคิดทบทวนอย่างหนักแน่นอน ไม่มีทางจะเชื่อพวกเราโดยง่ายหรอก” เฮ่อจางกล่าว


 


 


เฮ่อกุ้ยเฟยใจร้อน “เช่นนั้นจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ พวกเราอุตส่าห์หาโอกาสจัดการกับนางได้ แล้วจะปล่อยไปเช่นนี้หรือ”


 


 


เฮ่อจางเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “ปล่อยนางไปงั้นหรือ พ่อไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน ข้าอยู่ในตำแหน่งมหาเสนาบดีมานานหลายปี ที่อยู่ราชวงศ์เบื้องบน ราษฎรที่อยู่เบื้องล่าง มีใครหน้าไหนไม่เคารพข้าบ้าง ต่อให้เป็นอ๋องฉีก็ยังต้องยอมถอยให้ข้า แต่นับตั้งแต่นางมาถึงเมืองหลวง ไม่เพียงแต่หักหน้าข้าต่อหน้าผู้คนนับครั้งไม่ถ้วน แล้วยังทำให้พี่ชายของเจ้ามีจุดจบเช่นนี้ ข้าอดไม่ไหวที่จะเอามีดมาสับร่างนางเป็นชิ้นๆ นั่นก็ยังไม่สามารถปลดความแค้นในใจข้าได้ แล้วข้าจะปล่อยนางไปได้อย่างไรกัน”


 


 


“อย่างนั้นความหมายของท่านพ่อคือ…” เฮ่อกุ้ยเฟยถามอย่างรีบร้อน


 


 


เฮ่อจางเล่าแผนในใจให้นางฟัง “เราแบ่งเป็นสามฝ่าย ให้องค์ชายหกไปหาไทเฮาและทำเป็นหลุดปากพูดเรื่องนี้ออกไป ไทเฮามีพระชนมพรรษาสูงมากแล้ว เชื่อเรื่องภูติผีปิศาจเป็นแน่ จะต้องรอไม่ได้อย่างแน่นอน ต้องรีบไปบอกฝ่าบาท ส่วนเจ้าก็คอยเป่าหูฝ่าบาทเข้าไว้ ส่วนพ่อก็จะไปหาพระเซวี่ยนชิงที่วัดชิงอวิ๋นนอกเมืองนั่น พระเซวี่ยนชิงเป็นไต้ซือที่รู้ซึ้งในพระธรรม ภูติผีปิศาจที่ไหนก็ไม่มีทางรอดพ้นสายตาท่านไปได้ อย่างนี้เราก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะรอดไปได้หรอก”


 


 


เฮ่อกุ้ยเฟยพยักหน้า


 


 


เฮ่อจางมองไปด้านนอกเล็กน้อย สั่งว่า “เรื่องวันนี้สำคัญมาก นอกจากเจ้า ข้า และองค์ชายหกรู้แล้ว คนอื่นก็ห้ามปริปากพูดแม้แต่คำเดียว พวกเราจะต้องจัดการอย่างรัดกุม ให้พวกเขาตั้งตัวไม่ทัน อย่างนี้จึงจะไม่มีโอกาสช่วยนาง”


 


 


“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อวางใจเถิด รอให้ทางนี้มีข่าวแล้วข้าจะรีบส่งคนไปแจ้งท่านพ่อทันที”


 


 


กุ้ยเฟยให้คำมั่น


 


 


เฮ่อจางออกจางวังไป จากนั้นก็สั่งคนรถให้เดินรถไปที่วัดชิงอวิ๋น


 


 


เขาเพิ่งจะออกมาไม่นาน เฮ่อกุ้ยเฟยรีบส่งคนไปเรียกตัวองค์ชายหกทันที และยังคงให้ทุกคนออกไปด้านนอกเช่นเคย สองแม่ลูกปิดประตูหน้าต่างมิดชิด ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันในห้อง ตอนที่องค์ชายหกเดินออกมา บนใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่ด้วย


 


 


ไม่นานการกระทำของพวกเขาก็ได้ยินเข้าถึงหูของหวงฝู่ซวิ่น เขาขมวดคิ้วลง ถามนางกำนัลในตำหนักเฮ่อกุ้ยเฟยที่มารายงานว่า “พวกเขาพูดอะไรกัน”


 


 


นางกำนัลตอบอย่างนอบน้อมว่า “ตอนนั้นทุกคนถูกกันออกมาหมด ข้าน้อยกลัวว่าจะถูกจับได้ จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้เลยไม่ได้ยินเจ้าค่ะ”


 


 


“สังเกตต่อไป หากมีความคืบหน้า ให้รีบมาแจ้งข้าทันที”


 


 


นางกำนัลตอบรับ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นสั่งขันทีในตำหนักของตนว่า “เอาเงินให้นางร้อยตำลึง”


 


 


ขันทีตอบรับ ส่งเงินให้นาง


 


 


นางกำนัลรับไป ถือเงินไว้ในมือและเดินจากไปด้วยความดีใจ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นนั่งอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วลง ยืนขึ้นและสั่งว่า “ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย พวกเจ้าไม่ต้องติดตาม”


 


 


พูดจบ ก็เดินสาวเท้ายาวออกไป


 


 


เมื่อรู้ว่ามีองครักษ์เงาคอยคุ้มกันอยู่ขันทีจึงไม่ได้ห้ามปรามเขา


 


 


เมื่อออกจากวัง ก็ขึ้นนั่งบนรถม้า และสั่งคนรถให้มุ่งหน้าไปยังหนานเฉิง เขารู้ข่าวว่าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว นึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะอยู่ที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยว คิดไม่ถึงว่าจะมีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวผู้เดียวเท่านั้นที่ออกมารับหน้า


 


 


เขาวางหัวโขนของการเป็นไท่จื่อลง เก็บสีหน้าเคร่งขรึมลง และปั้นหน้าทะเล้นออกมา “น้องสะใภ้ น้องเซวียนเล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตามจริง “กลับไปทำความเคารพพระชายาที่จวนแล้วเพคะ ไม่แน่ใจว่าวันนี้จะกลับมาหรือไม่”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นพูดกับอากาศว่า “ไปเรียกซื่อจื่อมาจากจวนอ๋อง บอกว่าไท่จื่รอเขาอยู่ที่นี่”


 


 


เมื่อได้ยินความผิดปกติจากน้ำเสียงของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถามว่า “ไท่จื่อมาหาอี้เซวียนมีธุระอะไรหรือเพคะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา โบกไม้โบกมือ “น้องสะใภ้เอ๋ย เจ้าจะดองกับอี้เซวียนอยู่แล้ว ยังเรียกข้าว่าไท่จื่ออีกหรือ ดูห่างไกลกันไปหรือไม่ เรียกเหมือนกับอี้เซวียนเถิด เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก็ได้”


 


 


นางมองเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมส่ายหน้า “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ ท่านเป็นถึงไท่จื่อ เป็นฮ่องเต้ของรัฐอู่ในภายหน้า จะบังอาจเรียกท่านอย่างนั้นได้อย่างไรเพคะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นหรี่ตาลง ถามลองใจว่า “ข้าทำไม่ดีตรงไหนหรือไม่ มีเรื่องทำให้น้องสะใภ้โกรธหรือไม่ หากว่ามี ขอให้บอกพี่ใหญ่มาเถิด พี่ใหญ่พร้อมจะแก้ไข”


 


 


นางยังคงหัวเราะและพูดเช่นเดิม “ไท่จื่ออย่าล้อเล่นไปเพคะ ท่านจะมีความผิดได้อย่างไร หม่อมฉันเพียงแต่ใจเสาะ ไม่กล้าเรียกท่านตามอย่างอี้เซวียนเพคะ”


 


 


นางยิ่งพูดเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นก็ยิ่งเข้าใจว่าเพราะเขาทำให้นางไม่พอใจ แต่ต่อให้เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตนทำอะไรผิดต่อนาง


 


 


ไม่นานองครักษ์เงาก็กลับมารายงาน “ซื่อจื่อออกมาจากจวนนานแล้วขอรับ ไม่ทราบว่าไปที่ใดขอรับ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นขมวดคิ้ว แต่สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีใส่ใจเลย


 


 


“น้องสะใภ้ เจ้าไม่เป็นห่วงเขาอย่างนั้นหรือ” หวงฝู่อี้ซวิ่นถาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมส่ายหน้า “เขามักจะหาเรื่องทำอยู่เรื่อยน่ะเพคะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่อยู่ ตามหลักแล้วหวงฝู่ซวิ่นไม่ควรอยู่ในบ้านกับเมิ่งเชี่ยนโยวตามลำพัง แต่เขากลับนั่งอยู่ที่เดิมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้


 


 


แม้ว่าจะไม่เคยได้ใกล้ชิดเขา แต่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดีว่านี่ต้องไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาจะต้องมีเรื่องสำคัญจะมาบอกหวงฝู่อี้เซวียนเป็นแน่ จึงยิ้มและพูดว่า “ไท่จื่อ หม่อมฉันขอตัวไปทำอาหารก่อนนะเพคะ”


 


 


สายตาของหวงฝู่ซวิ่นเปล่งประกาย เผยสีหน้าตะกละตะกลามออกมา “ไปเถิด ไม่ต้องสนใจข้าหรอก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม เดินออกไปด้านนอก ขณะที่กำลังเดินออกมาจากห้องรับแขก ก็ได้เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเดินปั้นหน้ายิ้มมาแต่ไกล จึงได้ยิ้มและกล่าวว่า “ไท่จื่อมารอนานแล้ว คงจะมีธุระมาหาเจ้า พวกเจ้าคุยกันไปก่อนนะ ข้าจะไปทำอาหาร”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเป็นเหมือนปกติ หยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับไปพูดว่า “ข้าไปกับเจ้าดีกว่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยสายตาสงสัย


 


 


เมื่อนึกได้ว่าพฤติกรรมของตนเองผิดปกติไป หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้ลูบจมูกของตนเองด้วยความเขินอาย และอธิบายว่า “เพิ่งกลับมาจากหลินเฉิง เจ้าเองก็น่าจะเหนื่อย พี่ใหญ่ยังมาวุ่นวาย ข้าอยากจะช่วยเจ้าทำอาหารให้เสร็จ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยไล่เขาไป เจ้าจะได้พักเสียหน่อย”


 


 


“ไม่ต้องหรอก เจ้าไปหาเขาเถิด ให้บ่าวช่วยข้าจุดไฟก็พอ” พูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเข้าครัวไป


 


 


มองแผ่นหลังของนาง คำพูดของพระสงฆ์เสียสติผู้นั้นก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวเขา ‘ในเร็ววันนี้ ชะตาชีวิตนางกำหนดไว้ว่าจะต้องเกิดหายนะติดต่อกัน หากคลาดแคล้วไปได้ พวกเจ้าจะได้อยู่ด้วยกันตราบจนได้ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร มีความสุขตลอดไป แต่หากผ่านพ้นไปไม่ได้ ก็ต้องรออีกพันปี’


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก สลัดความคิดในหัวออก สาวเท้ายาวเข้าไปในเรือน

 

 

 


ตอนที่ 215-2 ตึงเครียด

 

หวงฝู่ซวิ่นได้ยินเสียงที่พวกเขาพูดคุยกัน พูดล้อเลียนอย่างมีความสุขว่า “เห็นทีว่าหวงฝู่ซื่อจื่อของเราอีกหน่อยคงเป็นทาสศรีภรรยาเสียแล้วล่ะมั้ง”


 


 


ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนมีเรื่องค้างอยู่ ไม่มีอารมณ์ล้อเล่นกับเขา จึงได้ถามเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้ามาที่นี่มีธุระอะไรหรือ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นทำเสียงจิ้จ้ะ “ดูสิ ดูสิ ตอนจะใช้ข้าก็แทบจะกราบกรานข้า พอหมดประโยชน์ก็ไม่เห็นหัวข้าสักนิด เมื่อตอนมีเรื่องขอร้องข้า คำก็พี่ใหญ่ สองคำก็พี่ใหญ่ เมื่อไม่ต้องการข้าแล้ว ก็ชักสีหน้าใส่ข้าเช่นนี้”


 


 


น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “มีอะไรก็รีบๆ พูดมา หากไม่มีอะไรก็รีบไสหัวไปเสียที พวกเราเดินทางกลับมาติดต่อกันสามวันจากหลินเฉิง เหนื่อยแทบแย่ ไม่มีเวลามาต่อกลอนกับเจ้า”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขาเสียแล้ว แต่อย่างไรเขาก็ยังคงทำสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวว่า “ข้ามีธุระ แต่ข้ายังไม่รู้ข้อมูลที่แน่ชัด แต่สัมผัสได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า จึงได้รีบมาบอกเจ้า”


 


 


“เรื่องอะไร”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นนำเรื่องที่นางกำนัลมารายงานเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักของเฮ่อกุ้ยเฟยเล่าให้อี้เซวียนฟัง “พฤติกรรมวันนี้ของพวกนางผิดปกติมาก แต่คนที่ข้าให้เป็นสายสืบอยู่ห่างออกไปมาก ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกนางคุยกัน แต่ว่า ข้าเดาว่าพวกนั้นจะต้องวางแผนอะไรอยู่แน่”


 


 


ใจของหวงฝู่อี้เซวียนเต้นระรัว สายตานิ่งแข็งไป กล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านช่วยอะไรข้าหน่อย”


 


 


“พูดมาสิ”


 


 


“ระดมกองกำลังที่ท่านซ่อนไว้ในจวนของเฮ่อจาง ถามแทนข้าทีว่าสองวันมานี้พวกเขาได้ทำเรื่องน่าสงสัยอะไรหรือไม่”


 


 


เรื่องนี้ไม่ยาก ไม่นานก็คงสืบมาได้ หวงฝู่ซวิ่นสั่งการเสียงดัง


 


 


องครักษ์เงาตอบรับและไปอย่างรวดเร็ว


 


 


หวงฝู่ซวิ่นหยั่งเชิงถามว่า “เกิดเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”


 


 


ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนเดาอะไรได้บ้างแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจ ส่ายหน้าเล็กน้อย


 


 


องครักษ์เงารวดเร็วเป็นอย่างมาก กลับมาทันทีหลังจากหวงฝู่ซวิ่นอิ่มท้องจากมื้อกลางวัน รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนมหาเสนาบดีตามจริงว่า “เรื่องใหญ่เรื่องเดียวที่เกิดขึ้นในจวนมหาเสนาบดีคือครึ่งเดือนที่ผ่านมาเฮ่อเหลี่ยนรับขอทานผู้หนึ่งมาเป็นอนุขอรับ เรื่องนี้ในจวนรู้กันทั่ว สิ่งที่ทำให้น่าสงสัยก็คือ ขอทานผู้นี้เคยถูกเขาไล่ออกจากบ้านมาเมื่อห้าปีที่แล้ว”


 


 


ในหัวของหวงฝู่อี้เซวียนมีอะไรบางอย่างแวบเข้ามา พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น ถามอย่างร้อนรนว่า “อนุน้อยคนนั้นชื่ออะไร!”


 


 


องครักษ์เงาตกใจกับน้ำเสียงของเขา จึงถอยหลังไปเล็กน้อย ตอบอย่างเกรงกลัวว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ได้ถามขอรับ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นสังเกตได้ว่ามีสิ่งใดผิดปกติกับเขา จึงตวาดองครักษ์ว่า “ไร้ประโยชน์สิ้นดี ยังไม่รีบไปสืบมาอีก”


 


 


องครักษ์เงาตอบรับ หันหลังและรีบไปทันที


 


 


หลังจากที่ทั้งสองรอด้วยความร้อนใจนั้น ไม่นานองครักษ์เงาก็รีบกลับมารายงานว่า “เมื่อครู่ข้าน้อยไปถามมาแน่ชัดแล้ว นางมีชื่อว่าหลิวลี่ขอรับ”


 


 


ในหัวของหวงฝู่อี้เซวียนมีเสียงดังขึ้น ใช่แล้ว หลิวลี่โตมากับเมิ่งเชี่ยนโยว รู้จักความเป็นไปของนางเป็นอย่างดีกว่าใครอื่น เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนไปมากมายเพียงนี้ นางจะไม่รู้ได้อย่างไร หากเฮ่อจางนำเรื่องนี้ไปบอกฮ่องเต้ อย่างนั้นจุดจบของเมิ่งเชี่ยนโยว… ไม่กล้าแม้แต่จะคิด และก็ไม่กล้าจะคิดต่อไป หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับหวงฝู่ซวิ่นด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ใหญ่ ท่านรีบกลับวังไป ส่งคนไปจับตามองเฮ่อกุ้ยเฟยและองค์ชายหกทุกฝีก้าว หากมีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย ให้รีบส่งคนมาแจ้งข้า และรีบระดมพลสายสืบที่จวนเฮ่อ ให้จับตามองความเป็นไปทุกอย่างในนั้นทุกกระเบียดนิ้ว”


 


 


เมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้ากดดัน ราวกับว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น หวงฝู่ซวิ่นก็รู้ได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ จึงถามว่า “แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เล่า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่กล้าพูดความจริง พูดกึ่งจริงกึ่งเท็จว่า “ตอนนี้ยังไม่มั่นใจ แต่พวกเฮ่อจางคงจะคิดหาวิธีเลวร้ายมาเพื่อใส่ร้ายเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่แน่”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นตกใจ เขารู้ดีถึงความรู้สึกที่หวงฝู่อี้เซวียนมีต่อเมิ่งเชี่ยนโยว หากเกิดอะไรขึ้นกับเมิ่งเชี่ยนโยว อย่างนั้นเขาคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ พาคนกลับวังไปอย่างรีบร้อน และรีบสั่งการทันที


 


 


 


 


หลังจากที่องค์ชายหกออกมาจากตำหนักของเฮ่อกุ้ยเฟยแล้ว มองสีของท้องฟ้า ครุ่นคิดอยู่ครู่ และเดินตรงไปยังตำหนักไทเฮา รอจนขันทีหน้าห้องเรียนไทเฮาแล้ว เขาก็เดินเข้าไป หลังคารวะไทเฮาแล้ว ก็ยืนอยู่ตรงหน้านางตามธรรมเนียม ยิ้มและพูดว่า “เสด็จย่าขอรับ วันนี้ข้าขอฝากท้องที่ตำหนักของท่านนะขอรับ”


 


 


ไทเฮายิ้มและกวักมือ ให้เขามานั่งข้างตน “เจ้าลิงตัวนี้นี่ มักจะตามกลิ่นของอร่อยมายังตำหนักข้าได้ตรงเวลาทุกที”


 


 


องค์ชายหกสูดจมูกเป็นท่าประกอบ “เสด็จย่าตรัสถูกแล้วขอรับ ข้ากำลังอ่านหนังสือทบทวนตำราอยู่ที่ตำหนัก ได้กลิ่นหอมโชยมา จึงได้เดินตามกลิ่นนั่นมา นี่ก็เพิ่งทราบว่าโชยมาจากตำหนักของเสด็จย่านี่เองขอรับ”


 


 


ไทเฮาถูกล้อเล่นจนหัวเราะออกมา พูดว่า “เจ้านี่นะ ช่างพูดเสียจริง ไม่รู้ว่าได้ใครมา”


 


 


องค์ชายหกกล่าวว่า “ข้าโตมากับท่าน ก็ต้องเหมือนท่านสิขอรับ”


 


 


ไทเฮาหัวเราะอีกครั้ง


 


 


นางกำนัล และขันทีที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้างเม้มปาก องค์ชายหกมักจะมาหาไทเฮา ไม่เพียงแต่ทำให้ไทเฮามีความสุข แล้วยังดีต่อพวกเขาอีกด้วย มักจะมอบของเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขา ดีกว่าไท่จื่อที่มาทำความเคารพตามธรรมเนียม และเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไร


 


 


ไทเฮาถูกเขาล้อเล่นจนอารมณ์ดีขึ้น องค์ชายหกกดเสียงทุ้มต่ำลง พูดอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “เสด็จย่าขอรับ ไม่กี่วันมานี้หลานได้ยินเรื่องสนุกบางอย่างมาขอรับ ท่านอยากฟังหรือไม่ขอรับ”


 


 


ไทเฮาถูกขังอยู่ในวังมาทั้งชีวิต ชอบฟังเรื่องเล่าของชาวบ้านยิ่งนัก เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มว่า “เรื่องสนุกอะไรหรือ เล่าให้ข้าฟังที”


 


 


เขากวาดตามองคนในห้อง องค์ชายหกกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ข้าเกรงว่าหากรู้กันมากคนเข้า เจ้าของเรื่องจะเสียหายได้ เสด็จย่าให้พวกเขาออกไปด้านนอกก่อนได้หรือไม่ขอรับ ข้าอยากเล่าให้ท่านฟังผู้เดียว”


 


 


“เจ้าลิงซนตัวนี้นี่ ทำลับๆ ล่อๆ ไปได้ หากข้าฟังแล้วไม่สนุกล่ะก็ จะสั่งคนโบยเจ้าให้ดู” แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ก็โบกมือสั่งให้บ่าวไพร่ออกไปด้านนอก กระทั่งกูกูผู้ดูแลก็ยังถูกสั่งให้ไปยืนอยู่นอกประตู รับสั่งว่า “พวกเจ้าไปรอด้านนอก อย่าให้ใครเข้ามา ข้าจะรอฟังดูทีว่าเขาจะเล่าเรื่องสนุกอะไร”


 


 


กูกูผู้ดูแลถอยออกไป ปิดประตูเบามือ และยืนรออยู่ด้านนอก


 


 


“เล่ามาสิ เรื่องสนุกอะไร” ไทเฮายิ้มตรัส


 


 


องค์ชายหกจงใจเกริ่นให้นางอยากรู้ พูดเสียงเบาว่า “หลานรับรองได้เลยขอรับว่าเรื่องสนุกนี้ เสด็จย่าจะต้องไม่เคยได้ยินที่ใดมาก่อนแน่”


 


 


ไทเฮาถลึงตาใส่เขา ยกมือขึ้นทำท่าจะตีเขา “นี่เจ้าแกล้งทำให้ย่าอยากรู้อย่างนั้นหรือ อยากถูกตีใช่หรือไม่”


 


 


องค์ชายหกยิ้มอ้อนวอน “เสด็จย่า ไว้ชีวิตหลานคนนี้ด้วยขอรับ หลานจะเล่าเดี๋ยวนี้ขอรับ”


 


 


ไทเฮาหัวเราะ


 


 


นางกำนัลด้านนอกมองตากัน และหัวเราะตามออกมา ทุกครั้งที่องค์ชายหกมาที่นี่พวกนางก็จะถือว่าได้พักผ่อนไปด้วย


 


 


เมื่อเห็นว่าจุดไฟติดแล้ว องค์ชายหกกลืนน้ำลาย เตรียมเล่าว่า “ข้าได้ยินมาว่า ณ สถานที่แห่งหนึ่งของรัฐอู่ มีเด็กสาวคนหนึ่ง…”


 


 


เขาปรุงแต่งน้ำเสียงให้น่าสนใจ ไทเฮาฟังแล้วเพลิน และยังคอยส่งเสียงออกมาจากลำคอเป็นระยะ “อัยหยา เด็กคนนี้นี่พิลึกจริง ล้มหัวฟาดพื้นแล้วกลับเก่งขึ้นเพียงนี้เชียวหรือ”


 


 


องค์ชายหกพยักหน้าเห็นด้วย “ใครว่าไม่ใช่ล่ะขอรับ ดังนั้นคนในหมู่บ้านนั้นต่างก็แปลกใจมาก แต่ว่านางทำประโยชน์ให้คนในหมู่บ้าน ทุกคนจึงได้ลืมความสงสัยนี้ไป”


 


 


ไทเฮากำลังฟังอย่างออกรส เร่งให้เขาเล่าต่อ “เจ้ารีบพูดต่อเร็วเข้า ต่อมาเด็กสาวคนนี้เป็นอย่างไรต่อ”


 


 


“หลังจากนั้น…” เขามองไทเฮาเล็กน้อย องค์ชายหกพูดกึ่งจริงกึ่งเท็จว่า “จากนั้นเด็กคนนี้ก็เข้ามาในเมืองหลวง ได้ยินมาว่านางมาหาสามีที่ไม่ได้พบกันมานานสี่ปีแล้ว”


 


 


ไทเฮาผงะไป จากนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า “แม่นางผู้นี้อายุยังน้อยอยู่ไม่ใช่หรือ จะมีสามีได้อย่างไร”


 


 


“ได้ยินมาว่าสามีของนางนั้นได้หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้วขอรับ”


 


 


ไทเฮาพยักหน้า “อย่างนั้นก็ไม่น่าแปลกใจแล้ว ที่ชนบทมักจะทำการหมั้นหมายให้เด็กๆ อยู่มาก” จากนั้นก็เร่งต่อไปว่า “รีบเล่าต่อสิ จากนั้นเป็นอย่างไร”


 


 


“จากนั้นน่ะหรือขอรับ…” มองสีหน้าของเขา องค์ชายหกเริ่มเล่าต่อ


 


 


ตอนแรกไทเฮาฟังอย่างออกรส แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ รู้สึกว่าเรื่องที่เขาเล่านั้นช่างคุ้นหูยิ่งนัก โดยเฉพาะช่วงที่บอกว่าสามีของนางเป็นลูกของคนสูงศักดิ์ที่ที่พลัดจากครอบครัว เมื่อหากันพบแล้วก็รังเกียจที่นางต้นตระกูลต่ำต้อย ไม่ยอมรับเรื่องการหมั้นหมาย เหมือนกับตอนที่นางสั่งยุติการหมั้นหมายของอี้เซวียนไม่มีผิด


 


 


ไทเฮายกแก้วชามาดื่ม สงบสติอารมณ์ และเปิดปากถามว่า “เพราะอะไร”


 


 


“เพราะว่านางไม่ใช่หญิงสาวคนเดิมอย่างไรล่ะขอรับ แต่เป็นปิศาจมาสิงร่าง”

 

 

 


ตอนที่ 216 ข้าเอาหัวเป็นประกัน

 

เพล้ง ถ้วยชาในมือของไทเฮาหล่นลงพื้นแตกละเอียด


 


 


นางกำนัลที่ถวายการรับใช้อยู่ด้านนอกตกใจเพราะเสียงนี้จนตัวสั่น


 


 


ไม่รอให้คนสนิทต้องเอ่ยถาม องค์ชายหกรีบลุกขึ้น พูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “เสด็จย่า ท่านตกพระทัยหรือขอรับ หลานผิดเองหลานไม่ควรเล่าเรื่องเช่นนี้ให้ท่านฟังเลย”


 


 


ไทเฮาอย่างไรก็เป็นไทเฮา นางอาศัยอยู่ในวังหลวงมากว่าครึ่งชีวิต เป็นผู้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในวัง หลังจากตกใจแล้ว ก็รีบสงบขึ้นทันที แม้ว่าจะไม่ได้เผยรอยยิ้มออกมา แต่ก็ยังโบกไม้โบกมือและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนไปว่า “ไม่เป็นไร มือข้าลื่นไปหน่อยเท่านั้น”


 


 


องค์ชายหกเก็บสีหน้าตกใจไว้ “อย่างนั้นก็ดีขอรับ หลานคิดว่าเรื่องสนุกที่เล่าให้ท่านฟัง ทำให้ท่านตกพระทัยเสียแล้ว มิเช่นนั้น หลานคงมีความผิดใหญ่หลวงนัก” พูดจบก็รีบแก้ตัวว่า “หลานเองก็ได้ยินคนเขาเล่าต่อกันมาเท่านั้น หลานเล่าให้ฟัง ท่านก็ฟังให้เพื่อสนุกก็พอ ขออย่าเอาเรื่องนี้ไปใส่พระทัยเลยขอรับ”


 


 


จะไม่ใส่ใจได้อย่างไรเล่า และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ใส่ใจ หากว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจมาสิงร่างจริงๆ อย่างนั้นจะต้องทำลายครอบครัวของลูกชายตนเป็นแน่ นางจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเด็ดขาด


 


 


กูกูผู้ดูแลถามจากหน้าประตูด้วยความเป็นห่วง “ไทเฮา ต้องการให้หม่อมฉันเข้าไปเก็บกวาดหรือไม่เพคะ”


 


 


“เข้ามาสิ” ไทเฮาตอบรับ


 


 


กูกูผู้ดูแลเข้ามา เมื่อเห็นเศษแก้วบนพื้น จึงได้รีบสั่งในนางกำนัลรีบมาเก็บกวาดทันที


 


 


เมื่อสงบสติแล้ว ไทเฮารับสั่งให้จัดโต๊ะอาหาร แม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยน แต่เห็นได้ชัดว่าเสวยอาหารได้น้อยลง


 


 


องค์ชายหกเห็นทุกอย่าง รู้แล้วว่าไทเฮาเริ่มสงสัย จึงไม่ได้พูดอะไรมากกว่าเดิม หลังจากจบมื้ออาหารแล้ว ก็กลับไปที่ตำหนักตัวเอง


 


 


ไทเฮากลับนอนเงียบไม่พูดไม่จาบนเสื่อนิ่ม ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่


 


 


แม้ว่าเสียงของทั้งสองจะเบามาก แต่กูกูผู้ดูแลก็พอจะได้ยินคร่าวๆ นางตกใจอย่างที่สุด คำพูดกำกวมขององค์ชายหกได้ทำให้ไทเฮาเกิดความสงสัยขึ้นแล้ว นางต้องหาวิธีออกจังวังไปรายงานซู่อิงให้รู้เรื่อง


 


 


ขณะเดียวกันนั้น ไท่จื่อที่เพิ่งกลับตำหนักมาก็ได้ทราบข่าวแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน


 


 


ถึงขนาดทำเป็นความลับเช่นนี้ ไท่จื่อระแวงขึ้นมาทันที หลังจากส่งคนไปส่งข่าวให้หวงฝู่เซวียนเรียบร้อยแล้วนั้น ก็ได้สั่งสายสืบในตำหนักเฮ่อกุ้ยเฟยให้จับตามองเขาอย่างใกล้ชิด ห้ามมิให้คลาดสายตาไปได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสัมผัสได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนมีเรื่องในใจ จึงนั่งลงข้างเขาเงียบๆ รอให้เขาพูดออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนทำทีจะเปิดปากพูดและก็ได้หยุดไปอยู่หลายครั้ง ราวกับว่าไม่รู้จะพูดว่าอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับปลอบเขาด้วยรอยยิ้ม “หากไม่สะดวกจะพูดตอนนี้ ก็รอให้เจ้าพร้อมก่อนค่อยว่ากันก็ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกุมมือนางไว้แน่น ให้สัญญาอย่างจริงจังว่า “โยวเอ๋อร์ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไปเป็นเด็ดขาด”


 


 


บัดนี้เฮ่อกุ้ยเฟยก็กำลังคิดหาวิธิ ไม่มีความลับในวังหลวง แม้ว่านางและพ่อจะคุยกันด้วยเสียงเบา แต่ไม่มีใครรับรองได้ว่าจะไม่มีคนได้ยิน หากพวกเขารู้เรื่องแล้วและเตรียมตัวแล้ว อย่างนั้นจะเอาเมิ่งเชี่ยนโยวให้ถึงตายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แผนการณ์ตอนนี้ ก็คือให้ฝ่าบาทรู้เรื่องเร็วที่สุด จากนั้นก็รีบตัดสิน อย่าให้พวกเขามีเวลาเตรียมตัว แต่สิ่งอื่นใดคือนางจะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้ได้ก่อน


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ยืนขึ้น เปิดกล่องเครื่องประดับของนางออกมา กัดฟันหยิบสร้อยทองออกมามอบให้กูกูผู้ดูแลของตัวเอง และสั่งการไป


 


 


นางกำนัลรับสร้อยทอง มาพบขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ตามคำสั่งของนาง แอบมอบสร้อยทองให้เขา และพูดว่า “กุ้ยเฟยมีเรื่องอยากจะรบกวนท่าน คืนนี้ช่วยทำให้ฝ่าบาทไปหานางที่ตำหนัก”


 


 


นางสนมหลายคนมักจะวนเวียนมาติดสินบนเขาเพื่อจะให้ช่วยทูลฝ่าบาทให้ไปพบพวกนาง ขันทีชินกับเรื่องเช่นนี้เสียแล้ว แต่สำหรับเฮ่อกุ้ยเฟยนั้นนี่นับเป็นครั้งแรก แถมยังมือหนักเสียด้วย แน่นอนว่าขันทีจะต้องทำตามด้วยความยินดียิ่ง อันที่จริงเฮ่อกุ้ยเฟยก็เป็นคนโปรดอยู่แล้ว ให้ฝ่าบาทไปหานางไม่ใช่เรื่องยากอะไร พูดว่า “เจ้ากลับไปรายงานกุ้ยเฟยว่าเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า”


 


 


นางกำนัลตอบรับ กลับมารายงานเฮ่อกุ้ยเฟย


 


 


เฮ่อกุ้ยเฟยดีใจออกนอกหน้า เตรียมตัวจัดการตัวเองให้สะอาดทั้งนอกและใน รอให้ฝ่าบาทเสด็จมา


 


 


และเมื่อฟ้ามืดฮ่องเต้ก็เสด็จมาพบนางที่ตำหนักจริงๆ เฮ่อกุ้ยเฟยงัดวิชามารยาทุกอย่างมาใช้ หลังจากถวายการปรนนิบัติอย่างหวานชื่นเรียบร้อยแล้วนั้นก็อาศัยจังหวะที่ฝ่าบาทกำลังพึงพอใจอยู่เล่าเรื่องเป่าหูเขา


 


 


เช้าวันต่อมา ฝ่าบาทจากไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางกำนัลในตำหนักของเฮ่อกุ้ยเฟยตกใจเป็นอย่างมาก คิดว่าเฮ่อกุ้ยเฟยทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย เกรงว่าภายหน้าจะถูกส่งตัวไปยังตำหนักเย็นเป็นแน่


 


 


มีเพียงเฮ่อกุ้ยเฟยรู้ดีว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงเป็นเช่นนี้ สีหน้าของนางมีความสุขเป็นอย่างมาก


 


 


และช่วงออกว่าราชเช้านั้นฝ่าบาทจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย เฮ่อจางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ รู้ดีว่าได้เวลาแล้ว จึงได้ยืนขึ้น และกล่าวทูลเสียงดังว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฝ่าบาทมองเขาเล็กน้อย พูดว่า “ว่ามา”


 


 


“วันนี้ชาวบ้านมีข่าวลือ บอกว่าองค์หญิงชิงเหอคนใหม่ที่เพิ่งได้การรับแต่งตั้งไปเป็นปิศาจที่มาสิงร่างพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าจะมีอันตรายมาถึงตัวฝ่าบาทได้ กระหม่อมจึงจะมาขอร้องให้ฝ่าบาทประหารนางเสีย”


 


 


ในวังเกิดความวุ่นวายขึ้นในบัดดล เหล่าขุนนางต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์


 


 


อ๋องฉีผงะอยู่ที่เดิม


 


 


สีพระพักตร์ที่เดิมทีเคร่งขรึมของฝ่าบาทน่ากลัวยิ่งขึ้น โน้มร่างไปด้านหน้า ทอดพระเนตรเฮ่อจางด้วยความโกรธเคืองและตรัสด้วยเสียงดังว่า “พูดจาเหลวไหลทั้งเพ องค์หญิงแห่งชิงเหอมอบโอกาสรอดชีวิตไปให้ชาวบ้านชาวหลินเฉิง ช่วยเราแก้ไขปัญหาหนักใจไปได้ แล้วจะเป็นปิศาจมาสิงร่างได้อย่างไรกัน”


 


 


เฮ่อจางเป็นขุนนางมานานหลายปี เขารู้ใจของฝ่าบาทเป็นอย่างดี รู้ว่าเขาได้เชื่อคำพูดนี้ไปเสียแล้ว แต่ที่ต้องตำหนิเขาก็เพื่อจะหาเกราะป้องกันตัวเอง จะได้มีคำอธิบายที่เหมาะสมให้คนในราชสำนักทราบ อย่างนี้ก็ยิ่งเสริมให้เขาแสดงหลักฐานได้ง่ายขึ้น


 


 


เสแสร้งทำทีทรุดเข่าลงด้วยความกลัว ตะโกนร้องอยากตื่นตระหนก “ฝ่าบาท กระหม่อมมั่นใจยิ่งนักพ่ะน่ะค่ะ”


 


 


น้ำเสียงที่ฝ่าบาทถามมีความร้อนรนมากขึ้น “จะพิสูจน์ได้อย่างไร”


 


 


เฮ่อจางพูดเสียงดังขึ้น “สิบกว่าวันก่อนกระหม่อมได้ยินเรื่องนี้ เกิดแปลกใจ เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท จึงได้ส่งองครักษ์เงาและองค์รักษ์ประจำจวนรวมทั้งบ่าวรับใช้จำนวนสามกลุ่ม ผลัดกันไปสืบเรื่องที่ตำบลชิงซี ข้อมูลที่ได้ก็ตรงกัน องค์หญิงคนนี้แต่ก่อนเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอกธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีความพิเศษอะไร จนกระทั่งเมื่อถึงตอนอายุ 12 ปี หลังจากที่ตกลงมาจากบนเขาแล้วนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ไม่เพียงแต่รู้เรื่องที่ชาวบ้านไม่รู้ แล้วยังรู้วิชาแพทย์ขั้นสูงอีกด้วย”


 


 


อ๋องฉีได้สติกลับมา พูดด้วยเสียงไม่พอใจว่า “นี่มันหลักฐานอะไรกัน แม่นางเมิ่งฉลาดมาตั้งแต่เกิด จะเรียนอะไรก็ทำได้ดีทั้งหมด มันไม่ได้หรืออย่างไร”


 


 


เฮ่อจางหันไปมองเขา หัวเราะออกมา “ท่านอ๋องฉีช่างพูดไปไกลเหลือเกิน ข้าขอถามหน่อยว่าเด็กสาวที่เดินทางไปไกลสุดก็เพียงในเมืองเท่านั้น ต่อให้ฉลาดหลักแหลมเพียงใด ก็ไม่มีทางเรียนการแพทย์ได้ในเร็ววันเพียงนั้นหรอกใช่หรือไม่”


 


 


อ๋องฉีพูดไม่ออก อย่างอื่นยังพอหาเหตุผลมาถูไถได้ แต่เรื่องวิชาการแพทย์นี่สิไม่ใช่ของที่จะเป็นกันง่ายๆ เสียด้วย


 


 


เมื่อได้ยินเฮ่อจางพูดอย่างมีเหตุมีผล หลักฐานแน่ชัด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนางก็ยิ่งดังขึ้น พวกอยู่เป็นก็เข้าข้างเฮ่อจาง รีบยืนขึ้นพูดว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ฝ่าบาทอย่าเก็บนังปิศาจผู้นี้เอาไว้ให้มาแว้งทำร้ายท่านได้เลย”


 


 


สิ้นเสียงเขา จากนั้นก็มีขุนนางหกเจ็ดคนยืนขึ้น พูดเสียงดัง


 


 


สีหน้าของฮ่องเต้ยังคงเคร่งเครียดเช่นเดิม แต่กลับไม่พูดอะไร


 


 


อ๋องฉีเองก็ยืนขึ้น และก้มลงคารวะ “ฝ่าบาท สิ่งที่แม่นางเมิ่งทำไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเป่ยเฉิง ให้ได้กินอิ่มมีเสื้อผ้านุ่งให้อบอุ่น หรือจะเป็นการช่วยผู้ประสบภัยที่หลินเฉิง ให้รอดชีวิตได้ ทั้งสองเรื่องนี้ มีเรื่องใดไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองหรือพ่ะย่ะค่ะ หากนางเป็นปิศาจมาสิงร่างจริง แล้วจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”


 


 


อ๋องฉีมีความดีความชอบเรื่องที่ได้ไปช่วยรบ อีกทั้งยังเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันกับฝ่าบาท ฝ่าบาททรงได้ยกเว้นการหมอบกราบสำหรับเขาไปนานหลายปีแล้ว ไม่เพียงคนทั้งหมดที่แปลกใจ แต่ฝ่าบาทเองก็ยังตกพระทัยไม่น้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวหลังเขาผู้นั้นไม่เพียงแต่ล่อลวงให้หวงฝู่อี้เซวียนหลงเสน่ห์ แต่แม้แต่พระอนุชาที่ฉลาดหลักแหลมผู้นี้ ก็ยังถูกนางโปรยเสน่ห์ใส่ เริ่มมั่นใจขึ้นว่านางจะต้องเป็นปิศาจแปลงกายมาเป็นแน่


 


 


การคุกเข่าของอ๋องฉีทำให้เหล่าขุนนางต่างตกใจมาก ดูตามสถานะของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เป็นซื่อจื่อเฟย[1]ของจวนอ๋อง และก็เป็นลูกสะใภ้ของอ๋องฉี การที่อ๋องฉียอมคุกเข่าทั้งที่ไม่ได้ทำมานานนั้น ก็เพื่อขอร้องแทนลูกสะใภ้ นี่ นี่ นี่… เหล่าขุนนางไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบาย


 


 


ผู้ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับอ๋องฉีไม่ปล่อยให้เขาสู้อยู่ผู้เดียวและแพ้เช่นนี้ จึงค่อยๆ ยืนขึ้นขอความเมตตา


 


 


ในท้องพระโรงเกิดความวุ่นวายขึ้นในบัดดล


 


 


ฝ่าบาทบรรทมไม่หลับทั้งคืนด้วยเรื่องที่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจ ไม่ค่อยมีแรงอยู่แล้วแต่แรก บัดนี้ได้ยินเสียงดังวุ่นวายของขุนนาง ในหัวเกิดเสียงดังหึ่งขึ้น อารมณ์ก็แย่ลงขึ้นเรื่อยๆ ทรงทุบโต๊ะด้วยความพิโรธ ตรัสด้วยน้ำเสียงโกรธกริ้วว่า “หุบปากให้หมด!”


 


 


ขุนนางที่ทะเลาะกันอยู่เมื่อครู่เงียบเสียงลงทันที และรู้ตัวว่าทำเช่นนี้ไม่ควร ในใจสั่นระรัว ก้มหน้าลง รอคำต่อว่าของฝ่าบาทด้วยความเกรงกลัว


 


 


ในพระทัยของฝ่าบาทมีแต่เรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่มีพระทัยไปตำหนิพวกเขา ทอดพระเนตรไปยังอ๋องฉีที่คุกเข่าลงอยู่เล็กน้อย ตรัสกับเฮ่อจางด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ท่านมหาเสนาบดี ที่ท่านพูดมาเป็นเพียงคำพูดลอยๆ เท่านั้น ในโลกใบนี้มีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้น การที่องค์หญิงมีการเปลี่ยนแปลงไปมากนั้น ก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่านางเป็นปิศาจมาสิงร่าง”


 


 


เฮ่อจางคำนับ และทูลว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อมก็ได้ไตร่ตรองแล้ว เมื่อวานจึงได้ออกจากเมืองหลวงและไปรับพระเซวี่ยนชิงที่วัดชิงอวิ๋นมายังจวนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่า เมื่อใดที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้คนไปนำตัวองค์หญิงแห่งชิงเหอมา และให้พระท่านทำพิธีไล่ นางจะต้องกลับคืนร่างเดิมเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พระเซวี่ยนชิงเป็นพระที่มีวิชาสูง เข้าใจธรรมลึกซึ้งถึงขนาดที่ว่าฝ่าบาทและขุนนางหลายคนรวมทั้งชาวบ้านต่างก็นับถือ หากว่ามีภูติผีปิศาจจะไม่มีทางรอดพ้นสายตาของเขาเป็นแน่ สิ้นคำของเฮ่อจาง เหล่าขุนนางต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา


 


 


แต่ครั้งนี้ฝ่ายของอ๋องฉีไม่มีเหตุผลมาโต้แย้ง


 


 


ภายนอกฮ่องเต้ดูนิ่งเฉย ตรัสว่า “องค์หญิง เป็นตำแหน่งที่เราพระราชทานให้ และยังเป็นซื่อจื่อเฟยของอี้เซวียนด้วย หากเป็นปิศาจมาสิงร่างจริง เราก็จะไม่ปล่อยเอาไว้แน่ จะสั่งคนให้ไปตัดหัวนาง แต่หากไม่ใช่ หากเราทำเช่นนั้นลงไปจะทำให้ราษฎรเกิดความหวาดกลัวขึ้นได้ ถึงตอนนั้นเราจะมีหน้าไปพบชาวบ้านได้อย่างไร ภายหน้าจะมีใครยอมเสียสละทำเพื่อเราอีก”


 


 


เหล่าขุนนางพยักหน้า


 


 


แต่ในใจของเฮ่อจางกลับก่นด่าฝ่าบาทอยู่หลายครั้ง ในเมื่อเชื่อเรื่องนี้ไปแล้ว แต่กลับไม่พูดออกมา อย่างมากก็แค่ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาผู้ทรงธรรม และให้ตนแบกรับความรับผิดชอบไว้ผู้เดียว ดังนั้นบัดนี้เขาไม่มีทางออกอีก หากวันนี้ไม่สามารถทำให้ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ไปลากตัวเมิ่งเชี่ยนโยวมา หลังจากว่าราชการแล้ว นางรู้ข่าวเข้า ไม่แน่ว่าอาจจะหนีไปได้ ถึงตอนนั้นจะไปจับตัวมาก็ยาก เขากัดฟันกรอด คำนับ พูดเสียงดังว่า “กระหม่อมขอใช้หัวเป็นประกัน หากองค์หญิงแห่งไม่ใช่ปิศาจ กระหม่อมก็จะลาออกจากจากตำแหน่ง และกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


รอประโยคนี้ของเฮ่อจางมานานแล้ว สีพระพักตร์ของฝ่าบาทไม่เปลี่ยนไป แต่ผ่อนคลายลงมาก กวาดพระเนตรไปยังทุกคน ตรัสว่า “ในเมื่อมหาเสนาบดีกล่าวเช่นนี้แล้ว ทุกท่านมีความคิดเห็นเช่นไรบ้าง”


 


 


ทุกคนต่างรู้จักสังเกตสีพระพักตร์ เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทผ่อนคลายลง ทุกคนรับรู้ได้ มีคนเห็นด้วยทันที “กระหม่อมเห็นว่าวิธีของท่านมหาเสนาบดีใช้ได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เมื่อมีคนหนึ่งเห็นด้วย คนอื่นๆ ก็คล้อยตามมา พลังนี้กดความโกรธของอ๋องฉีลงไป ฝ่าบาทตรัสเรียกเขา ในน้ำเสียงแฝงด้วยความเหนื่อยหน่ายและรู้สึกผิด เพื่อจะบอกว่าแม้พระองค์จะเป็นฮ่องเต้ แต่เรื่องนี้พระองค์ก็ไม่สามารถตัดสินเองได้


 


 


อ๋องฉีนอกจากจะรู้สึกตกใจแล้ว บัดนี้สงบลงมาก กล่าวทูลว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อมหาเสนาบดีมั่นใจเช่นนี้ ยอมเอาตำแหน่งมาเสี่ยง กระหม่อมก็ไม่มีข้อโต้แย้งใด มีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น”


 


 


“กระหม่อมขอร้องให้ทำพิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวในอีกสามวันพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ไม่ได้” เฮ่อจางปฎิเสธเสียงแข็ง “เวลาสามวันนานเกินไป หากนางหาโอกาสหนีไปจะทำเช่นไร”


 


 


ท่านอ๋องมองเขาอย่างไม่ใส่ใจ กล่าวว่า “ข้าจะขอใช้หัวเป็นประกันว่านางจะไม่หนี เป็นอย่างไร”


 


 


 


 


 


 


 


[1] ซื่อจื่อเฟย พระชายาเอกของซื่อจื่อ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)