ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 211-213
ตอนที่ 211-2 แรงเกินเหตุ
พระชายาเปลี่ยนบทสนทนา ถามต่อว่า “แผลของเจ้าสืบได้แล้วหรือยังว่าเป็นฝีมือของผู้ใด”
สุดท้ายก็ยังไม่สามารถเลี่ยงประเด็นนี้ไปได้ ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวอ่อนแรง นั่งลงบนเบาะอีกครั้ง
เสียงของพระชายาดังขึ้นอีกครั้ง “อย่าคิดปิดบังข้า หากเจ้าไม่พูดความจริง ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า และตอบนางตามความสัตย์จริง “ทั้งสองคนนั้นปลิดชีพตัวเองคาที่ กัวเฟยค้นของที่อยู่บนตัวพวกเขาทั้งหมดแล้ว แต่ก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่น้อย”
พระชายาไม่พูดอะไร มองหน้านางนิ่งๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา พูดว่า “หม่อมฉันและอี้เซวียนต่างก็สงสัยว่าเฮ่อจางจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ชั่วร้ายนี่เพคะ แต่ยังไม่มีหลักฐานอะไร”
พระชายาหรี่ตาลง
เมิ่งเชี่ยนโยวชูมือขึ้นสาบาน “ที่หม่อมฉันพูดเป็นความสัตย์จริงทั้งสิ้น หม่อมฉันและอี้เซวียนต่างไม่มีหลักฐาน ไม่เช่นนั้นคงจะเล่นงานเขาไปนานแล้วเพคะ”
ความโกรธของพระชายาแผ่เอาความอำมหิตไปทั่ว พูดว่า “เห็นทีเขาคงจะเป็นพวกเจ็บแล้วไม่จำสินะ ในเมื่อเขาต้องการชีวิตของพวกเจ้า อย่างนั้นก็อย่าคิดจะมีชีวิตต่อไปอีกเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าติดกัน เห็นด้วยกับความเห็นของนาง “เขาคงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ท่านวางใจเถิด ไม่นานหม่อมฉันและอี้เซวียนจะจัดการเขาเองเพคะ”
แต่พระชายารู้ดี “ไม่ง่ายเพียงนั้นหรอก หากเฮ่อกุ้ยเฟยยังอยู่ เฮ่อจางก็ไม่มีทางล้มได้”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดถึงเฮ่อกุ้ยเฟยอยู่นั้น หวงฝู่อี้เซวียนได้ตรงไปถึงตงกง เมื่อพบกับหวงฝู่ซวิ่นก็พูดออกไปตรงๆ ว่า “เจ้าหาวิธีเล่นงานองค์ชายหกที ใช้เขาเป็นเครื่องตักเตือนเฮ่อจาง ว่าหากเขายังไม่หยุดลงมือและปล่อยโจวเสี้ยว โจวหลี่ออกมา ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน”
องค์ชายหกเป็นลูกชายของเฮ่อกุ้ยเฟย เป็นเสาหลักของตระกูลเฮ่อในภายภาคหน้า ฉลาดปราดเปรื่องตั้งแต่เด็ก รู้จักสังเกตการณ์ ใครเห็นใครก็รัก ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ที่ทั้งรักและตามใจเขา แม้กระทั่งไทเฮาเองก็ยังชื่นชมเขาไม่หยุดปาก โดยเฉพาะหลายปีมานี้มีท่าทีจะยื้อแย่งตำแหน่งแทนไท่จื่อไป แน่นอนว่าหวงฝู่ซวิ่นจะต้องรู้สึกไม่ชอบใจเป็นแน่ คิดอยากหาโอกาสเล่นงานเขามานานแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ต้องการให้รุนแรงเพียงใด”
“ขอเพียงให้ออกมาเพ่นพ่านไม่ได้สักสามสี่วันก็เป็นพอ จากนั้นก็ส่งคนไปแจ้งข่าวเฮ่อจางว่าหากอีกสองวันไม่เห็นว่าสองคนนั้นได้ออกจากคุกล่ะก็ พวกเขาก็อย่าหวังว่าจะมีเสาหลักอยู่อีกต่อไปเลย”
หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า “คืนนี้ข้าจะส่งข่าวให้เจ้า” จากนั้นก็ถามว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ชอบใช้วิธีสกปรกแบบนี้หรอกหรือ คราวนี้เป็นอย่างไร คิดได้แล้วหรือ”
“อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงลูกชายแท้ๆ ของท่านลุง ข้าไม่อยากให้เกิดศึกสายเลือด จึงได้ไม่เคยลงมือจัดการเขา แต่ในเมื่อเฮ่อจางบังคับบีบให้ข้าต้องทำ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าแล้ว”
หวงฝู่ซวิ่นยิ้มมุมปาก พูดกับเขาด้วยท่าทีไม่จริงจังว่า “ดูจากท่าทีของเฮ่อจางและเฮ่อกุ้ยเฟยแล้ว ศึกสายเลือดน่ะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว หวังว่าถึงตอนนั้นเขาจะอยู่ข้างข้า”
มองเขาเล็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “คนอื่นอาจจะไม่รู้แผนการณ์ของเจ้า แต่มีหรือข้าจะไม่รู้ หลายปีมานี้เจ้าทำราวกับแมวหยอกหนู คอยกลั่นแกล้งเขาอยู่ไม่น้อย”
หวงฝู่ซวิ่นหัวเราะเสียงดัง “เจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ เรื่องสนุกเพียงนี้รีบเผยออกมาทำไมกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น “เจ้าเองก็สมควรแก่การเพลามือลงได้แล้ว อย่าให้ผู้ใดมาจับทางได้ อีกอย่าง หากต้องการจะจัดการพวกเขาให้อยู่หมัด จะต้องคิดหาวิธีที่ได้ผล”
พูดจบ ก็เดินก้าวเท้ายาวๆ ออกไป
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่ซวิ่นเลือนหายไป พูดกับอากาศว่า “ได้ยินคำของซื่อจื่อชัดเจนแล้วใช่หรือไม่”
มีเสียงตอบกลับมาว่า “ได้ยินชัดแล้วขอรับ”
เสียงของหวงฝู่ซวิ่นมีความดุร้ายอยู่เล็กน้อย “ไปได้ จัดการให้เรียบร้อยด้วย หากทำเสียเรื่องก็อย่าโผล่มาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
มีเสียงตอบกลับว่า “ขอรับ” เบาๆ จากนั้นก็เงียบไป
หวงฝู่ซวิ่นนั่งอยู่ที่เดิม กำลังคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อออกจากวังมา หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบควบม้า กลับไปยังหนานเฉิง
เมิ่งเชี่ยนโยวและพระชายาพูดคุยกันอยู่กว่าชั่วยาม เมื่อคาดคะเนว่าอี้เซวียนน่าจะกลับไปแล้ว จึงได้กล่าวลาพระชายาและออกจากจวนอ๋องเพื่อกลับบ้าน เมื่อเห็นว่าเขากลับมาแล้วนั้น จึงได้ยิ้มและถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ช้าที่สุดวันมะรืนจะต้องถูกปล่อยตัวออกมา”
นางวางใจลงแล้ว ไม่ถามต่อแม้แต่ประโยคเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าครัวไปทำอาหารให้เขา
วันต่อมา ก็มีข่าวแว่วมาว่าเมื่อคืนองค์ชายหกตื่นขึ้นมากลางดึก แต่กลับสะดุดล้มลง แม้จะรู้ดีว่าคนไม่เป็นอันตรายอะไรมาก แต่ว่าแพทย์หลวงก็ได้แนะนำให้เขาพักผ่อนอยู่บนเตียงอย่างน้อยสามถึงห้าวัน
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป เฮ่อกุ้ยเฟยก็รีบรุดไปยังตำหนักของเขาทันที และถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
สีหน้าขององค์ชายหกคล้ำหมองมาก บอกกับท่านแม่ของตนว่ามีคนกำลังลอบทำร้ายตนอยู่
เฮ่อกุ้ยเฟยตกใจเป็นอย่างมาก กำลังจะไปทูลฝ่าบาท แต่ว่าองค์ชายหกห้ามเอาไว้ก่อน “เราไม่มีหลักฐานอะไร เสด็จพ่อไม่มีทางเชื่อเป็นแน่ อีกทั้งยังจะทำให้คนหัวเราะเยาะเอาได้ วันหน้าข้าจะระวังให้มากกว่านี้ขอรับ”
ไม่นานข่าวเกี่ยวกับองค์ชายหกก็แพร่มาถึงหูของเฮ่อจาง และหลังจากนั้นเขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง อักษรบนจดหมายนั้นสวยงามอ่อนช้อย แต่เนื้อความกลับทำให้เขาแทบจะหน้ามืด ในจดหมายบอกว่า “นี่เป็นเพียงบทลงโทษเล็กๆ เท่านั้น หากเวลานี้ของวันพรุ่งยังไม่มีข่าวดีมาอีกล่ะก็ เช่นนั้นเจ้าก็รอดูต่อไปได้เลย” แม้ว่าน้ำเสียงในจดหมายไม่ได้ดูโหดร้ายมาก แต่ใจในของเฮ่อจางกลับรู้สึกหนาวสั่นแปลกๆ เขาวางแผนมาทั้งชีวิต ให้ตนได้ขึ้นมาเป็นมหาเสนาบดีที่อยู่เหนือผู้คนใต้หล้า ต่ำกว่าเพียงคนผู้เดียว ซ้ำแล้วยังมีเสาหลักถึงสองเสาให้พึ่งพิง นั่นคือหวงฝู่อวี้ และอีกคนก็คือองค์ชายหก ตอนแรกเขาวางแผนจะฆ่าหวงฝู่อี้เซวียนเพื่อจะได้ช่วยให้หวงฝู่อวี้ได้ขึ้นตำแหน่งซื่อจื่อ
ส่วนองค์ชายหกที่เกือบจะเทียบฝ่าเท้ากับไท่จื่อได้แล้วนั้น ก็สามารถเข้ารับตำแหน่งไท่จื่อได้ หากได้รับการช่วยเหลือจากเขาและหวงฝู่อวี้ และจากนั้นก็จะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป อย่างนั้นตระกูลเฮ่อของเขาก็จะรุ่งเรืองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ใครจะรู้ว่าแผนการณ์ที่คิดมาหลายปีนี้จะต้องมาถูกขัดขวางโดยเด็กสาวบ้านนอกอย่างเมิ่งเชี่ยนโยวได้ เริ่มตั้งแต่ช่วยชีวิตหวงฝู่อี้เซวียนหลายครั้งหลายครา จากนั้นก็รักษาพระชายาขี้โรคนั่นจนหายดี จากนั้นก็ยึดอำนาจในการจัดการดูแลจวนนั้นมา ทำให้ลูกสาวของเขาต้องเผชิญอันตราย และต้องปลิดชีพในอ้อมอกของอ๋องฉี
ส่วนหวงฝู่อวี้ก็ถูกนางส่งไปอยู่ที่โรงงาน แม้ว่าเขาได้ใช้อภิสิทธิ์ให้เหล่าคุณชายโหวปั๋วไปก่อเรื่อง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ตอนนี้พวกเขาก็กลับมาเพ่งเล็งองค์ชายหก เสาหลักเดียวของตระกูลเฮ่อ ระดับความแค้นในใจของเฮ่อจางนั้น หากเมิ่งเชี่ยนโยวปรากฎกายตรงหน้าเขา เขาจะต้องบีบกระดูกนางจนหัก ถลกหนังนางออกมา และนำเลือดของนางมาดื่ม แล่เนื้อของนางมากินเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้เป็นได้เพียงความคิดเท่านั้น เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น บัดนี้สถาณการณ์บังคับ เขาจำจะต้องถอยมาก่อนก้าวหนึ่ง จึงได้กัดฟันสั่งไปว่า “ใครก็ได้มานี่ที ไปรายงานกับเสนาบดีกรมอาญา บอกว่าข้ามีหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับเรื่องไฟไหม้ที่กองเก็บเอกสารจะให้เขา”
ตอนที่ 212 มีคนขอเข้าพบ
บ่ายของวันถัดมา ฝ่ายตุลาการได้ส่งข่าวมาบอกว่าหาต้นเหตุของเพลิงไหม้ได้แล้ว เป็นขันทีน้อยที่ตายไปได้วางยาลงไปในน้ำชาของโจวเสี้ยวและโจวหลี่ จากนั้นก็ราดน้ำมันตะเกียงไปทั่ว จงใจจุดไฟขึ้น จุดประสงค์ก็เพื่อจะย่างสดสองคนนั้น โชคดีที่ทั้งสองดวงแข็ง ตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นควันไฟ ส่วนเหตุผลนั้นก็เพราะว่าโจวเสี้ยวตำหนิเขาต่อหน้าทุกคน ขันทีแค้นเขามาก จึงได้มีความคิดแก้แค้นเช่นนี้
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เขาพูดกับขันทีที่พักอยู่กับเขา
คนทำก็ตายไปแล้ว ส่วนความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น ตี้ซือได้ลูกชายทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องการจะรู้อีกต่อไป อีกทั้งเสนาบดีกรมอาญาก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของตระกูลเขากับซื่อจื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวว่าเป็นเช่นไร เมื่อมีคนมอบหลักฐานมาให้ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องไปตอบแทนในน้ำใจเป็นแน่
ดังนั้น บ่ายของวันต่อมา หลังจากที่เสนาบดีกรมอาญานำคำให้การไปถวายให้ฮ่องเต้แล้วนั้น โจวเสี้ยวและโจวหลี่ก็ได้กลับบ้านมาอย่างปลอดภัยหลังจากผ่านมรสุมนั้นมา ตี้ซือตักเตือนพวกเขาว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ห้ามยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก
ทั้งสองปลอดภัยดี ตี้ซือก็ดีใจ พาโจวเสี้ยว โจวหลี่ มาขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวถึงที่จวนด้วยตัวเอง
หลังจากที่ถูกดัดนิสัยแล้วนั้น เฮ่อจางจนปัญญาจะกุเรื่องใส่ร้ายผู้อื่น จึงหยุดสร้างเรื่องราวไปชั่วคราว
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับบ้านไปแล้วก็ได้รับจดหมายที่เมิ่งจงจวี่เขียนมาให้นางด้วยตนเอง เนื้อความว่าเขาได้เลื่อนเป็นผู้ว่าการเขต เป็นเกียรติแก่ทุกคนในตระกูลเมิ่ง และยังบอกอีกว่าผู้อาวุโสตระกูลถามว่าสามารถนำพระราชโองการกลับบ้านไปได้หรือไม่ อยากจะให้คนในตระกูลเมิ่งได้มีโอกาสคำนับบูชา
และต่อมาก็เป็นเนื้อความที่เมิ่งเสียนเขียนแทนเมิ่งซื่อ นางถามว่าได้ฤกษ์งานแต่งแล้วหรือยัง บัดนี้ได้ปิดโรงงานแป้งมันฝรั่งไปแล้ว ไม่มีงานยุ่งเช่นเคย นางและซุนเชี่ยนรวมถึงโจวเยี่ยนสามารถลงมือเตรียมของของหมั้นให้นางแล้ว
เมื่ออ่านจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เขียนจดหมายตอบเมิ่งซื่อ บอกนางว่าฤกษ์งานแต่งของตนกำหนดเอาไว้ในเดือนสิบ แต่ส่วนวันที่แน่ชัดนั้นยังไม่ได้ตกลงกัน ความหมายของพระชายาก็คืออยากให้ครอบครัวของนางเดินทางเข้าเมืองหลวงมาก่อน แล้วค่อยมาตกลงกัน
จากนั้นก็เขียนจดหมายให้เมิ่งจงจวี่ บอกว่าพระราชโองการอยู่ที่บ้านของนางเอง แต่ว่าตนไม่มีเวลากลับไป รอให้เก็บเกี่ยวผลผลิตมันฝรั่งทั้งห้าร้อยหมู่ของฤดูกาลเก็บเกี่ยวแรกเสร็จ และปลูกมันฝรั่งอีกสองพันหมู่สำหรับฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่สองแล้วนางถึงจะพอมีเวลา เมื่อถึงตอนนั้นนางจะอันเชิญพระราชโองการจากฝ่าบาทกลับไปถวายที่ศาลประจำตระกูลเมิ่ง ให้คนทั้งตระกูลได้เคารพบูชากัน
เขียนจดหมายทั้งสองฉบับเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้คนนำกลับไปส่งให้พวกเขา
หลังจากที่คนในตระกูลได้รับแล้วต่างดีใจกันเป็นอย่างมาก ต้นตระกูลเมิ่งสั่งให้คนไปซ่อมบำรุงศาลประจำตระกูลแล้ว คนในครอบครัวของเมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจเป็นที่สุด เพราะต่างรอกันมานานแล้ว ในที่สุดเมิ่งเชียนโยวจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที
เมื่อคนในหมู่บ้านได้ยินข่าวดีเช่นนี้ก็ต่างนำของขวัญมาแสดงความยินดีด้วย บ้านตระกูลเมิ่งคึกคักขึ้นมาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องพวกนี้ นางวิ่งวุ่นไปกลับระหว่างเมืองหลวงและหลินเฉิงโดยเฉพาะคนจากหลินเฉิงปลูกมันฝรั่งเป็นครั้งแรก ไม่มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้ ทุกๆ ขั้นตอนของการเพาะปลูกนางจึงไม่กล้าละเลย หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้ติดตามไปกับนางด้วย
จนกระทั่งผ่านไปเดือนกว่า มันฝรั่งที่ปลูกเอาไว้เริ่มมีต้นกล้าอ่อนงอกขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้วางใจลง
ส่วนคนที่กำลังจัดการเรื่องไร่มันฝรั่งอีกหนึ่งพันห้าร้อยหมู่ทางเป่ยเฉิงนั้น มีเปาอีฝานและผู้บัญชาการโต้วคอยคุมอยู่ ช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวได้มาก
ระหว่างนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวยังเจียดเวลาว่างไปเยี่ยมสองพี่น้องตระกูลเฝิง ทั้งเฝิงจิ้งเหวินและเฝิงจิ้งซูดีขึ้นมากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวอนุญาตให้นางลงจากเตียงมาเดินเล่นได้พอประมาณ ลูกในครรภ์ของเฝิงจิ้งเหวินยังคงอ่อนแอ เมิ่งเชี่ยนโยวย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามลงจากเตียงเด็ดขาด ส่วนเหวินซื่อนั้นจะไปร้านยาเต๋อเหรินก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เขาคอยดูแลเฝิงจิ้งเหวินอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา คอยพูดคุยเป็นเพื่อนนาง ทำให้นางสบายใจขึ้น
ส่วนนายท่านเหวินนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวไปที่บ้านหลายครั้งแต่ก็ไม่พบเขา แต่ได้ยินเหวินซื่อว่า ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา นายท่านเหวินก็ดูแก่ตัวลงไปมาก เขาแทบจะไม่ออกจากห้องของตนเองเลย นอกเสียจากว่าจะมาถามไถ่อาการของเฝิงจิ้งเหวินเป็นครั้งคราว
เขาทำให้ลูกชายกลายเป็นคนเสียสติ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องคอยให้ผู้อื่นมาปรนนิบัติดูแล น่ากลัวว่าความรู้สึกผิดเช่นนี้จะอยู่ในใจของนายท่านเหวินไปชั่วชีวิต
พระชายาฉีเองก็ไม่มีเวลาว่างเช่นกัน นอกจากจะต้องจัดเตรียมชุดวันเข้าพิธีของทั้งสองแล้วนั้น ยังต้องคอยหาเวลาไปเยี่ยมเฝิงจิ้งซูที่จวนแม่ทัพอีกด้วย ด้วยเพราะเป็นห่วงลูกในครรภ์ของนาง งานที่ยุ่งที่สุดนั้นเห็นทีจะเป็นการจัดซื้อเครื่องสินสอดของหวงฝู่อี้เซวียน จนทำให้หายหน้าไปจากจวนอยู่ช่วงหนึ่ง
อ๋องฉีเป็นกังวลเรื่องสุขภาพของนาง แต่ก็ไม่บอกกับนางโดยตรง จึงเสแสร้งทำทีว่ากำลังโกรธอยู่ และสั่งนางให้พักอยู่ในจวนก่อนสองสามวัน แล้วค่อยออกไปอีก
พระชายามองคนทะลุปรุโปร่ง นางเข้าใจความหมายของเขาดี ไม่ได้รู้สึกเคือง แต่กลับยิ้มและตอบรับไป
แล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลง มันฝรั่งชุดแรกจากเป่ยเฉิงเติบโตสมบูรณ์แล้ว คนงานช่วยกันขุดหัวมันฝรั่งขึ้นมา เหลือไว้เพียงเมล็ดพันธุ์มันฝรั่งจำนวนสองพันหมู่ จำนวนที่เหลือนั้นให้หวงฝู่อี้เซวียนไปรายงานฝ่าบาท ฝ่าบาทพอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงได้สั่งให้นำรถม้าหลายร้อยคันมาขนย้ายมันฝรั่งไปยังหลินเฉิงในคราเดียว และมีรับสั่งให้ถอนคำสั่งช่วยเหลือจากหลินเฉิงทันที
ชาวบ้านในหลินเฉิงต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญเสียงดัง แม้ว่าในวังจะมีอาหารมาแจกจ่ายแต่ก็เพียงพอแค่สำหรับต้มโจ๊กกินเท่านั้น บัดนี้มีมันฝรั่งแล้ว คงจะได้กินอิ่มกันเสียที และเป็นเพราะเหตุนี้เอง ก็ยิ่งปลาบปลื้มใจเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างยิ่ง จนแทบจะทำป้ายชื่อนางมาเคารพที่บ้านกันแล้ว
นอกจากนี้คนจนในเมืองเป่ยเฉิงก็ดีใจและซาบซึ้งพอกัน หลายเดือนมานี้ทุกคนทำงานได้เงินกันไปจำนวนไม่น้อย บางบ้านที่ขยันทำงานหน่อย รวมๆ แล้วได้ถึงหลายสิบตำลึงเลยทีเดียว หากเป็นเมื่อก่อนเงินจำนวนเพียงนี้ต่อให้พวกเขาใช้เวลาทั้งชาติก็อาจจะหามาไม่ได้
ไม่นาน ชื่อเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังกระฉ่อนไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้คนในหลินเฉิงและเมืองหลวง ในกลุ่มคนเหล่านี้ บ้างก็อิจฉา บ้างก็มาประจบนาง บ้างก็ดูถูก และยังมีคนที่อยากจะเห็นนางตายไปเลยด้วยซ้ำ คนที่อยากให้นางตายๆ ไปนั้น นอกจากตระกูลของเฮ่อจางแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งซึ่งใครก็คาดไม่ถึง
วันนี้อากาศแจ่มใส แสงแดดส่องจ้า ร้อนเสียจนคนเฝ้าประตูของจวนมหาเสนาบดียืนสัปหงกอยู่หน้าประตู ขอทานผู้หนึ่ง ผมยาว และตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเดินไปเดินมาอยู่ด้านหน้าพวกเขา ตะโกนสั่งพวกเขาด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟังว่า “ไปบอกคุณชายว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
คนเฝ้าประตูตื่นขึ้นมาเพราะความเพราะกลิ่นเหม็นฉุน เมื่อเงยหน้ามอง พบว่าตรงหน้าเป็นเพียงขอทานสกปรกผู้หนึ่ง ทำให้ตกใจจนถีบนางกระเด็นไปอีกทาง ยกมือบีบจมูก อีกมือก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาทำท่าปัดไล่นางไป “ไปไปไป เจ้าขอทานเหม็นเน่า ไปไกลๆ เลยไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า”
แต่ขอทานไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ชายตามองเขาเล็กน้อยและพูดย้ำว่า “ไปรายงานคุณชายใหญ่ว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
เมื่อเห็นว่านางไม่ไปไหน คนเฝ้าประตูจึงย่นคิ้วลง พูดจาไม่ดีใส่นางว่า “เจ้าเห็นจวนมหาเสนาบดีของเราเป็นสถานที่แบบไหนกัน ขอทานเหม็นเน่าอย่างเจ้าจะมาเมื่อใดก็ได้อย่างนั้นหรือ และยังจะมาขอเข้าพบนายท่านของพวกเราอีก ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม หากยังไม่ไปอีกล่ะก็ อย่าโทษว่าข้าใจร้ายโบยเจ้าจนตายนะ”
ขอทานมีท่าทีร้อนใจขึ้น นางขยับผมที่ดูท่าทางไม่ได้สระมาหลายวัน จนบัดนี้เหนียวติดกันเป็นก้อน เผยใบหน้าของตนเองออกมา ให้คนเฝ้าประตูได้เห็น “ดูให้ชัดๆ นะ นี่ข้าเอง”
กลิ่นเหม็นเน่าลอยมาอีกครั้ง คนเฝ้าประตูทนไม่ไหวจึงถอยหลังไปเล็กน้อย ไม่แม้แต่จะชายตามามองหน้านางเลย พูดว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะโบยเจ้าจริงๆ แล้ว” ไม่พูดเปล่า เขาเดินไปยังอีกฝั่งของประตู หยิบกระบองมาถือไว้ในมือ
ขอทานถอยหลังออกไปตามสัญชาติญาณ แต่ก็ยังไม่ถอดใจ นางชี้หน้าตนเอง และพูดอย่างรีบร้อนว่า “เจ้าดูให้ดีสิ ข้าเอง ข้าเป็นภรรยารองของคุณชายใหญ่อย่างไรเล่า” พูดจบ ยังอ้าปากกว้างให้คนเฝ้าประตูได้เห็นปากของนางที่ฟันหายไปสองซี่
ไม่รู้ว่าไม่ได้แปรงฟันนานเท่าใดแล้ว เพียงนางอ้าปาก ปากของนางส่งกลิ่นเหม็นเน่าเสียยิ่งกว่าตัวของนางอีก คนเฝ้าประตูทนไม่ไหวแล้ว ยกกระบองในมือขึ้นมา “รีบไสหัวไป!”
ขอทานรีบถอยหลังไปหลายก้าว ราวกับว่ามักจะถูกทำร้ายอยู่เป็นประจำ มองมาที่คนเฝ้าประตู ในดวงตามีความรู้สึกโกรธแค้น “ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะมาพบคุณชายใหญ่ หากเจ้าทำให้ข้าเสียเวลา เจ้านั่นแหละจะเป็นผู้เดือดร้อน”
ขอทานถอยออกห่างไป กลิ่นเหม็นสาบก็ได้จางหายไปด้วย คนเฝ้าประตูเอามือที่บีบจมูกอยู่ออก หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด แล้วจึงพูดว่า “โอย ปากเหม็นจริงเชียว ขอทานเหม็นเน่าผู้นั้นจะมีเรื่องอะไรมาขอพบกับคุณชายใหญ่ของเราได้ รีบไสหัวไปซะ อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีก มิเช่นนั้นข้าจะทุบเจ้าจริงๆ”
“ข้ามีเรื่องใหญ่เกี่ยวกับเมิ่งเชี่ยนโยวจะมาบอก คุณชายใหญ่จะต้องสนใจเป็นแน่ หากเจ้าไม่รีบเข้าไปรายงาน ทำลายโอกาสที่ดีนี้ไป คุณชายใหญ่ไม่ให้อภัยเจ้าแน่”
เมื่อได้ยินนางพูดถึงเมิ่งเชี่ยนโยว คนเฝ้าประตูเกิดอาการลังเลเล็กน้อย ปัญหาระหว่างเมิ่งเชี่ยนโยวและจวนมหาเสนาบดีนั้นไม่น้อยเลย เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนไม่เพียงแต่ทำให้มหาเสนาบดีเสียหน้า แต่ยังเล่นงานคุณชายใหญ่จนเกือบตาย คนในจวนพูดถึงนางทีไรก็ต้องรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา ขอทานตรงหน้ากลับพูดอะไรเช่นนี้ออกมา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้กุมความลับของเชี่ยนโยวก็ได้
แต่ว่าก็ลังเลเพียงครู่เท่านั้น ก็คิดได้ว่าขอทานพวกนี้เดินเร่ร่อนไปทั่ว อาจจะไปบังเอิญได้ยินอะไรมา แล้วมาอ้างซี้ซั้วเพื่อขอรางวัลก็เป็นได้ หากตนยอมให้นางเข้าไปในบ้านแล้วทำให้คุณชายใหญ่ต้องตกใจ และถึงตอนนั้นหากนางพูดเรื่องไร้สาระขึ้นมา อย่างนั้นชีวิตของเขาก็คงจะต้องจบลงพร้อมกับนางเป็นแน่ คิดถึงตรงนี้ เขาก็ได้หยิบกระบองขึ้นมาไล่นางไป
ขอทานได้ปัดผมของตนเองออกอีกครั้ง ชี้หน้าตัวเองให้เขามองให้ชัดเจน “ข้าเอง ภรรยาน้อยของคุณชายใหญ่ หลิวลี่ มาจากตำบลชิงซีอย่างไรเล่า เป็นคนบ้านเดียวกับเมิ่งเชี่ยนโยว เติบโตมาด้วยกัน ข้ากุมความลับของนางอยู่” พูดจบ ก็ยังคงอ้าปากกว้าง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ให้เขาได้เห็นว่าฟันของตนหายไปสองซี่
คนเฝ้าประตูนึกขึ้นได้ทันทีว่าเมื่อห้าปีก่อน มีคนหวังประจบคุณชายใหญ่โดยการส่งสาวงามนางหนึ่งมาเป็นภรรยาน้อย ตอนนั้นท่านดีใจมาก เข้าหอกับนางคืนนั้นเลย ใครจะไปคิดว่ากลางดึกเขาจะโกรธจนไล่หญิงสาวออกมานอกห้อง หลังจากนั้นคนในจวนถึงได้รู้ว่าหญิงสาวฟันหักไปสองซี่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เมื่อถูกคุณชายใหญ่พบเข้าจึงได้อารมณ์เสียเป็นอย่างมาก และทำให้ไล่นางออกมา
เมื่อหลิวลี่เห็นว่าเขาจำตนได้แล้ว จึงใช้เสียงแหบแห้งของตนพูดว่า “ที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง เจ้าไปบอกคุณชายใหญ่ ความลับที่ข้ามาบอกสามารถทำให้ชีวิตของเมิ่งเชี่ยนโยวจบสิ้นได้แน่นอน”
“เหตุใดข้าจะต้องเชื่อเจ้าด้วย ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคำพูดของเจ้าเป็นความจริงหรือไม่”
สายตาของหลิวลี่มีรังสีความโกรธแผ่ออกมา สีหน้าก็เปลี่ยนไป เดินเข้ามาอีกก้าว พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฟันของข้าจึงหักไปสองซี่ ก็เพราะนางสั่งคนมาทำร้ายข้า หากไม่ใช่เพราะนาง บัดนี้ข้าก็คงยังเป็นภรรยาน้อยของคุณชายใหญ่อยู่ นั่งชูคออยู่ในจวนนี้ กินอิ่มนอนอุ่น มีสาวใช้ มีคนคอยปรนนิบัติดูแล และคงไม่ต้องมาถึงวันที่ข้าต้องเร่ร่อนขอข้าวกินไปทั่ว ข้าเกลียดนาง อยากจะกินเนื้อดื่มเลือดของนางให้สาแก่ใจ” คงเพราะไม่ได้ระบายความในใจเกี่ยวกับเมิ่งเชี่ยนโยวต่อหน้าผู้อื่นมานาน นางพูดโดยใส่อารมณ์จนทำให้น้ำลายกระเด็นไปทั่ว
คนเฝ้าประตูถูกน้ำลายกระเด็นใส่ ในใจรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก อาหารเมื่อเช้าวนเวียนอยู่ในท้อง เกือบจะอาเจียนออกมาเสียแล้ว
หยิบกระบองขึ้นชี้ไปยังหลิวลี่ กดความรู้สึกคลื่นไส้เอาไว้และพูดว่า “ถอยไปซะ ถอยไป ออกไปรออยู่นอกประตูไกลๆ โน่น”
หลายปีมานี้หลิวลี่อยู่พวกเดียวกับขอทานคนอื่น ชินกับกลิ่นเช่นนี้แล้ว ตนเองนั้นไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าเมื่อเห็นกระบองที่อยู่ตรงหน้าของตนนั้น นางก็กลัวจะถูกตีจึงได้รีบถอยหลังกลับไปยังที่ที่เขาสั่งไว้
คนเฝ้าประตูยังไม่ค่อยวางใจเท่าใด ยกกระบองขู่นางว่า “ยืนอยู่ตรงนั้นห้ามขยับไปไหน ข้าจะไปรายงานคุณชายใหญ่ ดูว่าเขาจะยอมพบเจ้าหรือไม่ หากข้ากลับมาแล้วพบว่าเจ้าไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิม ข้าจะใช้กระบองนี้ฟาดเจ้า”
เมื่อได้ยินว่าเขาจะไปรายงานเฮ่อเหลี่ยนทางหลิวลี่ก็ดีใจจนพยักหน้ารัว ให้คำสัญญาว่า “ข้าจะอยู่ตรงนี้ จะไม่ขยับเลย”
คนเฝ้าประตูจึงวางกระบองลง และเดินตรงไปยังเรือนของเฮ่อเหลี่ยน แต่ในใจก็ยังคงสงสัยว่าหากคุณชายใหญ่พบหลิวลี่แล้วนางพูดแต่เรื่องไร้สาระ คุณชายใหญ่จะสั่งให้คนเอากระบองมาทุบเขาจนตายหรือไม่
ในใจก็ยังคงสงสัยอยู่ เดินมาถึงหน้าเรือนของเฮ่อเหลี่ยนแล้วจึงหยุดอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เมื่อทำใจพร้อมแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน ถามสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องว่า “อวิ๋นซี คุณชายใหญ่อยู่หรือไม่ ด้านนอกจวนมีคนขอเข้าพบคุณชาย”
ตอนที่ 213-1 มีความลับจะบอก
ตั้งแต่ที่เฮ่อเหลี่ยนได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ว่าจะไม่ให้ตำแหน่งใดกับเขาอีก เขาก็อยู่ไปวันๆ อย่างหมดอาลัยตายอยาก เอาแต่ดื่มสุรา เมื่อดื่มจนเมาแล้วก็เริ่มอาละวาด หรือไม่ก็เอาอารมณ์ไปลงที่สาวใช้ในบ้าน ตั้งแต่ที่เขาถูกปลด เขาก็เริ่มทรมานย่ำยีผู้อื่น โดยไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร หลังจากที่ฮูหยินถูกเขาย่ำยีมาหลายครั้ง เมื่อพบหน้าเขานางก็จะกลัวจนตัวสั่น นางจึงได้คิดหาวิธีขึ้นมา ให้พ่อบ้านไปซื้อหญิงสาว เอามาเป็นสาวบริการในบ้าน ขอเพียงเขาถูกใจก็จะรีบส่งตัวไปให้เขาทันที อย่างไรเสียเขาก็ไม่ทำตัวเป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว คงจะไม่สร้างผลเสียอะไรไปมากกว่าเดิม การทำเช่นนี้ก็ยิ่งเป็นการให้ท้ายการกระทำของเฮ่อเหลี่ยน วันๆ เขาไม่ออกจากบ้าน เอาแต่ทำเรื่องอย่างว่า
อาศัยอยู่ในจวนเดียวกัน เฮ่อจางจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร จึงเรียกเขาไปพบและดุด่าว่ากล่าวยกใหญ่ “เรื่องแบบนี้หากแพร่ออกไปแล้ว ได้ยินถึงหูของฮ่องเต้เข้า ข้าคงจะได้รับโทษฐานที่จัดการควบคุมดูแลบ้านไม่ดีเป็นแน่ ถึงตอนนั้นไม่ใช่เพียงแต่เจ้าจะหมดโอกาสได้กลับเข้าวังอีก แต่หมวกข้าขุนนางบนหัวของพ่อเองก็ต้องสั่นคลอนไปด้วย เจ้าเพลาลงเสียบ้าง หากให้ข้าได้ยินเรื่องเช่นนี้อีก ข้าจะจับเข้าขังเอาไว้ นอกจากอาหารสามมื้อแล้ว เจ้าจะไม่ได้แตะต้องอะไรอีกทั้งสิ้น”
เฮ่อเหลี่ยนถูกฤทธิ์ของสุราทำพิษเข้าแล้ว คำพูดของเฮ่อจางเข้าทางหูซ้ายก็ทะลุออกหูขวาทันที ไม่ตกตะกอนอะไรไว้เลย แต่ว่าเขาก็ยังคงฟังคำแนะนำจากพ่อบ้าน เมื่อใดที่เฮ่อจางอยู่บ้าน เขาก็จะทำเพียงดื่มสุรา ไม่สร้างปัญหา แต่เมื่อใดที่เฮ่อจางเข้าวัง เขาก็จะทำอะไรตามใจตนเองก็ได้
ดังนั้นสาวรับใช้ที่ทำงานในจวนต่างก็ทำงานด้วยความหวาดกลัวอยู่ทุกวัน กลัวว่าหากไปประจันหน้ากับเฮ่อเหลี่ยนที่เมาแล้ว ตนจะถูกทรมานย่ำยี
หลังจากที่นายประตูพูดจบ ในห้องก็มีเสียงกรีดร้องน่าเวทนาของหญิงสาวดังออกมา ร่างของอวิ๋นซีสั่นเทาขึ้นมาทันที ยกมือขึ้นวางไว้บนปากเชิงว่าให้เงียบเสียงลง แล้วจึงเดินไปหาเขา พูดเสียงเบาว่า “คุณชายกำลังสนุกอยู่ เจ้ามารบกวนท่านเวลานี้ จะเป็นการหาเหาใส่หัวเอานะ”
เสียงกรีดร้องน่ากลัวยังคงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง นายประตูตกใจจนเหงื่อไหลออกมาเต็มตัว พยักหน้ารัว รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณที่เตือนนะพี่อวิ๋นซี ข้าขอตัวก่อนล่ะ”
อวิ๋นซีพยักหน้า นายประตูกำลังจะหันหลังเดินกลับไป
เสียงหอบแรงของเฮ่อเหลี่ยนก็ดังออกมาจากด้านใน “ใครมาหาข้า มีเรื่องอะไรหรือ”
พูดจบ ก็สั่งว่า “พานังคนไร้ประโยชน์นี่ออกไปที เอานางไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าซะ ข้ายังสนุกไม่พอเลย นางดันมาตายไปก่อน”
มีเสียงคนตอบรับ เดินเข้าไปด้านใน ไม่นานร่างของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยบาดแผล บนร่างไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์เลยสักชิ้น ก็ถูกลากออกมาราวกับสุนัขตัวหนึ่งและถูกลากต่อไปจนถึงนอกบริเวณเรือน
แม้ว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้บ่อยๆ แต่อวิ๋นซีก็อดหันหน้าหลบไปอีกทางไม่ได้
แต่นายประตูได้เห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขาใจเต้นระรัว แข้งขาอ่อนแรง
เสียงของเฮ่อเหลี่ยนดังออกมาอีกครั้ง “ใครก็ได้ เข้ามาเก็บกวาดในห้องที”
อวิ๋นซีตอบรับ พาสาวใช้สองคนเข้าไปเก็บกวาดด้วยความลนลาน
เสื้อผ้าของเฮ่อเหลี่ยนยับยู่ยี่ เดินโซเซออกมาจากห้อง ถามว่า “ผู้ใดมาพบข้า”
นายประตูใจสั่น รู้สึกว่าตนคิดผิดที่คิดจะมารายงานเขา ดูท่าทางของคุณชายตอนนี้แล้ว ก็เท่ากับเอาหัวมาถวายให้เขาตัดเล่นเสียอย่างนั้น ปากของเขาขยับขึ้นลงหลายครั้ง ก้าวขาถอยหลังไปหลายก้าว จึงได้กล่าวรายงานเสียงเบาว่า “เป็นขอทานผู้หนึ่งขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนคิดว่าตนเมาแล้วหูฝาดไป จึงได้ถามย้ำอีกครั้งว่า “เจ้าว่าเป็นใครนะ”
นายประตูกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว ลูกกระเดือกขยับไปมาหลายครั้ง จึงได้พูดออกมาอย่างกล้าหาญว่า “ขอทานคนหนึ่งขอรับ”
ครั้งนี้เฮ่อเหลี่ยนได้ยินชัดเจนแล้ว และรู้ว่าครั้งนี้หูของตนไม่ได้ฝาดไป นายประตูพูดว่ามีขอทานคนหนึ่งมาขอพบเขาจริงๆ เขายิ้มน่ากลัวให้นายประตู “คนอย่างข้าตกต่ำถึงจุดนี้แล้วงั้นหรือ แม้แต่ขอทานยังกล้ามาขอพบข้าได้ตามอำเภอใจ”
สองขาของนายประตูอ่อนแรงจนยืนไม่ไหว พรึ่บ เขาทรุดลงกับพื้น ขอร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “คุณชายได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ขอทานผู้นั้นบอกจริงๆ ว่านางมีความลับที่จะทำให้ชีวิตของนังบ้านนอกเมิ่งเชี่ยนโยวนั่นจบสิ้นได้ ข้าน้อยจึงได้กล้ามารายงานท่าน มิเช่นนั้นข้าน้อยยอมตายดีกว่าจะต้องมารบกวนคุณชายด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้”
เฮ่อเหลี่ยนหรี่ตาลง มองนายประตูโดยไม่พูดอะไรออกมา
เหงื่อของความกดดันผุดออกมาเต็มร่างของเขา ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ แต่เขากลับรู้สึกหนาวสะท้านอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดในใจว่าตนเองอาจไม่มีโอกาสได้ชื่นชมแสงอาทิตย์สวยๆ เช่นนี้อีกแล้ว
เฮ่อเหลี่ยนเดินโซซัดโซเซไปด้านหน้าเล็กน้อย เดินไปตรงหน้าเขา ก้มลง ประชิดใบหน้าเขา กลิ่นสุราฉุนเข้าไปเต็มหน้าของนายประตู เหม็นจนเขาแทบทนไม่ได้เกือบจะอาเจียนออกมา เฮ่อเหลี่ยนถึงได้เปิดปากพูดออกมาว่า “นางพูดเช่นนี้หรือ”
เมื่อคิดได้ว่าหัวตัวเองอาจหลุดออกจากบ่าได้ทุกเมื่อ กลิ่นที่เขาคิดว่าเหม็นในตอนแรกก็ได้หายไปฉับพลัน พยักหน้าไม่หยุด ตอบกลับไปว่า “นางบอกว่านางโตมากับนังบ้านนอกนั่นขอรับ นางกุมความลับของนางคนนั้นเอาไว้ ความลับนั้นจะต้องทำให้นางสิ้นเป็นแน่ขอรับ”
พูดจบก็พูดต่อว่า “ขอทานผู้นี่ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอนุที่ถูกคุณชายไล่ออกไปจากจวนเพราะนางฟันหายไปสองซี่ขอรับ”
เขายืดตัวตรง หรี่ตาลง นึกถึงภรรยาน้อยที่นายประตูพูดถึง พอนึกขึ้นได้ลางๆ เขายกขาถีบนายประตูไปหนึ่งที “ไสหัวไป ไปเอาตัวนางเข้ามา”
รอดชีวิตแล้ว นายประตูรีบตะเกียกตะกายขึ้นมา รีบหันหลังวิ่งออกไปทันที อึดใจเดียวก็วิ่งออกมาถึงด้านนอก ตอนนี้เขาถึงได้กล้าลูบอกตนเอง หายใจออกมาอย่างโล่งอก
เมื่อเห็นเขาเดินออกมา หลิวลี่ดีใจเป็นอย่างมาก อยากรีบเดินเข้าไปถามไถ่เขา แต่เมื่อนึกถึงคำของนายประตูที่ว่าห้ามนางก้าวออกมาจากจุดเดิม นางจึงหดเท้ากลับเข้ามา และถามอย่างใจร้อนว่า “คุณชายยอมให้ข้าเข้าพบแล้วใช่หรือไม่”
นายประตูหายใจหอบเหนื่อย จนกระทั่งกลับมาปกติแล้ว กวักมือเรียกนาง “เจ้าตามข้ามา!”
ปกติแล้วไม่ค่อยมีคนให้ทานหลิวลี่ นางมักจะขโมยของกิน ด้วยกลัวว่าจะถูกคนทำร้ายเข้า จึงต้องวิ่งสุดชีวิต เมื่อได้ยินว่าเฮ่อเหลี่ยนยอมพบนาง หลิวลี่จึงได้วิ่งพุ่งเข้าใส่นายประตูด้วยความเร็วเดียวกัน
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะว่องไวเพียงนี้ ประโยคที่สองของเขายังไม่ทันหลุดออกจากปากนางก็วิ่งเข้ามาประชิดตัวแล้ว กลิ่นเหม็นเน่าของนางประทะเข้ากับจมูกของเขา เขาทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงได้ทำเสียงอาเจียนออกมา แหวะ หลิวลี่ไม่ทันระวังตัวจึงถูกเขาอาเจียนใส่ชุดขอทานซอมซ่อของนาง
คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลิวลี่ผงะไปชั่วครู่ จากนั้นก็มองดูเสื้อผ้าของตนอย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นก็มองนายประตู “เจ้า…”
ไม่ทันสิ้นเสียง นายประตูทำท่าอาเจียนออกมาอีก
หลิวลี่รีบหลบออกห่าง พูดอย่างร้อนรนว่า “เสื้อผ้าข้ามีเพียงชุดนี้ชุดเดียว ใส่มาหลายปีแล้ว เจ้าอย่ามาทำให้ข้าเลอะเทอะไปกว่านี้อีก”
กลิ่นเหม็นออกห่างไปแล้ว นายประตูจึงไม่ได้อาเจียนออกมา แต่ว่าที่อาเจียนออกไปเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกสบายขึ้น หลิวลี่ยืนมองคราบอาเจียนของเขาบนเสื้อผ้าของตน แล้วขมวดคิ้ว
นายประตูเห็นนางมีสีหน้าเช่นนั้นก็รู้สึกไม่ดี จึงเดินไปหลังประตู หยิบไม้กวาดเก่าๆ ที่เหลือเพียงไม่กี่เส้นมาให้นาง “ปัดๆ เสียหน่อย อย่าให้คุณชายได้กลิ่นเหม็นนี้”
มองดูรอบตัวแล้วไม่เห็นว่ามีอุปกรณ์ใดที่สามารถใช้เช็ดทำความสะอาดได้เลย หลิวลี่จนปัญญา รับไม้กวาดมา หวังจะปัดเอาสิ่งสกปรกบนเสื้อผ้าของตนออกไป แต่ผลก็เป็นอย่างที่คิด ยิ่งปัดเสื้อผ้าของนางก็ยิ่งสกปรกมากขึ้น หลิวลี่แทบจะโยนไม้กวาดทิ้งไปใส่หน้าของนายประตูเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของนางสกปรกเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่ นายประตูก็คิดได้ว่าตนได้ทำเรื่องโง่ๆ ลงไปเสียแล้ว สายตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดว่า “ได้เท่านี้ก็เท่านี้ ข้าจะพาเจ้าไปพบคุณชายใหญ่”
ไม่นานก็จะได้พบกับคุณชายใหญ่แล้ว วันเวลาที่หลิวลี่เฝ้าคอยคิดถึงกำลังจะมาถึงแล้ว ชีวิตที่ต้องคอยเดินขอทานเพื่อประทังชีวิตกำลังจะจบสิ้นลง หลิวลี่กำลังฝันกลางวัน ในใจมีแต่ความยินดี ลืมเรื่องกลิ่นเหม็นบนตัวไป จากนั้นก็ทิ้งไม้กวาดในมือลง ยกเท้าก้าวเข้ามาในจวน พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “ไปกันเถิด!”
“นี่ๆๆ” นายประตูสั่งห้ามนาง พูดอย่างหยาบคายว่า “เจ้า ถอยไป อยู่ห่างจากข้าไว้ ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าข้าจะพาเจ้าเข้าไป”
หลิวลี่หยุดฝีเท้าลง ถอยหลังไปสองสามก้าว แสดงสีหน้าเอาอกเอาใจ “เชิญท่านเจ้าค่ะ”
นายประตูจึงได้เดินเข้าไปด้านใน จนหลิวลี่เห็นว่าห่างจากเขาพอสมควรแล้วจึงได้เดินตามหลังไป เดินไปพลางสีหน้าก็เปลี่ยนไปด้วย นางมองนายประตูด้วยสายตาเกลียดชัง คิดในใจว่า รอให้ข้าได้พบคุณชายใหญ่ก่อนเถิด เมื่อข้าบอกเขาเรื่องความลับของเมิ่งเชี่ยนโยว ได้รับรางวัล ได้ตำแหน่งเดิมคืนมา คนมีตาหามีแววไม่อย่างเจ้ายังจะกล้าอวดดีกับข้าอีกหรือไม่
ตอนที่ 213-2 มีความลับจะบอก
ตลอดการเดิน กลิ่นของหลิวลี่ฟุ้งกระจายไปทั่ว คนใช้ที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างรู้สึกเหม็นจนต้องเอามือปิดจมูกไว้ จ้องมองนายประตูด้วยความไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงต้องพาขอทานเข้ามาในจวน
เฮ่อเหลี่ยนรออยู่ในบริเวณบ้าน ได้กลิ่นเหม็นเน่ามาแต่ไกล กำลังจะดุด่าคนรับใช้ นายประตูก็ได้เดินเข้ามา รายงานด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “คุณชายขอรับ นางมาแล้วขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนโบกมือ “ให้นางเข้ามา”
หลิวลี่ที่เดินตามาด้านหลังได้ยินเช่นนี้ ก็จัดผมเผ้าที่เต็มไปด้วยเหาของนาง วางท่าทีสง่างาม เดินไปอย่างช้าๆ ไปยังตรงหน้าของเฮ่อเหลี่ยน ก้มหน้าลง เผยให้เห็นคอสีดำที่ไม่ได้ชำระล้างมาหลายปีของนาง “ข้าน้อยขอคารวะท่าน…”
แหวะ เฮ่อเหลี่ยนเหม็นจนอาเจียนออกมา อาเจียนใส่เต็มหัวและหน้ารวมทั้งลำตัวของหลิวลี่
หลิวลี่อึ้งไป แต่เฮ่อเหลี่ยนกลับยกขาขึ้นถีบนางกระเด็น “ปัดโถ่เว้ย ไสหัวออกไป”
แม้ว่าเฮ่อเหลี่ยนจะไม่มีวิชาการต่อสู้ แต่อย่างไรเขาก็เป็นชายร่างกำยำ ถีบหลิวลี่เข้าไปเต็มแรงเช่นนี้ ทำให้นางกระเด็นหงายหลังไป
นายประตูยืนอยู่ด้านหลังนางพอดี ไม่ทันเอนหลบ ทำได้เพียงมองนางล้มลงใส่ตน และล้มลงไปบนพื้นพร้อมกับนาง หลังศีรษะกระแทกพื้นเสียงดัง ตุ้บ สายตาเริ่มพร่ามัว และหมดสติไปในที่สุด
ทั้งหมดเกินขึ้นเร็วมาก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยังคงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขนาดเสียงกรีดร้องก็ยังไม่มีเล็ดลอดออกมา
หลิวลี่นอนทับอยู่บนร่างของนายประตู รู้สึกไม่ดี จึงรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา ไม่กล้าเข้าใกล้เฮ่อเหลี่ยนอีก แต่นางกลับทำท่าน้อยใจ และพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “คุณชายใหญ่!”
หญิงสาวที่ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวเหม็นหึ่ง ใบหน้าสกปรกเลอะเทอะ บนหัวยังมีสิ่งสกปรกไหลลงมา กลับทำท่าทีออดอ้อน และยังดัดเสียงพูดจาออดอ้อนตนอยู่ ต่อให้จิตใจของเฮ่อเหลี่ยนเข้มแข็งเพียงใดก็อดทนไม่ไหว ตะโกนด้วยความโมโหว่า “โบยนังโสโครกนี้ให้ตาย”
บ่าวรับใช้ตอบรับ แต่กลับไม่มีคนวิ่งเข้ามา
หลิวลี่อึ้งไป
เฮ่อเหลี่ยนโกรธมาก พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “พวกขี้ข้าเอ้ย ยังไม่รีบลงมืออีก อยากให้ข้าเอาพวกเจ้าไปขายให้หมดรึไง”
ตอนนี้ถึงได้มีคนวิ่งเข้ามา โบกไม่โบกมือรอบตัวหลิวลี่อยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่มีที่ว่างที่จะจับตัวนางได้เลย โชคดีที่มีคนหนึ่งฉลาด ใช้ไม้กวาดกดหลิวลี่ลง
เมื่อเห็นว่าไม้กวาดกำลังจะตีลงบนหัวของตนเอง ด้วยความลืมตัว จึงได้ลืมท่าทีออดอ้อนของตนไป รีบตะโกนว่า “คุณชายเจ้าคะ ข้ามีเรื่องที่จะเอาชีวิตเมิ่งเชี่ยนโยวได้มาบอกท่าน”
พูดจบ ไม้กวาดในมือของบ่าวรับใช้ก็หล่นลงบนตัวนาง เสียงห้ามของเฮ่อเหลี่ยนก็ดังขึ้นพร้อมกัน “หยุดก่อน!”
แต่สายไปเสียแล้ว หลิวลี่ถูกด้ามไม้กวาดฟาดเข้า ความเจ็บแล่นผ่านใบหน้านาง ร่างนางค่อยๆ ล้มลงบนพื้น
เฮ่อเหลี่ยนรีบเดินเข้ามาถีบคนที่ถือไม้กวาดทันที “ใครใช้ให้เจ้าด่วนลงมือเช่นนี้”
บ่าวรับใช้ไม่กล้าโต้เถียง ยืนอยู่อย่างเงียบๆ
เฮ่อเหลี่ยนเดินมาหาหลิวลี่โดยไม่สนใจเรื่องกลิ่น ถามด้วยความเย่อหยิ่งว่า “เจ้ามีเรื่องสำคัญเช่นนี้จะมาบอกข้าจริงหรือ”
ในที่สุดเฮ่อเหลี่ยนก็ติดกับจนได้ หลิวลี่ปัดปอยผมที่บังหน้าออก เผยใบหน้าสกปรกมอมแมมให้เฮ่อเหลี่ยนได้เห็น เงยหน้าขึ้น อ้าปาก เผยให้เห็นฟันดำสนิท และเผยรอยยิ้มที่ตนคิดว่าสวยที่สุดออกมา “คุณชายเจ้าขา ข้าจะกล้าโกหกท่านได้อย่างไร ข้ามั่นใจมากเจ้าค่ะ ข้าและเมิ่งเชี่ยนโยวโตมาด้วยกัน ความลับทุกอย่างของนางข้ารู้ดี ขอแค่ข้าได้บอกกับท่านแล้ว ท่านก็จัดการนางได้อย่างง่ายดาย”
หลิวลี่พูดถึงขนาดนี้แล้ว อย่างไรก็คงไม่กล้าหลอกเขา เฮ่อเหลี่ยนจึงถามไปตรงๆ ว่า “ความลับอะไร”
หลิวลี่หัวเราะ จัดระเบียบร่างกายตนเอง พูดว่า “คุณชายใหญ่เจ้าคะ ความลับนี้ข้าจะบอกท่านง่ายๆ ไม่ได้ นอกเสียจากว่าท่านจะยอมรับข้อตกลงสองสามอย่าง”
เฮ่อเหลี่ยนอยากถามนางว่าข้อตกลงคืออะไร แต่ทนไม่ได้กับกลิ่นเหม็นบนตัวนาง ต่อให้อยากมองข้ามไปก็ทำไม่ได้ เงยหน้าขึ้น และสั่งไปว่า “ใครก็ได้ เอาตัวนางไปล้างทำความสะอาดที ชำระให้สะอาด หาเสื้อผ้าให้นางเปลี่ยน แล้วค่อยพาตัวมาให้ข้า”
อวิ๋นซีตอบรับ เดินเข้ามา ก้มหัวลงพูดอย่างนอบน้อมว่า “แม่นางหลิว เชิญตามข้ามาเถอะ”
บ่าวรับใช้ที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกชื่นชมอวิ๋นซีที่ไม่เลือกปฎิบัติไม่ว่ากับผู้ใด หญิงผู้นี้ตัวเหม็นหึ่งเช่นนี้ เพียงอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้เหม็นจนไม่กล้าหายใจ แต่นางกลับเดินเข้าไปหานางโดยไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ
แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ในใจของอวิ๋นซีแทบคลั่ง หากไม่ใช่เป็นเพราะเฮ่อเหลี่ยนอยู่ตรงนั้น นางคงจะต้องสั่งให้คนเอาน้ำเย็นมาสาดใส่นางก่อนแน่นอน แต่เฮ่อเหลี่ยนอยู่ตรงนั้น นางไม่กล้า และก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงอดกลั้นกระเพาะที่กำลังกระอักกระอ่วนของตนเอาไว้ เชื้อเชิญนางให้เดินตามตนไปอย่างเสียไม่ได้
คิดไม่ถึงเลยว่าหลิวลี่จะใช้มารยา ยื่นมือไปให้เฮ่อเหลี่ยน พูดว่า “คุณชายเจ้าขา ตัวข้าล้มเจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านพยุงข้าหน่อยนะเจ้าคะ”
เฮ่อเหลี่ยนตอบนางด้วยฝ่าเท้า “เจ้าคนชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไร หากสิ่งที่เจ้าพูดมาไม่สามารถเล่นงานเมิ่งเชี่ยนโยวจนถึงตายได้ ข้าจะถลกหนังเจ้าให้หมากิน”
หลิวลี่โดนถีบจนร่างบิดเบี้ยว นางไม่กล้ามารยาอีก ลุกขึ้นเดินตามอวิ๋นซีออกไปอย่างว่าง่าย
ต่อให้นางเดินออกไปแล้ว แต่เฮ่อเหลี่ยนก็ยังรู้สึกว่าบริเวณบ้านของตนยังเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น จึงสั่งไปว่า “ทำความสะอาดเรือนให้เรียบร้อย เตรียมต้มน้ำร้อนไว้ ข้าจะไปอาบน้ำ”
บ่าวรับใช้ตอบรับ รีบจัดการทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนที่เพิ่งจะปลูกมันฝรั่งรอบสองเสร็จเรียบร้อยไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนมหาเสนาบดีเลยสักนิด ยังคงอยู่ในจวนอ๋องพูดคุยกับพระชายาเรื่องที่จะให้รับครอบครัวของเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาหารือเรื่องวันแต่งงาน
พระชายาพูดว่า “อยากจะพบครอบครัวเจ้ามานานแล้ว วันนี้เป็นโอกาสดี ใช้โอกาสนี้รับพวกเขามาที่เมืองหลวง ข้าจะขอบคุณที่หลายปีมานี้พวกเขาดูแลอี้เซวียนเป็นอย่างดีมาตลอด และยังอบรมสั่งสอนเขาเป็นอย่างดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพูดว่า “ช่วงนี้หม่อมฉันกับอี้เซวียนจะต้องไปที่หลินเฉิง เพื่อดูแลชาวบ้านให้เก็บเกี่ยวมันฝรั่งจนเสร็จ หลังกลับมาแล้ว พวกเราทั้งสองจะกลับบ้านไปรับพวกเขามาเองเพคะ”
พระชายายิ้มพยักหน้า “ดีแล้ว พาคนแก่และเด็กมาด้วยให้พร้อมหน้า ในจวนอ๋องมีห้องว่างเต็มไปหมด เพียงพอให้พวกเขามาพักอาศัย”
รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวหายไป “พวกเขาเป็นคนบ้านนอก หากอาศัยอยู่ในจวนคงจะต้องนอนไม่หลับเป็นแน่ ท่านอย่าทำให้พวกเขาลำบากใจเลยเพคะ”
พระชายาก็หัวเราะไปกับนาง พูดว่า “ก็ได้ ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ แต่ว่าจะต้องเอาเด็กๆ ที่บ้านมาให้หมด ข้าได้ยินมาว่าเจ้ายังมีน้องชายคนหนึ่ง ฉลาดเป็นกรด ปีนี้จะต้องสอบถงเซิงแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตีศีรษะตนเองเบาๆ พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “หากท่านไม่พูด หม่อมฉันก็คงจะลืมไปแล้ว ปีนี้เจี๋ยเอ๋อร์จะต้องสอบถงเซิงจริงๆ ด้วย ดูจากวันเวลาแล้ว น่าจะสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าสอบผ่านหรือไม่ กลับไปแล้ว หม่อมฉันจะรีบเขียนจดหมายส่งไปถามที่บ้านนะเพคะ อีกอย่างอี้เซวียนยังได้ให้สัญญากับเขาว่า ถ้าหากเขาสอบติดแล้ว จะส่งเขาเข้าไปเรียนที่สถาบันกั๋วจื่อเจี้ยน”
น้ำเสียงของพระชายาหนักแน่นว่าเดิม “อย่างนั้นก็รีบเขียนจดหมายเถิด บอกเขาว่า ต่อให้สอบไม่ผ่านพวกเราก็ส่งเขาไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนได้ เรื่องนี้เรื่องเล็กน้อย”
เรื่องที่เจี๋ยเอ๋อร์จะไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้บังคับเขา ทั้งหมดต้องดูความสมัครใจของเมิ่งเจี๋ยเอ๋อร์เท่านั้น หากเขาเต็มใจ ด้วยฐานะของอี้เซวียน จะส่งเขาเข้าไปเรียนในนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่หากเขาไม่ยอม นางเองก็จะไม่บังคับ วันนี้เพียงแต่พูดไปเท่านั้น แต่พระชายากลับตอบรับอย่างไม่ลังเล นางจึงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก พูดทั้งรอยยิ้มว่า “เพคะ หม่อมฉันจะเขียนจดหมายไปถามความเห็นของเขา หากเขายินยอมแล้ว มาเมืองหลวงครั้งนี้ หม่อมฉันก็จะไม่ให้เขากลับไปแล้ว”
พระชายาพยักหน้ายิ้มๆ พูดเสริมอีกประโยคว่า “ถึงตอนนั้นเจ้าและเซวียนเอ๋อร์ก็แต่งงานกันแล้ว ให้เขาอาศัยอยู่ในจวนก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ่งไม่กล้าขัดใจ
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ
ใช้น้ำไปทั้งหมดห้าถัง และใช้ผ้าอุดจมูกไว้ สาวใช้ที่ปรนนิบัติหลิวลี่ ขัดผิวนางจนผิวชั้นนอกแทบจะหลุดลอกออกมา ถึงจะช่วยนางชำระร่างกายให้สะอาดได้ นางเดินออกมาจากถังอาบน้ำ เช็ดตัวจนแห้ง ยังไม่ได้สวมเสื้อผ้า ร่างกายเปล่าเปลือยของหลิวลี่รู้สึกสบายอย่างไม่เคยได้รู้สึกมานาน นางยืนอยู่กับที่ ผายมือออกกว้าง รอให้สาวใช้สวมเสื้อผ้าให้นาง
สาวใช้จนปัญญา หยิบเสื้อชั้นในขึ้นมาหวังจะสวมให้นาง
แต่หลิวลี่กลับตะคอกใส่นางด้วยความโกรธ “ตาบอดหรืออย่างไร อีกครู่ข้าจะต้องรับใช้คุณชายนะ จะลำบากสวมเสื้อผ้าให้ข้าทำไมกัน ใส่ชุดคลุมให้ข้าก็พอ”
สาวใช้อึ้งไป เบิกตาจ้องมองนางหลายครั้ง จึงได้หันไปมองอวิ๋นซีอย่างงุนงง
อวิ๋นซีขมวดคิ้ว แต่กลับพยักหน้าเล็กน้อย
สาวใช้วางเสื้อชั้นในลง และหยิบชุดคลุมมาสวมใส่ให้นาง แต่หลิวลี่ก็ยังตวาดนางอีกครั้ง “ข้าไม่ให้เจ้าใส่ชุดชั้นใน แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ใส่เสื้อซับนี่ พวกคนโง่ ไม่รู้ว่าใครตาถั่วซื้อตัวคนอย่างเจ้ามา”
เมื่อเห็นท่าทางโอหังของนาง ต่อให้เป็นคนที่มีนิสัยดีเพียงใดก็อดไม่ได้ อวิ๋นซีพูดเสียงเย็นชาว่า “หากแม่นางหลิวมีความต้องการอะไร ได้โปรดพูดมาให้ชัดเจนในทีเดียวเถอะ พวกเราโง่เขลา เดาใจของเจ้าไม่ถูกหรอก หากเจ้าคิดว่านั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ถูกใจ อย่างนั้นคงต้องเปลือยร่างออกไปพบคุณชายแล้ว”
“นี่เจ้า…” หลิวลี่ถูกย้อนจนพูดไม่ออก ครู่หนึ่งจึงได้พูดกับสาวใช้ด้วยความโกรธว่า “ใส่เสื้อซับให้ข้า จากนั้นก็เอาชุดคลุมสีชมพูให้ข้าใส่”
“ขออภัยด้วย แม่นางหลิว เจ้าไม่ใช่คนของจวนเรา ในจวนของเราไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าไว้สำหรับเจ้า ชุดพวกนี้เป็นของข้า หากเจ้าเต็มใจใส่ข้าก็จะมอบให้เจ้า แต่หากไม่ยอม อย่างนั้นก็ขออภัยด้วย คงจะต้องให้เจ้าตราหน้าเปลือยร่างออกไปพบคุณชายแล้วล่ะ”
ดูจากฐานะของนาง น่าจะเป็นหัวหน้าสาวใช้ในจวน หลิวลี่ไม่กล้ายั่วโมโหนาง แต่ก็ยังไม่หยุดพูด “รอให้ข้าได้รับความเอ็นดูจากคุณชายเสียก่อนเถิด ข้าจะจับพวกไม่เคารพเจ้านายอย่างพวกเจ้าไปขายเสียให้หมด”
อวิ๋นซีไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “รอให้แม่นางหลิวได้เป็นเจ้านายแล้วค่อยว่ากันเถิด เมื่อถึงตอนนั้นแล้วจะทุบตีด่าทอ หรือจะเอาไปขาย ก็ตามแต่ใจเจ้า แต่ว่าตอนนี้เจ้าสวมเสื้อผ้าให้ดีแล้วรีบไปพบคุณชายก่อนเถิด ให้เขารอนานๆ แล้วข้าเกรงว่าคุณชายจะโกรธเอาได้”
เมื่อนึกถึงที่เฮ่อเหลี่ยนทำต่อนางเมื่อก่อน ร่างของหลิวลี่ก็สั่นเทาขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่พูดอะไรอีก ยอมให้สาวใช้ผู้นั้นนำเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหละหลวมมาสวมให้ตน
นานแล้วที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเช่นนี้ ต่อให้ไม่พอดีตัว แต่หลิวลี่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางยืนหมุนอยู่กับที่ครู่ใหญ่ ถามทั้งสองว่า “สวยหรือไม่”
สาวใช้ก้มหน้าก้มตา ในใจดูแคลนนางเป็นอย่างมาก สมกับเป็นขอทานขอข้าวไปวันๆ เสียจริง เพียงแค่สวมชุดเก่าๆ ก็ยังดีใจถึงเพียงนี้
แต่อวิ๋นซีกลับตอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ไปเถิด แม่นางหลิว คุณชายกำลังรออยู่”
พอไม่ได้คำตอบจากสาวใช้ทั้งสอง หลิวลี่เบ้ปากอย่างไม่พอใจ จำความแค้นครั้งนี้ไว้ เดินตามอวิ๋นซีมายังเรือนใกล้ห้องของเฮ่อเหลี่ยน
เฮ่อเหลี่ยนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอจนทนไม่ไหวแล้ว ตอนที่กำลังจะสั่งให้คนไปจับตัวหลิวลี่มานั้น ก็เห็นทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เหตุใดจึงช้าเช่นนี้”
“คุณชายได้โปรดอภัยด้วย แม่นางหลิวอาบน้ำใช้เวลาค่อนข้างนานเจ้าค่ะ” อวิ๋นซีโน้มตัวลง พูดอย่างนอบน้อม
เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวหลิวลี่เต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคล สกปรกจนดูไม่ได้นั้น เฮ่อเหลี่ยนจึงไม่ได้กล่าวโทษนาง โบกมือ “ออกไปเถอะ หากไม่มีคำสั่งจากข้า ก็ห้ามให้ใครหน้าไหนเข้ามาใกล้บริเวณนี้เด็ดขาด”
อวิ๋นซีตอบรับ เดินออกไปด้านนอก ปิดประตูลงอย่างเบามือ
สายตาเฮ่อเหลี่ยนมองมาทางหลิวลี่ ถามนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พูดมาเถิดว่าเจ้ามีความลับอะไร”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น