ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 208-211

ตอนที่ 208 ธาตุแท้ที่ถูกปกปิดไว้

 

เหวินเฟิงกะพริบตาปริบๆ หันกลับเข้าไปมองในบ้านของตน และพูดอย่างเกรงกลัวว่า “ท่านพ่อ หรงเอ๋อร์นอนหลับไปแล้วขอรับ มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันวันพรุ่งได้หรือไม่ขอรับ”


 


 


ไฟโกรธในใจของนายท่านเหวินปะทุขึ้นมา พูดด้วยอารมณ์โกรธว่า “หรือเจ้าอยากให้พ่อสั่งคนไปจับนางมาเอง”


 


 


“ท่านพ่อ” เสียงของเหวินเฟิงแฝงไปด้วยความไม่พอใจ “ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว พาคนมาบุกรุกเรือนของลูกดึกๆ ดื่นๆ และยังมาประกาศปาวๆ อีกว่าจะขอเจอภรรยาของลูก หากเรื่องนี้แพร่ออกไปข้างนอก คนเขาจะหัวเราะเยาะท่านเอาได้นะขอรับ”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดก้าวร้าวของเขาเช่นนี้ ร่างของนายท่านเหวินซวนเซไปเล็กน้อย โกรธจนแทบจะลมจับ ลูกชายคนนี้ของเขา แต่ก่อนเป็นคนรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี แต่เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้


 


 


เมื่อเห็นว่านายท่านเหวินมีท่าทางแปลกไป เหวินเฟิงทำท่าจะเดินเข้ามาพยุงเขาอย่างลืมตัว แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงได้ชักฝีเท้ากลับไป


 


 


นายท่านเหวินเห็นท่าทีของเขาแล้ว ในใจรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก นี่เป็นลูกที่เขาเลี้ยงดูประคบประหงมมาจนโตจริงๆ หรือ!


 


 


การตัดสินใจที่ยังลังเลอยู่ในทีแรก ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อดูจากท่าทีของเขาเมื่อครู่


 


 


เหวินซื่อเองก็เห็นแล้ว เม้มปาก เดินมาด้านหน้าเพื่อพยุงนายท่านเหวินเอาไว้ จากนั้น ก็มองหน้าพ่อบังเกิดเกล้าของตนเองอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็เห็นแล้ว มองหน้ากันเล็กน้อย ทั้งสองแสดงสีหน้าเห็นใจออกมา


 


 


เหวินเฟิงไม่รู้ว่าในเวลาสั้นๆ นี้ผู้คนตรงหน้าเขาคิดอะไรไปแล้วบ้าง “ท่านพ่อ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ท่านบอกลูกคนนี้มาเถิด รอพรุ่งนี้หรงเอ๋อร์ตื่นแล้ว ข้าจะบอกนางเอง”


 


 


“ไอ้เจ้าคนไม่ได้เรื่อง!” นายท่านเหวินด่าออกมาด้วยความโกรธ “ไสหัวไป ไปเรียกเมียของเจ้ามา”


 


 


น้อยครั้งที่นายท่านเหวินจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับเขา เหวินเฟิงตกใจพร้อมกับรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ยอมกลับเข้าเรือน แต่ยังมายืนขวางประตูเอาไว้ไม่ยอมไปไหน “ท่านพ่อ ท่านมีเรื่องอะไรถามข้ามาเลย หรงเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น”


 


 


เห็นชัดว่าเขากำลังปกป้องนาง ทำให้นายท่านเหวินโกรธเป็นอย่างมาก ชี้หน้าเขา หายใจหอบแรง แต่กลับโกรธจนพูดอะไรไม่ออก


 


 


เหวินซื่อลูบหลังของเขาเล็กน้อย พูดอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านปู่”


 


 


นายท่านเหวินเอามือลง พักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปด้านในแล้วตะโกนว่า “แม่ลูกสะใภ้ เจ้าจะออกมาเอง หรือจะให้ข้าสั่งคนเข้าไปเอาตัวเจ้าออกมา”


 


 


ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน


 


 


ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวมีลางสังหรณ์ไม่ดี ตะโกนว่า “จูหลี!”


 


 


จูหลีเดินตรงดิ่งไปยังเหวินเฟิง


 


 


เหวินเฟิงตกใจมาก ยังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ ก็ถูกจูหลีดันไปอีกฝั่งแล้ว


 


 


เมื่อเข้ามาในห้อง จูหลีรู้สึกราวกับว่าถูกแรงลมปะทะ ทำอะไรไม่ได้จึงถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว กลับมายืนอยู่ที่เดิม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง


 


 


นายท่านเหวินและเหวินซื่อตกใจมาก เบิกตาโพลงมองฮูหยินในห้องที่เดินไปมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


 


 


ฮูหยินสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เครื่องประดับยังไม่ได้ถอดออก ดวงตาสดใส ไม่เหมือนกับคนเพิ่งตื่นนอน


 


 


นางถอนสายบัวทำความเคารพนายท่านเหวิน และพูดออกมา เสียงของคนที่อายุหลายสิบปีแล้วกลับมีเสียงสดใสราวกับเด็ก “ข้าไม่ทราบว่าท่านพ่อจะมา ลูกสะใภ้คนนี้ไม่ค่อยสบาย นอนตั้งแต่หัวค่ำแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อได้โปรดอย่าถือสาเลย”


 


 


แม้ว่าฟังดูแล้วจะดูเหมือนการกล่าวขอโทษ แต่ลึกๆ แล้วนางกำลังต่อว่านายท่านเหวินที่เสียมารยาท มาที่เรือนของนางดึกๆ ดื่นๆ


 


 


เป็นไปได้หรือที่นายท่านเหวินจะฟังไม่ออกว่านางกำลังจะสื่ออะไร เขาทำหน้าบึ้งตึง


 


 


แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกยอมใจหญิงผู้นี้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกนางมาทำอะไรที่นี่ แต่นางกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตีหน้าซื่อตาใส ช่างเป็นการแสดงชั้นสูงจริงๆ


 


 


นายท่านเหวินถูกลูกชายและลูกสะใภ้ตำหนิติดต่อกัน ทำให้ในใจโกรธเคืองเป็นอย่างมาก ไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เขาพูดกับนางตรงๆ ว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย วันนี้เหวินเอ๋อร์ปวดท้องมาก ลูกในท้องจะรอดไม่รอดก็ยังไม่อาจรู้ได้ เจ้าเป็นคนสั่งให้บ่าวรับใช้ไปทำเรื่องนี้ใช่หรือไม่”


 


 


หญิงสาวทำสีหน้าตกใจออกมาอย่างถูกเวลา “ท่านพ่อพูดอย่างนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ตั้งแต่ที่ท่านจับข้าทั้งสองมาขังไว้ที่เรือนฝูหรงนี้ พวกข้าก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องภายนอกอีกเลย แล้วจะสั่งคนไปวางยานางได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”


 


 


“เรื่องมาถึงบัดนี้แล้ว ยังจะปากแข็งอีกหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าไม่แสดงตัวแล้ว จะมีคนไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจริงๆ หรือ” เมื่อเห็นสายตาของนาง นายท่านเหวินรู้สึกโกรธมากขึ้น ถามไปด้วยความโมโห


 


 


สีหน้าของฮูหยินยังคงปราศจากความกลัว พูดว่า “ข้ารู้ว่าท่านพ่อไม่ชอบหน้าข้าตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าเองก็พยายามไม่ไปให้ท่านเห็นหน้า ไม่ทำให้ท่านรำคาญ สะใภ้คนนี้คิดเองว่าทำดีที่สุดแล้ว เหตุใดท่านพ่อจึงได้เอาความผิดที่ข้าไม่ได้ก่อมาโทษข้าด้วย ตั้งแต่ท่านเดินเข้ามาที่นี่ก็ไม่ไถ่ถามความจริงใดๆ แต่กลับสั่งให้คนมาเข่นฆ่าคนรับใช้ของข้าจนหมด ลูกสะใภ้คนนี้ก็ไม่กล้าปริปากพูดสักคำ ท่านพ่อพูดเช่นนี้ คงจะไม่ใช่เพราะว่าต้องการกุเรื่องหาเหตุผลมาฆ่าลูกสะใภ้คนนี้หรอกนะเจ้าคะ”


 


 


นายท่านเหวินยังไม่ทันได้กล่าวอะไร เหวินเฟิงก็เดินมาขวางไว้ด้านหน้าทันที พูดกับนายท่านเหวินว่า “ท่านพ่อ หากท่านกล้าแตะต้องหรงเอ๋อร์แม้แต่ปลายเล็บ ลูกคนนี้ก็จะตายต่อหน้าท่านให้ดู”


 


 


หากไม่ใช่เพราะต้องไว้หน้านายท่านเหวินแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวคงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนายท่านเหวินถึงได้มอบร้านยาเต๋อเหรินให้เหวินซื่อดูแล แต่กลับไม่ยกให้ลูกชายของตน ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่ว่าทำไม่ได้ต่างหาก ลูกชายเขาเป็นเช่นนี้ หากร้านยาไปอยู่ในมือเขาแล้ว คาดว่าไม่กี่วันก็คงได้เปลี่ยนเจ้าของใหม่เป็นแน่


 


 


ฮูหยินไม่กล่าวอะไรอีก ก้มหน้าหลบอยู่หลังเหวินเฟิง ทำราวกับว่าสามีเป็นเกราะกำบังอันตรายทุกอย่าง


 


 


แต่เหวินเฟิงกลับมองนายท่านเหวินอย่างโกรธเคือง


 


 


นายท่านเหวินโกรธจนร่างสั่นสะท้าน ตอนแรกคิดว่าจับพวกเขาขังไว้ที่เรือนฝูหรงแล้ว ทั้งสองจะสำนึกผิด ไม่คิดเลยว่าเจ้าลูกไม่รักดีคนนี้จะมาถึงจุดที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีได้ เขาโบกมือพร้อมสั่งว่า “ไปเอาตัวมา!”


 


 


มีคนนำตัวของชิวจวี๋ที่สั่นสะท้านเข้ามา โยนลงไปบนพื้น


 


 


ชิวจวี๋เห็นศพสองร่างด้านหน้าประตู ก็ยิ่งกลัวมากขึ้น มือเท้าอ่อน คลานมายังหน้าของเหวินเฟิงและฝูหรง ก้มศีรษะขอร้องว่า “ฮูหยินเจ้าขา บ่าวทำเรื่องนี้เพื่อท่านนะเจ้าคะ”


 


 


เหวินเฟิงเบิกตาโพลง ถีบร่างของชิวจวี๋จนทำให้ชิวจวี๋กลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ แต่ก็ยังไม่หนำใจ ด่าทอไปว่า “นังสารเลว ขี้ข้าอย่างเจ้ายังมีหน้ามาใส่ร้ายฮูหยินเชียวรึ อยากตายนักหรือไร”


 


 


ฮูหยินไม่ชายตามองแม้แต่น้อย ยังคงหลบเงียบๆ อยู่หลังเหวินเฟิง


 


 


นายท่านเหวินโยนยาหอมในมือใส่เหวินเฟิงด้วยความโมโห


 


 


เหวินเฟิงเอนหัวหลบ ยาหอมประทะเข้ากับผ้าม่านด้านหลังของเขา ปัง และหล่นลงบนพื้น ตรงเท้าของฮูหยินพอดี


 


 


ฮูหยินยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แม้แต่เงยหน้าก็ยังไม่ทำ


 


 


“แม่ลูกสะใภ้ ตอนนี้ทั้งพยานและหลักฐานก็พร้อมแล้ว เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่” นายท่านเหวินถามเสียงแข็ง


 


 


“ท่านพ่อ หรงเอ๋อร์ไม่ได้ทำจริงๆ ท่านจะให้นางพูดอะไร” เหวินเฟิงกล่าวโทษพ่อด้วยความไม่พอใจ


 


 


นายท่านเหวินโกรธยิ่งกว่าเดิม สั่งไปว่า “เอาอะไรไปอุดปากมันซะ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางกัวเฟย


 


 


กัวเฟยพยักหน้า ส่งสายตาสั่งการไปยังองครักษ์ลับสองคน


 


 


แต่มีหรือที่เหวินเฟิงจะยอมแต่โดยดี เขาขัดขืนเต็มแรง


 


 


องครักษ์ทั้งสองหมดแรงไปมาก กว่าจะอุดปากของเขาไว้ได้ และนำตัวเขาไปไว้อีกด้าน เผยให้เห็นฮูหยินที่แอบอยู่ด้านหลัง


 


 


ฮูหยินทำเพียงแค่มองไปทางเหวินเฟิงเล็กน้อย จากนั้นก็หันมา มองไปทางนายท่านเหวิน ถามด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “หากข้ายอมรับแล้วท่านพ่อจะโยนความผิดมาที่ตัวข้ามากกว่าเดิมใช่หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


นายท่านเหวินไม่พูดอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดปากพูดว่า “ฮูหยิน ท่านเป็นคนฉลาด พวกเรามาหาท่านถึงที่ และยังมั่นใจว่าเรื่องนี้มีท่านบงการอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ยอมรับ”


 


 


ฮูหยินขมวดคิ้ว “แม่นางผู้นี้คือ…”


 


 


“เมิ่งเชี่ยนโยว” ตอบด้วยรอยยิ้ม


 


 


ฮูหยินพยักหน้า “เป็นแม่นางเมิ่งเองหรือ ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานาน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างยิ้มๆ “เช่นกันเจ้าค่ะ”


 


 


คิ้วของฮูหยินยังคงขมวดกันอยู่ สีหน้าสงสัย “ไม่ทราบว่าเหตุใดเรื่องภายในตระกูลเหวินของพวกเรา จะต้องให้คนนอกมาพูดแทรกด้วย ข่าวที่แพร่กันภายนอกคงจะเป็นเรื่องจริงสินะ ที่ว่าเจ้าและนายน้อยของบ้านเรามีความสัมพันธ์ลับๆ ต่อกันมานานแล้ว จึงได้…”


 


 


ยังพูดไม่ทันขาดคำ มีดเล่มเล็กก็ลอยผ่านหน้าของนางไป


 


 


เสียงของนางหยุดชะงัก สีหน้าไม่มีความตระหนกแม้แต่น้อย รอจนมีดเล็กลอยมาใกล้ตน จึงได้ค่อยๆ เอนหลบอย่างใจเย็น


 


 


มีดเล็กลอยไปปักอยู่ที่ประตูด้านหลัง


 


 


ฮูหยินเหลือบไปมองเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ทีเดียวว่าใครกันที่ฆ่าคนของข้าได้อย่างเงียบเชียบ ที่แท้ก็เป็นองครักษ์ลับที่ได้ยินชื่อมานานแล้วนี่เอง”


 


 


ผู้ที่รู้จักเหล่า ‘องครักษ์ลับ’ นั้นมีไม่มาก แต่ฮูหยินกลับบอกได้ว่ากัวเฟยเป็นองครักษ์ลับจากมีดเล่มเล็กนั่น ใจในของเมิ่งเชี่ยนโยวตกใจไม่น้อย


 


 


เหวินซื่อกลับตกใจกลัวมาก ความสามารถของเหล่าองครักษ์ลับนั้นเขารู้ได้จากตอนที่ไปตำบลชิงซีเมื่อปีนั้น ต่างเป็นผู้เก่งกาจขนาดที่คนเดียวสามารถสู้ชนะสิบคนได้ กัวเฟยลงมือในระยะใกล้เช่นนี้ เขาเองยังไม่ทันได้ระวังตัว แต่แม่เลี้ยงของเขาผู้นี้กลับหลบไปอย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าทักษะการต่อสู้ของนางไม่ธรรมดา แต่หลายปีมานี้ คนในบ้านกลับไม่มีใครรู้มาก่อนเลย เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขามองไปยังพ่อของตน เห็นเขาไม่มีสีหน้าตกใจเลย ชัดเจนแล้วว่า พ่อบังเกิดเกล้าตัวดีของเขารู้ดี เพียงแต่ปิดบังเขาและปู่เอาไว้เท่านั้นเอง


 


 


ฮูหยินมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน “ผู้นี้ก็คงเป็นซื่อจื่อที่เขาว่ากันสินะเจ้าคะ ว่ากันว่าซื่อจื่อมีรูปร่างงดงามหาใครเปรียบไม่ได้ กิริยาเป็นผู้ดีน่าเกรงขาม วันนี้ได้พบหน้าแล้ว ดูดียิ่งกว่าที่เขาว่ามาเสียอีก น่าทึ่งเสียจริงนะเจ้าคะ”


 


 


พูดจบ สีหน้าของหวงฝู่อี้เซียนเปลี่ยนไป แผ่พลังภายใน กดดันไปที่ฮูหยิน


 


 


แม้ว่าใบหน้าของฮูหยินยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่สีหน้าของนางก็ดูไม่สู้ดีนัก อดทนได้ไม่นาน ก็ถูกพลังภายในของเขากดดันจนกระอักเลือดออกมา


 


 


เหวินเฟิงเป็นห่วงและสงสารนางเป็นที่สุด ตะเกียกตะกายจะมาหานาง ปากส่งเสียงร้องอู้อี้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเก็บพลังภายในของเขา


 


 


ฮูหยินผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดมุมปากอย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็ทิ้งผ้าเปื้อนเลือดลงไว้ที่ข้างเท้า ยิ้มและพูดว่า “ท่านพ่อ วันนี้ที่ท่านพาปรมาจารย์และผู้คนมามากมายเพียงนี้ ก็เพียงเพราะคำใส่ร้ายที่นางคนรับใช้ชั้นต่ำผู้นี้มีต่อข้าหรือเจ้าคะ”


 


 


อย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนที่ทำการค้ามาทั้งชีวิต ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก หลังจากที่หายตกใจแล้ว ก็กลับมาตั้งสติได้ดังเดิม เขาพยักหน้า “เจ้าแต่งเข้าตระกูลเหวินของเรามายี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ข้ากลับไม่รู้เลยว่าเจ้ามีความรู้วิชาต่อสู้ เห็นที เหตุการณ์ปองร้ายที่เกิดขึ้นกับเหวินซื่อในหลายปีมานี้คงจะเป็นฝีมือเจ้าไม่ผิดแน่”


 


 


“ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ช่างไม่เป็นธรรมกับข้าเลยนะเจ้าคะ ตอนที่ข้าแต่งเข้าบ้านก็ไม่ได้ถามข้าว่าข้ามีวิชาต่อสู้หรือไม่” พูดถึงตรงนี้ เขามองหน้าเหวินซื่อเล็กน้อย “ต่อข้อที่ว่านายน้อยถูกปองร้ายนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย ท่านเองก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้ ข้าเองไม่ได้ออกไปจากที่นี่เลย”


 


 


“แล้วลูกในท้องของหลานสะใภ้เล่า เจ้าเป็นผู้วางยาพิษทำร้ายนางใช่หรือไม่” นายท่านเหวินถามอีกครั้ง


 


 


ฮูหยินยิ้มพร้อมส่ายหน้า “เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า กุ่ยเอ๋อร์ถูกไล่ออกจากบ้านไปแล้ว และข้าเองก็ถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนฝูหรงอยู่หลายปีแล้ว ขนาดสะใภ้ตั้งครรภ์ตั้งแต่เมื่อใดข้าเองก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปวางยานางได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”


 


 


“ฮูหยินพูดเก่งเสียงจริงนะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวชมนาง “หากเป็นผู้อื่นคงจะถูกท่านพูดตลบจนมึนงงไปแล้ว แต่น่าเสียดาย ที่วันนี้เจ้ามาเจอกับข้า ต่อให้เจ้าปฏิเสธเสียงแข็งอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งพูดออกมาเองว่าเป็นผู้ทำร้ายอาซ้อ”


 


 


ฮูหยินยิ้มเล็กน้อย ยังคงปั้นหน้าสวยดังเดิม “สมองของแม่นางเมิ่งมีปัญหาหรือ ข้าไปยอมรับเมื่อใดกันว่าข้าวางยานาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบนาง “ฮูหยิน ผู้ที่สมองมีปัญหาน่าจะเป็นท่าน ไม่ใช่ข้า ท่านเพิ่งเดินออกมาจากห้อง ก็พูดทันทีว่าไม่ได้วางยาซ้อ ทั้งๆ ที่พวกเรายังไม่ได้พูดเลยว่ามีคนวางยา อย่างนี้จะไม่เรียกว่าเป็นการหลุดปากสารภาพออกมาเองหรือ”


 


 


สีหน้าของฮูหยินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนผู้คนไม่ทันได้สังเกต “ข้าเพียงแต่คาดเดาเท่านั้น พอพวกเจ้าเข้ามาก็เข่นฆ่าคนของข้าจนหมดสิ้น ข้าจึงตกใจ และคาดเดาไปว่าลูกสะใภ้อาจถูกยาพิษ”


 


 


“ใช่แล้ว นี่เองก็เป็นช่องโหว่ที่สองของท่าน เมื่อครู่ท่านพูดเองว่าไม่ค่อยสบาย นอนไปตั้งนานแล้ว แล้วทราบได้อย่างไรว่าคนในเรือนถูกฆ่าตาย เห็นได้ชัดว่าท่านไม่ได้นอนเลยต่างหาก ทั้งยังคอยแอบฟังเสียงจากด้านนอกอยู่ตลอด หรือไม่ท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าครั้งนี้นายท่านเหวินจะต้องโกรธมาก จะต้องมาเข่นฆ่าท่านเป็นแน่”


 


 


ฮูหยินใช้ดวงตาคู่สวยมองไปยังนาง ครู่หนึ่งจึงได้ยิ้มออกมา “เป็นอย่างที่แม่นางพูดไม่มีผิด ยาหอมนั่น เป็นข้าเองที่สั่งให้คนนำไปไว้ที่ห้องของหญิงชั้นต่ำนั่น ที่จริงแผนนี้ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย แต่ข้าไม่คิดเลยว่าผู้ที่ไปลอบฆ่าเจ้าระหว่างทางกลับทำไม่สำเร็จ ปล่อยให้เจ้ามาถึงจวนเหวินได้ และทำลายแผนของข้าในที่สุด”


 


 


เมื่อได้ยินคำสารภาพจากปากนาง นายท่านเหวินถามอย่างโกรธแค้นว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้โหดร้ายเช่นนี้ วางยาเหวินเอ๋อร์เช่นนี้ต้องการจะทำลายผู้สืบสกุลของตระกูลเหวินหรือไร!”

 

 

 


ตอนที่ 209-1 คนที่ไม่ถูกรัก

 

 


 


ฮูหยินยิ้มอย่างเลือดเย็นออกมา “ท่านพ่อ ท่านลืมไปแล้วหรือว่า กุ่ยเอ๋อร์ก็เป็นหลานของท่านนะเจ้าคะ”


 


 


เมื่อพูดถึงเหวินกุ่ย อารมณ์ของนายท่านเหวินก็ปะทุขึ้นมามากกว่าเดิม “อย่าพูดถึงเจ้าสวะนั่นต่อหน้าข้า คนอย่างมันขนาดพี่ชายแท้ๆ ก็ยังฆ่าได้ลงคอ มันไม่สมควรจะเป็นหลานของตระกูลเหวิน”


 


 


สีหน้าของฮูหยินกระตือรือร้นขึ้นมากกว่าเดิม “ที่กุ่ยเอ๋อร์ทำไปเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะว่าท่านลำเอียงหรอกหรือเจ้าคะ กุ่ยเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาดแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่อสู้หรือเรื่องการค้าขาย เรียนรู้เร็ว สอนแล้วเป็นเลย และยังอ่อนน้อมเชื่อฟัง หลายปีมานี้ก็คอยกตัญญูดูแลรับใช้อยู่ข้างกายท่านมาตลอด คอยทำให้ท่านมีความสุข แล้วท่านเล่า เพียงเพราะเจ้าสวะนี่ได้ตำแหน่งตี๋จื่อ ท่านก็เลยยกสมบัติและการค้าทั้งหมดของตระกูลให้มัน มีสิทธิ์อะไรหรือ กุ่ยเอ๋อร์ยอมไม่ได้ ข้าเองก็ไม่ยอม ทั้งหมดนี้ควรจะเป็นของกุ่ยเอ๋อร์ต่างหาก ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรข้าก็เอาจะมาให้ได้”


 


 


“ที่เจ้าพูดไม่ผิดเลย กุ่ยเอ๋อร์อยู่ข้างกายข้า และยังทำให้ข้ามีความสุขไม่น้อย แต่ว่าเด็กคนนั้นถูกเจ้าสอนให้มีจิตใจไม่ปกติ เมื่อทำการค้าก็คอยจะหาผลประโยชน์เข้าตัว หากข้ามอบการค้าให้เขา ในเวลาไม่กี่ปี การค้าที่ข้าสร้างมากับมือทั้งชีวิตก็คงถูกเขาทำลายลง คนเช่นนี้ ข้าจะวางใจยกการค้าให้เขาได้อย่างไร”


 


 


“ทำการค้าก็เพื่อหาเงิน ขอเพียงแค่ทำเงินได้ ใช้โอกาสหาผลประโยชน์มันผิดอย่างไร สุดท้ายแล้ว ท่านนั่นแหละที่ลำเอียงเอนใจไปให้เจ้าคนไร้ค่านั่น กลัวว่ากุ่ยเอ๋อร์จะไปแย่งสมบัติของเจ้านั่น จึงได้ไล่กุ่ยเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของข้าออกจากบ้านไป ข้าจะไม่เกลียดได้อย่างไร มีสิทธิ์อะไรกัน พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสุขสบาย และกุ่ยเอ๋อร์ของข้าจะต้องไปลำบากตรากตรำข้างนอก ถูกคนดูถูกดูแคลน ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าสมใจหรอก พวกเจ้าให้ความสำคัญกับลูกหลานอย่างนั้นหรือ อยากได้ผู้สืบสกุลนักไม่ใช่หรือ ข้าก็จะไม่ให้พวกเจ้าสมใจ ข้าจะทำลายลูกในท้องของหญิงชั้นต่ำนั่น ข้าจะรอดูคนในตระกูลของเจ้าเจ็บปวด ข้าจึงจะสาสม” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮูหยินกัดฟัดแน่น ความโกรธปะทุออกมา


 


 


แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มเล็กน้อย ตบมือชื่นชม “ฮูหยินนี่ช่างขยันหาข้ออ้างให้จิตใจสกปรกของตนเองสียจริง ท่านแน่ใจหรือว่าลูกของท่านลำบากตรากตรำอยู่ด้านนอก เขาพบเจอข้าโดยบังเอิญหลายครั้งด้านนอก แต่ท่าทางของเขาผยองพองโตยิ่งนัก ข้าขอพูดตามตรงนะเจ้าคะ ที่พวกท่านดิ้นรนอยากจะได้ตำแหน่งเจ้าของร้านยาเต๋อเหรินนัก น่ากลัวว่าจะเป็นเพราะมีเป้าหมายอื่น ไม่ใช่เพราะว่าท่านยอมแพ้ไม่ได้”


 


 


สายตาของฮูหยินกลอกกลับไปมา ในที่สุดใบหน้าของนางก็เผยสีหน้าตกใจออกมา มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อสายตา


 


 


“เห็นทีข้าน่าจะทายถูกเสียแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “อย่างนั้นข้าขอทายเสียหน่อย ว่าเหตุใดพวกท่านจึงอยากได้ร้านยานัก หากไม่ใช่ว่าบ้านของแม่ฮูหยินเกิดปัญหา”


 


 


สีหน้าของฮูหยินตกใจมากขึ้น


 


 


ความรู้สึกเย้ยหยันของเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่มขึ้น “และบ้านแม่ของฮูหยินก็เพิ่งเกิดปัญหาขึ้นเมื่อไม่กี่ปีนี้ด้วยใช่หรือไม่”


 


 


ฮูหยินอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ถามออกไปว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”


 


 


“ง่ายจะตายไป ตั้งแต่ฮูหยินเข้ามาในบ้านนี้ เหวินซื่อยังเล็กอยู่ และนายท่านเหวินเองก็มักจะไม่ได้อยู่บ้านหลายปี หากฮูหยินต้องการกำจัดเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ได้ทำ เพียงแต่ไม่ชอบหน้าเขาก็เท่านั้น แต่ไม่กี่ปีหลังมานี้กลับมีความคิดจะฆ่าเขา จะต้องเป็นเพราะมีเหตุผลอะไรให้ท่านต้องคิดเช่นนี้ และท่านอยู่ในจวนเหวิน แม้ว่าจะไม่ได้มีอำนาจจัดการเรื่องในตระกูลเหวิน แต่ว่าก็อยู่สุขสบายดี เรื่องเดียวที่จะทำให้ตัดสินใจเช่นนี้ได้ก็มีเพียงแค่เรื่องบ้านแม่ท่านเท่านั้น”


 


 


หลังจากที่ฮูหยินหายตกใจแล้ว ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ พยักหน้า กล่าวชมว่า “ได้ยินมาว่าแม่นางเมิ่งมีความคิดรอบคอบ ฉลาดเป็นกรด เห็นทีว่าไม่ใช่เรื่องโกหก ที่แม่นางพูดมาไม่ผิดเลย ที่พวกข้าดิ้นรนอยากได้ตำแหน่งเจ้าของบ้านก็เพื่อบ้านฝั่งแม่ข้า ผู้ชนะย่อมเป็นผู้ถูกส่วนผู้แพ้ย่อมผิดเสมอ ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก พวกเจ้าจะจัดการกับข้าอย่างไรล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าพร้อมยิ้ม “ท่านพูดผิดแล้ว นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของตระกูลเหวิน จุดจบของท่านจะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องแล้วแต่นายท่านเหวินตัดสิน ข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย”


 


 


ฮูหยินมองไปทางนายท่านเหวิน ถามอย่างเรียบๆ ว่า “ท่านพ่ออยากจะจัดการกับข้าอย่างไรหรือเจ้าคะ”


 


 


นายท่านเหวินได้ทำการตัดสินใจตั้งแต่เมื่อตอนที่เดินทางมาแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็ตอบไปว่า “เจ้าได้ทำเรื่องเลวร้ายลงไปมากมายเช่นนี้ ตระกูลเหวินของเราคงรับเจ้าต่อไปไม่ได้แล้ว แต่หากไล่เจ้าออกไปก็จะเป็นผลเสียกับตระกูลเรา เจ้าจบชีวิตตัวเองเสียเถิด”


 


 


“หากข้าไม่ยอม?” ฮูหยินถามกลับอย่างใจเย็น


 


 


“หากเจ้าไม่ยอม ข้าก็จะสั่งคนลงมือ วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ใจอ่อนอีกต่อไป!” สีหน้าของนายท่านเหวินเคร่งเครียดขึ้น ตอบอย่างไม่ลังเล


 


 


ฮูหยินหันกลับไปมองเหวินเฟิง เผยรอยยิ้มออกมา ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนโยนและอ่อนแรง และพูดว่า “ท่านพี่ วันนี้ท่านพ่อจะเอาชีวิตข้าไปแล้ว”


 


 


เหวินเฟิงตะเกียกตะกายสุดแรง องครักษ์ลับทั้งสองเกรงว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บ จึงไม่ออกแรงมาก เขาจึงหลุดมาได้ เขาเดินพรวดมายังภรรยาของตัวเอง พูดข่มขู่เสียงดังว่า “ท่านพ่อ หากท่านอยากจะฆ่าหรงเอ๋อร์ ก็ฆ่าข้าไปก่อนเถิด”


 


 


นายท่านเหวินผิดหวังกับลูกชายของตนเองเป็นอย่างมาก ไม่อยากพูดกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว หันหน้าไป พูดว่า “แม่นางเมิ่ง รบกวนด้วยเถิด ส่วนเจ้าลูกอกตัญญูคนนี้ หากดิ้นรนจะตายเช่นนี้ ก็ส่งเขาไปปรโลกด้วยอีกคนเถิด” แม้ว่าจะพูดอย่างหนักแน่น แต่สีหน้ากลับแสดงความเจ็บปวดออกมาเป็นอย่างมาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าของเขา ไม่กล้ารอช้า สั่งชิงหลวนและจูหลีว่า “พวกเจ้าสองคนช่วยจบชีวิตฮูหยินที ส่วนกัวเฟย คุณชายเหวินให้เจ้าจัดการ” ความหมายของประโยคนี้ เป็นการบอกว่าให้ไว้ชีวิตเหวินเฟิงเอาไว้


 


 


เมื่อได้ยินคำของนายท่านเหวินแล้ว เหวินเฟิงอึ้งไป นายท่านเหวินมีจิตใจเมตตากับผู้อื่นมาโดยตลอด ไม่เคยมีปัญหากับใครมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฆ่าคนเลย ขนาดว่าคนรับใช้ในจวนทำความผิด การลงโทษที่รุนแรงที่สุดของเขาก็เพียงแค่หักเงินเดือนครึ่งเดือนเท่านั้น และเพราะเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าภรรยาของตนและลูกชายได้ทำอะไรไว้บ้าง แต่กลับไม่ได้ห้ามปราม คิดว่าอย่างมากพ่อของตนก็คงทำเพียงไล่พวกตนออกจากจวนเท่านั้น อย่างไรเสียเขาเองก็มีเงินเก็บจำนวนมากที่สะสมมาหลายปี ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่คิดไม่ถึงเลยว่านายท่านเหวินจะมีความคิดให้เข่นฆ่าลูกชายของตนเองได้ เรื่องมาถึงบัดนี้แล้ว เขาถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด ร้ายแรงจนถึงขั้นที่เขาไม่สามารถควบคุมอะไรได้แล้ว เขาหวาดกลัว น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นการอ้อนวอน “ท่านพ่อ หรงเอ๋อร์สำนึกผิดแล้ว ท่านไว้ชีวิตนางสักครั้งเถิด ข้าสัญญากับท่าน ว่าต่อไปนี้ข้าจะจับตามองนางไม่ให้คลาดสายตาเลย จะไม่ให้นางไปทำร้ายครอบครัวเหวินซื่อได้อีก”


 


 


หากเขาไม่ขอร้องยังจะดีกว่า เพราะเมื่อเขาเอ่ยปากขอร้อง ไฟโกรธในใจของนายท่านเหวินปะทุขึ้นมามากกว่าเดิม เขาโบกมือ สั่งให้บ่าวรับใช้ลงมือ


 


 


เมื่อมีคำสั่งจากเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว คนเหล่านั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ชิงหลวนและจูหลีหยิบดาบออกมาจากเอว แทงไปที่ฮูหยินทันที


 


 


เหวินเฟิงเอาร่างมาบัง


 


 


กัวเฟยรีบรุดมาด้านหน้า เตะไปยังขาของเขาทีหนึ่ง เหวินเฟิงได้รับบาดเจ็บ เอนล้มลงไปด้านหน้า กัวเฟยรีบมาด้านหน้ารับเขาเอาไว้ และลากเขาไปยังอีกฝั่ง สกัดจุดเขาไว้


 


 


เหวินเฟิงขยับไม่ได้อีก ได้แต่เพียงทำตาปริบๆ มองชิงหลวนและจูหลีทำร้ายฮูหยิน


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น สีหน้าของฮูหยินก็ไม่ได้เผยความกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย นางทำร่างอ่อนเอนหลบการโจมตีของทั้งสอง และใช้โอกาสหยิบดาบจากเอวของตนสู้กลับไป


 


 


เหวินซื่อกลัวว่าจะเผลอไปถูกนายท่านเหวินจนได้รับบาดเจ็บเข้า จึงได้พยุงเขาหลบไปอีกด้าน


 


 


ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดฮูหยินจึงไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ชิงหลวนและจูหลีรวมแรงกันอยู่นานสองนานก็ยังไม่สามารถจัดการกับนางได้


 


 


ในใจของนายท่านเหวินตระหนกเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าตนเองทำการค้ามาทั้งชีวิต คิดว่ารู้จักคนมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยรู้เลยว่าลูกสะใภ้ที่อยู่ใกล้ตัวมานานแสนนานจะมีวิชาต่อสู้ที่เก่งกาจเพียงนี้


 


 


ทั้งสองฝ่ายสู้กันอยู่ยี่สิบกว่ากระบวนท่า แต่ก็ยังดูไม่ออกว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ทว่าหน้าผากของฮูหยินเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดออกมาแล้ว เริ่มหายใจเร็วขึ้น เห็นได้ชัดว่านางเริ่มหมดแรงเสียแล้ว


 


 


ชิงหลวนและจูหลีได้โอกาสแล้ว ดาบของคนหนึ่งมุ่งไปด้านบน อีกคนด้านล่าง โจมตีนางไปพร้อมกัน ฮูหยินไม่ทันตั้งตัว จึงไม่ได้หลบดาบของพวกนาง ถูกจูหลีแทงเข้าไปที่ข้อมือ จนได้รับบาดเจ็บ ดาบในมือร่วงหล่นลงไปบนพื้น และดาบของชิงหลวนเองก็จ่ออยู่ที่ลำคอของนาง


 


 


บัดนี้นางขยับตัวไม่ได้แล้ว


 


 


ตาของเหวินเฟิงแทบจะถลนออกมาอยู่รำไร ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงไม่หยุด แต่เสียดายที่ร่างกายถูกสกัดไว้ ไม่สามารถขยับได้


 


 


เหตุการณ์ตรงหน้าทั้งหมดควบคุมได้แล้ว นายท่านเหวินเดินมาด้านหน้า มองตาฮูหยิน พูดว่า “อย่างไรเจ้าก็เป็นสะใภ้ของตระกูลเหวิน ถึงเจ้าตายไปแล้วพวกเรายังคงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างสมเกียรติ ไม่มีทางนำศพเจ้าไปทิ้งในป่าช้า จะต้องทำพิธีฝังร่างเจ้าตามขนบธรรมเนียม ก็ถือเป็นการให้เกียรติเจ้ามากแล้ว”


 


 


ฮูหยินหลุดหัวเราะออกมา “ท่านพ่อเพียงแค่กลัวว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป แล้วผู้คนจะหัวเราะเยาะว่าท่านใจบอดหรือเจ้าคะ”


 


 


เหวินเฟิงทำเสียงอู้อี้ ราวกับว่าต้องการพูดอะไรสักอย่าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้สัญญาณ กัวเฟยคลายจุดให้เขา


 


 


เหวินเฟิงรีบเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าที่หรงเอ๋อร์ทำเรื่องเช่นนี้ลงไปก็เพราะว่าถูกใครบงการอยู่ เป็น…”


 


 


“ท่านพี่!” ฮูหยินตัดบทเขา ยิ้มให้เขา “เกิดชาติฉันใดเราค่อยมาครองรักกันอีกนะเจ้าคะ”


 


 


เหวินเฟิงผงะไป ฮูหยินทิ้งตัวลงไปฟาดกำแพงด้านหลัง ปัง เลือดสาดกระเด็นจนเต็มใบหน้าของเหวินเฟิง


 


 


กรี้ดดด! ชิวจวี๋กรีดร้องเสียงดังออกมา ตกใจจนเป็นลมล้มไป


 


 


เหวินเฟิงตกใจจนเสียสติ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเรียกสติกลับคืนมาได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับลอบถอนหายใจออกมา


 


 


“หรงเอ๋อร์” น้ำเสียงที่ร้องออกมาราวกับใจจะขาด เหวินเฟิงกระโจนไปที่ร่างไร้เรี่ยวแรงของฮูหยินที่ล้มลงบนพื้น ช้อนอุ้มนางขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา มองดูศีรษะที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุดของนาง ก็รีบอ้อนวอนขอร้องว่า “ท่านพ่อ ข้าขอร้องท่านล่ะ ท่านช่วยหรงเอ๋อร์ทีเถิด”


 


 


นายท่านเหวินไม่พูดอะไร


 


 


เหวินเฟิงก้มหน้าลง ใช้มือปิดบาดแผลของนางเอาไว้ หวังจะหยุดไม่ให้เลือดไหลออกมา


 


 


ร่างของฮูหยินอ่อนระทวย ไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว


 


 


ดวงตาของเหวินเฟิงแดงก่ำ มองทุกคนตรงนั้นด้วยสายตาโกรธแค้น ตะโกนด่าทออย่างบ้าคลั่งว่า “พวกเจ้าทำให้นางต้องตาย พวกเจ้าบีบบังคับนาง ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าเอาไว้แน่”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางคลุ้มคลั่งไร้สติของเขา นายท่านเหวินก็ถอนหายใจออกมา หยิบยาออกมาจากแขนเสื้อของตน ใช้มือสั่นเทาของเขายื่นยาไปตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง รบกวนเจ้าเอายานี่ให้เจ้าอกตัญญูนั่นกินทีเถิด แม้ว่าเขาจะอกตัญญู แต่อย่างไรเขาก็เป็นลูกชายคนเดียวของข้า ไว้ชีวิตเขาไว้เถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองกัวเฟยเล็กน้อย กัวเฟยเข้าใจทันที เดินไปด้านหน้า รับยามา


 


 


เมื่อเห็นว่าเขารับยามาแล้ว นายท่านเหวินดูราวกับว่าแก่ลงทันที เขายืดหลังตรงเดินออกไปด้านนอก “ซื่อเอ๋อร์ เอาพวกคนที่ตายไปแล้วไปทิ้งไว้ตามป่ารก ส่วนชิวจวี๋นั่น ตัดลิ้นนางออกแล้วเอาไปขาย ส่วนพ่อของเจ้าก็ขังเอาไว้ในนี้ตลอดชีวิตนั่นแหละ ส่งคนมาดูแลให้ดีก็พอแล้ว”


 


 


คอของเหวินซื่อขยับเล็กน้อย ไม่ทันได้ตอบรับ นายท่านเหวินก็ได้เดินออกไปแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามออกไป


 


 


ชิงหลวนและจูหลีเองก็เดินตามพวกเขาไปเช่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 209-2 คนที่ไม่ถูกรัก

 

คนเหล่านั้นเดินตามนายท่านเหวินไปยังที่เรือนของเขา เขาหยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับ นายท่านเหวินพูดว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง เรื่องวันนี้รบกวนพวกเจ้ามากแล้ว วันหน้าหากมีเรื่องจะต้องให้พวกเราช่วย ขอให้โปรดพูดมาตามตรง ข้าจะช่วยอย่างเต็มที่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “อี้เซวียนขอขอบคุณนายท่านเหวินขอรับ”


 


 


เขาโบกมือ ถอนหายใจออกมายาวเหยียด พูดว่า “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ขอไม่คุยกับทั้งสองท่านต่อนะ เชิญทั้งสองตามสบายเถิด”


 


 


ทั้งสองพยักหน้า


 


 


นายท่านเหวินเดินเข้าไปในห้องนอน เสียงแก่ๆ ดังแว่วออกมาว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าขอพักเสียหน่อย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจงอย่าได้มารบกวนข้า”


 


 


เสียงตอบรับของคนบ่าวรับใช้ดังตามมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับไปยังเรือนรับรองแขกเงียบๆ


 


 


“ชิงหลวน เจ้าไปถามดูทีว่าซ้อตื่นหรือยัง” เมิ่งเชี่ยนโยวถามตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าห้อง


 


 


ชิงหลวนตอบรับ เข้าไปยังเรือนหลัก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนวางนางลงบนเตียง เปิดชายเสื้อของนางขึ้น เพื่อดูแผลของนาง เมื่อเห็นว่าไม่มีเลือดไหลแล้วจึงพูดด้วยความยินดีว่า “โชคดีที่พวกมันไม่ได้อาบยาพิษไว้บนมีด”


 


 


ชิงหลวนกลับมาแล้ว รายงานว่า “คนที่เรือนหลักบอกว่านายหญิงเหวินยังไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจ เพราะเพียงแค่เฝิงจิ้งเหวินไม่ตื่นขึ้นมาลูกในท้องก็มีโอกาสรอดแล้ว


 


 


ราวๆ หนึ่งชั่วยามถัดมา เหวินซื่อที่มีอาการเศร้าหมองเดินเข้ามา ไม่พูดอะไรสักคำ ทำเพียงนั่งเงียบอยู่ในห้องเท่านั้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดอะไร นั่งเคียงข้างเขา


 


 


เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เหวินซื่อยืนขึ้น มองทั้งสองคนเล็กน้อย พูดว่า “ระวังตัวด้วยล่ะ” และเดินออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลง


 


 


คืนนั้นผ่านไปอย่างสวัสดิภาพ เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นในเช้าตรู่ของวันต่อมา สะกิดหวงฝู่อี้เซวียนที่นอนข้างกายนาง ถามว่า “เมื่อคืนไม่มีคนจากเรือนหลักมาใช่หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ อื้ม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ทันระวังทำให้ผ้าฉีกมีเสียงดัง แคว่ก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตกใจตื่นขึ้นมา กระเด้งตัวนั่งขึ้น ถามอย่างร้อนใจว่า “แผลฉีกหรือ”


 


 


พูดจบ ก็เปิดผ้าของนางออก พบว่าไม่มีเลือดซึมออกมา จึงได้วางใจลง


 


 


“เจ้าอุ้มข้าไปที่เรือนหลักที เวลานี้ซ้อควรจะตื่นได้แล้ว ข้าจะไปดูเสียหน่อย”


 


 


เมื่อมองเห็นแสงสว่างสลัวด้านนอก หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว “เช้าไปหรือไม่ ไม่แน่ว่าบ้านนี้อาจจะยังไม่ตื่นนอนกัน”


 


 


“ไม่หรอก เร็วเข้า อุ้มข้าไป” นางร้อนรน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจนปัญญา สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย อุ้มนางออกไปจากห้อง ชิงหลวนและจูหลีได้ยินเสียงจึงเดินตาม


 


 


กระทั่งมาถึงเรือนหลัก สาวใช้ที่คอยดูแลอยู่ด้านหน้าเห็นพวกเขา จึงได้ตะโกนออกมาว่า “ฮูหยิน แม่นางเมิ่งมาแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


พูดจบ ทั้งสองทำความเคารพ และเปิดม่านกั้นประตูออก “ฮูหยินตื่นนอนนานแล้วเจ้าค่ะ แต่เกรงว่าจะไปรบกวนแม่นางเมิ่ง จึงไม่ได้ส่งคนไปเรียกเจ้าค่ะ”


 


 


ชิงหลวนรับเมิ่งเชี่ยนโยวมาเช่นเคย อุ้มนางเข้าไปด้านใน


 


 


เฝิงจิ้งเหวินนั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม รีบถามว่า “ท่านพี่บอกข้าว่าลูกในท้องข้าปลอดภัยแล้ว น้องโยวเอ๋อร์รีบมาดูให้ข้าทีว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่”


 


 


เหวินซื่อนั่งอยู่อีกทาง มองนางด้วยสายตาจริงจัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้ชิงหลวนวางตนลงบนตั่งถัดจากเตียง คว้าแขนของเฝิงจิ้งเหวินมา และจับชีพจรของนาง


 


 


เฝิงจิ้งเหวินและเหวินซื่อกลั้นหายใจ มองนางตาไม่กะพริบ


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ กระทั่งเหวินซื่อทนไม่ไหวเตรียมจะถามออกไปนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปล่อยแขนเฝิงจิ้งเหวินออก พยักหน้า “ลูกในท้องปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ทั้งสองยินดีขึ้นมาทันที แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดว่า “แต่ว่าได้รับผลกระทบอยู่บ้าง ข้าเกรงว่าหลายเดือนต่อจากนี้ อาซ้อคงจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนเตียงแล้ว”


 


 


สีหน้ามีความสุขได้จางหายไป เฝิงจิ้งเหวินถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าหมายความว่า ลูกของข้ามีโอกาสจากข้าไปเสมออย่างนั้นหรือ”


 


 


“มีโอกาสเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตามตรง “แต่ว่า หากท่านรักษาตัวอย่างดี ห้าเดือนต่อจากนี้ลูกในท้องก็ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าติดกัน “ข้าจะพักผ่อนอย่างดี ข้าจะพักผ่อนอย่างดี”


 


 


“นอกจากไม่ควรขยับร่างกายแล้ว ยังต้องรักษาสภาพจิตใจให้มีความสุข ห้ามไม่ให้มีเรื่องใดกระทบจิตใจเจ้าค่ะ” ประโยคนี้เมิ่งเชี่ยนโยวต้องการพูดกับเหวินซื่อ


 


 


เหวินซื่อเข้าใจความหมายของนาง พยักหน้าเบาๆ


 


 


นางบอกสิ่งที่ควรทำอย่างละเอียดแล้วก็สั่งยาให้ หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็นำคนของพวกเขากลับจวนไป


 


 


ในทีแรกหวงฝู่อี้เซวียนอยากให้นางไปที่จวนอ๋องเสียก่อน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าอาศัยอยู่ที่นั่นไม่เป็นอิสระ อีกทั้งต้องให้พระชายามาคอยเป็นห่วงอีก พระชายาร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ไม่ควรเจอเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ จึงคิดว่าไม่เข้าไปเสียจะดีกว่า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตามใจนาง กลับไปยังจวนที่หนานเฉิงพร้อมนาง หลังจากนั้นหลายวันก็ไม่ได้กลับไปจากจวนอ๋องอีก มีเพียงแค่ให้กัวเฟยไปจวนอ๋อง บอกคนให้นำเสื้อผ้าของเขามาส่งให้


 


 


ได้ฤกษ์งานแต่งงานเรียบร้อยแล้ว พระชายาจึงไม่ได้มีเวลามาสนใจพวกเขามากนัก เพราะยุ่งอยู่กับเรื่องชุดวันแต่งงานของทั้งสอง


 


 


เวลาผ่านไปไม่นาน แผลของเมิ่งเชี่ยนโยวกลายเป็นแผลเป็น นางลองลุกขึ้นเดิน หวงฝู่อี้เซวียนห้ามนางไม่อยู่ จึงต้องตามใจนาง


 


 


โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงกระดูก จึงไม่เป็นอันตรายมาก ท่าทางการเดินก็ไม่ได้ต่างจากปกติเท่าใด


 


 


แต่ว่า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ให้นางเดินไปไหนตามอำเภอใจ เพียงให้นางเดินเล่นในจวนเท่านั้น


 


 


เรื่องทุกอย่างได้เตรียมการไว้พร้อมหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็เชื่อฟัง ไม่ได้ก้าวเดินออกไปด้านนอกเลยแม้แต่น้อย


 


 


วันนี้อากาศอุ่นขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนไปออกกำลังกับนาง เห็นคนดูแลประตูเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน รายงานอย่างร้อนใจว่า “ซื่อจื่อ นายหญิง ด้านนอกมีคุณชายผู้ดีท่านหนึ่งมาขอพบ บอกว่าเป็นพี่ใหญ่ของซื่อจื่อขอรับ”


 


 


ทุกคนรู้ดีว่าจวนอ๋องมีเพียงหวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้เท่านั้น บัดนี้มีผู้มากล่าวอ้างว่าเป็นพี่ชายของซื่อจื่อ ความรู้สึกแรกของคนเฝ้าประตูรู้ได้ทันทีว่าเป็นกลลวง แต่ว่าดูท่าทางของเขา ดูจากการแต่งกายของเขาแล้ว ไม่ธรรมดาเหมือนผู้อื่น ในใจจึงเกิดความสงสัยขึ้น จึงได้รีบเข้ามารายงาน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วลง เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะและพูดว่า “ผู้ใดกันช่างใจกล้ายิ่งนัก กล้าปลอมมาเป็นพี่ของเจ้า สงสัยมาผิดบ้านกระมัง”


 


 


ราวกับว่าหวงฝู่อี้เซวียนคิดอะไรได้ขึ้นมา สีหน้ามีความกังวลขึ้น พูดว่า “ไปบอกเขา ว่าข้าไม่มีพี่ชาย เขามาผิดบ้านแล้วล่ะ”


 


 


“น้องเซวียนพูดเช่นนี้ไม่ได้ หากแพร่ออกไป คนจะมองว่าข้าเป็นคนหลอกลวง อย่างนั้นข้าคงมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด” พูดจบ ชายผู้ที่มีอายุอานามใกล้เคียงกับหวงฝู่อี้เซวียน ท่าทางสง่างามผู้นั้น ก็สะบัดพัดขึ้นมาพลางเดินเข้ามาด้านใน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนขวางอยู่ด้านหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว เขากัดฟันกรอด พูดว่า “เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่”


 


 


ผู้มาเยือนเห็นท่าทีของเขา หลุดยิ้มออกมา “ได้ยินมาว่าน้องชายยังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิง ไม่ยอมกลับจวน ข้าจึงสงสัยและอยากมาดูให้เห็นกับตาว่าเสน่ห์ของสาวงามเช่นไรที่มัดใจเจ้าไว้ได้ ทำให้ซื่อจื่อผู้เย็นชาหลงใหลได้ถึงเพียงนี้”


 


 


“ไสหัวกลับไป ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า” หวงฝู่อี้เซวียนพูดกลับ


 


 


แต่ผู้มาเยือนไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย โยกหัวไปมา ทำสีหน้าผิดหวังและพูดว่า “ไม่ได้หรอก ไม่ได้ ข้ามาทั้งที่ หากไม่ได้พบหน้าหญิงสาวที่ทำให้เจ้าหลงใหล ข้าก็ไม่ยอมกลับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเงื้อมมือปล่อยพลังฝ่ามือใส่เขาอย่างรุนแรง


 


 


ผู้มาเยือนตกใจจนถอยหลังไปเล็กน้อย ด้านข้างมีร่างของคนจำนวนหนึ่งตรงเข้ามา ยืนกั้นไว้ด้านหน้าเขาด้วยสีหน้าดุดัน


 


 


“พวกเจ้าถอยไปให้หมด หากไม่มีคำสั่งจากข้า ก็ห้ามออกมา หากทำให้พระชายาของซื่อจื่อตกใจไป ข้าจะตัดหัวพวกเจ้าทิ้ง” เขาสั่งด้วยเสียงดุ


 


 


คนเหล่านั้นลังเลเล็กน้อย และหลบหายไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ผู้ดูแลประตูงุนงงเป็นอย่างมาก


 


 


“ที่นี่ไม่มีกงการอะไรของเจ้าแล้ว ออกไปเถิด” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว


 


 


คนดูแลประตูตอบรับ เดินเร็วไปยังประตูหลัก แต่ในใจกลับยังสงสัยอยู่ เห็นทีซื่อจื่อคงจะรู้จักคนผู้นั้น แต่เมื่อพบกันก็ลงมือทันที คงจะไม่ใช่เพื่อนรักกัน เขาควรจะไปบอกกัวเฟยหรือไม่ไปบอกดี


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่หยุดใช้กำลัง ยังคงโจมตีเขาอย่างต่อเนื่อง


 


 


แต่วรยุทธ์ของผู้มาเยือนก็ไม่แพ้กัน ขณะที่รับมือกับเขาอยู่ ยังหันมาทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “น้องสะใภ้ ข้าคือพี่ใหญ่ พวกเรามีเรื่องอะไรก็คุยกันดีๆ เถิด เจ้ารีบบอกให้เจ้าบ้านี่หยุดเสียที”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของเขาแล้ว บวกกับปฏิกิริยาที่หวงฝู่อี้เซวียนมีต่อเขาเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็สามารถคาดเดาได้ว่าเขาเป็นใคร จึงไม่ได้สนใจคนสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ หันหลังเดินกลับไปยังห้องครัว


 


 


เมื่อเห็นว่านางไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ผู้มาเยือนรู้สึกร้อนใจขึ้นทันที พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “น้องสะใภ้ เจ้าจะต้อนรับแขกเช่นนี้อย่างนั้นหรือ อย่างน้อยข้าก็เป็นถึง…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับ พูดอย่างดุร้ายว่า “หุบปาก หากเจ้ายังกล้าปริปากพูดอีก ข้าจะโยนเจ้าออกไปนอกจวน”


 


 


เขาคิดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ จึงผงะไปเล็กน้อย และถูกฝ่ามือของหวงฝู่อี้เซวียนปะทะเข้าอย่างแรง ร่างของเขาเซไปด้านหลังหลายก้าว และยังกระแอมออกมาหลายที


 


 


“สมควรแล้ว หากครั้งหน้ายังกล้าถือวิสาสะเข้ามาในบ้านข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะก็ ข้าจะตบเจ้าให้ฟันร่วงหมดปากเลยทีเดียว” เมิ่งเชี่ยนพูดต่อ และหันหลังเดินจากไป


 


 


ผู้มาเยือนเบิกตาโต ราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน ชี้ตามหลังเมิ่งเชี่ยนโยวไป “น้องเซวียน นาง นาง นาง…” ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ครู่หนึ่งจึงได้พูดออกมาว่า “นางเป็นหญิงร้ายและอัปลักษณ์โดยแท้”


 


 


มีพลังฝ่ามือโถมเข้ามาอีกครั้ง เขาหลบได้ พูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย เหตุใดเจ้าจึงจะโกรธข้ามากถึงเพียงนี้เล่า”

 

 

 


ตอนที่ 210-1 พี่ใหญ่ ช่วยข้าที

 

 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร ยังคงใช้วรยุทธ์อย่างดุดันเช่นเดิม ทำให้ผู้มาเยือนถอยหลังไปหลายก้าว ราวกับว่าต้องการโจมตีให้เขาถอยออกจากจวนไป


 


 


ชิงหลวนและจูหลีรวมถึงกัวเฟยได้ยินเสียงเอะอะ จึงรีบร้อนวิ่งมา ได้เจอกับเมิ่งเชี่ยนโยวพอดี จึงสั่งว่า “เป็นเพียงแค่คนบ้าพลังสองคนเท่านั้น อย่าไปสนใจเลย”


 


 


เมื่อพูดเช่นนั้น ทั้งสามหยุดฝีเท้าลง เพียงแต่มองไปทางนั้นเล็กน้อย และหันสายตากลับมา หันหลังเดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปยังห้องครัว


 


 


แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนไม่ตกใจ แต่ภายในแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวตระหนกเป็นอย่างมาก ไท่จื่อมาหาเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ไม่รู้ว่ามีเป้าหมายอะไร


 


 


ในใจก็คิดไป เดินวนไปมาในห้องครัว มองดูวัตถุดิบทำอาหาร เนื่องจากหลายวันมานี้หวงฝู่อี้เซวียนพักอยู่ที่จวน วัตถุดิบจึงมีพร้อมทุกอย่าง เมื่อดูเสร็จ ก็คิดในใจได้แล้วว่าจะทำอาหารอะไรบ้าง สั่งให้บ่าวรับใช้รีบลงมือทำ เห็นท่าทางของไท่จื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว วันนี้อย่างไรก็คงจะไล่ไม่ไป จึงได้ลงมือเข้าครัวด้วยตนเอง ต้องทำอาหารดีๆ ออกมาสักสองสามอย่าง


 


 


หลายวันมานี้ที่เมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บ หวงฝู่อี้เซวียนดูแลนางอย่างใกล้ชิด ไม่ให้นางขยับตัวนัก แม้กระทั่งลงจากเตียงมาเดินเล่นก็ยังทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าครัวมาทำอาหารเลย ชิงหลวนและจูหลีเห็นนางเริ่มเตรียมวัตถุดิบ จึงมองหน้ากัน ชิงหลวนพูดว่า “นายหญิง ซื่อจื่อยอมให้ท่านเข้าครัวแล้วหรือ”


 


 


“ดูท่าแล้ว รอจนพวกเราทำอาหารเสร็จ พวกเขาก็อาจจะยังสู้กันไม่เสร็จก็เป็นได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดพลางเตรียมวัตถุดิบไปพลาง


 


 


ทั้งสองรีบเข้าไปช่วย


 


 


เป็นอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจริงๆ เสียด้วย อาหารทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังคงมีเสียงคนสองคนต่อสู้กันจากบริเวณลานบ้านดังเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ชิงหลวนและจูหลีจัดโต๊ะอาหาร นางเดินสาวเท้าเร็วๆ ไปยังลาน เห็นสภาพลานว่างที่รกวุ่นวาย และคนสองคนที่ยังคงต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ จึงพูดเสียงดังว่า “หากทำของเสียหายจะต้องรับผิดชอบตามราคาจริง หากขาดไปแม้แต่แดงเดียวข้าจะไปฟ้องพระชายาทันที”


 


 


ทั้งสองผงะไป หยุดการต่อสู้ หวงฝู่อี้เซวียนดีดตัวมาทางเมิ่งเชี่ยนโยว ส่วนอีกคนยังยืนอยู่ที่เดิม เบิกตาโตถามอย่างสงสัยว่า “อะไรกัน เขาเริ่มก่อนแท้ๆ ข้าต้องสู้กลับเพราะความจำเป็น หากจะต้องมีคนชดใช้ก็มีเพียงเขาผู้เดียว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา เดินไปยังตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน เช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากเขาอย่างอ่อนโยน จึงพูดว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้าบุกรุกที่พักของชาวบ้าน เขาจะลงมือกับเจ้าอย่างนั้นหรือ อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นความผิดของเจ้า หากเจ้าไม่ยอม ของที่พังเจ้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ”


 


 


ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีผู้ที่ไม่มีเหตุผลเช่นนี้ด้วย เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน แต่ไม่เพียงจะไม่ถือโทษโกรธเคืองแล้ว เขากลับรู้สึกสงสัย เบิกตาขึ้นโพลงมองไปที่นาง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเอาตัวไปยืนบังนางตามสัญชาตญาน พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าได้เห็นคนที่เจ้าอยากเห็นไปแล้ว ไสหัวไปได้แล้ว”


 


 


ชายผู้นั้นเริ่มเฉไฉ “จริงอยู่ที่ข้าได้พบตัวจริงแล้ว แต่นี่มันเวลาเที่ยงตรง ข้าหิวแล้วล่ะสิ ไปไหนไม่รอดหรอก ข้าขอกินข้าวก่อนค่อยไป”


 


 


เขาพูดจบก็มีเสียง ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ ดังขึ้นสองสามที เหล่าองครักษ์เงาที่แฝงตัวอยู่ทั่วสารทิศโปรยตัวลงมาด้านล่าง พวกเขาติดตามชายผู้นี้มานานหลายปี เพิ่งเห็นเขาประพฤติตัวเช่นนี้เป็นครั้งแรก เหล่าองครักษ์เงาตกใจเป็นอย่างมากในทีแรก จึงทำให้อดทนพรางตัวต่อไปไม่ไหว ทั้งหมดจึงได้เผยตัวออกมา เขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาท มีฐานันดรสูงส่ง ขอเพียงแค่เอ่ยปากว่าหิว ในวังก็มีอาหารนับพันชนิดมาให้เค้าเลือก แต่ตอนนี้กลับใช้เล่ห์เหลี่ยม ดึงดันจะอยู่กินอาหารที่บ้านองค์หญิง แม้ว่าองค์หญิงคนนี้จะเป็นพระชายาซื่อจื่อในอนาคต แต่เขาก็ไม่มีเหตุสมควรจะต้องทำเช่นนี้เลย ขอเพียงออกคำสั่งมาก็เพียงพอแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวมีหรือจะกล้าขัดคำสั่งของเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจะกล้าหรือไม่นั้น หวงฝู่ซวิ่นมิอาจรู้ได้ แต่เขารู้ดีว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะต้องกล้าเป็นแน่ หลายปีก่อน เมื่อครั้งที่หนุ่มผู้นี้เพิ่งถูกรับตัวกลับมาใหม่ๆ ตนมองว่าเขาเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่มาก จึงคิดจะแกล้งเขาเล่น คอยหาโอกาสหยอกแกล้งเขาตลอด แรกๆ ก็ยังดีอยู่ เด็กหนุ่มคนนี้ทำเพียงแค่มองเขาด้วยสายตาโกรธเคืองเท่านั้น ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใด แต่มีครั้งหนึ่งถูกเขาแกล้งจนโกรธมาก จึงได้ลงไม้ลงมือกับเขา และแม้ว่าจะไม่ได้พ่ายแพ้เสียเปรียบใด แต่หลังจากวันนั้น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจเขา จะต้องมาท้าประลองกับเขาแทบจะวันเว้นวัน และแม้ว่าจะแพ้ทุกครั้ง แต่ก็ยังสู้อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เวลาผ่านไปสองปี เขาได้กลายมาเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกับตนแล้ว ไม่ใช่เด็กหนุ่มขี้แพ้ในกำมืออีกต่อไป


 


 


ไท่จื่อผู้สูงส่งพูดประโยคเช่นนี้ออกมาได้ เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นางกลั้นขำสุดแรงเกิด คว้าแขนของหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปยังห้องครัว ไม่สนใจคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง


 


 


“เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว” หวงฝู่ซวิ่นไม่พอใจ ร้องตะโกนอยู่ด้านหลัง “ข้าจะบอกว่าเจ้าทั้งสองน่ะ ยังไม่ได้แต่งงานกัน แล้วจะมาจับมือถือแขนกันเช่นนี้ ข้าเห็นแล้วอุจาดตานัก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดเสียงเย็นชาโดยไม่หันหลังกลับไปมอง “หากเจ้าไม่อยากเห็นล่ะก็ ทิ้งเงินไว้ แล้วไสหัวออกไปเสีย”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นถูกดุเข้า ทำให้พูดอะไรไม่ออกอยู่นานสองนาน เขาลูบจมูกของตนเองเล็กน้อย กางพัดในมือของตนออก ทำท่าทีสง่างาม “หากจะใช้วิธีนี้ไล่ข้าออกจากบ้านล่ะก็ ไม่มีทางเสียหรอก ไท่จื่อผู้นี้ไม่มีทางเสียรู้เป็นแน่”


 


 


เหล่าองครักษ์เงาที่เพิ่งจะลุกขึ้นจากพื้นได้ ก็ล้มลงไปอีกครั้ง พร้อมกันนั้นในใจมีเสียงเสียงหนึ่งแผดออกมาว่า นี่หรือคือไท่จื่อผู้เด็ดเดี่ยว ฉลาดหลักแหลมไม่มีใครเปรียบ เจ้าเลห์ดั่งจิ้งจอกของพวกเรา เป็นเขาตัวจริงแน่หรือ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นกวาดสายตามองพวกเขาเพียงเล็กน้อย แต่เหล่าองครักษ์เงากลับรู้สึกราวกับว่ามีลมหนาวพัดเข้ามาใส่ร่างตนในฤดูที่มีอากาศอบอุ่นเช่นนี้ ลมหนาวทำให้พวกเขาหนาวจนสั่นสะท้าน จากนั้นก็ได้สติขึ้นมาและรีบกลับไปประจำตำแหน่งของตน


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเก็บสายตาของเขาลง พับพัดเก็บลง เดินย่างกรายตามทั้งสองไปยังห้องอาหาร


 


 


เค้าเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ อย่างไรเสียก็ต้องมีพิธีรีตองบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้คนเตรียมน้ำสะอาดแยกมาให้เขา หลังจากหวงฝู่ซวิ่นล้างมือเรียบร้อยแล้ว ไม่รอให้เจ้าบ้านเชื้อเชิญ ก็ประทับลงที่ตำแหน่งหัวโต๊ะทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวหมดคำจะพูด จึงนั่งลงฝั่งทางซ้ายของเขา


 


 


ในวังนั้นต้อวชิมอาหารก่อน และยังมีผู้คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง แต่เมื่ออยู่ที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีทางให้เขาทำนิสัยเสียเช่นนั้น เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนคีบอาหารให้นางแล้ว ทั้งสองก็เริ่มกินอาหารทันที


 


 


หวงฝู่ซวิ่นมองซ้ายมองขวา นอกจากพวกเขาทั้งสามคนแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก เมื่อเห็นทั้งสองเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย จึงไม่รอให้คนมาคอยป้อน เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาตามอย่างสองคนนั้น มองดูอาหารหกอย่างตรงหน้า คีบมาหนึ่งอย่างและใส่เข้าปากของตน


 


 


ในวังเต็มไปด้วยอาหารรสโอชา การที่เขาดึงดันจะต้องอยู่รับประทานอาหารที่นี่ก็เพราะว่าเขากำลังเกิดความสงสัยอยู่ ตั้งแต่เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงเมืองหลวงเมื่อปีก่อนเป็นต้นมา ข่าวคราวเกี่ยวกับนางก็ได้ลอยเข้าหูเขามาโดยตลอด ครานั้นเขาอยากจะหาโอกาสเพื่อถกถามพูดคุยกับนาง แต่เรื่องการหมั้นหมายของนางกับหวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ได้กำหนดลงตัว หากตนไปพบนางตามลำพัง จะทำให้หวงฝู่อี้เซวียนเกิดอาการหึงหวงเอาได้ จึงได้เก็บความคิดนี้เอาไว้ จนกระทั่งพวกเขาได้รับพระราชทานงานสมรส กำหนดวันเข้าพิธีแล้ว เขาจึงกล้ามาพบ และแน่นอนว่าต้องเลือกวันที่มีหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ด้วย


 


 


เขาคีบอาหารเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน พอกินไปหนึ่งคำ เขาก็เบิกตาโพลงขึ้น แล้วก็กินซ้ำอีกเพื่อให้แน่ใจ กลืนลงอย่างรวดเร็ว ถามขึ้นว่า “อา อาหารนี่ใครเป็นคนทำหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ได้ชิมรสชาติของอาหารแล้ว กล่าวโทษเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าห้ามทำอาหารเองจนกว่าแผลจะหายดีเสียก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขาด้วยรอยยิ้มออดอ้อน พูดว่า “ข้าเห็นว่าพี่ใหญ่ของเจ้ามาเยี่ยมเป็นครั้งแรก เข้าครัวทำอาหารเองก็เพื่อเป็นแสดงถึงการต้อนรับอย่างจริงใจ ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”


 


 


ทั้งสองคนพูดคุยถามตอบกัน แต่หวงฝู่ซวิ่นเข้าใจความหมายที่ทั้งสองจะสื่อแล้ว จึงถามอย่างไม่เชื่อใจ “อาหารพวกนี้แม่นางเมิ่งเป็นคนทำเองเลยหรือ”


 


 


น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ และความโอ้อวด “แน่นอนเจ้าค่ะ ฝีมือการทำอาหารของเชี่ยนโยวดีเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่ใช่ว่าใครจะได้ชิมฝีมือข้าง่ายๆ นะเจ้าคะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่อยากเชื่อสายตา และหันไปมองอาหารบนโต๊ะ จากนั้นก็ยกชามขึ้น คีบอาหารเพิ่มวางลงบนชาม ปากก็พูดว่า “ไม่ได้ละ อย่างนี้ข้าจะต้องกินให้มาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะหลุดหัวเราะเอาอาหารในปากกระเด็นออกมา นางพยายามอย่างมากที่จะบังคับตัวเองให้กลั้นขำเอาไว้

 

 

 


ตอนที่ 210-2 พี่ใหญ่ ช่วยข้าที

 

ส่วนใหญ่ของอาหารมื้อนี้ได้ไหลไปอยู่ในท้องของหวงฝู่ซวิ่นแล้ว เขาเองก็กินอย่างไม่ระวังจนจุก


 


 


มองท้องป่องของตนเอง หวงฝู่ซวิ่นสีหน้าเจื่อน แก้ตัวยิ้มๆ ว่า “เอ่อ คือ น้องสะใภ้ อาหารของเจ้าช่างอร่อยเสียเหลือเกิน ข้าลืมตัวเลยกินเข้าไปเสียมาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า บ่งบอกถึงความเข้าใจ พูดว่า “มิเป็นไรเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ว่าอร่อยก็ดีแล้ว อาหารมื้อนี้ทั้งหมดเป็นเงินห้าพันตำลึง ท่านกินไปกว่าครึ่ง ข้าเองก็ไม่เอาเปรียบท่าน ท่านจ่ายข้ามาสามพันก็พอเจ้าค่ะ”


 


 


พรวด หวงฝู่อี้เซวียนที่เพิ่งดื่มน้ำชาไป พ่นเอาน้ำชาออกมา


 


 


ส่วนรอยยิ้มของหวงฝู่ซวิ่นแข็งทื่อไปทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนวางแก้วชาลง เช็ดปากด้วยท่าทีสง่างาม อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงไท่จื่อ มีเงินทองมากมาย เงินเพียงสามพันตำลึงเขาคงไม่ใส่ใจหรอก แต่ใครจะรู้ว่า ท่าทางของหวงฝู่ซวิ่นไม่ได้เป็นดังที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาดีดตัวขึ้น มือสั่น หน้าแดง ยกนิ้วชี้หน้าทั้งสองคนอย่างไม่พอใจ พูดด้วยความโมโหว่า “พวกเจ้าช่างใจดำเสียจริง อาหารเพียงเท่านี้แต่คิดข้าถึงสามพัน อย่างนี้มันปล้นกันชัดๆ ข้า ข้าไม่มีหรอก!”


 


 


พูดจบ เขาก็ยกเท้าเตะเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างเพื่อเป็นการระบายอารมณ์


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป อ้าปากค้าง มองเขาอย่างตกตะลึง


 


 


ปฏิกิริยาของเขาเป็นไปอย่างที่หวงฝู่อี้เซวียนคาดการณ์ไว้ หนุ่มผู้นี้ภายนอกดูเสมือนสูงส่ง สุขุม มีมารยาท แต่คนเราย่อมมีสองด้านเสมอ ไม่อย่างนั้นหลายปีมานี้ พวกเขาทั้งสองคงจะไม่ตีกันจนรักกันได้อย่างไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเปิดปากพูด น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรู้สึกเยาะเย้ย “พี่ใหญ่ หากไม่มีเงินมาจ่ายล่ะก็ ช่วยพวกข้าทำอะไรสักอย่างแทนก็ได้”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นถามด้วยความโกรธว่า “เรื่องอะไร”


 


 


จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนขานนามเขาว่าอย่างไรเมื่อครู่ เบิกตาโพลง สีหน้าตื่นเต้น สาวเท้าก้าวยาวๆ เดินมาตรงหน้าเขา ถามเขาว่า “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายผู้ที่ยืนตรงหน้านี้จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของตน เป็นไท่จื่อของราชวงศ์ เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปของรัฐอู่


 


 


หวงฝู่ซวิ่นไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ ถามเขาซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น เนื่องจากนับแต่ที่เขากลับเมืองหลวงมาเมื่อห้าปีก่อน พวกเขาต่อสู้กันนับร้อยหน แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะขานเรียกตนว่าพี่ใหญ่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ครั้งแรกเชียวนะ แล้วจะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไรกัน


 


 


เมื่อเห็นท่าทีว่าหากเขาไม่ตอบ หวงฝู่ซวิ่นก็คงไม่เลิกรา หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที พยักหน้าด้วยความเบื่อหน่าย แล้วตอบเสียงเบาว่า “อืม”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นดีใจมากกว่าเดิม จนแทบจะกระโดดโลดเต้นขึ้นมา “บอกมาเถิด บอกมา ว่าเรื่องอะไร ข้าจะไปจัดการแทนเจ้า”


 


 


สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนเปล่งประกาย พูดว่า “พี่ใหญ่ หาวิธีจัดการคนสองคนให้ข้าที”


 


 


ไม่ถามสักคำว่าสองคนนั้นเป็นผู้ใด หวงฝู่ซวิ่นก็ยืดอกรับคำไปเสียแล้ว “แค่สองคนเองหรือ ต่อให้เป็นสิบเป็นร้อยคนก็ไม่มีปัญหา เจ้าว่ามาเถิด ว่าจะให้จัดการอย่างไร”


 


 


“สั่งคนไปจัดการให้พวกมันจนฟันหลุดออกจากปาก ใบหน้าเสียรูปทีเถิด แล้วอย่าให้หลงเหลือร่องรอยไว้” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


 


 


ใจของหวงฝู่ซวิ่นสั่นเล็กน้อย เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่รู้ว่าครานี้เป็นผู้ใดที่โชคร้าย มายั่วโมโหเขาเสียได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาเล็กน้อย และให้สัญญาว่า “หากท่านพี่ทำสำเร็จแล้ว ภายหน้าก็สามารถมากินอาหารอร่อยๆ ที่นี่ได้บ่อยๆ แต่หากไม่สำเร็จ ภายหน้าก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”


 


 


“ดูทีสิ เจ้าพูดอะไรออกมา ข้าเต็ม…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาจ่ายค่าอาหารเมื่อครู่ จึงได้กลืนเก็บคำข้างหลังลงท้องไป และพูดใหม่ว่า “ฐานันดรของข้าใช่จะมาขอข้าวผู้อื่นหรือ”


 


 


แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง พูดอย่างเคร่งขรึมและตั้งใจว่า “ใช่”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะจนเหนื่อย นางรีบหันหลังกลับ และพูดว่า “พวกเจ้าคุยกันต่อเถิด น้ำชาเย็นหมดแล้ว ข้าจะไปเติมน้ำมาให้พวกเจ้า” พูดจบ ไม่รอให้ทั้งสองตอบตกลง นางก็เดินหายไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ห้องอาหารเหลือเพียงหวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่ซวิ่นสองคน


 


 


หวงฝู่ซวิ่นนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีมีสง่าราศีดังเดิม “ว่ามาเถิด จะให้ข้าไปจัดการกับผู้ใด เพราะเหตุใด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ปิดบัง เล่าเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวถูกทำร้ายให้เขาฟัง


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าเฮ่อจางนั่นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


“ดังนั้นเจ้าจึงอยากให้ข้าไปจัดการหลานสองคนของเขาอย่างนั้นหรือ” หวงฝู่ซวิ่นถามต่อ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบ แต่เห็นสีหน้าของเขาแล้ว หวงฝู่ซวิ่นรู้ทันทีว่าเขาเดาถูก เขากางพัดที่พกติดตัวมาตลอด พัดวีเล็กน้อย “แม้ว่าลูกของเฮ่อจางจะไม่เอาไหน แต่หลานทั้งสองยังพอใช้ได้ โดยเฉพาะเฮ่อจู้ ท่าทางฉลาด ฉลาดกว่าผู้เป็นพ่อไม่รู้กี่เท่า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากท่านพี่ไม่เต็มใจช่วย ก็ให้ข้าลงมือเองเถิด”


 


 


เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา หวงฝู่ซวิ่นเก็บพัดในมือ กลับมีทำท่าทีไม่จริงจังเช่นเดิม พูดเสียงดังว่า “ช่วยสิ จะไม่ช่วยได้อย่างไร วันพรุ่งข้าจะเอาข่าวดีมาบอก”


 


 


พอเขาพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถือน้ำชาเดินเข้ามาด้านใน วางแก้วตรงหน้าของหวงฝู่ซวิ่นก่อน แล้วค่อยยื่นให้หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


เมื่อดื่มชาจนหมดแล้ว นั่งพักครู่หนึ่ง หลังจากสั่งรายการอาหารของวันรุ่งขึ้นต่อสายตาที่กดดันของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว หวงฝู่ซวิ่นก็จากไปด้วยจิตใจอิ่มเอม


 


 


วันต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้นกับหลานทั้งสองของเฮ่อจางที่เรียนหนังสืออยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยน คนแรกตอนที่เรียนวิชาขี่ม้ายิงธนู เนื่องจากใช้แรงมากเกินเหตุ ทำให้ไม่ระวังและตกลงมาจากหลังม้า แม้ว่าคนจะไม่ได้รับบาดเจ็บมาก แต่ว่าฟันหน้าหักไปสองสามซี่ อีกคนตอนที่กำลังออกจากจวนไม่ทันระวังจึงได้สะดุดล้มตรงรั้วเข้า เนื่องจากทรงตัวไม่อยู่จึงได้เอาหน้าลงพื้น เป็นเหตุให้ใบหน้ามีรอยแผลเต็มไปหมด


 


 


ในขณะที่เหล่านักเรียนกำลังตกใจกันอยู่นั้น ก็มีมือหลายสิบมาช่วยกันพยุงเขาขึ้นมา และพาไปที่สำนักหมอหลวง หลังจากหมอหลวงเจียงเห็นแล้วก็ส่ายหน้าติดกัน “บาดแผลค่อนข้างลึกทีเดียว ต่อให้รักษาจนแผลหายแล้ว จะยังคงเหลือรอยแผลเป็นไว้บนใบหน้า”


 


 


และหลังจากที่ทั้งสองถูกพาตัวกลับมาที่จวนแล้ว เฮ่อจางเห็นสภาพหลานทั้งสองก็แทบจะลมจับ เฮ่อเหลี่ยนเป็นลมไป เด็กสองคนเป็นความหวังทั้งหมดของเขา แต่วันนี้กลับมีสภาพเช่นนี้ เท่ากับว่าได้ทำลายความหวังเดียวของเขาไปแล้ว เขาโกรธมาก จึงส่งคนไปสืบเรื่อง สาบานว่าจะต้องจับตัวผู้บงการเรื่องนี้ให้ได้ แต่สืบไปสืบมากลับไม่มีข้อมูลอะไร เพราะตอนที่พวกเขาเกิดเรื่องขึ้นนั้น นักเรียนคนอื่นๆ อยู่ห่างจากพวกเขาหมด ไม่มีผู้ใดมีโอกาสลงมือทำได้เป็นแน่


 


 


ยิ่งสืบไม่ได้ว่ามาจากไหน ก็ยิ่งแสดงว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ เฮ่อจางนึกถึงหวงฝู่อี้เซวียนเป็นคนแรก รู้ได้ทันทีว่าจะต้องเป็นเขาที่วางแผนเพื่อแก้แค้น แม้ว่าส่งคนไปสืบมาแล้วจะพบว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ออกจากบ้านของเมิ่งเชี่ยนโยวเลยเป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่เฮ่อจางก็มั่นใจว่าเป็นเขา ใบหน้าเคร่งเครียด ในใจโกรธแค้น พูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้าคิดจะทำร้ายข้า อย่างนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะมีความสุขได้”


 


 


และในขณะที่หวงฝู่ซวิ่นมาขอร่วมโต๊ะที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยวติดกันสามวัน ไม่เพียงแค่เขาแต่ยังรวมไปถึงเหล่าองครักษ์เงาเองก็ไม่ยอมห่างจากบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวนั้น คนเฝ้าประตูก็ได้รีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้องอาหาร รายงานด้วยเสียงร้อนรนว่า “นายหญิง ด้านนอกมีผู้มาขอพบขอรรับ บอกว่าเป็นคนของจวนโจว เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้านายของเขา ขอให้ท่านรีบไปช่วยดูหน่อยขอรับ” พูดจบ ก็เช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของตน ในใจพลางคิดว่า ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนรอบตัวของนายหญิงต่างพากันเกิดเรื่องขึ้นเสม เขารู้ดีว่าตระกูลโจวเป็นบ้านพ่อตาของเมิ่งอี้ เมื่อเห็นว่าคนด้านนอกร้อนใจ จึงคิดว่าครานี้น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วพร้อมกัน รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเฮ่อจาง จึงรีบวางถ้วยชาในมือลง ยืนขึ้นและเดินออกไปด้านนอก


 


 


หวงฝู่ซวิ่นที่เพิ่งจะกินอาหารเสร็จด้วยความพึงพอใจ กำลังจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น ตระกูลโจวที่ทำให้ทั้งสองเป็นกังวลเพียงนี้ น่าจะเป็นครอบครัวของตี้ซือ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาค่อยๆ วางถ้วยชาลง และเดินออกไปอย่างช้าๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปพลางออกคำสั่งไปว่า “เตรียมม้า ไปยังจวนโจว!”


 


 


ชิงหลวนและจูหลีตอบรับ และรีบไปหลังจวน


 


 


บ่าวรับใช้สองคนบอกนางอย่างร้อนใจว่า “แม่นางเมิ่ง เกิดเรื่องขึ้นกับคุณชายทั้งสองของพวกเรา ทั้งสองถูกจับเข้าคุกไปแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 211-1 แรงเกินเหตุ

 

 


 


ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวเกิดความกดดันขึ้น นางโบกมือ พูดตัดบทเขา “เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”


 


 


บ่าวรับใช้ปิดปากเงียบ รีบหลบไปอีกด้าน


 


 


ม้าถูกจูงเข้ามา ทั้งสองขึ้นม้า มุ่งหน้าไปยังจวนโจว ชิงหลวน จูหลีและกัวเฟยตามมาด้านหลัง


 


 


หวงฝู่ซวิ่นครุ่นคิดเล็กน้อย และสั่งการไปว่า “เร็วเข้า ตามไปจวนโจว”


 


 


ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง ผู้คนบนถนนบางตา ม้าวิ่งไปด้วยความเร็วสูง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าจวนโจว ไม่รอให้ม้าหยุดนิ่งทั้งสองก็กระโดดลงมาทันที และเดินเข้าไปยังจวนโจว อย่างเร่งรีบ


 


 


คนดูแลประตูของจวนโจวรู้จักพวกเขา จึงไม่ได้ห้ามเอาไว้


 


 


คนในจวนคงจะรู้กันทั่วแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศภายในอึมครึมเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งบ่าวรับใช้ที่พบเจอระหว่างทางก็ยังทำความเคารพพวกเขาด้วยความระมัดระวัง


 


 


พวกตรงไปที่ห้องของตี้ซือทันที สาวใช้หน้าประตูไม่รอคำสั่ง รีบมาเปิดม่านกั้นประตูออก เชิญพวกเขาทั้งสองเข้าไปด้านใน


 


 


คนในครอบครัวโจวอยู่กันเกือบจะพร้อมหน้า นอกจากตี้ซือแล้ว ทุกคนต่างร้องไห้จนตาแดงก่ำ เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา โจวอิ๋งพูดกับพวกเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ น้ำเสียงสะอื้น “ซื่อจื่อ น้องโยวเอ๋อร์”


 


 


ตี้ซือเอ็ดทุกคน “เอาล่ะ ร้องไห้ระงมกันอยู่ได้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับซื่อจื่อและแม่นางเมิ่ง พวกเจ้าออกไปกันก่อนเถิด”


 


 


หลังจากที่ทุกคนทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียนแล้วก็จากไป


 


 


ตี้ซือผายือไปทางเก้าอี้ พูดกับทั้งสองว่า “นั่งเถิด”


 


 


ทั้งสองนั่งลง


 


 


ขณะที่ตี้ซือกำลังจะเปิดปากพูดนั้น พ่อบ้านกลับพุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตเสียก่อน “นายท่าน ไท่จื่อเสด็จขอรับ!”


 


 


ตี้ซือตกใจจนเด้งตัวขึ้นมา จัดระเบียบเสื้อผ้าเล็กน้อยจึงเดินออกไปด้านนอก หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นปรามเขาเอาไว้ “เขามากับพวกข้าขอรับ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป”


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น ตี้ซือก็ผ่อนคลายลง เดินไปทางหน้าประตู ไทจื่อเดินเข้ามาถึงด้านในแล้ว


 


 


ตี้ซือเดินไปด้านหน้า กำลังจะก้มลงทำความเคารพเขา แต่หวงฝู่ซวิ่นยื่นมือไปพยุงรับเขาเอาไว้ “ไม่ต้องทำความเคารพข้าหรอก พอดีข้ากำลังรับประทานอาหารอยู่ที่จวนแม่นางเมิ่ง เมื่อได้ยินข่าวว่าท่านเกิดเรื่องขึ้น จึงได้ติดตามพวกเขามา ท่านคงไม่ถือสาหรอกนะ”


 


 


เขาเป็นถึงไท่จื่อ ไปเยี่ยมบ้านผู้ใดก็ถือเป็นเกียรติมากแล้ว เขาเป็นลูกรักของฮ่องเต้ ตี้ซือจะไปถือสาได้อย่างไร และจะกล้าถือสาได้อย่างไร


 


 


เขาพยายามฝืนยิ้มออกมา พูดว่า “ไท่จื่อตรัสเป็นเล่นไป ท่านเสด็จถึงจวนโจวได้ ถือเป็นเกียรติแก่ตระกูลโจวของเรา ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ได้”


 


 


พูดจบ ก็ยื่นออกไปทำท่าเชื้อเชิญ พูดอย่างนอบน้อมว่า “เชิญท่านเข้าไปด้านในก่อน”


 


 


เขาเดินอย่างสง่างามเข้าไปด้านใน มองคนทั้งสองในห้องเล็กน้อยและนั่งลงบนเก้าอี้


 


 


หลังจากสั่งให้คนยกน้ำชามาให้แล้ว ตี้ซือจึงได้นั่งลง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองค้อนพ่อคนขัดจังหวะผู้นี้เล็กน้อย และถามตี้ซือว่า “เกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์ทั้งสอง”


 


 


สีหน้าสดใสของตี้ซือเลือนหายไป ถอนหายใจออกมายาวเหยียด สีหน้าแย่ลงตามลำดับ ตอบไปว่า “หลายวันมานี้งานการที่กองเก็บเอกสารล้นมือนัก เสี้ยวเอ๋อร์ และหลี่เอ๋อร์ทั้งสองคนถูกสั่งให้อยู่ต่อเพื่อทำงานล่วงเวลา ที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่โดยปกติจะอยู่ล่วงเวลาเพียงสองชั่วยามเท่านั้น กลับบ้านก่อนเวลาประตูเมืองจะปิดเสมอ แต่เมื่อคืนไม่ได้กลับมาทั้งคืน ข้าเป็นห่วงมาก เมื่อเช้าตรู่จึงส่งคนไปสืบความ จึงได้รู้ว่า เมื่อคืนตอนที่ทั้งสองอยู่เวรนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด น้ำมันตะเกียงได้ล้มลงมา กว่าทั้งสองจะรู้ตัวก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ทำให้งานเขียนที่เขียนกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งเดือนถูกเผาจนสิ้น เมื่อฮ่องเต้รู้เข้าจึงทรงพระพิโรธเป็นอย่างมาก มีรับสั่งให้จับพวกเขาเข้าคุก และสั่งให้ฝ่ายปกครองลงมือสืบสวน ต้องให้คำตอบกับฝ่าบาทภายในสามวัน หากแน่ชัดว่าเป็นความผิดของทั้งสอง จะลงโทษให้ทั้งสองย้ายไปประจำการในเขตพื้นที่กันดาร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่ซวิ่นขมวดคิ้วพร้อมกัน ตอนที่น้ำมันตะเกียงล้มลง กระทั่งเผาไหม้กระดาษได้ จะต้องมีเสียงขึ้นเป็นแน่ โจวเสี้ยว โจวหลี่ต่างเป็นคนหูดี จะไม่ได้ยินได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นไปไม่ได้ที่จะดับไฟไม่ทันการณ์ นอกเสียจากว่ามีคนวางแผนเอาไว้ คิดถึงตรงนี้ ทั้งสองมองตากัน และนึกถึงเฮ่อจางทันที หลายวันก่อนพวกเขาเพิ่งจะส่งคนไปจัดการหลานของเขา วันนี้เขากลับโต้ตอบด้วยการทำร้ายคนของตระกูลโจว เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก และกำลังหาโอกาสแก้แค้นอยู่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็นึกถึงความเกี่ยวพันกันของเรื่องนี้ จึงมองตี้ซือด้วยความรู้สึกผิด อ้าปากราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก


 


 


หวงฝู่ซวิ่นยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าจะส่งคนไปสอบถามพวกเขา ดูว่าขณะนั้นเกิดอะไรขึ้น จากนั้นค่อยส่งคนไปสืบสวนที่กองเก็บเอกสาร อีกหนึ่งชั่วยามข้าจะนำข่าวมาบอก”


 


 


ตี้ซือดีใจเป็นอย่างมาก ยืนขึ้นคำนับขอบคุณ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย


 


 


ทั้งสามมาส่งเขาที่หน้าจวน หวงฝู่ซวิ่นขึ้นรถม้าไป สั่งให้คนม้าควบม้าไปอย่างเร็วที่สุด


 


 


ทั้งสามกลับมานั่งรอข่าวในห้องของตี้ซือ


 


 


ไม่นานคนที่หวงฝู่ซวิ่นสั่งให้ไปสอบสวนในคุกก็กลับมา เป็นอย่างที่พวกเขาคิดจริงๆ ด้วย หลังจากที่โจวเสี้ยว และโจวหลี่ดื่มชาบำรุงกำลังไปแล้วนั้นก็เกิดอาการง่วงนอนเป็นอย่างมาก จึงเผลอฟุบหลับไปบนโต๊ะ กว่าทั้งสองจะถูกกลิ่นควันปลุกให้ตื่นขึ้นมา ไฟก็ลุกลามไปทั่วแล้ว


 


 


คนที่ถูกส่งไปสืบเรื่องจากกองเก็บเอกสารกลับมารายงานว่าเมื่อวานขันทีที่ทำหน้าที่ถวายน้ำชาของกองได้ตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่างของเขาก็ถูกคนนำไปทิ้งที่ป่าช้าแล้ว คาดว่าป่านนี้ศพของเขาคงจะถูกสุนัขกัดกินจนหมดแล้ว


 


 


ทั้งหมดนี้ยิ่งสนับสนุนสมมติฐานของหวงฝู่ซวิ่น เขาจึงได้ส่งคนไปรายงานหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


เมื่อได้ยินข่าวแล้ว ตี้ซือเกิดความกลัวขึ้นทันที หากเมื่อคืนโจวเสี้ยวและโจวหลี่ไม่สำลักควันจนตื่น ป่านนี้เขาคงได้จัดงานศพให้ลูกก่อนงานตัวเองเป็นแน่


 


 


แต่ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับคาดเดาว่า อาจจะเป็นเพราะขันทีผู้นั้นทำใจไม่ได้ จึงใส่ยาลงไปเพียงเล็กน้อย ทั้งสองจึงฟื้นขึ้นมาพอดี และรอดชีวิตมาได้


 


 


นี่จะต้องเป็นแผนการณ์ของเฮ่อจางแน่นอน ทั้งสองรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ทั้งโจวเสี้ยวและโจวหลี่ต่างก็ถูกร่างแหเพราะพวกเขา และรายละเอียดเหล่านี้พวกเขาไม่สามารถบอกตี้ซือได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ให้คำสัญญาว่า “ตี้ซือวางใจเถิดขอรับ ไม่เกินสองวัน ทั้งสองจะต้องได้กลับมาอย่างปลอดภัย”


 


 


ตี้ซือเองก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสมัยแล้ว ไม่ใช่คนที่ใครจะมาหลอกตบตาเอาได้โดยง่าย เมื่อได้ยินดังนั้น เขาผงะไปเล็กน้อย ถามลองใจว่า “ซื่อจื่อ เรื่องนี้มีเหตุมาจากเรื่องอื่นใช่หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่กล้าบอกความจริง “ข้าก็เพียงคาดเดาเท่านั้น ไม่กล้าตัดสิน รอจนข้าสืบสาวจนแน่ชัดแล้ว ข้าจะเล่าให้ท่านฟังโดยละเอียด”


 


 


ตี้ซือเข้าใจแล้ว จึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด ไม่ถามต่อ


 


 


หลังจากกล่าวลาตี้ซือแล้ว ก็ออกจากจวนโจวไป หวงฝู่อี้เซวียนบอกกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เจ้ากลับบ้านไปก่อน ระหว่างทางเจ้าระวังตัวด้วย ข้าจะไปหาไท่จื่อในวังเพื่อเจรจาอะไรกับเขาเสียหน่อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ไม่ถามอะไรต่อ มองดูเขาควบม้าจากไป จากนั้นตนก็ขึ้นม้า เดินทางมาระยะหนึ่งก็ฉุกคิดได้ว่าตนไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนพระชายามานานแล้ว จึงได้หันม้ากลับ มายังจวนอ๋องหลังลงจากม้าก็ตรงไปยังห้องของพระชายาทันที


 


 


พระชายากำลังนั่งอยู่บนเบาะริมหน้าต่างเพื่อเย็บชุดแต่งงานให้นางอยู่พอดี เมื่อได้ยินเสียงจากม่านประตู จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นนาง ใบหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น วางชุดตรงหน้าลง ยิ้มและพูดว่า “กำลังคิดอยู่เชียวว่าหากพวกเจ้ายังไม่กลับมา ข้าก็ตั้งใจจะไปหาที่หนานเฉิงอยู่แล้วเชียว นี่ขนาดว่ายังไม่ได้ตบแต่งกัน ลูกชายคนดีของข้าก็ลืมแม่ไปเสียแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถูกหยอกล้อ เดินเข้าไปใกล้นาง นั่งลงบนอีกฝั่งของเบาะ ยิ้มและพูดว่า “โชคดีที่ท่านยังไม่ได้ไปนะเพคะ ไม่อย่างนั้นอี้เซวียนคงจะได้ชื่อว่าเป็นลูกไม่รักแม่เข้าแล้วจริงๆ”


 


 


พระชายาหุบยิ้มลง หยิบชุดเจ้าสาวที่ทำได้ครึ่งหนึ่งมาให้นางดู “ดูซิ ชอบหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างปากหวานว่า “ขอแค่เป็นชุดที่ท่านทำหม่อมฉันก็ชอบทั้งนั้นเพคะ”


 


 


พระชายาได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจราวกับว่ามีดอกไม้บานในใจ “เจ้าเด็กคนนี้นี่ช่างปากหวานขึ้นทุกทีแล้ว”


 


 


“หม่อมฉันพูดจริงนะเพคะ หม่อมฉันทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น หากชุดเจ้าสาวนี่อยู่ในมือหม่อมฉัน ไม่แน่ว่าอาจจะทำออกมาเป็นกระสอบใส่ปุ๋ยก็ได้เพคะ”


 


 


พระชายาถูกหยอกเล่นจนหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้าเด็กคนนี้นี่ มีอย่างที่ไหนมาว่าตัวเองเช่นนี้เล่า”


 


 


ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง พระชายาถามขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ ได้ฤกษ์วันแต่งงานของเจ้าแล้ว เจ้าจะไปรับพ่อกับแม่เข้าเมืองเมื่อใดกัน ข้าอยากจะคุยเรื่องงานแต่งเสียหน่อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทุบศีรษะของตนเอง


 


 


พระชายาตกใจ เบิกตาโพลงมองนางถามว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”


 


 


นางตอบอย่างเหนียมอายว่า “เหมือนกับว่าหม่อมฉันจะลืมบอกท่านพ่อท่านแม่เรื่องฤกษ์งานแต่งน่ะเพคะ”


 


 


พระชายาตกใจเป็นอย่างมาก ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ลืมบอกคนที่บ้านได้อย่างไรกัน”


 


 


“ช่วงนี้หม่อมฉันยุ่งเหลือเกิน จึงลืมเรื่องนี้ไปได้ อีกอย่างหลายวันมานี้หม่อมฉันบาดเจ็บ อี้เซวียน…” พูดถึงตรงนี้ จึงฉุกคิดได้ว่าพระชายาไม่ทราบเรื่องที่นางบาดเจ็บ จึงได้หยุดพูดลง


 


 


แต่ก็สายไปเสียแล้ว พระชายาลุกขึ้นอย่างตกใจ เดินไปยังตรงหน้าของนางและดึงตัวนางขึ้นมา พิจารณาโดยละเอียดทั้งด้านหน้าด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวา ตั้งแต่หัวจรดเท้า และถามว่า “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือ ร้ายแรงหรือไม่”


 


 


นางทุบหัวตนเองเบาๆ ด้วยความหัวเสีย


 


 


เมื่อพระชายาเห็นดังนั้น จึงได้ถามทันทีว่า “ตรงหัวหรือ เกิดอะไรขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขำไม่ออก ดึงชายเสื้อของตนเองขึ้นมา ให้นางเห็นบาดแผลของตนเอง พูดว่า “วันนั้นหม่อมฉันสะดุดล้มน่ะเพคะ ได้รับบาดเจ็บที่ขา แต่หายดีแล้ว ที่หลายวันมานี้อี้เซวียนไม่ได้กลับมาก็เพราะว่าอยู่ดูแลหม่อมฉันเพคะ”


 


 


พระชายาย่อตัวลง มองดูแผลของนางเล็กน้อย และยืนขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไป “เลิกโกหกข้าเสียที เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผลจากการถูกมีดแทงแท้ๆ หากไม่ต้องการให้ข้ากริ้วล่ะก็ รีบบอกความจริงกับข้ามา”


 


 


แม้ว่าพระชายาจะไม่มีความรู้เรื่องการต่อสู้ แต่นางก็เติบโตในตระกูลทหาร คุ้นเคยกับบาดแผลจากมีดและดาบเป็นอย่างดี เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดีว่าปกปิดต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้เล่าเรื่องที่มาของบาดแผลให้นางฟัง จากนั้นจึงโอบแขนของนางไว้พูดอย่างออดอ้อนว่า “เรื่องมันผ่านไปแล้ว แผลก็หายดีแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอกนะเพคะ”


 


 


รู้จักเมิ่งเชียนโยวมานานเพียงนี้ เห็นแต่ท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยของนาง ไม่เคยเห็นนางทำท่าทีออดอ้อนเหมือนเด็กมาก่อน พระชายาจึงเกิดความรู้สึกทั้งแปลกใจและอบอุ่น และได้ลืมเรื่องที่นางได้รับบาดเจ็บไป ตบมือนางเบาๆ พูดด้วยสีหน้าอิจฉาว่า “พ่อแม่ของเจ้าช่างโชคดีเสียจริงที่มีลูกสาวน่ารักอย่างเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่เขินอายว่า “พระชายาเองก็โชคดีนะเพคะ ที่มีลูกสะใภ้เช่นหม่อมฉัน” พูดจบ ก็แอบลิ้นออกมาอย่างซุกซน


 


 


พระชายาหัวเราะ สีหน้าสดใสขึ้นอีกครั้ง พูดว่า “รอให้พวกเจ้าแต่งงานกันแล้ว จะต้องมีลูกสาวออกมาก่อนนะ เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อข้าเห็นลูกสาวบ้านอื่น บางทีก็ทำให้รู้สึกอิจฉาจนนอนไม่หลับ”


 


 


เรื่องนี้นางคงตัดสินเองไม่ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงก่ำ ไม่พูดอะไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)