ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 201-207
ตอนที่ 201-2 เข้าเฝ้าฝ่าบาท
จูหลีก็ทำความเคารพจางเจ๋อหวย บอกว่า “ใต้เท้าจาง ฮูหยิน เจ้านายของพวกเราเพิ่งตื่นจากการนอนหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ยังไม่ได้ทำผมแต่งตัว ขอท่านทั้งสองโปรดรอเสียหน่อย”
หลังจากที่เมื่อวานเมิ่งเชี่ยนโยวย้ายเข้าไปอยู่ที่ห้องอื่นแล้ว จางเจ๋อหวยกับอวี้อวี่ก็แวะมาเยี่ยมแล้วคราหนึ่ง แต่ว่าโดนห้ามไว้ให้อยู่ด้านนอก บอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเหนื่อยแล้ว หลับพักผ่อนอยู่ บอกให้สองสามีภรรยามาเยี่ยมในวันหลัง ดังนั้นวันนี้ทั้งสองคนกินข้าวเช้าเสร็จ ก็มาอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำพูดของจูหลีแล้ว ก็ไม่ได้คิดมากอะไร ยืนรออยู่ที่ด้านนอกห้อง
จัดการตัวเองและจัดเตียงให้เรียบร้อย หวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนเก้าอี้ในห้อง พยักหน้าบอกให้ชิงหลวนเชิญทั้งสองคนเข้ามา
ชิงหลวนเดินออกไป แล้วเชิญทั้งสองคน “ใต้เท้าจาง ฮูหยินจาง เชิญเข้ามาด้านในเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนเดินเข้ามาด้านใน เห็นหวงฝู่อี้เซวียนก็นั่งอยู่ในห้องด้วย จึงชะงักไป แล้วทำความเคารพ “ขอคาราวะซื่อจื่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยื่นมือกมาทำท่าเชิญ “นั่งลงเถิด!”
ทั้งสองคนขอบคุณ แล้วนั่งลง
อวี้อวี่มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มให้กับนาง เห็นนางมองมา ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินจางสวยขึ้นนะเจ้าคะ”
อวี้อวี่ลุกขึ้นอย่างรีบร้อนแล้วบอกว่า “แม่นางเมิ่งล้อเล่นหรือเปล่า ข้าเป็นแม่ลูกสองแล้วนะ จะบอกว่าสวยขึ้นได้อย่างไรกัน แต่แม่นางเมิ่งน่ะสิ โตขึ้นกลายเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือ พูดไปตรงๆ ว่า “ฮูหยินจางยอข้าเกินไปแล้ว หน้าอย่างข้าอย่างมากก็แค่สวยแบบบ้านๆ เท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นสาวงามหรอกเจ้าค่ะ”
อวี้อวี่โดนนางหยอกล้อจนหัวเราะออกมา “ไม่เจอกันนาน แม่นางเมิ่งก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของตนไม่เปลี่ยนเลย”
หัวเราะแล้วจึงเชิญนางนั่งลง เมิ่งเชี่ยนโยวถามว่า “ทั้งสองท่านที่มาในวันนี้ มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือไม่เจ้าคะ”
จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน จางเจ๋อหวยพูด “พวกเราสองสามีภรรยาที่มาในวันนี้ก็เพื่อมาขอบคุณแม่นางเมิ่งที่มีพระคุณต่อพวกเราในปีนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น แล้วห้ามเขาทั้งสองคนไว้ นางหัวเราะแล้วพูดว่า “จะขอบคุณ ก็ควรเป็นข้าที่ขอบคุณพวกท่านเสียมากกว่า ถ้าหากว่าเซี่ยเหอไม่ได้ช่วยข้าเอาไว้เมื่อสี่ปีก่อนที่เสิ่งเฉิง เกรงว่าวิญญาณของข้ากับอี้เซวียนไม่รู้จะเร่ร่อนไปถึงที่ไหนแล้ว”
อวี้อวี่ตกใจรีบโบกมือ “แม่นางเมิ่งอย่าพูดเช่นนี้เป็นอันขาด เรื่องเซี่ยเหอนั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง การกระทำของท่านเมื่อปีนั้นสิ ถึงจะควรค่าแก่การจดจำไปชั่วชีวิต”
“เอาล่ะ เรื่องที่มันผ่านไปแล้วพวกเราอย่าไปพูดถึงมันอีกเลย เรื่องสำคัญที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็คือช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัย จัดการให้เรียบร้อย อย่าให้วุ่นวาย แล้วยังจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดอีก” เมิ่งเชียนโยวพูด
จางเจ๋อหวยเอ่ยปาก “แม่นางเมิ่งพูดถูก ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อขอคำแนะนำจากซื่อจื่อ ว่าขั้นต่อไปควรจะทำเช่นไรดี”
หวงฝู่อี้เซวียนพูด “เงินบรรเทาชาวบ้านและเสบียงเหมือนจะมาถึงแล้ว พอให้ชาวบ้านอยู่ได้อีกสักระยะ แต่เรื่องที่ต้องคิดตอนนี้คือ การก่อสร้างหลังจากนี้ต่างหาก หลังจากที่น้ำท่วมหนักได้ผ่านพ้นไป ต้นกล้าโดนทำลายไปเสียหมด ชาวบ้านไม่ได้เก็บโกยผลผลิตในฤดูนี้เลย เงินของฝ่ายการคลังประเทศไม่ได้มีมากมายขนาดเลี้ยงชาวบ้านที่เยอะมากมายขนาดนี้ได้นานถึงครึ่งปี มีวิธีเดียวก็คือการช่วยเหลือตัวเอง ดูสิว่ามีวิธีไหนบ้างที่ใช้ได้ ทำให้ชาวบ้านผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ มิเช่นนั้นถึงแม้ว่าพวกเราจะจัดการโรคระบาดนี้ได้ ทำให้ชาวบ้านไม่หวาดระแวง แต่ถ้าหากไม่มีรายได้ เมื่อราชสำนักไม่ให้ช่วยเหลือแล้วล่ะก็ ชาวบ้านก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
“เรื่องนี้ข้าน้อยได้คิดเอาไว้แล้ว แต่ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ถึงแม้ว่าน้ำในนาจะออกไปหมดแล้ว ชาวบ้านก็ไม่สามารถปลูกอะไรได้อยู่ดี” จางเจ๋อหวยพูด
อยู่บ้านนอกมาเป็นสิบปี หวงฝู่อี้เซวียนรู้อยู่แล้วว่าช่วงเวลานี้ปลูกอะไรไม่ได้แน่นอน ถ้าอย่างนั้นผ่านไปอีกสามเดือน ชาวบ้านก็ไม่มีผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวได้อยู่ดี คนที่โชคดีรอดชีวิตไปได้ ถึงตอนนั้นก็คงอาศัยดวงให้ท้องอิ่มไม่ได้แน่ๆ
นี่ถือเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งสี่คนนั่งครุ่นคิดกันอย่างเคร่งเครียด
ผ่านไปครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดขึ้นว่า “หลังจากที่ข้ากลับไป จะรายงานสถานการณ์ทางนี้อย่างละเอียด แล้วขอเงินมาให้เยอะเสียหน่อย ให้ชาวบ้านที่อยู่ที่นี่ได้รับการบรรเทาทุกข์บ้าง ใต้เท้าจางก็ลองคิดหาวิธีดู พยายามให้ชาวบ้านคิดหาวิธีทำกินจะดีกว่า”
จางเจ๋อหวยซาบซึ้งแล้วจึงประสานมือเข้าด้วยกัน “ซื่อจื่อเป็นความสุขของราษฎรหลินเฉิงจริงๆ ข้าขอใช้โอกาสตรงนี้ขอบพระคุณซื่อจื่อ”
ทั้งสี่ปรึกษากันเรื่องการจัดการผู้ประสบภัย และสถานการณ์หลังจากจัดการโรคระบาดเสร็จแล้วอยู่ ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม จางเจ๋อหวยกับภรรยาจึงขอตัวลา ตอนที่กำลังจะไป อวี้อวี่จับมือของเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้น “แม่นางเมิ่ง หวังว่าเมื่อใดที่เจ้ามีเวลาว่างก็ขอให้ไปนั่งเล่นที่จวนของข้าสักหน่อย ข้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยด้วยมากมายเหลือเกิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบรับไป
แต่ว่าในเวลาต่อมา นางไม่มีเวลาว่างเลย เพราะว่าถึงแม้จะออกมาตรการป้องกันไปแล้ว โรคก็ยังคงระบาดอยู่เนืองๆ ระบาดติดต่อกันไปเรื่อยๆ และคนที่ติดโรคในเวลานี้ไม่ว่าจะกินยาลงไปมากเท่าใดก็ไม่เป็นผล แล้วก็จะตายในเวลาไม่นาน
หมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ หาต้นตอของสาเหตุไม่พบ รีบรนทำอะไรไม่ถูกไปหมด จึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากเมิ่งเชี่ยนโยว
หวงฝู่อี้เซวี่ยนก็ต้องไปดูที่สถานลี้ภัยด้วยเช่นเดียวกัน
มีประวัติติดเชื้อมาก่อน กลัวก็แต่เขาจะติดเชื้อซ้ำสอง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยื่นข้อเสนอให้เขาสองข้อ อย่างแรกคือรีบออกเดินทางกลับเมืองหลวงโดยทันที อย่างที่สองคืออยู่แต่ในห้องห้ามออกมา เรื่องที่เหลือนางจะจัดการเอง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ยอมเป็นธรรมดา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ถกเถียงเขาแต่อย่างใด ไม่ทันได้พูดอะไรก็สั่งให้กัวเฟยเตรียมรถม้ากลับเมืองหลวงโดยทันที
ดูท่านางจะส่งเขากลับเมืองหลวงจริงๆ หวงฝู่อี้เซวียนจึงจำต้องประนีประนอมกำชับว่า “เจ้าก็ต้องระวังตัวด้วยเช่นกัน”
ช่วงเวลาครึ่งเดือนต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวนำหมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ อีกห้าคนมาด้วยตนเอง นำผู้ประสบภัยที่อยู่ด้านในย้ายออกมาก่อน แล้วเอายาเข้ามาฆ่าเชื้อจนหมดจด ตรวจดูทีละคนอย่างละเอียด เมื่อตรวจพบอะไรที่ผิดปกติ ก็ต้องเอาไปกักตัวโดยทันที ป้องกันไม้ให้เกิดการแพร่กระจายต่อกันอีก
ในทุกวัน นางต้องออกจากบ้านแต่เช้ากลับถึงบ้านตอนดึก ยุ่งวุ่นวายอยู่สิบวัน ถึงจะตรวจโรคให้ผู้ประสบภัยได้จนหมด แล้วจึงไม่มีผู้ใดติดเชื้อต่อจากนี้อีก
คนที่ติดเชื้อ ก็ได้รับการดูแลจากหมอเป็นอย่างดี จึงไม่มีใครตาย
มาถึงตอนนี้ ชื่อของเมิ่งเชี่ยนโยวได้ถูกสลักไว้ในใจของชาวบ้านหลินเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็ได้รับความเคารพจากผู้คนเสมอ
ข่าวนี้ก็ได้ถูกส่งผ่านองครักษ์หลวงไปยังฮ่องเต้ด้วยเช่นเดียวกัน ได้ยินว่าตอนที่ฮ่องเต้ได้ฟังรายงานจากองครักษ์หลวงในห้องทรงพระอักษรนั้น ก็สั่งให้ขันทีผู้ดูแลและนางสนมออกไปจนหมด แล้วนั่งอยู่ข้างในคนเดียว คิ้วขมวดเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
และการกระทำของฮ่องเต้ครั้งนี้ก็ถูกส่งไปยังท่านอ๋องฉี ในขณะที่กำลังคิดว่าฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่นั้น ก็บอกให้ส่งคำสั่งไปที่หวงฝู่อี้เซวียนโดยทันที ให้เขารีบกลับเมืองหลวงในเร็ววัน
ผู้ประสบภัยได้รับการจัดการแล้ว ไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น โรคระบาดก็ควบคุมอยู่แล้ว ไม่มีผู้ได้รับเชื่อแล้ว ราชโองการของฮ่องเต้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังเตรียมตัวกลับเมืองหลวงไปรายงาน ก็ได้รับสาสน์จากอ๋องฉี จึงปรึกษากับเมิ่งเชี่ยนโยวว่าจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้นทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สงสัยอะไร ให้ชิงหลวนส่งจดหมายไปที่อวี้อวี่ บอกนางว่าพรุ่งนี้ตนจะกลับเมืองหลวงแล้ว รอครั้งหน้ามาหลินเฉิง จะไปนั่งเล่นที่บ้านของนางอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นก็สั่งให้คนเก็บของ วันพรุ่งก็จะเดินทางกลับเมืองหลวงกับหวงฝู่อี้เซวียนไปอย่างเงียบๆ
ถึงตอนที่จางเจ๋อหวยและชาวบ้านหลินเฉิงจะมาส่งพวกเขากลับ ในห้องก็ไม่มีคนอยู่แล้ว
ชาวบ้านต่างก็ชื่นชมกันใหญ่
และเหวินซื่อที่กลับมาพร้อมกันก็เอาแต่นั่งโม้อยู่บนรถม้า “ทำเรื่องดีไว้ขนาดนี้ เวลาจะไปกลับไปเหมือนโจรซะอย่างนั้น ยังต้องออกมาแบบลับๆ ล่อๆ อีก”
แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา
ตอนมาต้องมาอย่างรีบร้อน แต่ตอนกลับไม่ต้องรีบแล้ว ควรนอนโรงเตี๊ยมก็นอนโรงเตี๊ยม ควรกินก็กิน ใช้เวลาสามวัน ถึงเดินทางมาถึงประตูเมือง
พระชายาฉีได้ยินว่าพวกเขาจะกลับมาถึงในวันนี้ เลยอดจนไม่ไหว มาต้อนรับที่หน้าประตูเมืองด้วยตนเอง เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้เป็นอะไร ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่กำลังจะลากเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่จวนอ๋องฉี ก็มีขันทีผู้ดูแลคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามา ถึงตรงหน้าพระชายาฉี ลงจากม้า แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนอย่างนอบน้อมว่า “ซื่อจื่อ ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ท่านและแม่นางเมิ่งเข้าเฝ้าขอรับ”
ตอนที่ 202 องค์หญิงชิงเหอ
พระชายาฉีได้ยินดังนั้น นึกขึ้นได้ถึงเรื่องการตอบสนองของฮ่องเต้ในวันนั้น ในใจจึงเกิดระแวง แล้วถามว่า “กงกงรู้หรือไม่ว่าฮ่องเต้เรียกเซวียนเอ๋อร์และเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าเฝ้าด้วยเรื่องอันใด”
กงกงที่มาประกาศราชโองการโน้มตัวตอบกลับว่า “ตอบพระชายาฉี กระหม่อมมิทราบ”
ใจของพระชายาฉียิ่งกระวนกระวายเข้าไปใหญ่
แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับไร้ซึ่งความกลัว ตอบกลับกงกงไปว่า “ท่านกลับไปรายงานว่าข้ากับโยวเอ๋อร์จะตามไปทีหลัง”
กงกงตอบรับ แล้วขึ้นขี่ม้ากลับพระราชวังไป
พระชายาฉีรีบสั่งชิงหลวน “เจ้ารีบกลับไปรายงานท่านอ๋อง ว่าข้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับเซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์ บอกให้เขารีบตามไปที่พระราชวังด้วย”
ชิงหลวนตอบรับ และรุดไปอย่างรวดเร็ว
เห็นสีหน้าร้อนรนของนาง หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ได้ห้าม
เมื่อทุกคนเตรียมตัวสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็ขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปสู่พระราชวัง มีก็แต่จูหลีและกัวเฟยที่คอยอยู่ทางนี้
องครักษ์ลับและองครักษ์เงาต่างก็กลับไปที่หนานเฉิงและจวนอ๋องฉี ส่วนเหวินซื่อหลังจากสั่งให้คนที่ร่วมเดินทางไปกับตนกลับไปที่ร้านยาเต๋อเหรินแล้ว ตนก็กลับไปที่จวนเหวิน
เมื่อมาถึงประตูพระราชวัง ลงจากรถม้า ทั้งสามคนเดินเข้าพระราชวัง
ทหารเฝ้ายามที่อยู่ตรงหน้าประตูได้หยุดเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ แล้วถามอย่างเกรงใจว่า “แม่นางท่านนี้ มีอาวุธอยู่ที่ตัวหรือไม่ หากมีก็นำออกมาด้วยขอรับ”
เข้าเฝ้าจะต้องตรวจร่างกายอยู่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้พกอาวุธเข้าไปทำร้ายฮ่องเต้ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ข้อนี้ดี ไม่ได้พูดอะไร เอามีดพกที่ติดตัวสองเล่มออกมา ส่งให้กับทหารเฝ้ายาม
ทหารเฝ้ายามรับมา เพราะนางเป็นคนของซื่อจื่อ เลยไม่สะดวกที่จะค้นตัว มองดูร่างกายของนาง รู้สึกว่านางไม่ได้มีอาวุธอย่างอื่นอีก เลยปล่อยเข้าไป
ทั้งสามคนเข้าไปด้านในพระราชวัง ก็มีขันทีผู้ดูแลยืนรออยู่ที่ประตูแล้ว
เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินเข้ามา ก็เข้าไปต้อนรับโดยทันที ทำความเคารพพระชายาฉี แล้วบอกว่า “พระชายาฉี ฮ่องเต้เรียกตัวซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งมาเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร ท่าน…?”
ห้องทรงพระอักษรเป็นห้องที่ฮ่องเต้ไว้ใช้ทรงงาน ไม่สามารถปล่อยให้ผู้หญิงเข้าไปได้โดยง่าย ขนาดฮองเฮาและไทเฮายังไม่สามารถ แต่วันนี้กลับให้เมิ่งเชี่ยนโยวตามหวงฝู่อี้เซวียนไปเข้าเฝ้าได้ พระชายาฉีก็ชะงักไป แล้วยิ้มออกมาว่า “ข้าไม่ได้เข้าวังมาเยี่ยมเสด็จแม่เป็นเวลานานมากแล้ว พอดีเลยได้โอกาสเข้าไปเยี่ยม รอให้ทั้งสองคนเสร็จธุระแล้ว รบกวนกงกงส่งคนไปบอกข้าด้วย”
กงกงตอบรับ “เช่นนี้ก็แล้วไป เรื่องนี้กระหม่อมจัดการให้ได้ พระชายาฉีไปตำหนักไทเฮาให้สบายใจเถิด กระหม่อมจะพาซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งเข้าไปเข้าเฝ้าก่อน”
พระชายาฉีพยักหน้า “รบกวนกงกงแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือของเมิ่งเชี่ยนโยว เดินตามหลังกงกงมา
ทั้งสามคนเดินได้ระยะหนึ่ง พระชายาฉีก็หันหลัง แล้วมุ่งหน้าเดินไปที่ตำหนักไทเฮา
เดินไปได้ครึ่งทาง ก็มีเกี้ยวหนึ่งผ่านมา พระชายาฉีและหลิงหลงจึงหยุด แล้วยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง รอให้เกี้ยวผ่านไปก่อนค่อยเดินต่อ
แต่ไม่คิดว่าเกี้ยวจะหยุดอยู่ที่ตรงหน้านาง สาวใช้เปิดม่านออก จึงเห็นเฮ่อกุ้ยเฟยนั่งอยู่ด้านใน
หลิงหลงทำท่าตกใจ จึงคุกเข่าลงคำนับ
แต่สีหน้าของพระชายาฉีไม่ได้เปลี่ยนไป ทำความเคารพนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งว่า “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”
เฮ่อกุ้ยเฟยไม่ได้พูดอะไร
ท่าทีพระชายาฉีที่กำลังทำความเคารพอยู่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
หลิงหลงตื่นเต้นเข้าไปใหญ่
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฮ่อกุ้ยเฟยถึงได้พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้นว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
พระชายาฉีลุกขึ้น แล้วพูดขอบคุณ “ขอบพระทัยกุ้ยเฟย”
หลิงหลงก็ยืนขึ้นด้วย
เฮ่อกุ้ยเฟยจึงวกกลับมาถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “วันนี้เจ้าเข้าวังมามีเรื่องอันใดงั้นรึ”
“ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนเสด็จแม่นานแล้ว วันนี้เลยมาเยี่ยมเยียนท่านเป็นโดยเฉพาะ”
พระชายาฉีตอบกลับ
“ไปเถอะ ข้าก็เพิ่งจะกลับมาจากตำหนักไทเฮา นางคิดถึงเจ้าจะตายแล้ว”
พระชายาฉีตอบรับ แล้วยืนหลบไปอีกทาง
เฮ่อกุ้ยเฟยโบกมือ สาวใช้ปิดม่าน พวกขันทีก็ยกเกี้ยวเดินออกไป
พระชายาฉีถึงได้เดินหน้าต่อ หลิงหลงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พระชายา…”
เลยหันหลังไปดูด้วยความสงสัย กลับเห็นหลิงหลงยืนตัวสั่นเทาอยู่กับที่ เพราะว่านางตกใจมาก จึงหันหลังเดินกลับไปหานาง แล้วปลอบใจนางว่า “ไม่เป็นไร ครั้งที่แล้วนางได้รับโทษไปแล้ว จะไม่ทำอะไรข้าอย่างโจ่งแจ้งได้อีกแน่นอน”
หลิงหลงพยักหน้า อาการดีขึ้นเล็กน้อย จึงตามพระชายาฉีมุ่งหน้าไปที่ตำหนักไทเฮา
ส่วนเฮ่อกุ้ยเฟยในตอนนี้มีสีหน้าโกรธแค้น ครั้งที่แล้วที่โดนกักบริเวณสามเดือน เมื่อนางออกมา นางก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป มันไม่ง่ายเลยที่จะได้รับความสนใจจากฮ่องเต้อีกครั้ง จะอย่างไรนางก็ไม่กล้ามีเรื่องกับพระชายาฉีอีกแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูด จึงพึมพำกับตัวเองว่า “รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะจัดการกับพวกเจ้าให้จงได้ ให้เจ้าร้องขออ้อนวอนอยู่แทบเท้าของข้า”
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงห้องทรงพระอักษร หลังจากที่ผู้ดูแลเขาไปรายงาน ก็ออกมาบอกว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ฮ่องเต้เรียกตัวพวกท่านเข้าไปด้านใน”
ทั้งสองคนเข้าไปที่ห้องทรงพระอักษร หวงฝู่อี้เซวียนทำความเคารพ “เสด็จลุง”
ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวคุกเข่าลงที่พื้น โค้งคำนับโดยการเอาศีรษะจรดพื้น “หม่อมฉันสาวชาวบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวขอคาราวะฮ่องเต้”
ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร แต่ใช้สายตาเฉียบแหลมมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงโค้งคำนับอยู่อย่างนั้น แต่ในใจกลับกร่นด่าจนไม่เป็นชิ้นดี บ้าเอ้ย ถ้าหากว่าอยู่ในโลกอนาคตแล้วมีคนกล้าทำแบบนี้กับแม่ล่ะก็ แม่จะจัดการให้ตายไปเลย ตายไปหลายๆ รอบเชียวแหล่ะ
แต่ว่าก็ทำได้เพียงแค่กร่นด่าในใจเท่านั้น ภาพที่เห็นนางก็ยังดูเคารพฮ่องเต้อยู่ ใครใช้ให้เป็นสมัยที่ฮ่องเต้เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดที่สุดล่ะ
ในห้องทรงพระอักษรเงียบสงัด นางในและขันทีที่อยู่ด้านข้างตกใจจนแทบไม่กล้าหายใจ
และในที่สุด หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวด่าไปแล้วหลายรอบนั้น ฮ่องเต้จึงได้ตรัสขึ้นว่า “ตามสบายเถอะ”
นางขอบคุณ ลุกขึ้น แล้วไปยืนอยู่ทางด้านข้างหวงฝู่อี้เซวียน
“เก้าอี้!”
ขันทีตอบรับ เลยยกเก้าอี้เบาะนุ่มมาวางไว้ที่ด้านหลังของทั้งสองคน
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงอย่างไม่มีความเกรงใจ
เมื่อเห็นนางไม่ได้มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย ฮ่องเต้จึงหรี่ตามองนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของเขา แต่ว่าเขาไม่ได้ถาม นางก็เลยเอาแต่ก้มหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป ไม่ได้พูดอะไร
“เซวียนเอ๋อร์ บรรเทาสาธารณภัยครั้งนี้ทำได้ไม่เลวเลย ชาวบ้านและขุนนางท้องถิ่นที่หลินเฉิงต่างชมเจ้าไม่ขาดปาก ลำบากเจ้าแล้วล่ะ”
“แบ่งเบาภาระของเสด็จลุงเป็นหน้าที่ของหลานอยู่แล้ว ไม่ได้ลำบากอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
คำพูดนี้ทำให้ฮ่องเต้ถูกใจยิ่งนัก หัวเราะออกมา บอกว่า “เซวียนเอ๋อร์อยากได้อะไรเป็นของรางวัลล่ะ บอกมาได้เลย”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วคุกเข่าหน้าโต๊ะทำงานของฮ่องเต้ “เสด็จลุง ข้าอยากขอราชโองการแต่งงานกับโยวเอ๋อร์ ขอให้เสด็จลุงอนุญาตด้วยเถิด”
ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดแบบนี้ ฮ่องเต้จึงหัวเราะออกมาอีกครั้ง แล้วพูดด้วยวาจากึ่งยอมว่า “นี่ไม่มีอะไรยาก ข้าได้รับปากเสด็จพ่อของเจ้าไว้แล้วเมื่อหลายเดือนก่อนว่าจะแต่งตั้งแม่นางเมิ่งนี้ให้เป็นอนุของเจ้า เดี๋ยวข้าจะออกราชโองการเดี๋ยวนี้ ทำให้ความฝันของเจ้าเป็นจริง”
“เสด็จลุง” หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อ “หลานอยากขอนางมาเป็นชายาเอก อีกทั้งทั้งชีวิตนี้จะขอมีนางเพียงคนเดียว ไม่ขอมีใครอีก ขอให้เสด็จลุงทรงโปรดอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของฮ่องเต้ที่มีรอยยิ้มได้มลายหายไป แล้วมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งที่เก้าอี้มองทางนั้นทีทางนี้ที ราวกับว่าเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนขอราชโองการนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง
ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยเล็กน้อย จึงถามด้วยน้ำเสียงที่โกรธและดุดันว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าจะว่าอย่างไร”
ไม่ง่ายเลยที่ได้ลุกขึ้นมา แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงคุกเข่าลงไป แล้วตอบกลับไปว่า “กราบทูลฝ่าบาท ตอนที่อี้เซวียนจัดการโรคระบาดอยู่ที่หลินเฉิง หม่อมฉันได้บอกกับเขาไว้ว่าชีวิตนี้พวกเราจะไม่แยกจากกัน เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะต้องอยู่ด้วยกันเพคะ”
ข่มขู่ นี่เป็นการข่มขู่ สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มเคร่งขรึมขึ้น มีความโกรธแผ่ออกมาจากตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ไม่ได้ก้มหน้า แต่ว่ามองไปที่เขาอย่างไม่มีความเกรงกลัวใดๆ แล้วพูดอีกว่า “หม่อมฉันไม่ได้สนใจฐานะ แต่ว่าหม่อมฉันขี้หึงหวง ในเมื่อเขาสัญญากับหม่อมฉันไว้แล้วว่าชีวิตนี้เขาจะมีหม่อมฉันเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นเขาห้ามไปมีใครอีก มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะอดไม่ได้ที่จะลงมือเอง”
คำพูดนี้เป็นการราดน้ำมันลงบนไฟชัดๆ ฮ่องเต้โกรธจนทุบโต๊ะทรงงาน พูดว่า “บังอาจ กล้าขู่ข้าอย่างนั้นรึ”
หนังสือรายงานบนโต๊ะได้รับแรงสั่นสะเทือนจนตกลงมาด้านล่าง นางในและขันทีทั้งหลายต่างก็ตกใจจนก้มคุกเข่าลงที่พื้น
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นไม่ได้รู้สึกถึงความโกรธของเขาอย่างใดอย่างนั้น ยืนหลังตรงพูด “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็แค่พูดความจริงก็เท่านั้น ไม่กล้ามีความคิดอื่นใดเลยเพคะ”
ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังโกรธ ก็ถามว่า “เจ้าไม่กลัวข้าสั่งประหารเจ้าอย่างนั้นรึ”
“ถ้าฮ่องเต้ต้องการชีวิตของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรจะทูลเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปโอย่างไม่สะทกท้าน แล้วนั่งลงบนเก้าอี้
“อย่าคิดว่าเจ้าช่วยจัดการโรคระบาด ได้คำสรรเสริญจากชาวเมืองหลินเฉิงแล้วข้าจะไม่กล้าลงมือนะ ข้ามีคุณธรรมล้ำเลิศ คำพูดศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้พูดเพียงเพื่อขู่เจ้าอย่างแน่นอน”
“หม่อมฉันมิกล้า การที่หม่อมฉันไปจัดการโรคระบาดที่หลินเฉิง ตอนแรกก็เพื่อไปช่วยอี้เซวียนก็เท่านั้น ไม่ได้มีความคิดอยากได้ชื่อเสียงแต่อย่างใด และก็ไม่ได้มีความคิดให้ใครมาสรรเสริญ ยิ่งไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องเอาเรื่องนี้มาขอราชโองการแต่งงานจากฮ่องเต้ด้วย”
ฮ่องเต้เผยสีพระพักตร์ว่าไม่เชื่อนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “หม่อมฉันกับอี้เซวียนรักใคร่ปรองดองกัน เคยสาบานเอาไว้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็จะไม่แยกจากกัน แต่ถ้าหากว่าฮ่องเต้มีเจตนากีดกันล่ะก็ หม่อมฉันมีข้อเสนออย่างอื่นมาแลก ไม่ทราบว่าฮ่องเต้จะตอบรับหรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้หรี่ตาลง แล้วใช้สายตาดุดันมองไปที่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลบแต่อย่างใด มองกลับไป รอคำตอบจากเขา
จริงๆ แล้วฮ่องเต้ได้เตรียมราชโองการแต่งงานไว้ให้แล้ว วันนี้ที่เรียกมาก็เพื่อที่จะดูตัวเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าหญิงสาวชาวบ้านคนนี้ จะทำให้เขาละสายตาไปจากนางไม่ได้เลย หลังจากที่เข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก็ไม่ได้มีทีท่าตกใจหรืออะไร พอทำความเคารพเสร็จ ก็ไม่ได้มีทีท่าประหลาดใจเงยหน้ามองมาที่เขา นางเพียงนั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ อี้เซวียน ถ้าหากว่าไม่ถามนาง นางก็จะทำเป็นเหมือนไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้อย่างไรอย่างนั้น
ความเงียบสงบนี้ ทำให้เขารู้สึกดีกับเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมาไม่น้อย วันนี้นางกล้าที่จะยื่นข้อเสนอให้กับตน แค่ความกล้านี้ก็ทำให้ฮ่องเต้ชื่นชมแล้ว ไม่น่าล่ะขนาดน้องชายของฮ่องเต้ยังมาขอราชโองการแต่งงานด้วยตนเอง เป็นเพราะนางแตกต่างจากคนอื่น ลักษณะท่าทางแบบนี้ ไม่เหมือนกับหญิงสาวในวังเลยสักนิด
ในใจคิดเช่นนี้ ความโกรธที่แสดงอยู่ทางสีหน้าก็ค่อยๆ มลายหายไป โบกมือทำสัญญาณให้หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น รอให้เขาเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้แล้วจึงถามว่า “เจ้ามีข้อแลกเปลี่ยนอะไรจะมาแลกกับข้า ข้าชักจะอยากรู้แล้วล่ะสิ”
นางในและขันทีเมื่อเห็นฮ่องเต้ไม่ได้โกรธเมิ่งเชี่ยนโยวถึงขนาดที่ต้องสั่งเอาตัวไปตัดหัว จึงประหลาดใจเป็นอย่างมาก ก้มหน้าก้มตามองหน้ากันไปมา
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดว่า “ชาวเมืองหลินเฉิงได้รับความทุกข์ยาก ความบรรเทาของราชสำนักก็ทำได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ผ่านไปไม่กี่เดือน ผู้คนที่ไม่มีผลผลิตทางการเกษตรก็คงจะต้องตายเพราะไม่มีอะไรกิน ไม่แน่อาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้งเพราะสาเหตุนี้ก็เป็นได้ ในมือของหม่อมฉันมีมันฝรั่งที่เป็นผลผลิตในระยะเวลาสองปีสองฤดูกาล ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิเหมาะการแก่การเพาะปลูก ถ้าหากว่าฝ่าบาทตอบรับเรื่องงานแต่งงานของหม่อมฉันกับอี้เซวียน หม่อมฉันก็จะเอามันฝรั่งทั้งหมดที่มีมาถวายเป็นเมล็ดพันธุ์ ให้ชาวเมืองหลินเฉิงเอาไปปลูก เมื่อสามเดือนผ่านไป ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้เป็นผลผลิตในฤดูกาลแรกเพคะ”
คำพูดของนาง ทำให้ฮ่องเต้สะดุ้งเล็กน้อย ท่าทางอาการของฮ่องเต้ก็ไม่ได้นิ่งอีกต่อไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “เจ้าพูดจริงอย่างนั้นรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “หม่อมฉันมิกล้าโกหก หม่อมฉันมีโรงงานผลิตแป้งมันฝรั่งอยู่ทั่วรัฐอู่รวมทั้งสิ้นยี่สิบกว่าโรง ถ้าหากว่าฮ่องเต้ตอบรับ หม่อมฉันก็จะปิดโรงงานชั่วคราว แล้วเอามันฝรั่งที่เหลือมาถวาย และทางนอกเมืองเป่ยเฉิง หม่อมฉันยังมีไร่มันฝรั่งอยู่อีกห้าร้อยหมู่ สามเดือนผ่านไป นอกจากเมล็ดพันธุ์แล้ว ยังสามารถนำผลผลิจทั้งหมดมาถวายได้”
แป้งมันฝรั่งพวกนี้ รายได้แต่ละปีเป็นเงินไม่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวพูดออกไปโดยไม่คำนึงถึงเรื่องกำไรเลย ทำให้ฮ่องเต้เกิดประทับใจในตัวนาง แล้วพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นเล็กน้อยว่า “เช่นนี้ เจ้าก็เสียหายมากมายเลยน่ะสิ”
“เงินทองเป็นของนอกกาย ถ้าหากว่าฮ่องเต้ตอบตกลงเรื่องงานแต่งงานของพวกเรา หลังจากนั้นก็ต้องแต่งงานเข้าจวนอ๋องฉี มีกินมีใช้ไม่ขาดอย่างแน่นอน หม่อมฉันจะอยากได้เงินทองมากมายขนาดนั้นไปทำไมกันเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเล่นได้ถูกเวลาจริงๆ
ทำให้ฮ่องเต้หัวเราะออกมา แล้วตอบตกลงโดยทันที “ได้ ข้าตกลงเรื่องงานแต่งงานของพวกเจ้า จะออกราชโองการให้เดี๋ยวนี้ แต่ว่า เจ้าเป็นประชาชนคนธรรมดา แต่งงานกับเซวียนเอ๋อร์ ก็ออกจะผิดธรรมเนียมของราชวงศ์ไปหน่อย เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะออกราชโองการอีกฉบับ แต่งตั้งเจ้าเป็นองค์หญิงชิงเหอ ให้ที่นาเจ้าหนึ่งพันหมู่ ทองหนึ่งพันชั่ง หยก และเครื่องประดับอีกห้าสิบชุด ถือว่าเป็นการชดใช้ค่าเสียหายที่เจ้าได้เสียไปก็แล้วกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนดีใจเป็นอย่างมาก คุกเข่าลงอีกครั้ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ “ขอบพระทัยเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งคุกเข่าอยู่ที่ข้างๆ เขา แล้วกล่าวขอบคุณจากใจจริง “ขอบพระทัยฮ่องเต้เพคะ!”
เมื่อเห็นนางมีทีท่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากตอนแรก ฮ่องเต้ก็หัวเราะออกมาเสียงดังกันเลยทีเดียว
ตอนที่ 203-1 จะไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางอีก
อ๋องฉีรีบมาที่ห้องทรงพระอักษรได้ยินเสียงหัวเราะของฮ่องเต้ ก็ใจชื้นขึ้นมาทันที
กงกงที่ยืนรออยู่ทางด้านหน้าก็รีบเข้ามา บอกเรื่องน่ายินดีให้แก่ท่านอ๋อง “ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วย ดูท่าแล้วอีกไม่นานจวนท่านอ๋องจะมีงานมงคลแล้ว”
ท่านอ๋องได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก เลยลูบที่เอวไปมา พอดีรีบออกมาจึงไม่ได้พกตั๋วเงินมาด้วย จึงหยิบหยกที่ห้องอยู่เอวมาส่งให้กงกงผู้ดูแล
“อัยหยา ข้าน้อยขอขอบพระคุณท่านอ๋อง” กงกงผู้ดูแลพูดด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมพลางรับหยกมา
“ข้าจะไปรับพระชายาฉีที่ตำหนักไทเฮา กงกงก็ทำเป็นว่าข้าไม่ได้มาที่นี่ ไม่จำเป็นต้องไปรายงานเสด็จพี่”
กงกงผู้ดูแลตอบรับ
อ๋องฉีหันหลังมุ่งหน้าไปที่ตำหนักไทเฮาทันที
กงกงผู้ดูแลเอาหยกที่ได้มาพลิกดู ดีใจเป็นที่สุด แล้วก็ยืนที่หน้าประตูห้องทรงพระอักษรเช่นเดิม
วันถัดมา ฮ่องเต้ออกราชโองการขึ้นมาสองฉบับ ฉบับแรกส่งไปที่จวนของเมิ่งเชี่ยนโยว เป็นพระราชโองการแต่งตั้งนางให้เป็นองค์หญิงชิงเหอ อีกฉบับส่งไปที่จวนอ๋องฉี เป็นราชโองการสมรส เนื้อความว่า แต่งตั้งให้องค์หญิงชิงเหอเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นภรรยาหลวงของหวงฝู่อี้เซวียน วันแต่งงานถูกกำหนดไว้ที่เดือนสิบ
เมื่อสองราชโองการนี้ประกาศออกไป ก็เป็นที่เล่าลือกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง ถึงหูของทุกภาคส่วนในชั่วพริบตา ทุกคนต่างบอกให้ลูกหลานและฮูหยินของตนให้คิดหาวิธีไปทำความรู้จักเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้
ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น ได้แต่เขียนจดหมายกับเมิ่งอี้ทั้งวันทั้งคืนเพื่อส่งให้กับเถ้าแก่ร้านแป้งมันในแต่ละพื้นที่ ให้พวกเขาปิดร้านทันทีหลังจากที่ได้รับจดหมาย แล้วเอาบันทึกรายรับจ่ายของคลังกักตุนสินค้ามารายงานที่เมืองหลวง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ขอให้เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีช่วยเขียนจดหมาย เขียนถึงที่ไปมาที่มาตามความจริงบอกเล่าเรื่องกับพวกเขา แล้วให้กัวเฟยเอาไปส่งให้ครบทุกที่ทั้งวันทั้งคืน
กัวเฟยยังไม่ทันถึงบ้าน ข่าวที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงชิงเหอก็ได้พูดต่อกันมาเรื่อยๆ
เมิ่งซื่อได้ยินเข้าก็ดีใจจนแทบจะเป็นลมล้มไป ไม่คิดว่าในตอนที่นางมีชีวิตอยู่นั้น เมิ่งเชี่ยนโยวจะได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นองค์หญิง เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลเมิ่งโดยแท้จริง
เมิ่งจงจวี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็อ้ำอึ้งไปโดยปริยาย ครู่หนึ่งถึงจะกลับมาเป็นปกติ แล้วหัวเราะ แล้วพูดออกมาได้คำเดียวว่า “ดีๆ!”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยาก็อึ้งไปด้วย ถึงขั้นไม่ได้ทักทายผู้ใหญ่บ้านที่มาส่งข่าวด้วยตัวเอง ยืนอึ้งอยู่กับที่
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็ตกใจไม่น้อย แต่เป็นห่วงเสียมากกว่า เพียงเวลาแค่ไม่กี่เดือน จากที่ฮ่องเต้ไม่เคยจะยินยอม แต่ตอนนี้แต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง พระราชทานงานแต่งงานให้ เปลี่ยนแปลงไปเร็วเสียเหลือเกิน ระหว่างนี้จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
จนกระทั่งกัวเฟยเอาจดหมายมาส่งที่บ้าน ทั้งสองคนถึงจะเข้าใจ ที่แท้เป็นการแลกเปลี่ยนนั่นเอง แต่ว่าเอาสิ่งเหล่านี้ไปแลกกับการแต่งงานของน้องสาว อย่างไรก็คุ้มค่าอยู่แล้ว ทั้งสองคนก็ดำเนินการตามทันที หยุดโรงงาน แล้วเอามันฝรั่งที่เหลือมาเก็บเอาไว้ รอจดหมายฉบับต่อไปของเมิ่งเชี่ยนโยว
อย่างแรก ตระกูลเมิ่งกลายเป็นที่รู้จักของชาวอำเภอชิงเหอ คนที่มีชื่อเสียงของอำเภอก็มาขอเข้าพบเป็นระยะ
คนในตระกูลเมิ่งต้อนรับกันไม่หวาดไม่ไหว เหน็ดเหนื่อยกันอย่างมาก
โรงงานแป้งมันทางเป่ยเฉิงก็หยุดงานแล้วเช่นเดียวกัน ไม่มีการทำงานเกิดขึ้น คนงานในโรงงานก็เกิดความกังวลขึ้นมาทันที เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงปัญหานี้ไว้แต่แรกแล้ว ในขณะที่ให้เมิ่งอี้อยู่ที่เมืองหลวงรอรับการรายงานจากเถ้าแก่ร้านแป้งมันทั้งหลายนั้น ก็เปิดโรงงานเนื้อรมควันและโรงงานพริกเผา และแน่นอนทั้งสองโรงงานนี้ก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของหวงฝู่อวี้
เป็นคนจน ขอแค่มีงานให้ทำ ไม่ว่างานอะไรก็จะทำ ทำให้ใจของประชาชนชื้นขึ้นมาในทันที
เรื่องราวต่างๆ จัดการเรียบร้อยแล้ว เลยไปที่หมู่บ้านนอกเมือง ดูว่ามันฝรั่งปลูกไปถึงไหนแล้ว และกำชับเหวินเปียวและเหล่าองครักษ์ลับว่าจะต้องดูแลมันฝรั่งเหล่านี้ให้เป็นอย่างดี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตชาวเมืองหลินเฉิงได้
เหวินเปียวรู้และเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ พยักหน้ารับประกันว่าจะไม่ทำให้มันฝรั่งเสียหายแน่นอน
ส่วนที่ฮ่องเต้มอบที่นามาหนึ่งพันหมู่ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวขอเปลี่ยนเป็นที่ๆ เมืองเป่ยเฉิงแทน เอาที่ๆ อยู่ไม่ไกลกับที่ห้าร้อยหมู่ของตน
ฮ่องเต้รู้ว่าที่ๆ เมืองเป่ยเฉิงเป็นที่ราบเรียบ จึงประทานให้ไปอีกห้าร้อยหมู่
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมาดูที่นาเหล่านั้น ตัดสินใจว่าหลังจากที่กลับมาจากหลินเฉิงแล้ว จะให้ชาวบ้านที่เป่ยเฉิงมาทำงานบุกเบิกที่นี่
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามวัน เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนนำองครักษ์ลับออกเดินทาง หลังจากนั้นสองวันก็มาถึงที่หลินเฉิง
จางเจ๋อหวยได้ข่าว ก็เลยพาชาวบ้านหลินเฉิงมาต้อนรับที่หน้าประตู เมื่อเห็นทั้งสองคนลงจากรถม้า ก็คุกเข่าลง “ข้าน้อยจางเจ๋อหวยพาชาวบ้านหลินเฉิงมาต้อนรับซื่อจื่อและองค์หญิงชิงเหอ”
และทุกคนก็ทำความเคารพตามด้วยเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเขาขึ้นมาด้วยตนเอง “ใต้เท้าจาง อย่าทำความเคารพเช่นนี้อีกเลย ลุกขึ้นเถิด”
จางเจ๋อหวยลุกขึ้น บอกว่า “ซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งไม่เพียงแต่จัดการโรคระบาดได้ ยังหาทางอยู่รอดมาให้แก่ชาวบ้านอีกด้วย ข้าน้อยทำความเคารพในครั้งนี้นั้นมาจากใจจริง ชาวบ้านหลินเฉิงก็เต็มใจด้วยเช่นเดียวกัน”
ชาวบ้านต่างก็ตอบรับเห็นด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกมา แล้วทำท่าให้ทุกคนลุกขึ้น “เชิญทุกคนลุกขึ้นเถิด”
ทุกคนลุกขึ้น แล้วรุมล้อมเขาทั้งสองคนเข้าเมือง
จางเจ๋อหวยก็จัดการให้พวกเขาเข้าไปอยู่ที่ห้อง หลังจากนั่งลงจึงพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ องค์หญิง รีบเดินทางมาหลายวัน ทั้งสองคนพักผ่อนเสียก่อนเถอะ รอถึงพรุ่งนี้ข้าจะพาท่านทั้งสองไปดูที่ดิน ว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
ตอนนี้ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ถ้าออกนอกเมืองไปตอนนี้ไม่นานก็จะมืดเสีย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร พยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าจาง ท่านเรียกข้าว่าแม่นางเมิ่งเช่นเดิมเถิดเจ้าค่ะ เรียกองค์หญิง รู้สึกห่างเหินอย่างไรก็ไม่รู้”
จางเจ๋อหวยตอบรับอย่างดีใจว่า “ข้าก็รู้สึกห่างเช่นเดียวกัน เรียกว่าแม่นางเมิ่งดูใกล้ชิดกว่า”
เมื่อพูดจบ ก็ถามอีกว่า “ซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งมีอะไรให้ข้ารับใช้อีกหรือไม่”
“วันนี้ข้าได้เขียนจดหมายตอบกลับไปที่บ้าน หลังจากคนที่บ้านได้รับจดหมายแล้ว ก็ส่งให้คนเอานำมันฝรั่งมา ขอให้ใต้เท้าจางเตรียมพื้นที่ว่างเย็นๆ โล่งๆ เอาไว้ให้ด้วย จะได้เอาไว้เก็บมันฝรั่งเหล่านั้น รอส่งมาเมื่อใด ข้าจะสอนพวกเจ้าดูแลทีละขั้น”
จางเจ๋อหวยจดจำเรียบร้อยแล้ว จึงถามหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ซื่อจื่อ คุณชายใหญ่ยังถูกขังเอาไว้ในคุก ข้ากำลังจะส่งคนไปส่งจดหมายถึงท่านว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี ท่านกับแม่นางเมิ่งก็มาพอดี”
หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง “เจ้าไปปล่อยเขาเถิด ให้เขากับคนของเขากลับไปที่เมืองหลวง ส่วนที่เหลือเจ้าก็ไม่ต้องสนใจแล้ว”
จางเจ๋อหวยตอบรับ ลุกขึ้น แล้วขอตัวลาไปที่คุก
อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมา จางเจ๋อหวยไม่สามารถปล่อยเขาไว้นานได้ นอกจากจะไร้ซึ่งอิสระแล้ว ส่วนเรื่องอื่นก็พยายามจะไม่มีปัญหากับเขา เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน เฮ่อเหลี่ยนผอมลงมากทีเดียว
เดินเข้าไปในคุก มาที่ห้องขังของเฮ่อเหลี่ยน จางเจ๋อหวยทำท่าบอกให้ทหารเปิดประตูห้องขังออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยินดีว่า “คุณชายใหญ่ ท่านเป็นอิสระแล้ว ขอเชิญท่านรีบกลับเมืองหลวงเถิด”
เฮ่อเหลี่ยนที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาก็ลุกขึ้นมา ก้าวเท้าเดินออกมาจากคุก แล้วจึงตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว “นายอำเภอจาง เจ้ากล้าดีอย่างไรเอาข้าไปขังไว้ในคุกตั้งนาน ดูสิว่าถ้าข้ากลับไปรายงานฮ่องเต้ หัวของเจ้ายังจะอยู่ดีอีกหรือไม่”
โดนจับขังในคุกเป็นเวลานาน เฮ่อเหลี่ยนไม่รู้เลยสักนิดว่าด้านนอกเปลี่ยนไปมาก จางเจ๋อหวยก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรกับเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจเช่นเคย “คุณชายใหญ่ เชิญเถิด”
องครักษ์เงาที่โดนขังอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ถูกปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน
เฮ่อเหลี่ยนถอนหายใจ แล้วเดินนำทุกคนออกมาจากห้องขัง เดินไปที่ห้องพักที่ตนเคยอยู่
มองเขาที่กำลังเดินไกลออกไป จางเจ๋อหวยส่ายหน้า “มหาเสนาบดีเป็นคนที่มีความสามารถมากยิ่งนัก เป็นคนที่คิดวางแผนได้ล้ำเลิศหลักแหลม เพราะเหตุนี้จึงได้เป็นที่โปรดปราณของฮ่องเต้ อาศัยความสามารถของตนเองไต่เต้ามาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีลูกที่ไม่เอาถ่านเช่นนี้ ถ้าหากว่าไม่เห็นว่าเขาเป็นลูกของมหาเสนาบดีล่ะก็ บางทีพอซื่อจื่ออาการดีขึ้นแล้ว ก็อาจจะสั่งให้คนอาเขาไปประหารเสียเลย จะไปไว้ชีวิตเขาให้รอดจนถึงตอนนี้ทำไมกัน”
เฮ่อเหลี่ยนเดินมาถึงที่พัก น้ำก็ไม่ได้อาบ ของที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้ให้คนเก็บให้ ขึ้นรถมาไปโดยทันที แล้วสั่งให้คนรถมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงเดี๋ยวนี้
ด้วยความโกรธเคือง เฮ่อเหลี่ยนบอกให้คนรถเร่งม้าให้วิ่งให้ไวที่สุด ตอนกลางคืนก็ไม่ได้แวะพักที่โรงเตี๊ยม ก็มาถึงในวันที่สามก่อนประตูเมืองจะปิด แล้วรีบเร่งเดินทางไปที่เมืองหลวง
ยังดีที่มีสมองนิดหน่อย มองไปที่ฟ้า จึงรู้ว่าประตูพระราชวังตอนนี้ก็น่าจะปิดแล้ว เลยล้มเลิกความคิดที่จะไปเข้าเฝ้า แล้วออกคำสั่งให้คนรถเดินทางกลับไปที่บ้าน
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาอย่างปลอดภัย แต่กลับไร้ซึ่งข่าวคราวของเฮ่อเหลี่ยน และฮ่องเต้ก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรถึงเขาเลยสักนิด เฮ่อจางที่กำลังรักษาตนอยู่ที่บ้านจึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเฮ่อเหลี่ยนอย่างแน่นอน กำลังจะส่งคนไปสืบเสาะ แต่ก็ได้รับข่าวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง กับข่าวพระราชทานงานแต่งงานเสียก่อน
ในขณะที่เฮ่อจางกำลังโกรธอยู่ เลยพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน อีกทั้ง เขายังเดาว่า ที่ฮ่องเต้ไม่ถามถึงเลยสักนิด แสดงว่าเฮ่อเหลี่ยนไม่ได้เป็นอะไร แล้วก็คิดได้อีกว่า สู้ทำเป็นว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรเลยจะดีเสียกว่า จึงไม่ได้ส่งคนไปสืบ ให้เฮ่อเหลี่ยนผ่านพ้นช่วงนี้ไปก่อน รอให้ฮ่องเต้ไม่โกรธเสียก่อนค่อยว่ากัน คิดไม่ถึงว่า หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไปหลินเฉิงได้ไม่กี่วัน เฮ่อเหลี่ยนก็กลับมา
อีกทั้งยังกลับมาพร้อมกับความเจ็บแค้นเคืองโกรธ เมื่อเข้ามาในบ้านก็ตะโกน “ท่านพ่อ เจ้าโง่นั่นจับข้าไปขังอยู่ในคุก คิดจะทำร้ายข้า ท่านจะต้องคิดหาวิธีจัดการพวกเขา แก้แค้นแทนข้าให้ได้นะขอรับ”
เฮ่อจางอยากจะบีบคอเขาให้ตายเสียจริงๆ สายลับของฮ่องเต้มีอยู่ทั่ว แม้แต่ในจวนมหาเสนาบดีก็ไม้เว้น เขาตะโกนเสียงดังเช่นนี้ ถ้าหากว่ามีคนได้ยินเข้า เอาไปรายงานฮ่องเต้ ผลที่จะตามมาช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก
คิดได้เช่นนี้ จึงพูดออกไปอย่าเกรี้ยวโกรธว่า “สารรูปอย่างเจ้าน่ะหรือ จะทำอะไรได้ ไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาคุยกับข้า”
เฮ่อเหลี่ยนตกใจมากจึงรีบหันหลังเดินออกไป กลับมาที่เรือนของตน ให้คนเตรียมน้ำให้อาบ หลังจากอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็สั่งให้คนเอาเสื้อของตนที่เปลี่ยนแล้วไปเผาทิ้งซะ เอาเสนียดจัญไรออกไป แล้วถึงจะมาที่เรือนของเฮ่อจาง
มาครั้งนี้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ แล้วทำความเคารพเฮ่อจางอย่างนอบน้อม
สีหน้าของเฮ่อจางก็ดีขึ้น ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าค่อยๆ เล่าให้ข้าฟังซิ”
เฮ่อเหลี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง แล้วเล่าเรื่องที่เขาไปถึงเมืองหลินเฉิงแล้วยังไม่ทันได้ทำวิธีที่จะทำให้หวงฝู่อี้เซวียนติดโรคตามที่เขาบอกเลย ก็ได้ข่าวว่าหวงฝู่อี้เซวียนติดโรคเข้าแล้ว แล้วยังกักตนเองที่สถานกักตัวด้วย พอรู้ว่าคนที่ติดเชื้อจะตายภายในสี่ห้าวัน เขาก็ดีใจเป็นอย่างมาก เลยจัดคนไปเฝ้าที่ด้านนอกของสถานกักตัว กลัวก็แต่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไปช่วยเขา ไม่อยากจะเชื่อว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็มาจริงๆ แล้วยังสั่งให้คนจับเขาไปขังไว้ในคุกอีก
เมื่อพูดจบ เฮ่อเหลี่ยนก็ฟ้องอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพ่อ องครักษ์ที่พ่อจัดให้ข้าไม่เห็นจะได้เรื่องเลยสักนิด ขนาดนังเมิ่งเชี่ยนโยวน่าโง่นั่นยังจัดการไม่ได้ แล้วยังมีเจ้าจางเจ๋อหวยนั่นอีก มันรู้ดีว่าว่าข้าเป็นใคร แล้วยังจะช่วยพวกนางอีก ท่านจะต้องคิดหาวิธีกำจัดเขาให้ได้ ข้าถึงจะหายแค้น”
เห็นท่าทางที่เขายืนเล่าเรื่องหลังขดหลังแข็งไม่หยุดหย่อน เฮ่อจางก็เริ่มโกรธ พูดว่า “เมื่อสี่ปีก่อน องครักษ์ของเราเสียหายไปในตำบลชิงซีกับเสิ่งเฉิงเป็นอย่างมาก พวกนี้เป็นองครักษ์ที่ฝึกขึ้นมาทีหลัง ฝึกได้ขนาดนี้ก็ไม่เลวแล้ว แล้วก็นายอำเภอจางแห่งหลินเฉิงนั่น เป็นคนมีความสามารถดี ฮ่องเต้รู้จักเขาแล้ว ถ้าหากว่าไม่มีอะไรผิดพลาด พอเขาหมดวาระนี้แล้ว เขาน่าจะโดนโยกย้ายมาที่เมืองหลวง ใช่ว่าเจ้าอยากจัดการก็จัดการได้”
“ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรดี ถ้าเป็นเช่นนี้ ความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับมาหลายวันนี้ก็สูญเปล่า อย่างมากข้าก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงโปรดส่งไป พวกเขาทำเช่นนี้กับข้า ไม่ควรได้รับโทษอย่างนั้นหรอกหรือ”
เฮ่อจางถอนหายใจอีกหนึ่งครั้ง แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันนี้ให้เขาฟัง
ตอนที่ 203-2 จะไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางอีก
ฟังจบ เฮ่อเหลี่ยนก็ตกใจจนลุกขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อว่า “นางบ้านนอกนั่นถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงแล้วงั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร”
“ตัวพ่อเองก็โดนลอบกลั่นแกล้ง หลายวันมานี้ไม่ได้ไปประชุมราชสำนักเลย แต่ว่า ได้ข่าวจากในพระราชวังว่านางได้ให้สัญญากับฮ่องเต้เอาไว้ ว่าในสามเดือนจะทำให้ชาวเมืองหลินเฉิงมีกิน จะได้ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากราชสำนักอีกต่อไป”
เฮ่อเหลี่ยนตกใจ “นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ตอนนี้หลินเฉิงไม่มีอะไรเลย ถ้าหากว่านางจะให้คนมีข้าวกินล่ะก็ ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น หลอกให้ฮ่องเต้ตอบรับเรื่องงานแต่งงานของนางก็เท่านั้น”
เฮ่อจางโบกมือ “พ่อให้คนไปตรวจสอบดูแล้ว นางนั่นได้ปลูกมันฝรั่งที่ปีหนึ่งเก็บเกี่ยวสองฤดู และได้เตรียมการแบบนี้มาหลายปีแล้ว เพียงแต่พวกเราไม่เคยได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย คนที่เราส่งไปตรวจสอบก็ไม่ได้รายงานเรื่องพวกนี้ให้เราฟัง”
“พูดเช่นนี้ ก็เป็นความจริงน่ะสิ หลังจากนี้สามเดือน ก็จะสามารถปลูกฝรั่งได้จริงหรือ”
“ถูกต้อง” เฮ่อจางหยักหน้า
เฮ่อเหลี่ยนลุกขึ้น เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง “ถ้าเช่นนี้จะทำอย่างไรดี นั่งนั่นมีตำแหน่งเป็นองค์หญิงแล้ว หลังจากนี้พวกเราจะไม่สามารถที่จะจัดการนางได้ง่ายๆ แล้ว อีกทั้งนางยังแต่งเข้าจวนอ๋องฉีอีก เจ้ากระต่ายนั่นกลายเป็นเหมือนเสือติดปีก ถ้าหากว่าจะกำจัดนาง ให้อวี้เอ๋อร์ขึ้นเป็นซื่อจื่อก็คงยาก พวกเราก็ไม่สามารถแก้แค้นแทนน้องสาวได้อีกแล้ว”
เห็นเขาโกรธเช่นนี้ เฮ่อจางก็ยิ่งโกรธเข้าไปอีก ด่าออกมาว่า “เวลาเจอปัญหา นอกจากลนลานแล้ว เจ้ายังทำอะไรได้อีก ไร้ประโยชน์สิ้นดี”
ยามเฮ่อจางต่อว่าเขาในวันปกติ เฮ่อเหลี่ยนก็ตกใจจนแทบจะทำตัวถูกๆ ผิดๆ วันนี้ได้ยินเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในใจร้อนรน จึงไม่ได้รู้สึกตื่นกลัวแต่อย่างใด พูดอย่างร้อนรนว่า “ท่านพ่อ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่ให้ข้ารนได้อย่างไรเล่าขอรับ ถ้าหากว่าให้เจ้ากระต่ายโง่กับนังนั่นแต่งงานกัน พวกมันร่วมมือกันจัดการเรา พวกเราก็จะไม่มีวันเป็นสุขน่ะสิ”
เฮ่อจางถอนหายใจออกมานึ่งเฮือก พูดว่า “พวกเขาอยากแต่งงานกัน ยังเร็วไป”
ฟังคำพูดที่มีเล่ห์สนัยของเขาแล้ว เฮ่อเหลี่ยนจึงกลับไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วถามว่า “ท่านพ่อ หรือว่าท่านมีแผนการจัดการพวกเขาอย่างนั้นหรือ”
“ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะออกราชโองการไปแล้ว แต่ว่าวันแต่งงานถูกกำหนดไว้ที่เดือนสิบ เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร”
เฮ่อเหลี่ยนเดินเข้าไปใกล้ แล้วถามต่อว่า “หมายความว่าอย่างไรอย่างนั้นหรือ”
เฮ่อจางมองไปที่เขา หรี่ตาลง แล้วลูบเคราของตนเอง พูดว่า “หมายความว่าฮ่องเต้ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้ แต่ติดตรงที่ตอนนั้นอ๋องฉีเคยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้โดยไม่ได้สนใจชีวิตของตนเอง บวกกับที่ข้อต่อรองที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ให้เอาไว้จึงได้ตอบรับ ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นก่อน การที่ฮ่องเต้จะถอนราชโองการคืนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เฮ่อเหลี่ยนถามด้วยน้ำเสียงที่รีบร้อนกว่าเดิม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“ยังไม่ต้องรีบร้อน เวลาตั้งหลายเดือน อย่างไรก็หาเรื่องได้อยู่แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยลงมือจัดการเจ้านั่น ให้ความฝันที่สวยงามของพวกมันสลายไป”
ฟังเฮ่อจางพูดจบ เฮ่อเหลี่ยนดีใจเป็นที่สุด จนแทบจะกระโดดขึ้น รีบพูดว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้ยกให้ข้าจัดการเถอะ ข้าจะทำให้ดีอย่างแน่นอน”
เฮ่อเหลี่ยนเป็นอย่างไร เฮ่อจางย่อมรู้ดี เมื่อฟังแล้วจึงส่ายหน้า “หน้าที่ของเจ้าคือพรุ่งนี้เช้าไปน้อมรับผิดกับฮ่องเต้เสีย บอกว่าเจ้าไม่มีประสบการณ์ จึงทำหน้าที่ที่ฮ่องเต้มอบให้ได้ไม่สำเร็จ แล้วออกปากชมเจ้านั่นเสียหน่อย ชมให้มากยิ่งดี แบบนี้ฮ่องเต้ก็จะมองเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อ อาจจะลดโทษเจ้าลง เหลือแค่เลื่อนตำแหน่งเจ้าลงไปก็เท่านั้น”
สองพ่อลูกปรึกษากันอย่างดี เฮ่อเหลี่ยนจึงสามารถนอนฝันหวานได้หนึ่งคืน
วันที่สองฟ้ายังไม่ทันสว่างก็แต่งตัวเรียบร้อย แล้วนั่งเกี้ยวของตนไปที่ตำหนักจินหลวน แล้วบอกกับขันทีที่คอยส่งข่าว แล้วยังแอบยื่นตั๋วเงินให้กับเขาด้วย ให้ขันทีไปรายงานฮ่องเต้โดยเร็ว ว่าเขามีเรื่องมารายงานฮ่องเต้
นี่เป็นหน้าที่ของตนแท้ๆ แต่กลับได้รับเงินจากงานนี้มากมาย ขันทีที่คอยส่งข่าวก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา จึงรีบเก็บธนบัตรเงินเข้าไปในแขนเสื้อของตน แล้วเขาไปกระซิบข้างหูกงกงผู้ดูแลอย่างเงียบๆ
ขันทีผู้ดูแลมองออกไปด้านนอก รอจนกระทั่งข้าราชสำนักรายงานเรื่องบ้านเมืองแล้วเสร็จ ถึงจะเข้าไปรายงานฮ่องเต้ว่า “ฮ่องเต้ เฮ่อเหลี่ยนกลับมาแล้ว รอเข้าเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูวังพะยะค่ะ”
ข้าราชสำนักได้ยินดังนั้น ก็เสวนากันไปต่างๆ นาๆ โรคระบาดที่หลินเฉิงผ่านไปก็หลายวันแล้ว เฮ่อเหลี่ยนเพิ่งจะกลับมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ไม่มีใครสามารถคาดเดาสิ่งใดได้จากสีหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ในตอนนี้ “เรียกตัว!”
กงกงผู้ดูแลตอบรับ แล้วตะโกนออกไปด้านนอก “เรียกตัวเฮ่อเหลี่ยนเข้าเฝ้า!”
เฮ่อเหลี่ยนได้ยิน จึงจัดผ้าจัดผ่อน รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม จึงเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลง “กระหม่อม เฮ่อเหลี่ยนไม่ได้ทำตามหน้าที่ที่ฮ่องเต้มอบหมายเอาไว้ได้สำเร็จ หลังจากที่กระหม่อมไปถึงหลินเฉิงแล้ว ด้วยเหตุที่…”
คำที่เฮ่อจางเตี๊ยมมายังพูดไม่ทันหมด ก็โดนฮ่องเต้ถามด้วยความสงสัยเสียก่อนว่า “เฮ่อเหลี่ยน ข้าขอถามเจ้าหน่อย วันนั้นข้าส่งเจ้าไปหลินเฉิงเพื่อทำอะไร”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนพูดแทรกมาเสียก่อน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เฮ่อเหลี่ยนไม่ได้คิดมาก่อน เป็นความผิดพลาดในเสี้ยววินาที หลังจากนั้นจึงตอบว่า “ขอรายงาน ฝ่าบาทส่งกระหม่อมไปหลินเฉิงเพื่อจัดการโรคระบาดขอรับ”
“เจ้าทำอะไรบ้าง”
“หลังจากที่กระหม่อมน้อยไปถึงที่นั่น ก็เข้าไปตรวจสอบชาวบ้านกับหมอหลวงทั้งห้าคน และเข้าใจถึงโรคระบาด แล้วสั่งให้ทุกคนคิดหาวิธีจัดการกับโรคระบาดให้เร็วที่สุด ไม่เคยย่อท้อแม้สักนิด”
“เป็นเช่นนั้น? แต่ว่ารายงานที่ข้าได้รับมิเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าใครพูดจริงหรือโกหก”
เฮ่อเหลี่ยนเริ่มใจคอไม่ดี เลยแถออกไปว่า “ฮ่องเต้ ขออย่าไปฟังคำของนายอำเภอหลินเฉิงอะไรนั่น เขาเป็นคนรู้จักของซื่อจื่อ พวกเขาร่วมมือกันมาทำร้ายกระหม่อม”
ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงโกรธว่า “เจ้ากับพวกเขามีความแค้นอะไรต่อกัน เหตุใดพวกเขาถึงต้องทำร้ายเจ้า”
“เอ่อ…” เฮ่อเหลี่ยนตอบไม่ได้
ฮ่องเต้พูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าเดิมว่า “พูด!”
เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนตัวสั่น บนใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ แล้วพูดออกไปว่า “เพราะหลังจากที่นางบ้านนอกนั่นไปหลินเฉิงแล้ว อยากจะเข้าไปเยี่ยมซื่อจื่อในสถานกักตัว กระหม่อมบอกให้คนห้ามไว้ พวกเขาจึงคับแค้นใจ จึงใช้โอกาสนี้แก้แค้นกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของเขา ทำให้คนในราชสำนักต่างซุบซิบกันไปทั่ว บางคนก็คิดได้ บางคนก็คิดสงสารเฮ่อเหลี่ยน ส่วนอ๋องฉีกลับทำหน้านิ่งขรึม ทำตาหรี่ลง
เฮ่อเหลี่ยนพูดจบ นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง แต่เขากลับเรียกนางว่าเป็นนางบ้านนอกกลางราชสำนัก นี่เป็นการลบหลู่อย่างถึงที่สุด จึงรีบอยากจะพูดแก้ไข แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เอาแต่นั่งคุกเข่าสั่นเครืออยู่อย่างนั้น
แล้วยังมีข้าราชสำนักทางด้านหลังของอ๋องฉี ออกมา บอกว่า “ฮ่องเต้ ความผิดของคุณชายเฮ่อในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าเปี่ยมไปด้วยเจตนาคิดร้าย อยากให้ซื่อจื่อตาย ความผิดเช่นนี้จะลงโทษเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ!”
คนหนึ่งออกมาพูด ก็ย่อมมีคนอื่นออกมาตาม
ต่อให้เฮ่อเหลี่ยนจะโง่แค่ไหน ก็รู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ตนไม่รอดอย่างแน่นอน ก็โค้งลงเอาหัวโขกพื้น พูดว่า “ฮ่องเต้ กระหม่อมห้ามไม่สำเร็จขอรับ องค์หญิงชิงเหอคนนั้นสั่งให้ลูกน้องของนางตีหัวของกระหม่อมจนสลบไป แล้วเอากระหม่อมไปขังในคุก จนกระทั่งสามวันก่อนถึงได้ปล่อยออกมา ขอให้ฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย”
“หืม” เสียงซุบซิบดังขึ้นอีกครั้ง
ขุนนางฝั่งมหาเสนาบดีก็ออกมา บอกว่า “ฮ่องเต้ องค์หญิงชิงเหอคนนั้นบังอาจเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีตำแหน่ง แต่กลับลงมือเช่นนี้กับคนที่ฮ่องเต้ส่งไป แล้วความผิดเช่นนี้จะลงโทษเยี่ยงไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ!”
และก็มีคนเห็นด้วย
คนในราชสำนักแบ่งออกเป็นสองพวกในชั่วพริบตา ต่างก็ถกเถียงกัน
พระพักตร์ฮ่องเต้แน่นิ่ง มองข้าราชสำนักที่กำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด
จนกระทั่งขุนนางทั้งหลายเถียงกันอย่างดุเดือด จะลงมือทำร้ายกัน ฮ่องเต้ถึงจะพูดด้วยความโกรธว่า “หุบปากให้หมด!”
ทั้งราชสำนักเงียบขึ้นมาในทันที ขุนนางที่กำลังถกเถียงกันต่างก็รับรู้ได้ถึงความไม่สบอารมณ์ของฮ่องเต้ จึงกลับไปที่เดิมของตน
ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงโกรธกริ้ว “ตอนนี้ทุกคนต่างก็ข่มกันไปมาไม่หยุดหย่อน ทำไมตอนนั้นที่ข้าต้องการคนไปจัดการโรคระบาดที่หลินเฉิง จึงเป็นใบ้กันเสียหมดล่ะ”
ไม่มีใครกล้าพูดจา
ฮ่องเต้ก็ยังโกรธอยู่ ถามต่อว่า “คนมากมาย แต่กลับเทียบไม่ได้เลยกับสาวบ้านนอกคนนั้น แล้วยังมีหน้ามาทะเลาะกันต่อหน้าข้าอีก ราชสำนักเลี้ยงพวกเจ้าเอาไว้เพื่ออะไรกัน”
ฮ่องเต้พูดจารุนแรงแบบนี้เป็นครั้งแรก เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าก้มตา ขนาดหายใจยังไม่กล้าหายใจแรง ไม่มีตัวตนเสียจะดีกว่า
เฮ่อเหลี่ยนยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เหงื่อท่วมไปทั้งตัวจนเสื้อเปียกไปหมด
ฮ่องเต้ไม่ตรัสอะไรต่อ ขุนนางทั้งหลายก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ราชสำนักเงียบสงัด ขุนนางทั้งหลายต่างเงียบเสียจนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ
ในขณะที่เหล่าขุนนางต่างรู้สึกใจเต้นจนแทบจะหลุดออกมา ฮ่องเต้จึงตรัสว่า “ออกราชโองการ เฮ่อเหลี่ยนทำงานไม่สำเร็จ ถอดถอนตำแหน่งออก แล้วจะไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางใดอีก!”
ตอนที่ 204 ยินดีมาส่ง
เฮ่อเหลี่ยนนั่งคุกเข่าลงไปอย่างหมดแรง ความรู้สึกไร้ซึ่งความหวังได้เข้ามาแทนที่ นัยน์ตามืดมัว จนสุดท้ายก็เป็นลมล้มไป
ฮ่องเต้มองด้วยสายตาสมเพช แล้วสั่งให้คนหามไปส่งที่จวนมหาเสนาบดี
เฮ่อจางได้ฟังข่าวจากขันทีที่ไปส่งตัวเฮ่อเหลี่ยน ก็กระอักเลือดออกมา
เฮ่อจางมีเฮ่อเหลี่ยนเป็นลูกชายคนเดียว เคยคิดที่จะส่งเขาให้ไปได้มีตำแหน่งสูงส่งตราบเมื่อยังมีชิวิตอยู่ ตอนนี้มีราชโองการออกมาเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าได้ตัดทางเจริญก้าวหน้าของเขาไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่ใดอีกแล้ว
เฮ่อกุ้ยเฟยก็ได้ยินเรื่องนี้แล้วเช่นกัน นางโกรธเป็นฟืนไฟจนโยนของในห้องจนเสียหาย
ครอบครัวของนางคือผู้ที่นางจะพึ่งได้ มหาเสนาบดีก็อายุมากแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ต้องเกษียณกลับไปอยู่บ้านเกิด ถึงเวลานั้นที่พึ่งเดียวของนางและลูกชายคือพี่ชายคนนี้ พระราชโองการที่ออกในวันนี้ก็เท่ากับตัดที่พึ่งของนางนั่นเอง หากไม่มีที่พึ่งในวังกินคน อีกไม่นานนางก็จะโดนเบียดออกไป ถึงเวลานั้นฮ่องเต้ก็คงลืมไปแล้วว่านางเป็นใคร
ความแค้นในใจผุดขึ้นมา แล้วตะโกนด่าออกไปว่า “พวกเจ้ารอข้าก่อนเถอะ แค้นนี้ต้องชำระอย่างสาสม”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่หลินเฉิงก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวอะไร ต่อให้รู้เรื่อง พวกเขาทั้งสองก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี หลังจากที่เมิ่งเสียนได้รับข่าวแล้ว จึงใช้รถม้าที่มีทั้งหมดในบ้าน ที่ยังบรรทุกได้แค่มันฝรั่งเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ให้เหวินหู่และเหวินเป้าพาคนจากสำนักคุ้มกันภัยมาช่วยขนย้ายไป
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ให้ทุกคนนำมันฝรั่งไปวางไว้ตรงที่ว่างที่จางเจ๋อหวยจัดเตรียมไว้ให้ แล้วสอนทุกคนว่าทำอย่างไรถึงจะให้มันฝรั่งแตกหน่อได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนเหวินหู่และเหวินเป้าก็พักไปหนึ่งคืน วันที่สองก็พาทุกคนกลับไปอย่างรีบร้อน ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยยากลำบาก แต่ว่าคนที่มาจากสำนักคุ้มภัยนั้นดีใจเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้ เพิ่งได้ลิ้มรสถึงการทำงานขนส่งก็วันนี้แหละ
เมิ่งเสียนอยู่ต่อที่หลินเฉิง ช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวสอนทุกคนขุดร่องเพื่อปลูกมันฝรั่งก่อน
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ไปช่วยเมิ่งเสียนสอนด้วยเช่นกัน
หลายวันผ่านไป มันฝรั่งส่วนที่สองก็มาถึง ส่วนๆ ที่หนึ่งก็แตกหน่อแล้วเรียบร้อย ชาวบ้านก็เอาต้นกล้ามันฝรั่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวสอนไปปลูก
ส่วนที่หนึ่งผ่านไป ส่วนสองผ่านไป แล้วส่วนที่สามก็มาถึง ส่วนก่อนหน้านี้ที่แตกหน่อเป็นต้นกล้าก็ได้นำไปปลูกแล้วเรียบร้อย เป็นแบบนี้จนผ่านไปครึ่งเดือน มันฝรั่งที่บ้านก็ย้ายมาจนหมดแล้ว อีกทั้งพื้นที่เกินครึ่งของหลินเฉิงก็เต็มไปด้วยมันฝรั่ง
เพียงสิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้ชาวบ้านหลินเฉิงอยู่ได้ไปจนถึงฤดูกาลหน้าแล้ว ความรู้สึกไม่สบายใจของจางเจ๋อหวยก็ค่อยๆ ดีขึ้น
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับวางใจไม่ลง มันฝรั่งของที่บ้านเริ่มผลิดอกออกใบแล้ว แต่ทางนี้เพิ่งจะได้ปลูก ไม่สามารถรู้ได้ว่าจะรอดหรือไม่ นางรู้สึกไม่สบายใจไปหลายวัน จนกระทั่งมันฝรั่งที่ปลูกไปส่วนใหญ่มีต้นกล้าผุดขึ้นมาแล้ว เช่นนี้ถึงจะวางใจได้
ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เมื่อเมิ่งเสียนรู้ว่างานแต่งงานของเมิ่งเชี่ยนโยวถูกกำหนดไว้เป็นเดือนสิบ ก็เลยรีบกลับไปกับเหวินหู่ เหวินเป้า และคนจากสำนักคุ้มภัย ให้คนที่บ้านรีบเตรียมเรื่องงานแต่งงานของเมิ่งเชี่ยนโยวนั่นเอง
เมื่อเห็นว่ามันฝรั่งส่วนใหญ่เติบโตได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนจึงเตรียมตัวกลับเมืองหลวง
ก่อนกลับเมืองหลวงครั้งก่อน ได้รับปากอวี้อวี่เอาไว้วาจะไปนั่งเล่นที่จวนของนาง แต่ว่าเรื่องราวเร่งรัดจนไม่ได้ไป ครั้งนี้มีเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงให้ชิงหลวนเตรียมของขวัญ แล้วไปหานางที่จวนนายอำเภอก่อนที่จะกลับหนึ่งวัน
ขณะนี้ไม่ว่าจะเด็กน้อยสามสี่ขวบไปจนกระทั่งคนแก่อายุหกเจ็ดสิบ ไม่มีใครไม่รู้จักเมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าหน้าที่ประตูของจวนนายอำเภอยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เมื่อเห็นนางมา ต่างก็ทำความเคารพนาง “แม่นางเมิ่ง!”
“ฮูหยินของพวกเจ้าอยู่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม
“อยู่ขอรับ เชิญแม่นางเมิ่งเข้าด้านในเถิด” เจ้าหน้าที่ตอบรับ
ตามเขามาที่ด้านหลังที่ว่าการ ก็เห็นเซี่ยเหอที่มัดผมกำลังเล่นกับเด็กๆ อยู่ เมื่อเห็นข้าราขการพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่ด้านหลัง จึงตะโกนออกมาด้วยความดีใจว่า “แม่นางเมิ่ง!”
อวี้อวี่กำลังนั่งถักเสื้อให้กับเด็กๆ อยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกของเซี่ยเหอ ก็รีบวางงานที่มือทันที แล้วรีบเดินออกมาต้อนรับ พูดด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “แม่นางเมิ่ง มาแล้วหรือ มานั่งด้านในเร็วเข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าด้านใน แล้วนั่งลง
อวี้อวี่สั่งให้ยกชามา แล้วหัวเราะพูดว่า “เมื่อวานหลังจากที่ท่านพี่กลับมา บอกข้าว่ามันฝรั่งปลูกเสร็จหมดแล้ว หลายวันนี้พวกเจ้าเตรียมตัวกลับเมืองหลวง พวกเราก็กำลังรอให้เขาทำธุระเสร็จ แล้วกำลังเตรียมตัวไปหาเจ้าและซื่อจื่อ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมา”
“ครั้งที่แล้วรับปากไว้แล้วว่าจะมา ตอนนั้นรีบกลับเมืองหลวง ไม่มีเวลาเหลือจึงไม่ได้มา วันพรุ่งนี้พวกข้าจะกลับเมืองหลวงแล้ว จึงแวะมาหา” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบกลับไป
เซี่ยเหอพาเด็กๆ สามคนเข้ามา มีเด็กสองคนวิ่งเข้ามาที่อ้อมอกของอวี้อวี่แล้วเรียกว่า “ท่านแม่” ส่วนอีกคนหนึ่งเด็กหน่อยก็อยู่อ้อมอกของเซี่ยเหอ
อวี้อวี่พูดกับเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้าทำความเคารพน้าเมิ่งเสียสิ นางไม่เป็นเพียงเทพธิดาที่มาช่วยเหลือชาวบ้านหลินเฉิงเท่านั้น แต่ว่าเป็นผู้มีพระคุณของแม่และพ่อด้วย”
เด็กๆ เคยได้ยินชื่อของเมิ่งเชี่ยนโยวจากเสียงเล่าลือของผู้ใหญ่มาบ้างแล้ว จึงมองนางด้วยสายตาที่ใสซื่อและประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือ “อย่าพูดเช่นนี้เลย เรื่องในปีนั้น เป็นเพราะพี่ชายของข้าขอร้องเอาไว้ ไม่เกี่ยวกับข้าเลยสักนิด ถ้าหากว่าพวกเจ้าจะขอบคุณ ก็ขอบคุณพี่ชายของข้าเถิด”
เมิ่งเสียนมาเมื่อหลายวันก่อน จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่อยากหาโอกาสเข้าไปขอบคุณเขา แต่ว่าเขายุ่งเหลือเกิน ขนาดเวลาจะสนทนาพูดคุยกันยังไม่มี ทั้งสองคนเลยไม่ได้มีโอกาสนั้น ได้ยินดังนั้น อวี้อวี่จึงพูดว่า “พระคุณของคุณชายเมิ่ง พวกเราสองสามีภรรยายังจำได้ไม่ลืม”
เรื่องผ่านไปแล้วหลายปี เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากจะพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงยิ้มแล้วโบกมือให้กับเด็กๆ ทั้งสามคน
ทั้งสามคนก็ไม่ได้เกรงกลัว เดินมาที่ตรงหน้านาง
ลูบหัวพวกเขาทีละคน เมิ่งเชี่ยนโยวทำสัญญาณบอกให้ชิงหลวนเอาของขวัญที่เตรียมมาให้เด็กๆ ออกมา บอกว่า “นี่เป็นของที่ข้าซื้อมาได้ ก็ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะชอบหรือไม่”
ทั้งสามคนรับของขวัญแล้ว ดีใจเป็นอย่างมาก แล้วตอบกลับไปด้วยความดีใจพร้อมๆ กันว่า “ชอบ! ขอบพระคุณน้าเมิ่งขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลูบหัวพวกเขาทีละคนอีกครั้ง
เซี่ยเหอก็โค้งทำความเคารพนาง “แม่นางเมิ่ง ท่านคุยกับฮูหยินไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะพาเด็กๆ ออกไปเล่น”
พูดจบ ก็กวักมือเรียกให้เด็กๆ กลับไปหาตน แล้วพาทั้งสามคนออกไป
อวี้อวี่ยิ้มแล้วอธิบายว่า “ตอนที่อยู่เสิ่งเฉิง เซี่ยเหอถูกใจกับเจ้าหน้าที่หนุ่มในที่ว่าการ ข้ากับท่านพี่เลยเห็นว่า ให้พวกเขาแต่งงานกัน เด็กน้อยที่อายุที่สุดคนนั้นคือลูกของนาง ตอนนี้เพิ่งจะสามขวบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามว่า “เซี่ยเหอซื่อสัตย์ต่อพวกเจ้าสองสามีภรรยามาก นางกับเจ้าหน้าที่คนนั้นเลยกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของพวกเจ้า เวลามีเรื่องอะไรพวกเจ้าก็เบาใจไปได้มาก”
อวี้อวี่ก็ดีใจเหมือนกัน “อืม จริงด้วย มีเขาทั้งสองคนอยู่ด้วย ทุกวันนี้เรื่องต่างๆ ในจวนล้วนไม่มีอะไรให้ข้าเป็นห่วงเลย” พูดจบ ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ท่าทางเกิดความลังเลขึ้นมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนัน จึงพูดว่า “ถึงแม้ว่าพวกเราไม่ใช่เพื่อนเก่าแก่กันมาก่อน แต่ถ้าหากว่าเจ้ามีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ล่ะก็ให้บอกข้า เผื่อช่วยอะไรได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี้อวี่หายไป มองไปที่ชิงหลวน
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจ จึงสั่งว่า “ชิงหลวน เจ้าออกไปรอข้าด้านนอกก่อน”
ชิงหลวนตอบรับ แล้วเดินออกไป
อวี้อวี่เดินมาอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ แล้วทำท่าบอกให้เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มชา
เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยน้ำชาขึ้น จิบไปหนึ่งที แล้ววางลง มองไปที่นาง
อวี้อวี่ถึงถอนหายใจออกมา บอกว่า “เรื่องนี้ข้าก็บอกได้แต่กับแม่นางเมิ่งเท่านั้น คนอื่นช่วยข้าไม่ได้จริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่นางไม่พูดอะไร
อวี้อวี่พูดต่อ “แม่นางเมิ่งรู้ว่าปีนั้นข้ากับสามีหนีมา มีเพียงตั๋วเงินที่เจ้าให้สองสามร้อยตำลึงเท่านั้น พวกเรามุ่งหน้าไปที่เมืองหลวง ต่อมาสามีสอบได้ ถูกส่งไปที่เสิ่งเฉิง ส่วนข้าตอนนั้นก็กำลังท้องอยู่ รอคลอดลูกเสร็จ พอรักษาตัวแล้ว ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี ข้าอยากส่งจดหมายถึงท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายของข้า บอกกับพวกเขาว่าข้าสบายดี แต่ว่าข้าไม่กล้า กลัวว่าหากพวกเขาโกรธ ก็จะรุดมาที่เสิ่งเฉิง แล้วจะกระทบต่อหน้าที่การงานของท่านพี่ เมื่อครุ่นคิดดู จึงอดใจไว้ไม่ส่งจดหมายกลับไป หลายปีมานี้ จนกระทั่งตอนนี้ ยิ่งไม่กล้าคิดติดต่อกับที่บ้านเลย ตอนที่หลินเฉิงยังไม่ประสบภัย ข้าได้ส่งคนไปสืบดูที่หมู่บ้านแล้ว เห็นว่าพ่อแม่ของข้าแก่ตัวลงมาก ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนไปทั้งหัวแล้ว ข้าอดใจไม่ไหวร้องไห้ไปตั้งหลายวัน…”
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปดูเสียหน่อยเถิด” นางยังพูดไม่ทันจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดตัดบททันที
อวี้อวี่ชะงักไป อ้าปากค้างมองไปที่นาง คิดไม่ถึงว่าวิธีที่นางจะให้นั้นจะง่ายดายขนาดนี้
“เจ้าเป็นลูกของพวกเขา ไม่ว่าจะทำเรื่องผิดพลาดสักแค่ไหน พวกเขาก็ให้อภัยได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ใต้เท้าจางก็เป็นถึงนายอำเภอ นี่ก็เป็นการทดแทนที่เขาหนีออกมาในตอนนั้นได้แล้ว พ่อแม่ของท่านต้องอภัยเจ้าอย่างแน่นอน”
“แต่ แต่ว่า…” อวี้อวี่เอาแต่อ้ำอึ้งไม่พูดอะไร
“ไม่มีแต่ พวกเจ้าทำผิดพลาดไป คนที่ได้รับบทลงโทษนั้นคือพ่อแม่ต่างหาก หลายปีมานี้ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นห่วงมากเท่าใด ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ขาวตั้งแต่ยังอายุเท่านี้หรอก ตอนนี้สิ่งที่ควรทำก็คือ เก็บข้าวของ แล้วกลับบ้านในวันพรุ่งนี้”
อวี้อวี่ซาบซึ้งในทันใด ตาเป็นประกาย ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปเดินมาในห้องไม่หยุด พูดเบาๆ ว่า “ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้นะ ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้นะ” เมื่อพูดจบ ก็ทำเหมือนเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้อยู่ในห้องอย่างใดอย่างนั้น เดินไปที่ประตู แล้วเปิดม่านประตูออก ตะโกนเรียก “เซี่ยเหอ เจ้ามานี่หน่อย”
เซี่ยเหอรีบวิ่งมา ถามอย่างรีบรนว่า “ฮูหยิน มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“เจ้ารีบไปเก็บของ พรุ่งนี้เราจะกลับตำบลชิงซี เยี่ยมท่านพ่อกับท่านแม่” อวี้อวี่สั่งอย่างรีบรน
เซี่ยเหอยืนอยู่กับที่ ชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง
เห็นนางไม่เข้าใจ อวี้อวี่รีบร้อนเร่งนาง “เร็วเข้าสิ!”
เซี่ยเหอถึงได้รู้สึกตัว แล้วตอบรับด้วยน้ำเสียงดีใจ “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ก็ไม่ได้สนใจเด็กทั้งสามคนแล้ว วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามคนก็รู้สึกสนุกด้วย หัวเราะวิ่งตามไปด้วย
อวี้อวี่ก็ไม่ได้เรียกให้พวกเขาหยุด ยิ้มแก้มปริมองพวกเขาวิ่งออกไป ถึงหันหลังกลับมา แล้วพูดด้วยสีหน้าที่ปลื้มปริ่มใจ “แม่นางเมิ่ง ขอบคุณมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วลุกขึ้น “เจ้ามีความคิดที่จะกลับไป แต่ว่าต้องการคนที่มาสนับสนุนความคิดของเจ้าก็เท่านั้นเอง และคนนั้นก็คือข้านี่เอง ไม่ต้องขอบคุณหรอก ไม่เป็นไรเสียหน่อย ข้าก็ควรกลับไปได้แล้ว วันพรุ่งนี้ข้าต้องกลับเมืองหลวงแต่เช้า”
อวี้อวี่พยักหน้า ไม่ได้ดึงดันให้อยู่ต่อ แล้วออกมาส่งนางด้วยตนเอง มองนางที่ขึ้นรถม้าห่างออกไปแล้ว ถึงจะเดินหันหลังกลับเข้าไปยังที่ว่าการ
กลับไปที่ห้อง หวงฝู่อี้เซวียนได้สั่งคนให้เก็บของเรียบร้อยแล้ว นั่งรอนางกลับมาอยู่ในห้อง
ทั้งสองคนปรึกษากัน ตัดสินใจทำเหมือนครั้งที่แล้ว ก็คือออกจากเมืองอย่างเงียบๆ ในตอนเช้า
ตอนกลางคืนเข้านอนเร็วกว่าปกติ วันรุ่งขึ้นทั้งสองตื่นแต่เช้า กินข้าวเช้าเล็กน้อย กัวเฟยและทุกคนจัดเตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวและทุกคนก็นั่งบนรถม้าของแต่ละคน แล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองอย่างเงียบๆ
คิดไม่ถึงเลยว่า ตอนที่พวกเขามาถึงที่ประตูเมือง ประตูเมืองเปิดแล้ว ที่หน้าประตูเมืองรายล้อมไปด้วยชาวบ้านที่มาส่ง
กัวเฟยเห็นเช่นนั้น จึงหยุดรถม้า แล้วตะโกนเรียกด้วยความซาบซึ้งว่า “นายหญิง ท่านลงมาดูเร็วเข้า!”
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดม่านออก หยุดชะงัก
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นหัวออกมาดู เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน
นายอำเภอจางเจ๋อหวยยืนอยู่ที่ประตู แล้วเป็นผู้นำทุกคนคุกเข่าลง “นายอำเภอเขตหลินเฉิงจางเจ๋อหวยได้นำชาวบ้านมาคำนับซื่อจื่อและแม่นางเมิ่ง ขอขอบพระคุณซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งที่มีพระคุณช่วยเหลือพวกเราชาวหลินเฉิงเอาไว้”
หวงฝู่อี้เซวียนกระโดดลงมาจากรถม้า แล้วเดินไปที่ตรงหน้าจางเจ๋อหวยอย่างรวดเร็ว พยุงเขาขึ้นมาด้วยตนเอง “นายอำเภอจาง ลุกขึ้นเร็วเข้าเถิด” พูดจบ ก็ยื่นมือออกไป “ทุกคนก็ลุกขึ้นด้วย”
ทุกคนลุกขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลงจากม้าด้วย เดินมาที่ข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียน
มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังจางเจ๋อหวย มีลูกหลานคอยพยุงอยู่ ค่อยๆ เดินมาที่ด้านหน้า บอกว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ข้าขออาศัยความอาวุโสนี้เป็นตัวแทนพูดแทนชาวเมืองหลินเฉิงเสียหน่อย ท่านทั้งสองคนไม่เพียงแต่จัดการโรคระบาดให้กับหลินเฉิง แถมยังมอบเส้นทางทำมาหากินให้พวกเราอยู่รอดอีกด้วย เปรียบเสมือนเป็นพ่อแม่ของชาวบ้านเมืองนี้ก็ว่าได้ พระคุณและคุณธรรมอันล้ำเลิศของพวกท่าน พวกเราชาวหลินเฉิงจะไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน”
ตอนที่ 205-1 แก้แค้น
“ท่านผู้เฒ่า ท่านอย่าพูดเช่นนี้เลย ทุกคนไม่จำเป็นต้องขอบคุณ เรื่องบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่พวกเราจะต้องรับผิดชอบ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
“ซื่อจื่อช่างมีเมตตา ครั้งก่อนที่ท่านและแม่นางเมิ่งจะออกเดินทาง พวกเราชาวบ้านหลินเฉิงก็อยากมาส่ง คิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะออกไปแล้ว ครั้งนี้พวกเรากลัวว่าพวกท่านจะเร่งรุดเดินทางอีก พอเที่ยงคืนพวกเราก็เริ่มมารอกันตรงนี้ เพื่อที่จะมาส่งผู้มีพระคุณของพวกเรา” ผู้อาวุโสพูด
หวงฝู่อี้เซวียนประสานมือขอบคุณ พูดเสียงดังว่า “ขอบคุณมาก ความรักและความห่วงใยของพวกท่าน ข้าและโยวเอ๋อร์จะจดจำไว้”
ผู้อาวุโสพูดอีกว่า “ซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้ ซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งมีบุญคุณต่อพวกเรามาก พวกเราไม่ได้มีข้าวของมามอบให้พวกท่านในวันนี้ มีเพียงใจที่เคารพรักท่านทั้งสอง”
ผู้คนด้านหลังต่างพากันคล้อยตาม สถานการณ์เสียการควบคุมไปชั่วขณะ
กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น จางเจ๋อหวยจึงพูดเสียงดังขึ้นมาทันที “ทุกท่าน เมืองหลวงอยู่ไกล พวกเราอย่าทำให้ซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งเสียเวลาการเดินทางเลย หลบทางให้พวกเขาผ่านไปเถอะ”
พอได้ยินคำพูดนั้น คนที่ล้อมอยู่ด้านหน้าหลบทางให้ คนด้านหลังถึงแม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็หลบทางให้
หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกนอกประตูเมืองไปแล้ว ถึงจะหันกลับมาประสานมือขอบคุณผู้คนแล้วพูดว่า “ทุกคนกลับบ้านไปเถิด รอให้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง พวกเราจะกลับมาอีก”
กัวเฟยนำรถม้ามาอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง
ท่ามกลางเสียงบอกลาของผู้คน ทั้งสองขึ้นรถม้ามุ่งไปยังเมืองหลวง
จางเจ๋อหวยและผู้คนทั้งหมดมองตามหลังพวกเขาจนมองไม่เห็นเงารถมาแล้ว ถึงกลับเข้าเมือง
สามวันต่อมา เมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไปรายงานผลการปฏิบัติงานต่อฮ่องเต้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับไปพักผ่อนที่จวนในหนานเฉิง
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินว่ามันฝรั่งปลูกเสร็จแล้ว สามเดือนผ่านไปก็เก็บเกี่ยวได้ ฮ่องเต้ดีพระทัยมากตรัสว่า “เซวียนเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว กลับจวนไปพักผ่อนเถอะ ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ลุงคงไม่สั่งให้เจ้าทำงานอะไรแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขอบคุณแล้วกลับจวน
พระชายาฉีเห็นเขากลับมาก็ดีใจ สั่งให้ห้องครัวทำอาหารอร่อยๆ มากมาย นั่งดูเขากินอยู่ข้างๆ “วันแต่งงานของเจ้ากับโยวเอ๋อร์ได้กำหนดขึ้นแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ได้ทำอะไร ก็เริ่มเตรียมงานเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างดีใจ “ขอรับเสด็จแม่”
พักไปหนึ่งวันเต็มๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปสำรวจพื้นที่หนึ่งพันห้าร้อยหมู่ด้านนอกเป่ยเฉิง เพราะว่าเป็นพื้นที่นอกเป่ยเฉิง เนื้อดินไม่สมบูรณ์นัก ไม่ถือว่าเป็นนาที่ดี แต่ก็ดีกว่าผืนนาที่แห้งแล้งเล็กน้อย ยังต้องใช้คนจำนวนมากมาบุกเบิกที่ดินปรับที่ดินให้เรียบเพื่อทำการเพาะปลูก
นางตัดสินใจลงมืออย่างรวดเร็ว กลับไปหาเปาชิงเหอในเมือง บอกเขาว่านางจะจ้างคนปรับที่ดินหนึ่งพันห้าร้อยหมู่นั้นให้เรียบ
เปาชิงเหอดีใจมาก รีบสั่งคนให้ไปแปะประกาศ บอกผู้คนว่ารับคนงานอายุต่ำสุดสิบห้าปี อายุสูงสุดถึงห้าสิบปี ขอเพียงร่างกายแข็งแรง ไม่ว่าจะชายหญิง คนแก่หรือเด็ก ก็ล้วนมาสมัครได้
ครั้งนี้ชาวเป่ยเฉิงดูคึกคักจริงๆ มาสมัครกันเกือบทุกบ้าน ต่อแถวยาวเป็นสิบกว่าแถวหน้าประตูศาลาว่าการอย่างเป็นระเบียบด้วยความดีใจเพื่อรอสมัคร
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งงานที่พวกเขาต้องทำ ยิ้มแล้วพูดกับผู้บัญชาการโต้วว่า “ครั้งนี้ข้ารับสมัครคนงานจำนวนมาก เกรงว่าจะควบคุมยาก ข้าอยากจะปรึกษากับผู้บัญชาการโต้วหน่อย ท่านสามารถส่งคนไปควบคุมได้หรือไม่ ส่วนค่าจ้าง เนื่องจากอยู่นอกเมือง ระยะทางห่างจากในเมืองค่อนข้างไกล เหล่าทหารเดินทางไปกลับค่อนข้างลำบาก ให้ค่าจ้างวันละหนึ่งร้อยอีแปะ ยังเพิ่มมื้อกลางวันให้อีกหนึ่งมื้อ”
นี่ถือเป็นเรื่องดีจากสวรรค์ ถึงแม้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ให้ค่าจ้าง ผู้บัญชาการโต้วก็ต้องส่งคนไปอยู่แล้ว
ทหารที่ตามมารักษาความเป็นระเบียบได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว ดีใจจนตาลุกวาว รอดูผู้บัญชาการโต้ว เงินเดือนของพลทหารชั้นผู้น้อยเหล่านี้ได้รับเงินเดือนเพียงสองตำลึงเท่านั้น แต่ค่าจ้างที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้นี้เดือนๆ หนึ่งได้ถึงสามตำลึง เยอะกว่าเงินเดือนพวกเขาอีก พวกเขาจะไม่อยากไปทำได้อย่างไร
ผู้บัญชาการโต้วก็เข้าใจเหล่าทหาร แต่ต้องมีคนอยู่เฝ้าโรงงาน ถ้าหากว่าจะทำเพราะเห็นแก่เงินค่าจ้าง แล้วนำทหารทั้งหมดไป หากโรงงานเกิดเรื่องอะไรขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนต้องเอาชีวิตเขาเป็นแน่
คิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ แบ่งทหารที่มาเป่ยเฉิงก่อนสิบคนเป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วเรียงลำดับ ทุกวันต้องมีกลุ่มหนึ่งอยู่ตรวจตราโรงงาน ที่เหลือก็ออกนอกเมืองไปดูความเป็นระเบียบเรียบร้อย วันแรกเริ่มจากกลุ่มที่หนึ่ง แล้วเรียงลำดับตามหมายกลุ่มสอง กลุ่มสาม หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ
เช่นนี้ยุติธรรมดี ทุกคนมีโอกาสได้ออกไปหาเงิน เหล่าทหารไม่ได้มีความคิดเห็นอะไร ทุกคนต่างดีใจกันมาก
การรับสมัครคนงานที่ครึกครื้นต่อเนื่องมาสามวัน ทั้งเป่ยเฉิง ยกเว้นคนแก่และเด็กที่อายุไม่ผ่านเกณฑ์ แทบจะออกไปทำงานนอกเมืองกันทุกคน ถนนใหญ่ที่ครึกครื้นในเมื่อก่อน มาวันนี้กลับเงียบสนิท บางทีอาจมีสุนัขหรือแมวเดินผ่าน นอกจากนั้นก็ไม่มีร่องรอยอะไรแล้ว
ณ ตอนนี้ไม่มีใครดีใจไปกว่าเปาชิงเหอแล้ว ถึงอย่างไรเกือบทุกบ้านก็ไม่มีคนอยู่ ไม่มีใครก่อเรื่อง เขาก็ไม่นั่งอยู่ที่ศาลาว่าการ พาที่ปรึกษาและเหล่าข้าราชการออกนอกเมืองไปช่วยงานบุกเบิกที่ดิน
เป็นธรรมดาที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่ปฏิบัติต่อเหล่าข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม เงินเดือนก็ให้เท่ากับทหารตรวจตราเมืองเหล่านั้น
และแผลที่ขาของเปาอี้ฝานก็หายดีแล้ว เพียงแต่ยังเดินกะเผลกๆ ก็มาช่วยด้วย เด็กเล็กๆ ที่ออกมานอกเมืองครั้งแรก เห็นคนมากมายกำลังทำงานด้วยกัน วิ่งเล่นไปมาในนาด้วยความดีใจ
คนที่ไม่พอใจที่สุดก็คือหยาผอ
ที่หยาผอไม่พอใจเพราะตอนนี้ไม่มีคนขายลูกชายลูกสาวให้ นางไม่มีคนใหม่ๆ เข้าไป การค้าเป็นไปอย่างยากลำบาก แย่ขึ้นทุกวัน ยืนอยู่หน้าบ้านทุกวัน มองถนนที่ไม่มีคนแล้วถอนใจยาว ตัวเองเป็นหยาผอมาทั้งชีวิต ใกล้จะแก่แล้ว ความสามารถที่ติดตัวมาก็ไม่มีประโยชน์
ยิ่งมีคนที่ไม่พอใจอีกก็คือหวงฝู่อี้เซวียน ก่อนหน้านี้ทำเพื่อให้ฮ่องเต้เห็นชอบในการแต่งงานของเขากับเมิ่งเชี่ยนโยว จึงออกไปปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่อง ไม่เจอหน้าเป็นเวลาครึ่งเดือนก็เป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้เขาว่างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยุ่งเสียจนหน้าก็ไม่โผล่มาให้เห็น
คนในบ้าน นอกจากชิงหลวนและกัวเฟย คนที่เหลือ รวมทั้งคนงานที่ร้านแป้งมันเหล่านั้นก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ไปนอกเมืองกันหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมิ่งอี้ ยุ่งยิ่งกว่าตอนที่อยู่ร้านแป้งมันอีก
ใช้เวลาไปทั้งหมดสิบกว่าวันเต็มๆ ถึงจะจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะว่าง
ในที่สุดหวงฝู่อี้เซวียนก็เจอตัวนาง ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด หลังจากกินข้าวเย็นที่จวนของเมิ่งเชี่ยนโยวเสร็จ ก็จูงนางเข้าห้อง จนถึงกลางวันของวันถัดมา ถึงได้ออกมาอย่างหน้าตาอิ่มเอิบ
วันแต่งงานของทั้งสองถูกกำหนดขึ้นแล้ว ชิงหลวนและจูหลีก็ไม่พูดห้ามเมิ่งเชี่ยนแล้ว พวกเขาอยากทำอะไรก็ตามใจพวกเขา
เรื่องทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่น ราบรื่นเสียจนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวลืมไปว่ายังมีคนที่คิดไม่ดีต่อพวกเขาอยู่
คืนนี้ก็เป็นปกติเหมือนเคย หวงฝู่อี้เซวียนขี้เกียจออกไปไหน หลังจากที่กินข้าวเย็นเสร็จก็จูงมือเมิ่งเชี่ยนโยวกลับห้อง มีคนมารายงานที่หน้าประตูอย่างรีบร้อน “นายหญิง ด้านนอกมีเด็กรับใช้ของจวนเหวินมา บอกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฮูหยินของพวกเขาแล้ว เถ้าแก่เหวินสั่งให้เขามาเชิญให้ท่านรีบไปขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหนักใจ ระหว่างทางไปหลินเฉิง นางและเหวินซื่อเจอเหวินเอ้อร์ดักฆ่า ตอนนั้นถึงแม้ว่าเหวินซื่อจะเสื้อผ้าขาดไปบ้าง แต่ตัวคนไม่ได้เป็นอะไร ในตอนนั้นหวงฝู่อี้เซวียนยังไม่รู้เรื่องอะไร เขาก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรมาก ต่อมาก็ไปยุ่งกับเรื่องที่นาในหลินเฉิงและเป่ยเฉิง จนลืมเรื่องนี้ไปเสีย
เป็นเพราะว่าเหวินซื่อส่งยาได้ทันเวลา โรคระบาดที่หลินเฉิงถึงได้ยับยั้งไว้ทัน แต่ทำไมเฮ่อเหลี่ยนที่ถูกปลดจากตำแหน่งถึงได้ปล่อยเหวินซื่อไป อีกทั้งวันนั้นที่โดนเหวินเอ้อร์สกัดไว้ ฟังที่เขาพูดน่าจะเกี่ยวข้องกับเฮ่อเหลียน เช่นนั้น……
นางไม่กล้าคิดต่อ ในใจหนาวสั่น ออกคำสั่งทันที “จูงม้ามาให้ข้า รีบไปจวนเหวิน!”
ชิงหลวนและจูหลีขานรับแล้วรีบไปหลังจวน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงประตูจวนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เด็กรับใช้ของจวนเหวินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ทำความเคารพนางแล้วรีบพูดว่า “แม่นางเมิ่ง ฮูหยินของข้า……”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกเขา “ฮูหยินของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบ เถ้าแก่ของพวกเราดูสีหน้าซีดเซียว กระวนกระวายใจนักขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวสงบลง “รู้แล้ว ข้าจะรีบไป”
พูดจบ ม้าถูกจูงมา ทั้งสองรีบขึ้นม้า ตีม้าให้วิ่งไปทางจวนเหวิน
ชิงหลวน จูหลีและกัวเฟยตามอยู่ข้างหลัง
ฟ้ามืดแล้ว บนทางไม่คนสัญจร ม้าของพวกเขาวิ่งเร็วขึ้น คาดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเลี้ยวมาโค้งหนึ่ง ทันใดนั้นตรงหน้าก็มีคนแก่คนหนึ่งจูงมือเด็กคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า เห็นม้าสองตัววิ่งมาด้วยความเร็ว ร้องตกใจเสียงหลง อ้ากกก
คนแก่ก็อุ้มเด็กไว้ในอ้อมอก ใช้ร่างกายของตนเองบังเขาไว้
หวาดเสียวยิ่งนัก ถึงแม้ว่าจะดึงบังเ**ยนเพื่อหยุดม้าก็พุ่งชนทั้งสองคนอยู่ดี ในขณะเดียวกันหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็กระโดดลงจากหลังม้า รุดไปข้างหน้าของทั้งสองคน แล้วผลักคนแก่และเด็กไปด้านข้าง แต่ม้าที่วิ่งม้าด้วยความเร็วมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ทั้งสองคนอยากจะหลบ ก็ไม่ทันแล้ว
“นายหญิง!”
“นายหญิง!”
“นายหญิง!”
ทั้งสามคนที่ตามหลังมาติดๆ ก็ตกใจกับอุบัติเหตุนี้ ในขณะเดียวกันก็ร้องตะโกนเสียงหลง
ภายใต้ความวิตกกังวล หวงฝู่อี้เซวียนรวบรวมกำลังภายพุ่งไปทางม้า
ม้าโชคร้ายเสียแล้ว ตัวมันโอนเอียง ส่งเสียงร้อง ชนกับม้าอีกตัวที่วิ่งมาด้วยความเร็ว ม้าทั้งสองตัวชนกัน ล้มลงไปข้างๆ
กัวเฟยและอีกสองคนก็กระโดดลงมาจากหลังม้า อยากดูว่าทั้งสองได้รับบาดเจ็บหรือไม่
ตอนที่ 205-2 แก้แค้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปด้านหน้าของคนแก่และเด็กที่ถูกผลักล้มไปด้านข้าง รีบประคองพวกเขาขึ้น “พวกท่านไม่เป็นอะไร……”
ทันใด มีดที่แวววาวจ่ออยู่ที่คอหอยของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว
“นายหญิง!”
“โยวเอ๋อร์!”
เสียงที่ตกใจของทั้งสี่คนตะโกนขึ้นพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวโค้งตัวถอยหลังหลบมีดที่จ่ออยู่ตรงคอ แต่มีดแบบเดียวกันอีกเล่มโจมตีไปที่ช่วงล่างของนาง โค้งตัวถอยไปด้านหลัง เอียงตัวหลบอันตรายเล็กน้อย มีดเล่มนั้นปักอยู่ที่ต้นขาของนาง แต่ปลายมีดอีกข้างอยู่ที่มือเด็ก
ร่างทั้งสี่กระโดดมาพร้อมกัน สามคนพุ่งไปด้านหน้าของคนที่ปลอมตัวเป็นคนแก่และเด็ก และหวงฝู่อี้เซวียนก็พุ่งไปรับเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินโซเซ มองมีดที่แทงตรงต้นขานาง พูดอย่างจริงจัง “เจ้าต้องปลอดภัย”
ผู้ติดตามทั้งสามโกรธมาก อารมณ์ดุดันขึ้นมา ราวกับเลียนแบบวิธีของสองคนนั้นอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งสองคนรับมือการต่อสู้ไม่หยุด ถอยหลังอย่างต่อเนื่อง แต่ภายในไม่กี่กระบวนท่าหลังจากนั้น สองคนนั้นถูกทั้งสามคนโจมตีจนกระดูกขาหัก ขยับตัวไม่ได้
ดาบของชิงหลวนและจูหลีจี้อยู่ที่คอของพวกเขา “บอกมา ใครเป็นคนสั่งพวกเจ้า……”
ยังไม่ทันจบคำถาม ร่างกายของพวกเขาก็อ่อนแรง กระอักเลือดดำออกมาแล้วกองอยู่ที่พื้น
ชิงหลวนย่อเข่าลง ยื่นมือไปที่ใต้จมูกของพวกเขา ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “นายหญิง พวกเขาตายแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปยังม้าที่ชิงหลวนขี่มา ควบคุมความโกรธแล้วออกคำสั่ง “ตรวจดู ขอเพียงหาเบาะแสให้เจอ ไม่ว่าเป็นใครข้าก็ไม่เว้น”
เขาอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วกระโจนขึ้นบนหลังม้า หันหัวม้าไปทางไปจวนอ๋องฉี
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้จุดประสงค์ของเขา จึงรีบขัดเขาไว้ “ไปจวนเหวิน!”
“พวกเราต้องรีบดึงมีดที่ปักอยู่ที่ขาเจ้าออก มิฉะนั้นเจ้าจะเป็นอันตราย” หวงฝู่อี้เซวียนไม่เห็นด้วย สะบัดเชือก จะกลับจวนอ๋อง
“บาดแผลของข้า ข้ารู้ดี ไม่ได้เป็นอะไรมาก รีบไปจวนเหวิน ถ้าช้ากว่านี้ ซ้ออาจจะเป็นอะไรไปได้” ในน้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความร้อนใจและขอร้องอยู่
เกิดเรื่องใหญ่กับเฝิงจิ้งเหวิน ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกในท้องของนางอยู่แล้ว ในตอนแรกเมิ่งเชี่ยนโยวเสียแรงไปมาก ถึงจะรักษาร่างกายของนางให้ดีได้ ถ้าหากว่าครั้งนี้เกิดเรื่องอะไรอีก รักษาลูกไว้ไม่ได้ เช่นนั้นหลังจากนี้……
เห็นเขาไม่ส่งเสียง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่ “แผลเล็กแค่นี้ หลังจากไปถึงจวนเหวินแล้ว พันแผลเสร็จก็ไม่เป็นอะไรแล้ว เร็วเข้า หากสายไปกว่านี้ ซ้อเป็นอะไรขึ้นมาจะยุ่งกว่าเดิม”
ก็จริง ที่จวนเหวินไม่ว่าจะยาอะไรก็มีทั้งนั้น ไม่ต่างจากจวนอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้นตรงนี้ห่างจากจวนเหวินอีกไม่ไกล หวงฝู่อี้เซวียนไม่รั้นต่อ รีบกลับหัวม้าอีกครั้ง มุ่งหน้าไปจวนเหวินอย่างรวดเร็ว
ชิงหลวนและจูหลีกระโดดขึ้นม้าตัวเดียวกันแล้วตามไป
กัวเฟยอยู่ที่เดิม พลิกศพทั้งสอง ไม่พบเบาะแสอะไร
เมื่อถึงหน้าจวนเหวิน หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดลงจากม้า รีบเดินเข้าไปในจวน
คนเฝ้าประตูเห็นว่าเป็นพวกเขา แล้วมองที่มีดที่แวววับที่ปักอยู่ตรงต้นขาของเมิ่งเชี่ยนโยว ถึงกับตกใจ “แม่นางเมิ่ง ท่าน……”
“นำทางไป ไปที่เรือนเถ้าแก่ของพวกเจ้า” หวงฝู่อี้เซวียนพูดแทรกเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
คนเฝ้าประตูรู้สึกเสียวสันหลัง รีบหุบปาก วิ่งเหยาะๆ นำหน้าไปถึงเรือนของเหวินซื่อ
ในเรือนมีเสียงร้องครวญครางเจ็บปวดดังออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยตัวเองลง
มองนางที่โดนมีดปักขา เลือดไหลออกมาไม่หยุด เลือดแดงชุ่มไปครึ่งขาแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนยอมที่ไหนกัน ตะโกนเสียงดัง “เหวินซื่อ เจ้าออกมาหน่อย”
เหวินซื่อที่อยู่ในจวนมองดูเฝิงจิ้งเหวินที่ท่าทางเจ็บปวด เขาปวดใจราวกับโดนมีดแทง ได้ยินที่หวงฝู่อี้เซวียนเรียก ก็รีบวิ่งออกมา ยังไม่ทันได้สังเกตใคร ก็พูดเสียงดัง “ทำไมพวกเจ้าชักช้าอย่างนี้ เหวินเอ๋อร์จะ……” พอเห็นมีดที่ปักอยู่ที่ขาของเมิ่งเชี่ยนโยว ตกใจจนตาโต “เจ้าเป็นอะไร”
ได้ยินเสียงร้องครวญครางที่เจ็บปวดของเฝิงจิ้งเหวิน เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวร้อนรนกว่าเขาอีก “ข้าไม่เป็นไร รีบมาประคองข้าเข้าไปในเรือน”
นี่เป็นห้องนอนของเฝิงจิ้งเหวิน แล้วก็ไม่รู้ว่าข้างในเป็นอย่างไรบ้าง หวงฝู่อี้เซวียนเป็นผู้ชายที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง ไม่ควรเข้าไปอย่างยิ่ง
เหวินซื่อขานรับ รีบเข้ามาประคองนาง หวงฝู่อี้เซวียนที่อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ ไม่ยอมให้เขาสัมผัสเมิ่งเชี่ยนโยว ออกคำสั่งว่า “ชิงหลวน มานี่”
ชิงหลวนมาข้างหน้า รับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วอุ้มเข้าไปในห้อง ภายใต้การส่งสัญญาณของนาง มาถึงด้านหน้าหน้าต่างของเฝิงจิ้งเหวิน
เฝิงจิ้งเหวินสีหน้าซีดเซียว เหงื่อท่วมตัว มือทั้งสองข้างกุมอยู่ที่ท้องของตนเอง ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความสิ้นหวัง พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมา ดวงตาที่สิ้นหวังคู่นั้นก็เปล่งประกายขึ้นมา ยื่นมือมาจับที่ชายเสื้อของนาง ขอร้องด้วยความน่าสงสาร “น้องโยวเอ๋อร์ รีบช่วยชีวิตลูกข้าเถอะ”
“วางข้าลงบนเก้าอี้” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
ชิงหลวนวางนางลงนั่งที่เก้าอี้หน้าเตียงอย่างระมัดระวัง มองขาของนางที่เลือดไหลไม่หยุดด้วยความเป็นห่วง
เมิ่งเชี่ยนโยวราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ใช้นิ้วคลำชีพจรของเฝิงจิ้งเหวิน
เฝิงจิ้งเหวินพยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องเพราะความเจ็บปวด
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว
เฝิงจิ้งเหวินสงบจิตใจลง ถามด้วยเสียงหอบ “น้องโยวเอ๋อร์…… ลูกของข้ายังอยู่ไหม”
เมิ่งเชี่ยโยวไม่ได้พูดอะไร เอามืออีกข้างของนางมาจับชีพจร
เฝิงจิ้งเหวินหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง น้ำตาไหลออกมาจากหางตาไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยววางแขนของนางไว้ที่เดิม แล้วหันกลับมาพูดกลับเหวินซื่อว่า “ข้าพูด เจ้าจด สั่งให้คนรีบไปเอายามาโดยเร็ว”
“อืม ได้!” เหวินซื่อจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอได้ยินก็รีบไปยืนที่หน้าโต๊ะแล้วหยิบพู่กัน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด เขาเขียน จดรายชื่อยาเสร็จก็หยิบแล้ววิ่งออกไป “ข้าจะไปเอายามาด้วยตัวเอง” พูดจบ เขาก็ออกนอกประตูไปแล้ว
ชิงหลวนอยากจะวิ่งตามไปแล้วจับเขากลับมาจริงๆ เจ้านายของพวกเรายังมีมีดปักอยู่ที่ข้าอยู่เลย แทนที่จะไปเอายาห้ามเลือดและผ้าพันแผลมาก่อน แต่กลับไม่สนใจวิ่งออกไปเอายา…
นางยังคิดไม่เสร็จ เหวินซื่อก็พุ่งเข้ามาใหม่ โยนขวดยาไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว “นี่คือยาห้ามเลือด เจ้าดึงมีดออกมาก่อน ส่วนผ้าพันแผล อีกสักครู่ข้าจะไปเอามาให้” พูดจบ เจ้าตัวก็หายไปแล้ว
มียาห้ามเลือดแล้ว การดึงมีดออกนั้นง่ายนิดเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ชิงหลวนคุกเข่าลง ถกกระโปรงขึ้น ฉีกผ้ารอบๆ บาดแผลออก จับที่ด้ามมีด
เฝิงจิ้งเหวินได้ยินคำพูดของเหวินซื่อ ถึงรู้ว่าขาของเมิ่งเชี่ยนโยวถูกมีดแทง เลือดไหลออกมาไม่หยุด เต็มพื้นไปหมด พลั้งปากถามออกมาด้วยความตกใจ “น้องโยวเอ๋อร์ นี่เจ้า……”
ชิงหลวนดึงมีดออกอย่างเร็ว เลือดพุ่งกระฉูด
เฝิงจิ้นเหวินหน้าซีดขึ้นอีก สาวใช้ที่คอยรับใช้ในห้องนั้นตกใจร้อง กรี้ดด ออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเอายาห้ามเลือดใส่แผล ลิ่มเลือดหายไป เลือดหยุดไหลทันที
ชิงหลวนโล่งอก หยิบขวดยาในมือนาง เทยาห้ามเลือดทั้งหมดใส่บนแผล แล้วสั่งให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ นำเอาเก้าอี้มาตัวหนึ่ง เอาขาข้างที่บาดเจ็บวางไว้บนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง
หวงฝู่อี้เซวียนที่รออยู่ด้านนอกได้ยินเสียงร้องของสาวใช้ในห้อง อีกนิดเดียวก็ทนไม่ไหวพุ่งเข้ามาในห้องแล้ว ถามด้วยน้ำเสียงสั่นอย่างเร็วว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร ชิงหลวนช่วยดึงมีดออก ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
ริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยวซีดขาว แต่กลับทำเป็นไม่เป็นอะไรแล้วพูดกับคนด้านนอกด้วยน้ำเสียงสงบ
ได้ยินเสียงนางไม่เป็นอะไร หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังเป็นกังวลใจอยู่ ถามเสียงดังขึ้นว่า “กลับได้หรือยัง”
“รอให้เหวินซื่อเอายากลับมา แล้วให้พี่สะใภ้ดื่ม ดูอาการแล้วค่อยว่ากัน” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องรอให้เฝิงจิ้งเหวินไม่เป็นอะไรก่อนถึงค่อยกลับได้ แต่ว่าตอนนี้เขาไม่เห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างไรบ้าง จึงร้อนใจ เรียงลำดับความสำคัญมั่วไปหมด ถึงได้ถามออกมาเช่นนี้
เหวินซื่อไวมาก ไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถือถุงยากลับมา พอเข้าประตูไปก็สั่งบ่าวรับใช้ “เอาไปต้ม!”
บ่าวรับใช้ขานรับ ตอนที่กำลังจะรับถุงยา เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นว่า “เจ้าไปเฝ้าด้วย!”
เหวินซื่อนิ่งไป ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าเพราะอะไร ชั่วพริบตาเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนไปไม่สู้ดีนัก แผ่ความอำมหิตออกไปทั่วร่าง
บ่าวรับใช้รับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเขา จะรับถุงยาไปก็ไม่ได้ ไม่รับไปก็ไม่ใช่ กลัวจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เหวินซื่อเดินไปห้องครัวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บ่าวรับใช้เดินตามขาสั่นอยู่ด้านหลัง
ดูบ่าวรับใช้ต้มยาด้วยตัวเอง เหวินซื่อตั้งใจทิ้งไว้ให้เย็น แล้วรีบเอาไปให้
เฝิงจิ้งเหวินปวดมากกัดปากจนมีเลือดออก สาวใช้เข้าไปประคองนางขึ้น ให้นางพิงอยู่ที่ตัวของตน เหวินซื่อนั่งอยู่ข้างๆ เตียง ยื่นถ้วยยาไปที่ปากของนาง พูดอย่างอ่อนโยนว่า “เหวินเอ๋อร์รีบดื่มยาเถิด พอเจ้าดื่มยาเข้าไป ลูกของเราก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ทันใดนั้นเฝิงจิ้งเหวินก็มีแรงขึ้นมา อ้าปากดื่มยาเข้าไปในอึกเดียว
เหวินซื่อยื่นถ้วยยาให้สาวใช้ แล้วประคองนางให้นอนกลับลงไป เช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้นางอย่างอ่อนโยน “เจ้าหลับตาพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว พอนอนตื่นขึ้นมา ทุกอย่างจะดีดังเดิม”
เฝิงจิ้งเหวินจะนอนหลับได้อย่างไร จับมือเขาแน่นแล้วถามว่า “ท่านพี่ ลูกของเราจะไม่เป็นไรใช่ไหม”
ตอนที่ 206 ประจำการ
ในน้ำเสียงของเหวินซื่อไม่มีความลังเลเลยสักนิด พูดกับนางเบาๆ “ลูกของพวกเราแข็งแรงมาก ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน”
“จริงหรือ ท่านพี่ไม่ได้โกหกข้านะ ลูกของเราจะไม่เป็นอะไรแน่หรือ” เฝิงจิ้งเหวินรีบถามอีกครั้ง จ้องมองที่ตาของเขา อยากได้ยินการยืนยันอีกครั้ง จิตใจถึงจะสงบได้
เหวินซื่อพยักหน้า “ข้าไม่โกหกเจ้า วางใจเถอะ ลูกของเราต้องไม่เป็นไร”
เฝิงจิ้งเหวินดูราวกับจิตใจสงบลงจริงๆ เผยรอยยิ้มออกมา ทั้งสองมือลูบไปที่ท้องของตัวเอง ราวต้องการพูดปลอบตัวเอง พึมพำว่า “ลูกของข้าต้องไม่เป็นอะไร ลูกของข้าต้องไม่เป็นอะไร……”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก ไม่รู้ว่าจะปลอบนางอย่างไรดี
หลังจากนั้นไม่นาน เฝิงจิ้งเหวินพูดกับเขาที่ยิ้มอ่อน “ท่านพี่ไม่ต้องกังวล ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว ข้าอยากจะคุยกับน้องโยวเอ๋อร์เป็นการส่วนตัวเสียหน่อย” พูดจบ ใช้มือผลักเขาเบาๆ “ไปเถอะ ซื่อจื่อยังอยู่ด้านนอก เจ้าไปทักทายเสียหน่อยสิ”
เหวินซื่อลังเล หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เหวินซื่อลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
รอให้เขาทักทายหวงฝู่อี้เซวียน เฝิงจิ้งเหวินจึงยิ้มอย่างน่าเวทนา “น้องโยวเอ๋อร์ ลูกของข้าไม่อยู่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเปิดปากพูดปลอบนาง เฝิงจิ้งเหวินเอาผ้าห่มออก ให้เมิ่งเชี่ยนโยวดูรอยเลือดที่ไหลออกมาจากช่วงล่างของร่างกายนาง “เมื่อครู่ข้ารู้สึกว่ามีอะไรไหลออกมา ลูกจากข้าไปแล้วใช่ไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นรอยเลือดที่ใต้ตัวนาง สติหลุดไปชั่วขณะ นี่เป็นสิ่งที่นางคาดการณ์ไว้แล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ในใจนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สีหน้าไม่ได้แสดงออกอะไร กลับเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ต้องการปลอบใจ “อาการแบบนี้ จะมีเลือดออกเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ ซ้อไม่ต้องกังวล”
“จริงหรือ ลูกไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม” เฝิงจิ้งเหวินดูมีความหวัง แววตาสดใสขึ้นมา ถามขึ้นด้วยความดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวจิตใจไม่สงบ แต่กลับพยักหน้าอย่างแน่นิ่ง
เฝิงจิ้งเหวินเชื่อคำพูดของนางที่สุด เห็นนางพยักหน้า ก็เชื่อว่าเป็นความจริง ดีใจเป็นอย่างมาก
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เห็นเลือดที่ใต้ตัวของเฝิงจิ้งเหวิน เกือบจะส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ รีบเอามืออุดปากตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งนาง “มาจัดการให้ฮูหยินเถิด เบามือหน่อยล่ะ”
สาวใช้ทั้งสามคนไม่กล้าพูดอะไรแล้วพยักหน้ารัวๆ รีบไปหยิบกางเกงในที่สะอาด และของที่ต้องใช้มา ทำความสะอาดใต้ตัวของเฝิงจิ้งเหวินอย่างเบามือ พอจัดการเสร็จเรียบร้อย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่อยู่ในมือ
“โยนไว้ใต้เตียง อย่าให้ท่านพี่เห็น” เฝิงจิ้งเหวินกำชับเบาๆ
สาวใช้ถลกผ้าปูที่นอนขึ้น เอาเสื้อผ้าที่เปื้อนยัดใส่ไว้ข้างใต้
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก จับชีพจรให้เฝิงจิ้งเหวิน คิ้วคลายออก ดูไม่กังวลเลยสักนิด
เฝิงจิ้งเหวินสังเกตท่าทางของนางตลอด สีหน้าของนางต่างจากเมื่อครู่ จึงเชื่อคำพูดของนางจริงๆ จิตใจสงบลงมาก
จับชีพจรเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มากแล้ว ซ้อไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ นอนเถอะ ตื่นขึ้นมาลูกก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
พอหลับตาลง ในหัวก็มีแต่ภาพที่เสียลูกแวบเข้ามา เฝิงจิ้งเหวินไม่กล้านอนต่อ จับมือของเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ อยากให้นางอยู่เป็นเพื่อน ทันในนั้นก็เห็นเลือดเต็มกระโปรงนางไปหมด คำขอร้องของนางเปลี่ยนเป็นคำปลอบใจ “น้องโยวเอ๋อร์ ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ว่ามือของนางสั่นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ กุมมือนางไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “อาซ้อ นอนอย่างสบายใจเถอะ วันนี้ข้าก็เหนื่อยเล็กน้อย ไม่อยากกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ ขอพักที่จวนเหวินของพวกท่านแล้วกัน”
รู้ว่าที่นางอยู่ต่อเพราะตัวเอง กรอบตาของเฝิงจิ้งเหวินร้อนผ่าวเล็กน้อย พูดสะอึกสะอื้น “น้องโยวเอ๋อร์……” ยังพูดไม่ทันจบ ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดาออกว่านางจะพูดอะไรพูดแทรกขึ้น “ซ้อไม่ยินดีให้ข้าพักที่นี่หรือเจ้าคะ”
เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก “ยินดี ยินดี น้องโยวเอ๋อร์อยากจะอยู่กี่วันก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวห่มผ้าห่มบางๆ ให้นาง สอดเข้าที่มุมผ้าห่ม พลางกล่าว “เช่นนั้นซ้อก็หลับตานอนเถิดเจ้าค่ะ ข้าก็จะไปพักผ่อนแล้ว”
เฝิงจิ้งเหวินไม่พูดอะไรอีก รีบหลับตา ในตอนแรกคือแกล้งหลับ ขนตายังคงสั่นระริก หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ลมหายใจสม่ำเสมอ คงหลับไปแล้วจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้นจึงบอกชิงหลวนให้ประคองตัวเองออกไป
ชิงหลวนจะยอมได้อย่างไร อุ้มนายหญิงขึ้นแล้วเดินออกไป
เหวินซื่อเชิญหวงฝู่อี้เซวียนไปนั่งที่ห้องรับแขก หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ รออยู่ในเรือน เหวินซื่อก็ไร้หนทาง ทำได้เพียงรอนางเป็นเพื่อนเขา
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถูกอุ้มออกมา หวงฝู่อี้เซวียนรีบเดินไปข้างหน้าเพื่อมารับนาง ไม่พูดอะไรสักคำ หันตัวเดินออกไป
“ช้าก่อน!” เมิ่งเชี่ยนโยวรีบหยุดเขาไว้
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดเดิน มองนางอย่างไม่เห็นด้วย
“ตอนนี้อาการของซ้อยังไม่คงที่ ข้าไปไหนไม่ได้ คืนนี้เราพักที่จวนเหวินสักคืนเถิด ถือโอกาสจัดการเรื่องที่ต้องจัดการ หลีกเลี่ยงอันตรายที่อยู่รอบด้านเถอะ”
จุดประสงค์ของศัตรูในค่ำคืนนี้เป็นเรื่องที่ชัดเจนยิ่งนัก นั่นก็คือกำจัดตนเองและเมิ่งเชี่ยนโยว เฝิงจิ้งเหวินมีเคราะห์เช่นนี้ ทั้งหมดก็เพราะไปพัวพันกับพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจดี หวงฝู่อี้เซวียนก็เข้าใจด้วย แม้ว่าตอนนี้จะดึกแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังเห็นปากที่ซีดเซียวของนางได้ชัด ถึงแม้ว่าเลือดที่ขาจะหยุดไหลแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังไม่วางใจ อยากรีบพากลับไปให้หมอหลวงดูอาการนางเสียหน่อย
ขนาดใส่ใจอย่างดียังเกิดเรื่องวุ่นวายได้เพียงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวมีความรู้วิชาแพทย์ นี่เป็นเพียงแผลภายนอก ห้ามเลือดแล้วพันแผลให้ดี พักผ่อนให้มากก็จะดีขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนลืมไปว่าจัดการเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว เขาถึงได้ร้อนใจเช่นนี้
ในน้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความเย็นชาเล็กน้อย “วันนี้พวกเขาไม่ได้เพียงจะหมายเอาชีวิตข้าแล้วจบไป แต่ยังต้องมีคนรับเคราะห์ต่อ อันตรายไม่ได้หายไป ตลอดเวลามานี้ พวกเราตกเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว หากปล่อยไว้เช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเราต้องวิ่งเต้นจนเหน็ดเหนื่อย สู้พวกเราอยู่ที่นี่ ช่วยพวกเขาจัดการให้ถึงที่สุด ยอมเหนื่อยทีเดียวจะได้สบายไปตลอด”
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องมองนางครู่หนึ่ง เงยหน้าพูดว่า “เหวินซื่อ รบกวนด้วย” ความหมายก็คืออยู่ต่อเช่นกัน
อาการป่วยของเฝิงจิ้งเหวินไม่คงที่ เหวินซื่อก็หวังให้เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ต่อ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวมีบาดแผลที่ตัว เหวินซื่อรู้สึกไม่เหมาะที่จะเอ่ยปากขอ และก็ไม่กล้าพูดด้วย พอได้ฟังคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียน หลังจากนั้นก็นิ่งไปพักหนึ่งแล้วรีบตอบกลับมา พยักหน้าด้วยความดีใจ “ไม่รบกวนๆ พวกเจ้าตามข้ามาทางนี้”
พูดจบแล้วเดินนำหน้ามาถึงเรือนรับรองแขกโดยเฉพาะของจวนเหวิน ให้หวงฝู่อี้เซวียนรออยู่หน้าประตู เขาเดินเข้าไปในเรือนด้วยตัวเอง จุดไฟ แง้มม่านประตู เชิญทั้งสองคนเข้าไป
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในห้อง ตามองไปรอบๆ อุ้มนางไปที่ข้างๆ เตียง วางนางลงบนเตียงอย่างเบามือ “เหวินซื่อ รบกวนหลบทางให้ข้าเสียหน่อย”
เหวินซื่อเข้าใจว่าหมายถึงอะไร พลิกตัวเดินออกไป เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น “ให้สาวใช้หาเสื้อผ้าของซ้อมาให้ข้าใส่หน่อย”
เหวินซื่อตอบรับแล้วเดินออกไปด้านนอก
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดเสื้อผ้านางออกอย่างรวดเร็ว เห็นว่าเหลือดหยุดไหลแล้วก็โล่งอก สีหน้าที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดว่า “แผลเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ผ่านพรุ่งนี้ไป วันมะรืนข้าก็เดินเหินได้สบายแล้ว”
ตอนนั้นเพราะอยู่ในระยะประชิด มีดก็เลยปักเข้าลึกมาก หากตอนนั้นหวงฝู่อี้เซวียนดึงมีดออกให้นางในทันที พันแผลไว้ก็ไม่เป็นไรมากแล้ว ตอนนี้ที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังปลอบใจเขา หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปากไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือ ลูบคิ้วที่ขมวดอยู่ของเขา “เขาว่ากันว่าเจอภัยครั้งใหญ่แล้วไม่ตาย ต้องมีโชคดีตามมา ข้าโชคดีผ่านเคราะห์ร้ายมาได้ แสดงว่าข้ายังมีวาสนาอยู่มากใช่หรือไม่”
นางไม่พูดยังดีเสียกว่า พอพูดขึ้นเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนพลันนึกถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบตายเพราะต้องช่วยชีวิตเขา สีหน้ายิ่งแย่เข้าไปอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกได้ว่าตนพูดอะไรผิดไป ยิ้มออกมาอย่างเขินอาย เอาหัวพิงที่หน้าอกของเขา พูดเบาๆ ว่า “ครั้งนี้ซ้อติดร่างแหกับพวกเราไปด้วย ไม่รู้ว่าลูกในท้องจะรอดไหม ถ้าข้าไม่อยู่ที่นี่ต่อ กลับไปก็คงไม่สบายใจ”
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือมาลูบหัวนาง เสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ตอนนั้นที่พวกเขาลงมือ หัวใจข้าหยุดเต้นไปเลย โชคดีที่เจ้าไม่เป็นไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ว่าเสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ จึงยื่นมือออกมาโอบที่เอวของเขา “เจ้าวางไว้เถอะ ทำมา ไม่ทำกลับ เป็นการเสียมารยาท มหาเสนาบดีให้รางวัลเราชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ถ้าพวกเราไม่ตอบแทนเขาเสียหน่อย ข้าคงจะรู้สึกไม่ดีนัก”
ในคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนมีความเย็นชาที่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน “คำพูดนี้ ข้าต้องเป็นคนพูด หลังจากที่จัดการเรื่องจวนเหวินเสร็จ เจ้ากลับไปรักษาตัวให้ดี ส่วนที่เหลือส่งต่อให้ข้าจัดการ เจ้าห้ามลงมือ แล้วก็ห้ามคิดมากกับเรื่องนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ
“นายหญิง เอาเสื้อผ้ามาแล้วเจ้าค่ะ!” เสียงรายงานของชิงหลวนดังขึ้นในลานบ้าน
“เอาเข้ามา” หวงฝู่อี้เซวียนพูดตอบ
ชิงหลวนและจูหลีถือเสื้อผ้าเดินไปที่ข้างๆ เตียง อยากจะเปลี่ยนให้เมิ่งเชี่ยนโยว
“เอามาให้ข้า” หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือมารับเสื้อผ้าไป
ทั้งสองตะลึงครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นมาทันที
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยน้ำเสียงเข้ม “จูหลี เจ้ากลับไปได้แล้ว ไปดูสิว่าทำไมจนป่านนี้แล้วกัวเฟยยังไม่ตามมา นอกจากนี้ ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร ให้เขารีบนำองครักษ์ลับมายี่สิบนาย ชิงหลวน เจ้าไปหาเหวินซื่อ เอาผ้าพันแผลมา แล้วก็เอาโสมร้อยปีมาอันหนึ่ง เจ้าต้มโสมแล้วยกมาด้วยตัวเอง”
“เจ้าค่ะ ซื่อจื่อ” ชิงหลวนและจูหลีขานรับแล้วเดินออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนโค้งตัวลงมา เริ่มถอดเสื้อผ้าบนตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวจับมือเขา พูดขอร้องเบาๆ ว่า “ข้าจัดการเอง”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องตานางอย่างเงียบๆ
สักพักเมิ่งเชี่ยนโยวก็พ่ายแพ้ให้กับเขา ปล่อยมือออก หน้าแดงก่ำ นางไม่มีทางเลือก จึงยอมให้หวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สกปรกออก
เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนเหงื่อออกเต็มหน้าไปหมด เมิ่งเชี่ยนโยวควักผ้าเช็ดของตนออกมา แล้วเช็ดให้เขาอย่างอ่อยโยน
หวงฝู่อี้เซวียนโค้งตัวลงมา รอให้นางเช็ดเสร็จแล้วตรวจดูแผลของนางอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่เห็นมีรอยเลือดไหลออกมา ก็โล่งใจขึ้นเป็นอย่างมาก
ชิงหลวนเอาผ้าพันแผลมา แล้วก็เดินออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนพันแผลให้อย่างดี คราวนี้จึงจะโล่งใจได้จริงๆ เสียที
“เรียกเหวินซื่อเข้ามา ถามเขาว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น ออกมาด้านนอก หลังจากที่เหวินซื่อรับผ้าพันแผลและโสมมา เห็นเฝิงจิ้งเหวินหลับไปแล้ว เป็นห่วงเมิ่งเชี่ยนโยวก็เลยไปหา พอเดินมาถึงลานบ้าน
“เหวินซื่อ เข้ามาเถอะ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เหวินซื่อก็เดินเข้าไปนั่งที่บนเก้าอี้ในเรือน
“ซ้อเป็นอะไร ดูท่าแล้วเหมือนกินของที่ไม่ควรกิน เจ้าไม่ได้ทำตามที่ข้าสั่งหรือ ข้าบอกให้ตรวจดูอาหารของนางทุกวัน”
“ของที่เข้าปากเหวินเอ๋อร์ ข้าให้คนตรวจดูทุกวัน วันละสามรอบถึงจะเข้าปากนางได้ ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ คืนนี้ถึงได้ปวดท้องขึ้นมา ตอนที่เพิ่งกินข้าวเสร็จ นางยังดีๆ อยู่เลย” เหวินซื่อขมวดคิ้วพูด
พอเขาพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดคิ้วขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะกินอะไรผิดสำแดงไป เช่นนั้นเป็นเพราะอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีความรู้วิชาแพทย์ นั่งเงียบๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง
“เหวินเอ๋อร์เกิดเรื่องขึ้น พอท่านปู่ทราบเรื่องก็โมโหมาก สั่งคนให้ไปจับสาวใช้และยายเฒ่าในครัวมาไต่สวนจนถึงตอนนี้ แต่ก็ยังไม่เจอเบาะแสอะไร อาจไม่ใช่เป็นเพราะอาหารที่กินเข้าไป”
“ตอนนี้นายท่านเหวินอยู่ที่ใด” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
“ท่านปู่ก็ร้อนใจมาก ยังคงไต่สวนคนเหล่านั้นอยู่”
“รบกวนเจ้าไปเชิญนายท่านเหวินมาหน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน นอกจากนี้เจ้าไปเรียกผู้ดูแลจวนนี้ทั้งหมดมารวมตัวกันที่ลานบ้าน ข้ามีเรื่องถามพวกเขา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินซื่อก็ไม่ถามว่านางจะทำอะไร ลุกขึ้นเดินออกไป สั่งให้สาวใช้ที่มากับตนไปพาผู้คนมารวมตัวที่ลานบ้าน ส่วนเขาไปที่เรือนนายท่านเหวินด้วยตัวเอง
หลังจากที่เฝิงจิ้งเหวินมีลูกอีกครั้ง นายท่านเหวินดีใจเป็นอย่างมาก เขาไม่สนว่าในอีกไม่กี่เดือน เด็กที่เกิดมาจะเป็นหญิงหรือชาย เขารู้เพียงว่า ตนสามารถมั่นใจได้แล้วว่าตระกูลเหวินจะมีผู้สืบทอดอย่างแน่นอน เพราะในขณะที่เขายังมีชิวิตอยู่ เขาได้เห็นผู้สืบสกุลกับตาตัวเองแล้ว หรือจะคิดอีกอย่างก็คือ มีคนที่หนึ่งก็ต้องมีคนที่สอง ขอเพียงแค่ให้กำเนิดมาได้คนหนึ่ง ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนต่อไป
นายท่านเพ้อฝันทุกวัน อีกทั้งยังดูแลให้คนในครัวทำอาหารที่ดีเยี่ยมให้เฝิงจิ้งซูทุกวัน หาของบำรุงต่างๆ มาให้นางไม่หยุด โดยเฉพาะตอนนั้นที่เหวินซื่อไปหลินเฉิง นายท่านเหวินกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับนาง สั่งให้คนลาดตระเวนนอกเรือนของนางทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะป้องกันได้ดีเพียงใด ก็เกิดเรื่องขึ้นคนได้ ได้ยินว่าเฝิงจิ้งเหวินปวดท้อง นายท่านก็รู้แล้วว่าลูกในท้องของนางคงไม่รอด แล้วเขาก็คงต้องเสียหลานชายหรือหลานสาวไปอีกครั้ง จึงระงับความโกรธไว้ไม่อยู่ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ใช้วิธีการที่โหดร้ายรุนแรง สั่งให้คนไปจับแม่ครัว เด็กผ่าฟืนทุกคนมาไต่สวนทีละคน อยู่นานมาก แต่กลับไม่ได้อะไรเลย
ดังนั้นจึงออกคำสั่งฆ่า สั่งให้คนเฆี่ยนตีคนทั้งหมดจนหนังถลอกเนื้อเปิด เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วจวน แต่ก็ยังไม่ได้ผลสรุปอะไร แม้แต่เขาก็ทนต่อไปไม่ไหว อยากถอดใจแล้วเชื่อเสียว่าที่เฝิงจิ้งเหวินปวดท้องเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ตนก็แก่มากแล้ว กำลังวังชาก็ไม่ค่อยมี จัดการเรื่องพวกนี้ไม่ไหวอีกแล้ว
ตอนที่ 207-1 ลงมือ
เมื่อเหวินซื่อเดินมาถึงเรือนทางนี้แล้ว เขาไม่ได้ชายตามองคนในเรือนเลยแม้แต่น้อย เดินตรงไปหานายท่านเหวินทันที “ท่านปู่ขอรับ แม่นางเมิ่งเชิญท่านไปสักครู่”
เมื่อเกิดเรื่องขึ้น เหวินซื่อก็ส่งคนไปเชิญตัวเมิ่งเชี่ยนโยวมา จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวดีอะไรมาเลย นายท่านเหวินรู้ดีว่าครั้งนี้แม้แต่นางเองก็เหนื่อยล้ามากแล้ว เมื่อได้ยินว่านางเชิญตนเองไปก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที รีบถามอย่างร้อนใจว่า “เหวินเอ๋อร์ปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่”
เหวินซื่อส่ายหน้า “หลังจากเหวินเอ๋อร์ทานยา ก็นอนหลับไปแล้วขอรับ แม่นางเมิ่งบอกว่าหากคืนนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่ว่าหาก…” เขาไม่ได้พูดประโยคต่อไปออกมา นายท่านเหวินเองก็เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อได้ สีหน้าซีดเผือดลง ถอนหายใจออกมายาวเหยียด ยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคงเท่าใดนัก เดินมายังห้องของเมิ่งเชี่ยนโยวโดยมีเหวินซื่อพยุงไว้
นายท่านเหวินเป็นผู้อาวุโส นางนั่งบนเตียงไม่เหมาะสมเท่าใด เมิ่งเชี่ยนโยวให้หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มนางไปนั่งบนเก้าอี้ รอจนนายท่านเหวินเข้ามาในห้อง แล้วจึงพูดว่า “เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บ ขออนุญาตไม่ทำความเคารพนะเจ้าคะ นายท่านเหวินได้โปรดให้อภัยด้วย”
ขาของนางบาดเจ็บ แต่เปลี่ยนไปใส่ชุดที่สามารถบดบังบาดแผลได้ ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก เมื่อได้ยินคำของนาง นายท่านเหวินจ้องนางเล็กน้อย เมื่อเห็นริมฝีปากซีดเซียวของนางจึงได้รู้ว่าน่าจะบาดเจ็บไม่น้อยเลย ถามขึ้นอย่างห่วงใยว่า “แม่นางเมิ่งจะพักผ่อนก่อนหรือไม่ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว วันพรุ่งค่อยคุยกันก็ไม่สาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “นายท่านเหวินคิดผิดแล้วเจ้าค่ะ หากพวกเขาลงมือแล้วก็ไม่มีทางหยุดลงเป็นแน่ หากไม่รีบจัดการหนอนบ่อนไส้ น่ากลัวว่าลูกของอาซ้อคงจะไม่รอดแน่ๆ”
เขาเข้าใจความหมายโดยนัยของนางแล้ว นายท่านเหวินดีใจออกนอกหน้า ริมฝีปากขยับเล็กน้อย พึมพำอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ถามขึ้นอย่างไม่มั่นใจว่า “แม่นางเมิ่งหมายความว่า ลูกในท้องของหลานสะใภ้ข้ารอดปลอดภัยแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดเกินจริง พูดตามตรงว่า “ตอนนี้โอกาสรอดเกินครึ่งเจ้าค่ะ ขอแค่ซ้อนอนหลับพักผ่อนให้สบาย ในทุกๆ ชั่วยาม ก็จะเพิ่มโอกาสรอดขึ้น”
สีหน้าของนายท่านเหวินตื่นเต้นขึ้น พูดว่า “แม่นางเมิ่ง พวกข้าควรทำเช่นไร เจ้าบอกข้ามาเถิด หากวันนี้รู้ว่าเป็นผู้ใด ข้าจะไม่ปล่อยมันไว้แน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวคนนี้ขอข้ามขั้นตอนเลยนะเจ้าคะ หวังว่าถึงครานั้นนายท่านเหวินจะไม่ออมมือ มิเช่นนั้นไม่เพียงรักษาชีวิตของเด็กในท้องไว้ไม่ได้ แต่แม้แต่ข้าเองก็อาจจะถูกโยงเข้าไปติดพันด้วย”
“แม่นางกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร อาการบาดเจ็บของเจ้าก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ” ไม่เสียแรงที่นายท่านเหวินทำการค้าขายมาทั้งชีวิต ฟังความหมายโดยนัยของนางออก จึงโพล่งถามออกไป
ถึงบัดนี้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่มีเหตุผลจะต้องปิดบังอีกต่อไป นางเล่าเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนได้รับข่าวมา จึงรีบรุกมาอย่างกะทันหัน แล้วระหว่างทางเจอคนลอบฆ่า
เมื่อนายท่านเหวินฟังจบ รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา คิ้วของเขาขมวดขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อไปว่า “และยังมีอีกเรื่องที่ข้ายังไม่เคยบอกนายท่านเหวิน”
“เรื่องอะไรหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงบอกเขาเรื่องที่นางไปหาหวงฝู่อี้เซวียนที่หลินเฉิงแล้วถูกเหวินเอ๋อร์ลอบฆ่าระหว่างทาง และพูดต่อไปอีกว่า “ฟังคำของคุณชายรองตระกูลเหวินแล้ว เขาน่าจะฝากแรงไว้ที่มหาเสนาบดี เรื่องราวเกี่ยวพันที่เกิดขึ้นในวันนี้ คาดว่าจะเป็นแผนของมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ ดังนั้นข้าจึงสงสัย…”
สิ่งที่นางสงสัยนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ทุกคนในที่นั้นรู้ดีแก่ใจ นายท่านเหวินเองก็รู้ดี จึงก่นด่าด้วยความโกรธว่า “ไอ้เดนนรกเอ้ย! แต่ว่า แม่นางเมิ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าข้าถือหางคนของข้า แต่เรื่องนี้เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้าาเท่านั้น ไม่มีหลักฐานอะไร หากข้าลงมือเพราะเรื่องเช่นนี้ หากต่อไปพบว่าเป็นการเข้าใจผิด จะสำนึกผิดตอนนั้นมันก็สายไปแล้ว ดังนั้น…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเข้าใจท่านนายท่านเหวินเจ้าค่ะ ดังนั้นวันนี้ข้าจึงรออยู่ที่จวนเพื่อจัดการผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หากในจวนไม่มีหนอนบ่อนไส้ พวกเราทุกคนจะยินดีเป็นอย่างมาก ต่อจากนี้ไปก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าซ้อจะถูกคนวางยาพิษ และเสียลูกในท้องไป หากสืบพบหนอนบ่อนไส้ขึ้นมา หวังว่านายท่านเหวินจะไม่ใจอ่อน แต่หากท่านทำไม่ลง ข้าก็ยินดีจะเหนื่อยแทน”
“ไม่ต้องหรอก” นายท่านเหวินโบกมือ “ขอเพียงหาหลักฐานพบ ข้าจะจัดการพวกมันเอง ข้าคิดแล้วว่าหากทำใจลงมือไม่ได้ ตระกูลเหวินของข้าก็จะถูกทำลายด้วยมือของพวกมัน”
“อย่างนั้นก็ดีเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนี้ นายท่านเหวินได้โปรดตามข้าออกไปด้านนอกด้วยเถิด”
นายท่านเหวินพยักหน้า เหวินซื่อพยุงเขา หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งหมดเดินมาที่หน้าประตู
เหล่าคนใช้ในบ้านเห็นดังนั้นจึงรีบนำเก้าอี้สี่ตัวมาวางไว้ให้
ทั้งหมดนั่งลง
มองไปที่ผู้คนในลานบ้าน มีทั้งหญิงชาย เด็กและผู้ใหญ่ รวมๆ แล้วสามถึงสี่สิบคนได้ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “วันนี้อยู่ดีๆ ฮูหยินก็ปวดท้องขึ้นมา หลังจากที่ข้าตรวจให้แล้วพบว่าอาหารที่นางกินเข้าไปมีคนวางยาพิษ พวกเจ้าต่างเป็นคนที่คอยรับใช้เจ้านาย ไม่มีทางหลบหนีไปได้ นายท่านใหญ่ และนายน้อยก็อยู่ที่นี่ ข้าให้สัญญากับพวกเจ้าว่าหากคนใดในพวกเจ้าออกมาสารภาพ ข้าจะไว้ชีวิตคนนั้น แต่หากไม่มีใครยอมรับ วันนี้ก็จะเป็นวันตายของพวกเจ้าทุกคน”
น้ำเสียงไร้ความปราณี คำที่พูดออกมาน่ากลัวยิ่งกว่า คนที่ได้ยินดังนั้นต่างมองนางอย่างหวาดกลัว ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมา รีบร้องขออ้อนวอนขึ้นทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังเสียงอ้อนวอนของคนในเรือนโดยไม่มีปฏิกิริยายาตอบสนองใดๆ พูดเสียงแหลมขึ้นว่า “ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าอีกหนึ่งก้านธูป หากไม่มีใครออกมายอมรับล่ะก็ อย่ามาหาว่าข้าไม่ให้โอกาสแล้วกัน”
คนที่ใจเสาะเผยสีหน้าหมดหวังออกมา กลัวจนต้องคุกเข่าขอร้องชีวิต ส่วนคนที่พอจะใจกล้าอยู่บ้างก็พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “แม่นางเมิ่ง ข้าเพียงทำหน้าที่ปัดกวาดทำความสะอาดในจวนเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับฮูหยินเลย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้านะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยสายตาไร้ความรู้สึก
เมื่อเห็นนางไม่ตอบสนอง พวกเขาจึงได้ฝากความหวังไว้ที่เหวินซื่อ “นายน้อยขอรับ ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด”
เหวินซื่อทำหน้าจริงจัง มองไปที่บรรดบ่าวรับใช้ “เรื่องในวันนี้ ท่านปู่ได้มอบให้แม่นางเมิ่งเป็นผู้ตัดสินใจแล้ว หากพวกเจ้ามีใครรู้เห็นอะไร ก็รีบพูดออกมาเถอะ อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้ มิเช่นนั้นล่ะก็ ใครหน้าไหนก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น”
เมื่อผู้คนได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้น กระทั่งสาวใช้ที่อายุยังน้อยผู้หนึ่งตกใจจนร้องไห้ออกมา
มีเพียงสาวใช้สามคนของเฝิงจิ้งเหวินเท่านั้น ที่รู้ดีว่าตนเป็นคนของเฝิงจิ้งเหวิน มีคนคอยกางปีกปกป้อง เมิ่งเชี่ยนโยวคงจะไม่กล้าทำอะไรพวกนาง และยังคิดว่าพวกตนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่กลัวหากต้องถูกสอบสวน ยืนอยู่กับที่ไร้ซึ่งสีหน้าแห่งความกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง พูดกับทั้งสามว่า “พวกเจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
ทั้งสามผงะไปพร้อมกัน มองตากัน หนึ่งในนั้นถามอย่างตกใจว่า “แม่นางจะให้พวกเราพูดอะไรกัน พวกเราเป็นคนรับผิดชอบอาหารของฮูหยินมาตลอด ไม่เคยเกิดปัญหาใดเลย”
“แล้ววันนี้เล่า วันนี้เกิดอะไรขึ้น”
สาวใช้อีกคนพูดว่า “อาหารของวันนี้ข้าได้ทำการชิมต่อหน้านายน้อยและฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้ให้พวกนางทั้งสองและนายน้อยรับรองได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เชื่ออย่างแน่นอน นางเบะปาก “พวกเจ้าทั้งสามเป็นสาวรับใช้ใกล้ชิดของฮูหยิน รับผิดชอบเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ของนาง เป็นธรรมดาที่จะต้องน่าสงสัยที่สุด ทางที่ดีพวกเจ้ามีเรื่องอะไรรีบพูดออกมาดีกว่า มิเช่นนั้น ข้าจะลงมือกับพวกเจ้าสามคนเป็นอันดับแรก”
บัดนี้ทั้งสามถึงได้เผยสีหน้ากระวนกระวายออกมา พูดเสียงสั่นเครือว่า “แม่นางเมิ่งเจ้าคะ พวกข้าสามคนจงรักภักดีกับฮูหยินมาก ไม่เคยคิดทำร้ายฮูหยินเลย ท่านจะมาทำกับพวกเราเช่นนี้ไม่ได้”
แน่นอนว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เชื่อคำของพวกนาง นางทำเสียงหึในลำคอ และพูดว่า “ใกล้จะหมดเวลาแล้ว หากไม่รีบพูดออกมา ก็อาจไม่มีโอกาสอีกต่อไป”
ทั้งสามตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี เงยหน้ามองเหวินซื่ออย่างอ้อนวอน “นายน้อยเจ้าขา ท่านจะต้องเป็นธรรมต่อพวกเรานะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้ทำร้ายฮูหยินจริงๆ นะเจ้าคะ”
เหวินซื่อทำหูทวนลม เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกนางด้วยรอยยิ้มเย็นชา
จูหลีเดินเข้ามาจากด้านนอก เดินตรงมาหาเมิ่งเชี่ยนโยวราวกับว่าไม่เห็นคนพวกนั้นกำลังคุกเข่าขอร้องอยู่ “นายหญิง กัวเฟยพาคนมาแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า มองสาวใช้ทั้งสามด้วยรอยยิ้มเลือดเย็น “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ข้าให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง หากยังไม่สารภาพออกมา พวกเจ้าก็คงไม่ได้อยู่เห็นพระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้แล้ว”
ทั้งสามกลัวมาก ปึ่ง! ปึ่ง! ปึ่ง! ทั้งหมดนั่งคุกเข่าลงที่พื้น พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “แม่นางเมิ่งเจ้าขา พวกบ่าวไม่ได้วางยาฮูหยินจริงๆ นะเจ้าคะ ต่อให้ท่านเฆี่ยนบ่าวจนตาย บ่าวก็ไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ”
“ดี ใจกล้าดีนี่ ข้าเองก็อยากเห็นว่าหากพวกเจ้าถูกลงโทษแล้วจะยังปากแข็งได้อีกนานเพียงใด” พูดจบ ก็สั่งคนด้านนอกว่า “กัวเฟย มาลากตัวคนพวกนี้ไป เฆี่ยนพวกนางคนละยี่สิบที”
ยี่สิบที พวกนางร่างเล็กเพียงนี้ เฆี่ยนเพียงสิบทีก็อาจจะหมดลมแล้ว ยี่สิบทีอาจจะทำให้กระดูกในร่างของพวกนางแหลกละเอียดได้ เห็นทีเมิ่งเชี่ยนโยวคงจะมีหลักฐานแล้ว จึงได้คาดโทษสามคนนี้ทันที เวลานั้น คนในเรือนถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก แต่บางคนกลับตกใจจนเป็นลมไป และยังมีบางคนเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า
ดวงไฟในเรือนสว่างชัดเจน เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตาไปยังคนพวกนั้นอย่างใจเย็น จดจำสีหน้าและสายตาของพวกนางไว้อย่างแม่นยำ สายตาของนางหยุดลงที่สาวใช้ที่ใส่ชุดสีชมพูอยู่ครู่หนึ่ง และละสายตาไปก่อนที่นางคนนั้นจะรู้ตัว
กัวเฟยตอบรับ องครักษ์ลับสองคนเดินเข้ามา จับตัวสาวใช้ทั้งสามที่อ้อนวอนขอชีวิตอย่างไม่หยุดออกไปด้านนอก
เมิ่งเชี่ยนโยวทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้กับชิงหลวน
ชิงหลวนรับรู้ และเดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่นาน ด้านนอกกำแพงก็มีเสียงขอร้องชีวิตของสาวใช้ทั้งสาม และเสียงไม้เฆี่ยนไปบนผิวหนัง เสียงดังชัดทุกครั้งที่ตี กระตุ้นความกลัวแก่คนใช้ในเรือนเป็นอย่างมาก
ผู้ที่ใจเสาะได้ตัวสั่นเทาไปแล้ว ขนาดคนที่ใจกล้าก็ยังกลัวจนต้องทรุดลงกับพื้น
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เปลี่ยนไป
สีหน้าของนายท่านเหวินและเหวินซื่อเองไม่ได้ปรากฏความรู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย
เสียงเฆี่ยนตียิ่งดังมากครั้งขึ้นเท่าไร เสียงโอดครวญของสาวใช้ก็เบาลงเท่านั้น ไม่นานก็ไม่มีเสียงร้องโอดครวญให้ได้ยินอีก ถึงขนาดเสียงเฆี่ยนบนร่างของพวกนางก็หม่นหมองลงไปมาก คาดว่าคนพวกนั้นคงจะมึนเมากับกลิ่นเลือดไปแล้ว
แม้ว่าบ่าวรับใช้ในจวนจะมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก แต่ก็รู้ได้ว่าสามคนนี้ใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว ในใจก็ยิ่งหดหู่กว่าเดิม พวกนางเป็นถึงสาวใช้ข้างกายของฮูหยินยังถูกทำโทษหนักถึงเพียงนี้ จุดจบของพวกเขาเองจะต้องแย่กว่าอีกเป็นแน่
ตอนที่ 207-2 ลงมือ
สาวใช้ผู้หนึ่งอดทนกับความโหดร้ายเช่นนี้ไม่ไหวแล้ว นางก้าวขึ้นมาด้านหน้า พูดเสียงดังว่า “นายน้อยเจ้าคะ ชิวจวี๋เจ้าค่ะ ชิวจวี๋เป็นผู้ทำร้ายฮูหยินเองเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงของนาง ทั้งจวนก็เงียบลงทันที จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น “ชิวหลัน เจ้าพูดอะไรออกมาน่ะ ข้าจะไปทำร้ายฮูหยินได้เยี่ยงไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปตามเสียง เป็นสาวใช้ที่สวมชุดสีชมพูดจริงๆ ด้วย
เมื่อชิวจวี๋พูดจบ ก็เดินออกมากด้านหน้าเสมอกับชิวหลัน พูดว่า “แม่นางเมิ่งเจ้าคะ บ่าวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ระดับล่างเท่านั้น ปกติแล้วบ่าวไม่มีทางได้ใกล้ชิดกับฮูหยินเลย แล้วบ่าวจะไปวางยาฮูหยินได้อย่างไรกัน”
พูดจบ ก็หันไปชี้หน้าชิวหลัน พูดว่า “บ่าวและนังคนนี้มีความแค้นต่อกัน นางคงหวังจะยืมมือแม่นางมากำจัดข้า”
ชิวหลันโบกไม้โบกมืออย่างตื่นตระหนก พูดอย่างร้อนใจว่า “ไม่นะ ไม่ใช่นะเจ้าคะ บ่าวและนางไม่ได้มีเรื่องแค้นใจต่อกัน บ่าวเห็นจริงๆ ว่าวันนี้นางเข้าไปในห้องนอนของฮูหยิน”
ชิวจวี๋ร้อนใจ แทบอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปฉีกร่างนางทิ้งเป็นชิ้นๆ “อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ ข้าจะเข้าไปในห้องของฮูหยินได้อย่างไรกัน”
ทั้งสองผลัดกันพูดคนละประโยค คนในจวนต่างสับสนไปหมด
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมองพวกนางอย่างใจเย็น ถามว่า “ชิวหลัน เจ้าเห็นชิวจวี๋เข้าไปในห้องฮูหยินเมื่อไร”
ชิวหลันตอบกว่า “วันนี้ช่วงบ่ายฮูหยินและนายน้อยเดินเล่นอยู่ในจวน มีพวกพี่ชุนเซียงติดตามไปด้วย บ่าวคิดว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ทำความสะอาดเรือน จึงได้ไปตักน้ำมากะละมังหนึ่ง แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปด้านใน ก็เห็นว่าชิวจวี๋เดินออกมาอย่างร้อนรน ตอนนั้นบ่าวเองก็กังวล ในห้องไม่มีใครอยู่ นางจะเข้าไปทำอะไร แต่ต่อมาก็ได้ยินข่าวว่าฮูหยินปวดท้องหนัก บ่าวก็สงสัยนางทันที แต่บ่าวไม่กล้าพูดพล่อยๆ”
“อย่างนั้นเหตุใดเจ้าจึงกล้าพูดออกมาล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงแข็ง
“หากไม่พูด บ่าวเกรงว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก หวังว่าแม่นางเมิ่งจะตรวจสอบให้แน่ชัดด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร แม้ว่าร่างกายของชิวหลันจะสั่นเล็กน้อย แต่ว่าสายตาของนางแน่วแน่ ไม่ใช่ท่าทางของคนโกหก
แต่กลับเป็นชิวจวี๋เองที่มีสีหน้ากระวนกระวายใจ และก็รีบแก้ตัวทันทีว่า “นางพูดเท็จเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้เข้าไปในห้องของฮูหยินเลยแม้แต่ก้าวเดียว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปหานาง ถามอย่างไม่ร้อนรนเช่นเคยว่า “เจ้าจะยืนยันได้อย่างไรว่าเจ้าไม่เคยเข้าไป”
ชิวจวี๋หลบตา อ้ำอึ้งไม่เป็นคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่ทุกคน ถามว่า “ยังมีใครมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
ไม่มีใครพูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นอีกครั้ง แต่ในหูของบ่าวรับใช้แล้วเสียงนั้นราวกับคำสั่งตาย “ถ้าอย่างนั้นแล้ว หนึ่งในพวกนางสองคนนี้ จะมีคนหนึ่งรอดชีวิต และพวกเจ้าก็จะถูกฝังเป็นเพื่อนพวกนางด้วย”
พูดจบ ก็สั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “กัวเฟย เอาพวกนางไป…”
ยังไม่ทันขาดคำ ก็มีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินออกมาด้านหน้า ก้มลงคำนับ พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “แม่นางเมิ่ง เมื่อคืนบ่าวตื่นมากลางดึก เห็นชิวจวี๋อยู่กับสาวใช้ของฮูหยินใหญ่ พูดซุบซิบอะไรกันก็มิทราบ”
ร่างของนายท่านเหวินสั่นเล็กน้อย สายตาของเหวินซื่อมีความแค้นออกมา ก้าวขาเดินออกไปด้านนอก
“หยุดเดี๋ยวนี้” นายท่านเหวินห้ามเขา
“ท่านปู่!” เหวินซื่อหันหลัง พูดอย่างโมโหปนเบื่อหน่าย
“ไม่ต้องร้อนใจไป ฟังแม่นางเมิ่งสอบสวนให้แน่ชัดก่อน ปู่ยังอยู่ตรงนี้” น้ำเสียงของนายท่านเหวินหนักแน่น แต่ที่มากกว่านั้นคือความแน่วแน่ “ข้าพูดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่กล้าจะทำลายตระกูลเหวินแล้วล่ะก็ ข้าไม่เก็บมันไว้แน่”
เหวินซื่อทำหน้าเครียด เดินกลับเข้ามา ยืนอยู่ด้านหลังของนายท่านเหวิน
ถูกคนสองคนชี้ตัว ชิวจวี๋ตระหนกกว่าเดิม มองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่มีแรงจะแก้ตัว “แม่นางเมิ่ง ปกติแล้วข้ามักมีปัญหากับพวกนาง พวกนางสองคนให้ร้ายข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากจะพูดอ้อมค้อมกับนางอีก ถามไปตรงๆ ว่า “เจ้าจะสารภาพมาเอง หรือจะให้ข้าลงโทษทันที”
ชิวจวี๋ตกใจจนพูดไม่เป็นคำ “กัวเฟย!” เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนเสียงดัง
ชิวจวี๋ตกใจแทบจะกระโดดตัวโยน
กัวเฟยเดินเข้ามา
“มอบให้เป็นหน้าที่เจ้า ภายในหนึ่งก้านธูปนี้ ข้าต้องได้คำตอบ”
กัวเฟยตอบรับ เดินเข้าไปหาชิวจวี๋ จับนางขึ้นมาราวจับไก่ตัวหนึ่ง สาวเท้าก้าวยาวเดินไปด้านนอก
ชิวจวี๋ตกใจจนกรีดร้องเสียงดัง “ข้ายอมพูดแล้ว ข้ายอมพูด”
กัวเฟยหยุดฝีเท้าลง โยนร่างนางลงที่พื้น
ชิวจวี๋หล่นลงพื้นอย่างเจ็บปวด แต่ไม่กล้าปริปากร้องออกมา คลานมาด้านหน้าอย่างกระวนกระวาย ก้มหัวคำนับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้ายอมพูดแล้ว ข้ายอมพูดแล้ว แม่นางเมิ่งได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”
“พูดมาสิ หากเจ้าสารภาพมาตามตรง บอกความจริงทุกอย่างออกมา บางทีข้าอาจไว้ชีวิตเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวให้คำสัญญา
ชิวจวี๋กำลังจะเปิดปากพูด นายท่านเหวินก็ชิงพูดว่า “คนอื่นออกไปได้แล้ว กลับไปรับใช้ตามเรือนที่ได้รับมอบหมาย”
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอับอายของตระกูล หากรู้แล้วอาจถูกจัดการให้ปิดปากได้ บ่าวรับใช้ล้วนรู้สัจจธรรมข้อนี้ดี คนที่แข้งขาอ่อนก็กลับมาเป็นปกติแล้ว เดินตัวปลิวออกไปด้านนอกทันที แต่เมื่อเดินออกไปด้านนอกเห็นพวกชุนเซียงยืนอยู่อย่างปกติ ต่างพากันตกใจจนร้อง “อ้าว…”
คนด้านหลังได้ยินคนด้านหน้าร้อง ก็พากันหันมาดู จากนั้นด้านนอกก็มีเสียงร้องโวยวายของเหล่าผู้คนดังขึ้น
เหวินซื่อพูดออกมาจากด้านในว่า “หากมีใครกล้าส่งเสียงดังอีก ฆ่าได้เลย”
จากนั้นเสียงก็เงียบลง บ่าวรับใช้ก้มหน้าก้มตา เดินอ้อมตัวชุนเซียงไป
พวกชุนเซียงทั้งสามคนเดินตามพวกนั้นไป
ทั้งเรือนเงียบลงทันที
นายท่านเหวินพูดขึ้นว่า “พูดมาสิ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
เมื่อได้คำมั่นสัญญาแล้ว ชิวจวี๋ไม่ลังเลอีกต่อไป พูดว่า “ข้าและตงหลัน บ่าวรับใช้ของฮูหยินใหญ่สนิทกันมาก วันก่อนนางมาหาข้า ขอให้ข้าช่วยเอายาหอมไปใส่ไว้ในห้องนอนของฮูหยิน ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ระดับล่าง ไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปในห้องของฮูหยิน ข้าจึงไม่ได้ตอบตกลง นางจึงได้จ้างวานข้าด้วยเงินหนึ่งร้อยตำลึง บอกว่าจะให้ข้าก่อนห้าสิบตำลึง เสร็จเรื่องแล้วจะให้อีกครึ่งทีเหลือแก่ข้า ตอนนั้นข้าเกิดโลภขึ้นมา จึงตอบตกลง และได้หาโอกาสเมื่อตอนนายน้อยและฮูหยินออกไปด้านนอก นำยาหอมเข้าไปวางไว้ในห้อง แล้วบ่ายวันนี้ก็สบโอกาส เอายาหอมไปไว้ในห้องเจ้าค่ะ”
“ยาเล่า เจ้าเอาไปไว้ที่ใด” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
“ที่แรกตงหลันบอกกับข้าว่าคืนนี้ให้หาโอกาสเอาไปคืนนนาง แต่ว่าข้าถูกเรียกตัวมาก่อน จึงไม่มีโอกาส ข้าจึงได้เอาไปซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มของข้าเสียก่อน”
“พานางไปเอามา”
จูหลีเดินมาด้านหน้า จับตัวชิวจวี๋ออกไป ไม่นานก็พานางกลับมา มอบยาหอมให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาดมเล็กน้อย ส่งให้นายท่านเหวินต่อ
นายท่านเหวินทำงานอยู่กับหยูกยามาทั้งชีวิต เมื่อรับยามาไว้ในมือ ก็สามารถดมออกได้ว่าทำมาจากอะไรบ้าง ปิดตาลงอย่างเจ็บปวด และลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาแน่วแน่ “แม่นางเมิ่ง วันนี้คงจะต้องรบกวนแม่นางช่วยข้าจัดการแล้วล่ะ”
พูดจบ ก็ลุกขึ้น เดินอย่างมั่นคงออกไปด้านนอก
เหวินซื่อเดินตามหลังไป
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวตามไปหลังสุด
ออกไปจากเรือน กัวเฟยและองครักษ์ลับยี่สิบนายยืนอยู่ด้านนอก
นายท่านเหวินกวาดสายตามองพวกเขา พูดว่า “ขอให้ทุกท่านตามข้ามาด้วย”
กัวเฟยมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
กัวเฟยเดินตามหลังคนพวกนั้นไป
เดินมาถึงเรือนฝูหรง ประตูใหญ่ปิดลงแล้ว ด้านในก็ไม่มีเสียงออกมา ราวกับว่าไม่ว่าด้านนอกจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขา
นายท่านเหวินให้สัญญาณ กัวเฟยเดินมาด้านหน้า ถีบประตูเปิดออก เสียงประตู ปัง! กระเด็นไปติดกำแพงมทั้งสองฝั่ง และกระเด็นกลับมา
สาวใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ตกใจจนร้องออกมา เมื่อเห็นชัดว่าเป็นคนของนายท่านเหวินแล้ว ก็รีบหุบปากของตนลง รีบทำความเคารพทันที “นายท่าน”
คนในเรือนได้ยินเสียงโวยวาย ชายอายุราวสี่สิบปีคนหนึ่งเดินออกมา เมื่อเห็นนายท่านเหวินอยู่ตรงหน้าก็ผงะไปเล็กน้อย ถามอย่างสงสัยว่า “ท่านพ่อ ดึกป่านนี้แล้ว ท่านมาที่นี่ทำไมกัน”
นายท่านเหวินไม่ตอบคำถามของเขา แต่ถามกลับว่า “ซื่อเอ๋อร์ บ้านนี้มีคนอยู่กี่คน”
“คนใช้สิบห้าคน สาวใช้ระดับหนึ่งสี่คน ระดับสองสี่คน ระดับสามหกคน และยังมีสาวใช้และแม่บ้านที่ดูแลทำความสะอาดอีกรวมสิบคน ทั้งหมดรวมสามสิบเก้าคนขอรับ” เหวินซื่อตอบ
“แม่นางเมิ่ง รบกวนคนของเจ้าด้วย” นายท่านเหวินออกปากพูด น้ำเสียงไม่มีความสั่นเครือ
จะรบกวนเรื่องอะไรนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจดี กัวเฟยเองก็เช่นกัน
เมื่อเห็นนายท่านเหวินยืนนิ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวนับหนึ่งถึงสามในใจ พยักหน้าให้กัวแฟย
กัวเฟยโบกมือ องครักษ์ลับยี่สิบนายลุกฮือขึ้น เดินไปคนละทิศคนละทาง แต่กัวเฟยกลับเดินตรงไปยังสองสาวที่ยืนดูแลประตูอยู่
สาวใช้ทั้งสองยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลำคอกลับมีรอยเลือดผุดขึ้น ร่างกายก็อ่อนแรงลง และหมดลมหายใจในที่สุด
ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา สาวใช้ทั้งสองก็ถูกฆ่าตายแล้ว ชายวัยกลางคนตกใจเป็นอย่างมาก “ท่านพ่อ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
นายท่านเหวินเปิดปากพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “เฟิงเอ๋อร์ เรียกเมียรักของเจ้าออกมา พ่อมีเรื่องจะถามนาง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น