ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 197-199
ตอนที่ 197-2 เป็นตายร้ายดีก็ต้องอยู่ด...
ชิงหลวนและจูหลีมองหน้ากัน แล้วกระโดดไปขวางอยู่ที่ตรงหน้านาง แล้วคุกเข่าลง ทำมือคำนับพร้อมร้องขอว่า “นายหญิง โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบด้วย!”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้า แล้วมองไปที่พวกนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ส่วนกัวเฟยและทุกคนยืนอยู่ตรงที่เดิม ไม่รู้ว่าจะห้ามนางอย่างไรดี เมื่อปีนั้นที่พวกเขาได้รับการฝึกฝน หน้าที่หลักของพวกเขาก็คือองครักษ์ลับพิทักษ์หวงฝู่อี้เซวียน ต่อมาหวงฝู่อี้เซวียนได้มอบตราหยกที่เอาไว้ออกคำสั่งองครักษ์ลับไว้กับเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้กลายเป็นเจ้านายของพวกเขาด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนเป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าหลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร
“พวกเจ้ารู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนสำคัญกับข้าขนาดไหน ข้าไม่อยากพูดมากแล้ว ถอยไป!” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง
ชิงหลวนและจูหลีไม่ขยับ ชิงหลวนพูดว่า “หน้าที่ของบ่าวก็คือองครักษ์พิทักษ์รักษานายหญิงจากอันตราย ต่อให้ต้องตายก็จะไม่ยอมให้นายหญิงเข้าไปทำเรื่องเช่นนี้เป็นอันขาด”
ฝีไม้ลายมือของชิงหลวนและจูหลียอดเยี่ยม ถ้าหากว่าทั้งสองคนห้ามเอาไว้ ตัวนางเอาจะต้องเข้าไปไม่ได้แน่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบมีดสั้นออกมา แล้วจี้ไปที่ลำคอของตน
“นายหญิง!”
“แม่นางเมิ่ง!”
เสียงเรียกร้องที่กำลังตกใจของทุกคนได้ดังขึ้น
ชิงหลวนและจูหลีมองไปที่นางด้วยสีหน้ารีบรน “นายหญิง ท่าน…”
เมิ่งเชี่ยนโยวขู่ว่า “มีสองทางเลือก หนึ่งคือข้าจะตัดคอของตัวเองเดี๋ยวนี้ ตายต่อหน้าพวกเจ้า ไปรออี้เซวียนที่ปรโลกก่อน กับอย่างที่สองคือพวกเจ้าถอยไป แล้วรอดูว่าข้ากับอี้เซวียนจะรอดหรือไม่รอดก็เท่านั้น”
ชิงหลวนจะขยับตัวออกไป มีดที่อยู่ในมือของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขยับเข้าไปอีก บอกว่า “ชิงหลวน เจ้าน่าจะรู้ดีว่าข้าเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าข้าอยากจะตาย เจ้าห้ามข้าไม่ได้หรอก”
โดยรู้ทัน ชิงหลวนจึงหยุด และพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำอะไรไม่ได้และขอร้องว่า “นายหญิง!”
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม พวกเจ้าต้องเลือก”
เมื่อพูดจบ แล้วตะโกนว่า “หนึ่ง…”
ชิงหลวนและจูหลีไม่ขยับ
“สอง…”
ทั้งสองคนตัวสั่น
“สาม” ได้ลั่นออกมาไม่ทันไร จูหลีก็ตอบกลับไปว่า “พวกเราจะให้นายหญิงเข้าไป!”
มีดสั้นที่อยูที่ลำคอไม่ได้ขยับ เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่ง “พวกเจ้าลุกขึ้น แล้วถอยออกไปสามจั้ง!”
“เจ้านาย!”
ชิงหลวนและจูหลีลุกขึ้น แล้วถอยไปสามเมตร
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ แล้วเดินถอยหลังเข้าไปที่สถานกักตัว ถึงจะเอามีดสั้นออก
ชิงหลวนและจูหลีก็พุ่งตัวเข้าไป อยากที่จะตามเข้าไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนว่าจะเดาออกว่าพวกนางจะทำอะไร มีดสั้นที่อยู่ทั้งสองมือก็ได้ยื่นออกมา แล้วชี้ไปที่ทั้งสองคนที่กำลังจะเข้ามา
ทั้งสองคนตกใจเป็นอย่างมาก จึงถอยกลับไปที่เดิมอย่างรวดเร็ว
มีดสั้นตกลงบนพื้น มีแสงสะท้อนจากมีดส่องขึ้นมา
“ใต้เท้าจาง ดูพวกเขาไว้ให้ดี ถ้าหากว่ามีใครกล้าบุกเข้ามา ทำโทษได้ตามกฎหมาย” เมิ่งเชี่ยนโยวอาศัยโอกาสนี้ออกคำสั่ง
“นายหญิง!” ทั้งสองคนร้องเรียก
“รับทราบ แม่นางเมิ่ง” จางเจ๋อหวยตอบรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปข้างในอย่างไม่ลังเล และตามหลังมาด้วยเสียงของเฮ่อเหลี่ยนที่กำลังโกรธอยู่ว่า “ข้าหลวงจาง เจ้ากล้าดีอย่างไรปล่อยนางเข้าไป เจ้าอยากตายรึไง”
จางเจ๋อหวยไม่ได้พูดอะไร
กัวเฟยก็ยังกุมตัวเขาไว้อยู่
ในเขตโรคระบาด มีแต่เสียงไอเต็มไปหมด คนส่วนมากหน้าแดง และมีการอาเจียน บางคนที่มีอาการหนักถึงขั้นอาเจียนออกมาเป็นฟองสีขาว หายใจโรยริน และมีทหารใส่เสื้อผ้าหนาๆ เดินแบกศพออกไปไม่หยุด
เมื่อเห็นว่านางที่ไม่ได้เป็นอะไรเดินเข้ามา เหล่าทหารและคนที่มีอาการไม่ได้หนักจึงมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจ ทางหนึ่งก็เดินเข้าไปข้างใน ส่วนอีกทางหนึ่งก็เรียกชื่อของหวงฝู่อี้เซวียนเบาๆ “อี้เซวียน! อี้เซวียน!”
หาไปหนึ่งรอบ ก็หาหวงฝู่อี้เซวียนไม่เจอ ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ดีเป็นอย่างมาก ร่างกายเย็นวาบๆ แล้วบอกให้นายทหารที่กำลังแบกศพหยุด แล้วถามอย่างรีบร้อนว่า “ซื่อจื่อจวนอ๋องฉีอยู่ที่ใด”
นายทหารเหมือนจะกลัวว่านางจะแพร่เชื้อให้ จึงรีบถอยหลังไปหลายก้าว แล้วมองพินิจไปที่นาง ไม่ได้พูดอะไร แล้วใช้มือชี้ไปที่เก็บศพ
ขาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้อ่อนลงทันที อีกนิดเดียวก็จะล้มลงนั่งลงกับพื้น แต่คำพูดต่อไปของนายทหารทำให้นางดีใจในชั่วพริบตา “ซื่อจื่อมีตำแหน่งสูงส่ง จะมาอยู่กับประชาชนคนธรรมดาอย่างนี้ได้อย่างไร ใต้เท้าของพวกเราได้ทำการสร้างห้องเล็กๆ เอาไว้ให้แล้วทางนั้น”
“ขอบคุณๆ” เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ไม่ได้มีทีท่านิ่งเฉยอีกต่อไป แล้วพูดขอบคุณนายทหารไม่หยุด ยิ่งไปกว่านั้นคือโค้งคำนับให้เขาอีกด้วย แล้วจึงเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องเล็กๆ ที่นายทหารคนนั้นบอกมา
นายทหารมองนางด้วยสายตาที่มองคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น แล้วส่ายหน้า
ในห้องเล็กๆ มีเสียงคนไอ เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปด้านใน แล้วจึงตะโกนออกมาด้วยความดีใจว่า “อี้เซวียน!”
หวงฝู่อี้เซวียนหลับตาอยู่ สีหน้าแดงกร่ำนอนอยู่บนเตียง ข้างๆ มีองครักษ์หลวงนอนอยู่ที่พื้น
ในขณะที่กำลังมึนงงอยู่นั้น ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของตน หวงฝู่อี้เซวียนจึงรวบรวมกำลังทั้งหมดลืมตาขึ้นมา ได้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ยิ้มด้วยความเวทนา พร้อมกับบ่นเบาๆ ว่า “ข้ากำลังจะตายแล้วจริงๆ หรือ ถึงได้เห็นโยวเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงหน้าของข้า”
เมื่อพูดจบ ก็หลับตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวคุกเข่าลงไป แล้วใช้มือลูบไปที่ใบหน้าของเขา ให้เขารู้สึกถึงอุ่นไอของตนเอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันแสนอบอุ่นว่า “อี้เซวียน ข้าเอง ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในทันทีทันใด และไม่เชื่อในความจริงว่าที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นคือเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้กับเขา
รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ภาพในจินตนาการ เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ดีใจอะไร แต่กลับด่าทอนางกลับไปด้วยเสียงที่โกรธเกรี้ยวว่า “ใครให้เจ้ามา ออกไปเดี๋ยวนี้!”
เมื่อว่าจบ ก็ราวกับว่าใช้แรงทั้งหมดไปแล้ว แล้วลงนอนไปบนผ้าห่มพร้อมกับอ้าปากหอบเอาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วจับมือของเขา นัยน์ตามีน้ำตาไหลออกมาพร้อมกับบอกว่า “เมื่อครู่ข้าหาเจ้าอยู่ตั้งนาน แต่ไม่เจอ ข้านึกว่าเจ้าตายไปเสียแล้ว ข้ากะว่าหลังจากที่ข้าฆ่าเฮ่อเหลี่ยนได้แล้ว ก็ตามเจ้าไปทันที โชคดี โชคดี ที่เจ้าไม่ตาย”
หวงฝู่อี้เซวียนก็น้ำตาไหลเช่นเดียวกัน ออกแรงเป็นอย่างมากเพื่อยื่นมือไปลูบหัวของนาง แต่ว่าด้วยความที่ได้รับเชื้อมาแล้วหลายวัน ร่างกายของเขาได้ถึงขีดสุดแล้ว อ่อนแอเหลือเกิน ไม่มีแรงแม้แต่น้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ถึงความคิดของเขา จึงเอามือของเขาวางไว้บนหัวของตน
น้ำตาของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไหลออกมาเป็นทาง พูดเบาๆ ว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่ควรมาที่นี่ ถ้าหากว่าเจ้าเป็นอะไรไป ท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องเสียใจเป็นอย่างมาก” เมื่อพูดจบ ก็ได้โทษตัวเองว่า “เป็นความผิดของข้า ข้าควรขอกระดาษปากกากับใต้เท้าจาง เพื่อเขียนจดหมายหาเจ้า ถ้าเป็นแบบนั้นเจ้าจะได้ไม่ต้องมาที่นี่”
เมื่อพูดจบ น้ำตาก็ไหลหนักเข้าไปอีก แล้วพูดต่ออีกว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าฟังข้าให้ดี อาศัยโอกาสนี้ที่เจ้ายังไม่ได้ติดเชื้อ ออกไปให้เร็วที่สุด ที่เอวของข้ามีอาญาสิทธิ์ของฮ่องเต้อยู่ เจ้าเอาไป จะได้ไม่มีใครขวางเจ้าได้ ไป รีบไป ไม่ต้องสนใจข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมา อาการเหมือนกับว่าการตัดสินใจครั้งใหญ่ของนางนั้นถูกต้องแล้ว “ออกไปไม่ได้แล้ว เมื่อครู่ที่เดินเข้ามาหาเจ้า ข้าได้เดินไปมาอยู่ในสถานกักตัวไปแล้วรอบหนึ่ง บางทีอาจจะติดโรคแล้วก็ได้ ถ้าออกไปตอนนี้ก็จะเป็นภัยต่อทุกคนเสียเปล่า ดังนั้น ข้าก็ได้แต่อยู่ที่นี่ข้างๆ เจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนหมดหวัง และพูดด้วยน้ำเสียงบ่นแกมเป็นห่วงเป็นใยว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาหน้าไปแนบไว้กับมือของเขา แล้วลูบเบาๆ น้ำตาก็ไหลลงมาเช่นเดียวกัน “อี้เซวียน เจ้าลืมแล้วหรือ ข้าเคยสัญญาเอาไว้ว่า ชีวิตนี้เราจะไม่แยกจากกัน จะอยู่หรือตายก็ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าหากว่าเจ้าไปแล้ว แล้วข้าจะอยู่คนเดียวได้อย่างไร”
ตอนที่ 198-1 ร่วมแรงร่วมใจ
หวงฝู่อี้เซวียนหลับตา น้ำตาไหลนอง สักพักหนึ่งถึงจะลืมตาขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำ อยากเปิดปากพูดอะไรสักอย่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวเอามือไปปิดปากของเขา หยุดเขาเอาไว้ แม้ว่าน้ำตาจะยังไหลอยู่ แต่ใบหน้าก็ได้แสดงออกถึงรอยยิ้ม “อี้เซวียน เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้ารู้วิชาการแพทย์ ก่อนมา ข้าได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว วางใจเถิด ข้าจะไม่ให้เจ้าตายอย่างแน่นอน พวกเรายังจะต้องมีลูกมีหลานด้วยกัน อยู่กันไปจนแก่เฒ่านะ”
ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนก็เป็นประกาย มีหยดน้ำตาซ่อนอยู่ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเชื่อเจ้า!”
องครักษ์หลวงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นกัน จึงแสดงท่าทางดีใจออกมาอย่างไม่ได้นัดกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้เอาเม็ดยาที่ทำไว้มา จึงวางแขนของหวงฝู่อี้เซวียนลงอย่างรีบร้อน พร้อมลุกขึ้นแล้วบอกว่า “พวกเจ้ารอข้าสักครู่” เมื่อพูดจบ ก็เดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนนอนอยู่ที่พื้น มองนางที่กำลังรีบรน ก็แสดงสีหน้าแห่งความสุขขึ้นมา
เดินมาถึงรั้วสถานกักตัว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ตะโกนเรียกชิงหลวนที่กำลังมองมาที่ทางนี้อย่างร้อนรนว่า “เอาเม็ดยาที่ข้าเตรียมไว้โยนเข้ามา”
ชิงหลวนจึงรีบหยิบกระสอบหนึ่งออกมาจากอานม้า แล้วหยิบขวดดินเผาออกมาสองขวด โยนไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับ แล้วสั่งว่า “แจกให้กับพรรคพวกของเราและใต้เท้าจางคนละหนึ่งเม็ด”
เมื่อพูดจบ ก็หันหลังเดินกลับไปที่ด้านใน
ชิงหลวนก็หยิบขวดดินเผาออกมาอีกหลายขวด โยนให้กับพวกองครักษ์ลับ เหลือไว้ให้ตนเองหนึ่งขวด เปิดออกมา เทใส่ในมือไว้หลายเม็ด แล้วยื่นไปที่ด้านหน้าของจูหลี
จูหลีหยิบไว้สองเม็ด เม็ดหนึ่งใส่เข้าไปในปาก ส่วนอีกเม็ดหนึ่งก็ส่งให้กับกัวเฟย ส่งสัญญาณให้เขาอ้าปาก จะได้กลืนยาลงไปได้
และชิงหลวนก็เอายาเม็ดสุดท้ายส่งให้กับจางเจ๋อหวย
จางเจ๋อหวยก็ไม่ได้เกรงใจ รับไว้ แล้วใส่เข้าในปาก กลืนลงไป
คิดถึงคำที่น้องสาวของตนได้บอกไว้ เรื่องวิชาการแพทย์ของเมิ่งเชี่ยนโยว เฮ่อเหลี่ยนได้แต่กะพริบตา แล้วร้องเรียกอย่างไม่ละอายว่า “ขอข้าด้วยหนึ่งเม็ด”
ไม่มีใครสนใจเขา
เฮ่อเหลี่ยนโกรธ แล้วตะโกนต่อว่าไปที่จางเจ๋อหวย “ข้าหลวงจาง เจ้าเบื่อชีวิตนักหรือไง จัดการพวกเขาซะ ข้า…”
พูดยังไม่ทันจบ ก็โดนจูหลีเอามีดสั้นไปจี้ไว้ที่คอ ร่างกายของเขาอ่อนลงโดยทันใด ล้มกองลงไปที่พื้น
“คุณชายใหญ่!” องครักษ์เงาที่ติดตามเขามาร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ร้องเรียกอะไรกัน เขาไม่ตายหรอก” ชิงหลวนบอกพวกเขาด้วยความไม่สบอารมณ์
ทุกคนปิดปากเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ใต้เท้าจาง พวกเขาเป็นอุปสรรคยิ่งนัก ไม่ทราบว่ามีที่ใดสามารถคุมตัวพวกเขาได้บ้าง” ชิงหลวนหันมาถามจางเจ๋อหวยอย่างมีมารยาท
จางเจ๋อหวยได้ตำแหน่งข้าหลวง เป็นเจ้าเมืองมาภายในเวลาไม่กี่ปี ความคิดหลักแหลมเป็นที่สุด ก็เข้าใจในความหมายของคำพูดของนางโดยทันที ก็คือจะเอาเฮ่อเหลี่ยนและคนอื่นๆ จับกุมเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะเป็นความผิด แต่ว่าในตอนแรกเขาได้เลือกช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เปรียบเสมือนว่าเขาได้ยืนตรงข้ามกับฝั่งของเฮ่อเหลี่ยนแล้ว ไม่มีทางถอยแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวผู้เดียว พยักหน้า ออกคำสั่งว่า “ทหาร เอาตัวคุณชายใหญ่และลูกน้องไปขังไว้ที่คุกก่อน เป็นการควบคุมตัวชั่วคราวก่อน”
ทหารตอบรับ ก็ก้าวเข้ามาพยุงเฮ่อเหลี่ยนที่นอนกองอยู่ที่พื้นเพื่อเตรียมนำตัวไปที่คุก
องครักษ์เงาของเฮ่อเหลี่ยนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวว่า “ข้าหลวงจาง เจ้าช่างสามหาวยิ่งนัก คุณชายใหญ่เป็นถึงผู้ที่ฮ่องเต้ทรงโปรดให้มาจัดการเรื่องโรคระบาด เจ้าทำแบบนี้ ไม่กลัวว่าคุณชายใหญ่จะกลับไปรายงานฮ่องเต้ให้ตัดหัวเจ้ารึ”
จางเจ๋อหวยก็ตอบกลับไปอย่างไม่ยอมเช่นกันว่า “คุณชายใหญ่ของเจ้ามาก็ตั้งหลายวันแล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำให้ชาวบ้านติดเชื้อเพิ่มตั้งมากมาย เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายไปรายงานฮ่องเต้ แล้วส่งม้าเร็วไปที่เมืองหลวง ดูสิว่า ฮ่องเต้จะตัดหัวข้า หรือว่าหัวของเขากันแน่”
หลังจากที่เฮ่อเหลี่ยนมาที่หลินเฉิง นอกจากวันๆ เอาแต่เร่งหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงให้คิดหาวิธีจัดการโรคระบาดโดยเร็วที่สุด ส่วนอย่างอื่นก็ไม่เห็นจะทำอะไรเลย ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ใช้ของที่มีอยู่แล้ว แต่เพราะว่าเขาเป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมาก็เท่านั้น จางเจ๋อหวยถึงแม้ว่าอยากจะด่าเขาแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้า แต่ว่าตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวมาแล้ว มีคนคอยคุ้มกันแล้ว จางเจ๋อหวยจึงไม่เกรงกลัวอีกต่อไป จึงกล้าพูดออกมา
องครักษ์เงาทุกคนที่ได้ยินคำพูดของเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
จางเจ๋อหวยโบกมือ ทหารพยุงเฮ่อเหลี่ยน และเหล่าองครักษ์ลับก็คุมตัวองครักษ์เงาทั้งหลายไปที่คุก
จูหลีไม่วางใจ จึงบอกกับกัวเฟยว่า “หัวหน้ากัว พวกเขามีฝีมือล้ำเลิศ เกรงว่าคุกจะขังพวกเขาไม่ได้ ขอให้ท่านจัดองครักษ์ลับไปเฝ้าที่นั่นเอาไว้ อย่าพลาดให้พวกเขาออกมาทำให้นายหญิงของพวกเราลำบากเป็นอันขาด”
กัวเฟยพยักหน้า ออกคำสั่งไป แล้วก็มีองครักษ์ลับตามอยู่ทางด้านหลัง
องครักษ์เงาของเฮ่อเหลี่ยนโกรธแค้นอยู่ในใจ พวกเขาเป็นถึงองครักษ์เงาแห่งจวนเสนาบดี ออกไปทำเรื่องต่างๆ อยู่ไม่ขาด ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนต่างเกรงกลัว ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ที่พวกเขาโดนจับเข้าคุก
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ขวดยามาแล้ว ก็รีบเดินกลับมาที่ห้องเล็กอย่างรวดเร็ว คุกเข่าอยู่ทางด้านหน้าหวงฝู่อี้เซวียน เทเม็ดยาออกมา แล้วใส่เข้าไปในปากของเขา
หวงฝู่อี้เซวียนกลืนลงไป
และให้ยาแก่องครักษ์หลวงที่เหลือคนละหนึ่งเม็ด
เมื่อทุกคนกลืนยาลงไปแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงความร้อนในร่างกายนั้นหายไปโดยทันทีทันใด
รอให้หวงฝู่อี้เซวียนกินหมด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า “ดีขึ้นหรือไม่”
กะพริบตามองไปที่นาง หวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้าเบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แบบนี้ถึงได้วางใจลงบ้าง นั่งอยู่ที่พื้นด้านหน้าเขา แล้วจับมือเขาอย่างระมัดระวัง เอามือเขาวางไปที่บนตักของตน แล้วใช้มือของตนจับชีพจรที่ข้อมือของเขา เมื่อจับลงไป คิ้วขมวดขึ้น นานกว่าจะกลับเป็นปกติ แล้วเปลี่ยนเป็นมืออีกข้างหนึ่ง
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปล่อยมือของเขาพร้อมถามว่า “อี้เซวียน เจ้ารู้ว่าตัวเองติดโรคตั้งแต่เมื่อใดกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง แล้วตอบอย่างอ่อนแรงว่า “ก่อนหน้าสามวัน”
“ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ร้อนไปทั้งตัว ไร้เรี่ยวแรงไปหมด อีกทั้งยังไอไม่หยุด รู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่ในลำคอ”
“ทุกคนเป็นแบบนี้หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เป็นแบบนี้กันหมด ในตอนที่มาจัดระเบียบผู้ประสบภัยมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ข้าก็เลยไม่ได้สนใจ นึกว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่ไข้หวัดธรรมดา ใครจะไปรู้ว่าต่อมาจะมีคนไอเยอะขึ้นเรื่อยๆ และอีกทั้งคนที่มีอาการเดียวกันนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเองทื่ข้าถึงรู้ได้ว่านี่เป็นโรคระบาด จึงได้ออกคำสั่งให้เอาพวกเขากักตัวเองไว้ แต่ว่ามันสายไปแล้ว มีผู้คนมากมายติดเชื้อไปแล้ว” เมื่อพูดจบ ก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดและพูดโทษตัวเองว่า “ถ้าหากว่าข้าเจอมันเร็วกว่านี้ก็คงดี จะได้ไม่มีคนตายมากมายขนาดนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมา แล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “ฮ่องเต้ได้ส่งเฮ่อเหลี่ยนและหมอหลวงห้าคนมาจัดการโรคระบาด หลายวันนี้ดูท่าพวกเขาจะปวดขมับกันอยู่เหมือนกัน เจ้านอนพักเถิด ข้าจะไปปรึกษากับพวกเขา ไว้รอเจ้าตื่น ข้าก็กลับมาแล้ว”
ตัวร้อนติดต่อกันหลายวัน ทำให้ร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนสูญเสียน้ำไปมาก แต่เมื่อฟังนางพูดจบ ก็สบายใจขึ้นหน่อย ในทันทีทันใดก็รู้สึกว่าตนเองไม่เหลือเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย พยักหน้าอย่างช้าๆ พร้อมกำชับว่า “เจ้าระวังตัวด้วย รักษาชีวิตตนเองเป็นสำคัญ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนหลับตาลง
รอให้เขาหายใจเป็นปกติ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงลุกขึ้น แล้วเดินมุ่งออกไปข้างนอก
เดินไป ก็คิดไป จากการที่นางได้จับชีพจรของหวงฝู่อี้เซวียน นี่ไม่ใช่โรคห่า แต่ว่าเป็นไวรัสไข้หวัดระบาดชนิดร้ายแรงของสมัยนี้ แต่ว่าสมัยนี้ ไม่มียาต้าน ผู้คนติดเชื้อเยอะเพียงนี้ หากไม่จัดการให้ดีก็มีแต่รอความตายเท่านั้น
คิดไปเดินไปอย่างรวดเร็ว
ชิงหลวนและจูหลีที่ยืนเฝ้าอยู่ทางด้านทางนอก เห็นนางเดินออกมาด้านนอกอย่างร้อนรนก็คิดว่านางจะสั่งอะไร จึงตะโกนออกไปว่า “นายหญิง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดยืนห่างจากพวกเขาสามจั้ง แล้วตะโกนถามจางเจ๋อหวยว่า “ใต้เท้าจาง หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงทั้งห้าคนล่ะ”
“พวกเขาอยู่ในพื้นที่ลี้ภัยในเมืองโน้น กำลังตรวจดูกันอยู่ว่ามีคนที่ติดเชื้ออีกหรือไม่” จางเจ๋อหวยตอบ
“ไปตามพวกเขามาที่นี่เดี๋ยวนี้ บอกว่าข้าจะปรึกษาเรื่องรักษาโรคระบาดนี้”
จางเจ๋อหวยดีใจเป็นอย่างมาก ตอบรับ แล้วสั่งคนให้ไปบอก
ตอนที่ 198-2 ร่วมแรงร่วมใจ
ถึงแม้ว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นไวรัสไข้หวัดระบาด อย่างแรกต้องทำก็คือการป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวยังบอกอีกว่า “ใต้เท้าจาง รบกวนท่านเอากระดาษกับปากกามาให้ข้าที ข้าจะเขียนใบสั่งให้ ท่านให้คนไปต้มตามนี้ เสร็จแล้วเอาไปแจกจ่ายให้กับประชาชนด้วยเจ้าค่ะ”
จางเจ๋อหวยตอบรับ แล้วรีบออกคำสั่งให้คนเอากระดาษกับพู่กันมา อยากส่งให้กับนางด้วยตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเขา “ไม่ต้องเข้ามา ในสถานการณ์แบบนี้ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าท่านจะไม่ติดโรคนี้ ชาวเมืองหลินเฉิงตอนนี้ฝากไว้ที่ท่านแล้ว ท่านห้ามพลาดเป็นอันขาด”
จางเจ๋อหวยหยุด โค้งตัวลงวางน้ำหมึกและพู่กันเอาไว้ที่เขตกักตัว หลังจากนั้นก็ถอยออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยิบ แล้วหาที่เรียบๆ เขียนใบสั่งยา แล้วก็เอาไปวางไว้ที่ขอบของเขตกักตัว หลังจากนั้นก็ลุกขึ้น เดินถอยหลังออกมา ถามว่า “ไม่ทราบว่าหมอหลวงที่มาด้วยนั้นออกระเบียบอะไรหรือยัง”
“ออกแล้ว หลังจากที่มา ก็ได้สั่งให้ฆ่าเชื้อที่สถานหลบภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายวันมานี้ผู้ติดเชื้อลดน้อยลงแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หมอหลวงทั้งหลายล้วนเป็นผู้ที่มีศาสตร์การแพทย์สูงส่ง ในเรื่องของการรักษาโรคระบาดนี้จะต้องมีทางออกอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดหลายวันแล้ว ถึงไม่มีวิธีการจัดการโรคนี้สักที
หมอหลวงทั้งห้าคนมาถึงอย่างรวดเร็ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในเขตกักตัว ขณะที่กำลังตกใจก็แสดงอาการดีใจด้วยในเวลาเดียวกัน มีคนหนึ่งร้องเรียกออกมาว่า “แม่นางเมิ่ง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองอย่างละเอียดแล้ว ที่แท้ก็เป็นหัวหน้าหมอหลวงเจียงจากสำนักหมอหลวงที่มารักษาให้กับจวนอ๋องฉีนั่นเอง นางพยักหน้า ไม่มีการแนะนำตัว ถามตรงๆ เลยว่า “หลายวันมานี้ท่านทั้งหลายได้ตรวจสอบเจอสาเหตุของโรคนี้แล้วหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อหมอเจียงได้ยินดังนั้น จึงตอบกลับไปว่า “วันแรกที่พวกเรามาที่นี่ก็ได้ทำการตรวจคนไข้ไปแล้ว จากการตรวจสอบ พบว่าคล้ายกับโรคไข้หวัด แต่ว่าก็ไม่เหมือนโรคหวัดธรรมดาอีก ออกสูตรยาไปให้ชาวบ้านเอาไปต้มกินกัน แต่ว่าไม่เป็นผล ผู้คนที่ติดเชื้อก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราละอายใจยิ่งนัก ละอายในหน้าที่ที่ฮ่องเต้ได้มอบให้” พูดจบ ก็ถามด้วยความคาดหวังว่า “แม่นางเมิ่งตรวจสอบได้ผลว่าอย่างไรบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเข้าใจบ้างเพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงต้องมาปรึกษากับพวกท่าน”
พวกเขาสามารถเข้าไปรับตำแหน่งที่สำนักหมอหลวง ได้เป็นหมอหลวง ล้วนย่อมเป็นหมอที่มีศาสตร์ชั้นสูงทั้งนั้น ดังนั้น ในเรื่องของความทนงตนก็จะมากกว่าหมอธรรมดาทั่วไปอยู่บ้าง มีบางคนเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นแค่หญิงสาวชาวบ้าน ในใจก็คิดว่าไม่ควรค่าแก่การเคารพเท่าไร แต่ว่าหัวหน้าหมอหลวงยังเคารพนางเช่นนี้ จึงยืนอยู่ทางด้านข้างทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่เมื่อได้ฟังที่นางพูดเมื่อครู่ ก็มีหมอหนุ่มผู้หนึ่งที่เพิ่งเข้าสำนักหมอหลวงมาได้ไม่กี่ปีดูไม่พอใจเท่าไร พูดว่า “พวกเราทั้งสี่คนและหัวหน้าหมอหลวงร่วมกันวินิจฉัยมาสามวัน แต่ก็หาต้นตอของโรคนี้ไม่ได้ แม่นางเพิ่งมาถึง อีกทั้งยังกล้าพูดเช่นนี้ ไม่ใช่การโอ้อวดหรอกหรือ”
คำพูดของเขา ทำให้หมอหลวงเจียงตกใจเป็นอย่างมาก เลยรีบร้อนออกปากสั่งสอน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตอบกลับไปอย่างไม่ยอมเช่นเดียวกัน “เหนือฟ้ายังมีฟ้า ท่านโชคดีที่เป็นหมอหลวงได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเก่งไปเสียกว่าทุกคนแต่อย่างใด”
หมอหลวงหนุ่มโดนตอกกลับจนพูดไม่ออก หน้าแดง รู้สึกอายจนโกรธ อยากพูดเสียดสีไปอีกสักประโยค
หมอหลวงเจียงเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร จึงเอ่ยปากสั่งสอนเขา “หมอหลวงหลิว ศาสตร์การแพทย์ของแม่นางเมิ่งล้ำเลิศนัก ไม่ว่าเจ้ากับข้าก็เทียบไม่ได้ เจ้าอย่าได้พูดอะไรอีกเลยจะดีกว่า!”
อย่างไรเสียก็เป็นลูกน้องของตน ที่หมอหลวงเจียงพูดแบบนี้ก็เป็นเพราะจะปกป้องเขา
ใครจะไปรู้ว่าหมอหลวงหลิวจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กลับพูดตอบไปอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมากว่า “พวกเราเป็นถึงหมอหลวงของสำนักหมอหลวงแท้ๆ ฮ่องเต้สั่งให้พวกเรามาจัดการโรคระบาด แต่กลับต้องฟังคำแนะนำจากยัยนี่ จะว่าไปแล้วช่างอายฟ้าดินเสียเหลือเกิน”
เป็นถึงตำแหน่งหัวหน้าในสำนักหมอหลวง ไม่มีประสบการณ์มากกว่าสิบปีนั้นเป็นไปไม่ได้ ศาสตร์การแพทย์ล้ำเลิศอย่างแน่นอน ขนาดพระสนมต่างๆ ในวังยังต้องถอยให้สองสามก้าว แต่ตอนนี้กลับโดนลูกน้องผู้ต่ำต้อยของตนเองถามกลับแบบนี้ ในใจก็ไม่ค่อยพอใจนัก หมอหลวงเจียงจึงทำหน้านิ่งแล้วพูดว่า “เจ้าพูดจาระวังหน่อย! ถ้าหากว่ายังพูดไม่รู้เรื่องล่ะก็ กลับไปข้าจะรายงานฮ่องเต้ ให้ปลดเจ้าออกจากสำนักหมอหลวง”
จริงๆ แล้วที่พูดออกไป หมอหลวงหลิวก็รู้สึกผิดแล้ว และเมื่อได้ฟังคำจากหัวหน้า ก็ตกใจเข้าไปอีก สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาไม่หยุด ก้มหน้าลง แล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก
หมอหลวงเจียงประกบมือ “แม่นางเมิ่ง เป็นเพราะสั่งสอนได้ไม่ดีเอง ขอท่านอย่าได้ถือสา”
ท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เปลี่ยนไป โบกมือแล้วบอกว่า “เหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กเจ้าค่ะ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเราจะต้องหาต้นตอของโรค จัดการโรคระบาดให้ได้ พวกท่านถึงจะได้มีผลงานกลับไป”
หมอหลวงเจียงรีบบอกว่า “แม่นางเมิ่งพูดถูกต้องเป็นที่สุด ไม่ทราบว่าท่านบอกได้หรือไม่ว่าท่านตรวจสอบได้อะไรมาบ้าง”
ไวรัสไข้หวัดใหญ่คำๆ นี้หมอหลวงเจียงและหมอท่านอื่นคงไม่เคยได้ยินมาก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิด ว่าจะบอกพวกเขาให้มันง่ายได้อย่างไรดี
หมอหลวงเจียงเห็นนางไม่พูดอะไร ยืนครุ่นคิดอยู่กับที่ จึงคิดว่าหลังจากที่จัดการโรคระบาดเสร็จแล้ว กลัวว่าพวกเขาจะแย่งผลงานของนางไป จึงรีบบอกก่อนว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านวางใจได้ คนทั้งหลายจะเป็นพยาน ถ้าหากว่าท่านสามารถหาต้นตอของโรคเจอ ออกสูตรยาให้ได้ เมื่อรักษาโรคระบาดได้แล้ว ข้าจะรายงานให้กับฮ่องเต้ว่าผลงานนี้เป็นผลงานของท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขากำลังคิดจะถอยให้ นางจึงโบกมือ “ท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าจะพูดอย่างไรดี”
“แม่นางมีอะไรก็ว่ากันมาตามตรงเถิด พวกเราตั้งตารอฟังอยู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวลังเลเล็กน้อย “ท่านพูดไม่ผิด นี่เป็นไข้หวัดจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ว่านี่มันจะหนักกว่าไข้หวัดธรรมดา ก็คือมันแพร่กระจายได้รวดเร็ว ถ้าหากว่าไม่รักษาให้ทันการณ์ล่ะก็ หากปล่อยให้ตัวร้อนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน อวัยวะภายในของคนเราก็จะค่อยๆ เสื่อมถอยไปจนกระทั่งตาย ดังนั้นยาใช้สำหรับคนที่ได้รับเชื้อแล้วจะต้องเป็นยาที่ต่างจากยารักษาไข้หวัดธรรมดาเจ้าค่ะ”
เมื่อหมอหลวงเจียงฟังนางพูดจบ จึงรีบถามว่า “แม่นางจะต้องมีวิธีการรักษาแล้วอย่างแน่นอนใช่ไหม” พูดจบ รู้สึกว่าการที่อยู่ห่างกับเมิ่งเชี่ยนโยวแบบนี้ ตะโกนคุยกันเหนื่อยนัก จึงเอาเชือกออก เดินเข้าไปที่ในสถานกักตัว
หมอหลวงอีกสามคนก็รีบร้อนจะโกนว่า “หัวหน้า!”
หมอหลวงเจียงหันกลับไปบอกว่า “แม่นางเมิ่งผู้ไม่มีตำแหน่งยังไม่กลัวโดนติดเชื้อ พยายามหาวิธีจัดการโรคระบาด ข้าช่างละอายยิ่งนัก”
อีกสามคนก็มองหน้ากัน กัดฟันแล้วเดินเข้าไป มีก็แต่หมอหลวงหลิวที่ยืนอยู่ด้านนอก ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกประหลาดใจกับหมอหลวงเจียงเป็นอย่างมาก จึงเตือนเขาว่า “นี่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของข้าก็เท่านั้นเจ้าค่ะ จะใช่หรือไม่ก็ยังต้องตรวจสอบต่อไปอีก หมอหลวงเจียงอย่าเข้ามาจะดีกว่า จะได้ไม่ติดเชื้อนะเจ้าคะ”
“ศาสตร์การแพทย์ของแม่นางเมิ่ง ตอนที่รักษาพระชายาฉีตอนนั้น ข้าได้เห็นกับตาแล้ว ในเมื่อท่านกล้าพูดออกมา จะต้องมั่นใจแล้วเก้าในสิบส่วน” หมอหลวงเจียงพูด
หมอหลวงอีกสามคนเมื่อได้ยินดังนั้น ตาก็เป็นประกายดีใจเป็นอย่างมาก ที่แท้แม่นางผู้นี้ก็คือคนที่รักษาพระชายาฉีจนหายนี่เอง ถ้าอย่างนั้นโรคระบาดนี้ ไม่แน่ว่านางอาจหาวิธีได้แล้วก็เป็นได้
จึงรีบเดินตามหมอหลวงเจียงมาที่ด้านหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาน้ำหมึกพู่กันเมื่อครู่นี้ขึ้นมา แล้วเขียนใบสั่งยา ส่งให้กับหมอหลวง บอกว่า “นี่เป็นสูตรยาที่ข้าคิดได้ ทุกท่านโปรดดูว่ามีอะไรขาดไปหรือไม่”
หมอหลวงเอาไปดูอย่างละเอียด แล้วพยักหน้า “ใบสั่งยานี้ของแม่นางไม่ได้ขาดอะไรแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าในนี้มียาที่หายากอยู่ชนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าจะรักษาคนที่ติดโรคนี้ได้ทั้งหมด เกรงว่าจะไม่พอ”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ มีเท่าไรก็เอาเท่านั้น พวกเราต้มมาก่อนส่วนหนึ่ง ให้คนที่อาการหนักดื่มก่อน ถ้าหากว่าเห็นผล ท่านก็เขียนจดหมายทูลฮ่องเต้สักหนึ่งฉบับ ให้ฮ่องเต้จัดการเอายาจากร้านยาทั่วรัฐอู่ให้ส่งมาที่นี่” พูดจบ ก็คิดออก แล้วเอาขวดยาที่ติดอยู่กับตัวออกมา เทยาออกมาสี่เม็ด แล้วยื่นให้กับหมอหลวงเจียง “นี่เป็นยาที่ข้าทำขึ้นมา มีส่วนช่วยกับคนที่ติดโรคนี้เจ้าค่ะ ถ้าหากท่านทั้งหลายไม่รังเกียจล่ะก็ ก็กินกันคนละเม็ดเถิด”
หมอหลวงเจียงดีใจเป็นอย่างมาก ยื่นมืออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอายาใส่เข้าไปในมือของเขา หมอหลวงเจียงก็รับมากินอย่างไม่ลังเลอะไรเลย
คนที่เหลือสามคนเมื่อเห็นเช่นนี้ จึงนำมากินคนละหนึ่งเม็ด มีรสชาติขมเล็กน้อย แต่พอกินเข้าไป ก็เกิดเย็นวาบๆ ที่หน้าอก ทำให้ตาสว่างขึ้นมาในทันที ยิ่งทำให้พวกเขาเชื่อมั่นและยอมรับในตัวเมิงเชี่ยนโยวเข้าไปอีก
ตอนที่ 199-1 ก่อนที่ประตูนรกจะปิด
หมอหลวงเจียงไม่พูดมากอีกต่อไป รับเอาใบสั่งยา หันหลังเดินออกไป หยุดอยู่ตรงหน้าของจางเจ๋อหวยแล้วยื่นให้เขาบอกว่า “ใต้เท้าจาง รบกวนให้ท่านเอายาจากร้านยาในเมืองส่งมาให้พวกเราที พวกเราจะทำการต้มยารักษาโรคระบาดนี้เดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรคระบาด จางเจ๋อหวยก็มิช้า รีบสั่งทหารของตนให้ไปจัดการโดยทันที
หมอหลวงเจียงเดินกลับไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ไปตรวจโรคชาวบ้านกับพวกเราได้หรือไม่ บอกพวกเราด้วยเถิดว่าท่านทำอย่างไรถึงบอกได้ว่ามันไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา”
ที่จริงแล้ว คำพูดนี้มีความอยากรู้วิชา หลังจากที่หมอหลวงเจียงพูดออกมา ในใจก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เกรงก็แต่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่ตอบรับ เช่นนั้นหน้าเขาคงแหกหมอไม่รับเย็บแน่ๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย ตอบกลับอย่างจริงใจว่า “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
หมอหลวงเจียงดีใจเป็นอย่างมาก เดินตามอยู่ทางด้านหลัง
ชิงหลวนและจูหลีตะโกนออกไปอย่างร้อนรนว่า “นายหญิง!” เท้าหนึ่งข้างได้ก้าวเหยียบเข้าไปที่สถานกักตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหยุด หันกลับไปตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าหากไม่ฟังข้าล่ะก็ พวกเจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเสีย!”
คำพูดนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวชัดเจนว่าเป็นการสั่งสอน กลัวว่าพวกนางจะติดโรค ชิงหลวนและจูหลีตื้นตันใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าก็กลัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะสั่งให้พวกนางกลับจวนอ๋องฉีไปจริงๆ จึงตกใจแล้วถอยกลับไป มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาอ้อนวอน
เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอก “พวกเจ้าอยู่ด้านนอกไป ข้ายังมีเรื่องให้พวกเจ้าทำ”
ทั้งสองคนตอบรับ
ทุกคนมาถึงที่พักคนไข้ เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งคุกเข่าลงไปตรงหน้าคนไข้อาการหนักคนหนึ่ง จับชีพจรเขา แล้วบอกถึงอาการที่หนักๆ ของเขา อีกทั้งยังบอกถึงอาการก่อนหน้านี้อีกด้วย แล้วถามว่าถูกต้องหรือไม่
คนไข้พยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
หมอหลวงเจียงและคนที่เหลือยิ่งเลื่อมใสในตัวนางเข้าไปอีก ทุกคนเดินไปรอบๆ ห้อง จับชีพจรของคนไข้แต่ละคนที่มีอาการแตกต่างกัน แล้วปรึกษากันในเรื่องของอาการป่วยของพวกเขา แล้วถามเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นระยะๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตอบในทุกคำถามที่นางตอบได้ ไม่ได้หวงวิชาแต่อย่างใด
จางเจ๋อหวยให้คนไปเอายามา แล้วยืนตะโกนอยู่ทางด้านนอก
หมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ ได้ยินเสียงตะโกน จึงเร่งรุดเดินออกมา สั่งให้โยนถุงยามาหนึ่งถุง เปิดออก หลังจากตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่แล้ว ก็สั่งให้คนเอามาต้มแล้วรีบส่งมา
ยาต้มเสร็จแล้ว ส่งมาแล้ว วางไว้ที่หน้าสถานกักตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไป ยกขึ้นมา แล้วพาทุกคนมาที่ห้องของหวงฝู่อี้เซวียน
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียง จึงลืมตาขึ้นมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ยิ้มให้นางอ่อนๆ
หมอหลวงและคนอื่นๆ ตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่พวกเขามา ก็ได้ยินว่าซื่อจื่อติดโรคเข้าให้แล้ว เขาเลยสั่งกักตัวตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เจอเขา แต่ตอนนี้ซื่อจื่อผอมแห้งจนแทบจะจำไม่ได้ ไม่ได้มีรูปร่างที่สมบูรณ์เหมือนกับแต่ก่อน อีกทั้งยังไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ราวกับว่าจะตายวันตายพรุ่งก็มิปาน
ทุกคนสะเทือนใจเป็นอย่างมาก หวงฝู่อี้เซวียนเห็นดังนั้น รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีนัก แต่สีหน้าก็ไม่ได้แสดงออกอะไร ได้แต่พยักหน้าเบาๆ ทักทายหัวหน้าหมอหลวงว่า “หมอหลวงเจียง”
หมอหลวงเจียงโค้งคำนับกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวคุกเข่าลง เอายาวางไว้ที่พื้น แล้วประคองตัวของเขาขึ้นอย่างอ่อนโยน วางไว้บนตัวของตน แล้วหยิบยาขึ้นมาไว้ที่ตรงหน้าของเขาพร้อมพูดว่า “นี่เป็นยาต้มที่ข้าและหมอหลวงร่วมกันคิดค้นขึ้นมา เจ้าดื่มเข้าไปก่อน ดูสิว่าเป็นผลอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงเจียงไม่กล้ารับไว้ จึงรีบพูดว่า “พวกเรารับไว้ไม่ได้หรอกแม่นางเมิ่ง นี่เป็นใบสั่งยาที่ท่านเขียนขึ้นมา พวกเราไม่สามารถแย่งผลงานของท่านได้”
หวงฝู่อี้เซวียนอ่อนแอถึงขนาดไม่มีแรงจะพูดอะไร ทำได้เพียงยิ้มน้อยๆ ให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว เป็นสัญญาณบอกว่าให้เอายาให้ตัวเขาดื่ม
เมิ่งเชี่ยนโยวยกชามยาต้มขึ้นมา แล้วให้เขาดื่มยาลงไปอย่างช้าๆ หลังจากนั้นก็เอาชามยาวางไว้ที่พื้น แล้วประคองเขานอนลง บอกว่า “เจ้านอนไปอีกสักงีบ พอเจ้าตื่น พวกเราจะดูว่าเห็นผลหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเบาๆ หลับตาลงแล้วผล็อยหลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวและหมอหลวงทั้งหลายยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ
ฟ้ามืดแล้ว ทหารที่คอยแบกคนได้จุดตะเกียงภายในสถานกักตัว แล้วจึงจะถอดเสื้อที่หนาและหนักของตนออก พากันไปกินข้าวที่ด้านนอก
จางเจ๋อหวยสั่งให้เตรียมสำรับไว้ให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวกับหมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ ไว้แล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ออกมาสักที จึงตะโกนเรียกอยู่ทางด้านนอก
ได้ยินเสียงตะโกนของเขา หมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ มองหน้ากัน แล้วจึงตะโกนว่า “แม่นางเมิ่ง!”
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นจากการเผลอหลับอยู่ข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียน ก็จ้องมองไปที่เขาตาไม่กะพริบ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปบอกกับหมอหลวงทั้งหลายด้วยรอยยิ้มและสีหน้าที่ไม่เป็นกังวลแต่อย่างใดว่า “ทุกท่านไปกินข้าวเถิด ข้าจะเฝ้าอี้เซวียน ดูว่าเขาจะมีอาการอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงเจียงพยักหน้าบอกว่า “ก็ดี พวกเราจะไปกินข้าวก่อน เมื่อกินเสร็จจะมาเปลี่ยนกับท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วทุกคนก็เดินออกไป
ชิงหลวนและจูหลีไม่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา ในใจร้อนรนจนทนไม่ไหว แต่ว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงคอยอยู่ทางด้านนอก แล้วมองไปที่ด้านในตลอดเวลา
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของหวงฝู่อี้เซวียน ก็ยังคงร้อนอยู่มาก นางล้วงเข้าไปที่ในเสื้อของเขา คลำไปที่ลำตัวของเขา ก็ยังคงร้อนอยู่ ในใจนึกสงสัย กัดฟัน ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปทางด้านนอกอย่างรวดเร็ว สั่งชิงหลวนและจูหลีว่า “ไปซื้อผ้าพันคอ ผ้าห่มฝ้ายและสุรามา”
ทั้งสองคนตอบรับ แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งกัวเฟย “คืนนี้ให้ผลัดกันเฝ้ายาม เฝ้าด้านนอกไว้ให้ดี ถ้าหากว่ามีคนกล้าฉวยโอกาสลอบทำร้าย ห้ามอ่อนข้อให้เป็นอันขาด”
กัวเฟยตอบรับ
ชิงหลวนกับจูหลีไปซื้อของมา เมิงเชี่ยนโยวก็ให้คนไปเอาน้ำอุ่นมาอีก แล้วเอาไปเข้าไปที่ห้องอย่างละอันๆ เปิดเสื้อของหวงฝู่อี้เซวียนออก หยิบเอาสุรามาเปิด เทลงในมือ ถูมือให้ร้อน แล้วเอาไปทาที่หน้าอกของเขา หลังจากนั้นก็ออกแรงลูบขึ้นลงไปมา จนกระทั่งผิวกายแดง ตัวร้อนขึ้นถึงจะหยุด หลังจากนั้นก็จับเขานอนคว่ำ แล้วถูหลัง
ทำเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็แทบไม่รู้สึกตัวอะไรเลย ปล่อยให้นางจัดการตามอำเภอใจ
ถูเสร็จ แล้วก็เช็ดตัวของเขาสะอาดแล้ว ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย เอาผ้าห่มฝ้ายห่มไปที่ตัวของเขา
หลังจากนั้นก็นั่งลงที่ข้างกายเขา ในใจมีความวิตกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าครั้งที่แล้ว ที่ตนนั่งเครื่องบินแล้วเกิดข้อผิดพลาดขึ้น จังหวะนั้นที่รู้ดีว่าตนจะต้องตายแน่ๆ ก็ไม่เคยวิตกกังวลขนาดนี้มาก่อน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดหมดหวังขึ้นมา เม้มปาก จ้องไปที่เขา แล้วกัดฟันพูดขึ้นมาว่า “หวงฝู่อี้เซวียน ถ้าหากว่าจะเจ้าจะตายง่ายๆ แบบนี้ล่ะก็ ข้ารับรองได้เลยว่าต่อจากนี้ไม่ว่าชาติใดภพใด ข้าก็จะไม่มีวันขอเจอเจ้าอีกเป็นอันขาด”
หวงฝู่อี้เซวียนนิ่ง
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวแปรเปลี่ยนเป็นการขอร้อง “อี้เซวียน ข้าไม่เคยขออะไรเจ้าเลย ข้าขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว อดทนแล้วผ่านมันไปได้หรือไม่ ต่อให้จะเอาเรื่องที่เราจะแต่งงานกันมาแลก ข้าก็ยอม ข้าไม่ขอว่าจะอยู่กับเจ้าไปชั่วฟ้าดินสลายหรอก ข้าขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นก็พอ ขอแค่เจ้ามีชีวิตรอดกลับไป ต่อให้ชีวิตนี้ข้าไม่ได้เจอเจ้าอีก ข้าก็ยอม”
หมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ กินข้าวเสร็จเดินกลับไปที่ห้องเล็กนั่น ได้ยินคำพูดนี้พอดี จึงหยุดเดิน และยืนหนักใจอยู่ทางด้านนอก
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา จึงเก็บสีหน้าอารมณ์ทุกอย่าง แล้วพูดว่า “ทุกท่านเข้ามาเถิด”
พวกเขาเดินเข้าไปในห้อง เห็นของที่วางอยู่ภายในห้อง ทุกคนจึงมองหน้ากัน แล้วหมอหลวงเจียงก็พูดขึ้นว่า “แม่นางเมิ่ง เดี๋ยวพวกเราจะเฝ้าซื่อจื่อเอง ท่านไปกินข้าวเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้าไม่หิว จะรอให้อี้เซวียนฟื้นแล้วมากินข้าวด้วยกัน”
เห็นสีหน้าที่แดงก่ำของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว หมอหลวงเจียงอยากจะพูดแนะนำแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ซื่อจื่อได้รับเชื้อมาแล้วหลายวัน จนมาถึงขีดสุดของชีวิตแล้ว ถ้าหากว่ายาที่กินเข้าไปไม่ได้ผล ก็อาจจะ…เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่เคียงข้างกายเขา บางทีอาจจะได้เห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้
ทุกคนยืนอยู่ในห้องอย่างนิ่งสงบ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สภาพจิตใจของคนที่อยู่ในห้องตกต่ำจนถึงขีดสุด กินยาไปก็เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ซื่อจื่อยังไม่มีวี่แววทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ก็เท่ากับว่าใบสั่งยาของเมิ่งเชี่ยนโยวอันนี้ไม่ได้ผล เมื่อถึงวันพรุ่งนี้ ก็จะมีผู้คนมากมายล้มตาย ผู้คนในหลินเฉิงก็จะตกอยู่ในความหวาดกลัวอีกครั้ง
ไม่มีใครพูดจา ภายในห้องสงบเงียบ เงียบเสียจนได้ยินแต่เสียงลมหายใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมาทาบไปที่จมูกของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างระมัดระวังเป็นระยะๆ ดูว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่
เมื่อเห็นท่าทางของนางที่ยังคงมีหวังอยู่ เหล่าหมอหลวงต่างก็น้ำตาไหลนองด้วยความสะเทือนใจ ถึงจะเข้าใจได้ว่าที่ทุกคนต่างบอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรักหวงฝู่อี้เซวียนเพราะอำนาจ เลยเอาแต่เกาะเขาไม่ปล่อยนั้นเป็นเรื่องโกหก เพราะผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ นางรักซื่อจื่อจนแทบจะตายตามกันไปได้ อยู่เคียงข้างเขาโดยไม่กลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองเลยสักนิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น