ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 195-197

ตอนที่ 195-2 ทำการค้าขาย

 

 


 


วันที่ห้า เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งตื่นจากฝันในขณะที่ฟ้ายังไม่สว่าง คลุมเสื้อแล้วลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูโดยที่แม้แต่รองเท้าก็ยังไม่ได้ใส่ แล้วออกคำสั่งกับห้องข้างๆ ว่า “ชิงหลวน จูหลีเก็บของ แล้วตามข้าไปที่หลินเฉิง”


 


 


เมื่อนางเปิดประตูออกมา ชิงหลวนกับจูหลีก็ได้ยินเสียงแล้ว เมื่อนางออกคำสั่ง ทั้งสองคนก็ลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าแล้วเดินออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเสร็จ ก็หันหลังเดินเท้าเปล่าไปที่ข้างกล่อง เปิดฝาออก แล้วหยิบเสื้อออกมาหลายตัว เก็บใส่ในกระเป๋า ครั้งนี้ถึงใส่รองเท้าไปพลาง และออกคำสั่งชิงหลวนไปพลางว่า “ไปเรียกกัวเฟยให้นำองครักษ์ลับมายี่สิบนายแล้วไปกับข้า”


 


 


ชิงหลวนตอบรับ แล้วไปที่เรือนบ่าวรับใช้ กัวเฟยตกใจตื่นขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของชิงหลวนแล้ว ก็เตรียมตัวในทันที


 


 


เหวินเปียวก็ได้ยินคำพูดของชิงหลวนด้วยเช่นกัน หลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ตามมาที่จวน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเดินออกมาพร้อมกับถุงสัมภาระและเม็ดยาทั้งหมด ครั้นเห็นเหวินเปียว จึงรีบออกคำสั่งว่า “ขอฝากเจ้าดูแลเรื่องที่บ้านด้วย ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ล่ะก็ ก็ไปขอความช่วยเหลือจากพระชายาฉีหรือว่าใต้เท้าเปาก็ได้” เมื่อพูดจบ เหวินเปียวไม่ทันได้ตอบรับ นางก็เดินออกนอกลานบ้านไปแล้ว


 


 


เมื่อออกจากจวนมา กัวเฟยได้นำองครักษ์ลับมารอที่ด้านนอกแล้ว


 


 


พวกนางขึ้นขี่ม้า แล้วควบม้ามาจนถึงประตูเมือง


 


 


ฟ้ายังไม่สว่าง ประตูเมืองจึงยังไม่ได้เปิด ที่หน้าประตูเงียบสงัด


 


 


พอทหารเฝ้าประตูเห็นคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้ามุ่งหน้ามา ก็ยื่นมือออกห้าม “หยุด ประตูเมืองยังไม่เปิด ห้ามออกจากเมือง”


 


 


เมื่อมองไปที่ท้องฟ้า แสงฟ้ายังรุ่งสาง กว่าประตูจะเปิดก็ต้องอีกสักพักหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวใจร้อน จึงบอกด้วยน้ำเสียงเกรงใจว่า “ข้ามีเรื่องด่วน สามารถผ่อนปรนให้พวกข้าออกจากเมืองได้หรือไม่”


 


 


เห็นว่านางสวมใส่เสื้อผ้าดูดีทีเดียว แต่ลักษณะกลับไม่เหมือนขุนนางหรือข้าราชการ จึงน่าจะต้องเป็นคุณหนูของเศรษฐีบ้านไหนที่มีธุระต้องออกไปแน่นอน ทหารตอบกลับไปอย่างแข็งกร้าวว่า “คนที่จะออกจากเมืองทุกคนก็พูดแบบนี้ ถ้าหากว่าปล่อยให้ออกไปกันหมดง่ายๆ พวกเราจะเฝ้าประตูเมืองเพื่อการใดกัน”


 


 


การเฝ้าประตูเมืองเป็นหน้าที่ของพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อาจดื้อดึงฝ่าออกไปได้ ขณะที่ร้อนใจอยู่นั้น ชิงหลวนก็ควบม้าไปขึ้นมาข้างหน้า เอาป้ายคาดเอวจวนอ๋องฉีแสดงให้ทหารคนนั้น “พวกเราเป็นคนของจวนอ๋องฉี มีธุระที่จะต้องออกนอกเมือง รีบเปิดประตูเมืองให้เราออกไปเดี๋ยวนี้”


 


 


ครั้นทหารเห็นชัดแล้วว่าเป็นป้ายคาดเอวของจวนอ๋องฉีจริงๆ ก็ตกใจจนเข่าอ่อนไปหมดทันที แล้วรีบพยักหน้าขอโทษอย่างรวดเร็ว “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ เลยมองพวกท่านไม่ออก ขอให้ทุกท่านโปรดให้อภัยด้วย”


 


 


“อย่าพูดมาก เปิดประตูเมืองเร็วเข้า ถ้าหากไม่ทันการณ์ ข้าจะตัดหัวเจ้า!”จูหลีทำหน้าดุดันแล้วกล่าวตำหนิทหารผู้นั้น


 


 


ทหารไม่กล้าที่จะพูดต่อ แล้วรีบบอกให้ทหารอีกคนเอากลอนคล้องประตูเมืองออก เพื่อ ปล่อยพวกเขาออกจากเมืองไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนำหน้าควบม้าออกไป


 


 


และประตูเมืองอันหนักอึ้งก็ปิดลงอีกครั้ง


 


 


บนประตูเมืองมีคนใส่เสื้อสีดำคนหนึ่งยืนอยู่ หลังจากเห็นพวกนางออกจากเมืองไป ก็ปล่อยสัญญาณลับขึ้นบนท้องฟ้า หัวหน้าคนเฝ้าเมืองที่อยู่ทางด้านข้างก็โค้งคำนับ และยืนยู่ข้างกายเขาด้วยความนอบน้อม


 


 


“ทำได้ไม่เลว หลังจากกลับไปแล้ว ข้าจะรายงานท่านมหาเสนาบดีให้มอบรางวัลแก่เจ้า” คนเสื้อดำพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม พร้อมด้วยไอสังหาร


 


 


หัวหน้าคนเฝ้าประตูดีใจ พูดขอบคุณไม่หยุด


 


 


“จำไว้ เรื่องวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด ถ้าหากว่าแพร่งพรายออกไป ตระกูลของเจ้าจะไม่เหลือแม้แต่คนเดียว” คนเสื้อดำพูดจบ ก็เดินลงมาจากกำแพงเมือง


 


 


หัวหน้าคนเฝ้าประตูก็เหงื่อท่วมไปทั้งตัว มองเขาที่เดินออกไป ก็เกิดความรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา


 


 


ทหารด้านข้างก็เข้ามารายงานอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “หัว…หัวหน้า…”


 


 


หัวหน้ายืดหลังตรง แล้วสั่งพวกที่อยู่บนประตูเมือง “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ปิดปากให้สนิทด้วย มิเช่นนั้นจะโดนประหารโดยไม่รู้ตัว”


 


 


เหล่าทหารตอบรับอย่างเกรงกลัว


 


 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปที่เมืองหลินเฉิง ผ่านไปหนึ่งวัน ทั้งคนและม้าต่างก็เหนื่อยและหมดแรง


 


 


รู้สึกได้ว่าความเร็วของทุกคนเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถึงสถานที่ที่เป็นป่า เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดึงบังเ**ยนหยุดม้า แล้วสั่งว่า “ลงจากม้ามาพักกันเถอะ กินอาหารแห้งเสียหน่อย หลังจากนี้หนึ่งชั่วยามก็ค่อย…” พูดยังไม่ทันจบ ก็รู้สึกตัวได้ แล้วพูดไปทางป่าว่า “เจ้าคือผู้ใด จงแสดงตนออกมาเถิด”


 


 


เมื่อพูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากในป่า แล้วก็มีคนค่อยๆ เดินออกมา “แม่นางเมิ่ง ไม่ได้เจอกันเสียนานเลย”


 


 


ขึ้นนั่งบนหลังม้า ประเมินดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา “คุณชายเหวินเอ้อร์ ไม่ได้เจอกันนานเลย”


 


 


เหวินเอ้อร์ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “แม่นางเมิ่ง ตั้งแต่ที่จากเมื่อปีก่อน ข้าก็คิดถึงเจ้าเป็นอย่างมาก ลงจากหลังม้ามาคุยกันเสียหน่อยเป็นอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนหลังม้าไม่ขยับ “ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณชายเอ้อร์คิดถึง แต่ว่าวันนี้ข้ามีเรื่องด่วน จำต้องรีบไป ไว้วันหลังเราค่อยคุยกันจะดีกว่า”


 


 


สีหน้าของเหวินเอ้อร์ไม่ได้เปลี่ยนไป ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น “แม่นางเมิ่งออกจากเมืองมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จนตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว ก็คงเหน็ดเหนื่อยอย่างมากเป็นแน่ถือโอกาสนี้พักกันเสียหน่อย พวกเราก็จะได้คุยเรื่องค้าขายกันด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดอยู่ชั่วครู่ ก็พยักหน้าตกลง “ก็ดี ข้าก็รู้สึกเหนื่อยจริงๆ พักเสียหน่อยดีกว่า”


 


 


เมื่อพูดจบ ก็ลงจากม้า เดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ทางอีกฝั่งแล้วนั่งลง แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณชายเหวินเอ้อร์จะคุยเรื่องค้าขายอันใดกัน”


 


 


กวาดสายตามองดูคนที่อยู่บนหลังม้าแว่บหนึ่ง เหวินเอ้อร์ก็หัวเราะแล้วถามว่า “แม่นางเมิ่ง บ่าวรับใช้ของเจ้าไม่พักหรือ”


 


 


“ทุกคนลงจากม้ามา พักเสีย กินอาหารแห้งเสียหน่อยเถิด ข้ากับนายน้อยเหวินเอ้อร์เป็นเพื่อนเก่ากัน เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายใดหรอก” แม่นางเมิ่งออกคำสั่ง


 


 


ชิงหลวนกับจูหลีมองหน้ากัน ลงจากม้า แล้วเดินมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ยืนประกบข้างเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


กัวเฟยและนายองครักษ์ลับทั้งยี่สิบนายก็ลงจากม้า แล้วยืนอยู่ที่ม้าไม่ขยับไปไหน


 


 


“ดูเหมือนคนของแม่นางเมิ่งจะไม่ค่อยไว้ใจข้าเสียเท่าใด” เหวินเอ้อร์พูดแล้วหัวเราะ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะแล้วตอบกลับไปว่า “แน่นอน ดูจากประวัติของคุณชายเหวินเอ้อร์เมื่อก่อนนี้ พวกเขาไม่วางใจนั้นก็สมควรแล้ว”


 


 


เหวินเอ้อร์หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อก่อนนี้ข้าผิดเอง แต่ว่าครั้งนี้ข้าอยากคุยเรื่องค้าขายกับแม่นางเมิ่งด้วยจากใจจริง”


 


 


ดูเหมือนว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเหนื่อยล้ามากจริงๆ ร่างเริ่มเอนกายลงไปพิงที่ต้นไม้อย่างสบาย แล้วพูดด้วยท่าทางเกียจคร้านว่า “คุณชายเหวินเอ้อร์อยากคุยเรื่องการค้าอันใด เชิญพูดเถิด”


 


 


เหวินเอ้อร์มองไปที่นาง แววตาเผยความชื่นชมอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “เรื่องค้าขายที่ข้าจะคุย แม่นางเมิ่งก็รู้ตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงถามอีกกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคลายสีหน้ายิ้มลง แล้วสีหน้าก็ถมึงทึงขึ้น น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าใด “คุณชายเหวินเอ้อร์อย่าล้อข้าเล่นไป ข้าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มีความสามารถอ่านใจคนได้ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าคิดจะคุยเรื่องอะไร”


 


 


สีหน้ายิ้มแย้มของเหวินเอ้อร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แล้วประกบมือขอโทษ “แม่นางเมิ่งอย่าเพิ่งโกรธไป เป็นความผิดของเหวินเอ้อร์เอง ข้าขออภัยกับเจ้าด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมองเขาออก “คุณชายเหวินเอ้อร์ไม่ใช่คนเล่นลิ้น แต่ตอนนี้กลับพูดแต่เรื่องไร้สาระ ไม่ใช่ว่าจะมากีดกันไม่ให้ข้าไปหลินเฉิง เพื่อที่จะยื้อเวลาอย่างนั้นสินะ”


 


 


เหวินเอ้อร์ชะงักไปเล็กน้อย แล้วก็กลับมาทำตัวตามธรรมชาติอย่างรวดเร็ว “แม่นางเมิ่งคิดมากเกินไปแล้ว ข้าอยากคุยเรื่องค้าขายกับเจ้าจริงๆ เจ้าจะไปหลินเฉิงหรือไม่นั้นจะเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางที่เขาชะงักไปเล็กน้อย ในใจก็ขรึมลง ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับอี้เซวียนจริงๆ มิเช่นนั้นดูจากนิสัยของเหวินเอ้อร์แล้วไม่น่าจะคุยไร้สาระกับนางแบบนี้ เพียงแค่ไม่รู้ว่าเหวินเอ้อร์คนนี้มาเอง หรือว่าร่วมมือกับเฮ่อจางกันแน่ ถ้าหากว่าเป็นอย่างหลัง การจัดการกับเขาให้เร็วที่สุด ก็เป็นเรื่องยุ่งยากนัก


 


 


ในใจมีความคิดมากมาย แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาท่าทีใดๆ แม้แต่น้อย และยังคงถามด้วยสีหน้าที่จริงจังดังเดิม “เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณชายเหวินเอ้อร์ก็รีบพูดเถิด ข้าคนนี้ไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น ถ้าหากว่ารีบมากๆ อาจจะลงไม้ลงมือกับเจ้าก็เป็นได้”


 


 


คิดไม่ถึงว่านางจะพูดแบบนี้ เหวินเอ้อร์ก็ชะงักไปอีกครั้ง แล้วหัวเราะว่า “ข้อต่อรองที่ข้าจะคุยด้วยมีอยู่สามเรื่อง เรื่องแรกคือ ข้าต้องการจัดการสารเลวเหวินซื่อนั่น หวังว่าท่านจะไม่ยื่นมือเข้ามาขัดขวาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดหรือตอบรับอะไร แล้วถามต่อ “อย่างที่สองล่ะ”


 


 


มองไปที่ชิงหลวนกับจูหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเหวินเอ้อร์ก็พูดว่า “อย่างที่สองข้าชอบคนรับใช้ทั้งสองคนนี้ของเจ้า แม่นางเมิ่งพอจะเมตตาให้ข้าสักคนได้หรือไม่”


 


 


“แล้วอะไรอีก”


 


 


“อย่างสุดท้ายก็คือ เจ้าต้องกลับไปที่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะเอาเด็กในท้องของเฝิงจิ้งเหวินออก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้อต่อรองทั้งสามข้อของคุณชายเหวินเอ้อร์ไม่ได้ยาก แต่ว่า ข้าช่วยเจ้าทำเรื่องพวกนี้ แล้วข้าจะได้ประโยชน์อันใดเล่า”


 


 


เหวินเอ้อร์ให้ข้อเสนอว่า “ประโยชน์น่ะมี แต่ว่าแม่นางเมิ่งจะต้องตอบตกลงกับข้อเสนอทั้งสามข้อนี้ก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย “คุณชายเหวินเอ้อร์ก็รู้ว่าข้าเป็นคนทำการค้า เจ้าเคยเห็นแม่ค้าคนไหนทำการค้าขายแล้วยอมเสียเปรียบกันเล่า”


 


 


“ข้าเหวินเอ้อร์ขอสาบานต่อสวรรค์ แม่นางเมิ่งทำการค้าขายกับข้า จะต้องไม่เสียเปรียบอย่างแน่นอน”


 


 


“อ้อ หากว่าเป็นเช่นนั้นก็ลองพูดให้ข้าฟังหน่อย ดูสิว่าคุ้มหรือไม่”


 


 


เหวินเอ้อร์ยิ้มท่ามกลางความมืด แล้วหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย “เอาชีวิตของหวงฝู่อี้เซวียนมาแลกเป็นเช่นไร”

 

 

 


ตอนที่ 196-1 ทางหนีทีไล่

 

 


 


เหวินเอ้อร์พูดจบ สายตาเย็นชาและอำมหิตจ้องไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว อยากเห็นอาการตกใจลนลานจากใบหน้าของนาง


 


 


ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวเต้นแรงขึ้น จนเกือบจะแสดงอาการตกใจออกมา แต่นางใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อข่มเอาไว้


 


 


ดังนั้นสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้เปลี่ยนไป แล้วยิ้มอย่างสบายๆ “ไม่ว่าเมื่อใดชีวิตของอี้เซวียนก็เป็นของข้าอยู่แล้ว ข้อเสนอนี้ของคุณชายเหวินเอ้อร์ช่างน่าขันนัก”


 


 


เมื่อไม่ได้เห็นถึงความกังวลลนลานจากใบหน้าของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าของเหวินเอ้อร์ก็เริ่มจางลง และถามอย่างอดไม่ได้ว่า “สิ่งที่ข้าพูดนั้นคือชีวิตของหวงฝู่อี้เซวียน เจ้าจะไม่ยอมแลกจริงหรือ”


 


 


“ข้าจะไม่พูดคำเดิมเป็นครั้งที่สอง คุณชายเหวินเอ้อร์เปลี่ยนเป็นข้อต่อรองอย่างอื่นจะดีกว่า”


 


 


“เจ้า…” เหวินเอ้อร์โดนแบบนี้ จึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ


 


 


“ทำไมกัน คุณชายเหวินเอ้อร์ไม่มีแผนอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขออภัยด้วย ข้าจะไม่ทำการค้าที่ขาดทุน” เมื่อพูดจบ นางลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่อยู่บนตัวออก แล้วเดินมุ่งหน้าไปหาม้า พลางออกคำสั่งว่า “พักผ่อนพอแล้ว ก็รีบขี่ม้าไปกันเถอะ”


 


 


เหวินเอ้อร์แสยะยิ้ม “แม่นางเมิ่ง ข้าอุตส่าห์ให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่คว้ามันไว้ และตั้งตนเป็นศัตรูกับข้า คืนนี้ เจ้าไม่รอดแน่…” ยังพูดไม่ทันจบ เมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งจะเดินผ่านเขาไปก็หันตัวกลับมาทันที ในมือมีแสงสะท้อนเงาจากกริชแนบอยู่ที่ข้างลำคอของเขา ตามมาด้วยเสียงอันเยือกเย็น “สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือการถูกข่มขู่ คุณชายเหวินเอ้อร์ทำผิดมหันต์ต่อข้าเสียแล้ว ไม่ทราบว่าอยากจะตายแบบไหนดีล่ะ”


 


 


สองครั้งก่อนหน้านี้ เหวินเอ้อร์ไม่เคยมีเรื่องกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาก่อน ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่เคยรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีฝีมือขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ทันได้ระวังตัว ตอนนี้มีกริชอยู่ที่คอ จึงตื่นตระหนกอย่างมาก “นี่เจ้า…”


 


 


“ทางที่ดีคุณชายเหวินเอ้อร์อย่าพูดจะดีกว่า หากข้าเผลอสติหลุด จะปาดคอเจ้าขาดได้” เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนเขา


 


 


จากนั้น ก็ตะโกนเข้าไปในป่า “ท่านที่คอยแอบดูอยู่ในป่านั่นน่ะ เอาแต่ลอบมองเช่นนี้ไม่ดีหรอกนะ ปรากฏตัวออกมาเสียเลยเถิด”


 


 


เมื่อพูดจบ ไม่มีเสียงตอบรับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีรอ ออกแรงไปในมือที่ถือกริชอยู่ ปาดคอของเหวินเอ้อร์ จนมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาทันที


 


 


เหวินเอ้อร์เจ็บปวดจนร้องออกมา


 


 


แล้วก็มีคนเสื้อดำจำนวนมากออกมาจากป่านั่น คนที่เดินนำเผยสีหน้าที่กระวนกระวาย และร้องออกมาว่า “ปล่อยนายท่านของพวกเรา!”


 


 


เมื่อเห็นว่าไม่ใช่คนของเฮ่อจาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็โล่งอก จึงพูดเสียดสีไปว่า “นายเป็นอย่างไรบ่าวก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ชอบทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ แอบวางแผนทำเรื่องชั่วช้า”


 


 


นี่เป็นถ้อยคำที่เหน็บแนมพวกเขาที่แอบซ่อนอยู่ในป่าเพื่อเตรียมลอบโจมตี คนเสื้อดำที่เดินนำออกมาหน้าแดงขึ้น อยากจะอ้าปากพูด แต่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขัดขึ้นมาก่อนว่า “ในเมื่อพวกเจ้าก็รู้ว่าจุดมุ่งหมายของข้านั้นคืออะไร เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว เปิดทางให้ข้า แล้วนายท่านของพวกเจ้าจะปลอดภัย มิเช่นนั้นล่ะก็…” พูดไป มีดพกที่อยู่ในมือก็ปาดต่อไปอีก


 


 


เหวินเอ้อร์เจ็บปวดมาก จนร้องออกมาอีกครั้ง


 


 


“นายท่าน!” คนเสื้อดำได้ร้องขึ้นมา แล้วรีบโบกมือ คนเสื้อดำรีบสั่งให้คนไปล้อมเอาไว้


 


 


“ปล่อยนายท่านของพวกข้า แล้วข้าจะลองคิดเรื่องที่จะปล่อยเจ้าไป มิเช่นนั้น…” คนเสื้อดำพูดแสร้งทำเป็นวางมาดพูดอย่างไม่เกรงกลัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “มิเช่นนั้นจะทำไม จะตายพร้อมกันอย่างนั้นหรือ ถ้าหากว่านายท่านของพวกเจ้าไม่เสียดายชีวิต ข้าพร้อมสนองให้โดยทันที”


 


 


นึกไม่ถึงว่าคนที่จะเอาเรื่องความเป็นความตายมาพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาแบบนี้ จะเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง…


 


 


ต่อให้เป็นผู้ชาย ก็หาได้ยากที่จะมีคนกล้าพูดจาแบบนี้ เมื่อคนเสื้อดำได้ฟังก็หยุดชะงักไป ขณะที่กำลังจะอ้าปากอยากพูดอะไรสักอย่าง กลับโดนเมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกขึ้นมาว่า “เลิกพูดจากไร้สาระเสียที จะเปิดทางหรือไม่เปิดทาง ตอบมาให้สิ้นเรื่องเสียที!”


 


 


คนเสื้อดำพูดไม่ออก มองไปที่เหวินเอ้อร์ แล้วถามกลับไปว่า “นายท่านขอรับ?”


 


 


เหวินเอ้อร์รู้นิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น เขาจึงกัดฟัน แล้วพูดทีละคำออกมา “ปล่อยพวกนางไป”


 


 


คนเสื้อดำโบกมือ คนอื่นก็ถอยกลับไปที่ข้างกายเขา


 


 


“ยังดีที่คุณชายเหวินเอ้อร์รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ข้าไม่ไว้ใจคนของเจ้า เอาอย่างนี้แล้วกัน สั่งให้คนของเจ้าห้ามขยับ รอให้พวกเราออกไปก่อนสิบลี้ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าเอง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดออกมาอย่างสบายๆ


 


 


เหวินเอ้อร์กัดฟันแน่น “เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ ว่า “ตอนนี้ข้าเป็นมีดกับเขียง ส่วนเจ้าเป็นเนื้อปลา คุณชายเหวินเอ้อร์มีทางเลือกอื่นอีกหรือ”


 


 


เหวินเอ้อร์โกรธจนพูดไม่ออก เส้นเลือดเขียวที่หน้าผากปูดออกมาจนเห็นชัด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้อนใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากเสียเวลากับเขาแล้ว จึงพูดว่า “คุณชายเหวินเอ้อร์วางใจเถิด ข้าพูดคำไหนคำนั้น ขอแค่เพียงเจ้าให้ความร่วมมือกับข้า ข้าก็จะไม่แตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายเล็บ”


 


 


ชีวิตอยู่ในมือของนางแล้ว ไม่อยากตกลงก็ต้องตกลง เหวินเอ้อร์หลับตา แล้วออกคำสั่งด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก “พวกเจ้ายืนอยู่กับที่”


 


 


เมื่อเขาพูดออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีรอ พูดออกคำสั่งกัวเฟย “ดูเหวินเอ้อร์ไว้ให้ดี ห้ามทำร้ายเขา พวกเราไปเถอะ!”


 


 


กัวเฟยตอบรับ เดินมาข้างหน้า ในมือถือมีดสั้นจี้อยู่ที่ข้างลำคอของเหวินเอ้อร์ แล้วลากเขาขึ้นม้าไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็โดดขึ้นหลังม้า ตีบังเ**ยนม้า แล้วมุ่งหน้าออกไป


 


 


ทุกคนตามติดนางอยู่ด้านหลัง


 


 


ออกไปได้สิบลี้ จนกระทั่งมาถึงบริเวณหน้าผืนป่าแห่งหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดม้า สั่งกัวเฟย “ปล่อยคุณชายเหวินเอ้อร์ไปเถอะ”


 


 


กัวเฟยเก็บมีดที่จี้อยู่ที่ข้างลำคอของคุณชายเหวินเอ้อร์


 


 


เหวินเอ้อร์ถูกปล่อยลงจากหลังม้า แล้วมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาเคียดแค้นดังอสรพิษ แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มอย่างประหลาด “แม่นางเมิ่ง ตราบใดที่ฟ้าดินยังไม่สลาย พวกเราก็จะได้พบกันอีก หวังว่าเจอกันคราวหน้าเจ้าจะยังสุขสบายเช่นนี้อยู่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มอ่อน และตอบเหน็บแนมกลับไปว่า “ไม่ว่าจะเวลาใด สถานที่แห่งใด เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายเหวินเอ้อร์ ข้าก็จะยังสุขสบายเช่นนี้แน่นอน”


 


 


เมื่อพูดจบ ก็ไม่สนใจเขาอีก แล้วควบม้ามุ่งหน้าต่อไป


 


 


เหวินเอ้อร์มองเงาของพวกเขาที่กำลังลับหายไปกับความมืด สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนแปลงไม่หยุด


 


 


ผ่านไปชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยกลุ่มคนเสื้อดำที่อยู่ข้างหลังก็ตามมาทัน ทุกคนลงจากม้า แล้วยืนนิ่งอยู่กับที่


 


 


เหวินเอ้อร์เอาม้าที่ชายเสื้อดำจูงอยู่มาจูงแทน แล้วออกคำสั่งว่า “ส่งจดหมายไปที่ฝ่ายหน้า บอกว่าพวกเราทำพลาด ให้พวกเขาลงมืออย่างระมัดระวังด้วย”


 


 


คนเสื้อดำตอบรับ


 


 


เหวินเอ้อร์ขึ้นม้า หันหัวม้ามุ่งหน้ากลับไปทางเดิมที่พวกเขามา


 


 


เมื่อปล่อยเหวินเอ้อร์ทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ควบม้ามุ่งหน้าต่อไป ทว่าสมองกลับครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เร่งเดินทางได้หนึ่งวัน ทั้งคนและม้าก็เหนื่อยล้าอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงปล่อยเหวินเอ้อร์ไป ถ้าหากว่าใช้ไม้แข็งกับพวกคนเสื้อดำนั้น ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ คนของนางต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นแน่ นางไม่สามารถเพิกเฉยต่อพวกเขาได้ แล้วก็ไม่สามารถหยุดเพื่อช่วยรักษาพวกเขาได้ เช่นนั้นก็จะทำให้การเดินทางล่าช้าไปอีก แต่ว่าขนาดเหวินเอ้อร์ยังรู้ข่าวที่นางออกจากเมือง เฮ่อจางไม่มีทางไม่รู้แน่ แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ส่งคนมาขัดขวางนางอีก คิดได้เช่นนี้ จึงออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่า “เมื่อไปถึงด้านหน้าแล้ว หาโรงเตี๊ยมสักแห่งเพื่อพักหนึ่งคืน แล้วค่อยเดินทางต่อในวันรุ่ง”


 


 


แล้วจึงเดินทางไปอีกประมาณสิบลี้ ตอนที่ทุกคนอ่อนล้ากันอย่างมากแล้ว ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 196-2 ทางหนีทีไล่

 

 


 


 


พวกเขาลดความเร็วลง เข้าไปในหมู่บ้าน ก็มาถึงโรงเตี๊ยมที่ดูท่าไม่เลวแห่งหนึ่ง ทุกคนลงจากม้า เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปข้างใน แล้วสอบถามว่า “เถ้าแก่ ตอนนี้ยังมีห้องว่างหรือไม่” 


 


 


หมู่บ้านแห่งนี้เป็นทางที่จะต้องผ่านระหว่างเมืองหลวงและหลินเฉิง ในวันธรรมดาก็จะมีคนสัญจรมาพักที่นี่ แต่การที่จะมีคนมามาพักกันยี่สิบกว่าคนเช่นนี้ เป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากยิ่ง เมื่อเถ้าแก่เห็นคนเหล่านี้ ก็ยิ้มแก้มปริ และพูดตอบรับไม่หยุดว่า “มีๆ แม่นางอยากได้กี่ห้องกันล่ะ” 


 


 


“พวกเราทั้งหมดจะอยู่ที่นี่ เจ้าจัดการได้เลย เอาห้องดีๆ หน่อยล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้เป็นผู้มีอันจะกิน เถ้าแก่ดีใจนัก ท่าทางดูต้อนรับพวกเขากว่าเดิม จึงรีบหยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นมา แล้วพาพวกเขาขึ้นไปห้องพักด้วยตนเอง ชี้ไปที่ห้องซ้ายและห้องขวา บอกว่า “ใช้ห้องทั้งหมดนี้ได้เลย แม่นางดูก่อนว่าพอใจหรือไม่” 


 


 


“เปิดห้องดูหน่อยสิ” 


 


 


เถ้าแก่ตอบรับ แล้วเปิดห้องให้ตามลำดับจนมาถึงห้องสุดท้าย พร้อมจุดตะเกียงน้ำมันในทุกห้องให้  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนึกคิดว่าถึงแม้ว่าจะเก่าไปหน่อย แต่ก็สะอาดทีเดียว จึงพยักหน้าบอกว่า “เอาห้องพวกนี้แหละ รบกวนจัดเตรียมอาหารร้อนๆ ให้พวกข้าด้วย หลังจากที่กินเสร็จแล้ว พวกเราก็จะพักผ่อนทันที วันพรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางแต่เช้า” 


 


 


เถ้าแก่ตอบรับด้วยความดีใจ ไปจุดตะเกียงบนชั้นสองจนหมด แล้วถึงลงจากชั้นสองมาสั่งให้ลูกน้องทำกับข้าว 


 


 


กัวเฟยและคนอื่นจูงม้ามาผูกไว้ที่ด้านหลัง เมื่อสั่งลูกน้องในโรงเตี๊ยมให้มาดูแลแล้ว ถึงกลับขึ้นไปด้านบน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเลือกห้องที่อยู่ด้านในสุด ส่วนที่เหลือก็ให้พวกเขาจัดการกันเอาเอง 


 


 


เดินทางมาหนึ่งวันเต็ม ในที่สุดก็มีเตียงให้ได้นอน ทุกคนต่างนอนเอนอยู่บนเตียงของตนอย่างสบายราวกับว่าไม่มีกระดูกอย่างไรอย่างนั้น  


 


 


ลูกน้องจัดทำอาหารเสร็จแล้ว พวกเขาจึงลงมากินข้าวกัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินนำลงมา แล้วตรวจสอบอาหารอย่างถี่ถ้วน พบว่าไม่มีอะไรผิดแปลก จึงนั่งลง แล้วเป็นคนเริ่มกินข้าวก่อน 


 


 


เห็นดังนั้น ทุกคนก็อุ่นใจ และพากันนั่งลงกินข้าว 


 


 


เมื่อกินเสร็จและขึ้นไปที่ห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งกัวเฟย “จัดคนสองคนมาเฝ้าที่ระเบียงเอาไว้ด้วย” พอเห็นว่าทุกคนต่างก็เหนื่อยแล้ว จึงกำชับไปอีกประโยคว่า “หนึ่งชั่วยามค่อยเปลี่ยน” 


 


 


กัวเฟยตอบรับ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับห้องไป นอนลง ร่างกายอ่อนล้าเหนื่อยอย่างมาก ในสมองกลับยังคงคิดถึงคำพูดของเหวินเอ้อร์ตลอดเวลา จะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ 


 


 


พลิกไปพลิกมาจนไม่รู้หลับไปเวลาใด จากนั้นก็ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงรีบลุกขึ้นนั่งทันที แล้วตั้งใจฟังเสียงด้านนอก แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอันใด  


 


 


สัญชาตญาณนักฆ่าบอกนางว่า เสียงเมื่อครู่ที่นางได้ยินนั้นไม่ได้หูฝาดไปแน่นอน จึงใส่รองเท้า ลงจากเตียง เปิดประตูเดินออกมาจากห้อง  


 


 


ระเบียงทางเดินเงียบสงัด ไม่เห็นแม้องครักษ์ลับที่คอยเฝ้าอยู่ ในใจก็รู้สึกกระวนกระวาย มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เดินย่องๆ ไปที่ด้านข้างของประตู แล้วเคาะเบาๆ พร้อมส่งเสียงเรียก “ชิงหลวน จูหลี” 


 


 


ทั้งสองคนตื่นขึ้น ตอบรับ แล้วลุกออกมาจากเตียงอย่างรวดเร็ว “นายหญิง” 


 


 


“ดูท่าไม่ดี ปลุกทุกคนด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง 


 


 


ชิงหลวนกับจูหลีแยกกันไปเคาะตามห้อง 


 


 


ทุกคนถูกปลุกให้ตื่น กัวเฟยเดินออกมา ถามว่า “นายหญิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ” 


 


 


“คนที่เฝ้าเวรล่ะ” 


 


 


กัวเฟยมองไปที่ระเบียง ไม่เห็นคนเฝ้า จึงขมวดคิ้ว ถามว่า “เวลานี้ต้องเป็นเวรใครเฝ้าล่ะ” 


 


 


ทุกคนมองกันไปมา พักหนึ่งจึงมีคนพูดชื่อของคนที่ต้องเฝ้าเวรยามออกมา 


 


 


กัวเฟยตรวจสอบดู ไม่เห็นพวกเขา จึงรีบพูดว่า “นายหญิง” 


 


 


คนไม่สามารถที่หายตัวไปอย่างไร้สาเหตุได้ มีสองกรณีเท่านั้น คือไม่โดนจับไป ก็โดนลอบฆ่า คาดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเม้มปาก ออกคำสั่ง “เก็บของ แล้วออกจากโรงเตี๊ยมเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมื่อนางพูดจบ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากทางด้านล่าง “เกรงว่าจะไม่ทันเสียแล้ว คนในที่นี่ล้วนเป็นคนของข้า แม่นางเมิ่งจะดิ้นรนอย่างไรก็เปล่าประโยชน์” 


 


 


เมื่อพูดจบ ทางด้านล่างก็มีแสงไฟจากคบเพลิงสว่างจ้าขึ้นมา ส่องสว่างจนราวกับเป็นเวลากลางวัน เถ้าแก่และพวกพ้องทั้งหลายยืนอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ยิ้มเยาะมองมาที่พวกเขา และตรงหน้าพวกเขาก็คือองครักษ์ลับทั้งสองที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับ พวกเขาได้ตายไปเสียแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกโกรธอย่างมาก สององครักษ์ลับฝีมือดีต้องมาถูกลอบฆ่าไป ดูท่าแล้วฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีคนฝีมือเก่งกาจ หากว่าจะสู้กับพวกเขาล่ะก็ ไม่รู้แน่ว่าโอกาสชนะจะมีเท่าใด 


 


 


เถ้าแก่ยังคงยิ้มเยาะอยู่อย่างนั้น “แม่นางเมิ่ง สัญชาตญาณของเจ้านี้ดีเยี่ยมจริงๆ ทำให้ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก พวกเราอยากจะจัดการพวกเจ้าอย่างเงียบๆ เพื่อจะได้ไม่ทำให้คนทั้งหมู่บ้านตื่นตระหนกกันไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่ไม่เกรงกลัวว่า “เถ้าแก่ชมเกินไปแล้ว ต่อให้สัญชาตญาณข้าดีอย่างไรก็ไม่เยี่ยมยอดเท่าสติปัญญาของท่านหรอก วิธีการปกปิดตัวตน และซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวเลื่อมใสยิ่งนัก” 


 


 


เถ้าแก่ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรบอกว่า “โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมของเจ้านายข้าที่เปิดไว้หลายปีแล้ว เจ้าเป็นคนแรกที่นายท่านให้พวกเราลงมือ” 


 


 


“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าข้าโชคดีล่ะสิ ไม่ทราบว่าคำสั่งของนายท่านพวกเจ้าว่าอย่างไรบ้าง” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม แล้วส่งสัญญาณให้กัวเฟยเข้าไปตรวจสอบหน้าต่างในห้อง ดูว่าพวกเขาจะมีโอกาสหนีรอดออกไปได้หรือไม่  


 


 


ดูเหมือนว่าเถ้าแก่จะมองความคิดของนางออก จึงหัวเราะแล้วบอกว่า “แม่นางเมิ่ง คนในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนเป็นคนของพวกข้าทั้งสิ้น ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าเสียแรงเปล่าเลย ยอมจำนนเสียแต่โดยดีจะดีกว่า” พูดจบก็โบกมือขึ้น จากนั้นคนเสื้อดำกลุ่มหนึ่งถือธนูเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม ศรธนูถูกหยิบขึ้นมาวางที่คันธนูเรียบร้อย พร้อมเล็งตรงมาที่พวกเขา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้าไม่เปลี่ยน หัวเราะออกมาว่า “ท่านมหาเสนาบดีประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว ส่งคนมาจัดการข้าเสียตั้งมากมาย” 


 


 


เถ้าแก่ไม่ได้ตอบอันใด แต่กลับยิ้มแล้วถามกลับไปว่า “แม่นางเมิ่ง พวกเจ้าจะยอมดีๆ หรือว่าจะให้พวกเรายิงพวกเจ้าให้เหมือนกับยิงกระดานใบไผ่” 


 


 


กัวเฟยกลับมา แล้วพยักหน้าให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายนั้น จึงหัวเราะออกมา “ให้พวกเราลงไปจะดีกว่า หากถูกยิงเป็นกระดานใบไผ่คงจะเจ็บน่าดู” 


 


 


เมื่อพูดจบ แล้วเดินนำทุกคนลงมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว จนมาถึงตรงหน้าเถ้าแก่ 


 


 


เถ้าแก่พยักหน้า “แม่นางเมิ่งช่างเข้าใจง่ายจริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็อย่าได้เสียเวลาเลย” 


 


 


เมื่อพูดจบ ก็ส่งสัญญาณให้คนจับเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ มัดเอาไว้  


 


 


ลูกน้องกำลังจะก้าวเท้าออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดออกมาว่า “ช้าก่อน!” 


 


 


ฝีเท้าของลูกน้องทั้งหลายได้หยุดลง เถ้าแก่ขมวดคิ้วบอกว่า “ข้าขอแนะนำให้แม่นางเมิ่งอย่าเล่นตุกติกอะไรจะดีกว่า ข้าขอรับรองว่าจะทำให้ศพครบสามสิบสองแน่นอน” 


 


 


“คนตายก็เหมือนไฟดับ ร่างจะอยู่ครบหรือไม่ครบ ข้าไม่สนใจหรอก ข้าแค่อยากรู้ว่านายของพวกเจ้าเป็นใครกันแน่ มิเช่นนั้นข้าคงตายตาไม่หลับ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เถ้าแก่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก จะบอกชื่อของนายตนเองง่ายๆ ได้อย่างไร จึงบอกว่า “นายท่านของพวกเราเป็นใคร เมื่อไปถึงนรก พญายมบาลก็จะบอกเจ้าเอง ตอนนี้อย่าได้เสียเวลาอีกเลย” 


 


 


เมื่อพูดจบ จึงโบกมือ ส่งสัญญาณให้ลูกน้องเดินหน้าต่อ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำมือเป็นสัญญาณทางด้านหลัง รอจนกระทั่งพวกลูกน้องเดินมาถึงตรงหน้าพวกเขาและจะเอาเชือกออกมามัดนั้น เมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวน และจูหลี รวมไปถึงกัวเฟย และเหล่าองครักษ์ลับทั้งหลาย ก็ได้จับตัวพวกลูกน้องพวกนั้น แล้วรีบเอาตัวของพวกเขามาเป็นเกราะป้องกันธนูโดยเร็ว 


 


 


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เถ้าแก่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์จะกลับกลาย ไม่นึกว่าพวกเขาจะกล้าต่อต้าน จึงหยุดชะงักไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น “แม่นางเมิ่ง ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ยอมตายดีๆ ใช่หรือไม่” 


 


 


กริชของเมิ่งเชี่ยนโยววางอยู่ที่ลำคอของลูกน้องคนนั้น แล้วหัวเราะออกมาว่า “ข้าคนนี้ไม่เคยทำการค้าที่ต้องขาดทุน จึงต้องมีคนมารับแทนเสียหน่อย” 


 


 


“ดี ข้านับถือในความกล้าของแม่นางเมิ่งจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะสนองเจ้าเอง” เมื่อเถ้าแก่ พูดจบ ก็เดินถอยหลังไป อยู่ด้านหลังพลธนู แล้วทำสัญญาณมือ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องไปที่มือของเขาเตรียมตัวตั้งรับ 


 


 


ฟึบ! มีเสียงดังขึ้นมา มือของเถ้าแก่ยังไม่ทันส่งสัญญาณ เขาก็พุ่งไปข้างหน้าล้มลงกับพื้น ไร้ซึ่งเสียง ไร้ซึ่งลมหายใจ ด้านหลังของเขามีศรธนูปักอยู่  


 


 


ในขณะเดียวกัน ก็มีศรธนูตกใส่ทหารธนูที่อยู่ในโรงเตี๊ยม เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ตายไปหลายศพ เมิ่งเชี่ยนโยวและทุกคนลากลูกน้องพวกนั้นถอยหลังมาหลายก้าว เพื่อป้องกันไม่ให้โดนตนเองบาดเจ็บ 


 


 


คนเสื้อดำสามสี่สิบคนบุกเข้ามาที่ในโรงเตี๊ยม โดยไม่พูดอะไร ก็จัดการพลธนูที่เหลือจนหมด  


 


 


โรงเตี๊ยมเงียบสงัด  


 


 


ลูกน้องที่โดนจับตัวอยู่ก็ตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น  


 


 


คนเสื้อดำโค้งคำนับ “แม่นางเมิ่ง!” 


 


 


แม่นางเมิ่งไม่ทันได้พยักหน้า ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกโรงเตี๊ยม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกแรงที่กริชบนมือ และร่างกายของลูกน้องก็อ่อนทรุดลงไป 


 


 


แล้วก็มีแสงสีเงินส่องวาบจากคนอื่นๆ ลูกน้องทั้งหมดก็ตายลง 


 


 


ขณะเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ก็เห็นมีคนหกคนที่กำลังสู้กันอยู่ 


 


 


สามคนในหกคนนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวรู้จัก พวกเขาก็คือองครักษ์เงาที่เคยอยู่เคียงข้างหวงฝู่อี้เซวียนนั่นเอง จึงออกคำสั่งกับว่า “กัวเฟย เข้าไปช่วยเดี๋ยวนี้ รีบจัดการให้เร็วที่สุด” 


 


 


กัวเฟยตอบรับ และนำคนอื่นเข้าไปช่วย สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงห้าสิบกระบวนท่า คนเสื้อดำสามคนนั้นก็ถูกปลิดชีพลง 

 

 

 


ตอนที่ 197-1 เป็นตายร้ายดีก็ต้องอยู่ด...

 

หลังจากกัวเฟยจัดการเรียบร้อย ก็นำทุกคนเดินกลับไปที่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


และคนเสื้อดำที่เหลือก็ก้าวขึ้นมาพร้อมกับคำนับเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่า “แม่นางเมิ่ง!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า  


 


 


คนเสื้อดำพูด “ท่านอ๋องฉีรู้ข่าวว่าแม่นางเมิ่งได้นำคนออกมาจากเมือง เป็นห่วงว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุขึ้น จึงเร่งส่งข้ามาสนับสนุน” 


 


 


“ขอบพระคุณท่านอ๋องเป็นอย่างมาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


คนเสื้อดำยังบอกอีกว่า “พวกข้าจะอยู่จัดการที่นี่ ขอให้แม่นางเมิ่งไปที่หลินเฉิงก่อนช จัดการทางนี้เสร็จเรียบร้อยเมื่อใดพวกเราจะเร่งตามไปทันที” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้างในมีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่สองคน ขอให้เจ้าดูแลเขาให้ดีด้วย” 


 


 


คนเสื้อดำตอบรับ แล้วยังบอกอีกว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านอ๋องบอกแล้วว่า ถ้าหากมีคนกล้าทำร้ายท่าน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสงสาร ถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ท่านอ๋องรับผิดชอบเอง” 


 


 


ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะคาดการณ์เรื่องบางอย่างได้ จึงบอกกับนางมาแบบนี้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วพาทุกคนไปด้านหลังโรงเตี๊ยม จูงม้าออกมา ขึ้นขี่บนหลังม้า แล้วควบออกไป 


 


 


ระหว่างทางไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้นอีก คืนวันที่สองก็มาถึงหลินเฉิงในที่สุด  


 


 


เมื่อเข้าไปที่หลินเฉิง ไร้ซึ่งวี่แววของผู้คน บนถนนหนทางก็ไม่มีผู้คนผ่านไปมา เมิ่งเชี่ยนโยวใจร้อนยิ่งนัก จึงเร่งควบม้าให้เร็วเข้าไปอีก  


 


 


ใกล้จะมาถึงที่จวนหลินเฉิง ก็ได้เห็นสถานกักตัวที่อยู่ข้างทางมาตลอดไม่ถ้วน อีกทั้งหน้าที่หลบภัย ยังมีหม้อใบใหญ่แขวนอยู่ด้วย แสดงให้เห็นว่าเอาไว้ทำกับข้าวให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบเหล่านั้น 


 


 


ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีการใช้กำลัง ดูเหมือนจะสงบดี  


 


 


ยิ่งเข้าไปในตัวเมือง ที่หลบภัยก็ยิ่งน้อยลง และบนสีหน้าของผู้คนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว 


 


 


แต่กลับไม่เห็นว่ามีคนตายกองอยู่ที่พื้นดิน 


 


 


บอกให้ผู้เฒ่าท่านหนึ่งหยุด แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามอย่างมีมารยาทว่า “ท่านลุง ไหนว่าหลินเฉิงเกิดโรคระบาดขึ้นอย่างไรล่ะ ตายไปเยอะหรือเปล่า ข้าเห็นว่าบ้านเมืองก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดี ไม่ได้เป็นแบบที่ได้ยินมาเลย” 


 


 


ผู้เฒ่าคนนั้นดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วจึงบอกว่า “แม่นางเป็นคนที่อื่นงั้นรึ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า  


 


 


ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งเฮือก “แม่นางไม่รู้หรือว่า ที่เห็นอยู่นี่เป็นผลงานของซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีทั้งนั้น หลังจากที่เขามา ก็ได้ทำที่หลบภัยไว้มากมาย แล้วเอาพวกเราเข้าไปหลบอยู่ในนั้น ในทุกวันก็จะจัดสำรับร้อนๆ มาตามเวลาที่กำหนด ต่อมาเมื่อเกิดโรคระบาดขึ้น ก็เป็นซื่อจื่อที่วิธีการแก้ปัญหานี้ออกมา โดยการโยกย้ายคนที่อาจจะติดโรคออกไปไว้ที่เมืองซีเฉิง กักตัวเอาไว้ พวกเราที่เหลือก็เลยไม่ได้รับเชื้อติดต่อมา” 


 


 


เมื่อได้ยินเขาพูดถึงหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามอีกว่า “แล้วตัวเขาล่ะ ท่านลุงรู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ใด” 


 


 


ผู้เฒ่าก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เห้ออ ซื่อจื่อเอาแต่คิดถึงเรื่องของประชาชน เป็นผู้นำคนมาทำที่หลบภัยทั้งวันทั้งคืน ทำสถานกักตัว แล้วยังคิดหาวิธีจัดการโรคระบาดอีก น่าเสียดาย ที่เขากลับติดโรคนี้เข้าให้ เลยโดนใต้เท้าที่มาใหม่ส่งไปที่ซีเฉิง…” 


 


 


เขายังไม่ทันพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หายไปแล้ว 


 


 


ผู้เฒ่าหยุดชะงักไป มองไปที่ฝุ่นทรายนั้น แล้วก็สงสัย 


 


 


เรื่องที่ตนกังวลที่สุดเป็นจริงขึ้นมาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเคร่งขรึมเป็นที่สุด หกวันมาแล้ว ไม่รู้ว่าอี้เซวียนจะยังไหวอยู่หรือไม่ 


 


 


ชิงหลวนและจูหลีรวมไปถึงกัวเฟยล้วนตกใจเป็นที่สุด ซื่อจื่อติดโรคเข้าให้แล้ว แต่ว่าในเมืองหลวงกลับไม่มีใครรู้ข่าวนี้เลย ขนาดองครักษ์หลวงของฮ่องเต้ยังไม่มาส่งข่าว หรือว่า…” 


 


 


ทุกคนไม่กล้าคิดต่อ ทำได้เพียงเร่งตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ซีเฉิงอย่างรวดเร็ว 


 


 


ขณะที่กำลังจะออกจากประตูเมือง ก็มีนายทหารที่เฝ้าประตูเมืองอยู่จะหยุดพวกนาง บอกว่า “หยุด ข้างนอกเป็นเขตกักตัว ห้ามออกไปด้านนอกเด็ดขาด…” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจ จึงควบม้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ทางด้านหลังก็ตามไปด้วย 


 


 


นายทหารตกใจเป็นอย่างมาก เอาตัวหลีกออกมา พร้อมตะโกนด่าว่า “บ้าเอ้ย ไม่รู้หรือไง ออกไปรนหาที่ตายแท้ๆ ” 


 


 


เมื่อออกมานอกเมืองมาประมาณยี่สิบสามสิบลี้ ก็เห็นเป็นที่เชือกล้อมปักด้วยไม้ไผ่ง่ายๆ ข้างในมีคนนอนอยู่อย่างระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ แล้วข้างนอกก็มีทหารคอยเฝ้าอยู่  


 


 


และทางด้านหน้าของทหารเหล่านั้น ก็มีเฮ่อเหลี่ยนที่ทำหน้าดุดันจ้องมองมาที่นาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากม้า แล้วเดินมองจ้องไปที่เฮ่อเหลี่ยน ยังไม่ทันเดินไปถึงข้างหน้าเขา ก็โดนทหารห้ามไว้ว่า “หยุด ที่นี่เป็นสถานกักตัว ห้ามก้าวเข้ามา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนทำท่าทางแกมเยาะเย้ยกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เสียเวลาถามตรงๆ เลยว่า “อี้เซวียนล่ะ” 


 


 


เฮ่อเหลี่ยนชี้ไปทางด้านหลัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ปลื้มปิติยินดีอย่างที่สุดว่า “ซื่อจื่อติดโรคระบาด ก็เลยต้องส่งเขาเข้าไปข้างในตามกฏที่เขาตั้งไว้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า เฮ่อเหลี่ยนออกคำสั่ง “หยุดนาง!” 


 


 


แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวกูพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “กัวเฟย จัดการ!” 


 


 


พูดจบ กัยเฟยก็พุ่งเข้ามา อยากจะจับตัวเฮ่อเหลี่ยน แล้วก็มีเงาพุ่งออกมาจากด้านหลังของเฮ่อเหลี่ยน และรับมือกับกัวเฟยได้อย่างสูสี 


 


 


กัวเฟยเกิดอาการประหวั่น ดูท่าไม่ดี เลยถอยกลับไป 


 


 


ชิงหลวนกับจูหลีออกไปรับมือแทน 


 


 


กัวเฟยยังไม่ทันได้ยืนนิ่ง ก็กลับไปสู้อีก และตามด้วยเหล่าองครักษ์ลับทั้งหลาย 


 


 


ทหารลับที่เฮ่อเหลี่ยนนำมาด้วยก็ยอมสิโรราบอย่างรวดเร็ว และในมือของกัวเฟยก็ถือมีดสั้นวางพาดไปที่ท้ายทอยของเฮ่อเหลี่ยน 


 


 


เหล่าทหารตกใจเป็นอย่างมาก เลยเรียกพร้อมกัน “ใต้เท้า!” 


 


 


สีหน้าของเฮ่อเหลี่ยนซีดลงโดยทันที แล้วตะโกนออกไปอย่างไม่ยอมว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว ช่างสามหาวยิ่งนัก ข้าเป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงโปรดส่งข้ามา มีอำนาจประหารก่อนได้รับอนุญาต เจ้ากล้าทำอย่างนี้กับข้าอย่างนั้นรึ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองจ้องไปที่เขา แล้วหันหลัง เดินไปที่ด้านหน้าเขา มองจ้องเขา ด้วยสีหน้าดุดัน น้ำเสียงราบเรียบ คำพูดที่พูดออกมาทำให้เฮ่อเหลี่ยนตัวสั่นเป็นอย่างมาก “ถ้าหากว่าอี้เซวียนเป็นอะไรไปล่ะก็ ข้าจะให้เจ้าชดใช้อย่างสาสม” 


 


 


เมื่อพูดจบ ก็หันหลังเดินมุ่งเข้าไปที่สถานกักตัว 


 


 


“บังอาจ! กล้าดีอย่างไรมาจับขุนนางของราชสำนัก ทหาร จัดการซะ!” มีเสียงที่กึ่งคุ้นเคยส่งผ่านมาจากทางด้านหลัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับ มีขุนนางใส่ชุดราชสำนักรีบเดินเข้ามา และออกคำสั่งกับทหารที่ตนนำมา 


 


 


เหล่าทหารตอบรับ ในมือที่มีดเล่มใหญ่ดูน่าเกรงขรามแล้วล้อมกัวเฟยเอาไว้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตามอง 


 


 


ขุนนางเดินมาที่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดเสียงดังว่า “คนสารเลว กล้าดียังไง…” แต่เมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ตกใจพูดออกมาว่า “แม่นางเมิ่ง!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า บอกว่า “ใต้เท้าจาง” 


 


 


จางเจ๋อหวยพูดด้วยน้ำเสียงดีใจเป็นอย่างมาก “แม่นางเมิ่ง ท่านมาที่หลินเฉิงนี้ด้วยเหตุอันใด มีเรื่องต้องจัดการอย่างนั้นหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบัง ตอบไปสั้นๆ ว่า “ซื่อจื่อเป็นคู่หมั้นของข้า” 


 


 


จางเจ๋อหวยอึ้งไปครู่หนึ่ง เล่าลือกันว่า ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีมีหญิงสาวในดวงใจแล้ว เพื่อนาง เขายอมยกเลิกงานแต่งงานกับคุณหนูจวนราชเลขาอย่างไม่หวาดหวั่น แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือ เพื่อนางแล้ว เขายอมเป็นตัวแทนฮ่องเต้มาทำเรื่องที่สำคัญอันโหดร้ายนี้ทั้งๆ ที่อายุยังน้อย ที่แท้หญิงสาวคนนั้นก็คือเจ้าเองหรือ เมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


ในใจครุ่นคิด สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา ก็รู้แล้วว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงหัวเราะแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าจางจะทำให้มันง่ายขึ้นได้หรือไม่” 


 


 


ทำให้มันง่ายของนาง นั่นหมายความว่าให้นางได้เข้าไปที่สถานกักตัวนั่นเอง แต่ว่า… 


 


 


“ทำไมหรือ ใต้เท้าจางไม่ยินยอมอย่างเช่นนั้นหรือ” รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวได้หายไป น้ำเสียงก็นิ่งขึ้น 


 


 


จางเจ๋อหวยรีบโบกไม้โบกมือ บอกว่า “ไม่ๆๆ แม่นางเมิ่ง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ปีนั้นที่ท่านช่วยข้าและอวี่เอ๋อร์เอาไว้ ข้าก็ได้พูดเอาไว้แล้ว ว่าไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดเวลาใด ขอเพียงแค่เป็นที่ๆ เจ้าเรียกใช้งานข้าได้ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ ข้าก็ไม่เกี่ยง แต่ว่า ตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ถ้าแม่นางเข้าไปด้านใน ก็อาจจะไม่ได้ออกมาอีก เจ้าต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้านิ่งสงบ ไม่มีความเกรงกลัวใดๆ พูดว่า “ข้ากับอี้เซวียนเป็นครึ่งหนึ่งของกันและกันแล้ว ถ้าหากว่าไม่มีเขา ชีวิตนี้ของข้าก็ไร้ซึ่งความหมาย ดังนั้น ใต้เท้าจางอย่าได้เป็นกังวลเลย ขอก็แต่ให้คนของท่านถอยออกไปก็พอ” 


 


 


จางเจ๋อหวยประทับใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดมากอีกต่อไป “ได้ ข้าจะปล่อยให้แม่นางเมิ่งเข้าไป ส่วนข้าจะเฝ้าอยู่ทางนี้ทั้งวันทั้งคืน ถ้าหากว่าแม่นางมีอะไร ก็ออกคำสั่งมาได้เลย” 


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวได้คลายลงเล็กน้อย แล้วยิ้มออกมา บอกว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณใต้เท้าจางเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าข้ากับอี้เซวียนมีชีวิตรอดออกมาได้ จะไม่ลืมบุญคุณของท่านเป็นแน่แท้ ถ้าหากว่าไม่ได้ล่ะก็ ข้าก็จะส่งจดหมายไปที่ท่านอ๋องฉี ให้เขาคุ้มครองท่านไปตลอดชีวิต” 


 


 


เมื่อพูดเช่นนั้น คนที่อยู่ในสถานการณ์ตรงนั้นต่างก็เข้าใจ ว่าหลังจากนี้จางเจ๋อหวยจะได้มียศสูงตำแหน่งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน จึงมีความคิดที่จะย้ายพรรคย้ายพวกในชั่วพริบตากันเลยทีเดียว 


 


 


อีกทั้งจางเจ๋อหวยก็รีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “แม่นางเมิ่งเป็นผู้มีพระคุณของข้ากับอวี่เอ๋อร์ เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ต้องเก็บเอาไปคิดหรอก ข้าหวังแค่ว่าขอให้แม่นางเมิ่งและซื่อจื่อรอดออกมาได้อย่างปลอดภัยก็พอ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วมุ่งหน้าเดินที่ทางด้านใน  

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)