ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 191-195

ตอนที่ 191-1 สงสัย

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ “ข้าไม่ใช่หมอสูติเสียหน่อย ข้าจะมีความสามารถขนาดนั้นได้อย่างไร” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วไปมากกว่าเดิม แล้วถามกลับว่า “หมอสูติอย่างนั้นหรือ” 


 


 


เมื่อรู้สึกว่าตนพูดมากเกินไป เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าซีด 


 


 


“หมอนั่นคืออะไร” หวงฝู่อี้เซวียนถามต่อ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลบสายตา แล้วตอบกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ก็คือ ก็คือหมอที่ดูแลรักษาเฉพาะการตั้งท้อง” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองจ้องไปที่นางอยู่ครู่หนึ่ง มองจนเมิ่งเชี่ยนโยวเหงื่อออกเต็มฝ่ามือไปหมด ถึงจะ “อืม” ออกมา แล้วไม่ได้ถามต่ออีก  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกโล่งใจ แล้วเตือนตัวเองอีกรอบว่า วันหลังเวลาจะพูดอะไรให้ระวังหน่อย ห้ามพูดอะไรหลุดออกมาต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียนอีก  


 


 


ตลอดทางไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้น ไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน หวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้าก่อน แล้วรับเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา บอกว่า “ข้าไม่เข้าไป ข้าจะกลับจวนหาเสด็จแม่เสียหน่อย แล้วจะไปที่พระราชวังรายงานเสด็จลุง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ แล้วเดินเข้าจวนไป 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ที่ด้านข้างรถม้า มองนางด้วยสายตาที่สงสัยอยู่นาน แล้วหันหลังขึ้นรถม้าไป แล้วสั่งให้กัวเฟยไปส่งเขาที่จวนอ๋อง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกถึงสายตาที่หวงฝู่อี้เซวียนมองเขามาจากทางด้านหลัง ใจก็เต้นแรงขึ้นมา แล้วพยายามทำตัวปกติเดินเข้าไปในจวน ถอนหายใจหนึ่งเฮือก ภายในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา 


 


 


แล้วถอนหายใจแรงๆ อีกหนึ่งที ส่ายหัว เอาเรื่องที่หนักใจทิ้งไป แล้วเดินมุ่งไปยังเรือนที่เมิ่งฉีอยู่  


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งอี้ก็ตามขบวนรถม้ากลับมาเช่นเดียวกัน ตอนนี้กำลังนั่งคุยกับสองสามีภรรยาเมิ่งเสียนอยู่ในห้อง เมิ่งเจี๋ยก็กำลังเล่นอยู่กับเด็กๆ เส้าเอ๋อร์และหงเอ๋อร์อยู่  


 


 


เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา เส้าเอ๋อร์และหงเอ๋อร์ก็ตะโกนเรียพร้อมกันว่า “ท่านอา” แล้ววิ่งพุ่งเข้าหานาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มเด็กๆ ขึ้นมา เห็นใบหน้าแดงๆ ที่กำลังยิ้มอยู่จึงถามว่า “หนาวไหม” 


 


 


“ไม่หนาว” ทั้งสองคนตอบพร้อมกันอย่างไร้เดียงสา แล้วเส้าเอ๋อร์ก็ดีใจพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “ท่านอา บ้านของท่านหลังนี้ใหญ่จริงๆ เลย” 


 


 


เมิงเชี่ยนโยวลูบปลายจมูกแดงๆ ของเขา แล้วพูดว่า “บ้านของอาก็เหมือนบ้านของเส้าเอ๋อร์ เส้าเอ๋อร์เล่นในบ้านได้ตามสบายเลย” 


 


 


เส้าเอ๋อร์ดีใจตอบรับ 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงของนาง ซุนเชี่ยนกับโจวอิ๋งก็เดินออกมา ซุนเชี่ยนหัวเราะแล้วพูดว่า “พอเห็นบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ เส้าเอ๋อร์ดีใจจะแย่ ตั้งแต่เข้ามาก็ไม่ได้หยุดนิ่งเลย” 


 


 


“ข้าได้ซื้อจวนหนึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ใหญ่กว่าที่นี่อีก เดี๋ยวไว้วันหน้า ข้าจะพาพวกเจ้าไปดู” เมื่อพูดจบ เลยปล่อยให้เส้าเอ๋อร์และหงเอ๋อร์ไปเล่น ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปในห้องกับอีกสองคน 


 


 


นั่งลง เมื่อเห็นสายตาของทั้งสองคนมองมาที่นางเช่นนั้นแล้ว เลยหัวเราะออกมาว่า “ฮูหยินของท่านแม่ทัพท้องแล้ว แต่ว่าอาการหนักจนกินอะไรไม่ได้เลย ท่านแม่ทัพไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน นึกว่านางเป็นโรคอะไรหรือเปล่า เลยรีบส่งคนไปตามข้ากลับมา” 


 


 


เมื่อทุกคนเข้าใจ ก็ไม่ได้ถามต่อ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปถามโจวอิ๋งว่า “พี่สะใภ้ ท่านและพี่เมิ่งอี้จะอยู่ที่นี่ หรือว่าจะกลับบ้านแม่วันนี้เลย” 


 


 


โจวอิ๋งหัวเราะแล้วบอกว่า “พวกเราเพิ่งปรึกษากันเมื่อครู่นี้เอง พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่จะอยู่ที่นี่ก่อนสักระยะ พวกเราก็จะอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาด้วยชั่วคราว รอพวกเขากลับไปก่อน พวกเราค่อยย้ายไปอยู่ที่บ้านแม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน ข้าเพิ่งจะกลับมา เรื่องที่ต้องจัดการก็มีมากมายเหลือเกิน ดีที่มีพวกเจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่ แต่ว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องไปสวัสดีปีใหม่กับท่านตี้ซือเสียก่อน” 


 


 


เมิ่งเสียนกับซุนเชี่ยนรู้จักท่านตี้ซือ ก็เลยไม่ได้แปลกใจอะไร  


 


 


พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง จนล่วงเลยมาถึงตอนกลางวัน แม่ครัวก็ทำอาหารกลางวันเสร็จแล้ว 


 


 


หลังจากที่ทั้งบ้านกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกลับไปพักผ่อนที่ห้องตน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่คิดเรื่องโรงงาน พักไปได้เดี๋ยวเดียว ก็สั่งให้กัวเฟยควบรถม้าไปที่โรงงานที่เป่ยเฉิง  


 


 


แม้ว่าจะเพิ่งเดือนหนึ่ง ถนนบนเป่ยเฉิงก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาหางานทำ เมื่อเห็นรถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเคลื่อนเข้ามา เลยตามหลังรถม้ามาจนถึงปากประตูโรงงาน รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า แล้วรุมถามว่า “นายหญิง พวกเราจะทำงานได้เมื่อไรหรือ” 


 


 


ผ่านปีใหม่มาแล้ว สภาพอากาศก็อบอุ่นขึ้นมาหน่อย แต่ว่าน้ำแข็งบนถนนยังไม่ละลาย สภาพตอนนี้ยังไม่สามารถทำการเกษตรอะไรได้เลย เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจอารมณ์ของพวกกรรมกรที่อยากรีบร้อนทำงาน เลยหัวเราะบอกว่า “ยังต้องรออีกหน่อย รอให้นำแข็งละลายก่อน ข้าจะมาเรียกพวกเจ้าไปทำงาน” 


 


 


ล้วนเป็นพวกที่ทำงานมาแล้วหลายปี ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้ยังทำงานไม่ได้ ที่มาถามก็เพื่ออยากที่จะได้ข่าวสารที่แน่ชัดก็เท่านั้น เมื่อได้ยินคำตอบจากเมิ่งเชี่ยนโยว ว่าจะเรียกใช้งานพวกเขา ก็อุ่นใจ แล้วแยกย้ายกันออกไป กลับไปรองานอื่นทำตามข้างถนนต่อไป 


 


 


หวงฝู่อวี้และบ่าวรับใช้ได้ยินเสียงที่หน้าประตู ก็เดินออกมาดู เห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว ก็ดีใจเป็นอย่างมาก บ่าวรับใช้รีบเดินออกมาทำความเคารพ หวงฝู่อวี้ดีใจเดินมาพูดว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้ากลับมาแล้วหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับพยักหน้า เดินเข้าไปในโรงงาน บอกว่า “ที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย เลยกลับมาช้ากว่ากำหนดไปวันหนึ่ง เลยต้องรบกวนให้พวกเจ้าช่วยดูแล” 


 


 


บ่าวรับใช้บอกว่า “ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรที่จะทำ รบกวนอะไรกันขอรับ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ได้แต่โบกมือ “ข้าน่ะอยากเปิดโรงงานจะแย่แล้ว พี่ใหญ่ไม่อยู่บ้าน ไม่มีใครอยู่กับข้าเลย น่าเบื่อจะแย่ สู้ออกมาทำงานข้างนอกเร็วๆ ยังจะดีเสียกว่า” 


 


 


เดินไปรอบๆ โรงงาน เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่พยักหน้าอย่างพอใจ 


 


 


อีกทั้งคนงานในโรงงานเมื่อเห็นนางเดินผ่านมา ก็ทักทายนางด้วยความยินดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ แล้วเดินออกมาจากโรงงาน เดินนำทั้งสองคนมาที่ห้องรับแขกในโรงงาน ให้ทั้งสองคนนั่งลง หุบยิ้ม แล้วพูดกับทั้งสองคนด้วยท่าทางจริงจังว่า “ปีนี้ในบ้านมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย พี่รองของข้าไม่ว่างมาที่นี่ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้โรงงานนี้จะยกให้เจ้าทั้งสองคนดูแล พวกเรามาหารือกันก่อน ว่าจะแบ่งงานกันอย่างไร” 


 


 


ตอนที่เมิ่งฉีอยู่ เมิ่งฉีจะเป็นคนดูแลงานหลัก ส่วนงานย่อยๆ ส่วนใหญ่จะยกให้บ่าวรับใช้เป็นคนดูแล ส่วนเล็กๆ น้อยๆ จะให้หวงฝู่อวี้เป็นคนดูแล ตอนนี้เขาไม่มา ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้ดูแลที่นี่อยู่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเกิดปัญหาในภายหลัง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้คิดวิธีไว้แล้ว ก็คือต้องแบ่งงานให้ชัดเจนกับพวกเขาไปเลย  


 


 


บ่าวรับใช้ตอบรับอย่างนอบน้อม “ทุกอย่างให้ท่านจัดการขอรับ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ที่ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ก็พูดว่า “เจ้าว่ามาสิว่าจะแบ่งอย่างไร พวกเราจะทำตาม” 


 


 


“ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วพูดแผนที่วางเอาไว้ “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ต้องแบ่งงานกันให้ชัดเจน ฝ่ายเลขานุการก็ยังคงต้องรับผิดชอบส่วนตรงนี้ ส่วนโรงงานกุนเชียงเจ้าเป็นผู้ดูแล สินค้าที่ส่งเข้าออกทั้งหมด เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ ข้าตรวจสอบแค่บัญชีรายรับจ่ายก็เท่านั้น” 


 


 


บ่าวรับใช้ประหลาดใจมาก เงยหน้าขึ้นแล้วตอบรับ 


 


 


“ส่วนคุณชายรอง จะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของโรงงานแป้งมันสำปะหลัง และจะต้องทำบันทึกรายการสินค้าเข้าออกเช่นเดียวกัน แล้วทุกวันจะต้องนำมารายงานข้า” 


 


 


หวงฝู่อวี้ดีใจ ยังไม่ทันได้ตอบรับ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดต่อ “นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสำคัญที่จะให้เจ้าทำอีก ก็เมื่อมีแขกไปใครมาที่โรงงาน เจ้าจะต้องเป็นผู้ออกมาต้อนรับ” 


 


 


งานนี้ดี เพียงแค่ขยับปากนิดหน่อยก็ได้แล้ว หวงฝู่อวี้ดีใจเข้าไปอีก  


 


 


เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ได้มีความเห็นต่าง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “ตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกเจ้าทั้งสองคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตนเองแล้ว เพราะฉะนั้นเงินค่าแรงก็จะไม่เหมือนกัน นอกจากจะมีเงินเดือนที่กำหนดให้พวกเจ้าเป็นเงินสิบตำลึง แล้วยังมีส่วนแบ่งแยกอีกต่างหาก” 


 


 


นี่ถือว่าเป็นข่าวดี หวงฝู่อวี้ดีใจจนลุกขึ้นยืน รีบร้อนทนไม่ไหวถามว่า “จะต้องทำอย่างไรบ้าง” 


 


 


“เมื่อขายสินค้าได้หนึ่งร้อยชั่ง พวกเจ้าก็จะได้ส่วนแบ่งเป็นเงินหนึ่งตำลึง ยิ่งขายได้เยอะ ส่วนแบ่งของพวกเจ้าก็จะยิ่งเยอะขึ้น” 


 


 


หวงฝู่อวี้ใช้สมองคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เมื่อขายได้หนึ่งร้อยชั่งจะได้ส่วนแบ่งหนึ่งตำลึง ถ้าหากว่าขายได้หนึ่งหมื่นตำลึง ก็จะได้หนึ่งร้อยตำลึง หวงฝู่อวี้ดีใจเป็นอย่างมาก บ่าวรับใช้ก็ดีใจเช่นกัน 


 


 


ทั้งสองคนรับปากเป็นอย่างดีว่าจะทำงานออกมาให้ดีที่สุด 


 


 


ความสามารถของบ่าวรับใช้นั้นไม่ต้องพูดถึง แน่นอนว่าจะต้องทำออกมาได้ดี ส่วนหวงฝู่อวี้บางทีอาจจะสะเพร่าไปบ้าง แต่เวลาทำงานขึ้นมาจริงๆ ก็ตั้งใจใช้ได้ เชื่อว่าเมื่อฝึกฝนไปได้สักระยะหนึ่ง ก็จะทำได้ดี  


 


 


เมื่อแบ่งงานของทั้งสองคนชัดเจนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากโรงงานอย่างสบายใจ แล้วเจอกับทหารกองหนึ่งที่นำโดยผู้บัญชาการโต้วมุ่งหน้าเข้ามา ทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “ผู้บัญชาการโต้ว ลำบากท่านแล้ว” 


 


 


นี่เป็นถึงว่าที่ภรรยาซื่อจื่อ ผู้บัญชาการโต้วไม่กล้าจะโอ้อวด ยิ้มแล้วโบกมือ ตอบว่า “แม่นางเมิ่งเกรงใจเกินไปแล้ว รักษาเขตแดนเป่ยเฉิงเป็นหน้าที่ของข้า ไม่ได้ลำบากอะไรเลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อส่งให้เขา แล้วบอกว่า “อากาศหนาวเย็นยะเยือก เอาเงินนี้ไปซื้อสุราให้ลูกน้องดื่มเถิด” 


 


 


เป่ยเฉิงเป็นพื้นที่หนาวเย็น ไม่มีน้ำมันให้ขุด เหล่าทหารก็บ่นกันเองตลอด เงินเดือนของผู้บัญชาการโต้วก็ไม่ได้มากมาย ไหนยังจะต้องเลี้ยงครอบครัว ถึงแม้ว่าอยากจะชวนเหล่าทหารมาดื่มสุราด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้มีกำลังเงินขนาดนั้น เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวให้ตั๋วเงิน ก็ดีใจ อยากที่จะรับไว้ แต่ก็กลัวว่าถ้าหวงฝู่อี้เซวียนรู้เข้าจะโดนลงโทษ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรับดีหรือไม่รับดี 


 


 


แต่ทหารที่ติดตามเขากลับไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เมื่อเห็นตั๋วเงิน ก็ตาค้าง แล้วต่างมองจ้องไปที่เขา เหมือนกำลังบอกเขาว่ารับไว้สิ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ หัวเราะแล้วบอกว่า “ต่อจากนี้โรงงานนี้ของข้า ผู้บัญชาการโต้วก็ต้องเป็นผู้ดูแล ท่านไม่รับตั๋วเงินนี้ของข้า เพราะไม่อยากช่วยข้าอย่างนั้นหรือ” 


 


 


ผู้บัญชาการโต้วรีบตอบกลับไปว่า “แม่นางเมิ่งไม่ต้องเกรงใจ ก่อนที่ข้าจะมา ซื่อจื่อได้สั่งข้าไว้แล้ว ท่านวางใจเถิด มีข้าอยู่ จะไม่มีใครหน้าไหนมาก่อกวนเด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นตั๋วเงินในมือให้กับเขา “ถ้าอย่างนั้นท่านก็เก็บไว้เถิด เอาไว้ปลอบขวัญลูกน้อง” 


 


 


เมื่อพูดขนาดนี้แล้ว ผู้บัญชาการโต้วก็ไม่ยื้ออีกต่อไป รับตั๋วเงินมาพับ แล้วเก็บไว้ที่หน้าอก ขอบคุณอีกครั้ง แล้วนำหน้าเหล่าทหารตรวจตราเมืองต่อ 


 


 


เงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นว่ายังสว่างอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ออกคำสั่งกัวเฟย “ไปที่จวนใต้เท้าเปา” เมื่อพูดจบ ก็ขึ้นรถม้าไป 


 


 


กัวเฟยควบรถม้าจนมาถึงที่จวนใต้เท้าเปา เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า  


 


 


นายประตูรีบออกมาทำความเคารพด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว นายท่านและฮูหยินอยู่ด้านในขอรับ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้มรับ แล้วเดินเข้าไป ชิงหลวนและจูหลีเดินตามอยู่ทางด้านหลัง

 

 

 


ตอนที่ 191-2 สงสัย

 

ก่อนอื่นก็ต้องเดินมาที่จวนหลักเพื่อทำความเคารพสองสามีภรรยาเปาชิงเหอก่อน พูดคุยกันนิดหน่อย แล้วค่อยเดินไปที่ห้องของเปาอีฝาน  


 


 


บาดแผลที่ขาของเปาอีฝานยังไม่หายดี ตอนนี้กำลังฝึกเดินช้าๆ อยู่ภายในห้อง ร่างกายท่วมไปด้วยเหงื่อ  


 


 


ได้ยินเสียงรายงานของแม่บ้าน ซุนฮุ่ยยิ้มรับนางเข้ามาในห้อง บอกว่า “เมื่อวานนี้ข้ายังคุยกับท่านพี่อยู่เลยว่า โรงงานจะเปิดอยู่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่กลับมาอีก หรือว่าที่บ้านเกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ” เมื่อพูดจบ ก็สั่งให้แม่บ้านยกน้ำชามา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ทำตัวเป็นคนนอกแต่อย่างใด นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วหัวเราะว่า “เจ้าทายถูก เกิดเรื่องในบ้านนิดหน่อย” 


 


 


เปาอีฝานและซุนฮุ่ยมองตากัน แล้วซุนฮุ่นก็พูดว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น สะดวกเล่าให้พวกเราฟังหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ปิดบังอะไร “เรื่องใหญ่ พลาดนิดเดียวก็จะทำให้ตระกูลเมิ่งและตระกูลของจูหลานไม่รอดเลยสักคนเชียวล่ะ” 


 


 


เปาอีฝานหยุดชะงัก แล้วเดินกระเผกๆ มานั่งที่ข้างๆ โต๊ะ ถามอย่างรีบร้อนว่า “เรื่องใหญ่อันใดหรือ ถึงขนาดเกี่ยวข้องกับจูหลานด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าตั้งแต่ตอนที่ตนยังไม่เข้าบ้านก็เห็นรั่วหลานแล้ว ไปจนถึงเรื่องของจูหลาน จนกระทั่งทำให้จางลี่ที่ยังไม่หายดี แม้แต่เรื่องที่จูหลานโดนข่มขืนก็บอกพวกเขา แต่ไม่ได้บอกว่ามีมหาเสนาบดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง  


 


 


เรื่องน่าประหลาดเช่นนี้ เมื่อซุนฮุ่ยฟังจบ ก็ถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว 


 


 


ส่วนเปาอีฝานโกรธถึงขั้นเอามือทุบโต๊ะ “ขุนนางสันดานสุนัขนี่มันโหดร้ายยิ่งนัก ถึงขนาดที่คิดหาวิธีที่เลวทรามต่ำช้าขนาดนี้มาทำร้ายพวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “เขาไม่ได้เก่งขนาดนั้น จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ แต่น่าเสียดาย ที่สมาชิกครอบครัวของเขาโดนฆ่าตายหมด ข้ากับอี้เซวียนจึงหาคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้” 


 


 


ซุนฮุ่ยพยักหน้า “คนที่อยู่เบื้องหลังคนนี้ช่างโหดร้าย นั่นชีวิตคนยี่สิบกว่าคนเลยนะ” 


 


 


“ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีตระกูลเฉียวอีก” จริงๆ แล้วเฉียวหมิ่นไม่ได้ถูกจัดให้ไปอยู่ที่ที่รับรองข้าราชการเมื่อก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ของซุนฮุ่ยและเฉียวหมิ่นจึงยังดีอยู่ เมื่อได้ยินว่าตระกูลของพวกเขาถูกกระทำจนถึงขั้นนี้ จึงอดที่จะน้ำตาคลอไม่ได้ พูดออกมาว่า “แล้วเฉียวหมิ่นล่ะ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกระพริบตา แล้วโกหกว่า “เขาเป็นนักโทษคนสำคัญ โดนควบคุมตัวกลับเมืองหลวงไปแล้วล่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” 


 


 


ซุนฮุ่ยพยักหน้า  


 


 


เปาอีฝานได้เห็นแววตาที่มีพิรุธของนาง จึงรู้ว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้ จึงหาข้ออ้างมาแยกซุนฮุ่ยออกไป “ฟ้าใกล้มืดแล้ว เจ้าไปจัดการที่ห้องครัวเถิด ให้แม่ครัวทำกับข้าวเพิ่มสักสองสามอย่าง วันนี้แม่นางเมิ่งจะอยู่กินข้าวกับเราด้วย” 


 


 


ซุนฮุ่ยดีใจตอบรับ แล้วเดินออกไป 


 


 


เมื่อนางเดินออกไปไกลแล้ว เปาอีฝานถึงจะพูดว่า “พูดมาเถอะ ว่าใครเป็นคนบงการเรื่องนี้ แล้วเรื่องเฉียวหมิ่นอีกว่าเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“ก็รู้อยู่แล้วว่าปิดบังเจ้าไม่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ แล้วเล่าเรื่องที่มหาเสนาบดีเป็นคนบงการและเรื่องที่เฉียวหมิ่นโดนลงโทษโดยการส่งไปที่กองทหาร ให้เป็นผู้หญิงระบายกามของเหล่าทหารให้เขาฟัง “ถึงแม้ว่าพวกเราจะรู้ว่าเฮ่อจางเป็นคนบงการหลัก แต่ว่าหวังเต๋อเซิ่งตายไปแล้ว เลยไม่มีพยาน อยากใช้โอกาสนี้โค่นล้มเขานั้นยังเป็นไปไม่ได้ ทำได้แต่รอโอกาสภายหลัง” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้พวกเจ้าก็ต้องระวังหน่อยล่ะ” เปาอีฝานกำชับ “ในเมื่อเฮ่อจางมีความคิดแบบนี้ จะต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่” 


 


 


“ที่ต้องการก็คือให้เขาไม่จบง่ายเพียงนี้ ขอเพียงแค่เขาลงมือจะต้องมีเบาะแสเล็ดลอดออกมาแน่นอน” 


 


 


เห็นนางไม่พอใจเป็นอย่างมาก เปาอีฝานจึงเตือนนางอย่างจริงจังว่า “เขาเป็นขุนนางมาหลายปี เส้นสายมากมาย จะลงมือกับพวกเจ้าตอนไหนก็ได้ จะต้องระวังหน่อย” เมื่อพูดจบก็พูดต่ออีกว่า “อาการบาดเจ็บของข้าพักอีกสักระยะหนึ่งก็คงดีขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นข้าคงช่วยพวกเจ้าได้บ้าง” 


 


 


“ไม่ต้อง” เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธโดยพลัน “ครอบครัวของเจ้าคนยังพร้อมหน้าพร้อมตา ถ้าหากว่าโดนเขาหมายหัวล่ะก็จะแย่เอา ในมือของข้ามีเหล่าองครักษ์ลับอยู่ ถึงแม้ว่าเขาอยากที่จะกำจัดข้ามากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าที่จะทำอย่างโจ่งแจ้งหรอก” 


 


 


เมื่อเห็นนางวางแผนเช่นนี้ เปาอีฝานจึงไม่แนะนำต่ออีก แต่กำชังนางว่า “อย่าได้ใจไปเลย จะต้องระมัดระวังในทุกๆ เรื่อง” 


 


 


เมื่อทั้งสองคนพูดจบ ซุนฮุ่ยที่ไปจัดการเรื่องสำรับอาหารเดินกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยืนขึ้น บอกว่า “พี่ใหญ่ และพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าพาลูกๆ มาเล่นที่เมืองหลวงอยู่ไม่กี่วัน ข้าจะกลับไปหาพวกเขา วันนี้ขอกลับก่อน รอวันที่พวกเขากลับไปแล้ว ข้าจะมากินด้วยอย่างดีเลย” 


 


 


ซุนฮุ่ยสงสัย หลังจากนั้นก็คิดได้ว่าพวกเขาสองคนคงมีเรื่องคุยกัน ก็เลยแยกตนออกไป แล้วหัวเราะว่า “ได้ พวกเรากับพี่เมิ่งก็ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ไว้วันหลังเชิญพวกเขามาที่นี่สิ” 


 


 


แล้วส่งนางกลับด้วยตนเอง เมื่อเห็นนางนั่งรถม้าไปไกลแล้ว ซุนฮุ่ยก็หุบยิ้ม แล้วเดินเข้าจวนไป  


 


 


วันที่สอง สองสามีภรรยาเมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งเจี๋ยและเส้าเอ๋อร์ ตามโจวอิ๋งไปที่บ้านของท่านตี้ซือ 


 


 


ทุกคนดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่าโจวอิ๋งอยู่ที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยวกับสองสามีภรรยาเมิ่งเสียน พี่โจวก็ไม่ได้ว่าอะไร  


 


 


หลายวันต่อมา ทั้งครอบครัวไปเที่ยวเล่นกันจนทั่วเมืองหลวง เส้าเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์เล่นกันอย่างสนุกสนาน จะต้องกลับบ้านมืดๆ ทุกวัน  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังหาเวลาว่างพาซุนเชี่ยนไปที่ร้านผ้าใหมหยุนเสียง เมื่อได้ข่าวว่านี่คือพี่สาวคนโต เจ้าของร้านผ้าไหมอวิ๋นเซียงดีใจเป็นอย่างมาก แล้วรายงานเกี่ยวกับร้านให้นางฟังอย่างละเอียด 


 


 


สุดท้าย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้พาทุกคนไปที่ร้านค้าร้านหนึ่งที่อยู่นอกเมือง 


 


 


เมื่อเปิดประตู เห็นข้างในนั้นมีเครื่องแต่งกายที่สวยงามมีราคา สองสามีภรรยาเมิ่งเสียนและสองสามีภรรยาเมิ่งอี้ถึงกับกลั้นหายใจ เมิ่งเจี๋ยและเส้าเอ๋อร์รวมไปถึงหงเอ๋อร์ดีใจจนวิ่งเข้าไปด้านใน วิ่งเล่นอยู่หลายรอบในบ้านหลังใหญ่ ถึงจะหยุด 


 


 


“ต่อจากนี้เวลาที่ครอบครัวเราย้ายมาอยู่เมืองหลวง ก็ให้มาอยู่ที่นี่ ห่างไกลจากผู้คนในเมือง เวลาเปิดประตูออกมายังสามารถเห็นที่นาท้องไร่ แบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องคิดถึงบ้านเก่ามาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


ทุกคนต่างก็อึ้ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่นางพูดคืออะไร ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย ขนาดโจวอิ๋งที่เติบโตมาในเมืองยังชะเง้อดูนู่น จับนี่ แถมยังมีสีหน้าท่าทางที่ปลื้มปีติขนาดนี้  


 


 


เห็นสีหน้าขอวทุกคนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า ยืนอยู่กับที่ ให้พวกเขาเดินดูให้พอ 


 


 


ให้ดูบ้านให้พอ ซุนเชี่ยนจึงรีบโบกมือ บอกว่า “ข้าไม่กล้าอยู่ที่ๆ หรูหราขนาดนี้หรอก ไม่ชินยิ่งนัก” 


 


 


เมิ่งเสียนก็พยักหน้าเห็นด้วย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอดขำไม่ได้ “บ้านนี้เป็นบ้านของพวกเรา ไม่ใช่บ้านของคนอื่น มีอะไรให้ไม่ชินอีก” 


 


 


พวกเขาอยู่ที่บ้านหลังนั้นจนถึงเย็น เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทั้งหมดจึงขึ้นรถม้ากลับเป่ยเฉิง เมิ่งเชี่ยนโยวยังพาทั้งหมดไปเดินดูที่โรงงานอีก เห็นว่าโรงงานที่นี่ใหญ่กว่าที่บ้านอีก เมิ่งเสียนก็สบายใจ 


 


 


ฟ้ามืดแล้ว ทุกคนจึงกลับบ้าน นายประตูรีบมารายงาน ว่า “นายหญิง ซื่อจื่อรอท่านอยู่ที่ห้องตั้งนานแล้ว เห็นว่าพวกท่านยังไม่กลับมาเสียที เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ เขาฝากบอกว่า อ๋องฉีและพระชายาได้ยินว่าพวกท่านมาที่นี่ เลยเชิญให้พวกท่านไปที่จวนเสียหน่อยขอรับ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเข้าจวน เมิ่งเสียนรีบบอกก่อนเลยว่า “น้องเล็ก เจ้าห้ามรับปากเป็นอันขาด ให้ตายอย่างไรพวกเราก็ไม่ไป” 


 


 


ซุนเชี่ยนพยักหน้าเห็นด้วย  


 


 


เห็นท่าทางลนลานของพวกเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหัวเราะออกมาว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พระชายาฉีเป็นคนดีมาก โอบอ้อมอารี ไม่มีอะไรหรอก อย่ากลัวไปเลย” 


 


 


อ๋องฉีน่าเกรงขราม ขนาดท่านตี้ซือยังรับไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเป็นคนบ้านนอก เมื่อนึกถึงเมื่อตอนเห็นหน้าอ๋องฉีเมื่อสี่ปีก่อน เมิ่งเสียนก็ใจเต้นแรง พูดอะไรก็ไม่ฟังทั้งนั้น บอกว่า “ไม่ได้ เขาเป็นถึงท่านอ๋อง มีอำนาจล้นเหลือ ถ้าหากว่าพวกเราไป แล้วทำให้เขาไม่พอใจจะทำอย่างไร แล้วอีกอย่าง เจ้ากับอี้เซวียนยังไม่ได้แต่งงานกันจริงจัง ถ้าหากว่าพวกเราทำอะไรผิดพลาดไป จนไปกระทบกับเรื่องงานแต่งของเจ้าสองคน จะไม่ยุ่งไปกันใหญ่หรอกหรือ ไม่ไป อย่างไรพวกเราก็ไม่ไป” 


 


 


ซุนเชี่ยนพูดตรงๆ ว่า “พวกเราก็มาตั้งหลายวันแล้ว ต้องกลับบ้านแล้ว วันนี้เจ้าก็จัดเตรียมรถม้าให้ที พรุ่งนี้พวกเราจะกลับบ้านแต่เช้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ โอบไหล่ของนาง “พี่สะใภ้ใหญ่ นั่นเป็นถึงพระชายาฉีเชียวนะ เป็นคนที่ทุกคนอยากที่จะพบแต่ก็ไม่ได้พบ เหตุใดพวกเจ้าถึงปฏิเสธล่ะ แล้วอีกอย่าง เดี๋ยวข้าก็แต่งงานกับอี้เซวียนแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี เจอกันตอนหลังสู้เจอกันตอนนี้เลยเสียดีกว่า ฟังข้าเถิด พรุ่งนี้พวกเราจะไปพร้อมกัน” 


 


 


ซุนเชี่ยนก็ยังดึงดัน โจวอิ๋งยืนอยู่ข้างๆ กรอกหูเขา ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พระชายาฉีเชิญเชียวนะ ถ้าหากว่าไม่ไป นั่นเป็นการเสียมารยาท จะทำให้คนในเมืองหลวงนินทาโยวเอ๋อร์ได้” 


 


 


“ใช่แล้ว พวกเจ้าคงไม่อยากให้ข้าเดินไปไหนมาไหน แล้วมีคนนินทาว่าร้ายหรอกใช่ไหม” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


ซุนเชี่ยนไม่รู้จะทำอย่างไร มองไปที่เมิ่งเสียน 


 


 


เมิ่งเสียนเป็นคนซื่อ เมื่อได้ยินว่าจะเป็นผลเสียต่อเมิ่งเชี่ยนโยว จึงสลัดความกลัวทั้งหมดทิ้งไป รีบตอบรับทันทีว่า “ได้ พรุ่งนี้พวกเราจะไปจวนอ๋องฉีกัน” 


 


 


“พี่เมิ่งอี้และพี่สะใภ้ก็ไปด้วยกันเถิด ไปเป็นเพื่อนพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่” เมื่อพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวแอบส่งสัญญาณให้กับทั้งสองคน  


 


 


ทั้งสองคนเข้าใจความหมายโดยทันที แล้วยิ้มรับ 


 


 


วันที่สอง เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนก็มา เข้าไปด้านใน ก็ทำการพูดก่อนเลยว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ หลายวันมานี้ข้าไม่ว่างจริงๆ เลยไม่ได้มาหาพวกท่านเลย ขอพวกท่านอย่าได้ถือสาเลยนะ” 

 

 

 


ตอนที่ 192 มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นติดต่อกัน

 

อยู่ในเมืองหลวงมาหลายวัน สองสามีภรรยาเมิ่งเสียนก็เปลี่ยนความคิด เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนมาขอโทษ จึงตกใจรีบลุกขึ้นยืน บอกว่า “ซื่อจื่อพูดเกินไปแล้ว งานราชการของนั้นทั้งยุ่งทั้งเยอะ ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเราเลย” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยุดชะงัก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่าออกมา 


 


 


เมิ่งอี้และโจวอิ๋งสองสามีภรรยาก็เม้มปากหัวเราะ  


 


 


เมิ่งเสียนและภรรยามองไปที่พวกเขาอย่างไม่เห็นด้วย 


 


 


หัวเราะกันไปได้สักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเอ่ยปากบอกกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ตั้งแต่เมื่อวานที่เจ้าฝากมาบอก ว่าให้พวกเราไปเป็นแขกที่จวนท่านอ๋องฉีน่ะ พี่ใหญ่และซ้อใหญ่ก็ลนลานจนกลัวไปหมด คำพูดในวันนี้ของเจ้า ยิ่งทำให้เขาตกใจกลัวเข้าไปใหญ่” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถึงได้เข้าใจ แล้วหัวเราะออกมาว่า “พี่ใหญ่ ซ้อใหญ่ ข้าคืออี้เซวียน เป็นน้องชายของพวกท่าน ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน เป็นอะไร นี่เป็นสิ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนทางเสด็จพ่อและเสด็จแม่ พวกท่านไม่ต้องกลัวไป พวกเขาเรียนเชิญพวกท่านด้วยความจริงใจ” 


 


 


เมื่อฟังคำพูดของเขาแล้ว เมิ่งเสียนและภรรยาก็ค่อยโล่งอก  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับพวกเขาอยู่นานกว่าหลายชั่วโมงอย่างใจเย็น อาการประหม่าของเมิ่งเสียนและภรรยาถึงจะได้สงบลง 


 


 


เห็นว่าสายแล้ว ทุกคนออกจกาบ้าน แล้วนั่งรถม้ามาที่จวนท่านอ๋อง  


 


 


พ่อบ้านจวนอ๋องได้จัดคนมาเฝ้ารอที่ประตูไว้นานแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขามา ก็รีบทำความเคารพ “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ท่านอ๋องและพระชายารออยู่ที่ห้องรับแขกนานแล้ว” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้นำทุกคนเข้าไปที่ห้องรับแขก  


 


 


ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีนั่งอยู่ด้านในห้องรับแขก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า พระชายาฉีจึงลุกขึ้น ส่วนท่านอ๋องฉีไม่ได้ทำอะไร  


 


 


พระชายาฉีมองไปที่เขาด้วยสายตายิ้มเยาะ อ๋องฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้น 


 


 


ทุกคนเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันได้พูด เมิ่งเสียนและภรรยากับเมิ่งอี้และภรรยาก็รีบคุกเข่าลง แล้วพูดพร้อมกันว่า “ขอคาราวะอ๋องฉีและพระชายา” เมิ่งเจี๋ย เส้าเอ๋อร์และหงเอ๋อร์ก็คุกเข่าลงด้วย 


 


 


ท่านอ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร พระชายาฉียิ้มแล้วเดินออกมาข้างหน้า แล้วพยุงซุนเชี่ยนกับโจวอิ๋งขึ้นด้วยตนเอง “คนกันเองทั้งนั้น วันหลังห้ามทำความเคารพที่เป็นทางการแบบนี้อีก” เมื่อพูดจบ ก็พยุงเมิ่งเสียนกับเมิ่งอี้ขึ้น 


 


 


ทุกคนลุกขึ้นมา แล้วขอบคุณ 


 


 


“นั่งเถอะ” อ๋องฉีพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน 


 


 


ทุกคนคำนับขอบคุณอีกรอบ แล้วนั่งลง 


 


 


เส้าเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์อยู่ในอ้อมอกของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วจ้องไปที่อ๋องฉีและพระชายาอย่างประหลาดใจ 


 


 


พระชายาสังเกตได้ถึงเด็กน่ารักสองคนนี้ ก็ดีใจ หลังจากที่สั่งให้คนยกน้ำชาขึ้น ก็โบกมือให้กับเขา “นี่คือเส้าเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์สินะ เคยได้ยินเซวียนเอ๋อร์พูดถึงอยู่บ้าง มานี่มา มาหาข้า” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหายตัวไปตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งที่พระชายาฉีเสียใจที่สุดก็คือไม่ได้เห็นเขาเติบโต เพราะฉะนั้น เขาจะมีความสุขทุกครั้งที่เห็นเด็กน้อยทั้งหลาย จนกระทั่งตอนนี้ ความรู้สึกแบบนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง 


 


 


เส้าเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์เงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมกัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า “ไปเถอะ” 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าพระชายาฉีอย่างไม่เกรง แล้วตะโกนพร้อมกันว่า “คุณย่า!” 


 


 


ทุกคนอึ้ง 


 


 


หลังจากที่เมิ่งเสียนกับภรรยาและเมิ่งอี้กับภรรยาอึ้งเสร็จแล้ว ก็รีบลุกขึ้นขอโทษอย่างทันที “ขอพระชายาให้อภัยด้วย ลูกน้อย…” 


 


 


พวกเขายังไม่ทันพูดจบ พระชายาฉีก็ได้ตอบกลับไปว่า “เอาหน่า…” 


 


 


ทั้งสี่คนก็อึ้งไปอีกรอบ 


 


 


พระชายาฉีอุ้มทั้งสองคนไว้ที่อ้อมอก ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ รับสั่งหลิงหลง “ไปเอาของเล่นหายากจากห้องเก็บของมา” 


 


 


หลิงหลงตอบรับ แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เด็กสองคนพูดขอบคุณพร้อมๆ กัน 


 


 


พระชายาฉีก็ยิ่งชอบใจไปใหญ่ บอกว่า “ถ้าไม่เป็นเพราะพวกเจ้าอยู่เมืองหลวงได้ไม่นานล่ะก็ ข้าอยากที่จะให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ยาวๆ ไปเลย” 


 


 


เมื่อพูดจบ แล้วมองไปที่ทั้งสี่คนบอกว่า “พวกเจ้าเป็นอะไรกัน นั่งลงเร็วเข้าสิ” 


 


 


ทั้งสี่คนตั้งสติ แล้วนั่งลง 


 


 


“วันนี้เป็นงานเลี้ยงครอบครัว เราสองบ้านเกี่ยวดองกันเป็นญาติแล้ว ไม่มีการแบ่งฐานะตำแหน่ง พวกเจ้าอย่าเอาแต่จะขอโทษหรือขอบคุณเลย แบบนี้จะทำให้ดูแบ่งแยกได้นะ” เมื่อพูดจบ ก็หันไปยิ้มให้กับท่านอ๋องฉี “ท่านอ๋อง ท่านว่าใช่หรือไม่” 


 


 


ท่านอ๋องมองไปที่เด็กสองคนที่อยู่ที่นางอุ้มอยู่ แม้ว่าท่าทางจะยังดูเคร่งขรึมเหมือนเดิม แต่ก็ “อืม” ตอบกลับมาเบาๆ  


 


 


หลิงหลงกลับมาอย่างรวดเร็ว เอาสร้อยทองมาสองเส้น “พระชายา หม่อมฉันหาอยู่นาน มีก็แต่สร้อยทองสองเส้นนี้ที่เหมาะสมเจ้าค่ะ” 


 


 


พระชายาฉีรับมา แล้วคล้องให้คนละเส้น พยักหน้า “อืม สวย” 


 


 


เมิ่งเสียนกับภรรยาและเมิ่งอี้กับภรรยาลุกขึ้นเพื่อที่จะห้าม เมิ่งเชี่ยนโยวจะกระแอมเบาๆ หนึ่งที  


 


 


ทั้งสี่คนจึงหยุด 


 


 


“ขอบพระคุณคุณย่า” เส้าเอ๋อร์และหงเอ๋อร์พูดขอบคุณ แล้วดีใจวิ่งกลับไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว แล้วเอาแต่ก้มมองสร้อยทอง 


 


 


พระชายาฉีพูดกับพวกเขาอยู่นานสองนาน รอจนกว่าพวกเขาจะหายตื่นเต้น ถึงจะออกคำสั่งให้ออกกับข้าว กินข้าวกับทุกคนพร้อมด้วยท่านอ๋องฉี 


 


 


ตอนที่กินข้าว ความกลัวของเมิ่งเสียนกับซุนเชี่ยนที่มีต่ออ๋องฉีก็หายไป เวลาพูดก็กล้าที่จะพูดมากขึ้น 


 


 


กินข้าวเสร็จ ในขณะที่พระชายาฉีกำลังแนะนำอยู่นั้น เขายังเล่าเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมืองชนบทให้นางฟังตั้งมากมาย ยั่วให้พระชายาฉีอิจฉา จนกระทั่งบอกว่าถ้ามีเวลาก็อยากที่จะไปดู 


 


 


ร่างกายของพระชายาฉีถึงแม้ว่าจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ว่าถ้าเปรียบกับคนปกติก็ยังอ่อนแออยู่ ถึงแม้ตอนพูดกับพวกเขาจะมีใบหน้ายิ้มแย้มสดใส แต่ก็ยังดูเหนื่อยอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อเห็นอย่างนั้น จึงลุกขึ้นบอกว่า “ท่านอ๋อง พระชายา พวกเราต้องกลับแล้วเพคะ” 


 


 


เมิ่งเสียนกับภรรยาและเมิ่งอี้กับภรรยาก็รีบลุกขึ้น ขอตัวลา 


 


 


พระชายาฉีก็ไม่ได้ยื้อให้พวกเขาอยู่ สั่งให้หวงฝู่อี้เซวียนไปส่งพวกเขา 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ แล้วพาพวกเขาส่งกลับบ้านไปตามคำสั่งของพระชายาฉี รอให้ทุกคนเข้าไปพักที่จวนของตนแล้ว ค่อยตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่จวนของนาง 


 


 


ชิงหลวนและจูหลีเห็นทั้งสองคนเดินเข้าจวนไปด้วยกัน เลยยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก  


 


 


ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน หวงฝู่อี้เซวียนก็เลยไม่ปล่อยให้โอกาสดีแบบนี้หลุดมือไปเป็นธรรมดา แต่สุดท้ายก็ยังอดทน สาบานว่า “อย่างมากครึ่งปี ข้าจะต้องขอเจ้าแต่งงานให้ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “ได้” 


 


 


ผ่านไปสองวัน กัวเฟยได้นำทหารรักษาพระองค์จำนวนหนึ่งมาส่งเมิ่งเสียนกับภรรยากับเมิ่งเจี๋ยและเส้าเอ๋อร์กลับบ้านเกิดไป ส่วนเมิ่งอี้และภรรยาก็นำหงเอ๋อร์ย้ายไปที่จวนโจว 


 


 


ในบ้านเงียบลงในชั่วพริบตา 


 


 


แต่ว่านี่ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนสะดวก ในบ้านไม่มีคน เขาขอแค่เพียงหมดเรื่องยุ่งจากเมืองหลวงเมื่อไร ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนเขาก็มา 


 


 


คนที่บ้านก็ชินแล้ว เวลาที่เขามา ขนาดชิงหลวนกับจูหลียังไม่ยืนเฝ้าประตูเลย เผื่อว่าเขาจะทำอะไรกันในห้อง จะได้ไม่ต้องได้ยิน 


 


 


เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ผ่านไปยี่สิบกว่าวัน เมิ่งเชี่ยนโยวนอกจากจะไปดูเฝิงจิ้งซูที่จวนท่านแม่ทัพตามเวลาแล้ว เวลาที่เหลือก็อยู่ที่จวนทำยารักษาแผลเป็น  


 


 


วันนี้ อากาศแจ่มใส เลยสั่งชิงหลวน “ให้กัวเฟยไปเอารถม้ามา เราจะไปร้านยาเต๋อเหริน” 


 


 


หลังจากที่กัวเฟยและกองทหารรักษาพระองค์ส่งเมิ่งเสียนถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว ก็รีบกลับโดยทันที 


 


 


ชิงหลวนตอบรับแล้วไปที่ห้องคนรับใช้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอายาที่ทำเสร็จแล้วบรรจุไว้อย่างดี ถือไว้ในมือ แล้วออกไป 


 


 


กัวเฟยมารอที่หน้าประตูแล้ว 


 


 


รอเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นบนรถม้า แล้วรีบมามุ่งหน้ามาที่ร้านยาเต๋อเหริน 


 


 


เมื่อคนเฝ้าร้านเห็นนาง จึงทักทาย “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามว่า “นายท่านของพวกเจ้าอยู่หรือเปล่า” 


 


 


“เมื่อครู่นี้มีคนในมารายงานว่า ฮูหยินรองไม่ค่อยสบาย นายท่านจึงรีบกลับไปแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “แสดงว่าหมายความว่าอะไร” 


 


 


คนเฝ้าร้านส่ายหัว บอกว่า “ข้าน้อยไม่รู้” 


 


 


แล้วเดินออกไปจนถึงหน้าประตู หันหลังกลับมาถามว่า “เจ้ารู้ที่อยู่ของนายท่านของเจ้าหรือไม่” 


 


 


คนเฝ้าร้านพยักหน้า  


 


 


“พาข้าไปดูหน่อย” เมิ่งเชียนโยวสั่ง 


 


 


คนเฝ้าร้านไม่ได้สงสัยอะไร เลยบอกกับคนเฝ้าร้านคนอื่นๆ แล้วพาเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่จวนเหวิน 


 


 


นายประตูของจวนเหวินรู้จักกับคนเฝ้าร้าน จึงถามว่า “ว่าอย่างไรนายท่านเพิ่งกลับจวนไป มีเรื่องอะไรสำคัญอย่างนั้นหรือ” 


 


 


คนเฝ้าร้านตอบรับ แล้วชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังลงจากรถม้า บอกว่า “นี่คือแม่นางเมิ่ง เป็นเพื่อนของนายท่าน พอดีไปหานายท่านที่ร้านยาเต๋อเหริน ได้ยินว่าฮูหยินรองไม่ค่อยสบายเลยจะมาเยี่ยมเสียหน่อย รบกวนเจ้าไปรายงานด้วย” 


 


 


นายประตูมองด้วยความสงสัย แล้วรีบร้อนเข้าไปรายงาน 


 


 


ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังออกมา แล้วเหวินซื่อก็เดินออกมา ยังไม่ทันได้ทักทาย ก็พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เหวินเอ๋อร์ไม่ค่อยสบาย เจ้ารีบเข้ามาดูเร็ว” 


 


 


พูดจบ เขาจึงเดินออกมา  


 


 


เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงนิ่ง เม้มปาก แล้วตามเขาเข้าไปในจวน จนกระทั่งมาถึงที่จวน แล้วเข้าไปที่ห้อง 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินสีหน้าขาวซีดนอนอยู่บนเตียง ข้างๆ เตียงมีหมอท่านหนึ่งนั่งอยู่ กำลังจับชีพจรของนาง 


 


 


เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ดีใจ ทำท่าจะทักทายนาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วขึ้นมาทำสัญญาณให้เงียบ แล้วชี้ไปที่หมอ เป็นสัญญาณให้นางอยู่เฉยๆ  


 


 


เฝิงจิ้งเหวินรู้ตัว พยักหน้า แล้วไม่ได้พูดอะไร  


 


 


หมอได้ตรวจชีพจรอย่างละเอียด ลูบเคราตัวเองหนึ่งที ยิ้มแล้วพูดว่า “ยินดีด้วย ฮูหยินรองท้องแล้ว” 


 


 


ว่าแล้ว ภายในห้องกลับเงียบสงัด สีหน้าของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน 


 


 


ตอนแรกเหวินซื่อไม่กล้าที่จะเชื่อ เลยดีใจเป็นอย่างมาก เดินไปหาหมอ แล้วถามว่า “ท่านพูดจริงหรือ เหวินเอ๋อร์ท้องแล้ว ไม่ได้ตรวจผิดใช่หรือไม่” 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินก็ตาโต รีบเอามือไปลูบที่ท้อง แล้วเงยหน้ามองไปที่หมอ แล้วยังมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว แล้วตาก็แดงขึ้น  


 


 


หมอฟังคำถามของเหวินซื่อแล้วก็ชะงักไป แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณชาย ข้าเป็นหมออยู่ที่ร้านยาเต๋อเหรินมาก็หลายปี ท่านสงสัยในศาสตร์การแพทย์ของข้าอย่างนั้นหรือ” 


 


 


เหวินซื่อดีใจเป็นอย่างมาก “เปล่า ข้าไม่ได้…” 


 


 


“เขาแค่ดีใจเกินไปหน่อยน่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแล้วก็หัวเราะ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชอบไปที่ร้านยาเต๋อเหริน หมอก็รู้จักนาง เลยหัวเราะแห้งๆ แล้วพยักหน้า “แม่นางเมิ่งพูดถูก” แล้วก็หุบยิ้มพูดกับเหวินซื่อว่า “แต่ว่าฮูหยินรองร่างกายอ่อนแอ ยังจะต้องพักฟื้นอีกสักระยะถึงจะดีขึ้น” 


 


 


เหวินซื่อเอาแต่พยักหน้า  


 


 


“และเรื่องบนเตียงก็ต้องหยุด เพราะเรื่องในครั้งนี้เป็นเพราะพวกเจ้าไม่รู้จักหักห้ามใจตนเองถึงได้เกิดขึ้น” หมอก็ไม่ได้อ้อมค้อม พูดตรงๆ ต่อหน้าทุกคน 


 


 


หน้าของเหวินซื่อก็แดงขึ้นมา เฝิงจิ้งเหวินก็เช่นกัน 


 


 


หมอไม่สนใจว่าพวกเขาจะตอบสนองอย่างไร ลุกขึ้น แล้วเดินไปที่โต๊ะ เปิดกล่องยา แล้วหยิบกระดาษพู่กันออกมา แล้วเขียนใบสั่งยาให้ บอกว่า “ทำตามใบสั่งนี้ ไปเอายาเหล่านี้มาให้ฮูหยินรองกิน” 


 


 


เหวินซื่อรีบออกคำสั่งให้ไปเอายามาทันที 


 


 


หมอพูดไปเก็บกล่องยาไปว่า “ยังมีอีกเรื่อง ให้ส่งคนไปบอกนายท่านใหญ่เสียหน่อย ให้ท่านได้ดีใจ”  


 


 


เหวินซื่อรีบตอบรับ 


 


 


เมื่อเก็บกล่องยาของตนเองเสร็จแล้ว ก็แบกออกไป เหวินซื่อออกไปส่งด้วยตัวเอง แล้วสั่งให้คนรถไปส่งหมอที่ร้านยาเต๋อเหริน 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินอยากลุกขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเดินเข้ามา แล้วห้ามนางบอกว่า “หมอบอกให้เจ้านอนรักษาตัวไป เจ้าก็อย่าขยับมากสิ ไม่ง่ายเลยนะที่จะท้อง อย่าให้เกิดอะไรขึ้นเป็นอันขาด” 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินจึงหยุด แล้วกลับไปนอนบนเตียงอย่างเชื่อฟัง แล้วบอกให้เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งทางด้านข้างเตียง แล้วพูดกับทุกคนว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน” 


 


 


เหล่าแม่บ้านตอบรับ แล้วออกไป  


 


 


ในห้องเหลือเพียงสองคน 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินจับมือของเมิ่งเชี่ยนโยว ท่าทางซาบซึ้ง พูดว่า “น้องโยวเอ๋อร์ ข้าฟังไม่ผิดใช่ไหม ข้าจะมีลูกจริงๆ ใช่ไหม” 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าของนางที่ดูเชื่อแต่ก็ไม่อยากจะเชื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา แล้วพยักหน้า “ใช่ ไม่ผิดหรอก เจ้าจะมีลูกจริงๆ” 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข มือทั้งสองข้างลูบไปที่ท้อง แล้วพูดว่า “ข้าจะมีลูกอีกแล้ว ข้าจะมีลูกอีกแล้ว” เมื่อพูดจบ ก็ดูเหมือนว่านึกอะไรขึ้นมาได้ เลยรีบจับมือของเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างร้อนรนว่า “ครั้งนี้ข้าจะรักษาลูกของข้าไว้ได้จริงๆ ใช่ไหม” 


 


 


“แน่นอนสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ร่างกายของเจ้าพักฟื้นเต็มที่แล้ว คลอดเด็กคนนี้ออกมาได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน” 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินตาแดงก่ำ ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “ขอบคุณน้องโยวเอ๋อร์” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนสีหน้า แล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ซ้อ ข้าเคยพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอย่าพูดแบบนี้อีก ถ้าเจ้าพูดอีก ข้าจะโมโหแล้วนะ” 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินทำตัวไม่ถูก เลยรีบจับมือของนางไว้ แล้วบอกว่า “โยวเอ๋อร์อย่าโกรธไปเลย วันหลังซ้อจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว” 


 


 


เหวินซื่อเข้ามาพอดี ได้ยินคำพูดของนาง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านางพูดว่าอะไร เลยพูดอย่างอบอุ่นว่า “ยัยนี่ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย จะเกรงใจทำไมกัน” 


 


 


เมื่อพูดจบก็เดินมาที่ด้านหน้าของเฝิงจิ้งเหวิน เห็นดวงตาของนางแดงก่ำ ก็รู้ว่านางดีใจขนาดไหน เลยรีบบอกว่า “เจ้าเพิ่งตรวจพบว่าท้อง อย่าซาบซึ้งให้มาก เดี๋ยวจะกระทบถึงครรภ์ได้” 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้ารู้แล้ว” 


 


 


เหวินซื่อถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าอยากกินอะไร ข้าจะสั่งให้คนไปทำมาให้” 


 


 


เมื่อนึกถถึงลูกคนก่อนที่แท้งเพราะถูกนวางยาพิษในอาหาร เฝิงจิ้งเหวินจึงเกิดอาการกลัวขึ้นมา ส่ายหัวแล้วรีบบอกว่า “ข้าไม่หิว ข้าไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดูท่าทีของนาง ก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มแล้วบอกว่า “ซ้อ ในช่วงแรก เป็นช่วงที่ร่างกายของเจ้าอ่อนแอที่สุด ต้องกินอะไรเพื่อบำรุงร่างกายเสียหน่อย มันจะดีต่อเจ้ากับลูกนะ” 


 


 


“แต่ว่า ถ้าหากว่า…” เฝิงจิ้งเหวินยังไม่ทันพูดจบ เหวินซื่อกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่านางกำลังกังวลเรื่องใด เมิ่งเชี่ยนโยวจึงบอกว่า “คนเราท้องสิบเดือนถึงจะคลอด เจ้าคงจะไม่กินอะไรเลยเป็นเวลาสิบเดือนหรอกนะ อีกทั้ง เจ้าเป็นกังวลเช่นนี้ ก็ไม่ดีต่อตัวลูกของเจ้า ฟังข้าเถิด อะไรควรกินก็กิน อะไรควรดื่มก็ดื่ม แล้วก็ควรกินให้มากๆ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมาก อย่างนี้สิถึงจะคลอดลูกตัวขาวๆ อวบอ้วนมาได้” 


 


 


เหวินซื่อก็เห็นด้วย “ใช่แล้วเจ้าวางใจเถอะ หลังจากนี้ข้าจะให้คนตรวจสอบอาหารที่เจ้ากิน จะต้องไม่มีปัญหาใดทั้งสิ้น” 


 


 


ใบหน้ากังวลของเฝิงจิ้งเหวินก็หายไป พยักหน้า แล้วพูดกับเหวินซื่อว่า “ข้ายังไม่อยากกิน ถ้าอยากกินเมื่อไรจะบอกเจ้า” 


 


 


เหวินซื่อกำลังจะพูด ก็มีเสียงดีใจของคนแก่ดังมาจากด้านนอก “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าอยู่ไหม” 


 


 


“อยู่ขอรับ ท่านปู่” เหวินซื่อตอบกลับแล้วเดินออกไปด้านนอก  


 


 


“หลานสะใภ้ท้องอีกแล้วหรือ” เหวินซื่อเพิ่งเดินออกไป เสียงของท่านปู่ก็ดังขึ้นมาอีก  


 


 


เหวินซื่อตอบกลับอย่างดีใจว่า “ใช่แล้วขอรับท่านปู่ เมื่อครู่นี้ทานหมอมาจับชีพจรด้วยตัวเองเลย ไม่พลาดแน่นอน” 


 


 


“สวรรค์คุ้มครอง ในที่สุดตระกูลเหวินของข้าก็มีผู้สืบสกุลแล้ว” 


 


 


ถ้าเป็นครอบครัวอื่น ปู่ถามหลานสะใภ้ว่ามีลูกหรือยัง จะต้องโดนบอกว่าดีใจเกินเรื่อง แต่ว่าตระกูลเหวินไม่เหมือนกัน มารดาของเหวินซื่อกับท่านย่านั้นไม่อยู่แล้ว เฝิงจิ้งเหวินเป็นหลานสะใภ้คนโต อีกทั้งครั้งก่อนยังแท้งลูกไปอีก แล้วโดนหมอตรวจแล้วบอกว่าจะไม่สามารถมีลูกได้อีก อีกทั้งเหวินซื่อก็ไม่ได้เจ้าชู้ ท่านปู่จึงคิดว่าสายเลือดตระกูลเหวินคงสิ้นสุดเท่านี้ ตนตายไปคงไม่มีหน้าไปสู้หน้าบรรพบุรุษแล้ว วันๆ เอาแต่ถอนหายใจ หมดสิ้นกำลังใจ ตอนนี้ได้ยินแม่บ้านที่เหวินซื่อให้ไปรายงานบอกว่าเฝิงจิ้งเหวินท้องแล้ว จึงรีบเร่งเดินมาที่จวนของเหวินซื่อ เพื่อมาถามไถ่ด้วยตนเอง 

 

 

 


ตอนที่ 193-1 การจากลา

 

เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากเหวินซื่อแล้ว นายท่านเหวินแทบจะร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ  


 


 


เหวินซื่อเข้ามาพยุงเขาเดินเข้าไปในห้อง “ท่านปู่ แม่นางเมิ่งก็อยู่ในห้องด้วย ท่านเข้ามาเถอะ” 


 


 


ตั้งแต่ที่เหวินซื่อได้นำยารักษาแผลเป็นกลับมาเมื่อสี่ปีก่อน นายท่านเหวินก็ได้รู้ว่ามีคนที่ชื่อเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ ตอนนั้นนางเพิ่งจะอายุสิบสามสิบสี่เอง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวนางมาตลอด  


 


 


ต่อมา เหวินซื่อได้เล่าให้เขาฟังว่าเมิ่งเชี่ยนโยวทำการรักษาให้กับเฝิงจิ้งเหวิน และพบว่าเฝิงจิ้งเหวินอาจจะไม่สามารถมีลูกได้อีก ให้เขาออกมาช่วยดูแลบ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือน นายท่านเหวินก็ยิ่งสงสัยในตัวเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขึ้นอีก อยากจะพบกับนางมาตลอด เพราะอยากรู้ว่านางเป็นคนอย่างไรกันแน่  


 


 


เมื่อได้ยินที่เหวินซื่อพูด และเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ถึงจะนึกขึ้นได้ว่าสถานะของตัวเองไม่เหมาะสมที่จะเข้าไป จึงหยุด ก้าวเดินลง แล้วบอกว่า “ตอนนี้เหวินเอ๋อร์ต้องพักผ่อน พวกเราอย่าได้เข้าไปรบกวนนางเลย เชิญแม่นางเมิ่งไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถิด” 


 


 


เหวินซื่อรับคำ 


 


 


นายท่านเหวินเดินไปที่ห้องรับแขกก่อนอย่างดีใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินคำสนทนาของทั้งสองคนแล้ว รอให้เหวินซื่อเข้าห้อง นางก็ลุกขึ้น แล้วหัวเราะว่า “ข้าอยากพบกับนายท่านเหวินตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ วันนี้มีเวลาพอดี” 


 


 


เมื่อพูดจบ ก็พูดกับเฝิงจิ้งเหวินว่า “ซ้อ หลังจากที่ข้าพบกับนายท่านเหวินแล้ว ข้าก็จะกลับเลยนะ คงไม่กลับมาลาซ้อแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก “เช่นนั้นน้องโยวเอ๋อร์ก็เดินทางดีๆ ตอนนี้ก็รู้จักบ้านข้าแล้ว วันหลังถ้าว่างๆ ก็มาหาได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ 


 


 


เหวินซื่อเรียกสาวใช้คนสนิทของเฝิงจิ้งเหวินออกมา กำชับให้พวกนางทั้งสามคนดูแลเฝิงจิ้งเหวินในทุกฝีก้าว แล้วนำเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ห้องรับแขก 


 


 


นายท่านเหวินก็ไม่ได้ถือตัวแต่อย่างใด ยืนรออยู่ที่ห้องรับแขก 


 


 


เมื่อทั้งสองคนเดินเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มทำความเคารพให้กับนายท่านเหวิน  


 


 


นายท่านเหวินพยุงนาง พร้อมบอกว่า “แม่นางเมิ่งไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่งเถิด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายๆ  


 


 


หลังจากสั่งให้บ่าวยกน้ำชามาแล้ว นายท่านเหวินก็มองประเมินดูเมิ่งเชี่ยนโยว ทว่าอายุแค่สิบเจ็ดสิบแปด หน้าตาสะสวย บุคลิกภาพดี รอบกายมีไอที่สงบเยือกเย็นแผ่ออกมา สัมผัสได้ทันทีว่าเป็นคนที่ไม่ได้เข้าถึงง่าย 


 


 


ในขณะที่เขากำลังประเมินดูเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ประเมินดูเขาอยู่เช่นกัน อายุประมาณหกเจ็ดสิบปี หน้าคล้ายกับเหวินซื่อ ท่าทางใจดีมีเมตตา แม้ภายนอกชราแต่ดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง ทำให้คนรู้สึกอยากรู้จักด้วยทันทีที่ได้เห็น  


 


 


บ่าวรับใช้ยกน้ำชามาให้ นายท่านเหวินทำท่าเชิญ “แม่นางเมิ่ง เชิญดื่มชา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขอบคุณ ยกถ้วยน้ำชาขึ้น จิบคำหนึ่งเบาๆ แล้ววางถ้วยชาลง ยิ้มพูด “ได้ยินเหวินซื่อพูดถึงท่านเมื่อหลายปีก่อน บอกว่าท่านก่อตั้งร้านยาเต๋อเหรินขึ้นมาเองกับมือ เชี่ยนโยวนี้นับถือท่านมาโดยตลอด และอยากเจอท่านมาตั้งนานแล้ว เสียดายที่ไม่มีโอกาสเสียที จนต้องล่วงเลยมาถึงตอนนี้” 


 


 


นายท่านเหวินหัวเราะเบาๆ “คำพูดนี้ของแม่นางเมิ่งเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าก็เป็นแค่พ่อค้าคนหนึ่ง ไม่มีค่าอะไรที่จะให้เจ้านับถือ แต่ว่าเจ้า อายุก็น้อย ไม่เพียงแต่วิชาการแพทย์ล้ำเลิศ ยังเข้าใจเรื่องค้าขายอีก นี่สิถึงจะน่านับถือจริงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านเหวินชมเกินไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เป็นเพราะจังหวะและโอกาสก็เท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การชื่นชมหรอกเจ้าค่ะ” 


 


 


เมื่อเห็นนางถ่อมตัวและนอบน้อม นายท่านเหวินยิ้มแล้วพยักหน้า “ที่ภรรยาของซื่อเอ๋อร์ท้อง และเพิ่มทายาทตระกูลเหวินได้ในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะแม่นางเมิ่ง ข้าขอบใจอย่างมาก วันหลังถ้าหากว่ามีเรื่องอันใดที่ตระกูลเหวินพอช่วยเหลือได้ ขอแค่เอ่ยปากบอกมา ถ้าพวกเราช่วยได้ ก็จะช่วยอย่างเต็มกำลัง” 


 


 


“เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณนายท่านเหวินอีกครั้งเจ้าค่ะ หากว่าวันหลังมีเรื่องอะไรให้ช่วย ข้าจะบอกแน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณอย่างดีใจ แล้วพูดอย่างเป็นนัยต่อทันทีทันที “ที่ฮูหยินเหวินซื่อท้องในครั้งนี้ เป็นความโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ ข้าก็ดีใจกับนางเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ แต่ไม่ว่าเรื่องใด มีครั้งแรกแล้วก็ย่อมมีครั้งที่สอง จวนเหวินนั้นก็ถือว่าอันตราย รับประกันไม่ได้ว่าวันใดจะเกิดเรื่องแบบครั้งที่แล้วขึ้นอีก เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ฝีมือการแพทย์ของข้าดีขนาดไหน ก็จนปัญญาเช่นเดียวกัน” 


 


 


นายท่านเหวินทำแต่ค้าขายมาทั้งชีวิต จะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนางได้อย่างไร สีหน้ายิ้มแย้มบนใบหน้าได้คลายลง พร้อมถอนหายใจเฮือกยาว แล้วบอกว่า “ที่แม่นางเมิ่งพูดมา ข้าเข้าใจ แต่ว่าข้าเปิดร้านขายยามาทั้งชีวิต สิ่งที่ทำก็คือการรักษาผู้คน อย่าบอกนะว่าพอข้าแก่แล้วยังจะต้องลงมือกับคนในบ้านหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขา แล้วพูดอย่างเปิดเผยว่า “ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ก็ต้องเจอปัญหาอยู่ดีเจ้าค่ะ เพราะว่าชีวิตของท่านนี้ช่วยคนมานับไม่ถ้วน แต่ท่านยังไม่ลืมความรู้สึกแรกที่ท่านรู้ว่าเหลนของท่านแท้งใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าคิดว่าท่านคงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกแน่นอน ดังนั้นขออภัยหากข้าน้อยพูดมากไป แต่ถึงเวลาที่ท่านควรตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


นายท่านเหวินเงียบ ไม่พูดอะไร  


 


 


กลับเป็นเหวินซื่ออ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่แล้วก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขม็งใส่ คำพูดที่อยากจะพูดก็กลืนกลับเข้าไป  


 


 


เมื่อพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยกน้ำชาขึ้น แล้วจิบเบาๆ บอกว่า “ชานี้หอมมากจริงๆ หากกินมากๆ ทุกวัน จะต้องทำให้คนมีรู้สึกเบิกบานแน่นอน แต่น่าเสียดาย ที่ไม่รู้ว่าคราวหน้าถ้ามาที่นี่อีกจะได้ยกน้ำชาดื่มได้เช่นนี้อีกหรือเปล่า” 


 


 


คำพูดแฝงความหมายนี้ทำให้นายท่านเหวินสะท้านจนต้องเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่นาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มน้อยๆ วางแก้วชาลง ลุกขึ้นพูดว่า “ที่จวนยังมีเรื่องต้องจัดการ ข้าขอไม่รบกวนพวกท่านแล้ว หวังว่าพบกันครั้งหน้า เชี่ยนโยวจะสามารถขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องทำการค้ากับท่านสักหน่อยเจ้าค่ะ” 


 


 


นายท่านเหวินจ้องมองไปนางด้วยสายตาเฉียบคม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็มองกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว แล้วยิ้มให้กับเขา 


 


 


มองกันอยู่นาน จนนายท่านเหวินหัวเราะออกมา ลุกขึ้นบอกว่า “ดี รอพบกันครั้งหน้า ข้าจะเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการค้าของข้าให้ฟัง เชื่อว่าด้วยความฉลาดหลักแหลมของแม่นางแล้ว ใช้เวลาไม่นาน ก็จะได้เป็นแม่ค้ารายใหญ่ในแวดวงการค้าของเมืองหลวงแน่นอน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “นายท่านเหวินชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องการทำการค้าก็แค่อยากที่จะทำให้คนที่บ้านมีกินมีใช้ ไม่ได้คิดที่จะทำใหญ่โตเสียขนาดนั้น” 


 


 


นายท่านเหวินหัวเราะไม่หยุด แล้วส่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงที่หน้าประตูห้องรับแขกด้วยตนเอง เมื่อเห็นเหวินซื่อส่งนางไปไกลแล้ว ก็จ้องมองนางด้วยสายตาเฉียบแหลม จนนางลับไป ถึงจะเก็บสายตาที่มองนางกลับมา ทำหน้าเคร่งขรึม แล้วสั่งว่า “ข้าจะไปที่ห้องหนังสือวางแผนอะไรสักหน่อย หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใด ก็ห้ามรบกวนเป็นอันขาด” 


 


 


บ่าวรับใช้ตอบรับ แล้วตามเขาไปที่ห้องหนังสือ เปิดประตูให้เขาเข้าไป แล้วปิดประตูอย่างเบาๆ จากนั้นก็ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูอย่างสงบเสงี่ยม 


 


 


เมื่อส่งเมิ่งเชี่ยนโยวเสร็จแล้ว เหวินซื่อก็กลับมาที่ห้องของตนเองอย่างรวดเร็ว ใช้น้ำเสียงที่อบอุ่นถามเฝิงจิ้งเหวินว่าอยากกินอะไร แล้วไปที่ห้องครัวเฝ้าดูแม่ครัวทำอาหารด้วยตนเอง 


 


 


เวลาผ่านไปครึ่งเดือนกว่า สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง จนน้ำแข็งบนดินละลายลงหมด ผู้คนในเป่ยเฉิงยืนอยู่บนถนนทุกวัน หวังว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมาที่นี่ เรียกให้พวกเขาไปทำงานโดยเร็ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ถึงความกระวนกระวานของพวกเขา จึงฝากให้คนรับใช้ไปบอกว่าให้เริ่มงานอย่างเป็นทางการในวันที่สิบหกเดือนสอง เมื่อถึงตอนนั้นก็ให้คนเมืองเป่ยเฉิงไปรายงานตัวที่ผืนดินแห่งนั้นก็เพียงพอ 


 


 


ทันทีที่ข่าวนี้ออกมา เมืองเป่ยเฉิงก็คึกคักขึ้นมาทันที ทุกคนต่างรีบวิ่งไปบอกต่อๆ กัน และตั้งตารอให้ถึงวันนั้นด้วยความยินดี 


 


 


ส่วนคนที่คอยคุมคนงาน ก็คือองครักษ์ลับทั้งหลาย 


 


 


เรื่องบุกเบิกพื้นที่รกร้างให้เป็นหน้าดินการเกษตรเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเหวินเปียวโดยตลอด ในครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวจึงโยนเรื่องนี้ให้เขารับผิดชอบไปเลยเต็มๆ และบอกเขาว่า “หน้าที่ของเจ้ามีเพียงแค่รายงานว่าบุกเบิกพื้นที่ไปได้เท่าไรให้กับข้าในทุกๆ วัน ส่วนที่เหลือข้าไม่สนใจ แต่ว่า ห้ามทำให้การปลูกมันฝรั่งล่าช้า” 


 


 


เหวินเปียวตอบรับ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “พวกเจ้าลองปรึกษากันดูว่า จะพักอยู่ที่หน้างานหรือพักอยู่ที่บ้าน ก็บอกกับแม่ครัวให้ดี” 


 


 


เมื่อจัดการเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่สนใจแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 193-2 การจากลา

 

ร้านแป้งมันฝรั่งให้เมิ่งอี้เป็นคนดูแล ส่วนในโรงงานมีบ่าวใช้และหวงฝู่อวี้คอยดูแล ส่วนเรื่องการบุกเบิกพื้นที่ก็เป็นหน้าที่ของเหวินเปียว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเพียงแค่ไปเยี่ยมเฝิงจิ้งซูและพระชายาฉีอย่างสม่ำเสมอ และไปตรวจดูร้านผ้าไหมอีกสักหน่อย นอกนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ


 


 


ทุกคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างดี ไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง โดยเฉพาะหวงฝู่อวี้ ในทุกๆ วันต้องรอเลิกงานก่อนถึงจะกลับจวนได้ และในตอนเช้าก็ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน จนทำให้พระชายาฉีไม่ได้เจอเขาไปตั้งหลายวัน นางทั้งประหลาดใจและกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ เมื่อรู้ว่าเขาออกไปทำงาน ก็ตกใจจนพูดไม่ออก


 


 


ในพริบตาเดือนเวลาก็ล่างเลยไปหนึ่งเดือนกว่า วันนี้เป็นวันที่เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำ จึงท้าประลองกับชิงหลวนและจูหลาน แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม


 


 


เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้น จึงตามเขากลับไปที่ห้อง ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”


 


 


“ที่หลินเฉิงเกิดน้ำท่วมหนัก ข้าราชการท้องถิ่นไม่ได้เตรียมแผนรับมือป้องกันไว้ เลยทำให้หมู่บ้านน้อยใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ และมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน”


 


 


“เพราะฉะนั้น…” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยเสียงขรึม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก “ข้าได้ยื่นเรื่องทูลเสด็จลุงแล้ว ขอราชโองการให้ข้าไปช่วยเหลือ และปลอบขวัญประชาชน หากว่าครั้งนี้ทำได้ดี ข้าก็จะนำคุณงามความดีนี้ไปขอราชโองการสมรสของพวกเราได้”


 


 


เรื่องภัยธรรมชาติเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะต้องเสียเงินให้กับการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจำนวนมากเพียงใด และสุดท้ายจะยังจะเหลือให้ช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนอีกเท่าใด ถ้าจัดการไม่ดี ก็จะทำให้ประชาชนไม่สงบสุข ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากมาก


 


 


นิ่งไปสักครู่ เมิ่งเชี่ยนโยวถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเบาๆ แล้วโอบนางไว้ในอ้อมอก “ข้ารอต่อไปไม่ได้แล้ว ตราบใดที่ข้ายังไม่แต่งเจ้าเข้าเรือน จิตใจของข้าก็ว้าวุ่นไปหมด ถึงแม้ว่าเรื่องภัยพิบัติจะเป็นเรื่องที่จัดการยาก แต่เจ้าวางใจเถิด ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ข้าก็ได้ประสบการณ์มากมาย จัดการเรื่องพวกนี้น่าจะมีทางออกอยู่บ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า จ้องดวงตาของเขา เพื่อที่จะให้เขามองเห็นถึงความเป็นห่วงจากดวงตาของนาง แล้วถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “อยากให้ข้าไปด้วยหรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจูบไปที่ริมฝีปากของนาง “ไม่ต้อง เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงนี่แหละ รอข้ากลับมาก็พอแล้ว อย่างมากก็ไม่เกินสามเดือน ข้าก็จะกลับมา”


 


 


“ท่านอ๋องและพระชายาเห็นว่าอย่างไร”


 


 


“ข้าได้รับมอบหมายมา ก็มาบอกเจ้าก่อน ยังไม่ทันได้ไปบอกพวกเขา แต่ข้าคาดว่าเสด็จพ่อตอนนี้ก็น่าจะทราบข่าวแล้ว”


 


 


“จะเริ่มออกเดินทางเมื่อใด”


 


 


“ถ้าหากว่าไม่มีอันใดผิดพลาด พรุ่งนี้เช้าก็จะออกเดินทางโดยม้าเร็ว สองสามวันก็น่าจะถึงหลินเฉิง ส่วนเรื่องของเงินช่วยเหลือและเสบียง จะถึงช้ากว่าหน่อย”


 


 


“เร็วขนาดนี้เลยหรือ”


 


 


“น้ำท่วมตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อน ถนนจมหายไปกับน้ำ ข่าวคราวจากเมืองหลินเฉิงส่งมาไม่ได้ จนถึงวันนี้เสด็จลุงถึงจะได้รับข่าว ข้าต้องรีบออกเดินทาง หากล่าช้าไปกว่านี้ ไม่รู้ว่าจะมีคนตายเพิ่มอีกเท่าใด ดังนั้น ข้าจึงมาบอกเจ้าก่อน อีกสักพักคงกลับจวนเพื่อเตรียมตัว เมื่อถึงพรุ่งนี้ก็จะรีบออกเดินทางทันที”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นแขนทั้งสองข้างออกมา โอบไปที่คอของนาง ให้เขาก้มหน้าแล้วมองไปที่ตาของนาง แล้วเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “อี้เซวียน!”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “อืม” เบาๆ ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง


 


 


“ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม ชีวิตของเจ้าย่อมสำคัญที่สุด ขอเพียงแค่เจ้าปลอดภัย ไม่ว่าจะได้แต่งงานกันหรือไม่ ข้าไม่สนใจทั้งสิ้น”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ยิ้มแล้วก้มหน้าลง พูดว่า “แต่ข้าสนใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่า การต้องยับยั้งชั่งใจทุกวันนั้นมันทรมานเพียงใด ข้าจะต้องขอเจ้าแต่งงานในเร็ววันให้ได้ จะได้ทำสิ่งที่ข้าอยากทำได้อย่างถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ไม่ใช่เหมือนเช่นตอนนี้ ที่จะต้องอดทนทุกครั้ง”


 


 


ความในใจนี้พูดจนทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นมา แล้วยิ้มน้อยๆ บอกว่า “ข้าไม่สนใจ ถ้าหากว่าเจ้าเป็นกังวลจริงๆ ล่ะก็ ข้าก็จะ…”


 


 


“ข้าสนใจ เจ้าเป็นชายาของซื่อจื่อ เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ข้ารัก ข้าจะไม่ยอมให้มีคนนินทาลับหลังเจ้า และจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจเลยแม้แต่น้อย ข้าจะต้องแต่งเจ้าเข้ามาอย่างถูกต้อง ให้ทุกคนได้รู้ว่า เจ้าสำคัญกับข้าขนาดไหน”


 


 


แม้ว่าคำพูดเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนจะพูดไปตั้งหลายรอบแล้ว แต่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังรู้สึกซาบซึ้งในทุกครั้งที่เขาพูด จึงโอบที่คอของเขา เขย่งขาขึ้น แล้วเป็นฝ่ายที่ใช้ริมฝีปากอันนุ่มละมุนประกบเข้ากับเขาก่อน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำอย่างรวดเร็ว ท่าทางก็ยิ่งร้อนแรงขึ้น


 


 


จนกระทั่งฟ้ามืด หวงฝู่อี้เซวียนถึงเดินออกมาจากห้องของนางแล้วจากไป


 


 


แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ได้ออกมาส่ง


 


 


ในจวนของอ๋องฉี อ๋องฉีและพระชายาฉีที่ได้รับข่าวแล้วก็มีทีท่าร้อนรนอยู่ในจวน ขนาดอ๋องฉีเป็นผู้สุขุมนิ่ง ยังต้องเดินไปเดินมาไม่หยุด ส่วนพระชายาฉีก็นั่งหน้าซีดอยู่บนเก้าอี้ คอยบอกให้หลิงหลงออกไปดูข้างนอกว่าหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาหรือยัง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าประตูมา เมื่อหลิงหลงเห็นเขาก็รีบทำความเคารพ พร้อมรายงานว่า “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องและพระชายาเรียกท่านเข้าพบเจ้าค่ะ”


 


 


เท่านี้ก็รู้ได้เลยว่าพวกท่านรับรู้ข่าวเรื่องภัยพิบัติแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาที่เรือนของพระชายา


 


 


เมื่อเขาเดินเข้าประตูมา ท่านอ๋องก็ทำหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่กลับจวนมาปรึกษากับพวกข้าก่อน แต่กลับไปขอราชโองการด้วยตนเองเล่า”


 


 


“เสด็จพ่อ เสด็จแม่” หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มเรียก นั่งลงที่เก้าอี้อีกด้านหนึ่ง แล้วตอบอย่างไม่สนใจว่า “ลูกโตแล้ว ควรจะต้องออกไปหาประสบการณ์บ้างแล้ว”


 


 


“ไร้สาระ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติมันอันตรายขนาดไหน” น้อยครั้งมากที่อ๋องฉีจะโมโหใส่เขา “เรื่องแบบนี้มีแต่คนหลีกหนีไม่ยอมทำ แล้วดูเจ้าสิ รับอาสาขอราชโองการเอง ถ้าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา แล้วจะให้ข้ากับแม่ของเจ้าทำอย่างไร”


 


 


น้ำเสียงของพระชายาก็ไม่ได้อ่อนโยนอีกต่อไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิและอาวรณ์ว่า “เซวียนเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้ารีบร้อนสร้างผลงาน เพื่อที่จะไปขอให้เสด็จลุงของเจ้ามอบรางวัลให้ไปสู่ขอโยวเอ๋อร์ แต่ว่าเรื่องในครั้งนี้มันอันตรายเกินไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าจะได้มีหน้าตาในราชสำนักหรือไม่ หรือว่า พวกข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเชื่อฟังคำสั่งเจ้าหรือเปล่า เงินช่วยเหลือและเสบียงอาหารจะถึงมือเจ้าหรือไม่ก็ยังไม่รู้ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะจัดการภัยพิบัติได้อย่างไร”


 


 


“ลูกได้ไตร่ตรองตรงนี้แล้วขอรับ จึงได้ทูลขอเสด็จลุงให้พวกองครักษ์หลวงติดตามไปด้วย ถ้ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นก็จะมีพวกเขาคอยรายงานตลอดเวลา เสด็จพ่อและเสด็จแม่โปรดวางใจเถิดขอรับ”


 


 


“เมืองหลินเฉิงกับเมืองหลวงอยู่ห่างกันเป็นร้อยลี้ ต่อให้องครักษ์ฝีมือดีขนาดไหน ถ้าหากว่ามีเรื่องอันใดมารายงานก็อาจจะล่าช้าได้อยู่ดี ฟังพ่อเถิด พ่อจะพาเจ้าเข้าวัง แล้วบอกว่าสุขภาพของเจ้าไม่แข็งแรง ให้เสด็จลุงของเจ้าส่งคนอื่นไป”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนทำสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ ตอนที่ท่านนำทหารเข้าเมืองไปช่วยเสด็จลุงในปีนั้น ท่านก็อายุประมาณนี้ ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นอยู่แล้ว หรือว่าท่านอยากให้คนล้อว่าลูกของท่านเป็นคนไม่เอาถ่านอย่างนั้นหรือขอรับ”


 


 


ท่านอ๋องฉีหยุดชะงักไป


 


 


พระชายาฉีรีบร้อนบอกว่า “ตอนนั้นที่เสด็จพ่อของเจ้านำทหารเข้าวังเพราะสถานการณ์บังคับ ถ้าหากว่าไม่ทำเช่นนั้น เสด็จลุงของเจ้า เสด็จย่าของเจ้า และเสด็จทวดของเจ้าก็อาจจะไม่รอด แต่ว่าเจ้าในวันนี้ เจ้ามีทางเลือกว่าจะไปหรือไม่ไปก็ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า เผชิญหน้ากับพระชายาฉีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ผิดแล้วขอรับเสด็จแม่ ตอนนี้ลูกไม่ได้มีทางเลือก ปีนี้โยวเอ๋อร์ก็อายุสิบเก้าแล้ว แต่เสด็จลุงกลับไม่ให้ราชโองการสมรสมาเสียที ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ข้ากลัวว่าโยวเอ๋อร์จะไปจากข้าเสียก่อน และไม่หวนกลับมาอีก ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเหตุการณ์ที่หลินเฉิงนี้ ข้าจะต้องไปขอรับ”


 


 


พระชายาฉีก็ไม่ยอมแพ้ พูดต่อไปว่า “แม่เป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน มองออกว่าโยวเอ๋อร์มีใจให้กับเจ้า ดูจากนิสัยของนางแล้ว ขอแค่เจ้าไม่เปลี่ยนใจ นางก็จะไม่ทอดทิ้งเจ้าอย่างแน่นอน แล้วนางจะหายไปได้อย่างไรกันเล่า”

 

 

 


ตอนที่ 194-1 มหาเสนาบดีขอราชโองการ

 

 


 


แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะเติบโตมาในครอบครัวชาวนา แต่ก็อยู่หมู่บ้านเดียวกับเมิ่งเชี่ยนโยว จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางเป็นคนเช่นไร ต่อมาเมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวได้แสดงออกถึงความเก่งกาจที่ไม่เหมือนใคร เพียงภายในหนึ่งเดือนก็สามารถทำให้ครอบครัวของตนเองร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านได้


 


 


เขาไม่สามารถทนการทารุณของสองสามีภรรยาชั้นต่ำคู่นั้นได้ เลยคิดแผนการ ให้เมิ่งเชี่ยนโยวรับเขาเข้าไปอยู่ในตระกูลเมิ่ง


 


 


เขาดีใจเป็นอย่างมาก และเก็บความสงสัยทั้งหมดไว้เพียงในใจ


 


 


แต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ คำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวทำให้เขาคิดไม่ตก ความเคลือบแคลงในใจเขาก็ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และเขาก็คาดเดาได้ประมาณหนึ่งแล้ว ความคิดนี้ทำให้เขากระวนกระวาย ทำอะไรไม่ถูก และนอนไม่หลับตลอดหลายคืน


 


 


เขาจำเป็นต้องหาวิธีแต่งนางเข้ามาให้ได้ และเป็นหนึ่งเดียวกับเขา มีกายเดียวกัน เช่นนี้ถึงอาจจะรั้งนางไว้ได้ ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไม่ได้นำเรื่องนี้มารายงานกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเขา ขอพระราชโองการแก้ไขภัยพิบัติด้วยตนเอง แต่ว่าเรื่องนี้ก็พูดออกไปไม่ได้ อย่างไรเสีย ตรงหน้าก็คือแม่ของเขา เขาไม่สามารถที่จะแพร่งพรายอะไรออกไปได้


 


 


พระชายาฉีเห็นว่าหลังจากที่เขาฟังถ้อยคำของตัวเองแล้ว เขาก็นิ่งไม่พูดอะไร แต่ท่าทีดูเปลี่ยนไปตลอด ในใจเกิดสงสัย จึงถามออกไปว่า “เซวียนเอ๋อร์ คำพูดของแม่เจ้าได้ฟังหรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้สติคืนกลับมา แล้วเผยรอยยิ้มอย่างอบอุ่น “รับทราบขอรับ ลูกเพียงแต่พูดไปอย่างนั้น เสด็จแม่อย่าได้เป็นกังวลไปเลย”


 


 


พระชายาฉีก็ไม่ได้คิดมากอะไร ความสงสัยภายในใจก็คลายลง แล้วพูดต่อไปว่า “เซวียนเอ๋อร์ ฟังแม่เถิด ถึงแม้ว่าจะทำเพื่อโยวเอ๋อร์ แต่เจ้าก็ไปดูเรื่องภัยพิบัติไม่ได้ ถ้าหากว่าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา แล้วโยวเอ๋อร์จะทำอย่างไร”


 


 


“ข้าเพิ่งไปหาโยวเอ๋อร์มา นางก็สนับสนุนให้ข้าไป เสด็จแม่วางใจเถิด ลูกดูแลตัวเองได้”


 


 


พระชายาฉีเห็นว่าพูดอะไรไม่ได้แล้ว จึงมองไปที่อ๋องฉีแล้วเรียก “ท่านอ๋อง” หมายใจเผื่ออ๋องฉีจะช่วยนางพูดได้


 


 


ใครจะไปรู้ว่าอ๋องฉีจะกลับมาอารมณ์ปกติ มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนอย่างสงบนิ่ง ถามด้วยเสียงขรึม “เจ้าตัดสินใจแล้วอย่างนั้นหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าตัดสินใจแล้วขอรับ เรื่องหลินเฉิงครานี้ข้าต้องไป ขอเสด็จพ่ออย่าห้ามลูกเลยขอรับ”


 


 


คิดไม่ถึงว่าอ๋องฉีจะพยักหน้า แล้วตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ดี สมแล้วที่เป็นลูกของข้า ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว พ่อก็จะไม่ห้ามเจ้า พ่อขอรับรองว่า ถ้าหากว่าเจ้าทำคุณงามความดีครั้งนี้สำเร็จ พ่อจะเข้าวังหลวงไปขอพระราชโองการด้วยตนเอง ถ้าหากว่าเสด็จลุงของเจ้าไม่ตกลงล่ะก็ ข้าจะละทิ้งตำแหน่งอันทรงคุณค่านี้ แล้วไปอยู่กับพวกเจ้าที่บ้านนอก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไป


 


 


พระชายาฉีก็รีบร้อนพูดออกมาว่า “ท่านอ๋อง” แล้วพูดด้วยน้ำเสียงบ่นเป็นกลายๆ ว่า “เซวียนเอ๋อร์ยังเด็ก เหตุใดท่านถึงยอมให้เขาทำเรื่องเช่นนี้ เรื่องภัยพิบัติเป็นเรื่องใหญ่ เขาไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน”


 


 


“ฮูหยิน” อ๋องฉีพูดโน้มน้าวนางอย่างแน่วแน่ว่า “เซวียนเอ๋อร์โตแล้ว รู้ว่าหน้าที่ของเขาคืออะไร การใช้คุณงามความดีของตนเพื่อแลกกับพระราชโองการ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”


 


 


คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะพูดเช่นนี้ พระชายาฉีอ้าปากค้าง มองไปที่ท่านอ๋องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงจะรู้สึกตัว ริมฝีปากของนางก็สั่นเทา ขอบตามีรอยแดงขึ้นเล็กน้อยแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นนางเป็นเช่นนี้ จึงรีบลุกขึ้น เดินไปที่ข้างหน้านาง ยกชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลง “เสด็จแม่ ลูกขอรับรองว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย ท่านอย่าได้เสียใจไปเลยขอรับ ขอท่านแม่โปรดดูแลรักษาสุขภาพด้วย”


 


 


ในที่สุด พระชายาฉีก็ทนไม่ไหว หยดน้ำตาไหลลงบนเสื้อผ้าของนาง โค้งตัวลงไปพยุงหวงฝู่อี้เซวียนให้ลุกขึ้น สะอึกสะอื้นแล้วพูดว่า “เซวียนเอ๋อร์ ที่แม่พยายามห้ามลูกไม่ให้ไปดูเรื่องภัยพิบัติ ก็เพราะว่าเจ้าจากแม่ไปตั้งสิบปี แม่เจ็บปวดรวดร้าวเสียเหลือเกิน ในวันนี้ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันมาแค่ไม่กี่วัน แม่ไม่อยากหวนกลับไปสู่คืนวันเหล่านั้นอีกแล้วจริงๆ” เมื่อพูดจบ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย


 


 


พระชายาฉีเกิดในตระกูลแม่ทัพ ถึงแม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอ แต่ว่านิสัยเข้มแข็งห้าวหาญ แม้ว่าหลายปีมานี้จะอยู่แต่ในจวนอ๋อง ไม่ได้เป็นที่รักของทอ๋องฉี ไม่มีลูกอยู่ข้างกาย แต่ก็ไม่เคยมีน้ำตาไหลเลยสักครั้ง ทว่า ตอนนี้หยดน้ำตากลับหลั่งไหลไม่ขาดสาย ทำให้สองพ่อลูกรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกเจ็บปวดราวกับเข็มทิ่มแทงใจ แต่ยังคงดึงดันพูดโน้มน้าวต่อไปว่า “เสด็จแม่ ท่านลองมองอีกมุมหนึ่ง ถ้าลูกกลับมาจากการไปการช่วยภัยพิบัติในครั้งนี้ ก็จะสามารถขอพระราชโองการไปสู่ขอเมิ่งเชี่ยนโยวได้โดยเร็ว จากนั้นหนึ่งปี พวกเราก็อาจจะมีลูกด้วยกัน เมื่อถึงเวลานั้นก็จะมีเด็กน้อยคอยเรียกท่านว่าท่านย่า ท่านไม่ได้อยากเห็นภาพแบบนั้นอย่างนั้นหรือ ถ้าหากว่าลูกไม่ไปสร้างผลงานในครั้งนี้ แล้วจะทำความฝันของท่านให้สำเร็จได้เมื่อไรกันเล่าขอรับ”


 


 


เขาได้ตัดสินใจแล้ว ดูท่าแล้วไม่เปลี่ยนใจแน่นอน พระชายาฉีพยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “แม่รู้ๆ แม่จะไม่ห้ามเจ้าอีก เจ้าไปจัดการเรื่องของเจ้าเถิด แม่จะช่วยดูแลโยวเอ๋อร์ให้แล้วกัน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “ขอบพระคุณเสด็จแม่”


 


 


อ๋องฉีกระแอมหนึ่งที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้ถึงความหมายนั้น จึงพูดว่า “เสด็จแม่ ลูกต้องไปเตรียมของแล้ว วันรุ่งจะออกเดินทางแต่เช้า”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหันไปพูดกับท่านอ๋องฉีว่า “เสด็จพ่อ ลูกขอตัว”


 


 


ท่านอ๋องพยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไป


 


 


พระชายาฉีก็น้ำตาไหลนอง


 


 


อ๋องฉีเดินไปหยุดที่ด้านหน้าของพระชายาฉี ยื่นมือออกมา แล้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง “เซวียนเอ๋อร์จะต้องทำได้ดีแน่นอน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีก็พอ”


 


 


คำพูดของเขา ทำให้นางร้องไห้หนักกว่าเดิม ตั้งแต่แต่งงานมาสิบปี นางไม่เคยเป็นเยี่ยงเด็กสาวเช่นนี้มาก่อนเลย นางซุกหน้าเข้าอกของอ๋องฉีแล้วร่ำไห้ มือทั้งสองโอบกอดอยู่ที่เอวของอ๋องฉี แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง


 


 


อ๋องฉีตัวแข็งทื่อ แต่ในใจก็รู้สึกดีใจ ยื่นมือออกมาลูบหลังของนางอย่างไม่ชิน อ้าปากอยากจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไรดี


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาที่เรือนของตนเอง หวงฝู่อี้ก็รู้ข่าวแล้วเช่นกัน จึงได้เก็บข้าวของของทั้งสองคนแล้วเรียบร้อย วางไว้อยู่บนเตียง


 


 


เมื่อเห็นสัมภาระเล็กใหญ่วางอยู่บนเตียง หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว บอกว่า “เรื่องครั้งนี้อันตรายเป็นอย่างมาก เจ้าไม่ต้องตามข้าไป อยู่ที่นี่ รอข้ากลับมา”


 


 


หวงฝู่อี้นึกแล้วว่าเขาจะต้องพูดแบบนี้ เลยรีบพูดว่า “ไม่ได้ขอรับ เรื่องครั้งนี้ร้ายแรงนัก ข้าจะต้องไปกับท่าน คอยดูแลท่าน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก “อี้เอ๋อร์ ฟังข้า เจ้าต้องอยู่ที่นี่ดูแลเสด็จแม่แทนข้า…” เขายังพูดไม่ทันจบก็โดนหวงฝู่อี้แทรกว่า “พระชายาฉีมีคนในจวนคอยดูแลอยู่แล้ว ไม่ต้องการคนอย่างข้าหรอก ข้ารู้ว่าที่ท่านพูดแบบนี้เป็นเพราะท่านไม่อยากให้ข้าตามไปด้วย ข้ายังยืนกรานกับท่านจนถึงตอนนี้ ถ้าหากว่าพรุ่งนี้ท่านไม่ยอมให้ข้าตามไปด้วย ข้าก็จะแอบตามท่านไป หลินเฉิงไม่ได้ไกลเลย แค่ถามๆ ดูก็หาท่านเจอแล้ว”


 


 


“เจ้า…” หวงฝู่อี้เซวียนรู้นิสัยดื้อดึงของเขาดี เรื่องที่ตัดสินใจแล้วก็จะไม่กลับใจเป็นอันขาด เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ ก็เลยทำได้แค่พยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปกับข้า”


 


 


หวงฝู่อี้ตอบรับด้วยความดีใจ แล้วเอาสัมภาระย้ายไปวางบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ยังไม่ทันจะถึงเวลารุ่งสางของวันถัดมาก็ลุกขึ้น แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วเดินออกไป


 


 


ชิงหลวนกับจูหลีได้ยินเสียง ก็ตื่นขึ้น แล้วรีบแต่งตัวตามนางออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกนางแวบหนึ่ง ก็รีบเดินออกไป “ข้าจะไปส่งอี้เซวียน พวกเจ้ากลับไปนอนต่อเถอะ ไม่ต้องตามมา”


 


 


ทั้งสองคนมองหน้ากัน แต่ก็ยังเดินตามนางไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้หยุด


 


 


เดินมาที่หลังจวน จูงม้าออกมาด้านนอก แล้วขึ้นขี่ มุ่งหน้าไปที่ประตูเมือง ชิงหลวนและจูหลีก็ติดตามอยู่ทางด้านหลัง


 


 


เมื่อมาถึงประตูเมือง ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ประตูเมืองยังไม่เปิด เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดม้า แล้วนั่งนิ่งรออยู่ด้านบนหลังม้า


 


 


เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม ก็มีเสียงฝีเท้าของม้าพัดผ่านมา เมิ่งเชี่ยนโยวมองไป เห็นม้าหลายตัวกำลังมุ่งหน้ามา คนที่อยู่ตรงหน้าก็คือหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เห็นนาง ใบหน้าเผยประกายด้วยความดีใจ ในขณะเดียวกันปรากฏความเศร้าสลด เมื่อควบม้ามาหยุดที่ตรงหน้านาง กลับส่งเสียงบ่นออกมา “บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าไม่ต้องมาส่งข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขา เม้มปาก พร้อมกับพูดความในใจออกไปว่า “ข้าคิดถึงเจ้าน่ะ ก็เลยมาส่ง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยุกชะงักไป แล้วก็ดีใจขึ้นมาทันที จึงเหาะมาที่ด้านหลังของนาง พร้อมกระตุกบังเ**ยน ให้ม้าเดินไปที่หน้าประตูเมืองอย่างช้าๆ แล้วสั่งทหารชั้นผู้น้อยที่เฝ้าประตู “เปิดประตู!”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมักจะออกว่าราชการต่างเมืองเป็นประจำอยู่แล้ว นายประตูก็เลยจำเขาได้ เห็นเขามาแต่เช้า แสดงว่าจะต้องมีเรื่องด่วนเป็นแน่ จึงรีบเปิดประตูให้พวกเขาออกไป


 


 


“พวกเจ้าตามมาทีหลัง!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดสั่งเช่นนี้หลังพ้นจากประตูเมืองออกไป แล้วกระทืบท้องม้า เพื่อเร่งให้ม้าตะบึงมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า


 


 


ชิงหลวน จูหลีและบรรดาทหารหลงเว่ยต่างก็ขี้ม้าช้าลง ตามเขาอยู่ด้านหลัง

 

 

 


ตอนที่ 194-2 มหาเสนาบดีขอราชโองการ

 

ม้าวิ่งไปได้สักระยะ จนมาถึงศาลาพักสำหรับคนที่เดินทางผ่านไปมา เขาลงจากม้าแล้วกอดเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ จูงมือของนางเดินเข้าไปในศาลา แล้ววางคางลงที่กระหม่อมของนาง แล้วหัวเราะเบาๆ ออกมา “โยวเอ๋อร์ ข้าก็เหมือนกัน ยังไม่ทันได้ไปก็คิดถึงเจ้าเสียแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งเงียบ อิงอยู่ในอ้อมอกของเขาอยู่พักหนึ่งถึงได้ถามว่า “จะไม่ให้ข้าไปกับเจ้าด้วยจริงๆ หรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะแล้วส่ายหน้า “วางใจเถิด อย่างมากสามเดือนข้าก็กลับมา เจ้ารอข้าอยู่ที่บ้าน ตัดชุดแต่งงาน รอข้ามาขอเจ้านะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำหน้าเคร่งขรึมใส่แล้วบอกว่า “สามวัน”


 


 


ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้ในความหมายของนาง แล้วจูบไปที่ปากของนาง แล้วรับปากว่า “ได้ ข้าจะเขียนจดหมายมาทุกๆ สามวัน แล้วให้คนมาส่งให้เจ้าอย่างตรงเวลา”


 


 


ฟ้าสว่างแล้ว พวกทหารหลงเว่ยตามทันแล้ว ถึงแม้จะอาลัยอาวรณ์กันแค่ไหน หวงฝู่อี้เซวียนก็ต้องปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยวออก เดินขึ้นบนหลังม้า สายตาจ้องมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ครู่ใหญ่ ถึงจะข่มใจหันหัวม้า และตีบังเ**้ยนให้ม้าวิ่งออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ที่ศาลา มองเห็นเขาลับไป นัยน์ตาลึกๆ มัวหมอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


ชิงหลวนและจูหลีไม่กล้ารบกวนนาง จึงได้แต่ยืนอยู่ที่ด้านนอกศาลา


 


 


จนกระทั่งเงาดำเล็กๆ ของทุกคนหายลับตาไป เมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะหันหลังกลับ เดินออกจากศาลา ขึ้นบนหลังม้า และออกคำสั่งว่า “ไปที่จวนอ๋องฉี”


 


 


ทั้งสามคนมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉี


 


 


หลังจากลงม้า แล้วโยนเชือกผูกม้าทิ้งไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินเข้าไปที่ด้านในจวนอย่างร้อนรน


 


 


คนเฝ้าประตูยังไม่ทันได้เคารพนาง นางก็เดินเข้าจวนไปเสียแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมุ่งตรงไปที่เรือนของพระชายาฉี


 


 


ชิงหลวนและจูหลีติดตามอยู่ทางด้านหลัง


 


 


คนเฝ้าประตูอึ้งชะงักไปครู่หนึ่ง เดินออกไปที่นอกประตู หยิบบังเ**ยนขึ้นมา แล้วจูง จูงม้าทั้งสามตัวมาผูกไว้ที่หน้าประตู


 


 


เมื่อเดินเข้าในเรือนพระชายาฉี หลิงหลงที่เฝ้าอยู่หน้าประตูพอดี ก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ดีใจร้องบอกว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว”


 


 


“พระชายาอยู่หรือไม่”


 


 


หลิงหลงเปิดม่านประตู “อยู่เจ้าค่ะ แม่นางรีบเข้าไปเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไป ชิงหลวนและจูหลียืนเฝ้าที่หน้าประตู


 


 


พระชายาฉีกำลังนั่งอยู่ที่เบาะตรงหน้าต่าง กำลังเย็บปกเสื้ออยู่ เมื่อได้ยินเสียง จึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เหตุใดวันนี้จึงมีเวลาว่างมาหาข้าล่ะ”


 


 


เมื่อเห็นว่าดวงตาทั้งคู่ของพระชายาฉีบวมแดงเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเม้มปาก และพูด “หม่อมฉันเพิ่งไปส่งอี้เซวียนกลับมาเพคะ เขากำชับให้หม่อมฉันทำชุดแต่งงานรอเขากลับมาสู่ขอ ท่านก็รู้ว่าฝีมือของหม่อมฉันไม่ดี เลยมาขอให้ท่านช่วยสอนข้าให้เสียหน่อยเพคะ”


 


 


พระชายาฉีได้ยินดังนั้น จึงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วแสดงสีหน้าดีใจออกมา บอกว่า “ข้าได้เตรียมผ้าเอาไว้ให้เจ้ากับเซวียนเอ๋อร์แล้ว เจ้าดูสิว่าชอบหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


พระชายาฉีเรียกให้หลิงหลงไปเอาผ้ามาวางแผ่บนโต๊ะ “ดูสิ เจ้าชอบหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอีกครั้ง “ชอบเพคะ แม่ของหม่อมฉันไม่อยู่ด้วย ต้องรบกวนพระชายาช่วยหม่อมฉันทำด้วยนะเพคะ หม่อมฉันกลัวว่าข้าฝีมือไม่ดี จะทำชุดแต่งงานออกมาดูไม่ได้”


 


 


พระชายาฉีหัวเราะออกมาไม่หยุด บอกว่า “ได้ ข้าจะทำให้พวกเจ้าเอง เมื่อถึงเวลาเจ้าก็เอาเข็มมาเย็บเล็กๆ น้อยๆก็ได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “ได้เพคะ หลังจากนี้ถ้าหม่อมฉันว่างก็จะมาช่วยทำท่านชุดแต่งงานนะเพคะ”


 


 


พระชายาฉีหัวเราะตอบรับ


 


 


ทั้งสองคนต่างไม่ได้พูดถึงเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนไปดูแลเรื่องภัยพิบัติ


 


 


 


 


วันเวลาต่อจากนี้ ก็มาถึงฤดูเพาะปลูกมันฝรั่งแล้ว ถึงแม้ว่าเหวินเปียวและทหารองครักษ์ที่พามาด้วยจะทำเป็นกันนิดหน่อย แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจระดับน้ำนี้ควรใช้ในการปลูก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงต้องอยู่ที่สวนนอกเมืองทั้งวัน


 


 


ตอนแรกหวงฝู่อี้เซวียนก็ได้ทำตามสัญญาที่ว่าจะส่งจดหมายมาทุกๆ สามวัน เนื้อหาในจดหมายก็มีแต่เรื่องความทุกข์ยากของชาวเมืองหลินเฉิง คนส่วนใหญ่บาดเจ็บล้มตาย บ้างก็หายสาบสูญไป ถึงแม้ว่าตนจะไปช่วยเหลือภัยพิบัติ แก้ไขความเดือดร้อนและความโหยหิวของผู้คนที่มีชีวิตรอดแล้วก็ตาม แต่ว่าความรู้สึกที่เจ็บปวดของชาวบ้าน เขาเองก็ไม่รู้จะปลอบพวกเขาอย่างดี


 


 


ต่อมาจดหมายก็กลายเป็นห้าวันหนึ่งฉบับ พร้อมกับคำขอโทษต่อนาง และบอกว่าตนนั้นยุ่งมาก ยุ่งจนแม้แต่เวลาเขียนจดหมายให้นางก็ยังไม่มี แล้วยังบอกอีกว่าต่อจากนี้อาจจะเว้นระยะนานหน่อย แต่บอกให้นางไม่ต้องเป็นห่วง เขายังสภาพดีทุกอย่าง ไม่ได้ผอมลง ตอนท้ายยังถามนางว่าชุดแต่งงานเป็นอย่างไรบ้างแล้ว จะเสร็จก่อนที่เขาจะกลับมาหรือเปล่า


 


 


ต่อมาก็ต้องรอถึงสิบวันกว่าจะได้รับจดหมาย ครั้งนี้ ก็มาเป็นเพียงท่อนเดียวว่า เพราะว่าหลังจากภัยธรรมชาติแล้ว มีจัดการที่ไม่เรียบร้อย เมืองหลินเฉิงจึงเกิดโรคระบาดขึ้น


 


 


เมื่อข่าวนี้ออกมาผู้คนก็เริ่มแตกตื่นกัน


 


 


โรคระบาดเป็นเรื่องที่จัดการยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าหากว่าไม่ระมัดระวังก็อาจจะตายได้ ดังนั้นทันทีที่ฮ่องเต้ทรงเผยแพร่ข่าวนี้ขณะที่ออกว่าราชการเช้า เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างก็แตกตื่นกันไปหมด ไม่มีใครอาสามาขอพระราชโองการเพื่อไปจัดการเรื่องนี้เลย


 


 


ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างมาก ทุบโต๊ะมังกรพร้อมด่าว่าขุนนาง แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีใครอาสาไปจัดการ ทุกคนต่างก็หลบเลี่ยงเกี่ยงกัน ก้มหน้าหดตัว ไม่ยอมตอบรับ


 


 


นี่เป็นงานที่หนักมาก และยังต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอันตรายที่ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นอย่างไร


 


 


ถ้าหากว่าจัดการได้ดี นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน ถ้าหากว่าจัดการไม่ดี ถึงแม้ว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้ ก็ยังต้องรับโทษว่าเป็นผู้ไร้ความสามารถจากฮ่องเต้ อย่างเบาก็แค่ลดตำแหน่งลง อย่างหนักก็โทษสถานตาย มีแต่คนที่สมองเพี้ยนเท่านั้นแหละ ถึงจะกล้ารับงานเช่นนี้


 


 


เมื่อเห็นว่าขุนนางที่เคยเอาแต่พูดไปวันๆ ไม่มีใครตอบรับเลยสักคน ฮ่องเต้จึงยิ่งกริ้วหนักขึ้น และตอนที่จะเตรียมเรียกคนให้ออกมานั้น เฮ่อจางผู้เป็นมหาเสนาบดีก็ออกมาจากแถว แล้วกราบทูลด้วยความนอบน้อมว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยขอเป็นผู้หาญกล้ารับพระโองการให้เฮ่อเหลี่ยนไปจัดการโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เมื่อถ้อยคำนี้ดังออกไป ทั้งห้องก็มีฮือฮาขึ้นมา


 


 


ฮ่องเต้ก็หยุดชะงักไป


 


 


อ๋องฉีหรี่ตามองไป


 


 


เมื่อคืนนั้นเฮ่อเหลี่ยนโดนข้าราชการพลเรือนจับได้ เลยโดนฮ่องเต้ลงโทษให้กักบริเวณอยู่ในบ้านเพื่อสำนึกผิดเป็นเวลาหลายเดือน ในช่วงนี้ เฮ่อเหลี่ยนก็อยู่อย่างสงบ ไม่ได้ทำเรื่องเสียหายให้กับราชสำนัก จริงๆ แล้วฮ่องเต้ก็อยากที่จะหาโอกาสใช้เขาอีกครั้ง ด้วยความเกรงใจในมหาเสนาบดี นึกไม่ถึงว่าเฮ่อจางจะเอ่ยปากขอราชโองการแทนเขา


 


 


เมื่อเฮ่อจางพูดจบ เหล่าขุนนางต่างก็ลอบหายใจโล่ง เมื่อมีคนขอรับพระราชโองการ ฮ่องเต้ก็ไม่ต้องเรียกพวกเขาไปแล้ว แต่ว่าความสามารถของเฮ่อเหลี่ยนนั้น ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะตอบรับหรือไม่


 


 


ทุกคนเงยหน้าขึ้น จับจ้องไปที่ฮ่องเต้


 


 


เมื่อเห็นแววตาของพวกเขา ฮ่องเต้ก็รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ความโกรธภายในใจนั้นก็อดกลั้นไม่ไหวอีก แทบอยากจะเอาคนพวกทำการทำงานเหล่านี้ไปทรมาน หรือไม่ก็ลากไปตัดหัวดี ขณะที่นึกคิด พระพักตร์ก็ถมึงทึงขึ้นทันใด


 


 


สิ่งที่เหล่าขุนนางเหล่านั้นทำได้ดีก็คือการสังเกตคน ครั้นเห็นว่าสีหน้าของฮ่องเต้ไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว ก็พอจะเดาออกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ กลัวว่าฮ่องเต้จะส่งตนเองไปแทน


 


 


จึงมีขุนนางกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมาจากแถว และออกปากชื่นชม “กระหม่อมคิดว่าข้อเสนอของท่านมหาเสนาบดีพูดเป็นเรื่องที่ดี คุณชายใหญ่ได้รับการอบรมจากท่านมหาเสนาบดีมาตั้งแต่เล็ก จึงย่อมต้องวางแผนได้เก่งกว่าคนปกติเป็นธรรมดา กระหม่อมเชื่อว่าหลังจากส่งเขาไปแล้ว โรคระบาดจะต้องได้รับการจัดการได้ในเร็ววันอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ทันทีที่เขาพูดขึ้นนำ ทุกคนด้านหลังก็ย่อมคล้อยตาม ไม่นาน ขุนนางกว่าครึ่งก็ต่างออกมาพูดเออออเห็นชอบตามด้วย

 

 

 


ตอนที่ 195-1 ทำการค้าขาย

 

 


 


ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะโกรธมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วออกพระราชโองการด้วยน้ำเสียงนิ่ง “สั่งให้เฮ่อเหลี่ยนมาที่ตำหนัก”


 


 


พระราชโองการได้ถูกส่งไปที่จวนมหาเสนาบดีอย่างรวดเร็ว


 


 


เฮ่อเหลี่ยนเพิ่งตื่น ยังไม่ได้ลุกจากเตียง


 


 


ร่างกายสะท้านด้วยความหนาวเล็กน้อย แล้วรีบลุกขึ้น แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วถามผู้ติดตามคนสนิทว่า “กงกงที่มาถ่ายทอดพระราชโองการนั้นบอกว่าอย่างไรบ้าง”


 


 


“กงกงที่มาถ่ายทอดพระราชโองการมาอย่างยิ้มแย้มขอรับ น่าจะต้องมีเรื่องดีอย่างแน่นอน” ผู้ติดตามคนสนิทตอบด้วยสีหน้าที่ดีใจเป็นที่สุด


 


 


เฮ่อเหลี่ยนได้ฟังดังนั้นก็เดินออกมาจากจวนอย่างอารมณ์ดี แล้วมาพบกงกงที่มาถ่ายทอดพระราชโองการ เมื่อมาถึงตรงหน้าก็โค้งคำนับ แล้วบอกว่า “ขออภัยด้วยที่ทำให้กงกงรอนาน”


 


 


“ไม่เป็นไร พระราชโองการนี้เร่งด่วนนัก คุณชายใหญ่จะมาช้าไปหน่อยก็ไม่แปลก ตอนนี้ได้โปรดตามข้าไปที่พระราชวังเพื่อพบฝ่าบาทเถิด”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนตอบรับ พร้อมก้าวขึ้นไปข้างหน้า แล้วหยิบตั๋วแลกเงินในแขนเสื้อขึ้นมายัดใส่มือของกงกงอย่างไม่แสดงอาการอะไร แล้วผละออกมาเดินอยู่ข้างๆ พร้อมกระซิบถามว่า “กงกงรู้หรือไม่ว่าฝ่าบาทเรียกข้าด้วยเรื่องอันใดกัน”


 


 


กงกงรีบเก็บตั๋วแลกเงินเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วยิ้มตอบด้วยน้ำเสียงเล็กๆว่า “ที่หลินเฉิงเกิดโรคระบาดขึ้น ต้องการขุนนางไปช่วยจัดการ ท่านมหาเสนาบดีเสนอชื่อของคุณชายใหญ่ด้วยตนเอง ถ้าหากว่าเรื่องเลวร้ายนี้จัดการได้โดยดี อนาคตของคุณชายก็จะก้าวไกลแน่นอน”


 


 


คำพูดของเขา ทำให้เฮ่อเหลี่ยนตกใจเป็นอย่างมาก การจัดการกับโรคระบาด เป็นเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตาย เหตุใดมหาเสนาบดีถึงได้เสนอชื่อของเขา หรือคิดกลับกัน ที่มหาเสนาบดีทำแบบนี้จะต้องเป็นประโยชน์กับเขาอย่างแน่นอน ส่วนตนนั้นก็แค่ทำตามก็พอแล้ว เมื่อคิดเช่นนี้ อารมณ์ก็กลับมาเป็นปกติ แล้วเดินตามกงกงไปอย่างหน้าชื่นตาบาน แล้วพยายามหาเรื่องคุยใกล้ชิดกับเขาตลอดทาง


 


 


กงกงภายนอกดูเหมือนจะเกรงใจ แต่แท้จริงภายในใจกลับมีใจคิดดูถูก เฮ่อเหลี่ยนก็แค่คนไม่มีสมองคนหนึ่ง อาศัยที่ตนเองมีพ่อเป็นมหาเสนาบดี เลยได้ตำแหน่งขุนนางเล็กๆ มา แต่ก็ยังไม่ยอมทำให้ดีอีก เลยถูกข้าราชการพลเรือนไปจับได้ที่หอนางโลม ทำให้เกิดเรื่องโด่งดังไปทั่วเมือง ถ้าหากว่าไม่เห็นแก่หน้ามหาเสนาบดีและน้องสาวที่เป็นพระสนมเอกอยู่ เกรงว่าฮ่องเต้คงจัดการเขาไปนานแล้ว ไม่มีการให้โอกาสออกมาแก้ตัวเช่นนี้อีกแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังไม่รู้อีกว่าเรื่องโรคระบาดนี้ไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้น ถ้าทำไม่ดี ก็ไม่แน่ว่าชีวิตของเขาจะมาจบลงที่หลินเฉิงนี่แหละ


 


 


กงกงทำได้แค่คิด แต่ก็ยังแสร้งทำหน้าดังเดิม กงกงยังคงเออออตามถ้อยคำเรื่อยไปของเขาไปตลอดทาง จนมาถึงหน้าประตูวังหลวงอย่างรวดเร็ว


 


 


เฮ่อเหลี่ยนจัดระเบียบเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อย ก้มหน้าเดินตลอดทาง จนมาถึงพระราชตำหนัก หลังจากที่คราวะเสร็จเรียบร้อย ก็คุกเข่าอยู่ที่พื้นอย่างเรียบร้อย


 


 


ฮ่องเต้ตรัสว่า “เฮ่อเหลี่ยน มีรายงานแจ้งมาว่า หลินเฉิงเกิดโรคระบาดขึ้น ข้าต้องการให้ขุนนางของราชสำนักไปจัดการ มหาเสนาบดีเสนอชื่อของเจ้าด้วยตนเอง เจ้ายินยอมหรือไม่”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนตอบรับไปอย่างไม่ได้คิด “การทำเพื่อราชสำนักเป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้ว กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


คำพูดนี้ทำให้ความตึงเครียดของฝ่าบาทกลายเป็นอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย สีหน้าก็ดีขึ้น และตรัสว่า“ดี เราจะให้หมอหลวงติดตามเจ้าไปห้าคน จงลุกขึ้น มุ่งหน้าไปที่หลินเฉิง แล้วข้าจะออกพระราชโองการตามไป พร้อมแจ้งให้ขุนนางทั้งหมดที่เมืองหลินเฉิงให้ฟังคำสั่งของเจ้า ถ้าหากมีผู้ใดไม่ยินยอม ก็สามารถประหารก่อนถวายรายงานได้”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนกระแทกศีรษะที่พื้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ซาบซึ้งเป็นอย่างมาก “กระหม่อมรับคำสั่ง”


 


 


ขุนนางทั้งหลายต่างก็ตกใจ แต่ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลเหมือนกัน อย่างไรเสียการจัดการเรื่องโรคระบาดนั้นเป็นเรื่องใหญ่ การที่ฮ่องเต้ให้อำนาจที่มากขนาดนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควร


 


 


มีเพียงแต่อ๋องฉีที่ขมวดคิ้ว แล้วจ้องไปที่เฮ่อเหลี่ยนด้วยสายตาที่แหลมคม


 


 


เฮ่อเหลี่ยนรู้สึกได้ถึงสายตานั้น ครั้งนี้เขาไม่ได้มีความเกรงกลัวใดๆ แต่กลับเป็นความได้ใจเสียมากกว่า


 


 


เมื่อกำหนดพระราชโองการเรียบร้อยแล้ว ก็เลิกออกว่าราชการ ขุนนางทั้งหมดเดินออกจากตำหนักจินหลวน และพากันทักทายเฮ่อเหลี่ยน


 


 


เฮ่อเหลี่ยนไม่เคยได้รับการยอมรับขนาดนี้มาก่อน สีหน้าเต็มไปด้วยความภูมิใจ


 


 


อ๋องฉีกลับเดินผ่านเขาไปอย่างหน้าตาเฉย เฮ่อเหลี่ยนรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก แต่ว่าไม่ได้แสดงออกมา


 


 


เฮ่อจางรู้ว่าลูกของตนเองนั้นเป็นเช่นไร เกรงก็แต่เขาจะได้ใจจนเผยธาตุแท้ออกมา จึงรีบเดินออกไปก่อน


 


 


เฮ่อเหลี่ยนทักทายเหล่าขุนนางเป็นระยะๆ แล้วรีบเดินตามเฮ่อจางไป


 


 


เมื่อเดินออกจากพระราชวังมาแล้ว ก็ขึ้นรถม้ากลับจวน หลังจากนั้น เฮ่อจางได้พาเฮ่อเหลี่ยนไปที่ห้องหนังสือ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับเขาบ้าง หนึ่งชั่วยามผ่านไป เฮ่อเหลี่ยนเดินออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อารมณ์ดีฮัมเพลงเดินกลับเรือนของตนไป


 


 


หลังจากที่เขาเดินไปแล้ว เฮ่อจางนั่งคิดหนักอยู่ที่ห้องหนังสือ แล้วพูดลอยๆ ออกมาว่า “จัดองครักษ์เงายี่สิบนายตามไปช่วยคุณชายใหญ่อีกแรง ในยามคับขันก็ลงมือได้เลย”


 


 


ไม่มีคนแสดงตัวออกมา แต่มีเสียงดังตอบกลับมาว่า “ขอรับ นายท่าน”


 


 


อ๋องฉีกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องหนังสือ แม้แต่อาหารกลางวันก็ไม่กิน และจนกระทั่งฟ้ามืดถึงจะออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่ยุ่งราวกับลูกข่าง กว่าจะได้ยินข่าวนี้ ก็ล่วงเลยไปสามวันแล้ว และหวงฝู่อี้เซวียนก็ได้เขียนจดหมายมาให้นางหนึ่งฉบับ ในจดหมายนอกจากจะเขียน ถึงเรื่องที่เขาความคิดถึงและอาวรณ์แล้ว ยังบอกนางอีกว่า ที่ตนรีบเขียนจดหมายฉบับนี้ให้นางภายในสามวันนั้น เป็นเพราะกลัวว่า เมื่อนางทราบข่าวโรคระบาดในหลินเฉิงแล้วจะเป็นกังวล แล้วยังบอกอีกว่าตอนนี้ตนสบายดีทุกอย่าง ให้นางไม่ต้องเป็นห่วงเขาอีก แล้วก็ไม่ต้องคิดที่จะมาช่วยเขาด้วย ต่อไปเขาก็จะเขียนจดหมายมาให้นางสามวันครั้งเหมือนเดิม


 


 


จดหมายเขียนมาด้วยลายมือเรียบร้อย และดูตั้งใจเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนหลายครั้งก่อนที่ลายมือดูยุ่งเหยิง จึงน่าจะไม่ใช่เขียนอย่างมักง่ายให้เสร็จๆ ไปหรอก


 


 


นางถือจดหมายฉบับนี้ ไปที่จวนอ๋องฉี พระชายาฉีอ่านแล้ว ก็คลายกังวลลง กล่าวว่า “เซวียนเอ๋อร์ปลอดภัยก็ดีแล้ว” เมื่อพูดจบ ก็ยื่นชุดแต่งงานที่ตนถักได้ครึ่งหนึ่งในมือส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวดู “ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง ไม่เป็นอุปสรรคต่องานแต่งของพวกเจ้าแน่นอน”


 


 


ผ่านไปเดือนครึ่ง มันฝรั่งที่ปลูกไว้ก็ใกล้จะได้ที่แล้ว ในขณะที่คนเมืองเป่ยเฉิงกลัวว่าจะไม่มีงานทำ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้จัดคนไปหาบน้ำมารดน้ำต้นไม้ แล้วบอกกับพวกเขาว่างานนี้จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อมันฝรั่งนั้นเก็บเกี่ยวได้


 


 


ครอบครัวที่มีคนแก่และเด็กจะดำเนินชีวิตต่อไปได้ ผู้คนที่ทำงานก็ส่งเสียงร้องดีใจจน แทบอยากจะคุกเข่าให้เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เหตุการณ์ดำเนินเช่นนี้ไปหลายวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้รับจดหมายจากหวงฝู่อี้เซวียนอีก ในจดหมายก็ได้แต่บอกว่าตนไม่ได้เป็นอะไร ให้นางสบายใจ


 


 


ส่วนเฮ่อเหลี่ยนก็ได้ส่งจดหมายให้แก่ฮ่องเต้ด้วยม้าเร็วเช่นกัน บอกว่าโรคระบาดนั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว มีสถานที่พักของผู้ประสบภัยแห่งหนึ่ง ผู้คนในนั้นเกือบจะตายทั้งหมด เขาจึงใช้มาตรการ โดยการแยกคนที่ติดเชื้อออกไป ให้พวกเขาไปรับผิดชอบเอง ส่วนคนที่เหลือก็ต้องตรวจสอบอย่างรัดกุม เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อต่อไป


 


 


หลังจากที่ฮ่องเต้ฟังจบ ก็ชมเขาต่อหน้าขุนนางทั้งหลายอย่างไม่ขาดสาย พูดออกมาเลยว่าเขาทำได้ดี รอให้ควบคุมโรคระบาดได้แล้ว ก็จะเลื่อนตำแหน่งให้เขาหลังจากกลับมา


 


 


ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักต่างชื่นชมยินดีกับเฮ่อจางอย่างสอพลอ


 


 


เฮ่อจางลูบเครา แล้วพยักหน้ายิ้มรับ ใบหน้ามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก


 


 


มันฝรั่งปลูกเสร็จหมดแล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของเหวินเปียวและเหล่าองครักษ์ลับเป็นคนจัดการ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ว่างอีกแล้ว จึงไปหาเฝิงจิ้งซูและเฝิงจิ้งเหวิน แล้วออกใบสั่งยา ให้ร้านยาเต๋อเหรินส่งยามาให้นางคันรถหนึ่ง แล้วสั่งให้คนในจวนเอายามาบดให้ละเอียด นางก็ผสมเม็ดยาได้เป็นจำนวนมาก


 


 


แล้วก็ผ่านไปอีกสามวัน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับจดหมายจากหวงฝู่อี้เซวียน คิ้วก็เริ่มขมวดขึ้น


 


 


อีกหนึ่งวันผ่านไป ก็ยังไม่ได้รับข่าวสารอะไร สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มไม่ดีแล้ว คนในจวนไม่เคยเห็นนางทำหน้าแบบนี้มาก่อน เมื่ออยู่ต่อหน้านาง ก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เวลาเดินก็ไม่กล้าทำเสียงดัง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)