ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 19-24
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 19 ไล่ตามจนถึงชายแดน
ไม่นาน ประตูถูกแง้มออกมาช้าๆ ใบหน้าหยาบโลนของชายฉกรรจ์โผล่ออกมา เมื่อเห็นทุกคนชัดเจน จึงหลีกทางให้คนเหล่านั้นเข้ามา จากนั้นรีบปิดประตูทันที
ในห้องเงียบสงัด ฝีเท้าของชายฉกรรจ์เดินเร็ว เดินไปยังห้องห้องหนึ่งโดยไร้เสียงเล็ดลอด สั่งคนเหล่านั้นว่า “พวกเรารอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะไปเรียกแม่เล้ามา”
คนเหล่านั้นตอบรับ พร้อมคำนับอย่างนอบน้อม
ชายฉกรรจ์เดินเข้าไป ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับหญิงสาวอายุราวสี่สิบกว่า ร่างท้วม ใบหน้าโปะหนาด้วยแป้งฝุ่น มองพิจารณาและพูดว่า “เป็นของเล่นแบบใดกัน เปิดให้ข้าดูที”
คนเหล่านั้นกุลีกุจอวางหวงฝู่เย่าเย่ว์ลง เปิดผ้าห่มออก ให้แม่เล้าดูให้ชัด
แสงไม่สว่างพอ ดูไม่ถนัด แม่เล้าจึงได้หยิบโคมไฟใกล้มือลงมา ส่องไปที่หน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์ เมื่อเห็นใบหน้าดำคล้ำของเขาจึงทำเสียง เฮอะ ในลำคอ ยื่นโคมไฟให้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง บอกให้เขาเอาขึ้นไปแขวนไว้ดังเดิม จากนั้นจึงได้จีบปากจีบคอ พูดว่า “ข้าว่าพวกเจ้าเห็นแก่เงินจนเสียสติไปแล้วล่ะ ของแบบนี้ยังกล้าเอามาขายให้ข้าอีกหรือ”
เหล่าชายฉกรรจ์มองหน้ากัน หนึ่งในนั้นกลืนน้ำลายลงคอ รีบพูดว่า “แม่เล้าเหลียน ท่านไม่เชื่อใจสายตาของเถ้าแก่ของเราหรือ มีครั้งใดที่เอาของมีตำหนิมาให้ท่านบ้าง เจ้านี่ถึงจะดำไปเสียหน่อย แต่ดวงตาคู่นี้ยั่วยวนคนเก่งนัก”
แม่เล้าเริ่มลังเล
หนึ่งในนั้นมีชายคนหนึ่งเดินออกมา กดเสียงให้ต่ำลงพูดว่า “จากที่ข้าลองสังเกตดู เจ้านี่รูปร่างดี เหมาะกับเป็นของเล่นของคนหนุ่มนัก”
รู้จักกับเถ้าแก่ของซีเฉิงมานานหลายปีแล้ว แม่เล้ารู้ดีว่าเขาเป็นคนตามีแวว อย่างน้อยคนที่ส่งมาให้ก็ทำให้นางได้เงินจำนวนมาก จึงค่อนข้างเชื่อใจคำของชายผู้นั้น แต่ว่ายังคงแสร้งทำเป็นไม่ยินดีเท่าใด “เอาล่ะ เอาล่ะ เห็นแก่ที่พวกเจ้าเป็นลูกค้าประจำ ครั้งนี้ข้าจะทนรับไว้ก็แล้วกัน แต่ว่าเจ้านี่ดำไปหน่อย ราคาข้าจะให้ต่ำกว่าเดิมครึ่งหนึ่งแล้วกัน”
แต่เดิมเอาคนมาส่งคนหนึ่งจะได้สามสิบตำลึง หากให้เพียงครึ่งจะมีเพียงสิบห้าตำลึง น้อยไป เหล่าชายฉกรรจ์ไม่พอใจ จึงต่อรองราคา “แม่เล้าเหลียน ราคาที่ท่านให้มันจะไม่น้อยไปหรือ ยี่สิบห้าแล้วกัน ท่านให้พวกเรายี่สิบห้าเถิด”
“อัยหยา สิบห้าตำลึงยังคิดว่าน้อยอยู่อีกหรือ ข้าจะบอกอะไรให้ ของแบบนี้ข้าซื้อมาก็ขาดทุน หากไม่ใช่เห็นแก่ว่าเราค้าขายกันประจำ คนนี้ให้เปล่าข้าก็ไม่เอา”
เหล่าชายฉกรรจ์ไม่พอใจ
แม่เล้าโบกมือ “หากพวกเจ้าไม่เต็มใจ อย่างนั้นก็แบกกลับไป อย่ามาเสียเวลาข้าเลย นี่มันกลางดึก ข้าง่วงจะตายแล้ว”
“ช้าก่อนๆๆ แม่เล้าเหลียน” เป็นชายคนเมื่อครู่ พร้อมกันนั้นก็ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “ท่านให้ข้ายี่สิบตำลึง พวกเราสี่คนแบ่งกันผู้ละห้าตำลึง จะได้แบ่งพอดี”
ยี่สิบตำลึงก็ถูกกว่าเดิมถึงสิบตำลึง แม่เล้าสนใจ จึงได้ตอบตกลงในทันที แต่ใบหน้ายังคงแสร้งทำเป็นไม่ยินดี “กลับไปบอกเถ้าแก่ของพวกเจ้าว่ายี่สิบตำลึงนี้ข้าเสียเปรียบ หากครั้งหน้ายังส่งคนเช่นนี้มาอีก สิบตำลึงข้าก็ไม่ให้”
เมื่อเห็นว่าแม่เล้าตอบตกลงแล้ว เหล่าชายฉกรรจ์จึงได้คำนับ พูดประจบนางไม่หยุด
แม่เล้าหันหลัง นำร่างอวบท้วมเดินนวยนาดเข้าไปในห้อง หยิบเงินออกมายี่สิบตำลึง ยื่นให้ชายคนหนึ่ง
ชายหนุ่มรับมา หลังจากแม่เล้าโบกมืออย่างเหนื่อยหน่าย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณและจากไป
“เอาเจ้าคนนี้ไปทิ้งไว้กับคนพวกนั้น รอจนวันพรุ่งมันฟื้นแล้ว ค่อยว่ากัน” แม่เล้าหาวนอน สั่งเสียเสร็จก็หันหลังเดินกลับไปนอนทันที
ชายฉกรรจ์ใบหน้าน่ากลัวแบกหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นบ่าอย่างงายดาย มาถึงหน้าห้องหนึ่ง เปิดกุญแจดอกใหญ่ เอาร่างคนโยนเข้าไปอย่างไม่ใส่ใจ เดินออกมาทันที โดยไม่ได้มองคนห้าหกคนในนั้นแม้แต่น้อย จากนั้นปิดประตูดังเดิม
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาไกลออกไป เด็กหนุ่มเหล่านั้นจึงได้ขยับเข้าไปใกล้หวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยความกลัวๆ เห็นดวงตาของเขาปิดสนิทจึงยื่นมือเขาไปโบกเล็กน้อย เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยา รู้ว่าเขาโดนมอมยาสลบ หลังถอนหายใจก็ไม่มีใครสนใจเขาอีก
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าควบม้าแล่นมาด้วยความเร็ว นอนกลางดินกินกลางทราย ใช้เวลาถึงสิบวันมาถึงชายแดน
ทั้งสองควบม้าเข้ามาในเมือง สีหน้าของคนในเมืองยังคงดูสงบ ดูไม่ออกว่ามีสีหน้าของความตระหนกเรื่องการรบ ท้องถนนก็คึกคัก เต็มไปด้วยเสียงเร่ขายของของเหล่าพ่อค้า และเสียงเจื้อยแจ้วของผู้คน
กลัวว่าจะขี่ม้าไปชนคนเข้า จึงได้ลงจากม้า และจูงม้าเดิน
เดินมาได้ระยะหนึ่ง หวงฝู่สือเมิ่งถามคนแก่ที่เดินผ่านมาว่า “ท่านตา ขอถามทีเถิดว่าค่ายทหารอยู่ที่ใดหรือ”
เมื่อเห็นเด็กสาวมาถามหาศาลาว่าการ ชายแก่จึงได้พิจารณานางเล็กน้อย ยื่นมือชี้ออกมา บอกนางว่า “เดินตรงไป ด้านซ้ายก็จะเห็นประตูของค่ายทหาร”
หวงฝู่สือเมิ่งกล่าวขอบคุณ เดินไปตามทางที่ชายแก่บอก ไม่นานก็มาถึงศาลาว่าการ
ประตูของค่ายทหารเปิดกว้าง หน้าประตูมีนายทหารคุ้มกันอยู่ หวงฝู่สือเมิ่งกำลังจะเดินไปแสดงตัวตน แต่หวงฝู่เฮ่าห้ามนางเอาไว้ก่อน เดินไปด้านหน้า บอกทหารนายหนึ่งว่า “รบกวนไปบอกผู้บัญชาการหลินว่าคนของจวนอ๋องจากเมืองหลวงมาขอเข้าพบ”
อายุของหวงฝู่เฮ่ามีเพียงสิบเอ็ดสิบสองปี แน่นอนว่าทหารต้องไม่เชื่อ จึงได้มองเขาอย่างพินิจพิจารณา โบกมือ “ไป ไป ไป นี่ค่ายทหารใหญ่นะ ไม่ใช่ที่ที่เด็กจะมาวิ่งเล่น”
คิดไม่ถึงว่าจะถูกการปฏิบัติเช่นนี้ หวงฝู่เฮ่าจึงได้ชะงักไปครู่หนึ่ง
สีหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งจริงจังขึ้น เดินไปหาพลทหาร ไม่กล่าวอะไร หยิบป้ายจวนอ๋องฉีขึ้นมา
พลทหารพวกนี้ถูกเกณฑ์จากชายแดน ไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมของเมืองหลวง ดังเช่นป้ายห้อยเอวพวกนี้ แม้ว่าจะเห็นชัดว่าเป็นของจวนอ๋องแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ พูดว่า “ข้าเองไม่รู้ว่าป้ายห้อยเอวของจวนอ๋องหน้าตาเป็นเช่นไร หากเจ้าเอาป้ายของที่บ้านมาหลอกข้า ข้าก็ไม่มีทางรู้ได้นี่”
“เจ้า…” หวงฝู่สือเมิ่งถูดขัด จึงไม่รู้จะกล่าวอะไร
“ผู้บัญชาการของพวกเราออกตระเวนไปที่กำแพงเมือง หากพวกเจ้าอยากพบเขานัก ก็ไปรอตรงนั้น รอจนพวกกลับมาก่อนค่อยว่ากัน” พลทหารพูดพร้อมชี้ไปอีกทาง
ชื่อเสียงของอ๋องฉีใช้ที่นี่ไม่ได้ หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าจึงจนปัญญา ทำได้เพียงจูงม้าไปรออีกด้าน
ราวๆ หนึ่งชั่วยามผ่านไป มีคนหนึ่งขี่ม้านำมา พลทหารหลายคนขี่ม้าตามมาติดๆ ตรงมายังศาลาว่าการ
พลทหารที่เฝ้าประตูอยู่กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านนายพลขอรับ!”
หลินจ้งลงจากม้า เดินก้าวยาวจะเข้าไปยังศาลาว่าการ
หวงฝู่เฮ่าจะโกนเรียกเขา “ผู้บัญชาการหลิน รอประเดี๋ยวขอรับ”
หลินจ้งมองมาตามเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กสองคนจึงได้ขมวดคิ้ว
ทิ้งเชือกในมือลง ทั้งสองเดินตรงไปหาหลินจ้ง
เมื่อเห็นหน้าหวงฝู่เฮ่าคล้ายคลึงกับหวงฝู่อวี้ หลินจ้งจึงได้ผงะไป ถามว่า “เจ้าคือ…”
หวงฝู่เฮ่าทำความเคารพ ตอบว่า “ข้าคือหวงฝู่เฮ่า เป็นคุณชายของจวนอ๋องขอรับ” พูดจบก็ชี้ไปทางหวงฝู่สือเมิ่ง กล่าวว่า “นี่คือพี่สาวของข้า หวงฝู่สือเมิ่ง”
สิ่งแรกที่ผุดมาในหัวก็คือทั้งสองเป็นลูกสาวและลูกชายของหวงฝู่อี้เซวียน หลินจ้งตกใจ ทำความเคารพทั้งสองด้วยความนอบน้อม “หลินจ้งทำขอคำนับท่านหญิงน้อยและซื่อจื่อ”
หวงฝู่เฮ่าพยุงเขาขึ้นมา อธิบายว่า “ผู้บัญชาการหลินเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าเป็นคุณชายใหญ่ของจวนอ๋อง มิใช่ซื่อจื่อ”
ไม่ใช่ซื่อจื่อ เป็นคุณชายใหญ่ หลินจ้งชะงักไป จากนั้นก็เข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขา หวงฝู่เฮ่าเป็นลูกของหวงฝู่อวี้ จากนั้นก็พูดใหม่ด้วยความนอบน้อมเช่นเดิม “หลินจ้งขอคำนับคุณชายใหญ่”
เมื่อเห็นว่าหลินจ้งปฏิบัติต่อทั้งสองด้วยความนอบน้อม พลทหารที่เอ็ดทั้งสองเมื่อครู่ยืนงง หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา
หลินจ้งพูดต่อว่า “เดี๋ยวก่อน ท่านหยิงน้อยและคุณชายมาทำอะไรที่ชายแดนหรือขอรับ”
มองซ้ายมองขวา หวงฝู่เฮ่ากล่าวว่า “ผู้บัญชาการหลิน ที่นี่ไม่สะดวกคุย หาที่ที่เหมาะสมคุยกันได้หรือไม่”
หลินจ้งเข้าใจ ยื่นมือออกมา ทำท่าทางเรียนเชิญ “เชิญทั้งสองท่านขอรับ”
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่อวี้เดินก้าวยาวเข้าไป หลินจ้งเดินนำ
เมื่อทั้งสามคนเดินเข้าไปด้านใน ร่างพลทหารอ่อนยวบลง กระสับกระส่ายครู่หนึ่ง คิดในใจ ตายล่ะ ตายล่ะ หากเขาเสียเวลาเพราะตน หัวของตนคงจะต้องหลุดจากบ่าเป็นแน่
พลทหารอีกนายมองเขาด้วยความสงสาร
ทั้งสามเดินเข้าไปในจวน และนั่งลงอย่างเรีบบร้อย ไม่รอให้หลินจ้งเปิดปากพูด หวงฝู่เฮ่าก็ได้นำเรื่องที่หวงฝู่เย่าเย่ว์แอบหนีออกจากจวนเพื่อไปยังชายแดนให้หลินจ้งฟัง
เมื่อหลินจ้งฟังจบ ตกใจมาก จึงยืนขึ้นมา ถามว่า “ความหมายของท่านชายก็คือท่านหญิงน้อยเย่ว์เอ๋อร์มายังชายแดนแล้วอย่างนั้นหรือขอรับ”
“ในจดหมายของนางว่าไว้เช่นนี้ แต่ว่าพวกเราติดตามมาตลอดทาง ก็ยังไม่พบร่องรอยของนาง พวกเราเองก็ไม่รู้ว่านางมาที่ชายแดนหรือไม่”
“อย่างนั้น…อยากให้ข้าทำอะไรหรือ” หลินจ้งถามด้วยความร้อนรน
“ขอให้ท่านผู้บัญชาการหลินได้โปรดช่วยแอบส่งคนไปสำรวจในเมืองที ดูว่าพี่เย่ว์เอ๋อร์ได้ไปที่ชายแดนจริงหรือไม่”
“ได้ ข้าจะรีบสั่งการทันที ท่านทั้งสองรอสักครู่”
หลินจ้งพูดจบ เรียกคนเข้ามาสั่งการทันที ทั้งเน้นย้ำว่าต้องดำเนินการอย่างลับๆ อย่าให้ใครรู้เรื่องได้
เมื่อสั่งการจบ พูดกับทั้งสองว่า “เมืองค่อนข้างใหญ่ ทั้งยังไม่สามารถกระทำการเอิกเกริกได้ อาจต้องการเวลานานเสียหน่อย ให้ข้าจัดการหาที่พักให้ท่านทั้งสองก่อนดีกว่า รอพวกเขาได้ข่าวอะไรมาแล้ว ข้าจะรีบส่งคนไปแจ้งข่าวท่าน”
เดินทางติดต่อกันนานหลายวัน หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่สือเมิ่งเหนื่อยมาก บัดนี้ได้มาถึงจวนผู้บัญชาการแล้ว ทั้งยังมีคนไปช่วยสืบหา ทั้งสองสามารภพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า “ขอบพระคุณผู้บัญชาการหลิน”
“คุณชายและท่านหญิงน้อยอย่าเกรงใจไปเลยขอรับ” หลินจ้งเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา สั่งให้เขาพาทั้งสองคนไปพักผ่อนที่ห้องรับรองแขก
บ่าวรับใช้รับปาก พาทั้งสองไปยังห้องรับรองแขก
หลินจ้งยืนที่เดิม คิดเล็กน้อย เดินเข้าไปในเรือน มายังเรือนของหลินหันเยียน
มาอยู่ที่ชายแดนได้สิบกว่าปีแล้ว หลินหันเยียนคุ้นชินกับชีวิตที่นี่เป็นอย่างดี และก็เริ่มลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงไว้ข้างหลัง อยู่ที่ชายแดนอย่างสงบ เมื่อเวลาว่างก็ไปฝึกวิชาต่อสู้ เรียนงานบ้านงานเรือน วันเวลาผ่านไปอย่างมีความสุข
หลินจ้งเดินเข้ามา หลินหันเยียนที่กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่บนเก้าอี้มองเงยหน้ามองเขา ถามด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ เหตุใดวันนี้จึงมาที่นี่ได้เจ้าคะ”
หลินจ้งมองนาง พูดว่า “เยียนเอ๋อร์ มีคนจากจวนอ๋องมาที่นี่”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 20
ของในมือของหลินหันเยียนร่วงลงบนพื้น สีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่น ต้องการจะถามอะไรบางอย่าง แต่พูดอะไรไม่ออก
หลินจ้งเข้าใจความรู้สึกของนาง รู้ดีว่านางต้องการพูดอะไร จึงได้กล่าวว่า “ท่านหญิงน้อยเย่ว์เอ๋อร์แห่งจวนอ๋องใช้โอกาสตอนกองทัพเดินทางมายังชายแดนหนีตามมาด้วย ซื่อจื่อไม่วางใจ จึงได้ส่งท่านหญิงน้อยเมิ่งเอ๋อร์และคุณชายเฮ่ามาดูแล แต่ว่าพวกเขาคงพลัดหลงกัน จนวันนี้ก็ยังไม่พบตัว” จากนั้นเสริมอีกคำว่า “คุณชายเฮ่าเอ๋อร์เป็นลูกชายของคุณชายรอง”
หลินหันเยียนผุดลุกขึ้นมาทันที แรงลุกทำให้เก้าอี้หงายล้ม ถามด้วยริมฝีปากสั่นเทาว่า “เขา เขา เขา…”
“หน้าตาเหมือนคุณชายมาก เหมือนเขาตอนเด็กๆ ไม่มีผิด”
หลินหันเยียนเดินเข้าไปหาหลินจ้ง กอดแขนเขาเอาไว้แน่นถามด้วยความร้อนใจว่า “พวกเขาอยู่ที่ใด พาข้าไปพบที”
“เด็กทั้งสองเดินทางมาหลายวัน ร่างกายเหนื่อยล้า ข้าสั่งให้คนพาพวกเขาไปห้องรับรองแขก หากเจ้าอยากพบ ก็รอให้พวกเขาตื่นแล้วค่อยว่ากันเถิด”
มือของหลินหันเยียนที่กอดแขนของหลินจ้งออกแรงมากกว่าเดิม หลินจ้งเจ็บจนต้องขมวดคิ้ว “เยียนเอ๋อร์”
เมื่อสังเกตได้ว่าตนเองผิดปกติ หลินหันเยียนจึงปล่อยมือของตนลง ฝืนยิ้มเล็กน้อย “ข้ารู้แล้ว รอให้พวกเขาตื่นแล้วข้าค่อยไปดีกว่า” พูดจบ เดินไปยังเก้าอี้อย่างไรวิญญาณ โน้มเอวลง จับเก้าอี้ไว้แน่น สายตาจับจ้องไปที่ใดที่หนึ่ง สติล่องลอย
หลินจ้งขมวดคิ้ว เดินไปหานาง ก้มมองนาง “น้องเล็ก! ”
หลินหันเยียนเงยหน้า มองเขาอย่างไร้สติ
“เรื่องระหว่างเจ้าและคุณชายรองมันผ่านไปแล้ว บัดนี้เขามีลูกมีเมียไปแล้ว ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข เจ้า…”
เขายังพูดไม่จบ ก็ถูกหลินหันเยียนตัดบท “พี่ใหญ๋ ท่านวางใจเถิด ข้าเพียงแต่ได้ยินข่าวเช่นนี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งตัว จึงทำให้ตกใจเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดอื่นใด”
หลินจ้งมองนาง อยากจะมองแววตาของนางดูว่าที่นางพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่
หลินหันเยียนจ้องเขาตอบ ด้วยสายตาแน่นิ่ง
ครู่ใหญ่ หลินจ้งถอนหายใจออกมา “น้องเล็ก พี่รู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าอยู่อย่างทรมาน แต่ว่าเรื่องเหล่านี้มันผ่านไปแล้ว เจ้าเก็บมาคิดอีกก็ไร้ประโยชน์ เจ้าและคุณชายรองไม่มีวาสนาได้ครองคู่กัน”
หลินหันเยียนเผยรอยยิ้มอันเจ็บปวดออกมา ก้มหน้า พูดเสียงต่ำว่า “ข้ารู้ ข้าลืมเขาไปแล้ว”
หากลืมเขาได้คงไม่มีท่าทางเช่นนี้หรอก หลินจ้งรู้ดีว่านางโกหก แต่ก็หาคำมาปลอบใจนางไม่ได้ จึงได้ถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “เจ้าทำงานต่อเถิด รอพวกเขาตื่นแล้วข้าจะส่งคนมาบอกเจ้า”
หลินหันเยียนพยักหน้า
หลินจ้งหันหลังเดินสาวเท้ายาวออกไปด้านนอก แอบถอนหายใจไม่หยุด คิดว่ามาถึงชายแดนออกห่างจากเมืองหลวง ก็คงจะหลุดพ้นจากคนและเรื่องเหล่านี้ ใครจะคิดว่าผ่านไปสิบกว่าปีแล้วกลับยังมาพานพบกันได้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่
หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบ ราวกับว่านอนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง ตาปิดอยู่ ยื่นมือออกมา หวังจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มมาห่มกายและนอนต่อ แต่ควานหาอย่างไรก็ไม่พบ รู้สึกผิดปกติ จึงลืมตาขึ้น สิ่งที่ตาเห็นคือเพดานซอมซ่อ ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นแปลกปลอม ในใจหนักหน่วงมาก รีบลุกขึ้นนั่งทันที พบว่ามึนหัวเล็กน้อย จึงสะบัดหัวแรงให้ตนเองตื่นขึ้น จากนั้นจึงได้กวาดตาไปรอบๆ ห้อง จึงพบว่า นอกจากนางแล้ว ในห้องยังมีเด็กหนุ่มหน้าตาตระหนกอยู่หลายคน ขมวดคิ้ว ถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ที่นี่ที่ใดกัน”
ไม่มีใครตอบนาง
หวงฝู่เย่าเย่ว์กวาดตามองอีกครั้ง พูดเสียงดังขึ้น ถามว่า “ตกลงว่าที่นี่มันที่ใดกัน”
“ชิง…ชิง…ชิงเฟิงโหลว” เด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้นางน้อยที่สุด ตอบอย่างลนลาน
หวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้วติดกัน “ชิงเฟิงโหลว เป็นที่แบบใดกัน”
สีหน้าของเด็กชายคนนั้นแดงขึ้น พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “ก็…ก็…ก็คือ…ที่ที่มีไว้สำหรับสร้างความบันเทิงให้ผู้ชายที่มีรสนิยมแปลกๆ อย่างไรเล่า”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม ที่ที่สร้างความบันเทิงให้ชายคือชิงโหลวนางเข้าใจ แต่ที่ทำให้นางไม่เข้าใจคือเหตุใดจึงไม่จับตัวเด็กผู้หญิงมา เหตุใดในห้องจึงมีแต่ผู้ชายที่อายุไล่เลี่ยกัน
จากนั้นก็ถามต่อว่า “อย่างนั้นพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ใบหน้าของเด็กชายเหล่านั้นเผยความตระหนกออกมา แต่กลับไม่มีใครตอบคำถามนาง
หวงฝู่เย่าเย่ว์อยากจะถามอีก แต่มีคำถามที่น่าสำคัญยิ่งกว่า จึงได้ถามทุกคนว่า “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าควรอยู่ที่ที่พักไม่ใช่หรือ”
เด็กทั้งหมดมองนางด้วยความเวทนา
หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เมื่อกำลังจะถามอีกครั้ง เสียงเปิดกุญแจที่หนาแน่นก็ดังขึ้น จากนั้นชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์ รูปร่างกำยำเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่านางตื่นแล้ว ไม่พูดอะไร พาร่างของนางออกไปด้วย
ขณะที่ชายฉกรรจ์กำลังบุกเข้ามา หวงฝู่เย่าเย่ว์ปัดมือเขาออกมาโดยสัญชาติญาณ แต่ก็รู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่าย นางรู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย หากลงมือตอนนี้ จะต้องเสียเปรียบเป็นแน่ จึงไม่คิดจะต่อสู้ ยอมให้เขาลากตัวออกไปแต่โดยดี
แม่เล้าตื่นแล้ว แต่งหน้าแต่งตัวสะสวย ยืนอยู่ด้านนอก
หลังชายฉกรรจ์ลากหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมา ก็วางไว้ตรงหน้านาง
แม่เล้ามองนางอย่างพิจารณา ทำเสียง จิ๊จิ๊ ในปาก จีบคอ ในเสียงที่ทำให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ฟังแล้วกระอักกระอ่วนพูดว่า “เถ้าแก่โรงแรมซีเฉิงไม่ได้โกหกจริงๆ ด้วย เจ้าหนุ่มคนนี้มีดวงตายั่วยวนคนเสียจริง แต่เสียดาย ผิวคลำไปหน่อย มิเช่นนั้น ข้าใช้เวลาสอนสักหน่อย ก็สามารถเป็นอันดับต้นๆ ของชิงเฟิงโหลวได้เลย”
พูดจบ ก็ยื่นมือออกมา ก็ลูบไล้แขนของหวงฝู่เย่าเย่ว์ จากนั้นก็พูดด้วยความตกใจว่า “อัยหยา ข้าได้ของดีหรือนี่ ผิวของพ่อหนุ่มนี่นุ่มนิ่มยิ่งกว่าเด็กสาวเสียอีก” พูดจบ ก็ลูบไล้อีกอย่างอดไม่ได้
หวงฝู่เย่าเย่ว์อดใจไม่ให้เตะนางจนกระเด็น ยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม เพียงแต่ว่านางยังเล็ก ไม่สามารถสะกดอารมณ์ได้ดีเพียงนั้น บัดนี้ไฟโกรธในแววตาของนางได้บ่งบอกถึงความรู้สึกในใจแล้ว
แต่ว่าสายตาเช่นนี้ แม่เล้าเห็นจนชินตาเสียแล้ว จึงได้บิดกาย เดินรอบตัว และหยุดนิ่งตรงหน้านาง ใช้นิ้วม้วนผมตัวเองด้วยหลงตัวเองว่าสวย พูดเชื่องช้าว่า “ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ เข้ามาที่ชิงเฟิงโหลวของข้าแล้ว เจ้าจงอย่าคิดจะหนีไป เพราะหากข้าจับตัวได้แล้วล่ะก็ เจ้าจะเสียใจที่พ่อแม่ทำให้เจ้าได้เกิดมา”
ในเมื่อนางมองออกแล้ว หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป ไฟในตาลุกโชนยิ่งกว่าเดิม
แต่แม่เล้ากลับยื่นมือมาหยิกหน้านางทีหนึ่ง “อั้ยหยา พ่อหนุ่มนี่อารมณ์ร้อนจริงๆ ดูทีแล้ว ข้าคงต้องเหนื่อยสอนยกใหญ่เลยล่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เปิดปาก เสียงแหบทุ้ม “พวกเจ้าค้ามนุษย์ ทางการไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่”
แต่แม่เล้ากลับทำเหมือนว่าได้ยินเรื่องตลกที่สุดในชีวิต หัวเราะเล็กน้อย “ทางการ? พวกเราอยู่ไกลเพียงนี้ มีทางการที่ใดมาใส่ใจเล่า พ่อหนุ่ม ข้าจะบอกเจ้าให้ ที่หมู่บ้านหมิงเหอนี่เป็นถิ่นของ แม่เล้าเหอ เป็นถิ่นของข้า! ในเมื่อเจ้าตกมาอยู่ในมือข้าแล้ว ก็จงอย่ามีความคิดที่ไม่ควรมีเลย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หรี่ตาลง ดูเหมือนว่าตกใจไม่น้อย ไฟโกรธในดวงตามลายหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือแววตาหวาดกลัวและลำตัวสั่นเทา
แม่เล้าเห็นท่าทางของนาง จึงได้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “รู้ว่าอะไรควรไม่ควรก็ดีแล้ว ต่อไปจะได้ไม่ลำบาก”
พูดจบ สั่งชายฉกรรจ์ว่า “เอาคนพวกนั้นออกไปด้วย เปลี่ยนเป็นห้องดีๆ เอาของดีให้กินด้วย อีกไม่กี่วันแขกพิเศษของเราก็จะมาถึงแล้ว อย่าเอาพวกผอมโซ ไม่มีน้ำยาไปปรนนิบัติท่านๆ”
ชายฉกรรจ์ไม่พูดอะไร เดินตรงไปในห้อง เปิดประตูกว้าง ตะโกนไปด้านในด้วยเสียงแหบแห้ง “ออกมาให้หมด”
เด็กหนุ่มเหล่านั้นเดินออกมาด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็ปิดประตู เสียงปิดประตูดังสนั่น ทำเอาเด็กหนุ่มเหล่านั้นตัวสั่นไปตามๆ กัน
เมื่อได้กลิ่นเหม็นจากตัวพวกเขา แม่เล้าก็บีบจมูกตัวเอง โบกมือ “รีบเอาออกไป เอาออกไป! ”
“ตามข้ามา!” ชายฉกรรจ์พูดอีกครั้ง เดินนำด้านหน้า
เด็กหนุ่มเหล่านั้นเดินตามไปด้านหลัง
หวงฝู่เย่าเย่ว์หันหลัง เดินตามไปหลังสุด
“จัดการให้ดีล่ะ เตรียมน้ำร้อนให้พวกมันอาบ เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย” แม่เล้าตะโกนตามด้านหลัง
เสียงทุ้มต่ำของชายฉกรรจ์ลอยตามมา “เข้าใจแล้ว”
จากนั้นก็พาทั้งหมดมายังหน้าห้องห้องหนึ่ง ชายฉกรรจ์หยุดฝีเท้าลง เปิดประตู บอกให้ทุกคนเดินเข้าไป
ทุกคนไม่กล้าขัดคำสั่ง เดินเข้าไปโดยดี เมื่อเห็นห้องโถงกว้าง หน้าต่างโปร่งแสง และเตียงนอนนุ่มๆ หลายหลัง สีหน้าก็ดีใจขึ้นมา
“อยู่กันดีๆ ล่ะ ข้าจะไปสั่งให้คนเอาน้ำมาให้พวกเจ้า” ชายฉกรรจ์พูดด้วยเสียงต่ำ
เด็กหนุ่มพยักหน้า
ชายฉกรรจ์ไม่ได้ปิดประตู หันหลังเดินออกไป
เด็กหนุ่มไม่กล้านั่งลง ยืนกระสับกระส่ายอยู่ในห้อง
อาจเป็นเพราะเมื่อคืนดมยาสลบมากไป บัดนี้หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงมีอาการมึนหัวอยู่ เดินมาข้างเตียง นั่งลง
เด็กหนุ่มอีกคนเบิกตาโต มองนางด้วยความอิจฉา
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตบเตียง พูดกับทุกคนว่า “มองข้าด้วยเหตุใดกัน รีบมานั่งกันสิ”
ทั้งหมดส่ายหน้า ไม่มีใครกล้าขยับ
เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดของพวกเขา หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงไม่ได้ชวนต่อ เอนหลัง นอนลงบนเตียง
ชายฉกรรจ์กลับมา เมื่อเห็นท่าทางของหวงฝู่เย่าเย่ว์ จึงได้ขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจ แต่เมื่อนึกถึงคำขอแม่เล้า คำที่จะต่อว่าก็ได้ถูกกลืนลงไป โบกมือ คนด้านหลังจึงได้ยกน้ำร้อนสองถังเข้ามา
ชายฉกรรจ์โยนชุดใหม่ไว้บนเตียง “อาบน้ำให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วค่อยเรียกข้า”
เด็กหนุ่มเหล่านั้นตอบรับด้วยความกลัวอีกครั้ง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
มือของชายฉกรรจ์กำแน่น กดทับความคิดที่จะไปยตัวนางขึ้นมา หันหลังเดินออกไป จากนั้นก็ปิดประตูลง
เด็กหนุ่มมองหน้ากันไปมา เริ่มถอดเสื้อผ้าของตนเอง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินเสียงซู่ซ่า ปิดตาลงแน่นกว่าเดิม กลัวว่าจะได้เห็นภาพที่ไม่ควรเห็น
เสียงอาบน้ำดังอยู่ราวหนึ่งก้านธูป จึงได้หยุดลง ในขณะที่หวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังนอนงัวเงียอยู่นั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอยู่ตรงหน้านางว่า “ถึงตาเจ้าอาบน้ำแล้ว”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 21 หอนางโลมชาย
หวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกตาโต สายตาดุดันของนางทำให้เด็กหนุ่มกลัวจนต้องถดถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าซีดลงทันที ริมฝีปากขยับเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ เปิดปากพูดว่า “ข้า ข้า อีก อีกไม่นานเขาก็จะเข้ามาแล้ว…”
คำต่อไปไม่ได้พูดออกมา หวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าใจ ชายฉกรรจ์ที่คอยดูแลพวกเขาได้ยินว่าเสียงน้ำหยุดไปแล้ว ไม่นานก็จะเข้ามา เด็กหนุ่มกำลังเตือนนางด้วยความหวังดี แววตาดุร้ายจึงได้หายไป ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ลงจากเตียง หยิบเสื้อผ้าชุดสุดท้ายจากบนเก้าอี้ เทียบกับร่างของตนเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบยิ่งกว่าลมเย็นยามค่ำคืน “หันหลังกลับไปให้หมด หากใครแอบดูข้าอาบน้ำ ข้าจะจกตาผู้นั้นออกมา”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ ก็ไม่มีท่าทีเกรงกลัวแต่อย่างใด ไม่รู้ว่าเข้มแข็งกว่าพวกเขากี่เท่า ในใจของเด็กหนุ่มเหล่านั้นเดาได้ว่าสถานะของ ‘เขา’ ไม่เหมือนกับพวกตน รวมกับสายตาน่ากลัวนั้นทำให้พวกเขากลัวเป็นอย่างมาก ขณะนั้นเด็กหนุ่มไม่กล้าขัดคำสั่ง จึงได้หันกลับไปอย่างว่าง่าย
หวงฝู่เย่าเย่ว์หันหลังให้พวกเขา เอาเสื้อผ้าที่ถูกส่งมาพากไว้บนไหล่ของตน ค่อยปลดกระดุมเสื้อ ถอดออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นำเสื้อผ้าด้านนอกสวมทับไป ท่าทางคล่องแคล่ว แทบจะไม่ได้เผยผิวกายอ่อนนุ่มขาวใสของนางออกมา
เมื่อใส่เสื้อผ้า ติดกระดุมเสร็จแล้ว ก็นำสิ่งของติดตัวที่คนในโรงแรมไม่ได้ค้นเจอออกมา ใส่ไว้ในอก
หันหลัง ยังไม่ทันพูดอะไรชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านนอกก็เปิดประตูเข้ามา กวาดตามองคนในห้องด้วยสายตาดุร้าย เมื่อเห็นว่าพวกเขาได้ทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครขัดคำสั่ง ความดุร้ายในสายตาจึงได้หายไป โบกมือ ด้านนอกประตูมีคนเข้ามา นำเสื้อผ้าที่พวกเขาเปลี่ยนตอนอาบน้ำออกไป จากนั้น มีคนนำสำรับอาหารมาให้
อาหารมีควันร้อนพุ่งออกมา แถมยังมีกลิ่นหอมยั่วยวนมากอีกด้วย เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าอดข้าวมากี่มื้อแล้ว ลืมว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ต่างกลืนน้ำลายลงอย่างลืมตัว จับจ้องไปยังอาหารอย่างไม่ละสายตา
มีเพียงหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ไม่เป็นเช่นนั้น ทำราวกับว่าไม่ได้กลิ่นหอม นางก้มหน้า จัดแจงเสื้อผ้าที่ดูจะใหญ่ไปสักเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์สังเกตท่าทางของเด็กหนุ่มทุกคน ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นท่าทางของหวงฝู่เย่าเย่ว์คิ้วก็ได้ผ่อนคลายลง แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร หันหลังเดินออกไป
เมื่อเห็นร่างพวกเขาลับตาไปจากประตูแล้ว เด็กหนุ่มผู้หิวโหยทั้งหลายเดินไปข้างโต๊ะ ไม่ทันนั่งลงก็เริ่มหยิบอาหารเข้าปากแล้ว
เสียงกินอย่างมูมมามทำให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้วลง ลืมความคิดที่อยากจะกินข้าวไป จึงได้ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง จากนั้นเอื้อมมือไปคว้าผ้าห่มมาคลุมตัว เพื่อไม่ให้มีอะไรโผล่ออกมา
“พวกเจ้ากินกันเถิด เมื่อคืนข้ากินไปเยอะ ยังไม่หิว” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดพร้อมปิดตา
เด็กหนุ่มมองหน้ากัน มองดูเศษอาหารบนโต๊ะ ก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดหวงฝู่เย่าเย่ว์จึงไม่อยากกิน
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ได้หาที่นั่งกัน ลูบคลำท้องที่กินจนอิ่ม และฉุกคิดได้ว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์เช่นไร จากนั้นก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา
หวงฝู่เย่าเย่ว์แกล้งนอนหลับอยู่บนเตียง แต่ในใจกลับคิดอย่างรวดเร็วว่าชายฉกรรจ์หน้าประตู และควาสามารถการต่อสู้ของตนนั้นไม่สามารถเทียบกับเขาได้เลย หากอยากจะหนีไปคงไม่สามารถทำได้ในเร็ววันนี้ ตนจึงทำได้เพียงทำตามคำสั่งของพวกเขาไปก่อน ทำตัวเชื่อฟังเสียหน่อย อาศัยช่วงที่พวกมันไม่ได้ระวังหลบหนีไป
ทั้งหมดนี้ต่างเป็นเรื่องรอง แต่สิ่งที่ทำให้นางไม่เข้าใจคือเหตุใดชิงเฟิงโหลวจึงต้องจับตัวเด็กหนุ่มมาด้วย คิดถึงตรงนี้ ก็เบิกตาโพลง ถามเด็กหนุ่มที่พูดกับตนเมื่อกลางวันว่า “เจ้า มานี่! ”
เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้น เกร็งตัวขึ้น มอง ‘เขา’ อย่างเกรงกลัว ไม่ขยับ
หวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้ว ค่อยๆ นั่งลง
เด็กหนุ่มกลัวจนต้องถดร่างไปด้านหลัง ดวงตามีน้ำตาเอ่อคลออย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มคนอื่นก็เบิกตาโตมองมาทางนางเช่นเดียวกัน
“ไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแต่อยากถามอะไรบางอย่าง” หวงฝู่เย่าเย่ว์ผ่อนคลายเสียง พูดช้าๆ
สีหน้าหวาดกลัวของเด็กหนุ่มหายไปเล็กน้อย เดินเข้าไปหาด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ถามอย่างติดขัดว่า “เรื่อง เรื่องอะไรหรือ”
“ความหมายของเจ้า ชิงเฟิงโหลวก็คือหอโคมเขียว อย่างนั้นจะจับพวกเรามาด้วยเหตุใดกัน” หวงฝู่เย่าเย่ว์ถามด้วยความไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาทันที กลืนน้ำลายเล็กน้อย ก้มหน้าลง ถามเสียงเบาว่า “ไม่ ไม่ ใช่หอโคมเขียว”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม ถามต่อว่า “ไม่ใช่หอโคมเขียวแล้วคืออะไรกัน”
ราวกับเดาได้แล้วว่าชะตาชีวิตต่อไปจะเป็นเช่นไร ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นเทาขึ้นมายิ่งนัก น้ำเสียงมีความหวาดกลัวอยู่มาก “เป็น หอนางโลมของชาย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์โตมาในจวนอ๋อง ไม่รู้จักของพวกนี้จริงๆ ขนาดเรื่องในหอนางโลมยังได้ยินคนพูดถึงบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนหอนางโลมชายนั้นนางไม่รู้จริงๆ ว่าคืออะไร เมื่อได้ยินดังนั้น จึงขมวดคิ้ว เสียงดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “พูดให้กระจ่างกว่านี้ที อะไรคือหอนางโลมชาย และเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
เด็กหนุ่มลืมความหวาดกลัวไป เงยหน้ามองนางด้วยความประหลาดใจ ในใจสงสัยว่า ทำไมนางจึงไม่รู้จักหอนางโลมชาย
หวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกดวงตาสวยมองเขา แม้ว่าจะเป็น ‘ผู้ชาย’ เช่นเดียวกัน แต่เขาถูกหวงฝู่เย่าเย่ว์จ้องเช่นนี้ หน้าของเด็กหนุ่มก็แดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง ตอบกลับด้วยเสียงเล็กเหมือนเสียงยุง “ก็คือ ก็คือพวกเราเป็นของเล่นของพวกผู้ชายที่มีความชอบแปลกๆ อย่างไรเล่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เข้าใจอะไรได้บางอย่าง เบิกตาโพลง ชี้มาที่ตนเองพร้อมถามว่า “เจ้าหมายความว่าพวกเรา…”
เด็กหนุ่มพยักหน้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกว่าในหัวของตนมีอะไรระเบิดออกมา ดังก้องอยู่ในหัว ปากหุบลงและเปิดขึ้นอยู่หลายครั้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เด็กหนุ่มเห็นว่าสีหน้าของนางผิดปกติไป จึงได้โบกมือไปมาตรงหน้านาง ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้สติกลับมา รีบลุกลงจากเตียง
เด็กหนุ่มตกใจรีบถอยหลังไปหลายก้าว
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงรับเรื่องนี้ไม่ได้ จ้องเขาตาโต ถามว่า “โลกนี้มีเรื่องเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร”
เด็กหนุ่มอ้าปากเล้กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร
การมีอยู่ของที่เช่นนี้ไม่ใช่ความลับอะไร สิ่งที่เขาสงสัยคือเหตุใดหวงฝู่เย่าเย่ว์จึงไม่รู้
ไม่รอให้เด็กชายตอบ หวงฝู่เย่าเย่ว์เองก็ไม่ถามต่อ เดินไปมาในห้องด้วยสายตาจริงจัง ในหัวคิดไม่หยุด
นึกถึงท่าทางที่แม่เล้าทำกับพวกเขา คงจะให้พวกเขาเริ่มการทำงานในไม่ช้านี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเด็กหนุ่มเหล่านั้น แต่ตนเป็นหญิงปลอมตัวมา หากถึงตอนนั้นถูกจับได้เข้า จุดจบจะต้องน่ากลัวเป็นแน่ อย่างนั้นตนจะต้องหนีออกจากที่นี่ก่อนถึงตอนนั้น แต่ว่า…
คิดถึงตรงนี้ มองไปทางบรรยากาศแปลกตารอบด้าน และชายฉกรรจ์น่ากลัว ในใจเกิดกลัวขึ้นมา นางถูกโปะยาสลบส่งเข้ามา แม้ว่าเมื่อครู่ออกมาจากห้องนั้น ก็ได้สังเกตรอบๆ ไปบ้างแล้ว แต่ภายนอกนั้นเป็นอย่างไรเล่า หากว่าหนีออกไปได้แล้ว นางควรจะไปที่ใด แม่เล้าพูดไว้แล้ว ว่าหมู่บ้านนี้เป็นถิ่นของนาง หมายความว่า โอกาสที่นางจะขอร้องให้คนมาช่วยนั้นน้อยเหลือเกิน แม้เป็นคนที่มีปัญญาน้อยนิดก็ไม่มีทางช่วยเด็กหนุ่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง แล้วต้องมีปัญหากับคนที่มีอิทธิพลสูงสุดในหมู่บ้านนี้ดอก
นางปิดตาลงเล็กน้อย บังคับให้ตนสงบลง เตือนตนเองเสมอว่า จะต้องมีทางออกเป็นแน่ จะต้องมีทางออก
ณ ค่ายทหาร
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่านอนอย่างไม่สบายใจ ไม่นานก็ตื่นขึ้น แต่งตัวเรียบร้อย ให้สาวใช้พาทั้งสองไปหาหลินจ้ง
หลินจ้งนั่งอยู่ที่โถงด้านหน้า รอข่าวจากลูกน้อง เมื่อเห็นทั้งสองมาหา จึงได้ลุกขึ้นทำความเคารพ
หวงฝู่สือเมิ่งโบกมือ “ผู้บัญชาการหลิน ตอนที่ข้าออกมา ท่านพ่อและท่านแม่ข้าได้สั่งไว้ว่า เมื่อพวกเราพบท่านแล้ว พวกเราเป็นเด็ก ดังนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องทำความเคารพพวกเราหรอก”
หลินจ้งยังคงยื่นมือคำนับทั้งสอง พูดว่า “หลินจ้งขอขอบพระคุณซื่อจื่อ และซื่อจื่อเฟย แต่นี่เป็นธรรมเนียมจะละเลยไม่ได้”
หวงฝู่สือเมิ่งไม่พูดพล่าม รีบถามว่า “มีข่าวคราวของน้องข้ามาบ้างหรือไม่”
หลินจ้งส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ”
เงยหน้ามองสีท้องฟ้าเล็กน้อย น้ำเสียงหวงฝู่สือเมิ่งร้อนรน “ฟ้ายังไม่มืด ข้าและเฮ่าเอ๋อร์ออกไปตามหาอีกรอบดีกว่า”
หลินจ้งห้ามเอาไว้ “ท่านหญิงน้อยและคุณชายเพิ่งมาถึง ยังไม่คุ้นชินกับชายแดนฝั่งนี้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าจะมีหน้าไปพบซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยได้อย่างไร ท่านทั้งสองวางใจเถิด ลูกน้องของข้าจะออกตามหาท่านหญิงอย่างสุดความสามารถ ขอท่านทั้งสองอย่าร้อนใจไปเลยขอรับ”
ทั้งสองร้อนใจมาก นั่งไปเป็นสุข ยืนยันจะออกตามหาอย่างเดียว หลินจ้งห้ามไม่อยู่ จนปัญญา กำลังจะสั่งคนให้พาพวกเขากลับไป หลินหันเยียนก็ยกชายกระโปรงเดินเข้ามาด้วยความร้อนใจ
เมื่อเห็นหน้าของหวงฝู่เฮ่าชัดแล้วนั้น ฝีเท้าของนางก็ชะงักลง หยุดหายใจ เดินเข้าไปหาหวงฝู่เฮ่าช้าๆ จ้องมองหน้าเขา
หวงฝู่เฮ่าขมวดคิ้ว แต่ก็ยังถามด้วยความมีมารยาทว่า “ท่านนี้คือ”
ดวงตาของหลินหันเยียนมีน้ำตารื้นขึ้นมา ปากขยับ พูดอะไรไม่ออก
หลินจ้งรีบแนะนำ “นี่เป็นน้องสาวของข้าเอง มาที่ชายแดนได้สิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยเห็นผู้ที่มาจากเมืองหลวง บัดนี้เห็นท่านทั้งสอง จึงได้ตกใจไม่น้อย ขอท่านหญิงและคุณชายอย่าได้ถือสาเลย”
“ท่านก็คือแม่นางหลินนั่นเอง” หวงฝู่เฮ่ากล่าว
หลินหันเยียนพยักหน้า
หวงฝู่เฮ่าโน้มตัวทำความเคารพ “เมื่อตอนข้ามา ท่านพ่อบอกว่าหากพบท่านให้ฝากทักทายท่านด้วย”
สีหน้าของหลินหันเยียนตระหนกกว่าเดิม น้ำเสียงตะกุกตะกัก “พี่อวี้เขา…ยังจำข้าได้หรือ…”
หวงฝู่เฮ่าพยักหน้า “ท่านพ่อกล่าวว่า โชคดีที่ตอนนั้นมีท่านแนะนำ ท่านพ่อและท่านแม่จึงได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเช่นทุกวันนี้”
ฟังจบ รอยยิ้มของหลินหันเยียนก็หายไป ทั้งโกรธและเสียใจ เจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก
หลินจ้งเห็นทั้งหมด จึงได้ถอนใจเบาๆ ส่งเสียงตัดบทพวกเขา “เยียนเอ๋อร์ คุณชายและท่านหญิงมีเรื่องต้องทำ มีเรื่องอะไรจะถามก็รอให้หาท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ให้พบเสียก่อนเถิด”
“ข้าจะไปกับพวกเจ้า” หลินหันเยียนพูด น้ำเสียงมีความร้อนรน
หลินจ้งไม่ได้กล่าวอะไร หวงฝู่เฮ่าปฏิเสธแบบอ้อมๆ “ขอบคุณแม่นางหลิน แต่มีเพียงข้าและพี่เมิ่งเอ๋อร์ก็เพียงพอแล้ว หากท่านพ่อรู้ว่าข้าทำให้ท่านลำบาก จะทำโทษข้าได้”
หลินหันเยียนกำลังจะพูดต่อ แต่หวงฝู่เฮ่าหันหลังกลับไป พูดกับหลินจ้งว่า “ผู้บัญชาการหลิน รบกวนท่านด้วย”
คำที่หลินหันเยียนจะพูดก็ถูกกลืนเข้าไป
หลินจ้งพยักหน้า เรียกคนมาทันที สั่งให้ไปดูแลทั้งสองคน
คนทั้งหมดออกมา
หลินหันเยียนมองร่างของหวงฝู่เฮ่าอย่างล่องลอย เดินตามไปหลายก้าว
“เยียนเอ๋อร์” หลินจ้งเรียกนาง
หลินหันเยียนหยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับ ดวงตาแดงก่ำ “ที่ใหญ่”
หลินจ้งถอนหายใจ เดินไปหานาง “เยียนเอ๋อร์ เรื่องที่ควรลืมก็ลืมไปเถิด”
“พี่ใหญ่ถ้าหาก ถ้าหากตอนนั้นข้าเองมีลูก ก็คงจะโตขนาดนี้แล้วหนา” น้ำตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่ไหลรินลงมา
แววตาของหลินจ้งจริงจังขึ้นมา น้ำเสียงก็จริงจังขึ้น “เยียนเอ๋อร์ ไม่มีถ้าหาก อดีตก็คืออดีต เจ้าอย่ามีความคิดมากไปกว่านี้
“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว” หลินหันเยียนตอบรับ แต่ก็ยังสะกดเสียงสะอื้นไม่ได้ “ข้าเพียงแต่คิดก็เท่านั้น ท่านพี่อย่างกังวลไปเลย”
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าพาเหล่าทหารออกตามหาจนฟ้ามืด ก็ไม่มีข่าวคราวของหวงฝู่เย่าเย่ว์ จึงได้ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม จึงได้ส่งองครักษ์นายหนึ่งไปหาฉู่เหวินเจี๋ย ถามว่าทางนั้นได้ข่าวอะไรหรือไม่
ในขณะที่ทุกคนกำลังร้อนใจนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์เองก็ร้อนใจเช่นกัน เดินวนไปมาในห้องอยู่นาน ก็ยังคิดหาทางออกไม่ได้เสียที
เด็กหนุ่มคนอื่นเห็นเขาเดินไปเดินมา จึงได้มอง ‘เขา’ อย่างสงสัย
ในที่สุด ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว หวงฝู่เย่าเย่ว์ดีใจ เงยหน้าขึ้น ถามเด็กหนุ่มในห้องว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าในเมืองนี้มีร้านขายบะหมี่มันฝรั่งหรือไม่”
เด็กหนุ่มมองหน้ากัน ส่ายหน้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์สลดใจ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งกัดปาก พูดอย่างระวังว่า “หมู่บ้านนี้ไม่มี แต่เดินตรงผ่านไปห้าสิบลี้ จะเป็นเมืองหยางเฉิง ในเมืองนั้นมีร้านบะหมี่มันฝรั่งอยู่
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 22 เสี่ยงอันตราย
“ห้าสิบลี้?” หวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้วอีกครั้ง ห้าสิบลี้ไกลเกินไป ต่อให้ตนคิดวิธีการส่งข่าวออกไปได้ ก็อาจไม่มีผู้ใดช่วยนาง
จนถึงตอนดึกหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยังคงหาทางออกไม่ได้
ได้ยินเสียงหัวเราะแปลกๆ แว่วมาจากห้องด้านหน้า ใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยิ่งรู้สึกแย่ยิ่งขึ้น
ชายฉกรรจ์ยังคงให้คนมาส่งอาหาร หลังจากทั้งหมดกินอิ่มแล้ว ก็รออยู่ในห้องอย่างกระวนกระวาย
เป็นเช่นนี้ไปสามวัน นอกจากอาหารที่นำมาให้พวกเขาแล้ว ไม่มีเรื่องอื่นใดเกิดขึ้นเลย ใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์แย่ลงกว่าเดิม
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าเองก็รู้สึกกลัวเช่นกัน หลายวันมาแล้วยังหาตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่พบ คงเป็นเพราะนางยังมาไม่ถึงชายแดน ข่าวจากทางฝั่งท่านแม่ทัพใหญ่บอกว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ได้ไปหาพวกเขา เหลือแค่ความเป็นไปได้เดียว คือหวงฝู่เย่าเย่ว์เกิดเรื่องขึ้นระหว่างทาง
เมื่อมีความคิดนี้เกิดขึ้น ใจของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าก็ร้อนดั่งไฟ ระยะทางจากเมืองหลวงมายังชายแดนไกลถึงพันลี้ ต้องเดินทางผ่านหมู่บ้านหลายสิบหมู่บ้าน หากต้องไปค้นหาทีละที่ คงต้องใช้เวลาสักหน่อย อย่างนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์คงต้องลำบากเป็นแน่
ขณะที่ทั้งสองคน รวมทั้งหลินจ้งเองที่ยังไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรนั้น ฉู่เหวินเจี๋ยก็นำกองทัพมายังชายแดน
หลินจ้งนำพลทหารลาดตระเวนชายแดนทั้งหมดไปรอต้อนรับที่หน้าประตู
เหล่าชาวบ้านก็ต่างพากันมาต้อนรับด้วยความยินดี หลายสิบปีก่อน ฉู่เหวินเจี๋ยนำทัพทหารรบกับศัตรูเพื่อนบ้าน ปกป้องชีวิตของชาวบ้านไว้ได้ ชาวบ้านจดจำบุญคุณของเขาได้ บัดนี้เขานำทัพทหารมา ก็ต้องได้รับการต้อนรับอย่างไม่เคยมีมาก่อน
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าเองก็มาต้อนรับพวกเขา อยากจะบอกฉู่เหวินเจี๋ยว่าไม่ได้ข่าวของหวงฝู่เย่าเย่ว์เลย แต่เห็นการต้อนรับอย่างอบอุ่นของชาวบ้าน จึงเก็บคำที่อยากจะพูดเอาไว้ก่อน ยืนรออยู่เงียบๆ
เมิ่งชิงเห็นพวกเขา จึงควบม้าเข้ามาหา
ไม่รอเขาลงจากม้า หวงฝู่สือเมิ่งพูดอย่างร้อนใจว่า “ท่านน้าชิง เย่ว์เอ๋อร์อาจจะเจอเรื่องไม่ดีระหว่างทางเจ้าค่ะ”
เมิ่งชิงลงจากม้า รีบถามด้วยความร้อนใจว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ทั้งสองนำการคาดเดาบอกเขาไป
เมิ่งชิงฟังจบ ขมวดคิ้ว และรู้สึกได้ว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์อาจจะเจอปัญหาแล้ว จึงได้หันหลังไปมองฉู่เหวินเจี๋ยที่กำลังได้รับความสนใจจากชาวบ้านอยู่ หันมา พูดว่า “หลังจากที่พวกเจ้าแยกจากท่านแม่ทัพแล้ว เหยาเอ๋อร์ก็แยกจากแม่ทัพเช่นเดียวกัน ถามตลอดทางแต่ก็ไม่มีข่าวคราว เช่นนี้เย่ว์เอ๋อร์คงจะเจอปัญหาเข้าแล้วจริงๆ”
เมิ่งได้พบเมิ่งชิง ในที่สุดก็รู้สึกได้ว่ามีคนให้พึ่งพิง หลายวันมานี้ร้อนใจดั่งไฟลน หวงฝู่สือเมิ่งเหนื่อยล้าจนแทบไม่ไหว ตาแดงก่ำ ยื่นมือไปจับมือของเมิ่งชิงเอาไว้ ถามอย่างร้อนใจว่า “อย่างนั้นจะทำเช่นไรดี หากเกิดเรื่องกับเย่ว์เอ๋อร์ขึ้นจริงๆ…”
นางไม่ได้พูดต่อ และไม่กล้าพูดต่อ ไม่ต้องพูดถึงท่านพ่อและท่านแม่ อ๋องฉีและพระชายาเองก็คงจะรับไม่ไหวเช่นกัน
เมิ่งชิงเข้าใจความหมายของนาง จึงได้ปลอบใจนางว่า “อย่างร้อนใจไปเลยเมิ่งเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ฉลาดนัก ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก ไม่แน่นางอาจจะคิดว่ากว่าจะออกมาได้ทั้งที อยากจะเดินเที่ยวไปรอบๆ ไม่กี่วันก็มาถึงแล้ว”
คำพูดเช่นนี้เขาเองยังรู้สึกว่าโกหกใครไม่ได้ พูดออกมาไม่มีความกล้า หวงฝู่สือเมิ่งที่กำลังไร้ความหวัง เมื่อได้ยินเช่นนี้แววตากลับมีประกายของความหวังขึ้นมา จึงรีบถามว่า “ท่านน้า เป็นเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ อีกไม่กี่วันเย่ว์เอ๋อร์ก็จะมาจริงหรือเจ้าคะ”
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนาง เมิ่งชิงไม่อาจส่ายหน้า ทำได้เพียงทรยศใจตนเองให้พยักหน้าลง
หวงฝู่สือเมิ่งเชื่อเช่นนั้น จึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย มองตาของเมิ่งชิงและพูดว่า “อย่างนั้นพวกเรารออีกสองสามวันหรือเจ้าคะ”
เมิ่งชิงพยักหน้า แต่ในใจกำลังวางแผนว่าจะสั่งคนให้ส่งข่าวไปยังเมืองหลวง ให้หวงฝู่อี้เซวียนเรียกำลังองครักษ์ลับออกมา สืบเสาะทุกหมู่บ้านตั้งแต่เมืองหลวงจนถึงชายแดน
กองทัพเข้าเมืองมา จัดการเรียบร้อย หลินจ้งพาฉู่เหวินเจี๋ยมายังจวนผู้บัญชาการ
เมื่อนั่งลง ฉู่เหวินเจี๋ยก็ถามเรื่องหวงฝู่เย่าเย่ว์ทันที เมื่อได้ยินข่าวว่ายังหาตัวนางไม่พบ ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมา หันหลัง มองหลินจ้ง ถามตรงๆ ว่า “หลินจ้ง เจ้ามีคนที่สามารถใช้ได้กี่คน”
ใกล้การรบเข้ามาแล้ว คนในกองทัพไม่สามารถโยกย้ายได้ เมื่อฉู่เหวินเจี๋ยพูดเช่นนี้ หลินจ้งเข้าใจได้ทันที เขากำลังถามว่าตนมีกำลังเสริมอยู่เท่าใด จึงได้ตอบอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ฝ่ายของข้า…ไม่มีคนที่สามารถใช้การได้เลยขอรับ”
เขาพูดความจริง ตอนอยู่ในเมืองหลวง เหล่าขุนนางข้าราชการต่างก็จะมีการเลี้ยงองครักษ์จวนเอาไว้ ราชวังอนุญาต แต่เมื่อมายังชายแดนแล้ว สถานะของเขาเป็นเพียงผู้บัญชาการเล็กๆ เท่านั้น ไม่มีสิทธ์จะเลี้ยงองครักษ์ได้ อีกอย่าง รายได้ของเขาไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูองครักษ์มากมายเพียงนั้น
เขาพูดจบ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่พูดอะไร
เมิ่งชิงเปิดปาก “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าคิดว่าอย่างไรเสีย ให้ม้าเร็วไปส่งจดหมายให้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยดีกว่า ซื่อจื่อเฟยมีองครักษ์ลับมากมายที่สามารถใช้ได้ สะดวกกว่ามาก”
ก็คงทำได้เพียงเท่านี้ ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า ขอหมึกมาจากหลินจ้ง เขียนจดหมายหนึ่งฉบับ สั่งให้องครักษ์ที่ติดตามมาด้วยรีบควบม้ากลับไปส่งจดหมายที่เมืองหลวง
ฉู่เหยายืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป ย่นคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็คิดไม่ออก
สองวันผ่านไป ใกล้เวลาเที่ยง แม่เล้าสั่งให้คนเปิดประตูห้องของหวงฝูเย่าเย่ว์ เดินนวยนาดเข้าไปด้านใน มองทุกคนอย่างพินิจพิจารณา เห็นว่าสีหน้าของทุกคนต่างมีเลือดฝาด และมีชีวิตชีวา จึงได้พยักหน้าอย่างพอใจ พูดว่า “เลี้ยงพวกเจ้ามาหลายวัน วันนี้ข้าจะได้ค่าตอบแทนเสียที ข้าจะบอกพวกเจ้าเอาไว้ คืนนี้จะมีแขกผู้ใหญ่เข้ามา หากพวกเจ้าปรนนิบัติเขาตามที่เขาต้องการได้ ไม่เพียงแต่พวกเจ้าที่จะสบาย ข้าเองก็จะได้ชื่อไปด้วย ได้เงินมา…” พูดถึงตรงนี้ เสียงก็ดังขึ้น พูดด้วยความดุร้ายว่า “แต่หากใครไม่ทำตามที่ข้าว่า ทำให้แขกพิเศษไม่พอใจ ข้าจะถลกหนังพวกเจ้าออกมา”
คนในห้อง รวมทั้งหวงฝู่เย่าเย่ว์กลัวจนตัวสั่น
แต่แม่เล้ากลับคิดว่ายังน่ากลัวไม่พอ จึงได้พูดเสียงแหลมว่า “ได้ยินหรือไม่”
ทั้งหมดตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ
แม่เล้าพอใจแล้ว หันหลังเดินออกไป พูดกับชายฉกรรจ์ว่า “พาพวกมันไปที่ห้องชำระล้าง ให้พวกมันได้อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด แล้วก็เตรียมชุดไว้ให้พวกมัน ส่วนจะถูกใจลูกค้าหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพวกมันเองแล้ว”
ชายฉกรรจ์ตอบรับ “ขอรับ” เมื่อเห็นแม่เล้าจากไปแล้ว ก็เดินไปหน้าประตู โบกมือให้คนในห้อง พูดด้วยน้ำเสียงน่าเกลียด ราวกับว่าเสียงนั้นถูกไฟเผา “ออกมาให้หมด”
ทั้งหมดเดินออกมา
ชายฉกรรจ์เดินนำ ทั้งหมดเดินตามด้านหลัง มายังห้องชำระล้าง
ตลอดทาง หวงฝู่เย่าเย่ว์อาศัยจังหวะที่ชายฉกรรจ์ไม่ได้สังเกต แอบมองลักษณะของบ้าน จำลักษณะของบ้านและการจัดวางเอาไว้ในใจ
ชายฉกรรจ์หยุดนิ่ง พูดกับทุกคนว่า “คนละห้อง น้ำร้อนจะเพิ่มขึ้นมาเอง อาบกันให้สะอาดล่ะ อีกครู่ข้าจะให้คนเอาเสื้อผ้าของพวกเจ้ามาให้”
เด็กหนุ่มเหล่านั้นตอบรับ จากนั้นก็ทยอยเดินเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำที่มีไอน้ำลอยโชย หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ได้วางใจลง เดินไปข้างๆ ถังน้ำ มองน้ำด้านในที่มีควันโชยขึ้นมา พร้อมโรยด้วยกลีบกุหลาบ จึงรีบถอดชุดออก เอาของที่แอบไว้ออกมา จากนั้นก็ถอดเอาของที่ติดตัวมาออกมา หาที่ซ่อนเอาไว้ จึงได้กระโดดลงไปในถังน้ำ นั่งสบายอยู่ด้านใน เริ่มอาบน้ำอย่างสบายใจ
ตอนอยู่ในจวนอ๋อง นางอาบน้ำทุกวัน แต่ว่ามาอยู่ที่นี่ ถูกขังไว้หลายวัน ได้อาบน้ำแบบนับครั้งได้ หวงฝู่เย่าเย่ว์ทนไม่ได้ วันนี้มีสวัสดิการดีเช่นนี้ ซ้ำยังไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนรู้ว่าเป็นผู้หญิง แน่นอนว่าจะต้องตั้งใจอาบน้ำเป็นอย่างดี
ในขณะที่นางกำลังอาบน้ำอยู่นั้น อดไม่ได้ที่จะร้องเพลงเบาๆ นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ
มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตนดีใจไปเสียหน่อย ล้างสีที่ทาตัวออกจนสิ้น หากมีคนเข้ามาเห็นผิวขาวของนาง อย่างนั้นต้องเป็นเรื่องแน่ ด้วยความร้อนใจ ตานางกลอกไปมา จากนั้นก็มุดตัวลงไปอยู่ในน้ำ เหลือไว้เพียงผมสีดำปกคลุมอยู่บนผิวน้ำ ไม่เพียงแต่บดบังสายตาของผู้มาเยือน ซ้ำยังบดบังร่างกายของนางอีกด้วย
ผู้มาเยือนเพียงแค่เข้ามาส่งเสื้อผ้าตามคำสั่งเท่านั้น เข้าประตูมา ไม่ชายตามองนางแม้แต่น้อย เดินตรงผ่านนางไป วางเสื้อผ้าไว้บนราวแขวนเสื้อที่ทำจากไม้ หันหลัง เห็นเสื้อผ้าที่นางโยนกองไว้ที่พื้น จึงก้มลงเก็บ กำลังจะเดินออกไปด้านนอก แต่กลับพบว่านางอยู่ในน้ำ ไม่ขยับ จึงสงสัย หวังจะเดินเข้าไปดูให้แน่ชัด
หวงฝู่เย่าเย่ว์โผล่หัวออกมาจากในน้ำ กระเด็นไปโดนเขาจนเปียกทั้งตัว ขณะที่เขากำลังรีบร้อนเช็ดอยู่นั้น ก็รีบกลับไปอยู่ในท่าเดิมทันที
ผู้มาเยือนเช็ดหยดน้ำที่อยู่เต็มหน้า เมื่อรู้ว่านางมิได้เป็นอะไร ก็เดินออกไปด้วยความโกรธ
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็โผล่หัวออกมาจากน้ำ หายใจยาวเหยียด มือขวาทาบบนอก จับหัวใจที่เต้นระรัวของตน
เมื่ออาบน้ำเสร็จ ไปยังที่ซ่อนของ ใส่เสื้อผ้าที่ติดตัวมาให้เรียบร้อย จากนั้นก็นำชุดผ้าแพรที่มาส่งเมื่อครู่สวมทับ นำของที่ซ่อนอยู่ตลอดออกมา ทาบนหน้าของตน รวมทั้งลำคอและแขนขา ดีใจที่ตนเองไม่ได้นำของพวกนี้ไปไว้ในกระเป๋า ไม่เช่นนั้นก็คงถูกจับได้แล้ว จุดจบคงจะน่าสลดใจไม่น้อย
จัดระเบียบตัวเองเล็กน้อย เดินออกไป เด็กหนุ่มพวกนั้นอาบเสร็จแล้วเช่นกัน ชายฉกรรจ์กวาดตามองพวกเขา พยักหน้าด้วยความพอใจ พาพวกเขาเข้าไปในห้อง
พลบค่ำมาถึง ในบริเวณบ้านมีเสียงลอยแว่วเข้ามา เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกระวนกระวาย
มีเพียงหวงฝู่เย่าเย่ว์เท่านั้นที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว รอให้แม่เล้ามาเรียกตัว
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม ขณะที่กำลังดึกได้ที่ ประตูก็ถูกเปิดออกมา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางค์ปรากฏที่หน้าประตู “แขกสำคัญมาถึงแล้ว พวกเจ้าออกมาพร้อมข้า”
ออกมา เดินตามแม่เล้ามายังด้านหน้า เดินผ่านชายมากหน้าหลายตาโดยไม่เหลียวตามอง มายังห้องหรูหราชั้นสอง หยุดเท้าลง
แม่เล้าเคาะประตู เสียงกังวาลดังลอยออกมา “เข้ามาได้”
แม่เล้าเปิดประตู เด็กหนุ่มหลายคนอยู่ด้านหลังด้วยความหวาดกลัว
“คุณชายเจ้าขา คนที่ท่านอยากได้มาแล้วเจ้าค่ะ เป็นของใหม่ทั้งหมด ท่านดูสิเจ้าคะ มีคนที่ท่านถูกใจหรือไม่” เสียงของแม่เล้าเต็มไปด้วยการประจบและออดอ้อน
“เงยหน้าขึ้นมาดูที” เสียงหนักแน่นดังขึ้นอีกครั้ง
ทั้งหมดเงยหน้าขึ้น หวงฝู่เย่าเย่ว์มองพิจารณาคนผู้นั้นเงียบๆ
เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนจ้องอยู่ ชายผู้นั้นจึงได้หันมา สบตาพอดีกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ ทันใดนั้น แววตาเขาก็มีประกายของความตื่นเต้นขึ้นมา สายตาเขามองมาราวกับเจอเหยื่อเข้าแล้ว
ความคิดในหัวของหวงฝู่เย่าเย่ว์ปรากฏขึ้นมาและหายไป ตัดสินใจไม่หลบตา ดวงตาที่ราวกับว่าเปล่งแสงได้เริ่มส่องประกาย ประจบ มองเขาอย่างมีความหวัง
ชายผู้นั้นชี้มาทางหวงฝู่เย่าเย่ว์ “เอาคนนี้ คนอื่นออกไปได้”
ถูกเลือกคนหนึ่ง แม่เล้ายินดีมาก รีบพูดประจบประแจงชายผู้นั้น
ชายผู้นั้นฟังแล้วรู้สึกรื่นหู หัวเราะชอบใจ โบกมือ คนข้างๆ เดินเข้ามา หยิบเงินจากกระเป๋ายื่นใส่มือแม่เล้า
มองเงินเหล่านั้น ตาของหวงฝู่เย่าเย่ว์หรี่ลง มองพิจารณาชายผู้นั้นด้วยความสงสัย จากนั้นก็มั่นใจ ว่าเขาไม่ใช่คนรัฐอู่
เมื่อได้เงินแล้ว เสียงหัวเราะน่าเกลียดของแม่เล้าดังก้องไปทั่วห้อง “ของคุณเจ้าค่ะคุณชาย ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“ออกไปได้แล้ว” ชายผู้นั้นโบกมือ
แม่เล้าพาเด็กหนุ่มพวกนั้นออกมา
ชายผู้นั้นมองชายที่คอยรับใช้สองคนในห้อง
คนใช้เข้าใจ ก้มคำนับและจากไป จากนั้นก็ปิดประตูลงเบาๆ
ชายผู้นั้นยืนขึ้น เดินเข้าไปหาหวงฝู่เย่าเย่ว์
ร่างสูงใหญ่กำยำ ทำให้หวงฝู่เย่าเย่ว์กลัวจนอยากถอยออกไป
ชายหนุ่มเห็นว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์กลัว แต่กลับแสร้งทำเป็นใจแข็งอยู่ จึงได้ยิ้มและเอื้อมมือไปคว้านางมา
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 23 ชายลึกลับ
มือของชายผู้นั้นกำลังจะมาถูกชายเสื้อของหวงฝู่เย่าเย่ว์ นางขืนตัว เตรียมพร้อมจะต่อกรกับเขา
ขณะเดียวกัน เสียงเคาะประตูหนักแน่นก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มหยุด ถามเสียงดังว่า “นั่นผู้ใดกัน”
คนนอกประตูฟังความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขาออก ชะงัก พูดด้วยเสียงเบาและเร็วว่า “คุณชายขอรับ เกิดเรื่องแล้วขอรับ”
ผู้ติดตามรู้จักเขาดี หากไม่มีสถาณการณ์จำเป็นแล้ว จะไม่มีทางมารบกวนเขาเป็นแน่ ชายหนุ่มเก็บมือลง พูดว่า “เข้ามาได้”
ประตูถูกเปิดออก นอกจากบ่าวรับใช้สองคนเมื่อครู่แล้ว ก็มีชายฉกรรจ์มาเพิ่มอีกคนหนึ่ง
ชายหนุ่มหมดความอดทน ขมวดคิ้ว ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
คนที่มาส่งข่าวมองหวงฝู่เย่าเย่ว์เล็กน้อย ตัดสินใจไม่พูด
แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจหวงฝู่เย่าเย่ว์ สั่งว่า “พูดมาสิ”
ชายฉกรรจ์ไม่ลังเลอีกต่อไป เดินเข้ามา พูดด้วยเสียงเบาว่า “ไม่รู้ว่าเหตุใด ท่านแม่ทัพฉู่เหวินเจี๋ยแห่งรัฐอู่ได้สั่งให้คนมาสืบค้นทุกหมู่บ้านตั้งแต่ในเมืองชิงหยางเป็นต้นมา ไม่นานก็จะมาถึงหมู่บ้านชิงหยางแล้ว หากคุณชายยังคงอยู่ที่นี่จะมีอันตรายเอาได้”
ใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์มีความหวัง
ชายคนนั้นหรี่ตาลง ถามเสียงเบาว่า “สืบรู้หรือยังว่ามีเรื่องอะไร”
ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยได้ยินคนงานมารายงานเช่นนี้ ก็รีบมารายงานท่านทันที คุณชาย พวกเรารีบออกจากที่นี่ไปเสียดีกว่า”
สายตาของชายหนุ่มมองไปทางหวงฝู่เย่าเย่ว์ เห็นว่านางก้มหน้าเงียบๆ ราวกับว่าไม่รู้เห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาพูดกัน เขาไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ไม่ว่าด้วยเหตุใด แต่หากให้ฉู่เหวินเจี๋ยพบเข้า ให้รู้ว่าเขามีความผิดปกติ ไม่คุ้มค่าเลย
นึกถึงตรงนี้ โบกมือ บ่าวรับใช้นายหนึ่งหยิบชุดมาสวมใส่ให้เขา จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
เมื่อพ้นจากความอันตรายแล้ว หวงฝู่เย่าเย่ว์แอบโล่งใจ หันไปมองชายผู้นั้น จากนั้นก็คาดเดาสถานะของเขา
คิดไม่ถึงเลยว่าชายผู้นั้นหันกลับมาเช่นกัน สายตาของนาง สำหรับชายหนุ่มแล้วกลับกลายเป็นความอาลัยและรอคอย จึงเปลี่ยนใจ สั่งบ่าวรับใช้ว่า “เอาตัวเขาไปด้วย”
ชายฉกรรจ์ที่มารายงานหวังจะห้าม “คุณชายขอรับ นี่…”
“มีอะไร คำพูดของข้ามันไม่มีผลแล้วหรือ” ชายหนุ่มมองเขา ถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ชายฉกรรจ์รีบพูดว่า “ข้าน้อยมิกล้าขอรับ”
หน้าผากของชายฉกรรจ์มีเหงื่อผุดออกมา
ร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์ถอยหลังไปอย่างลืมตัว ใบหน้าตื่นกลัว กำลังจะเปิดปากพูด บ่าวรับใช้นายหนึ่งอาศัยช่วงที่นางไม่ได้ตั้งตัว ทุบที่คอของนาง ทำให้นางสลบไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตื่นขึ้นเพราะแรงกระแทก ลืมตาขึ้นก็มองเห็นเพดานรถ จึงได้รีบลุกขึ้นมาทันที ร่างกายขยับไปมาตามแรงวิ่งของม้า
“ตื่นแล้วหรือ”
เสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มดังขึ้น
ร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์แข็งทื่อ ค่อยหันหัวกลับไป มองชายข้างๆ ตน
ขาข้างหนึ่งของชายหนุ่มชันขึ้น อีกข้างยืดตรง นั่งพิงรถม้าอย่างเกียจคร้าน ขณะนี้กำลังจ้องมองนางตาไม่กระพริบ
ปฏิกิริยาแรกของหวงฝู่เย่าเย่ว์คือก้มลงมองเสื้อผ้าของตน เมื่อพบว่ายังอยู่ในสภาพดี จึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ชายหนุ่มเห็นท่าทางของนาง จึงได้หัวเราะออกมา “ข้าไม่สนใจคนสลบดอกหนา”
ได้รับการกดดันจากเขา จึงได้ถดไปด้านหลังเล็กน้อย ห่างจากเขาออกมา จากนั้นก็กลืนน้ำลาย ถามด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเดียงสาและเกรงกลัว ถามว่า “เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”
“รัฐอิง” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่เร่งร้อน
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา พูดด้วยเสียงติดขัดว่า “รัฐ รัฐ อิงหรือ”
ปฏิกิริยานี้อยู่นอกเหนือการคาดเดาของชายหนุ่ม ชายหนุ่มชะงักไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงทุ้ม “ข้าจะได้ซื้อเจ้ามาแล้ว จากนี้ไป เจ้าเป็นของข้า”
หวงฝู่เย่าเย่ว์อ้าปากค้าง ราวกับเสียสติไปแล้ว พูดอะไรไม่ออก
ชายหนุ่มถูกท่าทางเช่นนี้ของนางยั่วยวน ลำคอกลืนน้ำลายหลายหน เก็บขาที่ยืดเหยียดเข้ามา เขยิบเข้ามาด้านหน้า ยื่นมืออกไปหวังจะคว้าตัวนางมา
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้สติ ร่างของนางถดถอยหลังไปหลายก้าว อีกนิดก็จะตกรถม้าแล้ว
ชายหนุ่มคว้าอากาศ มองนางด้วยความสนใจ
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถูกเขาจ้องเสียจนขนลุกไปทั่วตัว แอบกำมือแน่น เตรียมพร้อมหากเขาเข้ามาใกล้นางจะหนีอย่างสุดชีวิต
ชายหนุ่มไม่ได้ขยับอีก แต่กลับเอนตัวพิงผนังรถ หัวเราะเบาๆ “ดูท่าทางคล่องแคล่วดีจริง ตอนใช้งานคงจะให้ความรู้สึกดีไม่น้อย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เข้าใจความหมายของเขา มองเขาด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง
หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึดหดหู่ใจ ก้มหน้าลง ในใจกำลังคิดว่ามีความเป็นไปได้มากเพียงใดที่ตนจะหนีออกไปได้
ณ เมืองหลวง
องครักษ์สองนายควบม้าไม่หยุด เดินทางข้ามวันข้ามคืนไปยังเมืองหลวง จนถึงหน้าจวนอ๋อง จึงได้ลงจากม้า เกือบจะเป็นลมไป พยุงร่างที่ใช้งานหนักเดินเข้าไปในจวน เดินตรงไปยังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว
ชิงหลวนอยู่ที่หน้าประตู เห็นทั้งสองพยุงกันเดินเข้ามา จึงตกใจ รีบถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
องครักษ์นายหนึ่งหายใจหอบเล็กน้อย น้ำเสียงร้อนรน “ยังหาตัวท่านหญิงน้อยไม่พบ ท่านแม่ทัพฉู่สั่งให้เรานำจดหมายมาให้”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ชิงหลวนถามเสียงดัง
ม่านประตูถูกเปิดออก เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยสีหน้าซีดเผือด “เกิดอะไรขึ้น”
องครักษ์หยิบจดหมายออกมา มอบให้นางอย่างนอบน้อม “นี่เป็นจดหมายที่ท่านแม่ทัพส่งให้ท่านขอรับ”
เมิงเชี่ยนโยวรับมาด้วยมือสั่นเทา รีบเปิดดู อ่านอย่างรวดเร็ว สั่งชิงหลวนว่า “รีบไปเรียกซื่อจื่อมาเดี๋ยวนี้”
ชิงหลวนตอบรับและจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งองครักษ์สองนายว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด”
ทั้งสองตอบรับ และขอบคุณ
หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนได้รับข่าวแล้ว ก็ทิ้งงานในมือและกลับจวนอ๋องทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวนำจดหมายของฉู่เหวินเจี๋ยมอบให้เขา
หวงฝู่อี้เซวียนดูจบ ก็ถอนหายใจ เรียกโจวอันมา สั่งให้เขาส่งตัวองครักษ์ลับสามสิบนายออกไปตรวจตรา สืบค้นทุกเมือง
เมื่อได้ยินว่ายังหาตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่พบ โจวอันเองก็ตกใจไม่น้อย ได้ยินดังนั้น ก็รีบไปที่หน่วยของตน
เมื่อเห็นท่าทางไม่สบายใจของเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดว่า “เจ้าไปเก็บของ เราจะไปชายแดนกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “แล้วเสด็จพ่อและเสด็จแม่…”
“ข้าจะไปพูดเอง เจ้าไปเก็บของก็พ่อ” พูดจบ ก็หันหลังเดินไปยังเรือนของอ๋องฉีและพระชายาทันที
ตั้งแต่หวงฝู่ฉือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าจากไปนั้น อ๋องฉีและพระชายาก็โทษว่าเป็นความผิดของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว บัดนี้ไม่อยากพบหน้าพวกเขา เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา อ๋องฉีจึงทำเสียงไม่พอใจราวกับเด็กๆ กลอกตาลง ไม่สนใจเขา
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดปาก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ข้าและโยวเอ๋อร์มีธุระต้องไปชายแดนขอรับ”
อ๋องฉีเงยหน้าขึ้นทันที
พระชายาเองก็แปลกใจยิ่งนัก ถามเสียงสั่นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปากเล็กน้อย กลืนคำที่ติดอยู่ที่ปากลงไป เปลี่ยนเป็น “ชายแดนมีเรื่องด่วนขอรับ ท่านน้ารับมือไม่ไหว ฝ่าบาทจึงได้ส่งตัวข้าไป”
พระชายาเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น จึงได้เป็นกังวล “น้าเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
แต่อ๋องฉีกลับไม่เชื่อ จึงได้หรี่ตาลง ขมวดคิ้ว ยืนขึ้น เดินไปด้านนอก สั่งหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ตามข้าไปยังห้องหนังสือ”
“เสด็จแม่วางใจเถิด ท่านน้าไม่เป็นอะไรขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบ จากนั้นก็รีบเดินจากไป
เรื่องการรบเป็นเรื่องของผู้ชาย พระชายาไม่เข้า จึงไม่ยุ่งเกี่ยว เมื่อได้ยินว่าฉู่เหวินเจี๋ยไม่เป็นอะไร จึงโล่งใจ ไม่มีใจคิดจะไปถามไถ่
ในห้องหนังสือ อ๋องฉียืนมือไพล่หลัง จ้องหวงฝู่อี้เซวียน มองทุกสีหน้าของเขา “พูดมา ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ปิดบัง “ไม่มีข่าวของเย่ว์เอ๋อร์เลยขอรับ นางหายตัวไป”
ประโยคนี้ ราวกับว่ามีฟ้าผ่าลงกลางใจของอ๋องฉี เขาเซไปหลายก้าว
หวงฝู่อี้เซวียนรีบเข้าไปพยุง
อ๋องฉีปัดมือเขาออก พยุงโต๊ะข้างกายแทน สูดหายใจลึก ถามด้วยเสียงสั่นว่า “เรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“หลังจากกองทัพจากไปได้สองวัน เมิ่งเอ๋อร์และเฮ่าเอ๋อร์ หาเย่ว์เอ๋อร์ไม่พบ ท่านน้าคิดว่านางน่าจะเจอปัญหาเข้า จึงได้ส่งองครักษ์มาบอกข่าว”
ตาของอ๋องฉีปิดลงเล็กน้อย ตั้งแต่วันที่กองทัพออกเดินทางจนวันนี้ได้ผ่านมายี่สิบกว่าวันแล้ว บัดนี้ยังไม่มีข่าวคราวของเย่ว์เอ๋อร์ ก็ต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ ทันใดนั้น ความคิดแง่ลบทั้งหลายก็ผุดขึ้นมา ร่างกายสั่นเทามากกว่าเดิม
“เสด็จพ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเขาเบาๆ
อ๋องฉีมองเขา
“เย่ว์เอ๋อร์จะไม่เป็นขอรับ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป” หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจอย่างไร พูดออกมาได้เพียงนี้
อ๋องฉีมองเขาโดยไม่พูดอะไร
ในห้องหนังสือเงียบสนิท
ครู่ใหญ่ อ๋องฉีถอนหายใจยาวเหยียด พยุงร่างของตน พูดเสียงต่ำว่า “ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
“หากเสด็จพ่อไปแล้ว เสด็จแม่จะต้องสงสัยเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเกรงว่า…” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
“เรื่องเสด็จแม่ของเจ้าข้าจะไปพูดเอง เจ้าไปสั่งการว่าอีกหนึ่งก้นธูปพวกเราจะเดินทางกัน”
พูดจบ ก็เดินออกไป ฝีเท้ามีความมุ่งมั่นไม่ถดถอย
หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินตามออกไป
อ๋องฉีกลับเข้ามาในเรือนของพระชายา เก็บสีหน้าร้อนรน และตื่นตระหนกไป สีหน้ากลับมาเป็นปกติ เดินเข้าไปพูดกับพระชายาว่า “เจ้าเก็บของให้ข้าที ข้าจะไปชายแดนกับพวกเซวียนเอ๋อร์”
พระชายาตกใจยิ่งนัก ความคิดไม่ดีต่างๆ ผุดขึ้นมาให้หัว จึงถามด้วยความร้อนรนว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับเหวินเจี๋ยหรือเมิ่งเอ๋อร์หรือเพคะ”
“คิดไปถึงไหนกัน เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์ออกจากเมืองหลวงไปยี่สิบกว่าวันแล้ว ข้าคิดถึงเหลือเกิน จึงได้อยากจะไปพร้อมพวกเขา จะได้พาตัวเด็กสองคนนั้นกลับมาพร้อมกัน มาอยู่กับพวกเราเสียที”
สีหน้าของเขาเป็นปกติ เสียงก็ปกติ พระชายาฟังไม่ออกว่ามีอะไรไม่เข้าทาง ความสงสัยในใจจึงได้หายไป เมื่อคิดว่าสิบกว่าปีมานี้ อ๋องฉีรักเด็กสองคนนี้เสียยิ่งกว่าตน จากกันนานเพียงนี้จะคิดถึงก็คงไม่แปลก จึงได้ยิ้มและพูดล้อว่า “ไม่รู้ว่าใครกันตอนที่โยวเอ๋อร์เพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆ เมื่อรู้ว่าเป็นลูกสาว ก็เสียสติไปหลายวัน”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 24 เบาะแสเบื้องต้น
นางพูดถึงเรื่องในอดีต อ๋องฉีเริ่มเหนียมอายขึ้นมา แสร้งเป็นถลึงตาใส่นางด้วยความโกรธ “เรื่องมันผ่านไปแล้วจะพูดถึงอีกใยกัน รีบไปเก็บของเร็ว”
พระชายายิ้มตอบรับ ยืนขึ้น เดินไปยัง**บเสื้อผ้า เปิดออก หยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนให้เขา สั่งว่า “หากท่านเจอสองคนนั้นแล้วอย่าดุหลานเป็นอันขาด เดี๋ยวพวกนางขวัญเสียกัน”
“ข้ารู้แล้ว” เขาตอบรับ มองนางนำเสื้อผ้าใส่ไปจนเต็มกระเป๋า ก็ได้ปรามนางว่า “ใส่ไปสองสามชุดเป็นพอ อีกไม่กี่วันข้าก็กลับแล้ว”
“ได้อย่างไรกันเพคะ ได้ยินมาว่าชายแดนพายุทรายพัดแรง ออกจากบ้านทีก็ต้องเปลี่ยนชุดที ไม่เอาไปเยอะๆ ได้อย่างไรกัน” พระชายาไม่ฟังเขา เก็บของต่อไป
อ๋องฉีเม้มปาก ไม่ห้ามนางอีก
เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว ก็นำเงินไม่น้อยมาใส่ไว้ในแขนเสื้อของอ๋องฉี พระชายาสั่งอย่างไม่วางใจว่า “เด็กๆ เพิ่งเคยออกจากบ้าน ก็คงต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา อยากเที่ยวเล่นสองสามวัน หากพวกนางไม่อยากกลับมา ท่านก็อยู่เที่ยวเล่นกับพวกนางสักหน่อยเถิด เปิดหูเปิดตาบ้าง อย่าทำเหมือนข้า ชีวิตนี้คงไม่มีทางเดินออกไปจากเมืองหลวงได้”
อ๋องฉีอ้าปาก อดไม่ได้ที่จะชวนนางไปด้วยกัน แต่เมื่อคิดได้ว่ายังไม่แน่ใจว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นเช่นไร หากพระชายารู้ความจริงเข้า ก็คงจะรับไม่ได้ ดังนั้นคำที่อยากพูดก็ถูกกลืนลงไป
เก็บของเสร็จ พระชายาส่งเขาออกจากจวนไป เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนรออยู่ด้านหน้าแล้ว
หลังจากสั่งเสียเรียบร้อยแล้ว ยืนดูพวกเขาขึ้นรถม้าจากไป รอยยิ้มแห้งเหือดบนใบหน้าของพระชายาหายไป หันหลังกลับเข้าไปพร้อมความครุ่นคิด
อ๋องฉีนอยู่ด้านหน้า หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหลัง ด้านหลังตามด้วยโจวอันที่นำเหล่าองครักษ์ติดตามมาด้วย คนกลุ่มนั้นไม่นานก็ออกจากเมืองหลวงไป มายังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง อ๋องฉีหยุดม้า หันไปพูดกับทั้งสองคนว่า “ที่นี่ติดกับเมืองหลวง ผู้คนใช้ได้ ไม่มีใครทำอะไรเย่ว์เอ๋อร์หรอก ข้าว่า อย่างน้อยก็ต้องร้อยลี้ขึ้นไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝูอี้เซวียนก็คิดเช่นนี้ พยักหน้า สั่งโจวอันว่า “พวกเราไปหมู่บ้านที่ห่างออกไปร้อยลี้ก่อน เจ้าสั่งการไปว่า ให้องครักษ์ทุกคนตรวจค้นอย่างละเอียด อย่าให้เล็ดลอดไปแม้แต่น้อย”
โจวอันตอบรับ โบกมือเรียกองครักษ์นายหนึ่ง ให้เขาไปส่งข่าวให้องครักษ์ในหมู่บ้าน คนที่เหลือให้เดินทางต่อ เดินทางเลียบชายแดนไป ค้นหาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม
ณ ชายแดน
ฉู่เหวินเจี๋ยรอไปแล้วสองวัน ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของหวงฝู่เย่าเย่ว์ นั่งไม่ติด จึงได้โยกย้ายทหารสองร้อยนายออกจากเมืองค้นหาเลียบทางกลับเมืองหลวงเป็นต้นไป ไม่รู้เลยว่าการกระทำครั้งนี้ของเขาได้คลายความร้อนใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาไว้ได้
ตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าสว่าง ตั้งแต่ความเย็นสดชื่นในยาวเช้า จนถึงความร้อนระอุในยามเที่ยง ไม่รู้ว่ารถม้าเดินหน้ามาเท่าไรแล้ว แต่ในที่สุดก็หยุดลงเสียที
ใจที่ไม่เป็นสุขของหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เป็นสุขยิ่งกว่าเดิม จับเสื้อผ้าของตนไว้แน่น มองชายตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง
ชายหนุ่มมองนางด้วยสายตาสนใจมาตลอด หากไม่ใช่เพราะรถม้าแล่นอยู่ คงจะจับ ‘เขา’ กินไปเสียนานแล้ว
รถม้าหยุดลง ม่านรถถูกเปิดออก เมื่อเห็นชัดว่าด้านในมีชายผิวดำเพิ่มมาคนหนึ่ง ผู้มาเยือนจึงชะงักไป พูดกับชายหนุ่มด้วยความนอบน้อมว่า “องค์ชายใหญ่ เสด็จมาถึงแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์อึ้ง เบิกตาโต มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
ชายหนุ่มเก็บสีหน้ายิ้มแย้ม แผ่ความรู้สึกสูงศักดิ์ออกมา ไม่ได้ตอบอะไร ลงจากรถม้าด้วยสีหน้าเย็นชา ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ฝ่าบาทเรียกท่านให้รีบกลับวังพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้มาเยือนปล่อยม่านรถลง คำนับ และตอบกลับมา
“ส่งคนนี้กลับจวนไป ส่งคนมาดูแลอย่างดี อย่าให้ขาดตกพร่อง” องค์ชายใหญ่สั่งเสียงดัง
พูดจบ ก็เดินขึ้นไปบนม้าที่เตรียมไว้นานแล้ว ควบม้าไกลออกไป
ผู้มาเยือนโล่งใจ หันหลังกลับ เปิดม่านรถออกอีกครั้ง ด้วยความดูแคลน ดูหมิ่นและอิจฉา พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีว่า “ยังไม่ลงมาอีก จะรอให้ข้า ‘เชิญ’ เจ้าลงมาหรืออย่างไร”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดปากตัวเอง ลงจากรถม้าอย่างเชื่องช้า นั่งโคลงเคลงมานาน กระดูกทั้งร่างแทบแหลกสบาย เท้าแตะพื้น ขาก็อ่อนแรงลง แทบจะทรุดลงกับพื้น รีบจับคันรถไว้เพื่อพยุงตัว จึงไม่ล้มลง
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางผู้มาเยือนจึงได้ทำเสียงไม่พอใจในลำคอ ไม่พูดไม่จา หันหลังเดินเข้าจวนไป
ใช้โอกาสนี้มองไปรอบๆ เห็นว่าประตูมีชายฉกรรจ์จำนวนไม่น้อยคอยดูแลอยู่ ทุกคนร่างสูงกำยำ ไม่ต้องพูดถึงหลายคน เพราะแม้แต่คนเดียวนางก็ไม่สามารถต่อกรด้วยได้ ความคิดที่อยากหนีจึงได้หายไป ทำตัวดีๆ เดินตามเข้าไปด้วยความหวาดกลัว
ผู้มาเยือนหันหลังมาเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง จึงได้ทำเสียงไม่พอใจอีกครั้ง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยิน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงต้องไม่ชอบนางเช่นนี้
เดินก้มหน้ามาตลอดทาง จนมาถึงเรือนที่เงียบสงบ ผู้มาเยือนหยุดฝีเท้าลง พูดกับบ่าวที่เฝ้าประตูด้วยความไม่พอใจว่า “นี่คือคนที่องค์ชายใหญ่พามาด้วย พวกเจ้าต้องดูแลให้ดี หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ระวังองค์ชายใหญ่จะถลกหนังพวกเจ้าออกมา”
บ่าวรับใช้ตอบรับอย่างเกรงกลัว
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก หันหลังเดินกลับไป
บ่าวรับใช้เดินนำหวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าไปในเรือน เปิดม่านประตูออก เชิญนางเข้าไป พูดอย่างนอบน้อมว่า “นี่เป็นที่พักของท่าน ต้องการสิ่งใดก็ขอให้สั่งพวกเราเจ้าค่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้าเล็กน้อย โบกมือ
บ่าวรับใช้ออกไป ปิดประตูเบาๆ ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้า
ในที่สุดหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็โล่งใจเสียที ความรู้สึกกดดันผ่อนคลายลงมา นั่งลงบนเก้าอี้ กลัวแต่จนปัญญา นางคิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มจะเป็นองค์ชายใหญ่ของรัฐอิง ส่วนนางก็ตกอยู่ในมือของเขาไม่รู้ว่าจะมีทางหนีออกไปได้หรือไม่
พวกของอ๋องฉีทั้งสามคนควบม้าไม่พักจนออกมาได้ไกลร้อยลี้ จากนั้นจึงได้หยุดอยู่ข้างคูน้ำที่กองทัพเคยมาพัก รอข่าวจากองครักษ์ลับที่มาถึงก่อนแล้ว
เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง อ๋องฉีก็ลงจากม้า เดินเข้าไปด้านใน มายังโต๊ะเก็บเงิน ถามว่า “เถ้าแก่ หลายวันมานี้มีเด็กผู้หญิงที่มีสำเนียงเมืองหลวงมาที่นี่บ้างหรือไม่”
เถ้าแก่ส่ายหน้า ตอบ “ไม่เคยเห็นเลย”
อ๋องฉีหันหลังเดินออกมา ไปยังอีกโรงเตี๊ยมหนึ่ง ถามมาตลอดทาง คำตอบที่ได้คือไม่มี สีหน้าซีดเซียวถึงขีดสุด ทำให้องครักษ์ที่จะมารายงานต้องหลบไปอีกทาง เดินไปรายงานหวงฝู่อี้เซวียน “ท่านอ๋อง ไปถามมาหมดแล้วขอรับ ไม่มีวี่แววของท่านหญิงน้อยเลย”
สีหน้าของอ๋องฉีดูไม่ดียิ่งกว่าเดิม ไม่พูดอะไร หันหลังขึ้นม้า ตรงไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งทันที
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นดังนั้น จึงได้เดินเข้ามาดึงเชือกไว้ เงยหน้า มองสายตาโกรธของอ๋องฉี “เสด็จพ่อขอรับ เดินทางติดกันมาหลายวัน หากเดินทางต่อไป ร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว พวกเราไปพักผ่อนที่กลางเมืองกันก่อนดีกว่า วันพรุ่งค่อยไปอีกที่หนึ่ง”
“ออกไป! ” อ๋องฉีตะคอก
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ยอมปล่อยเชือก “เสด็จพ่อ เย่ว์เอ๋อร์เป็นเด็กของจวนอ๋อง กล้าหาญและฉลาดกว่าเด็กคนอื่น ข้าเชื่อว่านางจะต้องไม่เป็นอะไร”
“อย่าเซ้าซี้!” อ๋องฉีพูดคำหยาบเป็นครั้งแรก “บัดนี้ไม่รู้ว่าเย่ว์เอ๋อร์กำลังเจอปัญหาอยู่ที่ใด พวกเราต้องรีบหาตัวนางให้เจอ เช่นนี้นางถึงจะไปลำบากน้อยลง”
“เมืองหลวงห่างจากชายแดนหลายพันลี้ ท่านคิดจะไม่กินไม่นอนเช่นนี้ ตามหานางไปเรื่อยๆ หรือ หากพบนางแล้ว แต่ท่านล้มลง ท่านหวังจะให้เย่ว์เอ๋อร์เห็นภาพเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาด้านใน ย้อนถามเขา
อ๋องฉีไม่มีอะไรจะพูด ลงจากม้าด้วยความโกรธ หันหลังเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุด ตบโต๊ะเก็บเงิน พูดกับเถ้าแก่ว่า “เอาห้องที่ดีที่สุดให้ข้า! ”
เถ้าแก่ตกใจ ลูกคิดในมือเกือบร่วงลงพื้น รีบคว้าเอาไว้ มองหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินตามมา จึงได้ยิ้มต้อนรับ “ได้เลยขอรับ ข้าจะพาท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์นั่งรอในห้องจนมืด กระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูของบ่าวรับใช้ พูดว่า “นายท่าน ได้เวลาอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่เช้าจนบัดนี้ นางกินข้าวไปมื้อเดียว หวงฝู่เย่าเย่ว์หิวแล้ว จึงได้กดเสียงต่ำพูดว่า “ยกเข้ามาได้เลย”
สาวใช้เปิดประตู ก้มหน้า วางอาหารลงบนโต๊ะโดยไม่กล้ามอง พูดว่า “นายท่านหากกินอิ่มแล้ว เรียกพวกเราได้เลยเจ้าค่ะ พวกเราจะรีบมาเก็บถ้วยชาม”
“เข้าใจแล้ว ออกไปเถิด”
สาวใช้ออกไป ปิดประตูเบามือ
หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินไปข้างโต๊ะ กินอาหารตรงหน้าอย่างมูมมาม ตั้งแต่เล็กจนโต เป็นครั้งแรกที่นางกินเร็วเช่นนี้ ประการหนึ่งก็เพราะนางหิว อีกประการหนึ่งก็เพราะนางหวังว่าจะรีบกินเสร็จแล้ว จะให้บ่าวไปหาของบางอย่างให้ตน
ที่ชายแดน ทุกคนรอคอยข่าวของหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างร้อนใจ พร้อมกับคุยกันว่าจะเปิดศึกกับรัฐอิงอย่างไร ไม่รู้ว่าเพราะรู้ว่าฉู่เหวินเจี๋ยนำทัพมาแล้ว หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับรัฐอิง หลายวันมานี้รัฐอิงนิ่งเงียบ ไม่เหมือนหลายคืนก่อนที่คอยท้าทายอยู่ตลอด
ฉู่เหวินเจี๋ยใช้โอกาสให้ทหารได้พักผ่อน เดินทางติดต่อกันหลายวัน พลทหารเหนื่อยล้าไม่น้อย
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่านั่งไม่ติด นอนไม่หลับ สิ่งที่ทำในทุกวันคือการติดตามทหารสองร้อยนายไปตามข่าวหวงฝู่เย่าเย่ว์
ไม่นานก็มาถึงเมืองชิงหยาง วิธีการเหมือนกับอ๋องฉี เดินถามทุกโรงเตี๊ยม ว่ามีเด็กผู้หญิงสำเนียงเมืองหลวงมาบ้างหรือไม่
ถามทุกร้าน จนกระทั่งมาถึงโรงเตี๊ยมที่หวงฝู่เย่าเย่ว์เคยพักมาก่อน
เมื่อเถ้าแก่ได้ยินคำที่หวงฝู่สือเมิ่งถาม แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า “เมืองชิงหยางอยู่ห่างเมืองหลวงนัก ยากที่คนจากเมืองหลวงจะมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กผู้หญิงตัวคนเดียว หากมาที่นี่ข้าจะต้องจำได้เป็นแน่”
คำตอบจากที่พักและเถ้าแก่เหมือนกัน หวงฝู่สือเมิ่งหมดหวังอีกครั้ง หลังจากขอบคุณแล้วก็จากไป แต่ขณะที่กำลังหันหลังกลับนั้นก็เห็นของคุ้นตาสิ่งหนึ่ง จึงหันกลับ ชี้ไปที่ของสิ่งนั้นถามเสียงดังว่า “เถ้าแก่ ของนั้นท่านได้มาจากที่ใดกัน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น