ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 189-190

ตอนที่ 189-2 จดหมายจากเมืองหลวง

 

จูหลานมองประตูที่กำลังเปิดอ้าอยู่ ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องอย่างช้าๆ เพื่อไปหาท่านลุงและท่านป้าจูที่จวน


 


 


ทั้งสองคนเดินออกมาจากจวนจู หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่ได้ขึ้นบนหลังม้า มือหนึ่งของเขาจับเชือกจูงม้า ส่วนอีกมือหนึ่งก็จูงมือของนาง เดินทอดน่องไปบนถนน


 


 


แม้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะรู้ว่าเขาอารมณ์ดี แต่ก็เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นางไม่กล้าพูดออกไป ได้แต่เดินอยู่ข้างๆ เขาอย่างเชื่อฟัง


 


 


“หลังจากที่รั่วหลานได้พบกับครอบครัวของนาง ข้าได้ให้ทหารองครักษ์ปล่อยพวกนางกลับไป ส่วนข้าจะอยู่ที่นี่ อยู่ฉลองเทศกาลหยวนเซียวกับเจ้าก่อนค่อยไป” หวงฝู่อี้เซวียนหันมามองที่นาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขา เมื่อเห็นสายตาอ่อนโยนคู่นั้น หน้าก็แดงขึ้นมา แล้วนางก็พยักหน้า


 


 


ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนน เห็นพวกเขาแต่งกายสวยงาม ดูมีระดับ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน แล้วมองพวกเขาด้วยสายตาอิจฉา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจสายตาของพวกเขา จูงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปอย่างช้าๆ แล้วหยุดที่ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน เข้าไปซื้อกระดาษสา แล้วยืมพู่กันกับน้ำหมึกของเถ้าแก่เพื่อมาเขียนจดหมายสองฉบับ เขาจ่ายเงินแล้วเดินออกมา บอกว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว พวกเราไปที่ที่ว่าการเขตกันเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


ทั้งสองคนขึ้นหลังม้า แล้วเดินทางมาที่ที่ว่าการเขต


 


 


องครักษ์หลวงได้นำตัวรั่วหลานมารอที่ที่ว่าการเขตไว้ตามคาด


 


 


เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา รั่วหลานก็คุกเข่าลง “ขอบพระคุณแม่นางมากที่ช่วยชีวิตครอบครัวของข้า พระคุณของท่าน รั่วหลานไม่มีทางลืม”


 


 


“ลุกขึ้นเถอะ” รั่วหลานลุกขึ้น


 


 


“ที่ข้าช่วยครอบครัวของเจ้า ก็เพื่อต้องการให้เจ้าไปเป็นพยานได้อย่างสบายใจ เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า วันนี้เจ้าได้พบหน้าครอบครัวของเจ้าแล้ว กลับไปเมืองหลวงพร้อมกับพวกเขาเถิด เมื่อถึงเวลาจะมีคนมาจัดการเอง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


รั่วหลานตอบรับ พร้อมรับประกันว่า “รู้แล้ว ข้าจะพูดความจริงที่ข้ารู้ จะไม่ปิดบังอะไรเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนำจดหมายออกมาให้ทหารองครักษ์ “ฉบับหนึ่งมอบให้ท่านแม่ทัพ อีกฉบับนำไปถวายเสด็จพ่อ แล้วก็คุมตัวนักโทษให้ดี อย่าให้ผิดพลาดเด็ดขาด”


 


 


องครักษ์หลวงขานรับ


 


 


เมื่อออกคำสั่งเรียบร้อย ทหารองครักษ์อีกสองคนก็คุมตัวเฉียวหมิ่นออกมา


 


 


เห็นสภาพอันน่าอนาถของเฉียวหมิ่นแล้ว รั่วหลานแทบจะร้องออกมา นึกดีใจ ว่าดีที่ตัวไม่ได้ทำผิด มิเช่นนั้นตัวเองก็จะเป็นเหมือนกับนาง


 


 


องครักษ์หลวงคุมตัวนางทั้งสองคนออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขึ้นบนหลังม้า นำองครักษ์หลวงมุ่งหน้ากลับมาที่บ้าน


 


 


เมื่อนายอำเภอเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว จิตใจที่กระวนกระวายถึงได้กลับมาปกติ


 


 


ตอนไปเขาใจร้อน จึงเร่งม้าเร็ว แต่ตอนกลับเขาสบายใจ หวงฝู่อี้เซวียนจึงเดินทางอย่างเนิบช้า กว่าจะถึงบ้านใช้เวลาไปสามชั่วยามแล้ว


 


 


หลังจากที่เมิ่งซื่อกลับบ้านของตนไปก็คิดถึงแต่พวกเขา นางรีบกินข้าวกลางวันแล้วให้คนรถเร่งรถม้าให้กลับไปที่บ้าน รอพวกเขากลับมา


 


 


ทั้งสองคนขี่ม้ามาถึงหน้าประตูบ้าน เมิ่งซื่อได้ยินเสียงจึงเดินออกมา ถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงต้องรีบออกไปแบบนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากม้า เดินเข้าที่ข้างๆ นาง กอดนางแล้วพูดว่า “ตอนที่อี้เซวียนมา ฮ่องเต้บัญชาให้เขาไปจัดการธุระ เมื่อวานเขารีบร้อนกลับบ้าน ยังจัดการไม่เสร็จ เกิดเหตุผิดพลาดเล็กน้อย ลูกน้องถึงได้มาหาเขาอย่างรีบร้อน แต่ว่าท่านวางใจเถิด ตอนนี้จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ติดตามกลับไปแล้วเขาจะอยู่กับพวกเราจนฉลองหยวนเซียวเสร็จแล้วพวกเราถึงกลับไปพร้อมกันเจ้าค่ะ”


 


 


แม้เรื่องราชการเมิ่งซื่อจะไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่ได้ถามเยอะ เมื่อได้ยินว่าฉลองหยวนเซียวเสร็จแล้วหวงฝู่อี้เซวียนถึงจะกลับ ก็ดีใจมาก “อย่างนั้นก็ดีสิ แม่จะได้อาศัยโอกาสนี้ทำอาหารให้พวกเจ้ากิน”


 


 


เมื่อฟังนางพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เพราะในจวนอ๋องไม่มีอะไรอร่อยเลย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปากหวานบอกว่า “ขอบคุณท่านแม่ขอรับ หลายปีมานี้ข้าอยากกินแต่อาหารของท่านแม่”


 


 


เมิ่งซื่อดีใจยิ่งกว่าเดิม นางมองท้องฟ้า แล้วเดินเข้าห้องครัว ไปเตรียมอาหารมื้อเย็น เมิ่องเชี่ยนโยวมองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า นางหัวเราะแล้วส่ายหน้าพูดว่า “เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะไปดูลี่เอ๋อร์สองแม่ลูกเอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในบ้าน


 


 


วันที่สอง หวงฝู่อี้เซวียนไปที่บ้านของเมิ่งจงจวี่ก่อน แล้วค่อยเดินไปเยี่ยมเยียนหัวหน้าตระกูลเมิ่งด้วยกัน


 


 


เป็นบุญที่ซื่อจื่อมาเยี่ยมตนด้วยตนเอง หัวหน้าตระกูลดีใจจนปฏิเสธที่จะให้ลูกหลานพยุงขึ้นมา เขาลุกขึ้นไปต้อนรับซื่อจื่อเข้าบ้านด้วยตนเอง


 


 


วันที่สาม เขาและเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่หมู่บ้านหลี่ด้วยตนเอง เมื่อผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านหลี่ได้ยินข่าว เลยรวบรวมคนในหมู่บ้านด้วยตนเอง แล้วไปพบที่บ้านของจางจู้


 


 


หลังจากนั้น หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ออกจากบ้านอีกเลย อยู่ที่บ้านกับครอบครัวตระกูลเมิ่ง


 


 


ตอนกลางวันเมิ่งเชี่ยนโยวต้องดูแลสองแม่ลูกจางลี่ ตอนกลางคืนก็รอให้ทุกคนหลับก่อน แล้วค่อยไปที่จวนของหวงฝู่อี้เซวียน ด้วยความประทับใจในความดีของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน จนทำให้หวงฝู่อี้เซวียนอดใจไม่ไหว


 


 


วันวานผ่านไปอย่างสงบและเต็มไปด้วยความสุข


 


 


หลายวันผ่านไป บาดแผลของสองแม่ลูกจางลี่ก็แห้งตกสะเก็ด เมิ่งเชี่ยนโยวเอาผ้าพันแผลของพวกนางออก ให้ได้ขยับร่างกายบ้าง แต่ว่ายังขยับมากไม่ได้


 


 


ส่วนจูหลานและท่านพ่อท่านแม่ของเขาหลังจากที่พักฟื้นหายแล้ว ก็ตรงมาที่จวนตระกูลเมิ่ง


 


 


เห็นสภาพน่าอนาถของสองแม่ลูกจางลี่ ฮูหยินจูน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด นายท่านจูและจูหลานก็เจ็บปวดจนทนไม่ไหวเหมือนกัน


 


 


รอให้อารมณ์ของพวกเขาสงบลง เมิ่งเชี่ยนโยวก็บอกว่า “พวกเขาสองแม่ลูกได้รับเพียงแค่บาดแผลภายนอก แผลตกสะเก็ดหมดแล้วก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ และจะไม่มีโรคอะไรตามมาอีก พวกท่านวางใจเถิด”


 


 


ฮูหยินจูถึงจะวางใจได้ แต่เมื่อเห็นบาดแผลที่เต็มตัวของจูเสี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา


 


 


จูหลานพูดกับนางว่า “ท่านแม่ ลี่เอ๋อร์กับเสี่ยวเอ๋อร์รอดมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เขาเป็นเด็กผู้ชาย มีแผลเป็นเล็กน้อยไม่ใช่ปัญหา”


 


 


ฮูหยินจูพยักหน้าทั้งน้ำตา “ข้ารู้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วพูดว่า “แผลเป็นพวกนี้ไม่เท่าไรหรอก พอดีหลายวันนี้ข้ามีเวลา ข้าเลยทำการผสมยาทาแผลเป็นเอาไว้ รอให้สะเก็ดแผลบนตัวของทั้งสองนั้นลอกออกเมื่อไร ก็ทายานี้ไว้ แล้วจะกลับไปเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว”


 


 


ฮูหยินจูขอบคุณอีกยกใหญ่ นายท่านจูก็เลยพูดว่า “แม่นางเมิ่ง ข้าจะไม่พูดขอบคุณให้มากความ วันหลังถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรให้รับใช้ ขอแค่พูดมา ต่อให้ต้องลุยน้ำลุยไฟ พวกเราตระกูลจูก็จะทำให้”


 


 


ฮูหยินจูและจูหลานต่างก็พยักหน้า


 


 


แม่ลูกจางลี่เหลือเพียงแต่รักษาตัวให้ดีๆ จูหลานเลยบอกว่าจะพาตัวกลับไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ออกคำสั่งให้คนนำทั้งสองคนขึ้นรถม้าอย่างระมัดระวัง แล้วเฝ้ามองส่งพวกเขาจนลับตาไป


 


 


เมื่อส่งพวกสองแม่ลูกเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่มีเรื่องอะไรให้จัดการแล้ว ต่อแต่นี้ไปก็แค่สั่งให้คนไปซื้อยากลับมา ผสมยาทาแผลเป็นก็เท่านั้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังคงเป็นคนที่ดูยาไม่ออก ไม่ว่าจะยาแบบไหนเขาก็มองเหมือนกันหมด เลยทำให้เขาตำยาผิดอยู่บ่อยครั้ง เลยโดนเมิ่งเชี่ยนโยวไล่ออกไป กำชับเขาว่าวันหลังอย่าเข้ามาที่ห้องนี้อีก


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งเส้าเห็นท่าทางเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังหงุดหงิด เลยแอบหัวเราะ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก้มหน้าก้มตาตำยาต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านเทศกาลหยวนเซียวไปแล้ว หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวให้คนนำยาทาแผลเป็นไปส่งให้กับจูหลาน แล้วก็เตรียมตัวกลับเมืองหลวง


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งเส้าก็จะกลับเมืองหลวงด้วย เลยดีใจเป็นอย่างมาก


 


 


เมิ่งเส้าโตขนาดนี้แล้ว แต่ก็ไม่เคยห่างแม่ เมิ่งซื่อจึงรู้สึกเป็นห่วง กำชับเมิ่งเชี่ยนโยวหลายรอบว่า ให้นางดูแลทั้งสองคนให้ดี


 


 


ในจังหวะที่โดนพูดกรอกจนเหมือนจะมีหนอนไหลออกมาจากหูนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเสนอว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่เพิ่งจะปีใหม่ โรงงานก็ยังไม่เปิด หน้าดินก็ยังทำอะไรไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกท่าน พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไปอยู่เมืองหลวงกับพวกเราก่อนสักระยะเถิด ส่วนที่บ้านก็ให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้จัดการไป”


 


 


ตั้งแต่เมิ่งซื่อไปตัวเมืองในครั้งนั้น แล้วทำเมิ่งเจี๋ยหายไป การออกไปข้างนอกจึงกลายเป็นปมในใจนาง ยิ่งไปกว่านั้นการไปเมืองหลวง ล้วนเป็นที่ของชนชั้นสูง นางจึงรีบโบกมือ “ข้าไม่ไปหรอก เดี๋ยวไปทำให้ชนชั้นสูงไม่พอใจเข้า จะไม่มีชีวิตกลับมาเอา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ “ท่านแม่ ชนชั้นสูงในเมืองหลวงแบ่งระดับเป็นสาม หก เก้าระดับ ในสายตาของคนอื่น พวกเราก็คือชนชั้นสูงเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อประหลาดใจ


 


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังตัดสินใจกันอยู่นั้น กัวเฟยก็ได้นำองครักษ์หลวงสองนายกลับไป แล้วทิ้งจดหมายไว้ให้กับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว เนื้อความว่า “ซูเอ๋อร์ไม่สบาย หวังว่าแม่นางเมิ่งจะกลับไปโดยด่วน”

 

 

 


ตอนที่ 190 กังวล

 

หมอฝีมือดีในเมืองหลวงก็มีมากมาย แต่ฉู่เหวินเจี๋ยกลับเขียนจดหมายส่งให้นางรีบกลับมาโดยเร็ว ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อน นางคาดเดาไปต่างๆ นาๆ แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ดูเหมือนว่าท่านแม่ทัพฉู่จะได้เป็นพ่อแล้วล่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเกิดสีหน้าสงสัย แล้วนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาแต่งงานกันก็นานแล้ว พยักหน้าตอบ “ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ ตอนนี้ท่านน้าคงตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งจดหมายฉบับนี้ให้กับเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อดู แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านปรึกษากันเสร็จหรือยังว่าจะไปเมืองหลวงกับข้าหรือไม่”


 


 


เมิ่งซื่อกลัวจริงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของนาง เลยตอบว่า “พ่อกับแม่ไม่ไปหรอก ให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เจ้าไปกับเจี๋ยเอ๋อร์และเส้าเอ๋อร์เถอะ”


 


 


เมิ่งซื่อไม่ไป เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่ไปด้วยอยู่แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่บังคับพวกเขา ทำได้เพียงแต่ตามนั้น


 


 


แล้วตามหาเหวินเปียวเพื่อปรึกษาหารือ ว่าให้เหลือลูกน้องของเขาซ่อนตัวอยู่บ้าน แล้วให้องครักษ์หลวงทั้งหมดในบ้านกลับเมืองหลวงไปด้วยกัน


 


 


ยามเหล่านี้อยู่อย่างไม่มีตัวตนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนที่ให้พวกเขาอยู่ที่หมู่บ้านหนึ่งในเมืองหลวงนั้น เหวินเปียวไม่สามารถที่จะวางใจได้เลย เกรงว่าวันใดเกิดความผิดพลาดขึ้น คนพวกนี้จะโดนจับกลับไปอีก เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดดังนี้ จึงตอบรับไปอย่างไม่ลังเล เพราะเป็นข้อเสนอที่หาดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว อีกอย่างตัวเขาเป็นนายน้อย พูดอีกอย่างที่ทำก็เพื่อผลดีต่อทุกคน ทุกคนต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง อย่างไรซะพวกเขาก็เป็นพวกหยาบช้าไร้อารยะ จะอยู่ที่ไหนก็ได้เหมือนกันหมด


 


 


ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อย ไปหาเมิ่งฉีอีก แล้วบอกกับเขาว่า “พี่รอง โรงงานที่เมืองหลวงมีผู้ดูแลและหวงฝู่อวี้ดูแลอยู่แล้ว ปีนี้พี่ไม่ต้องไปเมืองหลวงแล้วนะ ดูแลกิจการที่บ้านให้ดีก็พอ”


 


 


หลายปีมานี้ กิจการที่บ้านล้วนแล้วแต่เมิ่งฉีเป็นผู้ดูแลหาลูกค้า เมิ่งเสียนเป็นคนดูแลเฉพาะผลผลิตของโรงงานโดย ดังนั้นเมื่อปีก่อนถึงจะมีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้น อีกนิดเดียวก็จะโดนโกงจนครอบครัวย่อยยับ เมิ่งฉีก็ยังคงกลัว พยักหน้าตอบกลับไปว่า “ได้ หลังจากนี้เจ้าจะต้องขยันขึ้นอีกหน่อย ถ้าหากยุ่งจนทำไม่ไหวจริงๆ พี่รองค่อยเข้าไปช่วย”


 


 


เรื่องทั้งหมดเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เมื่อมาถึงวันที่สิบเก้าเดือนหนึ่งตามปฏิทินจีน หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวได้นำทหารองครักษ์ทั้งหมดและสองสามีภรรยาเมิ่งเสียน รวมไปถึงเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งเส้า ทำการร่ำลาครอบครัว แล้วมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวง


 


 


เมิ่งต้าจินได้นำคนของหมู่บ้าน ส่งพวกเขาไปจนถึงหน้าประตูหมู่บ้าน แล้วมองขบวนรถม้าจนลับตาไป


 


 


เมื่อเดินมาทางมาไกลจากหมู่บ้านพอสมควร เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้หัวเราะแล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “วันหลังตัดกำลังพลให้เหลือน้อยๆ หน่อยก็ได้ ท่านดูสิ ทั้งขาไปขากลับ ทำให้คนในหมู่บ้านอยู่ไม่เป็นสุขกันไปหมด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลูบหัวนางเบาๆ “ตราบใดที่ท่านพ่อกับท่านแม่ยังอยู่ ข้าต้องมาอย่างน้อยปีละครั้ง นอกเสียจากเจ้าจะทำให้ครอบครัวของเจ้าย้ายเข้าเมืองหลวงให้หมด”


 


 


จะให้เมิ่งซื่อไปอยู่ที่เมืองหลวง ก็เหมือนจะเอาชีวิตนางนั่นแหละ จะให้นางอยู่ที่เมืองหลวงระยะยาว ความคิดเช่นนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยมีอยู่ในสมองเลย


 


 


ตลอดทางไม่ได้มีการเร่งฝีเท้าแต่อย่างใด ใช้เวลาสองวัน ถึงจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง


 


 


ที่เคยบอกไว้ว่าเลยวันที่ยี่สิบก็จะกลับมา นายประตูยืนรออยู่ที่ประตูตั้งนานแล้ว เมื่อได้เห็นขบวนรถม้ากำลังเคลื่อนเข้ามา ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง รอให้รถม้าจอดจนนิ่งสนิท แล้วเดินออกไปต้อนรับ พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “นายหญิง ซื่อจื่อ ท่านแม่ทัพใหญ่ได้ใช้คนมาถามตั้งหลายครั้ง ว่าพวกท่านจะมาเมื่อใด แล้วยังฝากบอกด้วยว่า หลังจากที่พวกท่านกลับมาแล้ว ให้ไปที่จวนแม่ทัพโดยด่วน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วเรียกเหวินเปียวสั่งว่า “เจ้าให้ทุกคนนำสิ่งของที่เอามาไปเก็บให้เรียบร้อย ข้าจะไปที่จวนท่านแม่ทัพเสียหน่อย”


 


 


เหวินเปียวตอบรับ ออกคำสั่งให้ทุกคนนำขบวนรถม้าไปอยู่ที่ด้านหลังจวน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ลงจากม้า ออกคำสั่งให้กัวเฟยเดินทางไปที่จวนท่านแม่ทัพ ชิงหลวนและจูหลีตามอยู่ทางด้านหลังรถม้า


 


 


นับตั้งแต่ฉู่เหวินเจี๋ยแต่งงานมา ที่เพิ่มเข้ามาในจวนก็มีแต่เฝิงจิ้งซูกับสาวใช้อีกไม่กี่คน นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ก็ยังคงเป็นนายทหารพิการเฝ้าประตูคนเดิม เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็มีทีท่ารีบร้อนบอกว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง พวกท่านรีบเข้าไปเถิด หลายวันที่ผ่านมานี้ฮูหยินทานอะไรก็อาเจียนออกมา ท่านแม่ทัพร้อนใจเป็นที่สุด”


 


 


เมื่อฟังคำพูดของเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิม นางเดินยิ้มแย้มเข้าไปในจวนแม่ทัพกับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


ลุงฝูได้นำสาวใช้มารออยู่ที่ตรงหน้าประตูจวนหลัก เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา ก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบรายงานว่า “ท่านแม่ทัพ ฮูหยิน ซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งมาแล้ว”


 


 


“ให้พวกเขาเข้ามาเร็วเข้า” ฉู่เหวินเจี๋ยพูดออกมาจากด้านในด้วยน้ำเสียงร้อนรนและกังวล


 


 


สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ที่ด้านหน้าประตูก็เปิดม่านประตูออก ให้ทั้งสองคนเดินเข้าไป


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยรีบร้อนจนไม่ได้พูดต้อนรับ บอกว่า “แม่นางเมิ่ง มาดูอาการของซูเอ๋อร์หน่อย ว่านางเป็นอะไรไป”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยุด เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่ข้างๆ เตียง เห็นอาการของเฝิงจิ้งซูก็ตกใจ สายตาของนางอ่อนแอมาก ม่านตาลึก หน้าซีดขาว ท่าทางป่วยจนไร้เรี่ยวแรงนอนอยู่บนเตียง


 


 


เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ก็อยากจะทักทายนาง แต่เมื่อเอ่ยปาก ก็ต้องรีบตะกายตัวลุกขึ้นมาทำทีท่าเหมือนจะอาเจียน


 


 


เห็นนางอาเจียนจนแทบจะเอาอวัยวะภายในออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว


 


 


เมื่อนางอาเจียนจนเสร็จ ก็รับน้ำที่สาวใช้ยกมาให้ ล้างปากเรียบร้อย แล้วก็กลับไปนอนบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ เตียง แล้วพูดว่า “เจ้ายังไม่ต้องพูดอะไร ข้าจะคลำชีพจรเจ้าดู”


 


 


เฝิงจิ้งซูมองไปที่นางด้วยสายตาที่ว่างเปล่า แล้วพยักหน้าเล็กน้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับมือนางขึ้นมา แล้วจับชีพจรดู จึงรู้สึกได้ถึงชีพจรที่อ่อนแรงเป็นอย่างมาก ภายในใจทั้งดีใจและกังวล ดีใจเพราะตรงกับที่ตัวเองคิดไว้ไม่ผิด เฝิงจิ้งซูท้องจริงๆ แต่ที่เป็นห่วงก็คือ ชีพจรของนางนั้นอ่อนกว่าคนปกติมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ ถ้าผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็สามารถแท้งได้


 


 


นางเก็บสีหน้ากังวลไว้ แล้วแสดงสีหน้าดีใจออกมา “ยินดีด้วยกับท่านแม่ทัพ ซูเอ๋อร์กำลังตั้งท้องเจ้าค่ะ”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยชะงักไป


 


 


เฝิงจิ้งซูตกใจจนอ้าปากค้าง มองไปที่นางด้วยสายตาที่ไม่น่าเชื่อ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มแล้วพูดแสดงว่ายินดีว่า “ยินดีกับท่านน้าด้วยขอรับ”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยตั้งสติ แล้วถามแม่นางเมิ่งด้วยท่าทางจริงจังว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าพูดจริงหรือ”


 


 


“ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่เชื่อในวิชาหมอของข้าอย่างนั้นหรือ” แม่นางเมิ่งถามกลับไปด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยตอบกลับโดยทันทีว่า “ไม่ๆ ข้าดีใจเกินไป แม่นางเมิ่งอย่าถือสาข้าเลย” เมื่อพูดจบ ก็ยิ้มแก้มฉีก ยิ้มจนปากจะฉีกถึงรูหูอยู่แล้ว ท่าทางที่ดูดีใจเกินคำบรรยาย ดูท่าแล้วถ้าหากว่าไม่มีหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้วยตรงนี้ ก็คงจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นไปแล้ว


 


 


สีหน้าของเฝิงจิ้งซูก็แดงขึ้นมา แล้วถามกลับไปอย่างสงสัยว่า “ข้าจะได้เป็นแม่คนแล้วอย่างนั้นหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วช่วยนางรวบผมที่กระเซอะกระเซิงของนางไปไว้ที่ด้านหลัง “ใช่แล้ว ซูเอ๋อร์จะได้เป็นแม่คนแล้ว”


 


 


ดวงตาของเฝิงจิ้งซูเปล่งประกาย นางตะโกนเรียกฉู่เหวินเจี๋ยว่า “ท่านแม่ทัพ”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยอายุสามสิบกว่าแล้ว ยังไม่มีลูก นับตั้งแต่พวกเขาแต่งงานกัน ทุกครั้งที่กลับบ้านแม่ นางเฝิงซื่อก็จะถามนางทุกครั้งว่ามีข่าวดีหรือยัง ถามหลายครั้ง จนเฝิงจิ้งซูเกิดความกดดัน ตอนนี้เมื่อรู้ว่าตัวเองท้อง ก็ดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ แล้วตะโกนเรียกฉู่เหวินเจี๋ยออกมาอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นใด


 


 


อีกสองคนที่กำลังยืนอยู่ ได้เห็นเฝิงจิ้งซูที่กำลังตะโกน ฉู่เหวินเจี๋ยเลยเสียอาการหน้าแดงขึ้นมา แต่ว่าก็ยังตอบรับกลับไปอย่างเขินๆ ด้วยคำว่า “ดีๆ ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้พูดต่อไปว่า “ดังนั้น วันหลังเจ้าก็ต้องระมัดระวังให้ดี ห้ามทำกิจกรรมอะไรที่ใช้แรงมากเกินไป ทางที่ดีที่สุดก็คือ ตอนที่ว่างๆ ก็นอนพักผ่อนให้มากๆ”


 


 


เฝิงจิ้งซูเป็นคนไร้เดียงสา ไม่ได้คิดมากอะไร เลยพยักหน้าอย่างดีใจ แต่ฉู่เหวินเจี๋ยเข้าใจถึงความหมายในคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว สีหน้าที่กำลังดีใจอยู่ก็ได้มลายหายไป กลับกลายเป็นสีหน้าที่ดูกังวล มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เอ่ยปากเหมือนจะพูดอะไร แต่เมื่อมองไปที่เฝิงจิ้งซูที่กำลังดีใจอยู่ ก็ไม่ได้พูดอะไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเขาอย่างเห็นได้ชัด แล้วมองไปที่เขาอย่างสงสัย แล้วหันกลับไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


“ครรภ์นี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยปกติ ข้าจะออกใบสั่งยาผดุงครรภ์ให้เจ้าก่อน ให้เจ้ากินยาตามเวลาทุกวัน เมื่อยาหมดข้าจะมาจับชีพจรดูอาการเจ้าอีกที” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเฝิงจิ้งซู


 


 


เฝิงจิ้งซูพยักหน้า


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งให้คนไปนำกระดาษและน้ำหมึกพู่กันมา เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น แล้วเดินไปที่โต๊ะ เขียนใบสั่งยา แล้วพูดกับฉู่เหวินเจี๋ยว่า “ท่านแม่ทัพให้คนไปเอายาที่ร้านยาเต๋อเหรินเถิด จะได้สบายใจ”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร เขาพยักหน้า แล้วสั่งให้คนไปเอายาที่ร้านยาเต๋อเหริน


 


 


“ซูเอ๋อร์อายุน้อย อาการก็แตกต่างจากคนอื่น ทางที่ดีแม่ทัพต้องดูแลนางให้มากกว่าเดิม เพื่อป้องกันมิให้เกิดอะไรขึ้น” เมิ่งเชี่ยนโยวจะสื่อความหมายเช่นนี้


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยก็หนักใจขึ้นมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น


 


 


เมื่อเห็นว่าท่าทางของเขาเปลี่ยนไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้พูดปลอบใจเขาเบาๆ ว่า “อาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ท่านแม่ทัพอย่ากังวลเกินไปเลย”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้าอย่างหนักใจ เขากลืนน้ำลายไปหลายอึก แล้วพูดอย่างลำบากใจว่า ถ้าเอาร่างกายของซูเอ๋อร์เป็นหลัก ไม่ไหวแน่นอน…


 


 


คำพูดต่อจากนั้นไม่ได้ถูกพูดออกมา แต่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจแล้วตอบกลับไปว่า “ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรงขนาดนั้น ท่านแม่ทัพกังวลเกินไปแล้ว”


 


 


เหมือนกับหวงฝู่อี้เซวียนจะเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว สีหน้าอาการดีใจก็ได้หายไป


 


 


ทั้งสามคนนิ่งไป


 


 


แต่เฝิงจิ้งซูกลับไม่ได้รู้สึกถึงตรงนี้เลย นางใช้มือลูบท้องน้อยๆ ของตน ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นเช่นนั้นแล้ว ภายในใจยิ่งรู้สึกเจ็บช้ำเข้าไปใหญ่ เขาเม้มปาก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าตนเองนั้นหมดเรี่ยวแรง


 


 


อาการอาเจียนกลับมาอีกแล้ว เฝิงจิ้งซูตะกายตัวเองขึ้นมาจะอาเจียน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับไปที่เตียง แล้วลูบหลังนางเบาๆ หัวเราะว่า “ยังไม่เป็นตัวเลย ก็ทำให้เจ้าลำบากขนาดนี้ รอให้คลอดออกมา จะต้องเป็นเด็กซุกซนคนหนึ่งอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้านั่นแหละที่จะเป็นคนเหนื่อย”


 


 


ไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน เฝิงจิ้งซูไม่รู้จะอาเจียนออกมาเป็นอะไรแล้ว รอให้อากาอาเจียนนั้นหายไป นางก็ล้างปาก แล้วกลับไปนอนที่เตียง แล้วหายใจเฮือกใหญ่พร้อมหัวเราะออกมา ถามว่า “ซนขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เจ้าประเมินข้าสูงเกินไป ข้าไม่ได้มีความสามารถขนาดที่จะรู้ได้ว่าเด็กในท้องเจ้าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”


 


 


เฝิงจิ้งซูก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร ลูบที่ท้องน้อยๆ ของตน แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ข้าก็รักทั้งนั้น”


 


 


“แน่นอนสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือลูบไปที่หลังเท้าของนาง “ลูกชาย หรือลูกสาวก็เหมือนกัน ก็ล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองทั้งนั้น”


 


 


ไม่นานบ่าวใช้ก็ไปเอายามาให้ หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็สั่งให้คนนำไปต้ม แล้วให้เฝิงจิ้งซูดื่ม


 


 


เมื่อเห็นว่าหลังจากที่เฝิงจิ้งซูดื่มยาเข้าไปแล้ว มีอาการง่วงซึม เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มออกมาพูดว่า “ข้าเพิ่งจะกลับมา ยังไม่ทันได้เข้าบ้าน ก็รีบมาที่นี่เลย รู้สึกเพลียเล็กน้อย อยากกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว เจ้าก็พักผ่อนเถิด จำคำพูดของข้าไว้ รักษาเนื้อตัวให้ดี อย่าออกแรงมากนัก”


 


 


เฝิงจิ้งซูพยักหน้า “ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวของนางเบาๆ แล้วลุกขึ้น ส่งสัญญาณให้หวงฝู่อี้เซวียน แล้วเดินออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินตามมา


 


 


หลังจากที่ฉู่เหวินเจี๋ยได้กำชับให้สาวใช้ดูแลเฝิงจิ้งซูให้ดีแล้ว ก็ได้เดินตามออกมา


 


 


เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนเดินออกไปแล้ว เฝิงจิ้งซูก็หลับตา แล้วผล็อยหลับไป


 


 


ทั้งสามคนมานั่งที่ห้องรับแขก ลุงฝูสั่งให้คนยกน้ำชามาถวาย


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “รุนแรงหรือไม่”


 


 


“ดูเหมือนว่าครรภ์นี้จะไม่ปกติก็เท่านั้น ลองกินยาบำรุงครรภ์ไปก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยนิ่งไปอีกสักพัก ถึงจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ได้ยินมาว่าแม่ของข้าตอนที่ท้องพี่สาวข้าก็เป็นเช่นนี้ ต่อมาพอคลอดพี่สาวของข้าแล้ว ก็แทบจะไม่รอดชีวิตแล้ว ข้าไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับซูเอ๋อร์ ถ้าหากว่าไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ ก็แอบเอาออกเถอะ”


 


 


“ยังไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น อีกอย่าง ถ้าเอาเด็กออก จะส่งผลเสียต่อร่างกายของซูเอ๋อร์อย่างแน่นอน ดูไปก่อนเถอะ ข้าจะช่วยรักษาครรภ์นี้ให้พวกเจ้าอย่างเต็มที่ แต่พูดเรื่องนี้ตอนนี้ยังเร็วเกินไป รอให้ผ่านไปก่อนสักสามเดือนค่อยว่ากัน ในช่วงเวลานี้ ขอให้ท่านแม่ทัพดูแลอยู่ข้างๆ ซูเอ๋อร์ให้มากๆ ก็พอเจ้าค่ะ”


 


 


ใบหน้าที่มีความสุขของฉู่เหวินเจี๋ยได้หายไป แล้วตอบรับ “อืม” เบาๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังกำชับเรื่องที่ฉู่เหวินเจี๋ยควรระวังอีกหลายเรื่องก่อนจะกลับไป


 


 


หลังจากที่ขึ้นรถม้าแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้ถอนหายใจเบาๆ


 


 


“ร้ายแรงไหม” หวงฝู่อี้เซวียนถาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “มิอาจรู้ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไป ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ขนาดเจ้ายังไม่รู้อย่างนั้นรึ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)