ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 185-189
ตอนที่ 185-2 คะนึงหา
ผู้ใหญ่อาวุโสได้ยินเช่นนั้น ก็ลุกขึ้นเดินตัวโยกเยกด้วยความดีใจ สั่งให้คนเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เขา แล้วลูกหลานจึงประคองเขาเดินไปหน้าประตูบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋น
สามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน ยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู
ผู้ใหญ่ตระกูลอื่นๆ ก็ทยอยตามกันมาอย่างชื่นมื่นใจ
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผ่านไปชั่วครู่ข่าวก็แพร่กระจายไปทั้งหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็มากันหมด หลายร้อยครัวเรือนกรูกันมาอยู่หน้าบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋น เห็นเป็นผืนดำทั้งผืน แต่ไม่มีเสียงโหวกเหวกโวยวาย ทุกคนต่างชะเง้อหน้าเฝ้ามองไปที่ถนนใหญ่ของหมู่บ้าน เมื่อเห็นรถม้าสองสามคันทยอยมาถึง จึงแสดงท่าทางตื่นเต้นกัน
รถม้าหยุดลงหน้าฝูงคน หวงฝู่อี้เซวียนเปิดม่านรถแล้วเดินลงมา
ไม่เจอหลายปี เด็กชายในตอนนั้นบัดนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มาพร้อมกิริยาท่าทางที่น่าเคารพ ประหนึ่งแสงอาทิตย์และแสงพระจันทร์สาดส่องลงที่ตัวเขา จนทำให้หมู่คนเหล่านี้ดูต่ำต้อย ได้แต่มองดูอย่างไม่สามารถเอื้อมถึงได้
ผู้ใหญ่อาวุโสที่ถูกลูกหลานประคองอยู่นั้น ก็เดินนำทุกคนด้วยตัวโยกเยกไปหน้าหวงฝู่อี้เซวียน คุกเข่าลง พูดอย่างตื้นตันใจว่า “ข้าเมิ่งชิงเย่า ผู้ใหญ่บ้านตระกูลเมิ่งขอเป็นตัวแทนทั้งหมู่บ้านคารวะท่านซื่อจื่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนรีบยื่นมือไปประคองผู้ใหญ่อาวุโส ทำสัญญาณมือให้ทุกคนลุกขึ้น พูดเสียงดังว่า “ข้าแค่กลับมาเยี่ยมบ้าน ทุกท่านทำตัวตามสบายเถอะ”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนต่างตื้นตันใจ ขอบคุณและลุกขึ้น เมิ่งซื่อยืนอยู่หลังฝูงชน ยกแขนซับน้ำตาที่รื้นออกมา
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเห็น ก็เดินฝ่าฝูงชนไป หยุดอยู่ตรงหน้าเมิ่งซื่อและเมิ่งเอ้ออิ๋น สะบัดชายเสื้อ คุกเข่าลงไป “ท่านพ่อ ท่านแม่ เด็กอกตัญญูคนนี้กลับมาหาพวกท่านแล้วขอรับ”
เสียงฮือฮาดังขึ้น เพราะไม่มีใครคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อก็ตกใจเช่นกัน รีบเดินหน้าไปพยุงเขาขึ้นมา เมิ่งซื่อกล่าวตำหนิ “เจ้าเด็กคนนี้ สถานะของเจ้าตอนนี้สูงส่งเพียงไหน จะมาคุกเข่าต่อหน้าเราได้อย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นตามแรงประคองของพวกเขา ยิ้มและพูดขึ้นว่า “แม้สถานะของลูกจะสูงส่งเพียงใด ก็ยังเป็นลูกของท่านอยู่วันยันค่ำ จะให้คุกเข่าโขกศีรษะ ก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ”
ผู้ใหญ่อาวุโสตระกูลเมิ่งลูบหนวดแล้วยิ้มพลางพยักหน้า
ผู้ใหญ่ตระกูลอื่นก็พยักหน้าตามกัน มีเพียงผู้ใหญ่บ้านตระกูลหนิวที่แสดงสีหน้าเสียใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่คิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะคุกเข่าให้ท่านพ่อท่านแม่ตนต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ก็รู้สึกตื้นตันใจไม่น้อย ยืนอยู่หลังฝูงชน เห็นแผ่นหลังของเขา ก็พลันเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมา
เมื่อคุกเข่าโขกศีรษะให้สามีภรรยาเมิ่งซื่อแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็หันไปคารวะสามีภารยาเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ ท่านย่า หลานกลับมาแล้วขอรับ”
เมิ่งจงจวี่เรียนหนังสือมา ให้ความสำคัญกับมารยาท เอียงลำตัวแล้วจึงยิ้มให้เขา พลางประคองเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
จากนั้นก็คารวะเมิ่งต้าจิน และผู้ใหญ่แต่ละตระกูล หวงฝู่อี้เซวียนจึงเดินแหวกฝูงชนเข้าไปในบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาเข้าบ้าน ก็สั่งเหวินเปียวว่า “พาพี่น้องเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ อีกสักครู่ข้าจะให้ชิงหลวนนำยาไปให้พวกเจ้า”
เหวินเปียวขานรับ สั่งคนจูงม้าไปหลังลานบ้าน
เมื่อไม่มีคำสั่งพิเศษอะไร เหล่าทหารองครักษ์ก็กลับห้องตนไปพักผ่อน
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลัง เดินนำชิงหลวนและจูหลีไปที่ลานบ้านของเมิ่งฉี และตรงไปที่ห้องพักฟื้นของแม่ลูกจางลี่
ตั้งแต่ที่นางไปตัวอำเภอ ซุนเชี่ยนเฝ้าอยู่ข้างกายแม่ลูกจางลี่ตลอด ป้อนยาและซุปโสมให้พวกเขาทานอย่างเป็นเวลา และพูดคุยเป็นเพื่อนแม่ลูกสองคนนี้เมื่อพวกเขาตื่นเป็นครั้งคราว
ตอนนี้พอดีกับที่แม่ลูกคู่นี้ตื่นอยู่ ซุนเชี่ยนพูดคุยกับพวกเขาด้วยเสียงเบา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ซุนเชี่ยนก็รีบลุกขึ้น ปริปากกำลังจะถาม แต่เห็นว่าจางลี่แม่ลูกทั้งคู่อยู่ด้วย จึงกลืนคำพูดทั้งหมดลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่านางจะถามอะไร ยิ้มแล้วพูดเปลี่ยนเรื่องว่า “ซ้อ อี้เซวียนกลับมาแล้ว คนในบ้านวุ่นอยู่กับการต้อนรับผู้ใหญ่ที่มาคารวะ พี่กลับไปช่วยหน่อยเถอะ”
ตั้งแต่ที่จากกันเมื่อสี่ปีก่อน อี้เซวียนก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ซุนเชี่ยนก็คิดถึงเขาเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าเขากลับมา ก็ตะลึงพรึงเพริด รีบลุกขึ้น และพูดอย่างดีใจว่า “ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลย แม่ลูกลี่เอ๋อร์ฝากเจ้าดูแลก่อนนะ ข้าช่วยเสร็จแล้วจะกลับมา”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่อยู่กับพวกเขาเลย”
ซุนเชี่ยนพยักหน้า เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
จางลี่ก็รู้จักอี้เซวียน รู้ว่าเป็นว่าที่สามีของเมิ่งเชี่ยนโยว หัวเราะและเย้าแหย่นาง “พี่โยวเอ๋อร์มีความสุขจัง นี่ไม่เจอแค่ไม่กี่วัน อี้เซวียนก็ตามกลับมาเลยนะเจ้าค่ะ”
ได้ยินนางพูดหยอกล้อกับตน ดูเหมือนว่าบาดแผลครั้งนี้น่าจะไม่ทิ้งร่องรอยในใจนางมากนัก เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจ น้ำเสียงผ่อนคลาย พูดขึ้นว่า “เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว พี่โยวเอ๋อร์คนนี้ของเจ้าประดุจเทพธิดา หายากแม้บนสวรรค์และบนดิน เขาต้องคอยตามอยู่ข้างกายอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าหนีไป เขาคงร้องไห้ฟูมฟายหาตัวกลับมาไม่ได้แน่ๆ”
จางลี่ถูกเหย้าแหย่จนหัวเราะออกมา ลืมว่าตนเองบาดเจ็บอยู่ จนสะกิดไปโดนบาดแผล ปวดจนขมวดคิ้วร้องโอ้ย
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบถามขึ้นว่า “เป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ลูกชายที่ยังขยับตัวมากไม่ได้เพราะทั้งตัวเต็มไปด้วยแผลก็เงยหน้ามองนาง ยื่นมือน้อยๆ ของตนออกไปจับตัวนาง ถามอย่างอ่อนโยนว่า “แม่ แม่เป็นอะไรขอรับ”
ใบหน้าจางลี่มีรอยยิ้ม ลูบหัวเขาและพูดว่า “แม่ไม่เป็นอะไร แม่แค่ถูกโยวเอ๋อร์กูกูของเจ้าแหย่จนหัวเราะน่ะ แล้วสะกิดไปโดนแผล”
สีหน้าของเสี่ยวเอ๋อร์ผ่อนคลายลง แล้วจึงปรากฏรอยยิ้มไร้เดียงสาขึ้น
เมื่อเห็นรอยยิ้มของแม่ลูกที่คล้ายคลึงกัน เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก คิดอยู่ชั่วครู่ พูดว่า “ลี่เอ๋อร์ เมื่อกี้ข้าไปตัวอำเภอมา”
จางลี่ชะงัก หันหน้าไปมองนาง สีหน้าแสดงทั้งความกลัวและความคาดหวัง ปากกระตุกสองสามครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง จูหลาน ท่านลุง ท่านป้าจูไม่เป็นอะไร”
จางลี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองนางอย่างไม่สบายใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากให้นางจดจำคุณงามความดีนี้ไว้ พูดว่า “อี้เซวียนก็มาเพราะเรื่องนี้ ข้าราชการสารเลวนั่นและเฉียวหมิ่นถูกจับตัวแล้ว บ้านตระกูลเฉียวก็ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด”
จางลี่ตกใจเบิ่งตาโต
เมิ่งเชี่ยนโยวมองนาง สีหน้ายิ้มแย้ม “เพราะฉะนั้น ต่อไปก็จะไม่มีคนทำร้ายพวกเจ้าแล้ว”
“แล้วเฉียวหมิ่นล่ะ จะถูกโทษประหารไหม” หลังจากตกใจ จางลี่ก็ถามขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวปิดบังการลงโทษที่ตัวเองจะลงมือกับเฉียวหมิ่น หัวเราะและพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ เฉียวหมิ่นและข้าราชการสารเลวนั่นเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด น่าจะถูกจับขังในเมืองหลวง รอรับโทษอยู่กระมัง เจ้าวางใจเถอะ ถึงแม้นางไม่ถูกประหาร ก็ถูกโทษจำคุกตลอดชีวิต ทั้งชีวิตนี้จะไม่ปรากฎต่อหน้าพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ”
จางลี่เป็นคนเมตตา แม้เฉียวหมิ่นจะกระทำมิดีต่อตนและเสี่ยวเอ๋อร์ แต่เมื่อคิดถึงความรักเดียวใจเดียวของนางที่มีต่อจูหลานมาหลายปี แต่กลับไม่ได้จูหลาน จึงลงมือทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกสงสารนางจับใจ
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไร หุบยิ้ม ทำหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “ลี่เอ๋อร์ คนเรามีจิตใจเมตตาเป็นเรื่องดี แต่หากเมตตาเกินไป คือความโง่เขลานะ คนอย่างเฉียวหมิ่นไม่มีค่าให้สงสาร และห้ามสงสารด้วย”
จางลี่พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ได้ยินว่าคนในบ้านไม่เป็นอะไร จางลี่ก็วางใจ พูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวครู่หนึ่ง ความง่วงก็จู่โจม จึงกอดเสี่ยวเอ๋อร์ไว้และผล็อยหลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ในห้อง เฝ้าแม่ลูกสองคน
ผู้คนรุมล้อมหวงฝู่อี้เซวียนจนเข้าไปในบ้าน พูดคุยกับเขาอย่างเป็นมารยาทแล้วจึงบอกลาลุกจากไป
เมื่อบ้านเงียบลงแล้ว เมิ่งซื่อจึงถามเรื่องที่เมืองหลวง
หวงฝู่อี้เซวียนเล่าให้ฟังคร่าวๆ ปิดบังความจริงที่เขากลับมา พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกคิดถึงพวกท่านมาก กว่าจะได้วิชามา ลูกรีบกลับมาจากเมืองหลวงภายในวันเดียว รู้สึกเหนื่อยล้ามากเลย ขอท่านช่วยหาห้องสงบให้ลูกพักผ่อนหน่อยได้ไหมขอรับ”
รถม้าที่บ้านไปเมืองหลงอยู่บ่อยๆ เมิ่งซื่อรู้ว่าไปครั้งหนึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวันสองคืน เมื่อได้ยินอี้เซวียนพูดเช่นนั้น ก็สงสารจับใจ รีบพูดทันทีว่า “ได้สิ ได้ แม่จะไปเก็บกวาดห้องให้เลยนะ ลูกรอสักครู่นะ”
“ขอบคุณขอรับ ท่านแม่” อี้เซวียนกล่าวขอบคุณและยิ้มให้
เมิ่งซื่อเดินออกไป เรียกซุนเชี่ยนไปเรือนของเมิ่งเสียวเถี่ย
จริงๆ แล้วเมิ่งเสียวเถี่ยและเมิ่งชิงอยู่ที่นี่ แต่เพราะว่าเทศกาลปีใหม่ เขาย้ายไปอยู่บ้านเก่า อาศัยบ้านเดียวกับเมิ่งจงจวี่สามีภรรยา บ้านเขาตอนนี้จึงไม่มีคนอยู่ชั่วคราว
เมิ่งซื่อเปิดประตู เดินไปที่บ้านฝั่งตะวันตกทันที เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อย จึงเดินกลับไปลานบ้านข้างหน้า อุ้มผ้าห่มหนาๆ สองสามผืนวางลงบนเตียง และยังนำกะละมังใส่ถ่านสองสามใบวางไว้ในห้อง แล้วจึงกลับไปที่ห้องของตน พูดอย่างสงสารกับอี้เซวียนว่า “แม่ทำความสะอาดให้เสร็จแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ รอมื้อเย็นแม่จะเรียกลูกนะ”
อี้เซวียนยิ้มและขอบคุณอีกครั้ง เดินไปที่ห้องเพียงลำพัง เขาเหนื่อยจริงๆ กับการกลับบ้านอย่างเร่งรีบครั้งนี้ ถอดเสื้อนอกออก เอนตัวลงนอนบนผ้าห่มนุ่มหนา ใจจริงอยากจะหลับตางีบสักครู่ แต่ในหัวคิดถึงแต่สิ่งที่เฉียวหมิ่นพูด “นางเคยเห็นร่างเปลือยของจูหลาน! นางเคยเห็นร่างเปลือยของจูหลาน!”
พลันลืมตาขึ้น พึมพำอย่างโหดเ**้ยมว่า “รอดูว่าคืนนี้ข้าจะจัดการเจ้ายังไง”
ตอนที่ 186 หึงหวง
เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังนั่งหลับตาเอนกายพักผ่อนอย่างสบายใจอยู่บนเก้าอี้ พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา ตกใจลืมตาขึ้น ชะงักงันไปชั่วครู่ ยื่นมือไปแตะหน้าผากตัวเอง ก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร จึงพึมพำเสียงเบาว่า “ไม่ได้ป่วยนี่ ทำไมอยู่ๆ รู้สึกหนาววูบขึ้นมาล่ะ”
เมื่อชิงหลวนและจูหลีที่เฝ้าอยู่ข้างๆ เห็นท่าทางของนาง จึงถามเสียงเบาด้วยความห่วงใยว่า “นายหญิง ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “เปล่า แค่อยู่ๆ ก็รู้สึกหนาวน่ะ”
หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนพึมพำด้วยความโมโหเสร็จ ความคุกรุ่นในใจก็ได้ระบายออกไป จึงหลับตาลงอีกครั้ง ผ่อนคลายตัวลง แล้วก็ผล็อยหลับไป
เมิ่งซื่อรู้สึกสงสารอี้เซวียน เห็นว่าใช้เวลาเดินทางกลับมาบ้านแค่เพียงวันเดียว ไม่เพียงจะไม่ได้พักผ่อน ก็คงไม่ได้กินอิ่มด้วย เมื่อฟ้ามืดลง นางก็เดินไปห้องครัว เริ่มทำอาหาร ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา
ซุนเชี่ยนเข้าใจความรู้สึกของเมิ่งซื่อ จึงตามไปช่วยนาง
แม่ยายและสะใภ้ทั้งสองวุ่นอยู่ในครัว จนทำอาหารเสร็จ เมิ่งซื่อจึงสั่งให้เมิ่งเสียนไปเรียกอี้เซวียนมาทานข้าว และให้ซุนเชี่ยนไปเฝ้าแทนเมิ่งเชี่ยนโยว
ในระหว่างนั้น จางลี่แม่ลูกก็ตื่นมาอีกครั้งหนึ่ง ทานยาดื่มซุปโสมแล้วจึงหลับไปอีก
หลังจากที่ซุนเชี่ยนมา นางก็ให้เมิ่งเชี่ยนโยวกลับบ้านไปทานข้าว ตัวนางเองมาเฝ้าจางลี่แม่ลูกคู่นี้แทน
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนาง สั่งชิงหลวงและจูหลี “พวกเจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ ข้าทานข้าวแล้วจะมาช่วยดูแทนต่อ”
ทั้งสองขานรับ เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนกลับไปพร้อมกัน
อี้เซวียนถูกเมิ่งเสียนปลุกให้ตื่น เมื่อล้างหน้าเสร็จก็เดินไปห้องครัวทานข้าว
ในนี้ไม่มีคนนอกอยู่ บ้านตระกูลเมิ่งก็ไม่เห็นว่าเขาเป็นคนนอก ทุกคนต่างนั่งลงตามอัธยาศัยเหมือนอย่างตอนที่เขาเคยอยู่ที่นี่ เพื่อรอเขามาทานข้าว
มีเพียงเด็กน้อยเมิ่งจาวที่ไม่เคยเจอเขา เด็กน้อยจ้องมองเขาด้วยความสงสัยตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในครัว
อี้เซวียนเห็นอายุของเขา เดาว่าเป็นลูกชายของเมิ่งเสียน จึงโบกมือทักทาย “เส้าเอ๋อร์ มาหาลุงสิ”
เส้าเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าหาอย่างไม่ลังเล
อี้เซวียนถอดหยกที่อยู่ข้างเอวออก ยื่นให้เขา “ลุงรีบมาไปหน่อย ไม่ได้เตรียมของขวัญให้เจ้า ถือซะว่าข้าให้หยกนี้กับเจ้านะ”
เส้าเอ๋อร์หันไปมองเมิ่งเสียน
เมิ่งเสียนรีบห้าม “ปีก่อนๆ เจ้าฝากของขวัญกับโยวเอ๋อร์มาให้เขาเยอะพอแล้ว หยกก้อนนี้หลานรับไว้ไม่ได้หรอก”
ซุนเชี่ยนก็รีบเข้ามาห้าม
“พี่ใหญ่ ซ้อใหญ่” อี้เซวียนยิ้มและพูดว่า “หยกก้อนนี้ไม่มีค่าอะไรมากหรอก ให้เส้าเอ๋อร์เก็บไว้เถอะขอรับ”
เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนหวังจะปฏิเสธอีก เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ เห็นแก่ความตั้งใจของอี้เซวียนเขานะ ให้เส้าเอ๋อร์รับไว้เถอะ”
เมิ่งเสียนจึงพยักหน้า
หลังจากเส้าเอ๋อร์ยื่นมือไปรับหยกอย่างดีใจ พูดเสียงสดใสว่า “ขอบคุณท่านลุงขอรับ” ก็ถือหยกวิ่งกลับไปข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยว นางอุ้มเขาขึ้น วางลงบนเก้าอี้ข้างๆ หยิบหยกที่อยู่ในมือเขาคล้องใส่บริเวณเอวเขา ลูบหัวเขาและพูดว่า “ทานข้าวเถอะ”
ทั้งบ้านทานข้าวกันอย่างมีความสุข เมิ่งซื่อและซุนเชี่ยนรวมถึงเมิ่งเชี่ยนโยวเก็บกวาดอยู่ในห้อง ส่วนเมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียน และเมิ่งเจี๋ยก็นั่งพูดคุยกับอี้เซวียนที่เรือนหลัก
อี้เซวียนเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนอ๋องช่วงสองสามปีนี้อย่างผ่อนหนักผ่อนเบาให้พวกเขาฟัง เล่าจบ ก็ถามความเป็นอยู่ของเมิ่งเจี๋ย
ในระหว่างที่พวกเขาพูด เมิ่งเจี๋ยได้แต่นั่งนิ่งมองเขา ไม่ได้พูดอะไร จนในที่สุดอี้เซวียนถามถึงเขา จึงเผยรอยยิ้ม พูดขึ้นว่า “ปีหน้าท่านอาจารย์ให้น้องสอบถงเซิง[1]แล้วขอรับ”
เมิ่งเจี๋ยปีนี้อายุสิบเอ็ด อายุไม่ต่างจากตนในตอนนั้นมาก หากสอบถงเซิงผ่าน บ้านเมิ่งก็จะมีโอกาสสร้างชื่อเสียงอีก อี้เซวียนยิ้มและถามว่า “มั่นใจแค่ไหน”
“ท่านอาจารย์บอกว่า จากระดับความรู้ที่น้องมีตอนนี้ไม่น่าเป็นปัญหาขอรับ” เมิ่งเจี๋ยยืดอกพูดขึ้น
เมื่อเห็นท่าทางอวดดีของเขา อี้เซวียนยิ้มแล้วให้สัญญาว่า “หากเจ้าสอบถงเซิงผ่าน ข้าจะส่งเจ้าไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน”
เมิ่งเจี๋ยเบิ่งตาโต ถามอย่างดีใจแต่ก็ไม่แน่ใจว่า “จริงหรือขอรับ พี่อี้เซวียน พี่รักษาคำพูดใช่ไหมขอรับ หากน้องสอบถงเซิงผ่าน พี่จะให้น้องไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนจริงๆ ใช่ไหม”
พยักหน้า ยิ้มและสัญญา “พี่อี้เซวียนรักษาคำพูด หากเจ้าสอบถงเซิงผ่าน จะส่งไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน”
เพราะว่ายังเป็นเด็ก จึงดีใจจนอดไม่ได้ที่จะกระโดดโลดเต้น “พ่อ พี่ใหญ่ พวกท่านได้ยินแล้วใช่ไหม พี่อี้เซวียนตกลงจะส่งลูกไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน”
กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นสถาบันแบบไหน ท่านอาจารย์ที่สอนไม่เพียงแต่จะมีความรู้กว้างขวาง ศิลปะทั้งสี่แขนง [2] กำลังวังชาอย่างกังฟู ขี่ม้า ยิงธนู ทุกอย่างของที่นี่มีอาจารย์สอนเฉพาะทางหมด นั่นเป็นสถานที่ที่ผู้มีเชื้อพระราชวงศ์เท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็ดีใจมาก อี้เซวียนกลับยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “พี่หมายถึงหลังจากเจ้าสอบผ่านถงเซิงแล้วนะ หากไม่ผ่าน ก็ไม่มีโอกาสนี้นะ”
เมิ่งเจี๋ยรีบพยักหน้า “พี่อี้เซวียนวางใจเถอะขอรับ น้องสอบผ่านแน่นอน”
เมิ่งซื่อและซุนเชี่ยนเก็บกวาดห้องครัวเสร็จแล้ว เดินออกมา ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากในบ้าน ทั้งสามจึงรีบเดินเข้าไป ยิ้มแล้วถามว่า “พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่เหรอ สนุกสนานจริงเชียว”
เมิ่งเจี๋ยบอกเรื่องที่อี้เซวียนสัญญาไว้ให้พวกเขาฟังอย่างดีอกดีใจ
แม้ไม่รู้ว่ากั๋วจื่อเจี้ยนดีมากเพียงใด แต่เห็นทุกคนดีใจแบบนี้ เมิ่งซื่อก็ดีใจตามด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวมองอี้เซวียนแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
อี้เซวียนเหมือนจะรู้ว่านางกำลังคิดอะไร พูดขึ้นว่า “วางใจเถอะ ข้ามีคนช่วย ไม่มีใครกล้ารังแกเขาหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเรื่อง พูดเชิงใบ้ว่า “ข้าจะไปที่เรือนพี่รองดูแลลี่เอ๋อร์สองแม่ลูก เจ้าจะไปหาพี่รองและซ้อรองหน่อยไหม”
ผ่านวันชิวอิกไปแล้ว เมิ่งฉีรับหวังเยียนและเซิ่งเอ๋อร์กลับมาแล้ว ไม่อยู่ที่นี่
อี้เซวียนรู้ว่านางกำลังบอกใบ้ หยักหน้า ลุกขึ้นพูดว่า “วันนี้คนเยอะ ไม่ได้คุยกับพี่รองเลย ข้าไปพร้อมเจ้าแล้วกัน จะได้เจอซ้อรองกับลูกนางด้วย”
เมื่อตอนที่อี้เซวียนจากไป เมิ่งฉียังไม่ได้แต่งงาน เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ก็ไม่มีใครเอะใจอะไร
ทั้งสองเดินออกไป
ฟ้ามืดมน ไม่มีแม้แต่แสงและเงาคน เมื่อออกจากบ้าน อี้เซวียนก็จูงมือเมิ่งเชี่ยนโยว โอบนางเดินเข้าไปในความมืด พูดเสียงเบาข้างหูนางว่า “ท่านแม่จัดแจงให้ข้านอนห้องฝั่งตะวันตกของท่านลุงคนที่สี่ เจ้าค่อยตามมาตอนดึกแล้วกัน”
เมื่อได้ยินเขาพูดจาคลุมเครือด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้อนผ่าว ใช้ศอกกระทุ้งเบาๆ ไปที่ตัวเขา ตอบเสียงเบาว่า “รู้แล้ว”
อี้เซวียนอดใจไม่ไหวก้มลงหอมแก้มนาง แล้วจึงปล่อยนาง เดินจูงมือกันจนถึงบ้านเมิ่งฉี
บ่าวหญิง คนใช้ในเรือนเห็นทั้งสองคนเดินจูงมือกันมา ต่างก้มหน้าหน้าแดงพร้อมคารวะ
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงหน้าบางเกินไป คิดจะสลัดมือออก แต่อี้เซวียนเหมือนรู้ความคิดนาง จับมือนางแน่น นางจะสลัดอย่างไรก็สลัดไม่ออก เชี่ยนโยวหันขวับไปมองเขา ใช้สายตาบอกเขาว่าเจียมตัวหน่อย
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มให้นางอย่างเย้าแหย่ ยังคงไม่ปล่อยมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวเลี่ยงไม่ได้ จึงเดินจูงมือเขาเข้าไปเรือนของเมิ่งฉี
อาการบาดเจ็บของจางลี่สองแม่ลูกดีขึ้น เมิ่งฉีก็ไม่ต้องคอยกังวลอยู่วันยันค่ำ ตอนนี้กำลังกอดและหยอกเล่นกับเซิ่งเอ๋อร์อยู่
ทั้งสองเข้ามาถึงตัวเรือน เมื่อบ่าวหญิงที่เฝ้าอยู่ตรงประตูเห็นท่าทางที่สง่าผ่าเผย ท่าทีสูงส่งของหวังฝู่อี้เซวียนแล้ว ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง รายงานอย่างรนรานว่า “คุณชาย คุณหญิง มีแขกผู้มีเกียรติมา!”
เมิ่งฉีและหวังเยียนที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงบ่าวหญิงรายงานอย่างรนรานก็ชะงักไปครู่หนึ่ง สบตากัน รีบออกไปต้อนรับแขก
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเดินถึงประตู เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “พี่รอง ซ้อรอง ข้ากับอี้เซวียนเอง แขกผู้มีเกียรติอะไรที่ไหนเล่า”
เมื่อนางพูดจบ สามีภรรยาเมิ่งฉีเดินถึงหน้าประตูแล้ว เมิ่งฉียังดี แต่หวังเยียนเพิ่งเคยเจออี้เซวียนครั้งแรก เมื่อเห็นรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเขา ก็ตะลึงงัน แล้วรีบทักทายอย่างคนสนิทว่า “น้องเล็กกับอี้เซวียนเองเหรอ ข้างนอกหนาว รับเข้ามานั่งข้างในเถอะ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเป็นธรรมชาติและเป็นกันเอง อี้เซวียนเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหลบสายตา ขานเรียกอย่างมีมารยาทว่า “พี่รอง ซ้อรอง”
เมิ่งฉีพยักหน้า “เข้าไปข้างในเถอะ”
อี้เซวียนปล่อยมือเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในบ้าน
เมิ่งฉีและหวังเยียนเดินตามเข้าไป ยิ้มพลางบอกให้ทั้งสองนั่งลง สั่งบ่าวหญิงยกน้ำชามา
อี้เซวียนยิ้มและพูดขึ้นว่า “วันนี้คนในบ้านเยอะเกินไป ไม่มีเวลาคุยกับพี่รองเลย หลังจากทานมื้อเย็นแล้ว ไม่มีอะไรทำ ข้าจึงมานี่กับโยวเอ๋อร์ หวังว่าจะไม่ได้รบกวนพี่รองกับซ้อรองนะขอรับ”
หวังเยียนยิ้มเอ่ยปากว่า “เราเพิ่งทานมื้อเย็นไป กำลังหยอกเล่นกับเซิ่งเอ๋อร์อยู่เลย รบกวนที่ไหนกัน แต่เจ้านี่สิ ได้ยินพี่รองบอกว่าเจ้าเดินทางหามรุ่งหามค่ำเพื่อกลับบ้านมา คงเหนื่อยแย่เลย พวกเราก็คิดว่าเจ้าจะไปพักผ่อนแล้ว ก็เลยไม่ได้ไปรบกวนเจ้า”
“เมื่อบ่ายท่านแม่เก็บกวาดห้องให้ ได้พักผ่อนไปครู่หนึ่งแล้ว ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยขนาดนั้นแล้วขอรับ” อี้เซวียนอธิบายพลางยิ้ม
หวังเยียนพยักหน้า
แล้วทั้งหมดก็คุยกันต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่ไปเสี้ยนเฉิงมาวันนี้ให้เมิ่งฉีและหวังเยียนฟัง พูดว่า “เพราะเรื่องนี้อี้เซวียนจึงรีบกลับมาน่ะ”
เมื่อทั้งสองฟังจบ หวังเยียนก็พูดขึ้นว่า “ทำชั่วย่อมได้รับชั่ว บ้านตระกูลเฉียวไร้ซึ่งความเมตตา ตอบแทนความดีด้วยความแค้น มีจุดจบเช่นนี้ก็สมควรแล้วล่ะ”
เมิ่งฉีก็พยักหน้าเห็นด้วย “บ้านตระกูลเฉียวหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ ไม่มีค่าให้เห็นใจแม้แต่น้อย แล้วก็คนเบื้องหลังก็ไม่ควรปล่อยไปเช่นกัน มีหนึ่งก็มีสอง ครั้งนี้เขาวางแผนทำร้ายบ้านเรา ครั้งหน้าก็จะใช้วิธีโหดเ**้ยมกว่าเดิมอีก”
คนเบื้องหลังคือใคร อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยว และเมิ่งฉีต่างรู้ดีแก่ใจ
อี้เซวียนพยักหน้า พูดว่า “ข้ารู้ขอรับ ข้าสั่งคนให้ไปสอบสวนหวังเต๋อเซิ่งแล้ว เชื่อว่าจะได้หลักฐานเร็วๆ นี้ ถึงตอนนั้นข้าจะรายงานฮ่องเต้ ครั้งนี้จะต้องตรวจสอบให้รู้แล้วรู้รอดเลยขอรับ”
เมิ่งฉีไม่ค่อยรู้เรื่องในวัง จึงไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับทั้งสองคนว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่ตนเอง พูดว่า “อี้เซวียนบอกว่าเขาคิดถึงบ้าน จึงกลับมาหา พี่รองและซ้อรองอย่าหลุดปากเชียวล่ะ”
เมิ่งฉีและหวังเยียนตอบตกลง
เมื่อสามารถกำจัดบ้านตระกูลเฉียว หวังเต๋อเซิ่งก็ถูกจับ อันตรายของบ้านตะกูลเมิ่งก็ถูกขจัดไปแล้ว เมิ่งฉีและหวังเยียนค่อยมีอารมณ์คุยเล่นหน่อย ทั้งสี่คนหัวเราะกันครู่หนึ่ง อี้เซวียนลุกขึ้นขอลา
คิดได้ว่าเขาคงเหนื่อยแล้ว เมิ่งฉีก็ไม่ได้รั้งไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นว่า “พี่รอง ข้าต้องอยู่ดูแลลี่เอ๋อร์สองแม่ลูก พี่ไปส่งอี้เซวียนกลับบ้านเถอะ”
เมิ่งฉีพยักหน้า ส่งอี้เซวียนกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวไปถึงห้องของจางลี่สองแม่ลูก ทั้งสองคนยังหลับสนิทอยู่ ชิงหลวนและจูหลีรายงานอาการให้นางฟังด้วยเสียงเบา
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง
อี้เซวียนกลับไปถึงบ้าน ทักทายทุกคนสักพัก ก็ไปเรือนที่เมิ่งซื่อจัดแจงไว้ให้ ไม่ได้จุดไฟ ถอดเสื้อนอกออกในความมืด ลืมตามองไปนอกหน้าต่าง เฝ้ารอเมิ่งเชี่ยนโยวมาอย่างเงียบๆ
คนในชนบทเข้านอนกันเร็ว หลังจากที่เมิ่งฉีส่งอี้เซวียนแล้ว ก็ไปเรือนพักฟื้นของจางลี่สองแม่ลูก ถามไถ่เมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อไม่มีธุระอันใดแล้ว ก็กำชับบ่าวหญิงที่เฝ้าหน้าประตูให้ตื่นตัว แล้วจึงกลับห้องไปพักผ่อน
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ในห้องไปชั่วโมงยาม คิดว่าคนในบ้านน่าจะเข้านอนกันหมดแล้ว จึงลุกขึ้น เดินไปหน้าประตู พูดกับบ่าวหญิงที่เฝ้าหน้าประตูว่า “ลี่เอ๋อร์สองแม่ลูกไม่เป็นอะไรแล้ว วันนี้อากาศหนาวเย็น พวกเจ้าก็เฝ้ามาหลายวันแล้ว คืนนี้กลับไปนอนพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเช้าหน่อย”
บ่าวหญิงที่เฝ้าหน้าประตูดีใจ กล่าวขอบคุณ แล้วเดินจ้ำอ้าวไปพักผ่อนที่ห้องตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลัง พูดเสียงเบากับชิงหลวนและจูหลีว่า “คืนนี้ข้าต้องไปอยู่กับอี้เซวียน ฝากพวกเจ้าสองคนดูแลลี่เอ๋อร์สองแม่ลูกด้วยนะ จำไว้เชียวว่าห้ามบอกใคร ถ้าพรุ่งนี้เช้ามีคนถามถึง ก็บอกไปว่าข้าไปฝึกวิชาแล้ว”
เมื่อครั้นอยู่ในเมืองหลวง ทั้งสองคนเคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันแล้ว ชิงหลวนกับจูหลีจึงไม่รู้สึกแปลกอะไร แล้วพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป กลับเข้าบ้าน แต่ไม่กล้าเดินทางประตูใหญ่ นางเดินเข้าทางด้านหลังของเรือน แล้วเดินไปถึงเรือนของอี้เซวียนในความมืด
อี้เซวียนคอยฟังเสียงข้างนอกตลอด เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ก็รู้ว่านางมาแล้ว ลุกจากเตียงไปเปิดประตู
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไป ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกเขาอุ้มขึ้นไปวางบนเตียง และประกบริมฝีปากลงไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นแขนไปโอบคอเขาไว้ พยายามผ่อนรับผ่อนสู้กับเขา แต่ไม่รู้หวงฝู่อี้เซวียนเป็นอะไร จูบอย่างกระหาย จนทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวหายใจไม่ทัน เริ่มใช้มือทุบตีหลังเขา
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ปล่อย แต่กลับยิ่งจูบอย่างดูดดื่ม จนเมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าตนกำลังจะขาดอากาศหายใจตาย หวงฝู่อี้เซวียนจึงปล่อยนาง หายใจหอบ ถามด้วยเสียงถมึงทึงว่า “เจ้าเห็นร่างเปลือยเปล่าของจูหลานแล้วรึ”
[1] ถงเซิง การสอบระดับเด็ก จัดสอบเป็นประจำทุกปี รับสมัครผู้เข้าสอบตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น โดยเป็นการสอบในท้องถิ่น และมีการแบ่งระดับชั้นของถงเซิงเป็น 3 ระดับ
[2] ศิลปะทั้ง 4 แขนง ได้แก่ การเล่นขิม การเล่นหมากรุก การเขียนพู่กันจีน การวาดภาพ
ตอนที่ 187-1 ทำตัวประหนึ่งเป็นโจร
ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่าทำไมวันนี้เขาถึงผิดแปลกไป จึงหอบหายใจสองสามครั้ง ยิ้มพลางอธิบายอย่างไม่แยแสว่า “ตอนนั้นเหตุการณ์มันฉุกละหุก จูหลานถูกข่มขู่ ข้าไม่มีทางเลือกจึงต้องทำเช่นนั้น อีกอย่าง หลังจากที่ข้าเข้าไปแล้ว คุณชายเซี่ยและคุณชายอันก็ยืนขวางข้างหน้า สองนายนั้นร่างสูงใหญ่ ข้ามองไม่เห็นอะไรหรอก”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เชื่อ ปอกลอกนาง “เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนไม่รู้วิชา หากพวกเขาขวางอยู่ข้างหน้าเจ้า แล้วเจ้าจับเฉียวหมิ่นได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวกระพริบตาปริบ ไม่ได้พูดอะไร
สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนมืดครึ้ม มืดกว่าความมืดในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมา รีบอธิบายว่า “ตอนนั้นข้าสนแค่ช่วยคน ไม่ได้สนใจอย่างอื่นเลยจริงๆ อีกอย่างนะ ทั้งตัวจูหลานมีแต่ร่องรอยบาดแผล ไม่มีอะไรน่ามองเลย”
ท่าทางและประโยคแรกของนางทำให้สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาเป็นปกติเล็กน้อย แต่เมื่อถึงประโยคหลัง ไม่เพียงสีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนเท่านั้น แม้แต่นัยน์ตาก็ปรากฏแววดุร้าย
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็รู้สึกว่าประโยคหลังที่ตนพูดนั้นฆ่าตัวตายชัดๆ จึงรีบคว้าเสื้อเขาไว้ จนหน้าเขาประชิดกับตนมากขึ้น เพื่อให้เขาเห็นนัยน์ตาที่สัตย์ซื่อของตนได้ชัดเจน แล้วจึงยกมือขึ้นสาบานว่า “ข้าสาบาน ข้าพูดจริงทุกประการ ข้ามิได้ตั้งใจดูจูหลานจริงๆ…” ยังพูดไม่ทันจบ หวงฝู่อี้เซวียนพลันลุกขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งโหยง พูดเสียงสูงว่า “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร ยื่นมือไปที่กระดุมเสื้อของตน
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ รีบลงมาจากเตียงอย่างรวดเร็ว กดมือเขาไว้ เบิ่งตาโต ถามว่า “เจ้าจะทำอะไรกันแน่”
“เจ้าว่าล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนถามกลับด้วยเสียงหอบหนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดไปไกล คิดว่าเขาจะทำอะไรนาง จึงห้ามเขา “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าเคยบอกไม่ใช่หรือว่าก่อนแต่งจะไม่ทำอะไรเกินเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดขยับ จ้องนางครู่หนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มที่ทั้งน่าเอ็นดูแต่ก็ประหลาดใจในคราเดียวกัน เขยิบเข้าไปใกล้นาง ลมหายใจร้อนผ่าวคลอเคลียไปทั่วใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดด้วยน้ำเสียงเย้ายวนว่า “ที่แท้โยวเอ๋อร์อดใจไม่ไหวแล้วหรือ คืนนี้ข้าจะทำให้ความฝันของเจ้าเป็นจริงเองดีไหม”
จริงๆ แล้วในบรรยากาศเช่นนี้ ควรสร้างความหวานฉ่ำลึกซึ้ง แต่เมื่อบริบทคือสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวเสียวสันหลังวาบ เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกขี้ขลาด จนเขยิบตัวไปแนบหลังเตียง พูดตะกุกตะกักว่า “เจ้า เจ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ที่นี่คือบ้านข้านะ ถ้าท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รองรู้เรื่องเข้า เจ้าจะถูกเฆี่ยนสามวันสามคืนจนเดินไม่ได้นะ”
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นตัวใกล้เข้าไปอีก ถามว่า “ถ้าข้าบอกว่าเจ้าเห็นร่างเปลือยของจูหลานแล้ว เจ้าว่าพวกเขาจะคิดเช่นไรนะ”
ก็จะทำเอาพวกเขาโกรธจนป่วยลงจากเตียงไม่ได้น่ะสิ แน่นอนว่าเมิ่งเชี่ยนโยวคิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมา นางผู้มีคู่หมั้นหมายแล้ว แต่กลับเห็นร่างเปลือยของชายอื่น หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป อย่าว่าแต่คนในบ้านตนเลย แม้แต่คนในหมู่บ้านก็จะมองนางด้วยสายตาไม่ดี อีกทั้งจางลี่ก็ยังพักฟื้นอยู่บ้านตน หากนางได้ยินเรื่องนี้ นางคง… เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าคิดต่อ ปริปากพูดอย่างยอมแพ้ว่า “เจ้าจะเอายังไง”
เมื่อเห็นนางทำตัวเหมือนหญิงผู้กระทำผิด ลึกๆ ในใจหวงฝู่อี้เซวียนพลันเกิดความร้อนรุ่มขึ้นมา แต่เขาอดกลั้นความบุ่มบ่ามในใจไว้ แสร้งทำหน้านิ่ง ชูสองนิ้วขึ้น พูดอย่างเย็นชาว่า “มีสองทางเลือก หนึ่งคือ เจ้ามองข้า สอง เจ้าให้ข้าทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจข้า เจ้าเลือกข้อไหน”
“มีข้อสามไหม” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงอ่อน
หวงฝู่อี้เซวียนเกือบหัวเราะพุ่งออกมา เม้มปากไม่กล้าพูดอะไร แล้วส่ายหน้า
“แล้วคือเจ้าจะไม่ใส่เสื้อสักตัวเลยหรือ” นางถามเสียงอ่อนอีกครั้ง
“เจ้าว่าล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามต่อรอง “เหลือกางเกงชั้นในไว้สักตัวได้ไหม”
“จูหลานใส่หรือ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหึง
เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่ง ไม่กล้าพูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ ลุกขึ้น ค่อยๆ ปลดกระดุมออกอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นเรือนร่างอันน่าหลงใหลของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนน้ำลายไปสองสามอึก มองด้วยความละโมบอยู่นาน แล้วจึงถามขึ้นเสียงเบาว่า “เจ้าไม่หนาวหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่คิดว่านางจะถามประโยคนี้ขึ้นมา พลันโผล่งหัวเราะจนน้ำตาเล็ด เอนตัวลงไปใกล้นาง เพื่อให้นางเห็นเรือนร่างตนชัดเจนยิ่งขึ้น ถามว่า “ของข้าหรือว่าของเขาดีกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนถูกสะกดด้วยความพิศวาส ในหัวพลันขาวโพลน เมื่อได้ยินเขาถาม ก็เงยหน้าขึ้นถามอย่างว่างเปล่าว่า “อะ อะไรนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้ามองนาง เห็นท่าทางเขินอายของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจก็อ่อนระทวย เรียกเสียงนุ่มนวล “โยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับเบาๆ น้ำเสียงอย่างคนหมดหนทางและไม่สบายใจ
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหน้าลง พูดเสียงเบาข้างหูนางว่า “ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
ร่างที่แข็งเกร็งของเมิ่งเชี่ยนโยวค่อยผ่อนคลาย ตอบเบาๆ “อืม”
ข้างในหวงฝู่อี้เซวียนร้อนรุ่ม พูดสาบานเสียงต่ำข้างหูนางว่า “โยวเอ๋อร์ ชาตินี้เจ้าอย่าคิดจากข้าไปแม้เพียงครึ่งก้าว”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
หวงฝู่อี้เซวียนลูบหัวนาง น้ำเสียงอ่อนโยนแต่ก็แผงไปด้วยความดุร้าย “พักผ่อนเถอะ ครั้งนี้ปล่อยเจ้าไปก่อน ถ้ามีครั้งหน้าอีก เจ้ารู้แล้วนะว่าจะเป็นอย่างไร”
ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว จะมีครั้งต่อไปอีกได้อย่างไร เมิ่งเชี่ยนโยวพึมพำเสียงเบาในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา หลับตาลงอย่างว่าง่าย ตอนแรกคิดว่าตนจะนอนไม่หลับ แต่ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งก็ผล็อยหลับไป
เมื่อเห็นนางหลับไป หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกได้ว่าความร้อนรุ่มในกายของตนยังไม่ลดลง ได้แต่ยิ้มแห้งๆ จริงๆ แล้วจะลงโทษนาง แต่สุดท้ายกลับโดนตัวเอง เขาหายใจเข้าออกลึกๆ อย่างช่วยไม่ได้ จนผ่านไปสิบห้านาที ความร้อนรุ่มจึงทุเลาลงบ้าง เขาตะแคงข้าง มองนางยามหลับใหลอย่างรักใคร่เอ็นดู ยื่นมือไปพร้อมผ้าห่มและกอดนางไว้ เขาโอบและหลับไปพร้อมนางอย่างอิ่มเอมใจ
ทั้งสองหลับสบายมาก เมื่อลืมตาขึ้นแสงอาทิตย์ก็ส่องสว่างมากแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบลุกขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือขวางนางไว้ “ไม่ต้องรีบหรอก ท่านพ่อท่านแม่รู้ว่าข้าเหนื่อย ไม่มาเรียกข้าเช้าแบบนี้แน่ๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ แต่ก็ยังพยายามลุกขึ้นจากเตียง พูดว่า “ก็ไม่ได้อยู่ดี ยามนี้ทุกคนในบ้านตื่นกันหมดแล้ว หากเห็นว่าข้าเดินออกมาจากเรือนเจ้า ก็จะคิดกันไปไกลอยู่ดี”
เหมือนว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว พูดว่า “ทหารองครักษ์และเหวินเปียวต่างรู้ความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้า พวกเขาไม่กล้าเปิดเผยหรอก หากท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่เห็น เจ้าก็แค่บอกว่าเจ้าตื่นเช้ามาฝึกวิชาเสร็จก็มาที่เรือนข้า ไม่มีใครสงสัยหรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวคิดแล้วก็ว่าตามนั้น จึงมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มต่อ
หวงฝู่อี้เซวียนโอบนาง ให้นางมองมาที่เขา พูดขึ้นว่า “ข้าจะอยู่บ้านอีกสองสามวัน ถึงตอนนั้นเจ้ากลับไปกับข้าเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบตกลง “ไปเมืองหลวงครั้งนี้ ยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ ข้ายังไม่อยากรีบกลับไป อย่างน้อยต้องรอให้ผ่านวันจับโหงวไปก่อน หากเจ้าไม่มีเวลา อยู่ก่อนสองสามวันแล้วกลับไปก่อนเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนคิดอยู่ครู่นึงแล้วพูดขึ้นว่า “หากหลงเว่ยจัดการทุกอย่างเรียบร้อย วันนี้ก็จะได้รับคำสารภาพผิดจากหวังเต๋อเซิ่ง หากกลับไปเร็วหน่อย ก็จะได้นำหลักฐานรายงานต่อฮ่องเต้เร็วหน่อย หากปล่อยให้ผ่านไปนาน ข้ากลัวว่าเวลายิ่งยืดเยื้อ อุปสรรคจะยิ่งมีมาก จะเป็นการเสียประโยชน์กับเราต่อเรื่องเฮ่อจางเสียเปล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้เจ้าอยู่อีกคืน พรุ่งนี้เริ่มออกเดินทางกลับไปเถอะ หากกำลังคนไม่พอ ทหารองครักษ์บางส่วนโยกไปให้เจ้าก็ได้ ต่อไปก็ให้พวกเขาประจำที่เมืองหลวงไปเลย ไม่ต้องกลับมาแล้ว”
“ไม่ต้องหรอก หลงเว่ยของฮ่องเต้หนึ่งสู้ร้อยได้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร ให้ทหารองครักษ์อยู่กับเจ้าเถอะ ส่วนรั่วหลานที่เจ้าพูดถึง ข้าจะสั่งให้หลงเว่ยนำตัวกลับไป”
“พ่อแม่ของรั่วหลานถูกคนของหวังเต๋อเซิ่งจับตัวไป เพื่อไว้ข่มขู่นาง ข้าส่งกัวเฟยพาคนไปช่วยออกมาแล้ว วันนี้ข้าจะจัดแจงให้พวกเขาได้พบหน้ากัน จะได้ให้นางยอมไปเป็นพยานหลักฐานที่เมืองหลวงด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ได้เลย!”
ตอนที่ 187-2 ทำตัวประหนึ่งเป็นโจร
เมื่อรู้สึกว่าเริ่มสายแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นว่า “เราลุกขึ้นกันเถอะ ถ้าท่านแม่ให้พี่ใหญ่มาปลุก แล้วเห็นพวกเราอยู่ด้วยกัน เจ้าโดนต่อยแน่ๆ อย่าลืมว่าพี่ใหญ่ไม่ได้คุยง่ายเหมือนพี่รองนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนรู้จักเมิ่งเสียนดี เขาเป็นคนในกรอบ หากเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่กับเขา เดาไม่ได้เลยจริงๆ ว่าเขาจะทำอะไร จึงพยักหน้า ลุกนั่งขึ้น
เมื่อเห็นท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเขา เรื่องเมื่อคืนก็ปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง แก้มของเมิ่งเชี่ยนโยวร้อนผ่าว จึงใช้ผ้าห่มห่มหัวตัวเองไว้ พูดเสียงอู้อี้ว่า “ใส่เสื้อให้เรียบร้อย”
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่ากิริยาเมื่อครู่ของนางคือความเขินอาย ก็จงใจยื่นหน้าไปใกล้หัวนางหัวเราะเย้าแหย่ว่า “เมื่อคืนก็เห็นหมดแล้ว เพิ่งมาอายตอนนี้ ไม่สายไปหน่อยหรือ”
“ไปให้พ้นเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวตะคอก
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ ไม่แกล้งนางต่อ ลุกขึ้นและเก็บเสื้อที่อยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ทีละชิ้นสองชิ้น
เมื่อใส่เสร็จแล้ว จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าใส่เสร็จแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ แง้มผ้าห่มออกมา ปรากฏดวงตาทั้งคู่ เมื่อเห็นว่าเขาใส่เสร็จแล้วจริงๆ ค่อยโล่งใจ และพูดขึ้นว่า “เจ้าหันหลังไป ข้าจะใส่เสื้อผ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังไปอย่างว่าง่าย เมิ่งเชี่ยนโยวรีบลุกนั่งขึ้น ใส่เสื้อผ้าอย่างรีบเร่ง แล้วจึงบอกว่า “เสร็จแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับมา มองนางพลางยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากเตียง ใส่รองเท้า พับผ้าห่ม ล้างหน้าแต่งตัวเสร็จ เดินกลับไปข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน ถามขึ้นว่า “มีตรงไหนผิดปกติหรือไม่”
สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของนาง เมื่อได้ยินนางถาม จึงยิ้มแล้วพยักหน้า “ไม่มี”
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยสบายใจ เดินไปข้างประตูแล้วเปิดมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าในเรือนเงียบสงบ ไม่มีคน หันกลับไปพูดว่า “ข้าไปก่อนนะ อีกสักพักเจ้าค่อยออกมา”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มพลางพยักหน้า เมื่อเห็นนางเดินออกไปท่าทางประหนึ่งโจร ก็ส่ายหัวยิ้ม จากนั้นจึงล้างหน้าเช็ดหน้าเช็ดตาตนเองแล้วจึงเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับไปที่เรือนหน้าบ้านทันที บังเอิญตรงกับที่เมิ่งซื่อเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จเดินออกมาจากครัว เห็นนางเดินเข้ามาจากด้านหลังก็แปลกใจ ถามว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าไปดูแลลี่เอ๋อร์สองแม่ลูกแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมเดินมาจากหลังบ้านล่ะ”
สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแดงขึ้นเล็กน้อย ตอบอย่างรู้สึกผิดว่า “อ๋อ เมื่อเช้าข้าไปฝึกวิชาแล้วก็กลับมาน่ะเจ้าค่ะ เห็นแม่วุ่นๆ กับการทำกับข้าว ไม่ได้ทักทาย ก็เลยตรงไปที่เรือนหลังของอี้เซวียนเลย”
เมิ่งซื่อเชื่อนาง ถามขึ้นว่า “อี้เซวียนตื่นหรือยัง แม่กำลังจะให้พี่ใหญ่ไปเรียกอยู่เลย”
“ลูกเรียกเขาแล้ว อีกสักครู่ก็คงมาเจ้าค่ะ ลูกไม่ทานมื้อเช้าที่บ้านนะ จะกลับไปดูแลลี่เอ๋อร์สองแม่ลูกเลย”
คิดได้ว่าเมิ่งฉีคงจะเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว จึงตอบว่า “ไปเถอะ ช่วยดูแลสองแม่ลูกคู่นั้นหน่อย วันนี้วันชิวสี่ เราทั้งบ้านจะไปบ้านคุณยายเพื่อคารวะปีใหม่นะ”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ รีบเดินออกจากบ้านไป
เมื่อถึงห้องพักฟื้นของจางลี่สองแม่ลูก เมิ่งฉีก็ส่งบ่าวหญิงมาเชิญนางไปทานข้าวกับพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวตบที่หน้าอกตัวเองเบาๆ หลังจากส่งสายตาค่อยยังชั่วให้ชิงหลวนและจูหลี แล้วจึงตามบ่าวหญิงไปห้องทานข้าว
ชิงหลวนและจูหลีหัวเราะ
หลังจากทานข้าวกลับมา เปลี่ยนเป็นชิงหลวนกับจูหลีไปทาน พอดีกับที่จางลี่สองแม่ลูกตื่น หลังจากถามไถ่ไปว่ามีตรงไหนไม่สบายหรือไม่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งบ่าวหญิงให้นำข้าวต้มเข้ามา พูดขึ้นว่า “บาดแผลพวกเจ้าดีขึ้นเรื่อยๆ จากวันนี้ไป กินข้าวต้มหน่อยแล้วกันนะ”
จางลี่สองแม่ลูกเชื่อฟังคำพูดของนาง ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวป้อนแม่ลูกเสร็จ หัวเราะพูดขึ้นว่า “เพิ่งเริ่มทานครั้งแรก อย่าทานเยอะเกินเลย เดี๋ยวข้าจะสั่งบ่าวใช้อุ่นข้าวต้มไว้บนเตา เมื่อไหร่ที่รู้สึกหิว ก็จะให้ชิงหลวนและจูหลีป้อนพวกเจ้านะ วันนี้ข้าต้องไปเยี่ยมคุณยายเพื่อคารวะปีใหม่ อยู่ดูแลพวกเจ้าไม่ได้น่ะ”
“พี่เมิ่งเอ๋อร์มีธุระอันใดก็ไปทำเถอะ เราสองแม่ลูกทำเอาพี่ลำบากเยอะเลย” จางลี่พูดอย่างรู้สึกผิด
รอยยิ้มบนหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวพลันหายไป ทำหน้าเคร่งตำหนินาง “เป็นเรื่องสมควรที่ข้าต้องดูแลพวกเจ้า หากต่อไปเจ้ายังพูดเช่นนี้ พี่โยวเอ๋อร์จะโกรธจริงๆ แล้วนะ”
จางลี่ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงอ่อนโยนของเสี่ยวเอ๋อร์ดังขึ้น “โกรธแล้วจะแก่เร็วนะขอรับ แก่แล้วก็จะไม่สวย กูกูอย่าโกรธเลยขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา หยิกแก้มน้อยๆ ที่ไม่มีบาดแผลของเขา “เจ้าเด็กจอมแก่น!”
เสี่ยวเอ๋อร์ยิ้มกว้าง
ชิงหลวนและจูหลีกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้พวกเขาอยู่นี่ดูแลจางลี่สองแม่ลูก แล้วกำชับอีกครั้ง บอกว่าตอนบ่ายตนจะรีบกลับมา แล้วจึงกลับบ้านไปพร้อมเมิ่งฉี
หวังเยียนอยู่บ้านดูแลลูก ไม่ได้ตามไปด้วย
หลังจากที่บ้านทานมื้อเช้ากันแล้ว เมิ่งซื่อก็กำลังเตรียมของกลับบ้านแม่ เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา ก็สั่งให้เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีไปจูงรถม้ามา แล้วนำสิ่งของขึ้นไปวางในรถม้าก่อน
ทั้งสองขานรับ เดินไปหลังบ้านจูงรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนช่วยเมิ่งซื่อนำของออกไปข้างนอก แล้วได้ยินเสียงกีบม้าวิ่งมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนตัวตรง หรี่ตา จ้องไปที่ม้าสองตัวที่กำลังทะยานมาทางบ้านของตน จนเมื่อถึงหน้าบ้าน ทั้งสองบนหลังอานม้าถึงดึงบังเ**ยนเพื่อหยุดม้า กระโดดลง คนหนึ่งประสานมือขึ้น ถามอย่างสุภาพว่า “แม่นางเมิ่ง ซื่อจื่อล่ะขอรับ”
เมื่อเห็นเขาแต่งตัวอย่างหลงเว่ย เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นว่า “ตามข้ามา”
หลงเว่ยทิ้งบังเ**ยน เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวไปหลังเรือนหลัง
ส่วนข้าราชบริพารที่ยืนอยู่ก็ก้มลงเก็บบังเ**ยนขึ้นมา ยืนรออยู่หน้าประตูอย่างเป็นระเบียบ
เมิ่งซื่อและซุนเชี่ยนมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรเชิญข้าราชบริพารเข้าไปหรือไม่
หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนทานข้าวเช้าแล้ว ก็กลับไปที่เรือนของตน นั่งเงียบๆ บนเตียง คิดพลางว่ากลับไปแล้วจะสืบสวนเฮ่อจางอย่างไรดี
เมิ่งเชี่ยนโยวพาหลงเว่ยเข้าไปถึงเรือน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าทันที เขาไม่ได้ขยับตัว เพียงพูดขึ้นว่า “เข้ามาเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินนำเข้าไป หลงเว่ยตามติดมา เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียน ก็ประสานมือคารวะ พูดว่า “ซื่อจื่อ เกิดเรื่องแล้วขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว ถามเสียงขรึมว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“เมื่อคืนนี้ทั้งบ้านหวังเต๋อเซิ่งและบ่าวใช้ยี่สิบกว่านายตายในคุกกันหมดขอรับ”
ทันทีที่เขาพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นทันที ถามอย่างดุดันว่า “เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าหลงเว่ยกำลังทำอะไรกันอยู่”
สีหน้าหลงเว่ยก็แสดงความคลาดแคลง “ข้าน้อยรอจนกว่าอีกคนมาผลัดเวร ไม่เห็นมีใครเข้าไปในห้องขัง ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดพวกเขาถึงตายอย่างไร้สาเหตุขอรับ”
“ไป กลับเข้าตัวอำเภอ” หวงฝู่อี้เซวียนรีบพูดขึ้นทันที พูดจบก็เดินก้าวยาวออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง “ข้าไปกับพวกเจ้า เจ้าไปจูงม้า ข้าไปเรียกทหารองครักษ์สองสามนายตามไปด้วย”
เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่โต หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ปฏิเสธ เดินไปหลังบ้านจูงม้าสองตัวมา
ทหารองครักษ์สามนายได้รับคำสั่งจากเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รีบไปหลังบ้านจูงม้าออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบกลับไปเรือนหน้า บอกเมิ่งซื่อว่าหวงฝู่อี้เซวียนมีธุระด่วนต้องรีบไปตัวอำเภอ นางจะตามไปช่วยด้วย วันนี้ไม่ไปคารวะปีใหม่ที่หมู่บ้านหลี่แล้ว นางจะไปด้วยตนเองอีกทีเมื่อมีเวลาว่าง
เมื่อเห็นสีหน้าเร่งรีบของนาง เมิ่งซื่อก็รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ พยักหน้า กำชับนางว่า “เจ้ากับอี้เซวียนระวังตัวด้วยนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ เดินออกจากประตูใหญ่ไป อี้เซวียนนั่งรออยู่บนม้าแล้ว นางจึงขึ้นควบม้า สะบัดบังเ**ยน ทั้งสองก็ทะยานออกตัวมุ่งไปทางตัวอำเภอ
คนที่เหลือก็ตามหลังมาติดๆ
ในใจทั้งสองร้อนรน สะบัดบังเ**ยนเร่งให้ม้าทะยานไปข้างหน้า จนชั่วโมงยามผ่านไป ก็ถึงคุกของตัวอำเภอ
ข้าราชบริพารและผู้คุมขังเฝ้าคุกกันอย่างแน่นหนา ตัวเมืองอำเภอที่เหงื่อตกอยู่กำลังรออยู่นอกคุก เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้า รีบเดินเข้าไปรายงานว่า “ซื่อจื่อ…”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา เดินตรงเข้าไปในคุกทันที เมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังไป หวงเว่ยและทหารองครักษ์ก็เดินตามเข้าไป
เหงื่อบนใบหน้าตัวเมืองอำเภอผุดออกมา เดินตามหลังไปด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ
ทั้งขบวนเดินไปถึงหน้าห้องขังของหวังเต๋อเซิ่งทั้งครอบครัว เห็นศพทั้งหมดนอนเรียงรายอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าหลังจากตายแล้วไม่มีใครดิ้นขยับ ยังคงอยู่ในสภาพเดิม
ห้องขังถูกเปิดออก ข้าราชบริพารสองสามนายยืนเฝ้าหน้าประตู
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปในห้องขัง หยุดดูและตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่ข้างๆ ร่างของหวังเต๋อเซิ่ง เห็นร่างเขาไม่มีบาดแผล สีหน้าไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีความทรมานใดๆ เหมือนนอนหลับไปอย่างนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินเข้าไปในห้องขัง คุกเข่าลงตรวจดูอย่างละเอียด หลังจากตรวจดูทั้งหมดแล้ว นางก็ลุกขึ้น พูดว่า “ตายเพราะยาพิษ”
ตอนที่ 188 ทำลายหลักฐาน
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว มองไปที่ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกของห้องขัง
องครักษ์หลวงได้ยินเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ร้อนรนประสานมือแล้วตอบกลับไปว่า “แม่นางเมิ่ง อาหารเมื่อคืนของพวกเขา พวกเราได้ทำการตรวจสอบไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ผิดสังเกตขอรับ”
“ไม่ใช่ยาพิษจากเมื่อคืน แต่ว่าเป็นเพราะได้รับพิษมานานแล้ว เพียงแต่พิษนั้นวนเวียนอยู่ในร่างกาย ไม่ได้ออกฤทธิ์ต่างหาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“นี่…”
“คนที่ได้รับพิษแล้วนั้นล้วนเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น ไม่มีทางที่จะได้รับพิษในเวลาเดียวกัน สิ่งที่อธิบายได้อย่างเดียวก็คือพิษถูกผสมอยู่ในน้ำ พวกเจ้ารีบส่งคนไปตรวจสอบที่จวนของหวังเต๋อเซิ่งเร็วเข้า ว่าในน้ำมีพิษหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย
นายทหารมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน เมื่อเห็นเขาไม่ได้คัดค้านใดๆ จึงขานรับ แล้วรีบออกไป
นายอำเภอที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องขัง ก็ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นเดียวกัน ครั้งนี้เหงื่อก็ไหลท่วมตัวแล้ว ตระกูลหนึ่งยี่สิบกว่าคน ทั้งหมดโดนวางยาลอบฆ่า ไม่เหลือรอดเลยสักคน แม้กระทั่งเด็กก็ไม่เว้น เห็นได้ว่าอีกฝ่ายช่างโหดร้ายจริงๆ ยังดีที่ตนเองไม่ได้โดนไปด้วย มิเช่นนั้นแล้วตอนนี้ที่บ้านไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ก็จะนอนนิ่งเหมือนกับพวกเขา ยิ่งคิดยิ่งกลัว ยิ่งคิดยิ่งน่าใจหาย เหงื่อไหลออกมามากกว่าเดิม อีกสักพักหลังก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวได้เดินไปที่ห้องขังห้องอื่นๆ เพื่อตรวจสอบสภาพศพทั้งหมด หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้านิ่งตามอยู่ข้างหลัง
ดูเหมือนว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร ตัวของเขาราวกับว่ามีรังสีอัมหิตแผ่ออกมา นักโทษที่ปกติแล้วจะโวยวายตลอดเวลา วันนี้กลับไม่กล้าส่งเสียงออกมา กลัวว่าจะไปยั่วโมโหบุคคลผู้นี้ แล้วจะทำให้โดนทำโทษอย่างไร้เมตตา
ห้องขังที่เงียบสงบ แม้ความเคลื่อนไหวสักนิดก็ไม่มี ยิ่งทำให้ใจของนายอำเภอเต้นแรงกว่าเดิม
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ก็ลุกขึ้นยืน แล้วพยักหน้าให้หวงฝู่อี้เซวียนว่า “ไม่ผิดแน่”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ่งดุดันขึ้น เหล่าทหารก็ตกใจก้มหน้าลง คนยี่สิบคนตายอยู่ข้างหน้าพวกเขา อีกทั้งพวกเขานั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่าแล้ว ทหารองครักษ์เหล่านี้ก็ไม่กล้าที่จะออกไปสู้หน้าคนแล้ว
ในห้องขังเงียบขึ้นเรื่อยๆ เงียบเสียจนนักโทษในห้องขังไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ในที่สุด นายทหารที่ไปตรวจสอบที่บ้านของหวังเต๋อเซิ่งก็กลับมารายงานว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อยได้ทำการตรวจสอบแล้ว เป็นอย่างที่แม่นางเมิ่งพูดไว้จริงๆ น้ำในบ้านของหวังเต๋อเซิ่งถูกวางยาพิษจริงๆ ด้วยขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนรีบเดินอกไปข้างนอก เมิ่งเชี่ยนโยวและเหล่าทหารตามอยู่ด้านหลัง
นายอำเภอตามอยู่ข้างหลังอย่างกังวล ได้วิ่งตามมา
เมื่อถึงห้องขัง หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังกลับมา แล้วพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นบนหลังม้า แล้วตนเองก็ตามขึ้นไป ออกคำสั่งว่า “นำทางไป!”
ทหารม้าองครักษ์รู้ดีว่าเขาจะไปตรวจสอบที่บ้านของหวังเต๋อเซิ่ง ตอบรับ แล้วรีบขึ้นหลังม้า นำทางไปที่สำนักงานเขต
นายอำเภอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กัดฟัน แล้วรับสั่งกับคนรับใช้ว่า “พยุงข้าขึ้นหลังม้า”
คนรับใช้ทั้งสองออกแรงอย่างมากในการพยุงนายอำเภอขึ้นหลังม้า แต่ว่าเขาเป็นเพียงแค่ขุนนางฝ่ายบุ๋น ขี้ม้าเป็นที่ไหนกัน ไม่ว่าทั้งสองคนจะออกแรงมากขนาดไหน เขาก็ขึ้นไม่ได้ เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ นายอำเภอก็ลุกลี้ลุกลน ออกคำสั่งให้คนรับใช้ทั้งสองปล่อยเขา แล้วนำคนรับใช้หลายคนวิ่งเหยาะๆ ไปที่สำนักงานเขต
ตอนที่พวกเขาวิ่งจนหายใจไม่ทันไปจนถึงที่หมายนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ทำการตรวจสอบสำนักงานเขตจนแทบจะเสร็จทั้งหลังแล้ว
นายอำเภอยืนนิ่ง จัดหมวกตำแหน่งนายอำเภอของตนเอง แล้วถึงจะกล้าเดินเข้าไปที่ด้านหลังของหวงฝู่อี้เซวียน รอเขาที่กำลังออกคำสั่งอยู่
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับมาข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียน บอกว่า “จานชามที่ใช้กินข้าวทั้งหมดและแก้วน้ำล้วนมีพิษ พิษถูกวางลงไปที่น้ำแน่นอน”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปากไม่พูดสิ่งใด
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่ข้างๆ เขา พูดเบาๆ ว่า “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่สนว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ แต่ก็จะไม่ให้เหลือรอดไปได้”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เขียวคล้ำขึ้นกว่าเดิม เหตุใดเขาจึงคิดไม่ถึงว่าเฮ่อจางจะโหดเ**้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งผู้สืบทอดก็ไม่ละเว้น ไม่เพียงแต่เอาชีวิตของเขา กระทั่งลูกเด็กเล็กแดงคนเฒ่าคนแก่ก็ไม่ปล่อยให้เหลือรอดไปได้ แบบนี้ แม้ว่าจะมีหลักฐานว่าเฮ่อจางและหวังเต๋อเซิ่งร่วมมือกันก็เถอะ แต่หวังเต๋อเซิ่งตายไปแล้ว เฮ่อจางไม่มีทางยอมรับเป็นแน่ หลักฐานไม่เพียงพอ ฮ่องเต้ก็จะไม่สามารถลงโทษสถานหนักได้
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เลยปลอบใจเขาว่า “หนทางยังอีกยาวไกล แม้ว่าวันนี้หวังเต๋อเซิ่งไม่ตาย และหลงเหลือหลักฐานไว้ ไม่แน่ว่าเราก็อาจไม่สามารถทำให้เขารับโทษประหารได้ ในเมื่อเขามีความคิดเช่นนี้ ต่อไปต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแน่ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะมีหลักฐานหลุดออกมาเอง ตอนนั้นพวกเราค่อยคิดหาวิธีจับเขาก็ยังไม่สาย”
เฮ่อจางเป็นคนบงการเรื่องนี้ แต่ตอนนี้มากคนก็มากความ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะทำให้เรื่องนี้บานปลาย จนทำให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดโดยไม่เอ่ยชื่อของเขา แต่ใช้ “เขา”เป็นสรรพนามแทน
เมื่อเป็นแบบนี้ หวงฝู่อี้เซวียนทำได้เพียงคิดตามนี้ เขาเอ่ยปากถามว่า “เฉียวหมิ่นเป็นอย่างไรบ้าง”
“เฉียวหมิ่นไม่เป็นไรขอรับ เพื่อป้องกันไม่ให้นางเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเราได้นำตัวนางไปขังไว้ที่ห้องขังอื่นแล้วขอรับ” ทหารองครักษ์นายหนึ่งรายงาน
“เฝ้านางไว้ให้ดี ถ้าหากว่านางเป็นอะไรไป พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลับไปเมืองหลวงอีก” หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่ง
ทหารองครักษ์ทั้งหลายกระเตื้องขึ้น แล้วตอบรับกลับ
หวังเต๋อเซิ่งได้ตายไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไม่จำเป็นที่จะต้องปล่อยเขากลับเมืองหลวง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ออกคำสั่งกับนายอำเภอว่า “เอาศพทั้งหมดไปจัดการซะ”
นายอำเภอตอบรับ
แล้วหันไปสั่งทหารม้าองครักษ์ว่า “ตอนนี้ข้ายังมีพยานอีกคนหนึ่ง หลังจากที่ปล่อยออกมาแล้วสักพัก พวกเจ้าคุมตัวนางและเฉียวหมิ่นกลับเมืองหลวง ไปส่งให้ท่านแม่ทัพฉู่ ส่วนกระบวนการของพวกนาง ข้าจะเขียนเป็นจดหมาย พวกเจ้านำไปให้กับท่านแม่ทัพก็พอ”
ใครคือพยานอีกหนึ่งคน เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดี เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ก็รีบออกคำสั่งกับองครักษ์หลวงว่า “พวกเจ้าทั้งสามคนกลับบ้านไป ให้รั่วหลานและครอบครัวของนางได้เห็นหน้าเสียหน่อย หลังจากนั้นก็ให้คนคุมตัวนางมา ส่งตัวให้กับทหารม้าองครักษ์ก็พอแล้ว จงระวังตัว อย่าให้ระหว่างทางเกิดเรื่องผิดพลาดอันใดขึ้น”
องครักษ์หลวงตอบรับ หันตัวขึ้นหลังม้า ควบม้ามุ่งหน้าไปที่บ้าน
คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่ด้านหลังสำนักงานเขต พวกเขาวกกลับมาที่ด้านหน้าของสำนักงานเขต
นายอำเภอรีบสั่งนายทหารที่ติดตามมาด้วยให้เช็ดเก้าอี้ที่เอาไว้พิพากษาคดีความ แล้วเชิญหวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงทันที ออกคำสั่งว่า “นำกระดาษและหมึกมา!”
หน้าสำนักงานมีหมึกกับกระดาษอยู่ นายอำเภอนำไปให้ด้วยตนเอง เขาวางไว้หน้าหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะหยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึกเพื่อเขียนหนังสือ เมิ่งเชี่ยนโยวได้ห้ามเอาไว้ “น้ำหมึกนี้ไม่รู้ว่าฝนไว้ตั้งแต่เมื่อไร อย่าใช้เลย”
หวงฝู่อี้เซวียนรู้ความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยว เขารีบวางพู่กันลงทันที
นายอำเภอรู้ความหมายคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว สีหน้าก็ซีดลงทันที พูดอย่าลนลานว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อย…”
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ พูดขัดเขาว่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
นายอำเภอขอบคุณทั้งหน้าซีดๆ
หวงฝู่อี้เซวียนยังสั่งเขาอีกว่า “ให้รีบจัดการสำนักงานเขตให้เรียบร้อยโดยเร็ว”
ให้จัดการอะไร นายอำเภอรู้ดีแก่ใจ
เขาตอบกลับอย่างนอบน้อม แต่ในใจก็ยังคงกลัวเสียเหลือเกิน ไอตัวบงการเบื้องหลังคนนั้น ได้วางยาพิษลงในน้ำบ่อน้ำทางด้านหลังของสำนักงานเขตหมดแล้ว เขาไม่เพียงแต่ออกคำสั่งให้คนนำข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ โยนออกไปอย่างระมัดระวัง แล้วยังต้องจัดการถมบ่อน้ำในสำนักงานให้หมดอีก แล้วให้คนขุดบ่อใหม่ขึ้นมาอีก เมื่อคิดเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแอบด่าไอตัวบงการเบื้องหลังคนนั้น สาปแช่งให้เขาไม่มีน้ำดื่ม
หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เมื่อออกคำสั่งแล้ว ก็ลุกเดินออกไป และทุกคนก็เดินตามออกไปด้วย
นายอำเภอพูดหยั่งเชิงออกไปว่า “ซื่อจื่อ บ้านของข้าน้อยห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านไปเขียนหนังสือที่บ้านของข้าน้อยดีกว่าหรือไม่ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขาอย่างนิ่งเฉย แล้วไม่ได้พูดอะไร นายอำเภอไม่รู้ความหมายของสายตาที่เขามองมา เขาใจเต้นแรง รอคอยคำตอบของเขา
“อี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนเรียกแล้วเดินมาที่ข้างกายเขา
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก ท่าทีราวกับว่ากำลังรวบรวมความกล้าอยู่ แล้วบอกว่า “ต้องรออีกสองสามชั่วยามกว่ารั่วหลานจะถูกปล่อยตัวออกมา ข้าอยากใช้ช่วงจังหวะนี้ไปดูท่านลุงและท่านป้าจูเสียหน่อย”
สายตาที่กำลังครุ่นคิดของหวงฝู่อี้เซวียน จ้องเขม็งไปที่นาง โดยไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว ก้าวเท้าถอยหลังไปเล็กน้อย ใบหน้าฝืนยิ้ม บอกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไปว่า “ข้า ข้าไม่ไป…”
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” หวงฝู่อี้เซวียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไป แล้วปรากฏใบหน้ายิ้มแย้มออกมา นางยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นตรง นางขยับเท้า เดินไปที่ข้างๆ เขา มองเขาด้วยสายตาออดอ้อน “ข้าก็แค่ไปดูเท่านั้น ถ้าหากว่าพวกเขาไม่เป็นอะไร พวกเราจะรีบออกมา”
“อืม” เสียงเบาๆ ถูกเปล่งออกมา หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกจากสำนักงานเขตไป แล้วยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่เดาอะไรไม่ได้เลย
เมื่อเดินออกมาจากสำนักงานเขต หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่งกับทหารองครักษ์ว่า “ไม่ต้องตามไป เฝ้านักโทษไว้ให้ดี ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มา”
ทหารองครักษ์ขานรับ
หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับมา ยื่นมือออกมาพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นบนหลังม้า แล้วตามด้วยตนเอง ทั้งสองคนขี่ม้ามุ่งไปที่จวนตระกูลจู
เมื่อเขาลับไป ทหารองครักษ์ก็แยกย้าย นายอำเภอถึงได้รู้สึกว่าเสื้อของตนเองนั้นเปียกชุ่ม ต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่บ้าน แล้วรีบมาสั่งให้คนจัดการด้านหลังสำนักงานให้เรียบร้อย
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนมาถึงที่จวนตระกูลจู แล้วลงจากม้า
นายประตูของจวนจูรู้จักเมิ่งเชี่ยนโยว เขารีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า บอกว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้วหรือ”
“ท่านลุงและท่านป้าร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง”
“นายท่านและฮูหยินไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ แค่ร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย แต่นายน้อยอาการหนัก นอนอยู่บนเตียง ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ขอรับ” นายประตูบอกไปตามความจริง
เมิ่งเชี่ยนโยวมีอาการร้อนใจ จิกเท้าแล้วถามว่า “ให้หมอมาดูหรือยัง”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นท่าทางร้อนรนของนาง ก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไร เขากระแอมเบาๆ ไปหนึ่งครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกตัวได้ หันไปมองเขา
“รักษาไปแล้วขอรับ หมอบอกว่าใช้ร่างกายมากเกินไป จะต้องพักฟื้นอีกสักระยะถึงจะหาย”
คำพูดของนายประตู เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมจูหลานถึงได้ลุกไม่ขึ้น คงเป็นเพราะหลายวันนั้นโดนเฉียวหมิ่นวางยากำหนัด ทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบเล็กน้อย พอเปิดปากอยากจะพูด แล้วคิดได้ว่ามีหวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ข้างๆ กลับกลายเป็นประโยคคำถามแทน “ท่านลุงท่านป้ายังอยู่ที่เรือนเดิมใช่หรือไม่”
“อยู่ขอรับ แม่นางเมิ่งเข้าไปได้เลยขอรับ” นายประตูตอบ
แล้วเอาเชือกจูงม้ายื่นให้กับนายประตู ทั้งสองคนเดินเข้าไปในจวนจู เมิ่งเชี่ยนโยวนำทางหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาที่จวนหลักอย่างชำนาญ สาวใช้ บ่าวใช้ที่เจอระหว่างทางต่างคำนับนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่พยักหน้าตอบรับ
มาถึงจวนหลัก สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูมองเห็นนาง จึงรีบเข้าไปรายงานด้วยความตื่นเต้นว่า “นายท่าน ฮูหยิน แม่นางเมิ่งมาเจ้าค่ะ” เมื่อพูดจบ ก็คำนับนาง เปิดม่านประตูออก แล้วเชิญพวกเขาเข้ามา
นายท่านจูและฮูหยินจูอายุมากแล้ว ถึงแม้ว่าจะได้พักไปหนึ่งคืนแล้ว ฟื้นฟูกำลังกายแล้วบ้าง แต่ก็ไม่สามารถเหมือนวัยรุ่นที่จะมีกำลังเลยประเดี๋ยวนั้น ตอนนี้กำลังนั่งพักอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงรายงานของสาวใช้ ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นพร้อมกัน ฮูหยินจูไปต้อนรับอยู่หน้าประตู แล้วหัวเราะว่า “โยวเอ๋อร์ ครั้งนี้ลำบากเจ้าเลย…” เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ นางนั้น สีหน้าก็ปรากฏความตื่นตระหนก นางชะงักไป แข้งขาอ่อนระทวย จนจะคุกเข่าลง เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าพยุงทันที
นายท่านจูก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเหมือนกัน เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า ทำท่าจะคุกเข่าลงคำนับเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือมาพยุงนาง แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่มีผู้ใดอยู่ด้านนอก นายท่านจูและฮูหยินจูไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
“ขอบคุณซื่อจื่อ” นายท่านจูและฮูหยินจูจึงละเว้นคารวะ แล้วพูดขอบคุณพร้อมกัน แล้วเดินไปพูดว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง เชิญนั่ง”
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องอย่างสง่างาม ใช้น้ำเสียงอันอบอุ่นพูดขึ้นว่า “หลังจากเมื่อวานที่โยวเอ๋อร์กลับไปแล้ว นางเป็นห่วงท่านทั้งสองจริงๆ วันนี้จึงเข้ามาดู ข้าก็ว่างพอดี ก็เลยมากับนาง ท่านทั้งสองทำตัวตามสบายเถิด”
เมื่อพูดแบบนี้แล้ว แต่ตอนนี้เขาเป็นถึงซื่อจื่อ สองคนนั้นจะกล้าพูดซี้ซั้วได้อย่างไร ขนาดฮูหยินจูที่ปกติเวลาเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่นี่ นางจะจูงมือของนาง วันนี้ยังไม่กล้าทำเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่านทั้งสองเกร็งจนทำอะไรไม่ถูก จึงยิ้มแล้วจูงท่านป้าจูมาที่ข้างๆ เตียง บอกว่า “ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่านเสียหน่อย ดูซิว่าร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง”
นางรู้อยู่แล้วว่าวิชาการแพทย์ของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นล้ำเลิศ ฮูหยินจูไม่ได้ปฏิเสธ นางยื่นมือวางไปที่เตียงให้นางทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือคลำลงไปที่ชีพจร วิเคราะห์อย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เสร็จแล้วก็ปล่อยมือพูดขึ้นว่า “แค่ร่างกายอ่อนแอเล็กหน่อย พักฟื้นไม่กี่วันเดี๋ยวก็หาย”
ตอนที่ 189-1 จดหมายจากเมืองหลวง
ร่างกายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ฮูหยินจูยิ้มแล้วพยักหน้า “โชคดีที่เจ้าและซื่อจื่อมาได้ทันเวลาพอดี ช่วยเหลือคนแก่อย่างพวกเราสองคน มิเช่นนั้นพวกเราสองคนก็ไปพบยมราชแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วโบกมือ “ท่านและท่านลุงเป็นผู้มีบุญ ถึงได้รอดมาได้ อย่าได้เอาความดีเหล่านี้มายกให้พวกเราเลย”
ฮูหยินจูไม่รู้ได้อย่างไรว่านางไม่อยากให้พวกนางรับน้ำใจนี้ ถอนหายใจหนึ่งเฮือก พูดว่า “ถ้าหากว่าพวกเจ้ามาช่วยพวกเราไม่ทันเวลา ผ่านไปอีกสองสามวัน ต่อให้มีปาฏิหาริย์ ก็เปล่าประโยชน์ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนจิตใจดี ไม่อยากให้พวกเรารับน้ำใจของเจ้า ถ้าหากครั้งนี้ไม่ได้เจ้า ตระกูลจูของพวกเราเกรงว่าจะไม่มีใครเหลือรอด”
“จะว่าไปแล้ว ข้าก็ทำให้พวกท่านเหนื่อยไปด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไป “ถ้าเมื่อปีนั้นข้าไม่ได้อยู่ใกล้จูหลานจนเกินไป ทำให้เฉียวหมิ่นเกิดช่องว่างภายในใจ ก็จะไม่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
ป้าจูตีมือนางเบาๆ บอกว่า “เด็กน้อย เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า หากว่าเฉียวหมิ่นไม่ใจแคบ คิดไปเองมั่วซั่ว แล้วมันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร พูดแล้ว เป็นเพราะพวกเราดูคนไม่ออก เลยทำให้ตระกูลจูเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหายไป นางพูดปลอบใจว่า “ท่านป้า เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตระกูลเฉียวก็ได้รับผลกรรมของเขาอย่างที่จะเป็นแล้ว พวกเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย จะทำให้ตัวเองหัวเสียเปล่าๆ”
ท่านป้าจูรู้สึกว่าการพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังนั่งเฝ้าอยู่นั้นไม่ค่อยเหมาะสม จึงหยุดสนทนาหัวข้อนี้ แล้วถามพร้อมสีหน้าที่เป็นกังวลว่า “ลี่เอ๋อร์และเสี่ยวเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากว่าไม่เป็นเพราะข้าและท่านลุงของเจ้าร่างกายอ่อนแอ เกรงว่าถ้าไปแล้วจะทำให้เจ้าลำบาก เมื่อคืนหลังจากที่ฟื้นแล้ว พวกเราคงไปดูพวกนางสองคนแม่ลูกแล้ว”
ท่านลุงท่านป้าจู รู้เพียงแค่แม่ลูกจางลี่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าพวกนางได้รับบาดเจ็บมากขนาดไหน เพื่อทำให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้บอกความจริง นางทำเป็นไม่มีอะไร แล้วบอกว่า “สองแม่ลูกยังดีอยู่ เป็นก็แต่ร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย ข้าก็เลยให้พวกนางพักอยู่ที่บ้านของข้าก่อนสักพัก รอให้พวกนางอาการดีขึ้นก็จะให้กลับมา พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
ท่านป้าจูพยักหน้า ท่านลุงจูก็วางใจ
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง แต่ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากที่คลำชีพจรให้กับท่านลุงแล้วเรียบร้อย ก็กำชับทั้งสองคนอย่าไปคิดมากเรื่องอื่น ให้พักผ่อนเยอะๆ พักฟื้นร่างกายให้ดี แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขอตัวลา
ท่านลุงและท่านป้าจูอยากส่งทั้งสองคนด้วยตนเอง หวงฝู่อี้เซวียนเลยบอกว่า “ไม่ต้องลำบาก พวกเราจะไปดูอาการคุณชายจูอีก”
เมื่อวานหลังจากที่ทั้งสองคนฟื้นขึ้นมา จูหลานได้ให้หมอมาตรวจดูอาการ หมอบอกว่าทั้งสองคนไม่ได้เป็นอะไรมาก ในขณะที่กำลังโล่งอก จูหลานเองก็เป็นลมไปด้วย
ทั้งสองคนตกใจมาก หลังจากที่หมอคลำชีพจรของเขา บอกเพียงว่าเขาพักผ่อนไม่เพียงพอ พวกเขาไม่รู้เรื่องที่เฉียวหมิ่นทำกับจูหลานไว้ จึงเกิดความสับสนในใจ สงสัยในผลตรวจของหมอ ตอนนี้ได้ยินว่าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจะไปเยี่ยมจูหลาน จึงดีใจเป็นอย่างมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดไม่ถึงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะเป็นคนเอ่ยปากให้ตนไปเยี่ยมจูหลาน นางมองไปที่เขาอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของเขานิ่งเฉย ก็รู้สึกดีใจ แล้วยิ้มให้เขา
ท่านลุงจูจะนำพวกเขาสองคนไปด้วยตัวเอง แต่ก็โดนหวงฝู่อี้เซวียนห้ามเอาไว้ “ท่านพักผ่อนเถิด การพักฟื้นร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ พวกเราจะไปกันเอง”
ท่านลุงทำการค้ามาหลายปี ทักษะการมองสีหน้าท่าทางคนก็มีไม่น้อย เมื่อได้ยินเขาห้าม คาดว่าเขาคงมีอะไรจะคุยกัน จึงไม่ได้ดึงดัน เขายืนส่งพวกเขาสองคนออกไปอย่างมีความสุข มองพวกเขาที่กำลังเดินไปที่จวนของจูหลาน แล้วกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับท่านป้าจู
จวนของจูหลานเงียบสงบ ไม่มีบ่าวใช้ยืนเฝ้า เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว แล้วเดินเข้าไปข้างในจวนของจูหลาน
หวงฝู่อี้เซวียนกลับหยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับมามองไปที่เขา
“หนึ่งก้านธูป” หวงฝู่อี้เซวียนพูดประหลาด
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ความหมายของเขาทันที เขาหมายถึงให้เวลานางเข้าไป ส่วนเขาจะยืนรออยู่ด้านนอก ภายในใจนางพลันรู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่น นางยิ้มมุมปากแล้วเคาะประตู
ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน
นางเคาะอีกครั้ง
ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มหงุดหงิด ตะโกนถามว่า “จูหลาน เจ้าตายแล้วงั้นหรือ ถ้ายังไม่ตายให้ตอบด้วย”
จูหลานนอนอยู่บนเตียงด้วยร่างกายที่อ่อนแอ สายตาจ้องมองไปที่ทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างไร้สติ เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเมิ่งเชี่ยนโยว สติจึงกลับมา เขาอ้าปาก คิดอะไรได้ แต่ก็ไม่ได้พูด
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เมิ่งเชี่ยนโยวที่หมดความอดทน จึงใช้เท้าถีบประตูเปิดออก แล้วเดินเข้าไป เมื่อเห็นสภาพใกล้ตายของเขาที่กำลังนอนอยู่บนเตียง นางกระแอมขึ้นเบาๆแล้วพูดเหน็บแนมเขาอย่างไม่เกรงใจว่า “ไม่ใช่ว่าโดนผู้หญิงข่มขืนมาหรอกหรือ เจ้าไม่ได้เสียเปรียบสักหน่อย ทำท่าจะเป็นจะตายให้ใครดูกัน”
จูหลานไม่ได้พูดอะไร หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ด้านนอกสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไร
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เดินไปคลำชีพจรให้กับเขา กลับเดินไปนั่งที่เก้าอี้ในห้อง ถามว่า “ภรรยาและลูกของเจ้ายังพักฟื้นอยู่ที่บ้านของข้า เจ้าคิดจะพาพวกนางกลับมาเมื่อใด”
ในที่สุดจูหลานก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “พวกนางสองคนเป็นอย่างไรบ้าง”
“บอกไม่ได้ ถ้าหากว่าเจ้าตาย คาดว่าพวกนางจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
สีหน้าของจูหลานจึงออกอาการเล็กน้อย เขาพยายามใช้แรงเพื่อลุกขึ้นนอนพิง แล้วถามว่า “สาหัสหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวปราดมองไปที่เขาทีหนึ่ง แล้วถามกลับว่า “ทั้งตัวมีแต่บาดแผล ไม่มีส่วนไหนที่ไม่มี สลบไปสองวันสองคืนกว่าจะฟื้น เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”
สีหน้าของจูหลานแสดงออกถึงความเจ็บปวด เขาหลับตาลงด้วยความรู้สึกทรมาน พูดว่า “ข้ารู้สึกผิดต่อทั้งสองนัก”
“แล้วอย่างไร เจ้าจะตายเพื่อชดใช้อย่างนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามติดตลก
จูหลานนิ่งเฉย
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินไปที่ข้างๆ เตียง แล้วจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งจูหลานทนสบตานางไม่ไหว จนเขาก้มหน้าลง แล้วถามไปว่า “ข้าทายถูก เจ้าอยากตายหรือ”
จูหลานยังคงไม่พูดอะไรทั้งนั้น
แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดอย่างดีใจว่า “มาๆ ไหนเจ้าบอกข้าสิว่าอยากตายอย่างไร ข้าช่วยเจ้าเอง”
จูหลานก้มหน้าลงแล้วนิ่งไป
“ผูกคอตาย ใช้มีดแทง วางยาพิษ เจ้าเลือกดูสิ จะเอาแบบไหน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
จูหลานก็ยังคงไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวยกเท้าขึ้น แล้วถีบไปที่จูหลาน
จูหลานไม่ทันได้ตั้งตัว โดนถีบกระเด็นไปที่อีกด้านหนึ่งของเตียง หัวโขกไปที่กำแพง มีเสียงออกมาดัง ปั๊ก
แล้วตามด้วยเสียงด่าของเมิ่งเชี่ยนโยว “บ้าเอ้ย ข้าเกือบโดนยิงจนตัวพรุนเพื่อช่วยเจ้าออกมา แต่ดูสภาพที่เจ้าโดนหยามนี้สิ อยากตายไม่ยากอยู่ ถ้าเจ้าจะเป็นแบบนี้ ตอนนั้นที่เจ้าโดนเฉียวหมิ่นข่มขืน ทำไมถึงไม่ตายๆ ไปเสียล่ะ”
จูหลานโดนนางถีบจนมึน หัวโขกกับกำแพงจนบวมแดงขึ้นมา แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรแล้ว เขามองนางด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ แล้วพูดว่า “เจ้า…”
“เจ้าอะไรของเจ้า เร็วเข้า เสียชาติเกิดยิ่งนัก สนองความต้องการแล้วพวกข้าก็จะกลับบ้านแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเกรี้ยวโกรธ
หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก็เกิดความสะใจ ยิ้มเสียจนปากจะฉีกถึงรูหู
จูหลานเห็นท่าทีดุดันของนางแล้วก็ตกใจ อ้าปากค้าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวหมดความอดทนแล้วมองไปรอบๆ แต่ก็หาของที่เหมาะสมไม่ได้ แล้วนางก็ก้มหน้าลง หยิบผ้าปูที่นอน ออกแรงฉีกออกเป็นหลายชิ้น แล้วผูกติดกัน
จูหลานมองการกระทำของนางอย่างอ้ำอึ้ง ตกใจจนตัวเข้าไปติดเตียง
เมื่อผูกผ้าปูเสร็จ ก็ส่งให้จูหลาน “เอาไป แบบนี้ง่ายดี เร็วเข้าสิ ข้ายังมีเรื่องต้องสะสางอีกเยอะ”
ในที่สุดจูหลานก็มีสติ แล้วตะโกนออกไปว่า “ข้าไม่ได้อยากตาย”
“เจ้าไม่ได้อยากตายงั้นหรือ เจ้าไม่ได้อยากตายแล้วจะทำตัวแบบนี้ทำไมกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความเกรี้ยวกราดและสงสัย
จูหลานก็หดตัวแล้วถอยไปอีก ตัวติดกับกำแพง จนรู้สึกปลอดภัยแล้ว จึงตอบกลับไปว่า “ข้าเพียงแต่กำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังโมโห ก็ได้ถามกลับไปว่า “คิด พ่อแม่กับลูกเมียเจ้าเกือบจะไม่รอดอยู่แล้ว เจ้าไม่ไปดูแลพวกเขา ยังมีเวลาว่างมาคิดเรื่องอะไรอีก”
“ข้า… ข้าไม่มีหน้าไปพบพวกเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวโยนผ้าปูที่นอนที่ผูกเรียบร้อยแล้วไปที่ตัวเขา แล้วพูดว่า “เจ้าเอาแต่นอนอยู่แต่ในห้อง แล้วจะมีหน้าไปพบพวกเขาได้อย่างไร”
“ข้า…” จูหลานไม่รู้จะตอบอย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วพูดว่า “ไหนว่ามาสิ เจ้าคิดอะไรอยู่”
จูหลานกระพริบตา กลืนน้ำลาย แล้วตอบกลับไปว่า “ข้าขอโทษ…”
“เอาใจความ อี้เซวียนยืนรออยู่ข้างนอก อากาศหนาวขนาดนี้ เดี๋ยวเขาจะไม่สบายเอา แม้เจ้าไม่ตาย ข้าก็จะเอาเจ้าไปแขวนไว้ที่คานห้อง”
เมื่อพูดแบบนี้ หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ด้านนอกก็สะใจกว่าเดิม จนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
จูหลานตกใจมาก จึงตอบกลับไปว่า “ข้ากำลังคิดว่าจะสู้หน้าพวกเขาอย่างไรดี”
“ควรที่จะสู้หน้าอย่างไรก็สู้หน้าอย่างนั้น มีอะไรยากล่ะ”
“เท่านี้เองหรือ” เมื่อฟังคำพูดที่ดูง่ายของนาง จูหลานถามเขากลับอย่างไม่เชื่อ
“แล้วจะอย่างไรล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ
จูหลานแสดงสีหน้าลำบากใจ “แต่ว่าข้า…”
“นอกจากพวกเราแล้ว ยังมีใครรู้อีกหรือไม่”
จูหลานส่ายหน้า
“เจ้าเสียหายอย่างนั้นหรือ”
เขาส่ายหน้าอีก
“เจ้าท้องอย่างนั้นหรือ”
คำพูดของนาง ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ด้านนอกหลุดขำออกมา
จูหลานก็ส่ายหน้าอีก เมื่อส่ายหน้าเสร็จจึงรู้สึกได้ว่าประโยคนี้มันไม่ถูกต้อง รีบพูดขึ้นว่า “ผู้ชายจะท้องได้อย่างไรกัน”
“เจ้ากังวลอะไร ถึงคนอื่นรู้ไปเจ้าก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่”
จูหลานโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “ข้าไม่ได้ยินยอมเสียหน่อย ถือว่าข้าได้ประโยชน์ได้อย่างไรกัน” พอพูดจบรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ก็ลดเสียงลง แล้วพูดว่า “ข้ากลัวว่าลี่เอ๋อร์รู้เรื่องเข้าแล้วจะไม่สบายใจ”
“พวกเราดูเหมือนคนปากสว่างหรือไง”
จูหลานส่ายหัว “ไม่”
“เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าไม่บอกลี่เอ๋อร์ นางจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน” เมิงเชี่ยนโยวถามกลับ
จูหลานดูเหมือนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เลยไม่รู้จะตอบอย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวลดเสียงลง “ตระกูลเฉียวและตระกูลของข้าราชการสุนัขนั่นโดนจัดการไปหมดแล้ว วันนี้เฉียวหมิ่นก็จะถูกคุมตัวเข้าเมืองหลวง ได้รับโทษที่ควรได้รับ ถ้าเจ้าไม่พูด เรื่องนี้ก็จะไม่แพร่งพรายออกไป ลี่เอ๋อร์ก็จะไม่มีวันรู้เรื่องนี้ อีกทั้งลี่เอ๋อร์ยังเป็นคนซื่อๆ เจ้าแต่งเรื่องขึ้นมาให้มันผ่านๆ ไปก็แค่นั้น เจ้าจะสร้างความวุ่นวายให้กับตัวเองและนางทำไมเล่า”
จูหลานกำลังจะพูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกไป นางเดินไปพูดไปว่า “ร่างกายของเจ้าไม่ได้เป็นอะไรมาก พักฟื้นไม่กี่วันก็หาย ส่วนลี่เอ๋อร์และเสี่ยวเอ๋อร์ พอร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้ว ค่อยไปเยี่ยมพวกเขากับท่านลุงและท่านป้าแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ ก็เดินออกไป กลับไปข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียน เขายิ้มแล้วบอกว่า “ดีมาก เวลาหนึ่งก้านธูปพอดี”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่ได้หายไป เขายื่นมือไปลูบหัวนาง แล้วจูงมือนางเดินออกจากจวนจู
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น