ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 181-185
ตอนที่ 181 บุกเข้าจวนจู
“คุณชายของพวกเจ้าเขียนเองใช่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามด้วยเสียงต่ำ
คนใช้พยักหน้า กล่าวตอบด้วยความเคารพว่า “วันนี้ตอนเช้าคุณชายได้รับข่าวแล้ว หลังจากเขียนจดหมายส่งให้ข้า ก็นำทุกคนในจวนไปจวนจูทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวกับเมิ่งฉีว่า “พี่รอง เจ้าใช้คนไปเรียกซ้อใหญ่มา ให้นางมาดูแลจางลี่สองแม่ลูก ข้ามีเรื่องออกไปข้างนอก”
เมิ่งฉีรีบสั่งออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเรียบๆ กล่าวกับจางหลี่ด้วยรอยยิ้มว่า “หลี่เอ๋อร์ ข้ามีเรื่องออกไปสักพัก เดี๋ยวให้ซ้อใหญ่จะมาดูแลพวกเจ้า”
จางลี่กล่าวตอบว่า “เจ้าไปธุระของเจ้าเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้า พวกข้าจะทานยาให้ตรงเวลาแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หันหลัง รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป เดินออกไป
ชิงหลวนและจูหลีตามหลัง
“พี่รอง ดูแลพวกเขาให้ดี ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด” เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปด้วยกล่าวกับเมิ่งฉีที่ยืนอยู่ในเรือนไปด้วย
เมิ่งฉีอ้าปาก อยากจะถามอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบจดหมายในมือยื่นให้เขา
เห็นคำว่า ‘ช่วยด้วย’ บนกระดาษแล้ว เมิ่งฉีกลืนคำถามที่จะถามลงไป กำชับด้วยเสียงต่ำว่า “ระวังตัวด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำสั่ง คนก็เดินออกมาด้านนอกเรือนแล้ว
ซุนเชี่ยนฟังคำรายงานของคนใช้แล้วรีบเดินมาฝั่งนี้ ระหว่างทางเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสาม กล่าวถามว่า “น้องเล็ก เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างๆ นาง และหยุดเดิน กล่าวว่า “จูหลานมีอันตราย ข้าต้องรีบไปช่วยเขา เจ้าดูแลพวกเขาสองแม่ลูกให้ดี”
ซุนเชี่ยนรีบพยักหน้า รีบไปดูแลจางลี่สองแม่ลูก
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในจวน ตรงไปที่บ้านพักคนงาน ตรัสสั่งเหวินเปียว “เหวินเปียว รวบรวมพี่น้องของเจ้าทุกคน ตามข้าไปทำเรื่องหนึ่ง”
พี่น้องสำนักคุ้มภัยพวกนี้ อยู่ฟรีกินฟรีมาหลายวัน ในใจรู้สึกเกรงใจมานานแล้ว ได้ยินว่ามีเรื่องต้องการให้พวกเขาช่วย ต่างคนต่างออกมานอกห้องทันที ยืนในเรือน รอคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองพวกเขาหนึ่งรอบ กล่าวว่า “เพื่อนของข้าเกิดเรื่อง ต้องการให้ข้าไปช่วย เรื่องวันนี้อาจมีอันตรายเล็กน้อย พวกเจ้าไม่ใช่คนของข้า เลือกที่จะไม่ไปได้”
“แม่นางพูดอะไรเช่นนี้ ท่านไม่เพียงช่วยครอบครัวเจ้านายของพวกข้า ยังช่วยพวกข้า พวกข้าไม่สามารถเป็นคนลืมพระคุณแบบนั้นได้ มีเรื่องอะไรสั่งได้เลย” เหวินหยวนกล่าว
คนอื่นๆ ล้วนเห็นด้วย
“ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดอะไรไร้สาระอีก กล่าวออกมาตรงๆ ว่า “น้ำใจของทุกท่านข้าจะจำไว้ ต่อไปจะต้องตอบแทนพวกเจ้าแน่นอน ตอนนี้ พวกเจ้าไปจูงม้าทุกตัวในเรือนไปนอกประตู รอไว้”
ทุกคนรับคำสั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังออกจากเรือนฝั่งนี้ ไปเรือนทหารองครักษ์ ตรัสสั่งตรงๆ ว่า “ทุกคนไปอำเภอกับข้า”
ทหารองครักษ์ทุกคนเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของนาง รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ไม่กล้าชักช้า ทุกคนเดินตามหลังนาง ออกจากเรือน มาถึงหน้าประตูใหญ่
คนสำนักคุ้มภัยจูงม้ามาเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนรถม้าคันหน้าสุดที่เหวินเปียวขี่ คนที่เหลือทุกคนนั่งบนรถม้าคันอื่น
เหวินเปียวยกแส้ขึ้น ตีม้าหนึ่งที ม้าเจ็บ วิ่งขึ้นมาทันที รถม้าคันอื่นๆ ตามหลังมาเรื่อยๆ
รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวร้อนใจ เหวินเปียวเร่งม้าวิ่งไม่หยุดตลอดทาง ใช้เวลาไม่ถึงสี่ชั่วโมงก็ถึงอำเภอ
“ไปจวนจู” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
เหวินเปียวรู้จักทาง ตรงมาถึงจวนจู
หน้าประตูจวนจูเต็มไปด้วยผู้คนไม่น้อยที่มามุงดู เห็นรถม้าสิบกว่าคันหยุดจอดตรงนี้ ในใจอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ค่อยๆ ขยับทางให้
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า มาถึงหน้าประตูจวนจูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนนำคนไม่น้อยยืนอยู่ที่หน้าประตู เผชิญหน้ากับคนใช้ของทางการสิบกว่าคนที่ถือมีดใหญ่ไว้ในมือ เเมื่อห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินมา ทั้งสองรีบเดินไปข้างหน้านาง เซี่ยเจียงเฟิงรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ข้าได้รับข่าว ว่าหลังจากจางลี่สองแม่ลูกหายตัวไป เฉียวหมิ่นก็ทำร้ายจูหลาน…”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือห้ามเขาพูดต่อไป เดินไปข้างหน้าคนใช้ของทางการทั้งหลาย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ปีใหม่แล้ว ข้ามาสวัสดีปีใหม่ท่านลุง ท่านป้า ทุกท่านช่วยผ่อนผันหน่อยได้หรือไม่ เปิดทาง ให้ข้าเข้าไป”
คนนำคนใช้ของทางการคนหนึ่งมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ตะคอกว่า “ผู้ว่าการเขต มีคำสั่งให้ข้าทั้งหลายเฝ้าจวนจูให้ดี ห้ามคนเข้าออกเด็ดขาด”
“ไม่ทราบว่าคนจวนจูนี้ทำผิดอันใด ผู้ว่าการเขตจึงต้องทำอย่างนี้กับพวกเขา” รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เปลี่ยน เสียงดังขึ้น กล่าวถามด้วยความสงสัย
คนใช้ของทางการหมุนมีดใหญ่ในมือไปมา ข่มขู่นาง “ช่างกล้านัก นี่เป็นเรื่องที่เจ้าสามารถถามได้หรือ รีบออกไป ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”
“โอ้ ไม่ทราบว่าท่านจะไม่เกรงใจด้วยวิธีไหน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับด้วยรอยยิ้ม
คนใช้ของทางการหมุนมีดใหญ่ในมือเร็วขึ้น ขู่ว่า “จับกุมทั้งหมดเข้าคุก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า “ดีมาก อาหารทุกอย่างข้าเคยกินมาหมดแล้ว แต่ไม่เคยกินอาหารในคุกเลย ข้าอยากลองชิมดูจริงๆ”
คนใช้ของทางการไม่คิดว่านางจะพูดแบบนี้ หยุดชะงักไป “เจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวขยับถอยหลังไปไม่กี่ก้าว พูดสั่งด้วยรอยยิ้มว่า “สิบห้านาที”
ผู้คนที่มามุงดูไม่รู้ว่าคำพูดของนางหมายความว่าอย่างไร ระหว่างที่ไม่เข้าใจ เหวินเปียวนำคนสำนักคุ้มภัยมุ่งไปที่คนใช้ของทางการ
ทหารองครักษ์ก็อยากต่อสู้ แต่ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือห้ามไว้
คนที่มามุงดูเห็นคนต่อสู้กัน กลัวว่าตนจะโดนลูกหลง ค่อยๆ ขยับถอยหลังกัน ถอยไปจนถึงจุดที่ปลอดภัย พินิจพิเคราะห์เมิ่งเชี่ยนโยว คาดเดาฐานะของนาง
คนใช้ที่เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนพามาก็ขยับถอยหลังเช่นกัน เพราะว่าพวกเขาไม่มีศิลปะการต่อสู้ มองดูคนใช้ของทางการหมุนมีดใหญ่ผ่าลงไปทางพี่น้องสำนักคุ้มภัย ในใจก็เกิดความกลัวมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนตรงไม่ขยับ เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนยืนอยู่ข้างๆ นาง
ปกติคนใช้ของทางการมีศิลปะการต่อสู้เพียงเล็กน้อย และปกติก็ทำได้แค่ขู่ประชาชนที่ไม่มีอาวุธ ต่อหน้าคนสำนักคุ้มภัยที่คุ้มภัยมานานหลายปี ก็ไม่มีอะไรเลย ธูปครึ่งดอกยังไม่ทันดับ ก็ถูกจัดการหมดแน่
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในจวนจู พูดสั่งเหวินเปียวด้วยเสียงเย็นชาว่า “ดูไว้ให้ดี ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว”
เหวินเปียวเหยียบลงบนตัวคนใช้ของทางการคนหนึ่งแล้วรับคำสั่ง
ชิงหลวนและจูหลีเดินตามหลังนาง
เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนก็เดินตาม
ทหารองครักษ์เดินตามหลังสุด
ประตูใหญ่จวนจูปิดแน่น เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปถึงข้างหน้า เตะประตูออก เดินเข้าไป
ในเรือนเงียบสงบ เงียบจนผิดปกติ
ชิงหลวนและจูหลีรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ รวบรวมสติขึ้นมาทันที
ขาของเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไป แล้วเดินหน้าต่อไป
มีหนึ่งคนกระโดดออกมาจากมุมอับในความมืดในเรือน แทงดาบยาวมาทางเมิ่งเชี่ยนโยว
ชิงหลวนดึงดาบบนเอวออกมารับมือ
“ปกป้องคุณชายเซี่ยและคุณชายอันให้ดี” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสั่งโดยไม่หยุดเดิน
ทหารองครักษ์หลายคนเดินหน้าออกมา ปกป้องอยู่ข้างๆ ทั้งสอง
มีอีกคนกระโดดออกมา จูหลีก็ดึงดาบที่เอวออกมารับมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตรงไปที่เรือนของจูหลาน
มีคนหลายคนกระโดดออกมาพร้อมกัน แทงดาบคมในมือภายใต้แสงแดดทำให้เกิดแสงแห่งความเยือกเย็นมาทางเมิ่งเชี่ยนโยว
ทหารองครักษ์หลายสิบคนออกมาบังหน้านางไว้ทันที
คิ้วของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขมวดแม้แต่น้อย เดินหน้าต่อไป เดินไปด้วยตรัสสั่งไปด้วย “เหลือลมหายใจไว้”
ตั้งแต่ประตูใหญ่จนถึงเรือนจูหลาน มีคนกระโดดออกมาสิบกว่าคน ที่ต้องการฆ่าเมิ่งเชี่ยนโยว ถูกทหารองครักษ์ขวางไว้
เสียงต่อสู้ดังจากหน้าประตูใหญ่จนถึงในเรือนจูหลาน
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งอยู่กลางเรือนของจูหลาน อยากฟังเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องจูหลาน
เหมือนรู้ว่านางมาแล้ว เสียงแหบอันไม่น่าฟังของเฉียวหมิ่นดังออกมาจากในห้อง “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าคนชั่ว ทำไมเดินถึงหน้าประตูแล้ว ไม่กล้าเข้ามา”
นางพูดจบ เสียงแหบของจูหลานก็ดังขึ้นมา “อย่าเข้ามา” พูดจบ ไม่รู้ว่าโดนทำร้ายอะไร ร้องเสียงโอดโอยออกมา
เสียงของเฉียวหมิ่นดังขึ้นมาอีกครั้ง “ทำไม กลัวนางเห็นเจ้าแบบนี้แล้วปวดใจ ข้าจะบอกเจ้า ข้าต้องการให้นางเห็นเจ้าแบบนี้ตอนนี้ นางเป็นคนดีบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ นางจะแต่งเข้าตระกูลอ๋องไม่ใช่หรือ ข้าจะดูซิ นางเห็นร่างของชายอื่นแล้ว ยังจะมีคนยอมรับนางอยู่หรือไม่”
“เจ้ามันชั่วจริงๆ เจ้าไม่ตายดีแน่” จูหลานด่าด้วยความโมโห
เฉียวหมิ่นหัวเราะออกมา “วางใจเถิด ข้าไม่ตายดี ก็จะลากเจ้าไปเป็นเบาะรองให้ข้า” พูดจบ กล่าวกับคนด้านนอกว่า “ทำไม กลัวแล้วหรือ ไม่กล้าเข้ามาแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเดินหน้าอย่างไม่ลังเล เตะประตูออก เดินเข้าไป
เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนที่ถูกทหารองครักษ์คุ้มกันไว้ก็เดินตามเข้าไป เห็นสถานการณ์ข้างใน ตกใจกันใหญ่ รีบขยับขาไปบังหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ ด่าออกมาด้วยความโมโหว่า “เฉียวหมิ่น เจ้ามันบ้าไปแล้ว”
เฉียวหมิ่นหัวเราะเสียงดังออกมา หลังจากหัวเราะเสร็จ จึงกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ใช่ ข้าบ้าไปแล้ว เพราะพวกเจ้าทำให้ข้าบ้า พวกเจ้ามองนางทำลายใบหน้าของข้าต่อหน้าต่อตา ส่งข้าไปโรงเตี๊ยมของขุนนาง ทำให้ข้าถูกทำร้ายมากมายทุกวัน แต่ไม่มีใครคิดจะช่วย”
“นั่นเพราะเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง โทษใครไม่ได้” อันอี่หยวนกล่าวด้วยความโกรธ
“ข้าหาเรื่องใส่ตัวเอง ข้าแค่อยากแต่งงานเป็นภรรยาของเขา ผิดตรงไหน” เฉียวหมิ่นกล่าวถามด้วยความโกรธ
“เจ้าอยากแต่งงานเป็นภรรยาของเขาไม่ผิด ผิดที่เจ้าใช้วิธีที่ผิด ทั้งๆ ที่เจ้าสามารถแต่งเข้าจวนจูอย่างแน่นอน ใช้ชีวิตกับเขาไปจนแก่เฒ่า แต่เจ้าทำลายทั้งหมดด้วยมือของเจ้าเอง” เมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองกล่าวออกมา
“พูดจาเหลวไหล เป็นเพราะเจ้า เจ้าทำลายทุกสิ่งของข้า หากเจ้าไม่ปรากฏตัวออกมา ข้าจะอิจฉาได้อย่างไร จะถูกทำลายใบหน้าได้อย่างไร ถูกส่งไปโรงเตี๊ยมเพราะเจ้า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเจ้า” เฉียวหมิ่นคลั่งร้องออกมาเสียงดัง
“เจ้าผิดแล้ว เจ้ามีวันนี้ไม่ใช่เพราะข้า แต่เป็นเพราะเจ้าทำขึ้นมาเอง เจ้าใจแคบ แม้ว่าข้าไม่ปรากฏตัวออกมา ก็ยังมีคนอื่นปรากฏตัวออกมา เจ้าก็จบไม่ดีเหมือนกันแน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เฉียวหมิ่นหัวเราะออกมาเสียงดัง “ข้าตีสองแม่ลูกนั้นตาย ได้จูหลานมา แม้ว่าจะจบไม่ดีแล้วจะทำไม อย่างไรก็มีพวกเขาเป็นเพื่อนข้า เส้นทางไปอีกโลกของข้าก็ไม่เหงาแล้ว”
“ใช่หรือ เกรงว่าแผนของเจ้าจะไม่เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้ลี่เอ๋อร์และเสี่ยวเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ดี”
เฉียวหมิ่นหยุดหัวเราะ ตาโต มีอาการคลั่งและกล่าวอย่างไม่เชื่อว่า “เป็นไปไม่ได้ สองแม่ลูกชั่วนั่นยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อ”
พูดจบ กดมีดที่วางไว้บนคอของจูหลานแรงขึ้นอีก กล่าวว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว ข้านับหนึ่ง สอง สาม หากเจ้ายังหลบอยู่หลังพวกเขา ข้าจะฆ่าเขาทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวผลักร่างของเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนออก ยืนอยู่ข้างหน้าจูหลานและเฉียวหมิ่น “ไม่ต้องนับแล้ว”
เฉียวหมิ่นหัวเราะออกมาเบาๆ อีกมือลูบผ่านรอยกัดทั้งตัวของจูหลาน รอยขีดข่วน รอยบวมแดงทั่วครึ่งตัวบน มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความยั่วยุ “เป็นอย่างไร พอใจกับร่างกายของจูหลานหรือไม่ ช่างน่าเสียดาย เจ้าหวังไว้ตั้งนาน แต่กลับยกให้คนอื่น เจ้าไม่รู้ว่าร่างนี้ของเขาทำให้คนรู้สึกดีมากแค่ไหน ทำให้ข้าขึ้นสวรรค์ได้ทุกครั้ง”
“เจ้าหุบปาก” จูหลานที่ถูกมัดไว้บนเตียง ขยับไม่ได้ตะคอกออกมาเสียงดังด้วยความโมโห
เฉียวหมิ่นหัวเราะหึๆ ฟังระดับเสียงแล้ว ยิ่งทำให้เสียงปานล่อแตกของนางยิ่งแหบไม่น่าฟังมากขึ้นไปอีก “นี่ อายจนโมโหไปแล้วหรือ ข้าแค่รู้สึกว่าคนรักเก่าของเจ้าคนนี้คิดถึงเจ้ามานานหลายปี แต่ไม่ได้ครอบครองเจ้า ก็เลยใจดีช่วยนางหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ถูกกระตุ้นให้ตกใจแม้แต่น้อยกับภาพตรงหน้า ยิ้มออกมา กล่าวว่า “แท้จริงแล้วคุณหญิงเฉียวมีความชอบแปลกๆ แบบนี้นี่เอง ชอบบังคับผู้ชาย ดูท่าทางตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมคงโดนสั่งสอนมาไม่น้อย”
นางพูดจบ ภาพที่ถูกทำร้ายร่างกายในแต่ละวันก็ผุดขึ้นมาทันที เฉียวหมิ่นร้องเสียงดังโวยวายออกมา “เจ้าหุบปาก ไม่ ไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะอีกครั้ง กล่าวว่า “คุณหญิงเฉียวจะปิดบังไปทำไม ดูท่าทางของเจ้าแล้ว เคยมีลูกมาก่อนแล้วแน่นอน ไม่ทราบว่าพ่อของลูกคือใครหรือ”
ประโยคนี้ กระตุ้นเฉียวหมิ่นอย่างหนัก ความทรงจำที่ไม่น่าจดจำในทุกคืนวันที่ผ่านมาพวกนั้นได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง คลั่งขึ้นมา มีดที่วางไว้บนคอของจูหลานก็ขยับตามไปมา “พวกเขาบังคับข้าทั้งนั้น ข้าไม่ได้ยินยอม ในใจข้ามีแค่จูหลานคนเดียว ข้ายอมมีลูกกับเขาแค่คนเดียว”
มองมีดขยับไปมา ใจของเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนก็สั่นไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวเพ่งมองการเคลื่อนไหวของนางอย่างตั้งใจ แต่ปากก็ยังคงเหน็บแนมกล่าวถามนางต่อ “ออ ใช่หรือ คุณหญิงเฉียวไม่ได้มีความสุขในนั้นจริงๆ หรือ หากเจ้าใช้ความตายขู่ กลัวว่าคงไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าหรอกใช่หรือไม่”
เฉียวหมิ่นคลั่งไปแล้วจริงๆ ตะโกนโวยวายเสียงดังออกมา มืออีกข้างปิดหูตัวเองส่ายหัวไปมา “เจ้าหุบปาก ห้ามพูดอะไรอีก”
ขณะนั้นเอง สายตาเยือกเย็นของเมิ่งเชี่ยนโยวผ่านไป ปล่อยมีดสั้นในมือออกมาอย่างรวดเร็ว แทงตรงเข้าไปที่แขนที่เฉียวหมิ่นถือมีดไว้ ในเวลาเดียวกันคนก็มาถึงข้างหน้าเฉียวหมิ่นอย่างรวดเร็ว
แขนถูกแทง มีดที่ถือไว้ตกลงมาบนตัวจูหลาน เสียงร้องเจ็บปวดยังไม่ทันร้องออกมา ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวเตะออกไปทันที
เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนมาถึงข้างเตียงในเวลาใกล้เคียงกัน หยิบผ้าห่มข้างๆ มา ห่มปิดร่างที่เปลือยเปล่าของจูหลาน
เฉียวหมิ่นถูกเตะออกไป ชนกับผนังห้อง แล้วเด้งกลับมา ตกลงบนพื้นอย่างแรง เลือดพุ่งออกมาจากปาก ไม่ขยับสักพัก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจนาง เดินมาข้างเตียง มองจูหลานที่ถูกทรมานจนไม่เหมือนผู้เหมือนคน กล่าวถามว่า “ท่านลุง ท่านป้าล่ะ”
จูหลานส่ายหัวไปมาด้วยความเจ็บปวด “ข้าไม่รู้ ข้าไม่ได้พบพวกท่านหลายวันแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินออกไป “ลี่เอ๋อร์และเสี่ยวเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
สายตาของจูหลานแสดงความดีใจออกมา
เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนไม่ได้ตามออกไป มองเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปไกลแล้ว จึงรีบช่วยกันแกะเชือกที่มัดจูหลานไว้ พยุงเขาขึ้นมา ช่วยเขาสวมใส่เสื้อผ้า
ตลอดการช่วยเหลือ จูหลานทำได้แค่หายใจแรงๆ ปล่อยให้พวกเขาช่วยตนอย่างไร้เรี่ยวแรง
มีทหารองครักษ์สองคนเดินเข้ามา ลากตัวเฉียวหมิ่นที่อยู่บนพื้นออกมาข้างนอก โยนไปข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
“ท่านลุงและท่านป้าล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามด้วยเสียงต่ำ
เฉียวหมิ่นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียบขาข้างหนึ่งบนตัวนาง กล่าวถามอีกครั้ง “คนล่ะ”
เลือดในปากของเฉียวหมิ่นยิ่งไหลออกมาเยอะมากขึ้น แต่ก็ยังคงไม่พูดอะไร ได้แต่มองนางด้วยความเคียดแค้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียบแรงขึ้นอีก ใบหน้าของเฉียวหมิ่นแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะกล่าวถามอีกครั้ง เสียงต่อสู้ด้านนอกหยุดลง ทหารองครักษ์ทุกคนค่อยๆ ขยับกลับมาเตรียมพร้อมในเรือน
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ กระพริบตา
เสียงของชายคมคนหนึ่งดังขึ้นมา “แม่นางเมิ่ง ออกมาพบกันหน่อย”
ชิงหลวนและจูหลีกระโดดมาอยู่ข้างนาง เรียกด้วยเสียงต่ำว่า “นายหญิง” เหมือนกับจะห้ามนางออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ห้ามพวกนางพูดต่อ เดินผ่านทหารองครักษ์อย่างไม่รีบร้อน มาถึงนอกเรือน
เห็นแค่คนใช้ของทางการที่ยืนถือคันธนูและลูกศรยืนเรียงกันเป็นแถว ลูกศรอยู่บนคันธนู เตรียมยิง และคนที่อยู่ข้างหน้าคนพวกนี้ คือคนที่มีหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง ชายที่สวมใส่ชุดขุนนาง เห็นนางออกมา ยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ได้ยินชื่อเสียงของแม่นางมานาน วันนี้ได้พบ เป็นหญิงที่เป็นแบบอย่างของสตรีจริงๆ ทำให้ข้าน้อยรู้สึกชื่นชมจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวตอบกลับไปอย่างเรียบๆ ว่า “ท่านชมเกินไปแล้ว ข้าไม่กล้ารับไว้จริงๆ”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมา “แม่นางเมิ่งเหมือนกับข่าวลือจริงๆ แต่ว่าช่างน่าเสียดาย ตั้งแต่วันนี้ กลัวว่าบนโลกนี้จะไม่มีคนอย่างแม่นางเมิ่งอีกต่อไปแล้ว”
“งั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมท่านถึงกล่าวเช่นนี้”
“คนฉลาดอย่างแม่นางเมิ่ง จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าที่ข้าพูดหมายความว่าอะไร” ชายหนุ่มกล่าวถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มรับคำ “ข้าไม่รู้จริงๆ หวังให้ท่านช่วยอธิบายให้ข้าฟัง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะอธิบายให้เจ้าฟัง ให้เจ้าตายไปอย่างเข้าใจ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่เต็มใจ
“เชิญท่านพูด” เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงกล่าวกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“จวนจูได้ทำผิดอย่างร้ายแรง ข้าได้สั่งคนปิดแล้ว ห้ามคนเข้าออกเด็ดขาด แต่แม่นางเมิ่งกลับทำร้ายคนใช้ของทางการโดยพลการ บุกเข้ามา มีโทษผิดถึงขั้นโดนประหาร”
ตอนที่ 182 วิกฤตที่เป็นอันตรายอย่างให...
“ไม่ทราบว่าจวนจูทำผิดขั้นรุนแรงอะไร รบกวนท่านช่วยบอกข้าหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผู้ว่าการเขตกะพริบตาหลายครั้ง หลีกเลี่ยงคำถามแล้วกล่าวว่า “จวนจูทำผิดรุนแรงอะไร ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้ แม่นางเมิ่งถามเช่นนี้ ก้าวก่ายเกินไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเคารพ “ข้าน้อยเติบโตที่บ้านนอก ไม่ค่อยเข้าใจกฎระเบียบจริงๆ หวังว่าท่านจะไม่ถือสาข้า”
ผู้ว่าการเขตหัวเราะออกมา “แม่นางเมิ่งพูดเล่นไปแล้ว ถ้าหากบนโลกนี้มีคนว่าเจ้าไม่เข้าใจกฎระเบียบ นั่นคือตาบอดแล้ว”
“ท่านกล่าวเช่นนี้ชมข้ามากไปแล้วจริงๆ ทำให้ข้าน้อยรู้สึกรับได้ความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ จนลืมว่าข้าเป็นใครไปแล้ว”
ผู้ว่าการเขตยิ้มเล็กน้อย กำลังจะกล่าว แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวก่อนว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าน้อยอยากกล่าวถามท่าน หวังว่าท่านจะตอบตามความจริง”
ผู้ว่าการเขตรับปากอย่างรวดเร็ว “เจ้าพูด”
ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมด้วยรอยยิ้ม แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับทำให้สีหน้าของนผู้ว่าการเขตเปลี่ยนเป็นสีแดงม่วงไปหมด “ไม่ทราบว่าเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังของท่านสัญญาว่าจะให้ตำแหน่งสูงส่งอะไรตอบแทนท่าน ถึงทำให้ท่านทำเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมได้”
ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวเปิดโปง รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ว่าการเขตก็หายไป เปลี่ยนความละอายเป็นความโกรธแล้วกล่าวว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าอย่าให้มันมากเกินไป วันนี้เจ้าเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือ แม้ว่าจะติดปีกก็หนีออกไปได้ยาก ถ้าเจ้ารู้ความ ก็ให้คนของเจ้าหยุดขัดขืน ยอมถูกจับแต่โดยดี ข้าจะไว้ชีวิตพวกเขา ถ้าหากไม่ วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดก็ไปพบยมบาลเป็นเพื่อนคนตระกูลจูเถิด”
รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เปลี่ยน “ท่านพูดไปใหญ่แล้ว ไม่กลัวลมหนาวบาดลิ้นของท่านเลย”
“เจ้า…” ผู้ว่าการเขตชะงักไป สีหน้าบนใบหน้ามีความดุร้ายขึ้น กล่าวด้วยความโมโหว่า “แม่นางเมิ่ง ข้าพูดด้วยความหวังดีไม่อยากให้เจ้าลำบากเพราะคนพวกนี้ แต่เจ้ากลับไม่รับความหวังดีนี้ แล้วยังเหน็บแนมข้า ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป จะส่งพวกเจ้าไปยมบาลทันที” พูดจบ โบกมือ ถอยหลัง
คนใช้ของทางการถือคันธนูแล้วเดินก้าวออกมา เล็งมาที่พวกเขา
ชิงหลวนและจูหลีบังอยู่ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
ทหารองครักษ์ทั้งหลายก็รวมตัวอยู่ข้างๆ นาง ล้อมพวกนางสามคนไว้
ลูกศรเตรียมพร้อมยิง
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มมองผู้ว่าการเขต ในสายตาเต็มไปด้วยความดูถูก
ผู้ว่าการเขตโมโหขึ้นจริงๆ ยกมือขึ้น ตรัสสั่งด้วยน้ำเสียงโมโห “เตรียมตัว…” คำว่ายิงยังไม่ทันเอ่ยออกจากปาก กลับมีคนกระโดดเข้ามาจากเรือนด้านนอกหนึ่งคน ตรงมาด้านหน้าผู้ว่าการเขต เตะเขาออกไปทันที
เรือนด้านนอกก็มีคนหลายคนกระโดดเข้ามา รีบกระโดดเตะนักยิงธนูที่ไม่ทันระวังตัวล้มลงทั้งหมด
และมีคนหนึ่งหยุดลงด้านหน้าทหารองครักษ์ทุกคน รีบกล่าวถามว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เห็นชัดว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียน ทุกคนค่อยๆ โล่งใจลงเล็กน้อย ต่างคนต่างออกห่างจากตัวเมิ่งเชี่ยนโยว ไปจัดการคนใช้ของทางการพวกนั้น
“ตอนนี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากเจ้ามาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย ข้าอาจเป็นตะแกรงไปแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาข้างหน้านางด้วยความตกใจ โอบกอดนางไว้บนอกแน่นๆ จับมือนางมาวางไว้บนหัวใจที่เต้นเร็วมากของตัวเอง กล่าวด้วยใจที่ยังกลัวอยู่ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ใจของข้ากลัวจนเกือบทะลุออกมา”
รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจที่แข็งแรงของเขา ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ค่อยๆ สงบลง กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “คนดีตายเร็ว คนเลวตายยาก เจ้าวางใจเถิด คนเลวๆ อย่างข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“ห้ามพูดจาเหลวไหล” หวงฝู่อี้เซวียนตะคอกห้ามนาง โอบกอดนางแน่นขึ้นไปอีก “ถ้าหากใครกล้าว่าเจ้าเป็นคนเลว ข้าจะฆ่าเขาทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันกล่าวอะไร เสียงไอที่เจ็บปวดของเฉียวหมิ่นก็ดังขึ้นมาจากข้างหลังพวกเขา เสียงแหบไม่น่าฟังก็ตามมา “หนุ่มน้อยช่างหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก ไม่แปลกเลยที่ตอนหลังเจ้าไม่ชอบจูหลานแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งสองหันหลังไปพร้อมกัน
ไม่รู้ว่าเฉียวหมิ่นลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่งอยู่บนพื้นอย่างลำบาก แต่ก็ยังยุให้รำตำให้รั่วด้วยรอยยิ้มว่า “น่าเสียดาย เจ้ามาช้าไป ไม่เห็นภาพเมื่อสักครู่ สายตาที่หญิงชั่วคนนี้จ้องร่างกายของจูหลานนั้น ดูท่าแล้วเจ้าจะเป็นคนที่ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง ไม่สามารถทำให้หญิงชั่วคนนี้พอใจได้”
ปังงง กระถางดอกไม้ที่อยู่ข้างๆ เท้าหวงฝู่อี้เซวียนลอยไป โดนบนศรีษะเฉียวหมิ่นเต็มๆ กระถางดอกไม้แตก ดินในกระถางผสมกับเลือดบนหน้าผากของเฉียวหมิ่นไหลลงมาด้วยกัน
เฉียวหมิ่นหงายหลังลงไป ท้ายทอยกระแทกพื้นอย่างแรง ไม่มีแม้แต่ลมหายใจ ก็สลบไปทันที
หวงฝู่อี้เซวียนไม่มองนางแม้แต่น้อย หันหลัง หันหัว โอบเมิ่งเชี่ยนโยวมาข้างหน้าผู้ว่าการเขต
ใบหน้าของผู้ว่าการเขตแสดงสีหน้ากลัว ตัวสั่นตลอดเวลา
“หวังเต๋อเซิ่ง”
ผู้ว่าการเขตตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ”
“รู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
แต่บนศรีษะของผู้ว่าการเขตกลับมีเหงื่อไหลออกมา กล่าวตอบด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “รู้ ข้าน้อยรู้ ท่านซื่อจือของอ๋องฉี”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ดีมาก” พูดจบ ก็กล่าวถามอีกว่า “รู้หรือไม่ว่านางคือผู้ใด”
ผู้ว่าการเขตกระพริบตา ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ไม่กล่าวอะไร
“ดูแล้วท่านจะไม่รู้ ไม่เป็นไรข้าบอกเจ้าเอง นางเป็นผู้หญิงของข้า พระชายาซื่อจื่อในอนาคต”
เขาเพิ่งพูดจบ ผู้ว่าการเขตตกใจจนก้มกราบลงบนพื้น ขอประทานอภัยโทษ “ซื่อจือไว้ชีวิตข้าเถิด ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าแม่นางเมิ่งเป็นผู้หญิงของท่าน หากข้ารู้ ให้ตายข้าก็ไม่กล้าทำเช่นนี้กับนาง”
“โอ้ งั้นหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยว เดินมาข้างหน้าเขา จ้องถามเขา
ผู้ว่าการเขตพยักหน้าแรงๆ ด้วยความกลัว “คำพูดของข้าน้อย…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็ถูกหวงฝู่อี้เซวียนเตะออกไปโดนนักยิงธนูคนหนึ่งที่ถูกจับกุมพอดี นักยิงธนูออกเสียงโอดโอยออกมา เจ็บจนสลบไป ส่วนผู้ว่าการเขตนั้นขาชี้ขึ้นฟ้า แล้วทับอยู่บนร่างของเขา เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเก็บรอยยิ้มไป เดินตรงมาทางเขาด้วยสีหน้าเยือกเย็น ผู้ว่าการเขตอยากให้ตนเป็นคนที่สลบไปจริงๆ
“ซื่อ ซื่อจือ ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ” กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ผู้ว่าการเขตยังเถียงต่อ
หวงฝู่อี้เซวียนหยิบกระดาษหลายใบออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อแล้วโยนไปข้างหน้าเขา
ผู้ว่าการเขตอตัวสั่นแล้วหยิบขึ้นมาเปิดออก เห็นเนื้อหาในนั้นแล้ว ใบหน้าซีดไม่เหลือสีเลือด ไม่กล้าเถียงอีก ร่างกายล้มลงบนพื้นทันที
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ “จับตัวหวังเต๋อเซิ่งไว้”
มีคนรับคำสั่ง เดินออกมาข้างหน้า หยิบหมวกของผู้ว่าการเขตออก จับกุมเขาไว้
เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี้หยวนพยุงจูหลานที่ไร้เรี่ยวแรงเดินออกมาจากห้อง ทั้งสามทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ “ไม่ต้อง”
ทั้งสามกล่าวขอบคุณ
จูหลานกล่าวด้วยเสียงอ่อนแรงว่า “ยังอยากขอร้องให้ซื่อจือและแม่นางเมิ่งช่วยด้วย ช่วยตามหาท่านพ่อท่านแม่ของข้า จูหลานจะขอบพระคุณอย่างยิ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสั่งทหารองครักษ์ทั้งหลายลงไปทันที
ทหารองครักษ์ทั้งหลายรีบแยกย้าย ไม่นานก็มีคนมารายงาน “นายหญิง เจอแล้วขอรับ”
จูหลานแสดงสีหน้าดีใจออกมา รีบกล่าวถามว่า “อยู่ที่ใด”
ทหารองครักษ์รายงานตามความจริงว่า “อยู่ในห้องเก็บฟืนด้านหลังเรือน”
รอยยิ้มดีใจบนใบหน้าของจูหลานหายไป แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา
“นำพวกข้าไป” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
ทหารองครักษ์นำทาง เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินตามหลัง จูหลานถูกเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี้หยวนพยุงไว้ รีบตามหลังมา
ประตูห้องเก็บฟืนได้ถูกเปิดไว้แล้ว แม้ว่ามีแสงส่องเข้าไปเพียงเล็กน้อย แต่ตอนที่ทุกคนเดินเข้าไปนั้น ก็ยังคงสัมผัสถึงอากาศหนาวเย็นที่ตีหน้าเข้ามา ส่วนท่านพ่อท่านแม่ของจูหลาน ก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นนี้ นอนหันข้างอยู่บนพื้นโดยที่ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ ท่านแม่” จูหลานที่ถูกเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี้หยวนพยุงเข้ามา พอเจอท่าทางของพ่อแม่ แล้วตะโกนออกมาด้วยความตกใจ สะบัดมือของทั้งสองออก เดินสะดุดคุกเข่าลงข้างๆ ทั้งสอง ยื่นมือสั่นๆ พลิกตัวของนายใหญ่จู
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง เอามือวางไว้ปลายจมูกของท่านลุงจู รู้สึกถึงลมหายใจอ่อนแรงของเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ยังมีชิตอยู่” พูดจบ ก็ยื่นมือไปวางไว้ปลายจมูกท่านป้าจูเพื่อทดสอบ
ทุกคนโล่งอก
ท่านป้าจูก็ยังมีลมหายใจอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยววางมือลง สั่งทหารองครักษ์ “ยกคนเข้าไปในห้อง”
ทหารองครักษ์เดินออกมา ยกท่านลุงจู ท่านป้าจูแล้วเดินออกไป
ร่างกายของจูหลานอ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งตกใจ ร่างกายยิ่งอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง อยากจะลุกขึ้นมาด้วย พยายามหลายครั้งก็ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี้หยวนเดินออกมา พยุงเขาขึ้นมา ตามทหารองครักษ์และเมิ่งเชี่ยนโยวมาห้องที่ใกล้ที่สุด
ทหารองครักษ์วางทั้งสองท่านไว้บนเตียง แล้วถอยออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวอยู่ข้างเตียง วัดชีพจรให้ทั้งสองท่าน
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว ยกเก้าอี้หนึ่งตัวแล้วเดินมาอยู่ข้างๆ นางด้วยความใส่ใจ แล้วส่งสายตาให้นางนั่งลง
จูหลานมองท่านพ่อ ท่านแม่ด้วยความกังวลตลอดเวลา ไม่มีกะจิตกะใจใส่ใจสิ่งพวกนี้
แต่เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี้หยวนกลับสบตากัน ต่างคนต่างเห็นถึงความตกใจในสายตาของกันและกัน
วัดชีพจรเสร็จ ดึงผ้าห่มข้างๆ ห่มให้ทั้งสองท่าน เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “อาการไม่หนักอะไร แค่หิวจนสลบไป ให้สาวใช้ในจวนต้มข้าวต้มมาให้ ดื่มลงไปไม่นานก็ฟื้นขึ้นมา”
ความกังวลของทุกคนค่อยๆ คลายลง
จูหลานกล่าวว่า “หลังจากลี่เอ๋อร์และเสี่ยวเอ๋อร์หายตัวไป เฉียวหมิ่นโมโหขึ้นมา จับคนใช้ทุกคนในจวนขังไว้ แม่นางเมิ่งให้คนปล่อยพวกเขาออกมาเถิด”
พูดจบ ก็มีสาวใช้คนสนิทที่ดูแลท่านลุงจู ท่านป้าจูเดินเข้ามาด้วยความกลัว ทำความเคารพจูหลาน “คุณ คุณชาย”
ข้างหลังตามมาด้วยทหารองครักษ์องครักษ์หนึ่ง รายงานกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “นายหญิง พวกข้าเจอคนใช้พวกนี้ที่ถูกขังไว้ ก็เลยปล่อยพวกเขาออกมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดสั่งสาวใช้ “สั่ง ให้พวกเขาต้มข้าวต้มมา”
สาวใช้รับคำสั่ง แล้วเดินออกไป
หลังจากคนใช้ทุกคนถูกปล่อยออกมา ก็มายืนอยู่ในเรือนนี้เพื่อรอรับคำสั่ง ฟังคำของสาวใช้คนสนิทแล้ว แม่ครัวหลายคนก็รีบไปต้มข้าวต้มในห้องครัวทันที
“พวกเจ้าทั้งหลายรออยู่ในห้อง ข้ากับอี้เซวียนไปจัดการเรื่องในเรือนก่อน ต้มข้าวต้มเสร็จแล้ว ก็ให้จูหลานดื่มด้วย สงบสติอารมณ์ ไปจวนเฉียวกับพวกข้า” เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นมา กล่าวกับทั้งสาม
ทั้งสามพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป มาถึงเรือนของจูหลาน
นักยิงธนูและผู้ว่าการเขตถูกจับกุมแล้ว เห็นทั้งสองเดินเข้ามา ทุกคนก็รู้สึกประหม่า มองทั้งสองด้วยความกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ใส่ใจ เดินผ่านคนพวกนั้นไป มาถึงหน้าประตูใหญ่
ข้างนอกก็มีนักยิงธนูคู่หนึ่งถูกคนที่หวงฝู่อี้เซวียนพามาจับกุมไว้ เหวินเปียวเดินมาข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด กล่าวว่า “นายหญิง ข้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขาพูดโทษตัวเอง กล่าวถามว่า “เรื่องนี้ไม่โทษเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีแผนสำรอง มีใครได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
“มีพี่น้องสามคนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ทำแผลแล้ว ไม่เป็นไรขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดสั่งว่า “ดูพวกเขาไว้ให้ดี ห้ามปล่อยแม้แต่คนเดียว”
เหวินเปียวรับคำสั่ง
ทุกคนที่มาล้อมรอบมุงดูเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตา ตอนนี้อารมณ์ก็ขึ้นลงตามหลายรอบแล้ว ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดสั่งเหวินเปียวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก็รู้ทันทีว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ ก็รีบยื่นคอยาวทันที เพื่อรอดูเรื่องวุ่นวาย แต่ก็ต้องทำให้พวกเขาผิดหวัง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดคำพูดพวกนี้จบ ก็หันหลังกลับเข้าไปจวนจูทันที
ทุกคนผิดหวัง แต่ก็เริ่มคาดเดาว่าชายหนุ่มที่ดูดีมีสง่าราศีคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยวคือผู้ใด
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ กลับเข้าไปในเรือนอีกครั้ง ยืนอยู่ตรงหน้าผู้ว่าการเขตที่ยังคงสั่นอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามว่า “ท่าน ข้ามีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง อยากให้ท่านช่วยอธิบาย”
ผู้ว่าการเขตมองนาง ริมฝีปากสั่น หลังจากเห็นสีหน้าไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียน ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา กล่าวถามตรงๆ ว่า “ข้าอยากรู้ว่า เมื่อไหร่ที่คนใช้ของทางการถูกฝึกอย่างเข้มงวด แล้วยังมีอาวุธที่ดีขนาดนี้ ทั้งหมดนี้มีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หรือว่าจัดเตรียมเพื่อจัดการข้าโดยเฉพาะ”
คนใช้ของทางการมีหน้าที่แค่ดูแลความสงบของพื้นที่ อาวุธที่ดีที่สุดคือมีดใหญ่บนเอว แต่ธนูเป็นอาวุธในค่ายทหาร ไม่ควรปรากฎในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ แต่ถ้าบอกว่ามีตั้งแต่แรกแล้ว นั่นหมายความว่าผู้ว่าการเขตคิดไม่ซื่อแน่นอน แต่ถ้าหากบอกว่าจัดเตรียมไว้ เพื่อจัดการเมิ่งเชี่ยนโยวโดยเฉพาะ ดูจากความโหดร้ายของหวงฝู่อี้เซวียนเมื่อสักครู่แล้ว คาดว่าสามารถเตะเขาตายคาที่แน่ๆ
ไม่ว่าจะตอบอย่างไรก็ไม่ถูก สีหน้าของผู้ว่าการเขตซีดไร้สีเลือด เหงื่อออกบนหน้าผาก ไม่กล้าเอ่ยตอบ
หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดเช่นนี้แต่แรก พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผู้ว่าการเขต ยิ่งทำให้มั่นใจว่าตนคิดถูก จึงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ค้นให้ทั่ว!”
ชายชุดดำที่มาพร้อมเขา ฉุดมือยิงธนูคนหนึ่งยืนขึ้นหมายจะค้นตัวเขา แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่ามือยิงธนูนี้จะลงมือชกไปทางชายชุดดำ ชายชุดดำไม่ทันตั้งตัวโดนชกกระเด็นออกไปไกล
ตอนที่ 183-1 ลงโทษ
เมื่อมือธนูที่เหลือเห็น ต่างพากันลุกขึ้น บุกไปทางชายชุดดำและทหารองครักษ์ที่กักคุมตัวเองไว้
หวงฝู่อี้เซวียนชายตามอง
นายอำเภอมองอย่างตกใจ ตัวสั่นรุนแรงกว่าเดิม
คนที่หวงฝู่อี้เซวียนพามาคือหลงเว่ย[1] ฝีมือดีกว่าทหารองครักษ์ไม่รู้เท่าไหร่ หลงเว่ยคนเมื่อครู่แค่ไม่ทันตั้งตัว จึงพลาดท่าให้มือธนู แต่ตอนนี้เขาไม่สะเพร่าอีกแน่ ทุกกระบวนท่าแม่นยำและดุเดือด เล็งไปตรงจุดสำคัญของมือธนู
มือธนูทั้งสิบก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน หลังจากแสดงฝีไม้ลายมือที่เก่งกาจจนทำให้ด่านหน้าต่างถอยกรูกัน แล้ว ทุกคนก็หยิบเม็ดยาออกมากจากแขนเสื้อ กลืนลงไป และส่งเสียงครวญขึ้นพร้อมกัน
สิ้นเสียงร้อง เลือดสีดำก็ไหลออกมาจากปากของมือธนู แล้วล้มลงนอนกองบนพื้น
นายอำเภอไม่เคยพบเจอมาก่อน เขาตกใจจนคุกเข่าลง
เหวินเปียววิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน สีหน้าแตกตื่น “ตงเจีย พวกเขา…” เมื่อเห็นศพที่อยู่ตรงหน้า ก็ชะงักไป
“คนข้างนอกก็ตายหมดแล้ว?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงเย็นชา
เหวินเปียวพยักหน้า
“อย่าตื่นตูม ดูแลที่เหลือให้ดี” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขา
เหวินเปียวพยักหน้า เดินจากไป
หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปหน้าศพ คิดจะตรวจสอบดู
“อย่าจับ!” เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดเตือนขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับไปมองนางอย่างสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหน้าศพ พูดขึ้นว่า “ศพมีพิษ”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไป มองไปที่ร่างนั้น เห็นผิวที่เปลือยเปล่าของมือธนูเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ สักครู่ทั้งร่างก็เปลี่ยนเป็นสีดำ
หวงฝู่อี้เซวียนดึงเมิ่งเชี่ยนโยวถอยหลัง “แผนร้ายกาจยิ่งนัก”
ไม่เพียงจะปิดปากพยาน ยังไม่หลงเหลืออะไรให้ตรวจสอบด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก คนพวกนี้กินยาฆ่าตัวตาย ทำให้ไม่มีหลักฐานสักชิ้นหลงเหลือให้ตรวจสอบ ถึงแม้จะรู้ว่านายอำเภอเป็นศิษย์ของมหาเสนาบดี พวกท่านไปมาหาสู่กันก็ตาม หากไม่มีหลักฐานมัดตัว ฮ่องเต้ก็ไม่ตัดสินพระทัยง่ายๆ แน่
หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน สีหน้าพลันนิ่งสงบ เดินไปหน้านายอำเภอ มองเขาด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อเห็นร่างศพเปลี่ยนเป็นสีดำ นายอำเภอก็รู้สึกเย็นยะเยือก สิ่งที่นายอำเภอส่งคนมาบอกว่า ‘หากกระทำการสำเร็จ ข้าจะแต่งตั้งยศสูงพร้อมผลตอบแทนอันงามให้ และขึ้นตำแหน่งให้สามขั้น แต่หากทำไม่สำเร็จ เจ้าจงรับผิดชอบผลที่ตามมาทั้งหมด ส่วนครอบครัวของเจ้า ข้าจะดูแลพวกเขาอย่างดี’ ดังขึ้นในหัวเขาอีกครั้ง คิดถึงตรงนี้ มือขวาที่สั่นเทาค่อยๆ สอดเข้าไปในแขนเสื้อ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเขาเปลี่ยนสีหน้าไปมา จึงคอยจับตามองเขา เมื่อเห็นว่าเขาเอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ รีบสั่งทหารองครักษ์ด้วยความสงสัย “กดเขาไว้”
เมื่อนางพูดจบ ทหารองครักษ์ก็กดตัวนายอำเภอไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งอย่างเย็นชา “ค้นตัว!”
ทหารองครักษ์ดึงมือเขาออก ยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อเขา ค้นเจอยาเม็ดหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปหวังจะตรวจสอบ หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือมาห้ามนางไว้ ส่งสายตาให้หลงเว่ยหยิบยาไป
หลงเว่ยเดินมา หยิบเม็ดยาไป เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาเป็นห่วงนาง ไม่ได้พูดอะไร
สีหน้านายอำเภอหม่นหมองเหมือนคนตาย
หลังจากที่นายท่านจูและฮูหยินทานข้าวต้มไปแล้วก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาทันที แต่ในเมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าพวกเขาไม่เป็นอะไรมาก จูหลานก็เชื่อว่าพวกท่านจะตื่นขึ้นมาเร็วๆ นี้ เมื่อทานข้าวต้มไปสองสามคำ รู้สึกมีแรงขึ้นมา จึงลุกขึ้นยืน สั่งให้บ่าวหญิงดูแลท่านพ่อท่านแม่ของตนให้ดี ส่งสัญญาณมือปฏิเสธเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนที่กำลังประคองเขาอย่างสุภาพ แล้วเดินมาลานบ้านของตนเพียงคนเดียว เมื่อเห็นศพสีม่วงคล้ำที่นอนเรียงรายอยู่ ก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องของตนเพื่อเปลี่ยนผ้าสะอาดและล้างหน้าแต่งตัว แล้วจึงเดินออกจากห้อง พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสีหน้าสงบว่า “ไปเถอะขอรับ ไปจวนเฉียวกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินออกไปพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน
ทหารองครักษ์ท่านหนึ่งประคองร่างที่ไม่ได้สติของเฉียวหมิ่นเดินตามพวกเขาไป โดยที่ไม่ต้องออกคำสั่ง
จูหลานเดินตามหลังสุด
ถึงหน้าประตู เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้าก่อน หวงฝู่อี้เซวียนส่งสัญญาณมือให้หลงเว่ย แล้วจึงตามขึ้นรถม้าไป
จูหลานขึ้นรถม้าคันหลัง
ชิงหลวน จูหลี และทหารองครักษ์นับสิบคนตามหลังไป มีเพียงหลงเว่ยคนเดียวที่ไม่ขยับไปไหน ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูจวนจู
รถม้ามุ่งไปทางจวนเฉียว
ผู้คนที่มุงดูเห็นเฉียวหมิ่นถูกครึ่งลากครึ่งประคองไปตามหลังรถม้า รู้ว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่ๆ จึงตามหลังรถม้ามุ่งไปจวนเฉียวอย่างสอดรู้สอดเห็นเช่นกัน
เมื่อถึงหน้าประตูจวนเฉียว เหวินเปียวหยุดรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เห็นประตูของจวนเฉียวปิดสนิท ไร้ซึ่งเสียงผู้คน พวกเขาสบตากัน
จูหลานลงจากรถม้า เดินไปหาทั้งสอง พูดขอร้องว่า “นี่เป็นเรื่องของข้าและเฉียวหมิ่น โปรดให้ข้าจัดการเองเถอะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างไม่เห็นด้วย
“ข้ากับเฉียวหมิ่นหมั้นกันตั้งแต่เล็ก ท่านลุงเฉียวและป้าเฉียวเห็นข้าแต่เล็ก ความผูกพันที่มีต่อข้าก็มีไม่น้อย แม้ข้าจะถอนหมั้นกับเฉียวหมิ่นแล้ว พวกท่านก็ไม่น่าทำเช่นนี้ ข้าอยากถามกับปากตัวเอง ว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้” จูหลานกล่าว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าช้าๆ
จูหลานประสานมือคารวะ เดินไปหน้าประตูจวนเฉียว เคาะประตูเบาๆ พูดขึ้นเสียงดังว่า “ท่านลุงเฉียว ท่านป้าเฉียว ข้าน้อยจูหลานเอง รบกวนท่านเปิดประตูด้วยเถิด ข้ามีเรื่องอยากจะถามขอรับ
ในเรือนไม่มีเสียง
จูหลานพูดเสียงดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ยังคงไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
ตะโกนไปสองรอบไม่มีเสียงตอบรับ จูหลานรู้สึกไม่ชอบพามากล ออกแรงใช้มือผลักประตูเข้าไป ประตูที่หนักอึ้งของจวนเฉียวกลับถูกเปิดออก
จูหลานเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนสบตากันชั่วครู่ เดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ในเรือนบ้านเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงคน เมิ่งเชี่ยนโยวระวังตัว ส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์ประกบตัวจูหลาน คอยคุ้มตัวเขาไว้
จูหลานคุ้นเคยกับจวนเฉียวเป็นอย่างดี จึงเดินตรงเข้าไปที่เรือนหลักทันที เมื่อไปถึงที่ประตู ฝีเท้าก็หยุดชะงัก รีบเดินไปข้างหน้า คารวะท่านพ่อและฮูหยินเฉียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “ข้าน้อยจูหลานขอคารวะท่านลุง ท่านป้าขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามมาที่เรือน เห็นนายท่านเฉียว ฮูหยินเฉียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม บ่าวหญิง บ่าวใช้ทั้งหลายยืนอยู่ทั้งสองข้างอย่างสุภาพ
นายท่านเฉียวยื่นมือไปประคองจูหลาน “คุณชายจูทำตัวตามสบายเถอะ ข้าไม่สมควรถูกเจ้าเรียกว่าท่านลุงหรอก”
จูหลานโค้งตัวแล้วยืนตรง พูดว่า “ท่านลุงเฝ้าดูข้าจนเติบใหญ่ ดูแลข้ามาอย่างดี จูหลานจำได้เสมอ ไม่มีวันลืมขอรับ”
นายท่านเฉียวหัวเราะ สายตามองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่งไม่เจอหลายปี รูปงามขึ้นเยอะเลยนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม พูดว่า “นายท่านเฉียวชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง ข้าก็แค่พอดูได้ ไม่ถึงกับงามอะไรหรอก”
นายท่านเฉียวหัวเราะ ถามขึ้น “แม่นางเมิ่งถ่อมตัวไปแล้วล่ะ รูปพรรณเจ้าไม่เพียงสวยงาม อายุน้อย แต่กลับทำการค้าขายได้ดิบได้ดี ทำเอาข้าเองที่เป็นคนค้าขายมาตลอดครึ่งชีวิตยังชื่นชมเจ้าเลย หากไม่ใช่ว่าเราต้องมาเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่ดีเช่นนี้ ข้ายังอยากขอคำแนะนำจากเจ้าเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างมีนัยยะว่า “นายท่านเฉียวอวยข้าเกินเหตุแล้ว ข้าแค่ลองผิดลองถูกจนได้ดีมาบ้าง เทียบกับท่านที่ค่อยๆ สร้างทุกอย่างทีละขั้นทีละตอนอย่างมั่นคงจนมีการค้าของครอบครัวมิได้หรอก”
ใบหน้านายท่านเฉียวแสดงความเจ็บปวดอยู่แวบหนึ่ง และหายไปอย่างรวดเร็ว หัวเราะและพูดขึ้นว่า “เงินทองเป็นเพียงสิ่งนอกกาย ตอนเกิดมาไม่มี ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้ ตอนนี้ข้าก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว จะได้ไปอย่างสะอาดบริสุทธิ์เสียที”
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองคนในเรือนอย่างเงียบๆ ยิ้มและพูดขึ้นว่า “นายท่านเฉียวคงตัดสินใจผิดไป ตั้งแต่ที่ความโลภเข้าครอบงำ ท่านก็ไม่สามารถชำระล้างตนให้สะอาดได้แล้ว”
นายท่านเฉียวชะงักไปครู่หนึ่ง และกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว หัวเราะและพูดว่า “ข้าไม่รู้เลยว่าแม่นางเมิ่งมีความสามารถอ่านใจคนด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา ยิ้มไม่ได้พูดอะไร
นายท่านเฉียวก็ไม่ได้สนใจอะไร หันไปที่หวงฝู่อี้เซวียน ไม่ได้ลุกขึ้น แค่ประสานมือ พูดขึ้นว่า “ท่านนี้คือซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีที่เขาเล่าลือกันสินะ เป็นที่ล่ำลือกันว่าซื่อจื่อสง่าผ่าเผย วันนี้ได้พบเองกับตา ช่างสมกับที่เขาล่ำลือเสียจริง ทุกวันนี้ตาแก่อย่างข้าไม่ได้คล่องแคล่วเหมือนอย่างเคย ลุกขึ้นคารวะเจ้าไม่ได้ โปรดอภัยให้ด้วยเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร
นายท่านเฉียวก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน หุบรอยยิ้ม สั่งบ่าวใช้ว่า “ไปยกเก้าอี้มาให้แขกผู้มีเกียรติของเราหน่อย”
บ่าวใช้ขานรับ เข้าไปยกเก้าอี้มาสามตัวให้ทั้งสามคน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เกรงใจ นั่งลงทันที
ร่างกายจูหลานก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน จึงนั่งลงตามไป
นายท่านเฉียวหันไปมองจูหลาน ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณชายจู เจ้าอยากมาถามข้าว่าเหตุใดจึงยอมตามใจหมิ่นเอ๋อร์ทำอย่างนี้ใช่ไหม”
จูหลานพยักหน้า “หลานไม่เข้าใจจริงๆ ขอรับ หวังว่าท่านจะช่วยให้กระจ่าง”
นายท่านเฉียวลูบหนวดตัวเอง พูดว่า “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็คงไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีก เจ้าก็รู้ ข้ามีหมิ่นเอ๋อร์ลูกสาวเพียงคนเดียว คอยตามใจนางมาตลอด แล้วยังเป็นหัวแก้วหัวแหวนของท่านป้าเจ้า ทะนุถนอมประดุจทรัพย์สินล้ำค่า รักและดูแลจนนางเติบใหญ่ ถึงแม้นางจะถูกเราตามใจจนเสียคน แต่ความจริงใจที่นางมีให้เจ้านั้นจริงแท้แน่นอน เมื่อห้าปีก่อน เพราะว่านางสั่งคนลักพาตัวน้องชายของแม่นางเมิ่งทำให้นางเสียโฉม ถูกนำตัวไปกวนอี้ ตอนนั้นเพราะแรงกดดันจากใต้เท้าเปาจึงยอมรับโทษแต่โดยดี แต่เจ้ากลับทุ่มหินซ้ำคนตกบ่อ ไม่เพียงแต่ไม่ปกป้องนาง ซ้ำยังถอนหมั้นกับนางอีก นางหมั้นหมายกับเจ้าตั้งแต่เด็ก อยากจะแต่งกับเจ้าเพียงผู้เดียว แม้นางจะดื้อรั้นไปหน่อย เจ้าก็ไม่ควรไร้น้ำใจเช่นนี้ ตั้งแต่นั้นมาข้าจึงแค้นเคืองเจ้า โดยเฉพาะเมื่อเราต้องมอบเงินทองก้อนโตถึงได้เจอนาง เมื่อเห็นนางมีชีวิตประหนึ่งคนตาย ในใจข้ายิ่งโกรธแค้น จึงสาบานว่าจะต้องแก้แค้นแน่นอน เพื่อปลดปล่อยให้ลูกสาวข้าเป็นอิสระอีกครั้ง
พูดถึงตรงนี้ เหมือนท่านจะพูดจนเหนื่อย ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงพูดต่อว่า “และเป็นไปตามคาด โอกาสแก้แค้นมาถึง นายอำเภอคนใหม่เป็นญาติห่างๆ ของข้า เป็นคนโลภมากและเจ้าชู้ ข้าจึงเอาใจท่านด้วยการส่งหญิงรูปงามผิวขาวผ่องให้ท่านได้เริงรมณ์ และยังให้เงินทองหมื่นเหรียญกับท่าน ท่านจึงยกเลิกความเป็นทาสให้นาง และถูกปล่อยออกมา แต่ความทุกข์ทรมานสองสามปีที่ผ่านมานี้ ลูกสาวข้าไม่เพียงสูญเสียความบริสุทธิ์ ซ้ำยังทิ้งร่างที่อ่อนแอทรุดโทรมไว้ มีเวลาไม่มากให้ใช้ชีวิตที่ดีแล้ว พรหนึ่งเดียวที่นางต้องการคือการได้เจ้ามา แม้ให้ตายเลยทันทีก็ยอม แล้วเราจะยอมเพิกเฉยนางได้อย่างไร เราจึงวางแผนกับผู้ใหญ่นายอำเภอ ปิดจวนจูไว้ และส่งหมิ่นเอ๋อร์เข้าไป”
ตอนที่ 183-2 ลงโทษ
แปะ แปะ แปะ เมื่อเขาพูดจบ เสียงปรบมือของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น หัวเราะและพูดว่า “นายท่านเฉียวแสดงความรักพ่อลูกได้ดีเยี่ยมจริงเชียว เชี่ยนโยวรู้สึกชื่นชมมาก”
นายท่านเฉียวขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่พอใจนัก “แม่นางเมิ่งพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าหมายถึงอะไร นายท่านน่าจะรู้ดี นายท่านแสร้งไม่รู้ทั้งๆ ที่รู้เรื่องทำไมล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและถาม
นายท่านเฉียวแสดงสีหน้าโมโห “แม่นางเมิ่งเขาว่ากันว่า สิ่งที่คนใกล้ตายพูดเป็นความจริงเสมอ ชีวิตข้าก็อยู่ได้ไม่นานนักแล้ว เหตุใดข้าจึงต้องพูดปดอีกเล่า”
“เช่นนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและถามกลับ
นายท่านเฉียวสีหน้าจริงจัง “แน่นอนสิ”
“พาแม่นางเฉียวเข้ามา” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งพลางยิ้ม
ทหารองครักษ์เดินเข้ามา นำร่างกึ่งตายกึ่งมีชีวิตที่หน้าเต็มไปด้วยเลือดของเฉียวหมิ่นโยนลงบนพื้น
ฮูหยินเฉียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้และไม่ได้พูดอะไรมาตลอดก็ร้องอย่างเวทนาขึ้นมาทันที “หมิ่นเอ๋อร์!”
สายตานายท่านเฉียวกลับปรากฏความขุ่นเคืองขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้จะเพียงชั่วครู่ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็จับตามองทัน
สีหน้านายท่านเฉียวกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว ร้องด้วยความเวทนาขึ้นทันที “หมิ่นเอ๋อร์!” แล้วถามขึ้นด้วยความโกรธ “พวกเจ้าทำอะไรกับหมิ่นเอ๋อร์ลงไป”
“ไม่ว่าทำอะไรลงไป นี่เป็นจุดจบที่แม่นางเฉียวสมควรได้รับ นายท่านเฉียวก็รู้ดีอยู่แก่ใจมิใช่หรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
“เจ้า…” นายท่านเฉียวจุกจนหน้าแดง ผ่านไปชั่วครู่จึงพูดอย่างโมโหว่า “แม่นางเมิ่งเจ้าอย่ารังแกคนเกินไปหน่อยเลย แม้เรื่องของหมิ่นเอ๋อร์จะเป็นเพราะเราทำไม่ถูก แต่นั่นก็เพราะเรารักลูกเกินไป ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่นเลย แล้วเหตุใดเจ้ายังคาดคั้นเรา”
“เป็นเช่นนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อน ยิ้มเบาๆ และถามกลับว่า “นายท่านเฉียวไม่ใช่ต้องการใช้แม่นางเฉียวเป็นเครื่องมือเหมือนกระดานกระโดดน้ำหรือ ท่านใช้นางมาแลกกับอนาคตที่สดใสของลูกชายท่านไม่ใช่หรือ”
“ปากพล่อย!” นายท่านเฉียวโกรธจนตบเก้าอี้ฉาดใหญ่ สั่นเทาไปทั้งตัว “แม่นางเมิ่งเจ้านี่มักชอบปั้นน้ำเป็นตัว ยุแหย่ให้คนแตกหักกันงั้นรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มและถามอย่างไม่รีบไม่ร้อน ไม่รนไม่รานว่า “ในเมื่อนายท่านเฉียวยึดมั่นว่าตนทำเพื่อแม่นางเฉียวขนาดนี้ ส่งนางเข้าไปในจวนจู เช่นนั้นก็ควรบอกนางให้ปฏิบัติต่อคนในจวนจูให้ดี เพื่อชนะใจจูหลานอีกครั้ง ไม่ใช่ปล่อยตามใจนางทำร้ายลี่เอ๋อร์และท่านแม่ของนาง จนเกือบจะทำให้จูหลานตาย ท่านไม่ทราบหรือว่าผลของการทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้จูหลานยิ่งเกลียดชังนาง”
นายท่านเฉียวสายตาลอกแลก ไม่กล้ามองตาเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ
ฮูหยินเฉียวรู้ว่าคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวต้องมีความหมายแฝง หันไปมองนายท่านเฉียว
ผ่านไปชั่วครู่ นายท่านเฉียวตอบอย่างเนิบช้าว่า “หลังจากที่หมิ่นเอ๋อร์เข้าไปในจวนจู ผู้ใหญ่นายอำเภอก็สั่งให้ปิดจวนจู แม้แต่พวกข้าก็เข้าไปไม่ได้ แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางทำอะไรในนั้น”
“ทุกการกระทำของแม่นางเฉียวไม่ใช่ได้รับการชี้แนะจากท่านหรอกหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สายตานายท่านเฉียวลอกแลกอีกครั้ง พูดอย่างเกร็งๆ ว่า “แม่นางเมิ่งเจ้าอย่านำความเท็จมาใส่ร้ายข้าสิ หากข้าชี้แนะให้หมิ่นเอ๋อร์ทำเช่นนี้ จะมีประโยชน์อะไรกับพวกข้าล่ะ”
“มีประโยชน์แน่นอนสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างเย็นชา “มันจะนำพามาซึ่งตำแหน่งสูงส่ง และอนาคตที่สดใสแก่ลูกชายท่านไงล่ะ”
นายท่านเฉียวยังคงพูดตลบตะแลง “แม่นางเมิ่งยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะแล้ว เรื่องพวกนี้เกี่ยวอะไรกับลูกชายข้ารึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียง หึ เบาๆ ในลำคอ ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้านายท่านเฉียว จ้องตาท่าน
นายท่านเฉียวถูกจ้องจนทำตัวไม่ถูก ก้มหน้าลง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม หันหลังเดินไปหน้าเฉียวหมิ่น นั่งยองลง พูดกับเฉียวหมิ่นที่ตอนนี้มีสติแล้วว่า “แม่นางเฉียว เจ้ารู้หรือเปล่า จุดประสงค์ที่ท่านพ่อเจ้าชี้แนะให้เจ้าทำเช่นนี้คืออะไร”
“ก็ต้องการให้ข้าแก้แค้นความไม่ใยดีของจูหลานไงล่ะ” เฉียวหมิ่นตอบอย่างแค้นเคืองและหนักแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องนาง มุมปากขยับขึ้นด้วยความประชดประชัน พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “แม่นางเฉียวประเมินตนสูงไปหน่อยแล้ว ที่ท่านพ่อเจ้าชี้แนะเจ้าทำเช่นนี้ ก็เพราะท่านได้ยินว่าข้ากลับมา รู้ว่าเมื่อข้ารู้เรื่องของตระกูลจูแล้ว จะต้องมาช่วยอย่างไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ถึงตอนนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังก็จะฆ่าข้าทิ้ง ส่วนท่านพ่อของเจ้าก็จะมีผลพลอยได้ ช่วยพี่ชายแสนดีของเจ้าให้ได้เป็นข้าราชการ จะได้หลุดจากสถานะพ่อค้า ทำให้ตระกูลเฉียวมีเกียรติยศชื่อเสียง”
สิ้นเสียงนาง ทั้งเรือนเงียบสงัด
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตรงกับสิ่งที่นายท่านเฉียวคิดทุกอย่าง เขาตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ฮูหยินเฉียวไม่เชื่อว่านายท่านเฉียวจะใช้ลูกสาวตนเองมาเป็นหินรองเท้าเพื่อชูลูกชายตน
เฉียวหมิ่นก็ไม่เชื่อว่าท่านพ่อของตนจะทำเช่นนี้
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตา นัยน์ตาไฟลุกโชน
ผ่านไปชั่วครู่ เฉียวหมิ่นส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่เล็กท่านพ่อรักข้าที่สุด ท่านพ่อไม่ทำอย่างนี้กับข้าแน่…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกขึ้น “ก่อนที่เจ้ายังไม่เป็นอะไรอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะว่าตอนนั้นเจ้ายังอยู่ในช่วงวัยรุ่งโรจน์ และยังหมั้นหมายอยู่กับจูหลาน หากพวกเจ้าสองคนแต่งงานกัน ต่อไปการค้าของเขตชิงเหอก็เป็นของสองตระกูลนี้แล้ว แต่เจ้ากลับฆ่าตัวเอง ถูกตัดสินให้เป็นทาส ส่งตัวไปที่กวนอี้ ด้วยนิสัยของนายท่านเฉียว ท่านจะยอมทนให้รอยเปื้อนอันใหญ่หลวงเช่นนี้ดำรงอยู่หรือ ไม่เช่นนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้เหตุใดพวกท่านจึงไม่ถามไถ่สารทุกข์ของเจ้าเลยล่ะ จนคิดได้ว่าเจ้ายังมีค่าให้ใช้ประโยชน์อยู่บ้าง จึงไถ่ถอนเจ้าออกมา”
“พูดจาเหลวไหลสิ้นดี ที่ท่านพ่อไม่ได้ไถ่ถอนข้าออกมา เพราะว่าใต้เท้าเปาเพิ่งย้ายไป นายอำเภอคนใหม่ไม่สนิทสนมกับพวกข้า ท่านพ่อข้าไหว้วานให้ช่วยไม่ได้” เฉียวหมิ่นยังคงตะคอกอย่างบ้าคลั่ง
“อืม” เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นด้วย “ทุกอย่างเป็นอย่างที่เจ้าพูด นายท่านเฉียวหาทางช่วยเจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้นายอำเภอคนล่าสุดมาแล้ว ท่านอยู่มาปีกว่าแล้ว เหตุใดจึงเพิ่งไถ่ถอนเจ้าออกมาล่ะ”
เฉียวหมิ่นยังไม่ทันตอบ นายท่านเฉียวตัวโอนเอนลุกขึ้นยืน พูดขึ้นว่า “เจ้าอย่าพูดพล่อยไปหน่อยเลย บิดเบือนความจริงทั้งนั้น หมิ่นเอ๋อร์เป็นหัวแก้วหัวแหวนของข้า ข้าคอยคิดหาวิธีไถ่ถอนนางออกมาตลอดเวลา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น นั่งลงบนเก้าอี้ ยิ้มให้นายท่านเฉียว และถามขึ้นว่า “ท่านคิดหาวิธีให้แม่นางเฉียวเป็นศพเป็นเพื่อนท่านหรือ”
ฮูหยินเฉียวตื่นจากความตกตะลึง ถามเสียงสูงว่า “แม่นางเมิ่ง พูดจาเหลวไหลสิ้นดี อยากให้บ้านเราแค้นเคืองกันเองรึ”
“ฮูหยินเฉียวพูดผิดไปแล้ว ข้าแค่รู้สึกไม่ยุติธรรมกับแม่นางเฉียวแม้นางจะทำผิด อย่างไรนางก็เป็นลูกสาวของพวกท่าน พวกท่านกลัวว่าต่อไปนางจะเป็นตัวถ่วงของลูกชายท่าน ปลุกปั่นนางทำเรื่องชั่วร้าย ให้ไปเป็นศพเป็นเพื่อนพวกท่าน”
“พอแล้ว!” บัดนี้ฮูหยินเฉียวผู้มีความเมตตาอ่อนโยนบันดาลโทสะ ถามเสียงแหลม “แม่นางเมิ่ง ทำเรื่องชั่วเยอะ กรรมจะตามสนองนะ เจ้ายุแหย่ความสัมพันธ์ของครอบครัวเราเช่นนี้ ไม่กลัวผลกรรมเลยรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า “ได้ยินมาว่าฮูหยินเฉียวเป็นคนฉลาดหลักแหลม อยู่ข้างนอกไม่เพียงช่วยงานค้าขายของนายท่านเฉียวได้ ในเรือนก็ยังจัดการดูแลจวนเฉียวได้อย่างเป็นระเบียบ เหตุใดตอนนี้จึงสับสนล่ะ ไม่ใช่ว่าพอจะเดาได้ว่าเจตนาของนายท่านเฉียวคืออะไร จึงรู้สึกกลัวหรอกหรือ”
ฮูหยินเฉียวลุกขึ้นด้วยท่าทางน่าเกรงขาม ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย พูดว่า “ข้าไม่มีอะไรต้องกลัว ในเมื่อเจ้าบอกว่านายท่านยอมเสียลูกสาวเพื่อช่วยลูกชาย เช่นนั้นเจ้าเอาหลักฐานมาสิ”
“ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น พูดว่า “หากข้าเดาไม่ผิด นายท่านเฉียวและฮูหยินเฉียวคงดื่มยาพิษไปแล้ว จึงนั่งรอพวกข้ามาที่นี่ใช่ไหม”
ฮูหยินเฉียวชะงักไปชั่วครู่ พยักหน้าและตอบอย่างไม่อ้อมค้อม “ใช่ แม่นางเมิ่งพูดถูก เราตัดสินใจทำเรื่องไม่ดีเพียงอารมณ์ชั่ววูบ จะต้องได้รับโทษแน่นอน แต่เรารุ่งโรจน์มาตลอดชีวิตแล้ว ไม่อยากให้เราแก่แล้วยังต้องคิดคุก ก็เลยดื่มยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า แล้วรอให้แม่นางมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวอย่างผิดหวัง “ข้าคิดว่าฮูหยินเฉียวเป็นยอดสตรี กล้าทำก็กล้ายอมรับผิด ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าที่พวกท่านนั่งตรงนี้ พูดมาเสียเยอะ ก็เพื่อประวิงเวลาให้ลูกชายและลูกสะใภ้แสนดีของพวกท่านพาลูกหนีไป”
สีหน้าฮูหยินเฉียวตกใจหนักกว่าเดิม โพล่งพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“พวกท่านตั้งใจที่จะตายอยู่แล้ว จัดฉากให้บ่าวใช้มายืนเสียยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่มีลูกชายหนึ่งเดียวของท่าน ไม่แปลกไปหน่อยหรือ”
“มีอะไรน่าแปลกหรือ ตระกูลเฉียวเราต้องสืบเชื้อสายต่อไป นี่เป็นกฎธรรมชาติอยู่แล้ว” ฮูหยินเฉียวพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวหยักหน้า “พวกท่านปล่อยลูกชายไป ช่วยยื้อเวลาให้เขา แต่กลับปล่อยให้ลูกสาวตนตกอยู่ในอันตราย ข้าลองคิดๆ ดู ฮูหยินเฉียว นี่ไม่ใช่หลักฐานอันดีที่พวกท่านทอดทิ้งนางไปหรอกหรือ”
“พวกเจ้ามาเร็วเกินไป เมื่อพวกเรารู้ข่าว เจ้าก็พาคนบุกจวนจูแล้ว ไม่ทันได้แจ้งข่าวให้หมิ่นเอ๋อร์หนีไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวอย่างเสียใจ “ฮูหยินเฉียว ตอนนั้นพวกท่านวางแผนกันว่าให้รั่วหลานลงมือคืนวันฉูซี[1] เช้าวันชิวอิก[2] ไม่มีข่าวคราวส่งมา พวกท่านก็รู้แล้วว่าลงมือไม่สำเร็จ ตอนนั้นมีเวลาเพียงพอให้คุณหนูเฉียวหนีไป แต่พวกท่านกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะอะไรล่ะ”
ตอนที่ 184 พังพินาศ
ฮูหยินเฉียวตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “หมิ่นเอ๋อร์รักจูหลานเพียงคนเดียวมาหลายปี พวกเราสมควรให้นางสมหวัง ดังนั้น เราจึงไม่ได้บอกให้นางจากไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม “แต่พวกท่านกลับเตรียมแผนไว้สองแผน แผนหนึ่งคือหากข้าถูกจับ แผนพวกท่านสำเร็จ ก็ยังไปขอรางวัลจากคนเบื้องหลังได้ อีกแผนหนึ่งคือหากกระทำมิสำเร็จ พวกท่านจะยอมสละชีพช่วยยื้อเวลาให้ลูกชายท่าน ให้เขาพาภรรยาหนีไป แต่แผนทั้งสองนี้กลับไม่ได้คำนึงถึงลูกสาวผู้ที่ปากพวกท่านพร่ำบอกรักนักรักหนาเลย”
สีหน้าฮูหยินเฉียวซีดเผือด ผ่านไปชั่วครู่จึงกัดฟันยอมรับ “ใช่ ทั้งหมดนี้เป็นข้อสรุปที่ข้าปรึกษากับนายท่านแล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเสียงเดาะลิ้นของเมิ่งเชี่ยนโยวขัดขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเฉียวหมิ่น พูดด้วยน้ำเสียงเวทนา “คุณหนูเฉียว เจ้าได้ยินหรือยัง นี่ก็คือท่านพ่อท่านแม่ที่แสนดีของเจ้า ผู้ที่เบื้องหน้าแสร้งทำว่าทำเพื่อเจ้า แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างก็เพื่อพี่ชายที่แสนดีของเจ้า ใช้เจ้าเป็นหินรองเท้า มอบอนาคตที่สดใสให้เขา”
เฉียวหมิ่นเช็ดเลือดที่ไหลลงบนมุมตา เพื่อให้ตัวเองมองเมิ่งเชี่ยนโยวชัดขึ้น พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้ามันสารเลว ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก ท่านพ่อท่านแม่ข้าดูแลข้าอย่างไร ข้ารู้ดี แม้จะใช้ข้าเป็นหินรองเท้าแล้วอย่างไร ร่างอันเสื่อมโทรมของข้าเองก็มีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว แค่ข้ายังช่วยพี่ใหญ่ยื้อเวลาไปได้ รักษาให้ตระกูลเรายังสืบทอดต่อไปได้ ก็คุ้มค่าแล้วล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัว ไม่มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย “คุณหนูเฉียว เจ้าใสชื่อเกินไป ตั้งแต่ที่เจ้าทำร้ายลี่เอ๋อร์แม่ลูกคู่นั้น ข้าก็สาบานว่า ต่อไปจะทำให้ชีวิตเจ้ามอดไหม้ อยากตายไม่ได้ตาย อยากเกิดใหม่ไม่ได้เกิด เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ได้ตายหรอก แต่กลับกัน เจ้าจะมีชีวิตอยู่อีกยาวเลย ยาวจนเจ้าต้องร้องขอวิงวอนทุกวันให้ปล่อยเจ้าไปตาย”
ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด น้ำเสียงนางอ่อนโยน อ่อนโยนจนหากไม่ฟังสิ่งที่นางพูด ประหนึ่งกำลังปลอบใจเด็กคนหนึ่งอยู่ แต่ทุกคนที่ได้ฟังสิ่งที่นางพูด รวมถึงทหารองครักษ์ที่ตามมาด้วย ต่างขนลุกซู่ ทุกคนรู้ดีว่านางไม่ได้พูดเล่น ต่อจากนี้เฉียวหมิ่นจะมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน
ร่างของเฉียวหมิ่นกระตุก แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เงยหน้าหัวเราะอย่างบ้างคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่า เมิ่งเชี่ยนโยว คนสารเลว เจ้าคิดว่าเจ้าพูดเช่นนี้แล้วข้าจะกลัวเจ้ารึ หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าอยู่ในกวนอี้ มีชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นทุกวัน ข้ายังทนมาได้เลย แล้วเหตุใดข้าจึงกลัวเจ้าล่ะ”
สีหน้าฮูหยินเฉียวกังวล ถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าจะทำอะไรหมิ่นเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ยิ้มเล็กน้อย พูดว่า “ตอนนั้นนายท่านเฉียวและฮูหยินเฉียวคิดไว้ว่า ข้าจะโกรธจนฆ่าคุณหนูเฉียว ให้นางได้ไปปรโลกเป็นเพื่อนพวกท่าน น่าเสียดายนะเจ้าคะ พวกท่านคิดหาวิธีอย่างรอบคอบ แต่ก็ไม่รอบคอบพอจะรู้ว่าข้าไม่ฆ่านาง ส่วนเรื่องนางจะเจออะไร เห็นว่าพวกท่านมีเวลาไม่มากพอแล้ว ข้าจะใจดีบอกพวกท่านแล้วกัน กลัวว่าพวกท่านจะกังวล ตายตาไม่หลับเจ้าค่ะ”
นายท่านเฉียวทนไม่ได้ ถามเสียงแข็ง “ตกลงเจ้าจะทำอะไรกันแน่”
สีหน้าและน้ำเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เปลี่ยน แต่คำพูดที่พูดออกมากลับทำให้นายท่านเฉียวและฮูหยินยืนไม่อยู่ ล้มตัวลงไปนั่งกับเก้าอี้ “คุณหนูเฉียวชอบผู้ชายไม่ใช่หรือ ข้าแค่ทำให้ฝันนางเป็นจริง ส่งนางไปจวินจี้[1]ชั้นต่ำที่สุดเป็นไงเจ้าคะ”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนนี้ทำเอาบ้านตระกูลเฉียวทั้งสามคนรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง หนาวเย็นไปทั้งตัวจนเลือดแข็งตัว
หวงฝู่อี้เซวียนกลับกะพริบตาปริบ
จูหลานเองก็สะดุ้ง มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นสีหน้านางสงบ ไม่เหมือนกำลังพูดเล่น จริงๆ จะเอ่ยปากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็กลืนกลับไปหมด
นายท่านเฉียวและฮูหยินหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ส่วนเฉียวหมิ่นรู้สึกกลัวจนร้องเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าไม่ตายดีแน่ กรรมตามสนองเจ้าแน่ๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้ม น้ำเสียงยังคงเชื่องช้า “ข้าจะได้รับกรรมหรือไม่พวกเจ้าไม่เห็นหรอก แต่บ้านตระกูลเฉียวกรรมตามสนองนี่เป็นเรื่องจริงแน่ๆ”
พูดถึงตรงนี้ มองไปที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีสีหน้าเจ็บปวด หัวเราะและถามว่า “นายท่านเฉียว ฮูหยินเฉียว รู้ไหมว่าทำไมข้ายังสนทนากับท่านที่นี่ ในเมื่อรู้เจตนาของพวกท่านแล้ว”
นายท่านเฉียวตงิดใจขึ้นมา เบิ่งตาโตถามขึ้นว่า “เจ้าทำอะไรลงไป”
“นายท่านเฉียวมองข้าสูงส่งไปแล้ว ข้าไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น ท่านควรขอบคุณคนเบื้องหลังที่คอยบงการ บัดดี้เรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว เขาไม่ไว้ชีวิตใครไว้แม้แต่คนเดียวหรอกเจ้าค่ะ ท่านคิดเองว่าท่านช่วยลูกชายท่านไว้ โดยปล่อยให้เขาหนีไป แต่กลับไม่ได้คิดเลยว่าเขามอบโอกาสนี้ให้หรือเปล่า”
“เป็นไปไม่ได้!” นายท่านเฉียวตะคอกเสียงดัง “เป็นไปไม่ได้แน่นอน พวกเราจ่ายทั้งเงินทอง ทั้งชีวิตของทั้งสามคน ยังไม่พออีกหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมุมปากอย่างประชด “นายท่านเฉียวก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคือใครใช่ไหมเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นหลังจากพ่ายแพ้แล้วก็คงไม่พลีชีพตัวเอง แต่ท่านควรจะรู้ด้วยว่า เขาสามารถทำได้อย่างทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่คนดีแน่นอน จะเห็นพวกท่านประหนึ่งมดตัวน้อยไว้ในสายตาได้อย่างไร แล้วจะปล่อยคุณชายเฉียวผู้ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญไว้ให้พวกเราเปิดโปงได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
คำพูดของนางทำให้นายท่านเฉียวตกใจตะลึงงัน ส่ายหัวพึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้”
ฮูหยินเฉียวก็เบิ่งตาโตอย่างไม่เชื่อ สีหน้าเริ่มขาวซีด
เฉียวหมิ่นทั้งรนทั้งแค้น ร้องเสียงดัง “ท่านพ่อ หญิงเลวคนนี้ชอบใช้กลหลอกลวง ท่านพ่ออย่าไปเชื่อคำพูดนางนะเจ้าคะ”
สีหน้านายท่านเฉียวและฮูหยินกลับมามีความหวังอีกครั้ง นายท่านเฉียวรีบพยักหน้า เหมือนปลอบใจตัวเอง และให้กำลังใจเฉียวหมิ่น พูดขึ้นว่า “ใช่ หมิ่นเอ๋อร์เจ้าพูดถูก นางกำลังหลอกลวงพวกเรา พี่ใหญ่เจ้าต้องไม่เป็นอะไร น่าจะหนีออกจากเขตชิงเหอไปนานแล้ว”
สิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อจากนี้ทำลายความหวังทั้งหมดของเขา “ถ้าข้าคิดไม่ผิด พวกท่านปล่อยให้คุณชายเฉียวหนีไปตอนที่เห็นอี้เซวียนให้คนกำราบมือธนู ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเวลาที่เราสนทนากันนี้ หากพวกเขาวิ่งเร็วพอ ก็คงจะเพิ่งออกจากเขตชิงเหอ เห็นว่าพวกท่านใกล้ตาย ข้าขอทำเรื่องดีๆ ไว้สักเรื่องแล้วกัน ข้าจะสั่งให้คนนำร่างของคุณชายเฉียวกลับมาให้ เป็นอย่างไรเจ้าคะ”
“เจ้า…” นายท่านเฉียวไม่รู้จะพูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดยั่วยุให้โกรธอีกครั้ง “นายท่านเฉียวไม่ต้องขอบใจข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็ไม่ใช่ทำทั้งหมดเพื่อพวกเจ้า ข้ามีโรคประจำตัวน่ะ หากไม่ได้เห็นคนที่ข้าอยากให้ตายกับตาตัวเอง กลางคืนจะนอนไม่หลับ”
พูดจบ สั่งทหารองครักษ์ข้างตัวว่า “หาร่างของคุณชายเฉียวทั้งบ้านให้เจอภายในสิบห้านาที นำร่างกลับมาให้นายท่านเฉียวดูหน่อย”
ทหารองครักษ์ขานรับ เดินออกไป
ชิงหลวนและจูหลีไม่ได้ขยับ ยังคงเผ้าปกป้องอยู่ข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน
ทันใดนั้น ทั้งเรือนก็เงียบสงัด
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับจูหลานผู้ซึ่งเงียบมาตลอดว่า “คุณชายจู นายท่านเฉียวและฮูหยินเฉียวมีเวลาไม่มากพอแล้ว หากเจ้ามีอะไรอยากพูด ก็พูดออกมาเถอะ สายไปจะไม่มีโอกาสแล้วนะ”
จูหลานอ้ำๆ อึ้งๆ ผ่านไปชั่วครู่จึงมีเสียงแหบๆ ออกมาว่า “ท่านลุง ท่านป้าไปดีนะขอรับ จูหลานจะช่วยเก็บศพพวกท่านเองขอรับ”
“ไม่ต้อง!” ฮูหยินเฉียวปฏิเสธทันควัน “หากไม่ใช่เพราะเจ้าที่กระทำอย่างเย็นชากับหมิ่นเอ๋อร์ บ้านตระกูลเฉียวของเราคงไม่มาถึงจุดๆ นี้ เจ้าไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำแล้ว เราจัดการไว้หมดแล้ว ตายไปมีคนเก็บศพเราแน่”
“ฮูหยินเฉียวคิดน้อยไปนะเจ้าคะ จากเรื่องต่ำช้าที่พวกท่านทำไว้ ทางวังไม่อนุญาตให้เก็บศพหรอกเจ้าค่ะ จริงๆ แล้วข้ายังคิดอยู่ในฐานะของความสัมพันธ์ของข้าและคุณชายจู หากเขาเอ่ยปาก ข้าจะขอให้อี้เซวียนเก็บศพไว้ ในเมื่อพวกท่านไม่รับน้ำใจนี้ พวกข้าก็ไม่จำเป็นต้องเมตตาขนาดนี้แล้ว สั่งคนให้นำร่างพวกเจ้าโยนไปที่หลุมศพรกร้างก็ง่ายดีเหมือนกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน
สิ่งที่นายท่านเฉียวและฮูหยินเฉียวกลัวที่สุดก็คือตายไปไม่มีคนเก็บศพ จึงให้เงินทองไม่น้อยกับบ่าวผู้ซื่อสัตย์ของตนไป ให้เขาไปซื้อโลงศพฝังพวกเขาไว้หลังจากที่พวกเขาตายไป ตอนนี้เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ นัยน์ตาก็ลุกโชนเป็นไฟ นายท่านเฉียวโมโหพูดขึ้นว่า “คุณหญิงเมิ่ง เจ้าต้องทำถึงขนาดนี้เลยรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและมองพวกเขา ไม่ได้พูดอะไร
เฉียวหมิ่นกำลังจะปริปากก่นด่า ก็ถูกจูหลีเหยียบลงไป เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก
เมื่อเห็นการกระทำที่โหดเ**้ยมของจูหลี บ่าวใช้บ้านตระกูลเฉียวก็ขาสั่น ถอยหลังไปสองสามก้าว ตัวห่างจากนายท่านเฉียวและฮูหยินไปอีกเล็กน้อย
นายท่านเฉียวและฮูหยินรู้สึกได้ถึงการกระทำของพวกเขา ในใจเกิดความเวทนาขึ้นมา
ทั้งเรือนเงียบสงัดดั่งป่าช้า
เงียบจนบ่าวใช้ทุกคนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง
ภายใต้บรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ เวลาสิบห้านาทีกำลังจะผ่านไป นายท่านเฉียวยิ้มมุมปาก เขารู้ดีว่าสาวน้อยสารเลวคนนี้หลอกลวงเขา บ้านตระกูลเฉียวทำเพื่อคนเบื้องหลังมาเยอะขนาดนี้ เขาจะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลได้อย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวมองสีหน้านายท่านเฉียวอย่างประชดประชัน เอนกายไปข้างหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ
ผ่านไปสิบห้านาที ยังคงไม่ได้ข่าวคราวจากทหารองครักษ์ นายท่านเฉียวผู้ซึ่งเลือดไหลออกจากปากเงยหน้าหัวเราะ “แม่นางเมิ่ง ดูท่าจะไม่เป็นไปตามที่เจ้าพูดนะ…”
คำพูดไม่ทันขาดคำ พรึบ พรึบ มีร่างของคนสี่คนถูกโยนเข้ามาจากลานนอกบ้าน ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจ หน้าตากทั้งสี่คนหงายขึ้น นายท่านเฉียวและฮูหยินเห็นหน้าทั้งสี่คนอย่างชัดเจน ก็คือลูก ลูกสะใภ้ และหลานชายอีกสองคนของตนเอง บัดนี้ พวกเขาหลับตาแน่น สีหน้าขาวโพลน ดูก็รู้ว่าไม่มีลมหายใจไปนานแล้ว หน้าอกอขงพวกเขามีรอยหลุมอยู่ เลือดไหลออกมาจนเปื้อนเสื้อผ้าพวกเขา
“เหวินเอ๋อร์!”
นายท่านเฉียวร้องเสียงหลง กระอักเลือดออกมา ลุกขึ้นอย่างกระเสือกกระสน เดินไปหน้าพวกเขา เห็นตาที่หลับไม่สนิทของลูกชายตน ภาพเบื้องหน้าพลันดับวูบ ร่างไร้เรี่ยวแรง ล้มลงบนพื้น
เลือดไหลจากปากของฮูหยินเฉียวมาก นางอ้าปากจะพูด แต่ไม่มีคำพูดสักคำออกมา ทำได้เพียงส่งเสียงร้องโหยหวน
“พี่ใหญ่ ซ้อ” เฉียวหมิ่นตะเกียกตะกายพยายามคลานเข้าไป แต่ถูกจูหลีเหยียบไว้ดิ้นไปไหนไม่ได้
สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไร้ซึ่งความเมตตา น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “นายท่านเฉียว ฮูหยินเฉียว ตอนนี้พวกท่านทั้งบ้านได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ไปอย่างสบายใจเถอะเจ้าค่ะ อย่าลืมบอกท่านยมบาลเรื่องคนเบื้องหลังคนนั้นด้วยล่ะเจ้าค่ะ ท่านยมบาลจะได้รีบเก็บเขาไป ถือเสียว่าแก้แค้นให้ครอบครัวคุณชายเฉียวแล้วกัน”
นายท่านเฉียวค่อยๆ หันหลัง ชี้นิ้วไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เค้นเสียงในลำคอออกมาว่า “เจ้า…” แล้วล้มลงนอนตายกับพื้นทันที
“นายท่าน…” ฮูหยินเฉียวใช้แรงที่เหลือทั้งหมดตะโกนออกไป คอพับลง ไร้ซึ่งลมหายใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่” เฉียวหมิ่นเรียกอย่างเจ็บปวด
บ่าวจวนเฉียวเห็นสภาพอันหดหู่ของบ้านตระกูลเฉียว สายตาแสดงความหวาดกลัว ต่างก้มหน้าลง
ในเรือนมีเพียงเสียงร้องอันเจ็บปวดดังก้องของเฉียวหมิ่น
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกตาม ทั้งสองเดินออกไป ชิงหลวนและจูหลีตามหลังพวกเขาไป
จูหลานมองตระกูลเฉียวที่ไม่มีลมหายใจแล้ว สีหน้าเศร้าหมอง จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินตามออกไป
ทั้งเรือนมีเพียงเสียงร้องอันเจ็บปวดของเฉียวหมิ่น
มีคนใส่ชุดทางการคนหนึ่งตามด้วยทหารสองสามนายยืนรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา รีบเดินไปคารวะ “เจ้าหน้าที่อำเภอเขตชิงเหอขอคารวะซื่อจื่อขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้หยุดฝีเท้า เดินผ่านเขาไป สั่งพลางเดินพลาง “นำศพไปทิ้งในสุสานรกร้าง ปิดจวนเฉียวเสีย คนที่เหลือจับเข้าคุกให้หมด”
เจ้าหน้าที่อำเภอชะงัก แล้วขานรับทันที “ขอรับ ซื่อจื่อ”
“แล้วก็นายอำเภอของเขตชิงเหอนายหวางเต๋อเซิ่งรับสินบาทคาดสินบนและกระทำผิดกฎหมาย ฆ่าคนเป็นผักปลา จับครอบครัวเขาทั้งหมดเข้าคุกเสีย แล้วค่อยจัดการทีหลัง”
พูดจบ ก็ถึงรถม้าพอดี เขาหยุดเดินและให้สัญญาณเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้าก่อน
เจ้าหน้าที่อำเภอคารวะและขานรับอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกถึงความไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จะถามต่อหน้าทุกคนก็ดูไม่ดี จึงได้แต่ขึ้นรถม้าอย่างว่าง่าย หวงฝู่อี้เซวียนเปิดม่านรถไว้ กำลังจะขึ้นไป แต่นึกอะไรขึ้นได้ หยุดลง หันกลับไปสั่ง “ส่วนทหารที่หวังเต๋อเซิ่งส่งไปเผ้าที่จวนจูนั้น เห็นว่าเป็นเพราะพวกเขาถูกสั่ง จะปล่อยพวกเขาไปเสียแล้วกัน ขอให้พวกเขาเขียนคำให้การ ทำความดีเพื่อชดใช้ความผิด”
เจ้าหน้าที่อำเภอขานรับ
เมื่อสั่งทุกอย่างเสร็จแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียว “ไปจวนจู”
ตอนที่ 185-1 คะนึงหา
เหวินเปียวรู้สึกได้ว่าเขาไม่พอใจ จึงไม่กล้าชักช้า ชูแส้ม้าและเฆี่ยนให้ทยานกลับจวนจูอย่างรวดเร็ว รถม้าข้าหลังตามมาติดๆ
เมื่อถึงหน้าประตูจวนจู รถม้าหยุดลง เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะลงจากรถม้าเพื่อไปดูว่าท่านพ่อท่านแม่ของจูหลานฟื้นหรือยัง หวงฝู่อี้เซวียนกลับกดไหล่ห้ามนางไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนหมองหม่น เม้มปากไม่พูดอะไร
จูหลานลงจากรถม้า เดินไปข้างหน้ารถม้าของทั้งสองคน หวังจะเชิญทั้งสองเข้าไปในเรือน เสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “คุณชายจู ข้าจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว เจ้ากลับเรือนไปจัดแจงต่อเถิด ข้าไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว คิดถึงท่านพ่อท่านแม่มาก ขอไม่เข้าไปเรือนเจ้าแล้วนะ”
จูหลานงงงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว
ยังไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินจากไปของจูหลาน หวงฝู่อี้เซวียนก็ถามเสียงเย็นชาว่า “คุณชายจู ยังมีธุระอะไรอีกหรือ”
จูหลานได้สติ รีบตอบว่า “ไม่ ไม่มีขอรับ”
พูดจบ เหลือบไปมองม่านรถที่ไม่มีทีท่าว่าจะถูกเปิด จึงหันหลังเดินเข้าเรือนบ้านตน
เมื่อได้ยินเสียงเดินจากไป นึกถึงจางลี่แม่ลูกที่อยู่บ้านตน เมิ่งเชี่ยนโยวอยากบอกจูหลานว่าพวกเขาสองแม่ลูกอาการสาหัส เคลื่อนไหวไม่ได้ชั่วคราว แล้วก็ถอนหายใจ เฮ้อ ออกมา อยากจะเรียกหยุดเขาไว้
หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบมองนาง คำพูดที่กำลังจะเอ่ยต่อของเมิ่งเชี่ยนโยวถูกสายตาเย็นชาของเขามองจนต้องกลืนกลับไปหมด
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ศพของมือธนูที่อยู่หน้าประตูและในลานบ้านของจวนจูก็หายวับไปด้วยวิชาเก่งกล้า ทั้งหน้าประตูและในลานบ้านสะอาดสะอ้าน ไม่มีแม้แต่รอยเลือด
หลงเว่ยนำตัวที่ไร้สติของหวังเต๋อซิ่งมายืนหน้าประตู เห็นจูหลานเดินเข้าไป จึงเดินไปหน้ารถม้ารายงานว่า “ซื่อจื่อ จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่บนรถม้า พยักหน้าเบาๆ สั่งว่า “ข้าจะกลับบ้านหาท่าพ่อและท่านแม่ข้า พวกเจ้าอยู่นี่ไปก่อน ช่วยอำเภอตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนและเร็วที่สุด หาพยานหลักฐานของหวังเต๋อเซิ่งให้ได้ แล้วรีบกลับเมืองหลวง”
หลงเว่ยขานรับ
“เหวินเปียว กลับบ้าน!” เมื่อสั่งหลงเว่ยเสร็จ ก็สั่งเหวินเปียวต่อ
เหวินเปียวเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ค้านอะไร จึงขานรับ ควบม้ากลับบ้าน
พี่น้องของเหวินเปียวและทหารองครักษ์ทั้งหลายยืนอยู่หน้าจวนจู เห็นรถม้าของเหวินเปียวจากไป ก็รีบขึ้นรถม้าตามหลังไป
เนื่องจากตอนมาเร่งรีบ ทำให้รถม้าของเหวินเปียวทยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้ไม่มีเรื่องด่วนอะไรแล้ว เหวินเปียวจึงลดความเร็วลง รถม้าจึงไม่มีแรงกระแทกมากเหมือนตอนมา
ในรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนที่ไม่ได้เจอนางมาหลายวันไม่ได้โผเข้ากอดและจูบเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอดใจไม่ได้อย่างที่เคยทำ แต่แค่เม้มปากแน่นแล้วจ้องนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขาจ้องจนขนตั้งชัน ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเป็นบ้าอะไรเนี่ย”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร ยังคงจ้องนางอย่างไม่ลดละ
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มเดือดพล่านในใจ ด่าเสียงสูง “เจ้า…” นึกขึ้นได้ว่าเหวินเปียวรู้วิชา ประสาทหูและตาแหลมคมฉับไว เขาอาจได้ยินสิ่งที่ตนพูด จึงลดเสียงลงต่ำ พูดอย่างโมโหว่า “มีเรื่องอะไรก็บอกมาสิ วางมาดแบบนี้ไปให้ใครเขาดูกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงจ้องนาง ไม่พูดไม่จา
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกประหนึ่งชกอากาศ มีแรงแต่ทำอะไรมิได้ ความเดือดดาลที่มีในใจทำให้นางอยากจะถีบเขาลงไปเสียจริงๆ
หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ แต่กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งรู้สึกอยากถีบเขาลงไป “คืนนี้เจ้านอนห้องเดียวกับข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามไม่ให้ตัวเองทุบตีเขา พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ที่นี่คือบ้านนะ ท่านพ่อท่านแม่อยู่ ข้าจะนอนห้องเดียวกับเจ้าได้อย่างไร อีกอย่างภรรยาและลูกของจูหลานก็บาดเจ็บหนัก ยังนอนอยู่บ้านพี่ชายรองเลย ข้าต้องไปดูแลพวกเขา จะให้มามัวสนใจเจ้าได้อย่างไร”
สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนขึงขัง เขยิบเข้าใกล้นาง ขู่เสียงต่ำ “หากเจ้าไม่ตกลง ข้าจะกลับไปขอร้องท่านพ่อท่านแม่ให้เราแต่งงานกันภายในสามวัน เจ้าเชื่อไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหว สุดท้ายก็ถีบเขาไปทีหนึ่ง “เจ้าเป็นบ้าอะไรเนี่ย ฮ่องเต้ยังไม่เห็นด้วยเลย เราจะแต่งงานกันได้อย่างไร”
โดนถีบไปทีหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้สนใจอะไร พูดอย่างเอาแต่ใจว่า “ข้าไม่สน หากเจ้าไม่ตกลง ข้าจะบอกท่านพ่อท่านแม่ ข้าและเจ้าถูกเนื้อต้องตัวกันมาตั้งแต่ตอนอยู่เมืองหลวงแล้ว ไม่แน่อาจจะได้ทั้งกายมาแล้วด้วย ยังไงพวกเขาก็ต้องรีบตกลงให้พวกเราแต่งงานกันโดยเร็ว”
หวงฝู่อี้เซวียนแทบจะไม่เคยพูดจาเอาแต่ใจเช่นนี้มาก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงันไปชั่วครู่ ยกมือแตะหน้าผากเขา ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องนาง ไม่ได้พูดอะไร รอนางตอบ
เมื่อรู้ว่าหน้าผากเขาไม่ได้ร้อน จึงรู้ว่าเขาไม่ได้พูดลามปาม เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างงงงวย จ้องอยู่สักพัก เห็นแววตาเขาแน่วแน่ แสดงให้เห็นว่าหากไม่ได้ดั่งใจเขาจะไม่ลดละแน่นอน จึงได้แต่พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเห็นนางตกลง หวงฝู่อี้เซวียนจึงเผยรอยยิ้มออกมา กอดนางไว้ ประกบริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของนางอย่างแม่นยำ
อีกไม่นานก็จะถึงบ้านแล้ว หากคนในบ้านเห็นปากที่บวมแดงจากการถูกจูบ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไรกัน เมิ่งเชี่ยนโยวตีเขา ให้สัญญาณว่าอย่าทำเกินไป แต่ก็กลัวว่าเหวินเปียวจะได้ยิน จึงไม่ได้ออกแรงมากขนาดนั้น
ถูกแรงตีไม่หนักไม่เบา หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจอะไร จูบลงไปอย่างดุเดือด หลังจากหายจากอาการคิดถึงที่ห่างกันช่วงก่อนหน้านี้ จึงปล่อยนางพลางหายใจหอบ เมื่อเห็นแก้มแดงระเรื่อของนาง ก็อดใจไม่ไหวจูบลงไปอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบยกมือขึ้นป้องปากเขา ขู่เขาว่า “หากเจ้าไม่อยากให้พี่ใหญ่ พี่รองไล่เจ้าออกไป ก็เจียมตัวหน่อยนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนฟุดฟิดนั่งตัวตรง มองนางอย่าไม่สบอารมณ์
เมิ่งเชี่ยนโยวเฉตาไปทางอื่น แสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทางของเขา ลูบปากตัวเอง โชคดี คนในบ้านคงดูไม่ออก
จึงดุเขาด้วยสายตา
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะชอบใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงโมโห ถีบเขาไปอีกทีหนึ่ง
หวงฝู่อี้เซวียหัวเราะเมื่อถูกนางถีบ ยื่นแขนไปกอดนางไว้ คางเกยอยู่เหนือศีรษะนาง ถอนหายใจอย่างอิ่มใจว่า “ในที่สุดก็ได้กอดเจ้าแล้ว หลายวันนี้ข้าคิดถึงเจ้าจนจะเป็นบ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ขัดขืน แอบอิงในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่าย แต่ปากกลับแสร้งทำเป็นไม่สนใจว่า “ข้าไม่คิดถึงเจ้าแม้แต่น้อยเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนเอียงหัว กัดติ่งหูนางเบาๆ หยอกล้ออยู่ชั่วครู่ พูดเย้าแหย่ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “บอกมา คิดถึงข้าไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวขนลุกจนทนไม่ได้ รีบพูดใหม่ด้วยเสียงเบาว่า “คิดถึงสิ คิดถึง”
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะเสียงต่ำ กลับไปนั่งท่าเดิม พูดต่อว่า “ข้ากำลังคิดหาเหตุผลที่กลับบ้านมาครานี้ พอดีได้รับจดหมายจากเจ้า ข้าจึงเข้าวังไปขอหลงเว่ย ม้าเร็ววิ่งมาทัน โชคดีนะ โชคดีจริงๆ ที่ข้ามาทัน ไม่เช่นนั้น…” ยังไม่ทันพูดจบ ก็กอดเมิ่งเชี่ยนโยวแน่นกว่าเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเขา ยื่นมือไปโอบคอเขาไว้ ยิ้มแล้วจูบไปที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ พูดขึ้นว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าจนแก่ จะตายไปง่ายๆ อย่างนี้ได้อย่างไรกัน แม้เจ้าจะไม่มา คนอย่างพวกเขาก็ไม่อยู่ในสายตาข้าหรอก”
ท่าทีของเมิ่งเชี่ยนโยวช่างเย้ายวนเหลือเกิน หวงฝู่อี้เซวียนอดใจไม่ไหวประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า ค่อยๆ ประกบลงไปอย่างนุ่มนวล
เมื่อรู้สิ่งที่นางคิดในใจ หวงฝู่อี้เซวียนก็ปล่อยตัวเองไปตามสบาย เขาค่อยๆ เม้มดูดไปตามกลีบปากของนาง บดเคล้าอย่างนุ่มนวล
จนทั้งสองหายใจไม่ทันจึงผละออกจากกัน
ไม่ได้เจอหลายวัน ความปรารถนาก็มีมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อครู่นี้อีก หวงฝู่อี้เซวียนกลัวว่าตนเองจะสกัดกั้นใจไม่อยู่จนทำอะไรไม่ดี จึงหายใจเข้าลึกๆ พูดเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงทุ้มต่ำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ “ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้สติ นำเรื่องที่เมื่อตนกลับบ้านเจอรั่วหลาน แล้วเค้นถามทุกเรื่องจากนาง จึงให้ทหารองครักษ์ไปสอบถามที่จวนจู รวมถึงเรื่องที่ทหารองครักษ์ช่วยแม่ลูกจางลี่ และเรื่องหลังจากนั้นเล่าให้เขาฟัง
ฟังจบ นัยน์ตาหวงฝู่อี้เซวียนพลันแสดงความดุร้าย พูดขึ้นว่า “ข้าไม่นึกเลยว่าเฮ่อจางถึงกับลงมือบุกไปถึงที่บ้าน โชคดีที่เจ้ากลับบ้านมาสังสรรค์ปีใหม่ ไม่เช่นนั้นไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดเช่นนั้น พยักหน้าอย่างโล่งใจ พูดว่า “ข้าส่งคนให้เฝ้ารั่วหลานไว้แล้ว รอเจ้ากลับเมืองหลวงก็พานางกลับไปได้เลย”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “แม้ตระกูลเฉียวจะตายกันหมดแล้ว แต่หวังเต๋อเซิ่งยังมีชีวิตอยู่ ขอแค่เขาปริปาก ครั้งนี้ข้าก็จะปลอกลอกเขาได้”
“จูหลี!” เมื่อรู้สึกว่ารถม้าถึงเขตชิงซีแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เรียกเสียงดัง
จูหลีมาหน้ารถม้า “นายหญิง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งนาง “เจ้ากลับบ้านไปก่อน บอกท่านพ่อกับท่านแม่ว่าอี้เซวียนกลับมาแล้ว”
จูหลีขานรับ ใช้วิชาตัวเบาทะยานตัวออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจความตั้งใจของนาง พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องก็ได้ ผู้คนจะแห่มากันมาเสียเปล่าๆ นี่ไม่ใช่ความตั้งใจที่ข้ากลับบ้านนะ”
“ตอนนี้สถานะเจ้าไม่เหมือนเดิมแล้ว แม้วันนี้เจ้ากลับบ้านอย่างเงียบๆ พรุ่งนี้เขารู้กัน คนทั้งหมู่บ้านก็จะไปคารวะเจ้าอยู่ดี มีแต่จะยิ่งทำให้พวกเขาตื่นตูมกัน เอาวันนี้ให้จบเลยดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ปิดบ้านไม่ต้องรับแขก เราทั้งบ้านจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบ” เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายพลางยิ้ม
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหัวลงไปหอมแก้มนาง แล้วพยักหน้า “ข้าฟังเจ้า พรุ่งนี้เราจะได้นอนอย่างสบายใจจนแสงแดดเลียก้นแล้วค่อยตื่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนพูดจาไม่ไพเราะแบบนี้มานานแล้ว อดยิ้มไม่ได้ พูดขึ้นว่า “หากคำพูดนี้ของเจ้าพูดออกมาต่อหน้าข้าราชบริพารทั้งหลายในเมืองหลง ไม่รู้ว่าเขาจะตกใจอ้าปากค้างจนคางหลุดกี่คนนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะจนตาเป็นพระจันทร์เสี้ยว ส่ายหัว “คางพวกเขาหลุดลงพื้นแน่ๆ แต่ไม่ใช่เพราะข้าพูดว่า ‘พระอาทิตย์เลียก้น’ แต่เพราะข้าพูดว่า ‘พวกเรา’ ต่างหาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองตอบตกลงจะนอนเป็นเพื่อนเขาในห้องเดียวกัน หน้าก็แดงขึ้นมา ถามขึ้นอย่างสงสัย “เมื่อครู่นี้เจ้าเป็นบ้าอะไรน่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหน้าหอมแก้มนางอีกครั้ง พูดเสียงต่ำข้างหูนางว่า “คืนนี้ค่อยบอกเจ้า”
หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแดงก่ำกว่าเดิม แต่ก็รู้ว่าเขาไม่ทำเรื่องเกินเลยอะไรที่ทำให้ตนขายหน้า จึงไม่ได้ขัดขืนอะไร
จูหลีถึงบ้านก่อนพวกเขา นำเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนกลับบ้านรายงานเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อ
ในขณะที่เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจ ก็นึกถึงสถานะของอี้เซวียน จึงสั่งให้เมิ่งซื่อเก็บกวาดบ้านให้เรียบร้อย แล้วรีบเดินไปบ้านใหญ่ บอกข่าวนี้กับเมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจิน
สถานะของหวงฝู่อี้เซวียนสูงส่งหาที่เปรียบมิได้ เมิ่งต้าจินได้ยินเช่นนั้นไม่ต้องรอให้เมิ่งจงจวี่สั่ง ก็บอกให้เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้นำความไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่แต่ละตระกูลเพื่อมาคารวะหวงฝู่อี้เซวียน
ส่วนตนก็นำข่าวดีนี้ไปบอกผู้ใหญ่บ้านตระกูลเมิ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น