ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 18-21.2

ตอนที่ 18 พบศัตรูคู่แค้น

 

หยาผอเปล่งเสียงแหลมสูง พูดมีจริตเกินงาม “แหม แม่นาง ท่านมาซื้อสาวใช้กับพวกเราถือว่ามาถูกที่แล้ว…” ว่าแล้วก็ยกนิ้วชี้เด็กสาวอายุหลากหลายวัยที่ยืนเรียงเป็นแถวอยู่อีกด้านในลานเรือน ทั้งพูดต่อว่า “เด็กๆ ของพวกเราที่นี่ล้วนมาจากครอบครัวแร้นแค้น ไม่ว่าซักผ้าทำกับข้าว ปัดกวาดเช็ดถูเรือน ล้วนไม่เป็นปัญหา ท่านซื้อกลับไปไม่ต้องสอนอะไรอีก สั่งพวกนางให้ทำงานได้ทันที”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามาก็เห็นเด็กสาวพวกนี้ แต่ละคนตัวเหลืองซูบผอม เสื้อผ้าขาดวิ่น เห็นหยาผอชี้แนะนำมาที่ตัวเอง ต่างผวากลัวทว่าก็มองพวกเขาอย่างคาดหวัง


 


 


หยาผอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เด็กสาวพวกนั้น ถามนางอย่างเอาใจ “แม่นางอยากเข้าไปดูใกล้ๆ หรือไม่ หากมีที่เหมาะสมจะได้เลือกสองสามคนกลับไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกเท้าเดินเข้าหาเด็กสาวที่ยืนเรียงเป็นแถวซ้อนกันหลายแถวตรงหน้า มองประเมินพวกนางอย่างละเอียด


 


 


หยาผอก็คอยแนะนำนางไม่หยุดปาก


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวพินิจมองเสร็จ ไม่ได้บอกว่าต้องการกี่คน แต่ถามหยาผอว่า “ที่นี่มีแม่ครัวหรือไม่ ข้าต้องการซื้อกลับไปด้วยหนึ่งคน”


 


 


หยาผอได้ฟังว่ายังต้องการคนเพิ่ม ยิ่งแสดงความกระตือรือร้น “มีๆๆ ย่อมต้องมี ข้าจะไปพามาให้ท่านดูเดี๋ยวนี้” ว่าแล้ว ก็เดินยักย้ายร่างอวบอัดเข้าไปหลังเรือน ไม่นานก็พาสตรีวัยกลางคนจำนวนหนึ่งออกมา พูดว่า “คนพวกนี้ต่างทำอาหารเป็น แม่นางดูก่อนว่ามีที่เหมาะสมหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองสตรีกลางคนตรงหน้าที่ต่างแต่งกายมอซอ ใบหน้าอมทุกข์ คาดว่าคงจะอยู่ที่นี่มานานแล้ว สกปรกมอมแมมแทบดูไม่ได้ ส่ายหน้าอาลัย


 


 


แม้หยาผอจะผิดหวังไปบ้าง แต่ก็ยังร้องถามอย่างเอาใจใส่ “ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการแม่ครัวเช่นใด?”


 


 


“สะอาดหมดจด” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบสั้นๆ


 


 


หยาผอขบคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “มีคนหนึ่งที่เหมาะสม ทว่าเงื่อนไขนางค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น แม่นาง…”


 


 


“นำตัวออกมาดูก่อนเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทนาง


 


 


หยาผอรีบพูดด้วยความยินดี “ได้ๆๆ แม่นางรอสักครู่ ข้าจะไปตามนางเข้ามา” ว่าแล้ว ก็พาหญิงสาวสองสามคนกลับเข้าไปหลังเรือนด้วย ไม่นานก็นำตัวสตรีนางนั้นเดินออกมา ในมือของสตรีนางนั้นยังจูงเด็กชายอายุสี่ห้าขวบคนหนึ่งออกมาด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินนาง แม้ว่านางจะแต่งกายมอซอ ใบหน้าทุกข์ตรม แต่จัดการบุตรชายของตัวเองได้อย่างสะอาดหมดจด เนื้อตัวไม่เลอะเทอะมอมแมมเลย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “นางนี่ล่ะ”


 


 


หญิงสาวได้ฟังเงยหน้ามองนางด้วยสายตาประหลาดใจระคนดีใจ


 


 


หยาผอไม่คิดว่านางจะรับปากโดยง่าย ให้ดีอกดีใจ พูดยกยอ “แม่นางช่างมีสายตาแหลมคมนัก นางเป็นคนของที่นี่ที่ไม่ว่าจะซักผ้าทำอาหาร ล้วนทำได้อย่างไม่บกพร่อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอช้า ถามทันควัน “ราคาเท่าใด?”


 


 


หยาผอนิ่งอึ้งเล็กน้อย พูดว่า “แม่นาง เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้ว นางมีเงื่อนไขที่พิเศษกว่าคนอื่น นอกจากเด็กน้อยคนนี้แล้ว นางยังมีสามีที่นอนป่วยหนักอยู่ด้านหลัง หากท่านจะซื้อ ก็จะต้องซื้อครอบครัวพวกเขาทั้งสามชีวิต”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนึกว่านางเพียงต้องซื้อเด็กเพิ่มอีกคน ไม่คิดว่าจะยังมีชายป่วยอีกคน ขมวดคิ้วขบคิดว่าจะซื้อดีหรือไม่


 


 


หญิงสาวเห็นสีหน้านาง คิดว่าครั้งนี้ครอบครัวนางคงไม่ได้ถูกซื้อไปอีก สีหน้ายินดีเหือดหาย ก้มหน้าลง เด็กน้อยก็เหมือนจะรู้บางสิ่ง เบียดร่างแนบชิดนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทั้งหมดนี้ให้หัวใจไหวสั่น หันไปพูดกับหยาผอ “พาข้าไปดูหลังเรือนหน่อยเถอะ”


 


 


หญิงสาวเงยหน้าควับ มองนางอย่างไม่เชื่อ


 


 


หยาผอก็นึกว่าหมดหวังแล้ว หน้าคว่ำไหล่ตก กำลังจะให้สองแม่ลูกกลับไปหลังเรือน ครั้นได้ยินที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มหวานราวดอกเบญจมาศขึ้นอีกครั้ง หลีกทางให้เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความปิติ ผายมือเชื้อเชิญ สะกดกลั้นความยินดีไว้ไม่อยู่พูดว่า “แม่นาง เชิญทางนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกเท้าเดินเข้าไปหลังเรือน หยาผอตามหลังไปติดๆ


 


 


สองแม่นางก็เดินตามเข้าไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่วางใจ จึงเดินตามเข้าไปด้วย


 


 


ด้านหลังเรือนกว้างใหญ่ คนไม่น้อยยืนอัดแน่นเรียงราย มีทั้งผู้ชายผู้หญิง ทั้งเด็กคนแก่ ดูก็รู้ว่าเป็นคนบ้านนอก


 


 


หยาผอกลัวนางเข้าใจผิด รีบพูดอธิบาย “คนพวกนี้ล้วนหนีความลำบากมา ข้าเห็นพวกเขาน่าสงสาร จึงให้พวกเขาขายตัวเอง ข้าเป็นตัวกลางได้เงินค่าดำเนินการ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เสวนาต่อ


 


 


หยาผอพานางมาถึงมุมหนึ่งของลานเรือน ชี้ชายที่นอนไอกระเสาะกระแสะอยู่บนเศษผ้าผืนหนึ่ง พูดว่า “เขาก็คือชายคนนั้น ไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร เอาแต่ไอไม่หยุด ข้ากลัวเขาจะเอาไปติดคนอื่น จึงจัดให้ครอบครัวพวกเขาอยู่ตรงนั้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองสีหน้าชายคนนั้น รู้ว่าเขาไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงก็วางใจลง ซักถามต่อ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขา?”


 


 


หยาผอสังเกตสีหน้าวาจา รู้ว่าพอมีหนทาง จึงพูดตามสัตย์จริง “ครอบครัวพวกเขาสามคนช่างอาภัพนัก เพื่อหาเงินแต่งภรรยาให้บุตรชายตนเอง แม่เลี้ยงจึงแอบขายพวกเขาทั้งสามคน ชายคนนั้นโมโหจนล้มป่วย กลายมามีสภาพเช่นนี้ ครอบครัวพวกเขาสามคนอยู่ที่นี่กับข้ามาสองเดือนกว่าแล้ว ทุกครั้งจะมีคนพึงพอใจหญิงสาวนางนี้ แต่พวกเขาไม่ยินยอมแยกจากกัน ข้าเองก็สงสารพวกเขา จึงไม่พูดให้พวกเขาแยกจากกัน”


 


 


“ครอบครัวพวกเขาสามชีวิตเป็นเงินเท่าใด ข้าซื้อแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


หยาผอดีอกดีใจ ถามขึ้น “แม่นางยินดีจะซื้อพวกเขาจริงๆ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ


 


 


หยาผอก็รู้ว่าตัวเองพูดคำถามโง่ๆ ออกไป รีบพูดกลบเกลื่อน “ครอบครัวพวกเขาสามชีวิตข้ารับซื้อไว้ในราคาสิบตำลึง ข้าจะถือเสียว่าทำบุญ ไม่คิดกำไร ท่านให้ข้าสิบห้าตำลึงก็พอ อย่างไรพวกเขาก็กินใช้อยู่ที่นี่มาสองเดือนกว่าแล้ว”


 


 


สามชีวิตมีหญิงสาวคนเดียวที่ทำงานได้ เด็กยังเล็ก ส่วนผู้ชายก็ป่วย ซื้อกลับไปยังต้องดูแลรักษาให้เขา สิบห้าตำลึงออกจะมากเกินไปหน่อย หยาผอที่พอพูดจบก็นึกเสียใจ กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่พอใจที่นางคิดแพงไม่ซื้อพวกเขา เช่นนั้นนางก็ไม่รู้ว่าจะต้องเลี้ยงดูพวกเขาไปอีกนานแค่ไหน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็กำลังขมวดคิ้วมุ่น


 


 


หยาผอเห็นดังนั้น รีบกลับคำพูด “หากแม่นางคิดว่าแพงเกินไป ให้สิบตำลึงก็ได้” ว่าแล้วก็มองนางด้วยใจตุ๊มๆ ต้อมๆ


 


 


หญิงสาวก็มองนางด้วยความหวังล้นปรี่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้บอกว่าได้หรือไม่ได้ แต่กลับถามว่า “ข้ายังถูกใจเด็กสาวอีกสองสามคนด้านนอก ท่านคิดดูว่า ทั้งหมดเป็นเงินเท่าใด?”


 


 


หยาผอค้ามนุษย์มานานหลายปี พบเจอคนมาทุกรูปแบบ รู้ดีว่าวันนี้พบยอดฝีมือให้แล้ว แม่นางท่านนี้กำลังต่อรองราคากับนาง นางมองดูชายที่ไอไม่หยุดตรงหน้า คิดว่าหากเขาต้องมาตายอยู่ที่นี่จริงๆ ตัวเองดวงซวยไม่ว่า ยังอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงตัวเองด้วย ภายหน้าลูกค้าก็จะลดน้อยลง จึงกัดฟันพูดว่า “เด็กสาวที่อายุมากหน่อยเดิมคิดราคาคนละห้าตำลึง หากแม่นางต้องการข้าให้สี่ตำลึง ท่านอยากได้กี่คนก็เลือกเอาเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเลือกสามคนก่อนแล้วกัน รวมพวกเขาทั้งหมดเป็นยี่สิบตำลึง”


 


 


หยาผอแทบอยากจะร้องไห้แล้ว นางซื้อทั้งสามคนนี้มาด้วยราคาสิบตำลึง ส่วนเด็กสาวพวกนั้นคนละสองตำลึง ทั้งหมดสิบหกตำลึง แต่ก็กินนอนที่นี่มาเป็นเวลานาน เงินยี่สิบตำลึงยังไม่คุ้มต้นทุนเลย นางเผยอปาก คิดจะให้เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่มให้อีกนิด ครั้นเห็นท่าทีเจ้าขายข้าก็ซื้อ ไม่ขายก็เลิกกันของนาง หยาผอจำต้องกลืนคำพูดที่ปลายลิ้นลงไป ฝืนประคองรอยยิ้มกัดฟันพูดว่า “ได้ ยี่สิบตำลึงก็ยี่สิบตำลึง ต้องโทษที่ข้าเป็นคนจิตใจดี ทำใจเห็นพวกเขาต้องพลัดพรากกันไม่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการหญิงสาว “หน้าประตูมีรถม้าสองคัน เจ้าไปเรียกพวกเขาเข้ามาหามสามีเจ้าขึ้นไปไว้บนรถม้าก่อน”


 


 


หญิงสาวปลาบปลื้มดีใจ ดึงตัวบุตรชายมา แล้วคุกเข่าให้นางเสียงดัง“พลั่ก” ทั้งโขกศีรษะให้นางอย่างแรง น้ำตาแห่งความซาบซึ้งเอ่อคลอ พูดว่า “ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นาง จากนี้ไปพวกเราทั้งสามชีวิตจะตั้งใจทำงานให้ดี เพื่อตอบแทนท่าน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปัดมือ ส่งสายตาให้นางลุกขึ้น “รีบไปตามคนเข้ามาเถอะ”


 


 


หญิงสาวให้ลูกลุกขึ้น เดินไปเรียกองครักษ์สองคนที่ด้านนอกเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งพวกเขาให้มาหามคนไปไว้บนรถม้า


 


 


ทั้งสองรับคำ เดินมาตรงหน้าชายคนนั้น คนหนึ่งอยู่หัวคนหนึ่งอยู่ท้ายหามตัวเขาออกไป หญิงสาวและเด็กน้อยรีบตามไปติดๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินออกมาจากหลังเรือน มายืนตรงหน้าเด็กสาวที่ยืนเรียงเป็นแถว ยกมือชี้เด็กสาวหน้าตาหมดจดอายุสิบสามสิบสี่ปีสามคนออกมา พูดว่า “พวกนางสามคนนี้ก็แล้วกัน”


 


 


หยาผอเห็นนางเลือกแต่เด็กสาวที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจด ร้องโอดครวญในใจ แต่ก็ต้องจำใจตะโกนเรียกทั้งสามคนออกมา พูดกับพวกนางว่า “แม่นางท่านนี้เลือกพวกเจ้าแล้ว นับแต่นี้ไปพวกเจ้าจะเป็นคนของนาง จำไว้ว่า หลังจากไปถึงบ้านนายหญิงต้องตั้งใจทำงานให้ดี หากพวกเจ้าถูกส่งกลับมาเพราะเกียจคร้าน พวกเจ้าคงรู้ว่าข้าจะจัดการเช่นไร”


 


 


คล้ายว่าเด็กสาวทั้งสามคนจะได้รับการสั่งสอนมา พอได้ยินคำพูดนางก็ตัวสั่นสะท้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับจ้องปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ นี้ของพวกนาง หรี่นัยน์ตาลง


 


 


หยาผอหันกลับมา พูดประจบนาง “เมื่อแม่นางเลือกเสร็จแล้ว ก็จ่ายเงินเถอะ ข้าจะได้ไปเอาสัญญาทาสของพวกนางมาให้เจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กำลังจะล้วงมือเข้าไปหยิบเงินในอก ด้านนอกกลับมีเสียงชายกลางคนคนหนึ่งดังลอยมา “เจ้าเศษสวะชั้นต่ำ ถูกตัดสินเป็นทาสหลวงไล่ออกไปจากเมืองหลวงแล้ว ยังกล้ากลับมาอีก ดูว่าวันนี้ข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักค้างในท่าจับเงิน ขมวดคิ้วมุ่น มองออกไปพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน ทั้งสองก้าวออกมาจากเรือนพร้อมกัน เห็นชายฉกรรจ์สิบกว่าคนกำลังล้อมเหวินเปียวและรถม้าของพวกเขาไว้


 


 


มือขวาของเหวินเปียวกำบังเ**ยนแน่น ส่วนมือซ้ายกำหมัดเกร็งแน่น มองคนตรงหน้าอย่างเคียดแค้นชิงชัง


 


 


พวกกัวเฟยคิดจะตรงเข้าไป กลับถูกเมิ่งเชี่ยนโยวยกมือห้ามไว้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวประเมินชายที่ออกคำสั่ง เห็นเขามีอายุอานามสี่สิบปีเศษ รูปร่างเจ้าเนื้ออวบอัด แต่งกายหรูหราสูงศักดิ์


 


 


ข้างกายเขายังมีชายสูงวัยอีกคนยืนอยู่ด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเกร็ง หวงฝู่อี้เซวียนกระซิบบอกข้างหูนาง “เขาเป็นบุตรชายคนโตของท่านราชครู เป็นลุงแท้ๆ ของอวี้เอ๋อร์ ปีใหม่ทุกปีจะเข้ามาสวัสดีปีใหม่พระบิดา ข้าเคยเจอเขาหลายครั้ง จึงจำเขาได้”


 


 


การคาดเดาเลือนๆ ลางๆ ในใจเมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้ได้รับการยืนยันแล้ว จึงยืนหน้าประตูเรือน ลอบสังเกตการณ์เงียบๆ


 


 


หยาผอก็เห็นคุณชายใหญ่แล้ว รีบปั้นยิ้มวิ่งออกมา พูดประจบประแจง “คุณชายใหญ่ ท่านมาแล้ว ครั้งนี้ข้าเตรียมสินค้าชั้นดีไว้ให้ท่านไม่น้อยเลย ท่านรีบเข้าไปดูในลานเรือนเถอะเจ้าค่ะ”


 


 


คุณชายใหญ่ผลักนางออกอย่างไม่ปราณี “ไปๆๆ ไม่เห็นว่าข้ากำลังจัดการกับเศษสวะชั้นต่ำอยู่หรือไง?”


 


 


หยาผอถูกเขาผลักเซถลาไปหลายก้าว จนเกือบจะล้มคมำ ตกใจไม่กล้าปริปากอีก ได้แต่ยืนมองเหวินเปียวด้วยความเห็นใจ


 


 


เดิมเหวินเปียวเป็นนายน้อยแห่งสำนักคุ้มภัยเว่ยหยวน เดินไปไหนก็มีแต่คนเคารพยกย่อง หลังจากถูกตัดสินเป็นทาสถูกเมิ่งเชี่ยนโยวซื้อตัวไป เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่เคยเห็นพวกเขาเป็นบ่าว ตอนนี้ถูกคนเรียกคำก็เศษสวะสองคำก็เศษสวะ ให้โทสะพลุ่งพล่าน


 


 


คุณชายใหญ่เห็นเขาโมโหแต่ไม่กล้าปะทุออกมา ยิ่งให้กระหยิ่มยิ้มย่องใจ พูดสบประมาท “เจ้าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ชอบช่วยเหลือคนที่ได้รับความอยุติธรรมไม่ใช่เรอะ วันนี้ข้าอยากเห็นนักว่า ใครที่มันกล้าล่วงเกินข้า เสนอหน้าเข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความนัยแฝงของเขา หรี่หลุบนัยน์ตาลง


 


 


เหวินเปียวอดกลั้นจนเส้นเลือดเขียวบนใบหน้าปูดโปน กลับไม่พูดอะไรสักคำ จ้องเขาด้วยความชิงชัง


 


 


คุณชายใหญ่แค่นหัวเราะสะใจ


 


 


น้ำเสียงใสกังวานของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น “เหวินเปียว ปกติข้าสอนให้เจ้าอดกลั้นเวลาถูกคนยั่วยุเช่นนี้หรือ?”


 


 


สิ้นเสียงนาง เสียงสูดลมหายใจโดยรอบดังขึ้นเป็นระลอก กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา


 


 


คุณชายใหญ่ที่กำลังหัวเราะร่าถึงกับสะอึกกึก เลื่อนสายตามาที่เมิ่งเชี่ยนโยว กำลังจะบันดาลโทสะ กลับมองเห็นหวงฝู่อี้เซวียน เขาชะงักงันเล็กน้อย รีบยกมือประสานคำนับ “ซื่อจื่อ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย ตอบกลับ “คุณชายใหญ่”


 


 


คุณชายใหญ่มองไปที่เขา แล้วมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เริ่มเข้าใจบางสิ่ง ระงับโทสะภายในใจลง ถามตามมารยาท “เหตุใดวันนี้ซื่อจื่อถึงมาสถานที่แห่งนี้ได้ขอรับ?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบความ “โยวเอ๋อร์เพิ่งจะซื้อเรือน ต้องการสาวใช้ตั้งใจทำงานสองสามคน ข้ามาช่วยเลือกกับนางด้วย ไม่ทราบว่าวันนี้คุณชายใหญ่มาสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลใด?”


 


 


คุณชายใหญ่ทำตาล่อกแล่ก หันมองหยาผอ ส่งสายตาไม่ให้นางพูดพล่อย ถึงตอบว่า “ข้าเองก็เข้ามาคัดเลือกสาวใช้สองสามคนไปไว้ที่จวน”


 


 


“อ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนร้องด้วยน้ำเสียงกังขา ถามว่า “จวนพวกท่านไม่มีพ่อบ้านหรือ? เรื่องเล็กพวกนี้ต้องให้ท่านมาด้วยตัวเอง?”


 


 


คุณชายใหญ่หน้าแดงวาบ ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วพูดว่า “เรื่องเล่นแค่นี้ย่อมไม่ต้องให้ข้าออกโรงเอง เพียงแต่ได้ยินพ่อบ้านพูดถึงสถานที่ค้ามนุษย์มาตลอด ให้เกิดความสนใจใคร่รู้ วันนี้จึงถือโอกาสซื้อคนเข้ามาแวะชม”


 


 


เมื่อครู่หยาผอยังเข้ามาทักทายเขาอย่างสนิทสนม เห็นชัดว่าเป็นคำโป้ปด หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่เปิดโปง กล่าววาจาแฝงนัยเสียดสี “ความอยากรู้อยากเห็นของคุณชายใหญ่ช่างมากนัก แม้แต่สถานที่แห่งนี้ก็ยังกล้าสนใจใคร่รู้”


 


 


คุณชายใหญ่หน้าแดงก่ำไปทั้งหน้าแล้ว หัวเราะแห้งๆ สองแอะ ไม่ต่อล้อต่อความ


 


 


กลุ่มคนที่มามุงล้อมเห็นคุณชายใหญ่ทักทายคุณชายน้อยท่านนั้นอย่างอ่อนน้อม ทั้งขานนามว่าซื่อจื่อ เริ่มคาดเดาได้คร่าวๆ แล้ว ต่างพินิจมองหวงฝู่อี้เซวียนไม่วางตา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าสงบนิ่ง ให้พวกเขามองประเมินตามใจ


 


 


กระทั่งพวกเขาทักทายเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามเหวินเปียวอีกครั้ง “เหวินเปียว ปกติข้าสอนให้เจ้าอดกลั้นเวลาถูกคนยั่วยุเช่นนี้หรือ?”


 


 


เหวินเปียวเก็บคืนความโกรธเกรี้ยว น้อมตอบความ “แม่นาง หามิได้”


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดวันนี้เจ้าถึงยอมถูกคนยั่วยุเล่า?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ


 


 


มือซ้ายที่คลายหมัดออก กำแน่นขึ้นอีกครั้ง


 


 


น้ำเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวเจือแววดุดัน “ตอบคำถามข้า”


 


 


เหวินเปียวตอบอ้อมแอ้ม “ผู้น้อย ผู้น้อยกลัวจะสร้างความยุ่งยากมาให้แม่นาง”


 


 


“นายหญิงของเจ้าเป็นคนที่กลัวเรื่องยุ่งยากเรอะ?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับเสียงเขียว


 


 


เหวินเปียวเข้าใจความหมายของนาง ตัดสินใจเด็ดขาด ตอบเสียงดังฟังชัด “ไม่ใช่ขอรับ”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าควรจะทำอย่างไรเล่า?”


 


 


เหวินเปียวเริ่มมีความมั่นใจ ตอบกลับเสียงแจ๋ว “อัดพวกเขาให้ฟันร่วงหมดปาก”


 


 


ทั้งสองคนพูดจบ คนโดยรอบมองพวกเขาเหมือนมองสัตว์ประหลาด เกิดความคิดผุดขึ้นในใจ หญิงเสียสตินางนี้ กล้าท้าทายคุณชายใหญ่บุตรท่านราชครู


 


 


เดิมคุณชายใหญ่ก็เลือดขึ้นหน้าแล้ว เพียงแต่ว่าเห็นหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ที่นี่ด้วย จำต้องข่มกลั้นไว้ ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังเล่นไม่เลิก กล้าท้าทายเขาต่อหน้าคนมากมาย โทสะให้ปะทุ พลั้งปากพูดออกไป “ก็แค่หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง กล้าพูดจากำเริบกับข้า เจ้าคงเบื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหรี่นัยน์ตางามคู่นั้นลง สีหน้าไม่สบอารมณ์


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม เยาะเย้ยกลับ “คุณชายเสเพลไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่ง อาศัยใบบุญจากบิดาคุ้มกะลาหัว ถึงได้ตำแหน่งเล็กๆ มาประดับบารมี ยังมีหน้ามาคุยโว้โอ้อวดต่อหน้าข้า”


 


 


คุณชายใหญ่แห่งจวนราชครูไร้ความสามารถ นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันดี เพียงแต่ไม่เคยมีใครกล้าพูดต่อหน้าเขา ตอนนี้ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกราวกับอีกประเดี๋ยวจะได้เห็นภาพนางเลือดท่วมตัว ต่างถยอยกันถอยหลังไปหลายก้าว


 


 


คุณชายใหญ่ถูกนางขยี้ปมด้อยอย่างไม่ไว้หน้า โมโหกระฟัดกระเฟียด สั่งคนที่อยู่ใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว “พวกเจ้าทั้งหมด รีบเข้าไปซ้อมนังตัวดีไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้ให้ตายเดี๋ยวนี้”

 

 

 


ตอนที่ 19 ความแค้นฝังลึก

 

สิ้นเสียงเขา น้ำเสียงเย็นเยียบของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “คุณชายใหญ่ ท่านกล้าแตะต้องผู้หญิงของข้า ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยใช่หรือไม่?”


 


 


คุณชายใหญ่ตะลึงงัน


 


 


ชายฉกรรจ์เหล่านั้นยืนนิ่งไม่กล้าขยับ


 


 


บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท


 


 


แม้แต่หยาผอก็อ้าปากค้าง มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าเด็ดขาด แฝงความดุดัน ดวงตากลมโตคู่งามนั้น จ้องคุณชายใหญ่อย่างเยียบเย็น


 


 


ข่าวลือเมื่อหลายวันก่อน คุณชายใหญ่เองก็ได้ยินแล้ว เมื่อครู่ที่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็พอจะคาดเดาได้ ถึงยอมถอยให้หนึ่งก้าว แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับกัดเขาไม่ปล่อย เขาถึงเลือดขึ้นหน้า คิดจะให้คนสั่งสอนนางสักยก กลับถูกหวงฝู่อี้เซวียนตำหนิถามจนคุณชายใหญ่งุนงงอ้าปากค้างพูดไม่ออก


 


 


ชายที่ยืนไม่พูดอะไรมาตลอดด้านหลังคุณชายใหญ่ เห็นเขาตะลึงจังงัง รีบเดินไปเบื้องหน้าหวงฝู่อี้เซวียน น้อมคำนับเขา พูดอธิบาย “ซื่อจื่ออย่าเพิ่งโมโห คุณชายใหญ่ของพวกเราด้วยเพราะโมโหถึงพูดเช่นนั้นออกไป ขอท่านโปรดอภัยด้วย” ว่าแล้ว ก็แอบขยิบตาให้คุณชายใหญ่


 


 


คุณชายใหญ่พอมีปัญญาบ้าง เห็นเขาขยิบตาให้นึกถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ของตัวเอง จึงเก็บคืนโทสะ ทำท่าอ่อนน้อมยอมความ พูดว่า “ข้าไม่ทราบว่านางเป็นผู้หญิงของซื่อจื่อ ล่วงเกินท่านแล้ว ขอซื่อจื่อโปรดอภัยด้วย”


 


 


สถานะของคุณชายใหญ่ก็หาได้ต่ำต้อย การที่เขายอมขอขมาหวงฝู่อี้เซวียนต่อหน้าธารกำนัล ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว หากเขายังรั้นไม่ยอมความ ก็ดูจะใจแคบเหมือนไส้ไก่เกินไป


 


 


ในตอนที่ทุกคนคิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะต้องปล่อยผ่านเรื่องนี้ หวงฝู่อี้เซวียนกลับหันศีรษะ ทำหน้าปะเหลาะเอาใจถามเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่หลังจากร้องก่นด่าเขาในใจนับครั้งไม่ถ้วน ถึงคลี่ยิ้มตอบกลับ “ในเมื่อ คุณชายใหญ่มีความจริงใจเช่นนี้ เรื่องนี้ก็คงต้องจบเพียงเท่านี้”


 


 


คุณชายใหญ่และชายข้างกายเขาโล่งอกไปหนึ่งเปราะ


 


 


ไม่คิดว่าเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวจะดังขึ้นอีกครั้ง “ทว่า จะปล่อยอันธพาลระรานคนพวกนี้ไปไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาล้อมรถม้าและบ่าวของข้าไว้ หาได้เห็นข้าอยู่ในสายตาไม่”


 


 


ชายฉกรรจ์พวกนี้ล้วนเป็นคนของคุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่สั่งให้พวกเขาล้อมรถม้าไว้ พวกเขาย่อมต้องปฏิบัติตาม กลุ่มคนได้ฟังก็รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวต้องการหาเรื่องกลั่นแกล้งเขา


 


 


คุณชายใหญ่ก็ฟังนัยแฝงของนางออก ให้โทสะปะทุขึ้นอีกครั้ง


 


 


ชายข้างกายเขาเห็นเขาโมโหเดือดดาล รีบหันไปส่ายหน้าให้เขา


 


 


คุณชายใหญ่สูดลมหายใจลึกหลายครั้ง ถึงฝืนข่มกลั้นเพลิงโทสะลงไปได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนฉีกยิ้มหวาน ถามอย่างโจ่งแจ้ง “เช่นนั้นเจ้าต้องการจัดการพวกเขาเช่นไรเล่า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อนตอบเขาว่า “เมื่อพวกเขาเป็นคนของคุณชายใหญ่ คงจะโบยพวกเขาจนตายไม่ได้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้คนกล่าวหาว่าท่านระรานใช้อำนาจ ไม่เช่นนั้นก็ให้คนของข้าที่มีอยู่วัดกับพวกเขาดูสักตั้ง หากพวกเขาชนะ ภายหน้าข้าพบคุณชายใหญ่จะเดินอ้อมไปอีกทาง หากพวกเขาแพ้ จะต้องคลานร้อง เหมือนสุนัขวนรอบรถม้าของข้าสิบรอบ”


 


 


เงื่อนไขนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวเท่ากับเป็นการตบหน้าคุณชายใหญ่เข้าอย่างจัง


 


 


คุณชายใหญ่ข่มกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว อ้าปากพูดท้าทาย “ได้ ว่าตามที่แม่นางพูด ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังจะเพิ่มให้อีกหนึ่งเงื่อนไข หากคนของข้าแพ้ นอกจากคลานวนเหมือนสุนัขสิบรอบแล้ว ข้ายังจะขายเศษสวะพวกนี้ให้แก่หยาผอด้วย และหากคนของเจ้าแพ้ เจ้าก็ต้องทำตาม ขายสวะชั้นต่ำพวกนี้ทิ้ง เจ้ากล้าหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบรับ แต่หันไปถามพวกเหวินเปียวและกัวเฟยทั้งสี่คน “พวกเราจะรับข้อเสนอของพวกเขาหรือไม่?”


 


 


ทั้งสี่คนตื้นตันใจเป็นอย่างมาก เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นนาย พวกเขาเป็นบ่าว ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางสั่งพวกเขาจะปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อยกเว้น ทว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับซักถามความเห็นพวกเขาต่อหน้าคนมากมาย แสดงว่าไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นบ่าวแม้แต่น้อย ทั้งสี่คนรับคำพร้อมเพรียง “แม่นาง พวกเรารับคำท้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดี รีบจัดการโดยไว พอกลับถึงจวนข้าจะลงครัวทำอาหารให้พวกเจ้ากินด้วยตัวเอง”


 


 


คุณชายใหญ่ถือว่ามีคนมาก มั่นใจในชัยชนะ ได้ยินวาจาของเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหจนจมูกเบี้ยว เปล่งเสียงปลุกใจคนของตัวเองเช่นกัน “พวกเจ้าตั้งใจฟังให้ดี อย่าได้ใจอ่อน สู้ให้ถึงแก่ชีวิต ขอเพียงพวกเขาเอาชนะได้ ข้าจะตบรางวัลให้หนึ่งพันตำลึงเงิน”


 


 


เหล่าชายฉกรรจ์ขานรับเสียงดังกังวาล


 


 


หยาผอกลับดีใจหน้าบาน ไม่ว่าใครชนะ นางก็จะได้ชายฉกรรจ์กำยำ สินค้าชั้นดีเข้าร้าน ขายต่อออกไปจะต้องทำเงินได้อย่างงาม นี่เป็นเรื่องดีที่สวรรค์บันดาลให้โดยแท้


 


 


เหวินเปียวและกัวเฟยมอบบังเ**ยนรถม้าให้หวงฝู่อี้


 


 


กลุ่มคนมุงกลัวตนเองจะโดนลูกหลงไปด้วย ต่างถอยร่นออกไป ล้อมเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ให้พวกเขา


 


 


พวกเหวินเปียวและกัวเฟยทั้งสี่คนเดินมายังที่ว่างตรงกลาง กลุ่มชายฉกรรจ์สิบกว่านายเข้าล้อมพลัน


 


 


ด้วยถือว่ามีอิสรภาพทางกาย ทุกคนต่างเอาจริงเอาจัง ไม่แม้แต่จะทักทาย ชายฉกรรจ์ทั้งสิบกว่าคนนั้นก็จู่โจมเข้าหาทั้งสี่คนทันที


 


 


ทั้งสี่คนใบหน้าไร้ความขลาดกลัว รับมือเต็มกำลัง


 


 


คุณชายใหญ่ติดเรื่องสถานะ ส่งเสียงโห่ร้องไม่ได้ ได้แต่กำหมัดทั้งสองข้างแน่น ขอเพียงคนของพวกเขาได้รับชัยชนะ จะได้ควงหมัดโบกสะบัดอย่างสะใจ


 


 


ชายที่ยืนข้างเขากลับหาได้มองแง่ดีเช่นเขา เอาแต่กลัดกลุ้มมองคนที่ต่อสู้ในสนาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมองการต่อสู้ด้วยสีหน้าเบาสบาย ไร้ซึ่งความกังวล


 


 


เหวินเปียวและกัวเฟยรวมถึงองครักษ์อีกสองนาย ในตอนแรกยังจับกระบวนท่าของอีกฝ่ายไม่ได้ ถูกอัดไปหลายครั้ง หลังจากสู้กันหลายกระบวนท่า พวกเขาก็เริ่มจับทางได้ จึงไม่ออมมืออีก ใช้กระบวนท่าดุดันเข้าโต้กลับ ไม่นานก็ถีบชายฉกรรจ์คนหนึ่งลอยกระเด็นออกไป


 


 


คุณชายใหญ่โมโหโทโส ชี้หน้าบ่าวร้องก่นด่า “เศษสวะไม่ได้เรื่อง คนมากเช่นนี้ยังจัดการคนสี่คนไม่ได้ มีพวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร?”


 


 


เหล่าชายฉกรรจ์ได้ยินเสียงก่นด่า ยิ่งให้ตกใจกลัว สติเสียขวัญกระเจิง ชายสี่คนฉวยโอกาสนี้กระโดดถีบใส่


 


 


คนสิบกว่าชีวิตเหลือเพียงสามสี่คนในพริบตาเดียว ชายฉกรรจ์ที่เหลือไม่กี่คนก็สติแตก พวกกัวเฟยออกแรงเล็กน้อย ก็ล้มคว่ำพวกเขาได้


 


 


กลุ่มคนที่มามุงดูเรื่องสนุกส่งเสียงโห่ร้องชื่นชมพวกเหวินเปียวทั้งสี่คน


 


 


คุณชายใหญ่ปั้นหน้าไม่ถูกแล้ว เดินขึ้นหน้า เข้าไปเตะชายฉกรรจ์ที่นอนร้องครวญครางที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุด “เศษสวะ ข้าเลี้ยงดูพวกเจ้าเป็นอย่างดีมาตลอด ในตอนนี้พวกเจ้ากลับทำให้ข้าต้องอับอายขายหน้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนเขาด้วยความหวังดี “คุณชายใหญ่ ตอนนี้พวกเขาเป็นคนของหยาผอแล้ว ท่านไม่มีสิทธิ์ปฏิบัติกับพวกเขาเช่นนี้อีก”


 


 


คุณชายใหญ่โมโหสติหลุด เข้าไปเตะชายฉกรรจ์ทีละคนเพื่อระบายแค้น แล้วมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างท้าทาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา หันไปพูดกับหยาผอ “ท่านรีบไปเขียนสัญญาทาสมา ให้พวกเขาประทับลายนิ้วมือ ประเดี๋ยวถูกคนซ้อมจนตาย ท่านจะเสียกำไรไปโดยเปล่า”


 


 


หยาผอได้สติกลับมา ฉีกยิ้มจนใบหน้ายับย่น “ขอบคุณแม่นางที่เตือน ข้าจะไปเอาสัญญาทาสมาเดี๋ยวนี้” ว่าแล้ว ก็ไม่เดินนวยนายแล้ว วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในบ้านด้านหลังเรือน


 


 


หยาผอทำการค้ามนุษย์มานานหลายปี ในห้องมีสัญญาทาสเตรียมไว้จำนวนมาก นางคว้ามาหนึ่งปึก หยิบน้ำหมึกพู่กันแล้วรีบวิ่งกลับมา เดินมาหยุดตรงหน้าคุณชายใหญ่ เอ่ยปากถามเขา “คุณชายใหญ่ ท่านจะให้ราคาพวกเขาเท่าใดเจ้าคะ?”


 


 


คนมากมายเช่นนี้ยังเอาชนะคนสี่คนไม่ได้ คุณชายใหญ่แทบอยากจะฆ่าพวกเขาทิ้งแล้ว ไฉนเลยยังจะมีอารมณ์มาเจรจาราคาค่างวดของพวกเขา จึงโบกมือพูดพลัน “เจ้าเอาไปเถอะ อยากจะทำยังไงกับพวกเขาก็เชิญ”


 


 


หยาผอถูกโชคดีนี้ทุ่มใส่หัวจนมึน ร่างกายโงนเงนเล็กน้อย ถึงตั้งสติได้ กล่าวขอบคุณคุณชายใหญ่ไม่ขาดปาก “ขอบคุณคุณชายใหญ่ ขอบคุณคุณชายใหญ่”


 


 


คุณชายใหญ่โบกมือปัดความรำคาญ


 


 


หยาผอรีบวิ่งไปตรงหน้าชายฉกรรจ์ที่นอนฟุบอยู่ จับนิ้วโป้งของพวกเขาขึ้น จุ่มน้ำหมึกแล้วประทับลงบนสัญญาทาส


 


 


เหล่าชายฉกรรจ์ไม่กล้าขัดขืน มองดูตัวเองถูกขายให้หยาผอตาปริบๆ


 


 


หยาผอดีใจหน้าบาน ชายที่ยืนข้างคุณชายใหญ่กลับจะร่ำไห้แล้ว กว่าจะฝึกซ้อมคนพวกนี้มาได้ไม่ง่าย คุณชายใหญ่กลับให้คนอื่นๆ โดยง่าย กลับไปจะตอบคำถามนายท่านและฮูหยินเช่นไร


 


 


หยาผอประทับลายนิ้วมือคนทั้งหมดเสร็จ เก็บสัญญาทาสไว้อย่างดี ก่อนที่จะหันไปตวาดพวกชายฉกรรจ์ที่นอนร้องโอดโอยบนพื้น “เลิกนอนกลิ้งให้ขายหน้าคนอื่นได้แล้ว รีบลุกขึ้นแล้วไสหัวเข้าไป”


 


 


เหล่าชายฉกรรจ์ตะเกียกตะกายลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซเข้าไปในเรือน เพิ่งจะลุกเดินได้สองก้าว เสียงก้องกังวานของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ช้าก่อน!”


 


 


กลุ่มคนมุงล้อมตกใจมองนาง


 


 


หยาผอก็ทำหน้าชะงักอึ้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน พูดกับหยาผอ “คำท้าของข้ากับคุณชายใหญ่ยังไม่บรรลุผล”


 


 


หยาผอกะพริบตาปริบ พลันนึกได้ว่าเหล่าชายฉกรรจ์ยังไม่ได้คลานร้องเหมือนสุนัขวนรอบรถม้าสิบรอบ ลอบมองคุณชายใหญ่แวบหนึ่ง เห็นเขาหน้าดำหน้าแดง มีควันลอยพุ่งจากกลางกระหม่อม จึงหยั่งเชิงพูดตอบเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นาง คนพวกนี้ถูกขายให้ข้าแล้ว คำท้าของพวกท่านพอจะยกเลิกได้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหน้า น้ำเสียงราบเรียบ กลับทำให้คนที่มุงล้อมได้ยินทั้งหมด “หยาผอ เมื่อพวกเขาถูกขายให้ท่านแล้ว ข้าย่อมต้องเห็นแก่หน้าท่าน เอาเช่นนี้เถอะ ไม่ต้องคลานรอบรถม้าสิบรอบ แต่ให้พวกเขาคลานร้องเหมือนสุนัขเขาไปในเรือนก็พอ”


 


 


ด้านหนึ่งคือคุณชายใหญ่จวนราชครู อีกด้านเป็นแม่นางที่ซื่อจื่อฉีโปรดปราดที่สุด หยาผอครุ่นคิดทบทวน โอนเอียงไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว จึงกัดฟันสั่งชายฉกรรจ์ทั้งหมด “พวกเจ้าได้ยินวาจาแม่นางแล้วหรือไม่? ไม่อยากถูกเฆี่ยนก็จงปฏิบัติตาม”


 


 


เหล่าชายฉกรรจ์ไม่กล้าขัดขืน ย่อตัวลงคลานร้องเอ๋งๆ เข้าไปในเรือน


 


 


กลุ่มคนมุงล้อมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากลั่น


 


 


คุณชายใหญ่อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ใบหน้าบวมแดงเหมือนตับหมู โมโหสะบัดแขนเสื้อไม่หยุด พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างแค้นเคือง “นังตัวดี ฝากไว้ก่อนเถอะ สักวันข้าจะให้เจ้าได้เห็นดี”


 


 


พูดจบก็เดินสะบัดแขนเสื้อเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไป ชายมีอายุตามไล่หลังเขาไปทันที


 


 


คนทั้งหมดเห็นสีหน้าพ่ายแพ้ของเขา ยิ่งให้หัวเราะครืน


 


 


หยาผอร้อนรนร้องเรียกไล่หลัง “คุณชายใหญ่ ท่านจะไปแล้วหรือเจ้าคะ? ช่วงที่ผ่านมาข้าควานหาหญิงสาวชั้นดีจำนวนไม่น้อยมาให้ท่านแล้ว”


 


 


คุณชายใหญ่ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วขึ้นนั่งบนรถม้าโดยไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับ ส่งเสียงสั่งคนรถให้รีบบังคับรถม้าออกไปให้เร็วที่สุด


 


 


กระทั่งชายฉกรรจ์ทั้งหมดคลานเข้าไปในเรือน เสียงร้องเอ๋งๆ หยุดลง เสียงหัวเราะของคนที่มุงล้อมก็หยุดลง ต่างจับกลุ่มแยกย้ายกัน เดินวิพากษ์อย่างสนุกปากจากไป


 


 


ด้านหน้าเรือนพลันสงบเงียบ


 


 


หยาผอได้ประโยชน์ก้อนโตเช่นนี้ ย่อมเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจต่อเมิ่งเชี่ยนโยว ยกยิ้มเดินมาเบื้องหน้านาง พูดประจบสอพลอ “แม่นางเป็นดาวโชคดีของข้าโดยแท้ มาถึงก็ทำให้ข้าได้ลาภก้อนโตเช่นนี้โดยเปล่า ข้าขอบคุณแม่นางมากจริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ข้ามีเรื่องจะถาม แต่เจ้าต้องตอบตามสัตย์จริง”


 


 


หยาผอยกยิ้มรับคำ “แม่นางถามมาได้เลย ขอเพียงข้ารู้ ข้าจะต้องบอกท่านทั้งหมด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อ้อมค้อม ถามไปตามตรง “คุณชายใหญ่มักจะมาซื้อคนที่นี่?”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าหยาผอแข็งค้าง แววตาสะท้อนล่อกแล่ก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองปฏิกิริยาของนาง ไม่พูดอะไร


 


 


หยาผอยิ้มแห้งพูดว่า “แม่นาง คือ คือ ข้าบอกท่านไม่ได้จริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แสดงว่าเข้าใจ


 


 


หยาผอโล่งใจลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดต่อว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขายชายฉกรรจ์พวกนั้นให้ข้าเถอะ คนละสองตำลึง ข้าจ่ายเงินให้ทันที”


 


 


หยาผอจุกอกเกือบหายใจไม่ออก ชายฉกรรจ์พวกนั้นล้วนได้รับการฝึกฝนมา บ้านขุนนางเศรษฐีต่างยินซื้อพวกเขาไปเฝ้าเรือน อย่าว่าแต่สองตำลึง ต่อให้ยี่สิบตำลึงก็ไม่ถือว่าแพง ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวกลับต้องการซื้อพวกเขาเพียงคนละสองตำลึง เห็นชัดว่าต้องการบีบนางให้พูดเรื่องของคุณชายใหญ่


 


 


หยาผอยืนนิ่งใคร่ครวญ


 


 


น้ำเสียงไม่เห็นด้วยของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “ให้สองตำลึงมากเกินไปแล้ว หากไม่เพราะเจ้า นางก็คงไม่ได้ชายฉกรรจ์พวกนั้นมาโดยเปล่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทั้งหมดให้นางสิบตำลึงก็พอ”


 


 


หยาผอเริ่มยืนโงนเงน เกือบจะล้มทั้งยืน เคยได้ยินว่าซื่อจื่อฉีสุภาพอ่อนโยนดั่งหยกใส เห็นอกเห็นใจบ่าวไพร่ ล้วนเป็นคำโป้ปดโดยสิ้น คนตรงหน้าช่างใจดำอำมหิต ไร้ซึ่งความอ่อนโยนปรานีแม้แต่น้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบยกนิ้วโป้งให้หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มประจบตอบนาง


 


 


หยาผอที่เงยหน้ามาเห็นรอยยิ้มของเขาพอดี พลันได้สติขึ้นทันที ซื่อจื่อฉีโปรดปรานแม่นางตรงหน้าคนนี้มาก หากวันนี้นางไม่พูดเรื่องของคุณชายใหญ่ เกรงว่าต่อไปจะไม่ได้อยู่เป็นสุข


 


 


จึงไม่ลังเลอีก มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีคน จึงเดินเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวสองก้าว พูดกระซิบเสียงแผ่ว “เรื่องนี้ข้าจะบอกเพียงแม่นางและซื่อจื่อ ขอพวกท่านห้ามพูดออกไปเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “วางใจ ข้าเพียงแปลกใจสอบถาม จักไม่โพนทะนาออกไป นำความเดือดร้อนมาให้ท่านเด็ดขาด”


 


 


หยาผอถึงวางใจพูดว่า “คนที่อยู่ข้างกายคุณชายใหญ่เมื่อครู่ก็คือพ่อบ้านจวนราชครู เมื่อก่อนเขาจะมาที่นี่ทุกสามเดือน ทุกครั้งจะมาซื้อสตรีที่มีประวัติขาวสะอาดสิบกว่าคนไป บอกว่าเอาไปเป็นสาวใช้ในจวน ตอนนั้นข้าไม่สนใจอะไร ราชครูเป็นครอบครัวขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ซื้อสาวใช้จำนวนหนึ่งไปหาได้ผิดแปลก แต่ข้าค่อยๆ ค้นพบสิ่งผิดปกติ ทุกครั้งเขาจะมาซื้อเด็กสาวใบหน้าสะสวยหมดจด อายุสิบสามสิบสี่ปี และเด็กสาวพวกนี้หลังจากถูกซื้อไป ก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวอีกเลย ข้าทนความใคร่รู้ไม่ไหว สอบถามกับพ่อบ้าน กลับถูกพ่อบ้านด่าตะเพิดกลับมา นับแต่นั้นมาข้าก็ไม่กล้าถามอีก ต่อมา ทุกครั้งที่มาซื้อคน คุณชายใหญ่จะมาเลือกเฟ้นด้วยตัวเอง ข้าเลียบๆ เคียงๆ ถามผู้ติดตามเขาถึงได้ความออกมาว่า ที่แท้คุณชายใหญ่เป็นพวกวิตถาร ตั้งใจซื้อเด็กสาวพวกนี้กลับไปทรมาน เด็กสาวที่ถูกเขาซื้อตัวไปไม่ถึงสามเดือนก็จะถูกเขาทรมานตายทั้งเป็น ดังนั้น พวกเขาจึงมาซื้อคนใหม่กลับไปทุกสามเดือน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “เมื่อท่านรู้เรื่องแล้ว กลับยังขายคนให้เขา?”


 


 


หยาผอตบหน้าขาฉาดใหญ่ “ปัดโธ่ แม่นาง ข้ามีอาชีพค้ามนุษย์ ลูกค้าเข้ามาซื้อคน ข้าไม่มีเหตุผลไม่ขายให้พวกเขา อีกอย่าง พ่อแม่ของเด็กยังไม่รักขายพวกนางทิ้ง ข้ามีสิทธิ์อะไรเห็นใจพวกนาง ต้องโทษพวกนางที่โชคร้ายเอง ดันไปต้องตาต้องใจคุณชายใหญ่ ต้องตายกลายเป็นผีน่าสังเวช”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงียบงัน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่พูดอะไร


 


 


หยาผอเห็นสีหน้าผิดปกติของคนทั้งสอง กำชับพวกเขาอีกครั้ง “ข้าบอกสิ่งที่รู้กับแม่นางแล้ว ท่านห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด หากให้คุณชายใหญ่รู้ว่าข้าพูดกับท่าน เขาได้ให้คนมาถลกหนังข้าเป็นแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ล้วงเงินยี่สิบตำลึงออกมาจากอกเสื้อมอบให้หยาผอ “เมื่อข้ารับปากแล้ว จักไม่พูดออกไปเด็ดขาด นี่เป็นเงินซื้อตัวพวกเขาทั้งหมด ท่านรับไว้ แล้วเอาสัญญาทาสของพวกเขามาให้ข้าด้วย”


 


 


หยาผอรับเงินมา รีบเดินไปหลังเรือน หาสัญญาทาสของคนพวกนั้นออกมา นำตัวเด็กสาวทั้งสามตัวมามอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บสัญญาทาสไว้อย่างดี สั่งเด็กสาวทั้งสามคนไปนั่งด้านหลังรถม้า แล้วหันมาพูดกับหยาผอ “ทางที่ดีท่านจงรีบขายชายฉกรรจ์พวกนั้นทิ้ง ไม่เช่นนั้นคุณชายใหญ่กลับถึงบ้าน ได้สติกลับมา ท่านจะดีใจเก้อ”


 


 


หยาผอนิ่งอึ้ง รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณแม่นางที่เตือน ข้าจะให้คนส่งข่าวบอกผู้ซื้อ ให้พวกเขารีบมารับคน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร เดินกลับมาขึ้นรถม้าพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้า หวงฝู่อี้นั่งบนคานรถม้าอีกด้าน มุ่งหน้าไปฝั่งใต้ของเมือง


 


 


คนที่ถูกซื้อตัวมาเบียดเสียดกันอยู่ด้านหลังห้องโดยสาร กัวเฟยบังคับรถม้า องครักษ์อีกสองนายนั่งเบียดกันอยู่บนคานรถด้านหน้า ตามหลังรถม้าคันหน้าไป


 


 


หยาผอมองพวกเขาจากไปไกล ถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วรีบยักย้ายร่างกลับเรือน สั่งการบ่าวสองสามคน “พวกเจ้ารีบส่งข่าวไปในตัวจังหวัด บอกว่าข้ามีคนที่เหมาะสมที่พวกเขาต้องการ ให้พวกเขารีบมารับคนไป หากชักช้าจะไม่มีเหลือ” 

 

 


ตอนที่ 20-1 ความอบอุ่น

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนรถม้า กำลังขบคิดเรื่องต่างๆ อย่างเงียบๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคิดว่านางรู้สึกเสียใจกับเด็กผู้หญิงที่ถูกซื้อตัวเข้าไปในจวนของท่านเสนาบดีจึงพูดปลอบใจนางไปว่า “แม่ค้านายหน้าพูดถูก พ่อแม่ของเด็กผู้หญิงเหล่านั้นไม่รู้จักทะนุถนอมพวกนาง ขายพวกนางออกไป ต่อให้เจ้าเสียใจแทนเด็กผู้หญิงเหล่านั้นมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก”


 


 


ด้วยในชาติภพก่อนของเมิ่งเชี่ยนโยวนางถูกฝึกฝนให้เป็นนักฆ่าตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นพอโตขึ้นจึงกลายเป็นคนที่มีนิสัยเย็นชาไปแล้ว เมื่อเห็นเด็กผู้หญิงเหล่านั้นถูกขายออกไป นางก็แค่รู้สึกเห็นใจเท่านั้น ทว่าครั้นพอได้ฟังคำจากปากของหวงฝู่อี้เซวียน จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดไปไกล จึงได้พูดแก้ไขความเข้าใจผิดออกไปว่า “วันนี้พอข้าได้เห็นคุณชายใหญ่ก็รู้ได้เลยว่าเขาเป็นคนที่จิตใจคับแคบนัก ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเมื่อปีนั้นไม่รู้ว่าเหวินเปียวไปล่วงเกินอะไรเขาเข้า ถึงได้ทำให้เขาคิดอุบายวางแผนทำร้ายครอบครัวของเขาทั้งครอบครัวแบบนี้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพอรู้ว่านางไม่ได้เสียใจเพราะเด็กผู้หญิงเหล่านั้น เขาก็ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งใจ “รอกลับถึงบ้านก่อนค่อยไปถามความเอาจากเหวินเปียวอีกทีเท่านี้ก็ได้คำตอบแล้ว เจ้าจะครุ่นคิดคาดเดาให้ตัวเองลำบากไปไย?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัว “น่ากลัวว่าแม้แต่ตัวเหวินเปียวเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยกระมังว่าตนเองเผลอเป็นล่วงเกินเขาเข้า เมื่อปีนั้นตอนที่พวกเราออกจากเมืองฟู่เฉิง ระหว่างทางกลับบ้านได้ถูกดักซุ่มโจมตี ข้าเคยถามเขา ทว่าเขากลับตอบกลับมาเพียงว่าคุณชายใหญ่ใช้เรื่องเครื่องประดับหยกมาใส่ร้ายเขา ส่วนสาเหตุอื่นๆ ไม่มีการกล่าวถึงแม้แต่ประโยคเดียว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วขึ้นตาม “ดูจากท่าทีของเฮ่อเหลียนเหมือนกับว่าอีกฝ่ายมีความแค้นลึกซึ้งกับเหวินเปียวอย่างไรอย่างนั้น เห็นทีเหวินเปียวน่าจะทำให้เขาขุ่นเคืองไปไม่เบา เอาแบบนี้ก็แล้วกัน รอเจ้ากลับถึงบ้านก่อนค่อยลองหยั่งเชิงถามเขาอย่างระมัดระวังดูอีกครั้ง ดูสิว่าเขาจะนึกอะไรออกได้บ้างไหม ข้าหลังจากกลับถึงจวนแล้วจะส่งคนไปช่วยแอบสืบเรื่องนี้ดูอีกที ดูสิว่าจะหาเบาะแสเพิ่มเติมได้บ้างหรือเปล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสำทับนางไปอีกครั้งอย่างไม่วางใจ “วันนี้เจ้าทำให้เฮ่อเหลียนขายหน้าต่อหน้าผู้คน เขาต้องไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่ จากนี้ไปเจ้าต้องระมัดระวังตัวในการเข้าออกให้มากขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มขึ้นอย่างสบายๆ “วางใจเถิด กับคนถ่อยชั่วช้าอย่างเขาดีแต่วางแผนทำร้ายผู้คนลับหลังเท่านั้นแหละ ไม่กล้าเคลื่อนไหวตรงๆ ต่อหน้าหรอก”


 


 


เพราะทั้งสองคนใช้เสียงที่เบามากในการพูดคุยกัน เหวินเปียวซึ่งบังคับรถม้าอยู่ด้านนอกจึงไม่ได้ยินบทสนทนานี้เลยแม้แต่น้อย


 


 


จนกระทั่งรถม้ามาจอดเทียบถึงหน้าประตู ทั้งสองคนก็เดินลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปในลานบ้าน


 


 


รถม้าที่ขับตามมาจากทางด้านหลังเองก็หยุดลงด้วยเหมือนกัน เด็กผู้หญิงทั้งสามคนรวมถึงหญิงผู้นั้นก็พาเด็กชายตัวน้อยออกมาจากรถม้า


 


 


องครักษ์สองนายช่วยกันแบกชายคนนั้นออกมาแล้วพาเขาเข้าไปในลานบ้าน


 


 


ซึ่งข้างในนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวได้รอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว


 


 


หลายคนเข้ามายืนต่อแถวและมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างประหม่า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองพวกเขาสองสามทีก่อนจะพูดออกไปว่า “ต่อจากนี้ไปที่นี่จะเป็นบ้านของพวกเจ้า งานของพวกเจ้าในแต่ละวันนั้นง่ายมากนั่นก็คือทำความสะอาดบ้าน ทำอาหารแล้วก็ซักเสื้อผ้า ตราบใดที่พวกเจ้าทำงานกันอย่างสงบและเรียบร้อย ข้าจะไม่กะเกณฑ์และผูกมัดพวกเจ้าจนเกินไป อย่างไรก็ตามเงื่อนไขหนึ่งที่พวกเจ้าต้องจำให้ขึ้นใจนั่นก็คือห้ามไม่ให้มีการทะเลาะกันเองโดยเด็ดขาด ห้ามไม่ให้จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องใดก็ตาม หากมีใครทำผิดกฎทั้งสองข้อนี้ ข้าจะขายพวกเจ้าทิ้งเสีย”


 


 


หลายคนรีบร้อนตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “เจ้าค่ะ คุณหนู”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ไปที่เด็กหญิงทั้งสามและบอกกับกัวเฟยไปว่า “พาทั้งสามคนไปที่ห้องของบ่าวรับใช้ ให้พวกนางต้มน้ำร้อนกันเองและทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย”


 


 


กัวเฟยขานรับคำหนึ่งก่อนจะเดินนำเด็กหญิงทั้งสามออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปออกคำสั่งกับองครักษ์ทั้งสองคนต่อ “พวกเจ้าพาเขาไปที่ห้องของบ่าวรับใช้ก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะไปดูเขาอีกที”


 


 


องครักษ์ทั้งสองคนรับคำสั่งแล้วแบกชายคนนั้นขึ้นมาเดินจากไปในทันที


 


 


ตอนนี้คนที่เหลืออยู่ที่นี่ก็มีเพียงหญิงผู้นั้นกับเด็กชายตัวน้อยแล้ว ทั้งสองมองนางอย่างใจจดใจจ่อแกมกระวนกระวายใจ


 


 


ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็หันไปทางเหวินเปียว มีคำสั่งลงไปว่า “เจ้าไปซื้อเสื้อผ้าให้พวกนางทั้งหมด แต่ละคนซื้อกันคนละสองชุด” กล่าวจบก็สำทับเพิ่มไปอีกหนึ่งประโยคว่า “ซื้อของเด็กมาด้วย”


 


 


หญิงผู้นั้นทันทีที่ได้ยินดังกล่าวก็ดีใจมาก รีบพูดขึ้นทันทีว่า “ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือออกไปทีหนึ่ง


 


 


จากนั้นเหวินเปียวก็พาหญิงผู้นั้นออกจากลานบ้านไป


 


 


หลังจากจัดการกับทั้งหมดนี้เสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนก็พากันกลับไปที่เรือนหลัก


 


 


หวงฝู่อี้เดินไปชงชา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหย่อนตัวลงบนเก้าอี้แล้วพูดขึ้น “ยื่นมือออกมา ข้าจะจับชีพจรให้เจ้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอี้ตาม มือพาดวางไปบนโต๊ะอย่างเชื่อฟัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแตะนิ้วลงบนแอ่งชีพจรบนข้อมือของเขา ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะพูดขึ้นว่า “ยังมีพิษเหลืออยู่อีกเล็กน้อยที่ยังไม่ได้ถูกกำจัด นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปหลังจากที่เจ้าเลิกเรียนที่กั๋วจื่อเจียน*แล้วให้ตรงมาหาข้าที่นี่เลย ข้าจะเขียนใบสั่งยาใหม่ให้ ทุกวันเจ้าต้องดื่มยาที่นี่ก่อนถึงจะสามารถกลับจวนได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแต่เดิมก็กระตือรือร้นที่จะมาที่นี่มากอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินว่าต้องมาทุกวัน ก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างมีความสุขทันที “ข้าเลิกเรียนช่วงต้นยามอู่ของทุกวัน ถ้าอย่างไรเจ้าช่วยเตรียมมื้อกลางวันให้ข้าด้วยเลย ข้าจะไม่กลับจวนอ๋องแล้ว ทุกวันจะมาฝากท้องที่นี่แหละ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาให้เขาครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลอบร้องยินดีในใจ


 


 


ในตอนนี้เองหวงฝู่อี้ก็ยกชาที่ชงแล้วมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขาด้วยความเคารพ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้น พลางถามออกไปว่า “ไม่กี่วันมานี้เจ้าจัดการกับกากยาอย่างไร?”


 


 


“ข้าขุดหลุมใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานและฝังพวกมันทั้งหมดไว้ในนั้น” หวงฝู่อี้ตอบทันที ก่อนจะพูดต่ออีกหนึ่งประโยคว่า “เรือนของซื่อจื่อยามนี้มีข้าเพียงคนเดียวที่รับใช้อยู่ที่นี่ ดังนั้นไม่มีใครรู้แน่นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อี้เซวียนถูกพิษมานาน นี่แสดงให้เห็นว่ามีคนวางยาเขามานานแล้ว ตอนนี้เขาใช้โอกาสนี้จัดการทำความสะอาดคนในเรือนใหม่ ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังจะต้องร้อนใจและนั่งไม่ติดอยู่เป็นแน่ เจ้าต้องใส่ใจและระมัดระวังให้มาก ของที่ไม่ใช่มาจากมือของเจ้าเองเป็นไปได้อย่าให้เข้าปากของซื่อจื่อเจ้าโดยเด็ดขาด”


 


 


หวงฝู่อี้ตอบกลับอย่างนอบน้อม “ข้าทราบแล้วแม่นางเมิ่ง”


 


 


จากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนก็โบกมือขึ้น หวงฝู่อี้ถอยออกไปแล้วไปยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูแทน


 


 


ทันทีที่หวงฝู่อี้ปิดประตูลง หวงฝู่อี้เซวียนก็หันมายิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาไป พูดออกไปว่า “มีอะไรก็พูดมา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะเสียงเบา ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “โยวเอ๋อร์ นี่ก็สี่ปีแล้วนะที่ข้าไม่ได้ทานอาหารฝีมือเจ้า เย็นนี้ข้าอยากอยู่ทานอาหารที่นี่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบตาขึ้นมองสีของท้องฟ้าด้านนอก ถามออกไปว่า “เจ้าอยากทานอะไร? ข้าจะไปเตรียมให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ ทานเสร็จแล้วก็รีบกลับจวนไป”


 


 


เมื่อได้ยินว่านางตอบตกลง หวงฝู่อี้เซวียนก็มีความสุขมากจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก เขายืดตัวขึ้น พูดไปด้วยน้ำเสียงประจบว่า “ขอเพียงแค่เจ้าทำ จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น”


 


 


“รอเดี๋ยว” กล่าวจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นตาม “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ข้าช่วยเจ้าติดไฟได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนกับเพิ่งได้สติ จึงหยอกล้อเขาไปว่า “ซื่อจื่อ ด้วยฐานะของเจ้าในตอนนี้ใช้ให้เจ้าไปช่วยจุดไฟ เจ้าคิดว่ากับข้าวที่ข้าทำออกมาจะยังมีใครกล้ากินอยู่เหรอ?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนผงะไปชั่วขณะหนึ่ง แต่แล้วก็เริ่มทำตัวไร้ยางอายขึ้นมา “ข้าไม่สน ข้าจะไปทำอาหารกับเจ้าด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก อยากจะยกมือขึ้นไปเคาะศีรษะเขาสักที แต่พอยกมือขึ้นก็ตระหนักได้ว่าฐานะของอีกฝ่ายในตอนนี้สูงกว่าตัวเองมาก จึงได้แต่เก็บมือกลับไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยเหลือไว้ พูดออกไปว่า “ไปกันเถอะ”


 


 


กล่าวจบ ก็หมุนตัวแล้วเดินออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างมีความสุข


 


 


หวงฝู่อี้ซึ่งยืนเฝ้าประตูอยู่ เห็นทั้งสองคนเดินออกมาจึงได้เข้าไปถามว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง นี่พวกท่าน…?”


 


 


“ข้ากับโยวเอ๋อร์กำลังจะเข้าครัวไปทำอาหาร เจ้าเองก็มาด้วยกันสิ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบไปอย่างคล่องปาก


 


 


เป็นฝ่ายหวงฝู่อี้ที่ตื่นตระหนกไปแล้วหลังจากที่ได้ยิน รีบเข้าไปหยุดอีกฝ่ายไว้ทันทีด้วยความลนลาน “ซื่อจื่อ ฐานะของท่านสูงส่งยิ่งนัก จะให้ไปเหยียบสถานที่เช่นนั้นได้อย่างไร”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วแน่น ลดเสียงลงแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “อี้เอ๋อร์ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าเรียนรู้อะไรแบบนี้?”


 


 


หวงฝู่อี้หลังจากสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่ถูกต้องของเขาก็เงยหน้าขึ้นมอง แต่พอเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายก็ไม่น่าดูเป็นอย่างมาก ก็ให้หวาดกลัวรีบก้มหน้างุดทันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


เสียงทุ้มลึกของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา “เหตุผลที่ข้าให้เจ้าติดตามอยู่ข้างกายเพราะว่าข้าเห็นเจ้ามาแต่เล็ก มองว่าเจ้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ยิ่งไม่อาจทนเห็นเจ้าที่ยังเด็กโดดเดี่ยวเป็นกำพร้าได้ แต่ว่าข้าไม่อยากให้เจ้าเปลี่ยนไปเป็นเหมือนกับคนพวกนั้นที่อยู่ในจวนอ๋อง มองข้าเป็นดั่งซื่อจื่อผู้สูงส่ง ใช้นิยามทางโลกเหล่านั้นมาผูกมัดและจำกัดความต้องการของข้า”


 


 


อย่างไรก็ตามหวงฝู่อี้ยังเด็ก หลังจากอยู่ในจวนอ๋องเป็นเวลานานหลายปีเขาก็ได้ซึมซับอิทธิพลเหล่านั้นมาโดยไม่รู้ตัว เกิดเป็นความรู้สึกที่ว่าฐานะของหวงฝู่อี้เซวียนแตกต่างและห่างไกลจากพวกเขามากเหลือเกิน ดังนั้นตอนนี้พอได้ยินคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียน จึงได้รู้สึกตกใจเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ก่อนจะตัดสลับมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว สายตาจับจ้องทั้งคู่อย่างเงียบๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตบไปที่ไหล่ของหวงฝู่อี้เบาๆ “อี้เอ๋อร์ ไม่ว่าเมื่อไหร่หรือเวลาใดก็ตามเจ้าต้องจำไว้เสมอว่าเจ้าเป็นน้องชายของข้า ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชา”


 


 


หลังจากพูดจบ เขาก็หันศีรษะไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ “ไปกันเถอะ ไปที่ห้องครัวกัน ข้าจะเป็นลูกมือให้เจ้าเอง”


 


 


หวงฝู่อี้ตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อมองไปทางคนทั้งสองที่กำลังจะเข้าครัวไป เขาก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงดังว่า “พี่ชาย แม่นางเมิ่ง ข้าก็จะไปช่วยพวกท่านด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้วของนางแล้วมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มตอบนางเล็กน้อย


 


 


จากนั้นคนทั้งสามก็เดินเข้าห้องครัวไป 

 

 


ตอนที่ 20-2 ความอบอุ่น

 

เนื่องจากว่ายังไม่ถึงเวลาทำอาหาร ในครัวเวลานี้จึงว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลยสักคน มีเพียงหม้อต้มน้ำร้อนใบใหญ่บนเตาที่กำลังปลดปล่อยไอร้อนออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงมือตรวจสอบวัตถุดิบทำอาหารที่เหวินเปียวไปจัดการหาซื้อมาในวันนี้อย่างละเอียด ฉับพลันสูตรอาหารก็ปรากฏขึ้นในใจ จึงพูดออกไปว่า “วันนี้คนในเรือนค่อนข้างเยอะ ข้าว่าจะจัดเตรียมอาหารสักหกอย่าง ทั้งสองคนคงต้องยุ่งกันหน่อยแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อี้ตอบรับพร้อมกันทันทีด้วยความร่าเริง “ไม่มีปัญหา”


 


 


จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งให้หวงฝู่อี้เซวียนทำความสะอาดผักบางส่วน ในขณะที่นางเอาเนื้อสัตว์มาหั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดตามที่ตนเองต้องการ


 


 


ทั้งสามคนคุยกันพลางหัวเราะสนุกสนานอยู่ในห้องครัว


 


 


หลังจากหญิงสาวที่เพิ่งถูกซื้อตัวมาและเด็กหญิงทั้งสามอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกนางก็ผลัดเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมา และเมื่อเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเย็นลง พวกนางจึงพร้อมใจกันเดินไปทางห้องครัวหมายจะลงมือเตรียมมื้อเย็นของวันนี้ ที่ไหนได้ยังไม่ทันจะไปถึงเสียงหัวเราะพูดคุยกันของคนกลุ่มหนึ่งก็ดังมาให้ได้ยินเสียก่อน คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ครัวรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วทันที และเมื่อเดินเข้าไปในครัวแล้วได้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกับคนอื่นๆ นางก็ตกใจจนแทบเสียสติ รีบดิ่งเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความลนลานแล้วพูดว่า “แม่นาง ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกได้ว่าแทบจะตระเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพแล้ว จึงหันไปยิ้มให้กับแม่ครัว พูดกับอีกฝ่ายไปว่า “วันนี้พวกเจ้าเพิ่งมาถึง ไม่จำเป็นต้องทำ ไปล้างจานชามกับตะเกียบเตรียมไว้ก็พอแล้ว”


 


 


แม่ครัวขานรับคำหนึ่ง จากนั้นก็พาเด็กหญิงทั้งสามไปตักน้ำร้อนเพื่อล้างจาน


 


 


เหวินเปียวกับกัวเฟยยังคงติดใจเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้พวกเขากินกลางดึกไม่หาย เมื่อพวกเขาทั้งหมดมาถึงแล้วได้ยินเสียงดังมาจากทางครัว ก็ให้รีบร้อนเดินเข้าไปทันที และพวกเขาก็เป็นต้องตกใจเมื่อได้เห็นว่าแม้แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังอยู่ข้างในด้วย จึงรีบถลาเข้าไปกล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายว่า “งานหยาบเหล่านี้ให้ข้าทำแทนเถิดขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือให้ “ไม่ต้อง เจ้าไปเฝ้าที่หน้าประตู อย่าให้ใครเข้ามารบกวนการทำอาหารของพวกเรา”


 


 


กัวเฟยไม่ขยับไปไหนเลย สายตาจับจ้องไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวไม่วางตา


 


 


“ไปเถอะ”


 


 


จากนั้นกัวเฟยก็ออกไปยืนเฝ้าที่หน้าประตูเป็นเพื่อนเหวินเปียว กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมทำให้ทั้งคู่อดไม่ไหวน้ำลายสอ


 


 


อาหารทั้งหกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกับข้าวของหวงฝู่อี้เซวียนเองก็ทำเสร็จแล้วเช่นกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบจานเล็กๆ ที่สะอาดขึ้นมาวางไว้สองสามจาน แต่ละจานใส่กับข้าวแต่ละอย่างลงไปอย่างละนิดละหน่อย จากนั้นก็ตักข้าวใส่ชามเพิ่มอีกสองชามแล้วสั่งให้หวงฝู่อี้กับกัวเฟยยกมันไปส่งที่ห้อง แล้วจึงหันไปพูดกับเหวินเปียวที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูกับแม่ครัวและเด็กหญิงทั้งสามที่กำลังรออย่างกระสับกระส่ายว่า “อาหารเย็นพร้อมแล้ว ไปเรียกทุกคนมากินได้แล้ว อย่าลืมทำความสะอาดครัวหลังทานอาหารเสร็จด้วยเล่า”


 


 


หลายคนขานรับพร้อมกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนเดินกลับไปที่ห้อง หวงฝู่อี้ยกน้ำสะอาดเข้ามาเพื่อให้พวกเขาล้างมือก่อนลงมือทานอาหาร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองอ่างน้ำที่อยู่ในมือของเขาเพื่อบอกเป็นนัยว่าให้วางมันลง “พวกข้าจัดการเอง เจ้ารีบไปกินข้าวเถอะ ขืนช้าไปกว่านี้เกรงว่าแม้แต่น้ำซุบก็จะไม่เหลือแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้ท้องร้องโครกครากตั้งแต่ได้กลิ่นหอมๆ ของกับข้าวลอยมาในครัวแล้ว ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้เขาก็ไม่ยืนกรานต่ออีก รีบวิ่งไปที่ห้องครัวด้วยความรวดเร็วประหนึ่งจะติดปีกบิน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้กับปฏิกิริยาของเขาพลางส่ายหัว “อย่างไรก็ยังเป็นเด็กอยู่ยังวันยังค่ำ เผลอครู่เดียวก็แสดงธรรมชาติดั้งเดิมของความเป็นเด็กออกมาแล้ว”


 


 


ทั้งสองล้างมือ ก่อนจะนั่งลงแล้วลงมือทานอาหาร


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กินอาหารรสมือของเมิ่งเชี่ยนโยวมาสี่ปีแล้ว แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้เอาแต่กินจนละเลยเพิกเฉยต่อเมิ่งเชี่ยนโยวแต่อย่างใด เขาคีบกับข้าวให้นางอย่างเอาใจใส่ก่อนจะลงมือทานของตัวเองด้วยท่วงท่าสง่างาม อย่างไรก็ตามดูเหมือนมื้อนี้จะกินมากเกินไปหน่อยแล้ว ด้วยเพราะทำกับข้าวที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำมีหลายอย่างมาก ประกอบกับเจ้าตัวกินไปเพียงนิดเดียว ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงมาลงท้องเขาหมด


 


 


ได้เห็นท่าทีเกียจคร้านไม่เต็มใจจะเคลื่อนไหวของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงแกล้งหยอกเขาไปว่า “เป็นถึงซื่อจื่อผู้สูงส่งแห่งจวนอ๋องฉีกลับมาสวาปามกับข้าวที่บ้านข้าจนจุกแทบขยับไม่ไหวแบบนี้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปผู้อื่นจะคิดไปว่าเจ้าถูกคนในจวนอ๋องทารุณกรรมเอา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลูบท้องที่พองขึ้นเหมือนกับลูกหนังของตนอย่างไม่คิดจะรักษาภาพพจน์เลยแม้แต่น้อย “กับข้าวที่พ่อครัวในจวนอ๋องทำพันปีไม่มีเปลี่ยนแปลง มันจะอร่อยเท่าของเจ้าได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะไม่ออก “อีกหน่อยหลังจากเจ้าเลิกเรียนที่กั๋วจื่อเจียนแล้ว ทุกเที่ยงยามมาที่นี่ใช่ว่าข้าจะเข้าครัวทำให้กินทุกมื้อหรอกนะ”


 


 


“ไม่เป็นไร แค่ได้กินรสมือเจ้าบางครั้งบางคราวข้าก็มีความสุขแล้ว ขืนเจ้าเข้าครัวทำให้ข้าทุกวัน ข้าคงรู้สึกปวดใจนัก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวลงบนเก้าอี้อย่างสบายๆ พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “สี่ปีไม่พบหน้า ซื่อจื่อไม่เพียงแต่จะรูปลักษณ์เปลี่ยนไป กระทั่งคำรักคำเกี้ยวก็ยังรู้จักพูดแล้ว ไม่รู้ว่าได้ให้ใครมาช่วยฝึกซ้อมบ้างหรือเปล่า หรือบางที…”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตกใจจนเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ทันที “โยวเอ๋อร์เจ้าอย่าเข้าใจผิดนะ คุณหนูตระกูลซ่างซูผู้นั้นข้าเคยพบหน้าแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น”


 


 


ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้ “ข้าเคยพูดว่าเจ้าใช้คุณหนูตระกูลซ่างซูฝึกซ้อมด้วยหรือ? ซื่อจื่อ นี่นับว่าเป็นคำสารภาพคงได้กระมัง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนวิตกกังวลจนนั่งไม่ติดแล้วในตอนนี้ คิดต้องการจะอธิบาย แต่ยิ่งลนลานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งคิดหาคำอธิบายไม่ออก เหงื่อบนหน้าผากเม็ดโป้งผุดซึมขึ้นมาไม่หยุด


 


 


เห็นเขามีสภาพแบบนี้ ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลั้นเสียงหัวเพราะเอาไว้ไม่ไหว หลุดหัวเราะดัง “พรืด” ออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดังว่า “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น เป็นจริงเป็นจังไปได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่รอยยิ้มอันแสนหวานของนาง เห็นว่านางไม่ได้โกรธเขาจริงๆ ก็ให้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงก่อนจะพูดว่า “โยวเอ๋อร์ อีกหน่อยอย่าได้ล้อเล่นอะไรแบบนี้อีกนะ เจ้าตลกแต่ข้าไม่ตลกสักนิด ข้ากลัวแทบตายแน่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผากของเขาเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ทำเรื่องผิดต่อมโนธรรม ไม่กลัวว่าผีจะมาเคาะประตูในยามค่ำคืน ในเมื่อเจ้าไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ไยจะต้องหวาดกลัวและร้อนตัวไปเอง?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถือโอกาสนี้คว้ามือของนางมาจับไว้ “ข้ารู้ว่าเจ้าติดใจเรื่องงานแต่งของข้ากับคุณหนูตระกูลซ่างซูมาโดยตลอด วางใจเถิด ข้าจะรีบจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาจ้องเขา แล้วปัดมืออีกฝ่ายออกไป “ข้าคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถอยหนี อีกอย่างเจ้ายังเด็ก เรื่องงานแต่งคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะจัดขึ้นจริงๆ ดังนั้นค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถิด”


 


 


เป็นหวงฝู่อี้เซวียนที่เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมาหลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ “ใครบอกว่าข้ายังเด็ก ข้าอายุสิบห้าแล้วและข้าก็แต่งงานได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปรามเขา “ทุกอย่างจะรอจนกว่าเจ้าจะจัดการเรื่องถอนหมั้นเรียบร้อย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตามองนางน้อยๆ “โยวเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้คิดจะทิ้งข้าแล้วกลับบ้านไปหรอกใช่ไหม?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปเคาะที่หัวของเขาแล้วพูดว่า “คิดอะไรอยู่? ข้าเคยพูดกับท่านพ่อท่านแม่ก่อนจะมาที่นี่ไปแล้วว่าคราวนี้ข้ามาเพื่อจัดการเรื่องงานแต่ง หากงานแต่งยังไม่ตกลงแล้วข้าจะกลับบ้านไปได้อย่างไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินแบบนี้ก็ค่อยวางใจลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวต่อว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเอาแต่รอเจ้าจัดการเรื่องถอนหมั้นอย่างเดียวคงไม่ใช่วิธี ไม่สู้ข้าเปิดร้านขายบะหมี่มันฝรั่ง ขยายกิจการของข้าให้กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “นี่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะพาเจ้าไปหาทำเลที่ตั้งร้านดีๆ เองและเราจะเร่งเปิดกิจการโดยเร็วที่สุด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องพาข้าไปหาร้านที่ไหนทั้งนั้น ร้านขายบะหมี่มันฝรั่งของพวกเราจะเปิดตั้งอยู่ตรงข้ามกับเหลาจวี้เสียนนั่นแหละ พรุ่งนี้เจ้าพาข้าไปที่เหลาจวี้เสียน จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับเถ้าแก่ของพวกเขาไปเสียด้วยเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้ารับ “ได้ พรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ ช่วงที่เหลาจวี้เสียนไม่ค่อยวุ่นวายข้าจะพาเจ้าไป แต่ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นเลย ข้าเองก็ไม่ได้ติดต่อกับเถ้าแก่เหลาจวี้เสียนมานานมากแล้ว พรุ่งนี้ให้ดีเจ้าพกจี้หยกสองอันนั้นไปด้วยดีกว่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่จำเป็น เถ้าแก่ทั้งหมดของเหลาจวี้เสียนเมื่อสี่ปีก่อนน่าจะรู้จักตัวตนของเจ้าแล้ว พรุ่งนี้หลังจากไปถึงเจ้าแค่แสดงฐานะของตัวเองออกมาก็พอ”


 


 


“ในเมื่อเป็นแบบนั้นเช่นนั้นพวกเราก็ไปกันตั้งแต่ตอนเที่ยงเลยเถิด จะได้ทานอาหารกลางวันที่นั่นด้วยเลย ถือโอกาสสนทนากับเถ้าแก่ยาวๆ” หวงฝู่อี้เซวียนเสนอ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้ พรุ่งนี้เที่ยงเจ้ามารับข้าที่นี่ เราจะไปที่เหลาจวี้เสียนด้วยกัน”


 


 


เวลานี้หวงฝู่อี้ที่แยกตัวออกไปทานมื้อเย็นก็เสร็จจากการทานอาหารเรียบร้อย เขามายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วถามว่า “พี่ใหญ่ แม่นางเมิ่ง พวกท่านทานเสร็จหรือยัง?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “เสร็จแล้ว เจ้ามาเก็บชามและตะเกียบออกไปเถอะ”


 


 


หวงฝู่อี้ขานรับ ก่อนจะเดินเข้าไปทำความสะอาดเก็บกวาดจานข้าวบนโต๊ะอย่างเรียบร้อยว่องไว แล้วพูดต่อว่า “พี่ใหญ่ นี่ก็เริ่มเย็นมากแล้ว พวกเราควรกลับจวนแล้วหรือไม่?”


 


 


เมื่อเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงต้องยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเขาออกไป


 


 


หลังจากที่หวงฝู่อี้รีบส่งถ้วยชามไปที่ห้องครัว เขาก็วิ่งเหยาะๆ แล้วจูงม้าออกไปนอกประตู


 


 


หลังจากบอกลาเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เต็มใจ ทั้งสองก็กลับไปที่จวน และทันทีที่เขานั่งลงในห้องนอนของเขา หวงฝู่อวี้ก็ยกของว่างจานหนึ่งเข้ามา “พี่ใหญ่ วันนี้ท่านแม่ของข้าทำของว่างชั้นเลิศ ข้าจึงยกมาให้ท่านเป็นพิเศษ”


 


 


—————————-


 


 


* กั๋วจื่อเจียน(国子监)เป็นสถาบันการศึกษาสูงสุดของเหล่าชนชั้นสูงหรือราชวงศ์ของจีนในสมัยโบราณ 

 

 


ตอนที่ 21-1 ยาสิ้นบุตร

 

เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปของหวงฝู่อี้หยุดลงชั่วขณะ จากนั้นเขาก็มองกลับไปที่หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


แสงประกายวาบวิ่งผ่านเข้ามาในดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียน เขายิ้มแล้วพูดออกไปว่า “วันนี้ข้าอิ่มมาก กับข้าวของโยวเอ๋อร์ทำให้ข้ากินอะไรไม่ลงอีกแล้วล่ะ เจ้าเก็บไว้กินเองเถอะ”


 


 


หวงฝู่อวี้ร้อง “โอ้” ออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะหยิบขนมใส่ปากตัวเองแล้วกัดลงไปเบาๆ พอกลืนลงไปแล้วจึงได้ยินเสียงเขาถามออกมาว่า “นังตัวดี…ข้าหมายถึงแม่นางเมิ่งซื้อจวนแล้วใช่หรือไม่?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นท่าทางการกินของเขาดูเป็นธรรมชาติ ความสงสัยที่เพิ่งเกิดขึ้นในใจก็สลายหายไป น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “นางซื้อจวนหลังหนึ่งอยู่ฝั่งทางใต้ของเมือง ไว้ว่างๆ แล้วข้าจะพาเจ้าไปดู”


 


 


หวงฝู่อวี้กลับลนลานรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที “ข้าไม่ไปหรอก พี่ใหญ่ท่านไปคนเดียวก็พอแล้ว”


 


 


ตอนนี้เองรอยยิ้มที่ปรากฎบนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็สลายหายไปโดยพลัน ไม่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจัดการกับหวงฝู่อวี้แบบไหนถึงได้ทำให้เขาหวาดกลัวที่จะพูดถึงตัวนางขนาดนี้


 


 


หวงฝู่อวี้กลืนขนมลงคอไปอีกสองคำติด ก่อนจะตบมือของเขาแล้วพูดว่า “ในที่สุดก็อิ่มเสียที ไม่รู้ทำไมหลายวันมานี้เสด็จพ่อดูจะเห็นข้าขัดหูขัดตาแปลกๆ ทำเอาหลายวันมานี้ข้าหวาดระแวงจนกินอะไรไม่ลงเลย” หลังจากพูดจบ เขาก็ชี้ไปที่ของว่างในจานแล้วพูดต่อว่า “ที่เหลือข้าวางไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน เผื่อท่านหิวขึ้นมาจะได้ใช้รองท้องได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อวี้มองไปที่เขาก่อนจะเงียบไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสังเกตุเห็นถึงแววตาที่แสดงออกมาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน จึงได้พูดออกไปว่า “เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมา หากช่วยได้พี่ใหญ่คนนี้จะต้องช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”


 


 


หวงฝู่อวี้เม้มริมฝีปากลง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจว่า “พี่ใหญ่ ท่านช่วยขอร้องต่อหน้าเสด็จพ่อแทนข้าหน่อยได้หรือไว่ว่าให้ช่วยยกเลิกการกักบริเวณของท่านแม่ที ท่านแม่บอกว่าหลายวันมานี้ถูกขังอยู่แต่ในเรือน ที่ไหนก็ออกไปไม่ได้ กระทั่งกิจงานทั้งหลายในจวนก็จัดการไม่ได้แล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วจนแทบมองไม่เห็นแล้วพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ นี่คือการตัดสินใจของเสด็จพ่อ พวกเราไม่อาจก้าวก่ายได้ รอให้ความโกรธของเสด็จพ่อบรรเทาลงก่อนเถิด ถึงตอนนั้นต้องช่วยคนออกมาได้แน่”


 


 


หวงฝู่อวี้ปลดปล่อยน้ำเสียงที่ผิดหวังออกมาว่า “อ้อ” คำหนึ่ง หย่อนกายลงบนเก้าอี้ด้วยความเศร้าใจ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ปลอบใจเขา เพียงแต่นั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนอยู่อีกด้านหนึ่ง


 


 


หลังจากนั้นไม่นานหวงฝู่อวี้ก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีไร้เรี่ยวแรง “ข้าขอตัวก่อน จะไปนั่งคุยเป็นเพื่อนกับท่านแม่สักหน่อย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้รั้งตัวเขาไว้


 


 


หวงฝู่อี้โค้งตัวส่งหวงฝู่อวี้ออกจากประตูไปด้วยความเคารพ แล้วมองอยู่อย่างนั้นจนเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไป ก่อนจะหันหลังกลับและเดินกลับเข้าไปในเรือน


 


 


ตอนนี้เองหวงฝู่อี้เซวียนก็ออกคำสั่งกับเขาไปว่า “ของว่างพวกนี้เจ้าห่อใส่ถุงให้ดี พรุ่งนี้ข้าจะเอาไปให้โยวเอ๋อร์ตรวจสอบดู”


 


 


หวงฝู่อี้รับคำ แล้วจึงใช้ห่อผ้ากวาดเอาของว่างที่เหลือในจานลงไปอย่างระมัดระวัง มัดปากห่อวางไว้อีกด้านอย่างดี


 


 


หวงฝู่อวี้ตรงกลับไปที่เรือนของพระชายารอง


 


 


พระชายารองเห็นว่าเขาดูไม่มีความสุข จึงรู้สึกปวดใจแทนเล็กน้อย กล่าวถามออกไปว่า “เมื่อครู่ตอนเจ้าเดินเอาของว่างออกไปยังดูมีความสุขอยู่เลย ไฉนตอนนี้ถึงได้กลับมาในสภาพนี้เล่า หรือว่าของว่างที่แม่ทำไม่อร่อยจนเจ้าถูกซื่อจื่อตำหนิมา?”


 


 


หวงฝู่อวี้ส่ายหัวให้และพูดไปตามความจริงว่า “ข้าไปขอร้องให้พี่ใหญ่ช่วยพูดกับเสด็จพ่อให้ แต่เขาไม่ตกลง บอกว่าหากเสด็จพ่อหายโกรธเมื่อไหร่จะปล่อยท่านออกไปเอง เพียงแต่เมื่อไหร่กันเล่าที่เสด็จพ่อจะหายโกรธ?”


 


 


สีหน้าขุ่นเคืองฉายอาบไปทั่วใบหน้าของพระชายารอง จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ด้วยความรวดเร็ว นางถามเปลี่ยนเรื่องออกไปว่า “เช่นนั้นซื่อจื่อได้ชมว่าขนมที่แม่ทำในวันนี้อร่อยหรือไม่?”


 


 


“ไม่เลย เขาบอกว่าวันนี้เขากินอิ่มแล้วจึงไม่ได้แตะสักคำ แต่ข้ากินไปสองชิ้น” หวงฝู่อวี้ตอบ


 


 


ฉับพลันใบหน้าของพระชายารองก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก นางแทบจะผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ แต่แล้วก็พยายามฝืนระงับตัวเองไว้ ใช้น้ำเสียงสั่นระริกกล่าวถามออกไปด้วยความหวาดกลัวว่า “แม่ให้เจ้าเอาขนมพวกนั้นไปเพื่อขอโทษซื่อจื่อ เขาไม่กินลูกชายไยเจ้าจึงกินเสียเองเล่า แม่ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเจ้าดีแล้ว?”


 


 


หวงฝู่อวี้คว่ำปากลงด้วยความน้อยใจ “หลายวันมานี้พอถึงเวลาทานข้าวทีไรเสด็จพ่อก็เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงทุกที ทำท่าอย่างกับจะอาละวาดอยู่ตลอด ข้าหวาดกลัวจนกินอะไรไม่ลงมาหลายวันแล้ว พอพี่ใหญ่บอกให้ข้ากิน ข้าก็เลยไม่ขัดข้อง”


 


 


น้ำเสียงตำหนิของพระชายารองกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น “ส่วนของเจ้าแม่ทำแยกไว้ให้แล้ว จะรอกลับมากินที่นี่ไม่ได้เชียวเหรอ?”


 


 


แต่เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อวี้คล้ายจะจับสังเกตถึงความไม่ผิดปกติได้ ใจนางก็สั่นสะท้านไปทั้งดวง พยายามสูดสายใจเข้าลึกโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ระงับความกังวลบนใบหน้าแล้วแสร้งพูดไปอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “แม่แค่กลัวว่าซื่อจื่อจะตำหนิเจ้า โทษว่าเจ้าไม่จริงใจ ไม่ได้อยากส่งของว่างไปเพื่อขอโทษเขาจริงๆ”


 


 


หวงฝู่อวี้กลับไม่ได้คิดไปในทางเดียวกัน เขาส่ายหัวแล้วตอบกลับไปว่า “ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวล พี่ใหญ่ไม่มีทางคิดแบบนั้นแน่”


 


 


พระชายารองลุกขึ้นยืน กล่าวโดยไม่ให้มีพิรุธว่า “ทานของว่างไปเจ้าคงกระหายน้ำมากแล้ว ประเดี๋ยวแม่จะรินน้ำให้”


 


 


กล่าวจบก็เดินไปอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ มือแตะลงไปที่กาน้ำชาก่อนจะพูดขึ้นว่า “น้ำเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวแม่ไปเปลี่ยนน้ำร้อนที่ครัวมาให้”


 


 


หวงฝู่อวี้เรียกหยุดนางไว้ “แค่ปล่อยให้บ่าวรับใช้ไปทำก็พอแล้ว ท่านอย่าได้ลำบากเลย”


 


 


พระชายารองฝืนยิ้มตอบกลับไปว่า “วันๆ ได้แต่อยู่ในเรือนไม่ได้ทำอะไร ทุกวันนอกจากกินก็คือนอน ไหนเลยจะเหน็ดเหนื่อยอันใดได้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้แม่ทำเองเถิด เจ้ารอเพียงครู่เดียวเท่านั้น” กล่าวพลางก็ไม่รอฟังคำคัดค้านของหวงฝู่อวี้อีก รีบปลีกตัวออกไปพร้อมกับกาน้ำชาโดยไว


 


 


สาวใช้ที่รออยู่ที่หน้าประตูเห็นนางออกมาพร้อมกับกาน้ำชาจึงรีบก้าวเข้าไปหาเพื่อที่จะแย่งกาน้ำชานั้นมาถือแทน กล่าวกับเจ้านายของตัวเองไปว่า “เหนียงเหนียง เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ปล่อยให้พวกบ่าวทำเองเถิด ท่านอยู่คุยกับคุณชายรองต่อเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายารองยกมือห้ามนางไว้ “ไม่ต้อง ข้าจะทำเอง พวกเจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ให้ดีเผื่อว่าคุณชายรองจะมีคำสั่งอะไร ใครก็ห้ามตามมาที่ครัวเด็ดขาด”


 


 


สาวใช้รับคำ ก่อนจะก้าวถอยหลังแล้วกลับไปยืนข้างๆ ประตูตามเดิม


 


 


พระชายารองรีบวิ่งไปที่ห้องครัวเล็กๆ เปิดกาน้ำชาเทน้ำออกแล้วหยิบซองยาออกมาจากแขนเสื้อของนางด้วยความตื่นตระหนก นางเทผงทั้งหมดที่อยู่ในซองยาลงในกาน้ำชา ก่อนจะตักน้ำร้อนที่กำลังขึ้นเดือดจัดในหม้อต้มแล้วผลีลามออกจากครัวเล็กๆ ตรงไปยังห้องนอนโดยไม่หยุดพัก ทันทีที่เข้ามาข้างในห้อง นางก็พลิกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นแล้วรินน้ำลงไปจนเต็ม ก่อนจะยื่นมันไปอยู่ต่อหน้าหวงฝู่อวี้แล้วพูดกับเขาว่า “รสชาติกำลังดี รีบดื่มเถอะ”


 


 


หวงฝู่อวี้รู้สึกกระหายน้ำอยู่บ้างจริงๆ จึงรับชาถ้วยนั้นขึ้นจิบแล้วดื่มมันจนหมดภายในหนึ่งลมหายใจ จากนั้นเขาก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ “ข้าขออีกแก้ว”


 


 


มือของพระชายารองชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยอมรินให้เขาแต่โดยดี


 


 


หวงฝู่อวี้ดื่มมันลงไปอีกครั้งจนหมด


 


 


พระชายารองที่เฝ้ามองอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดเห็นว่าเขาดื่มไปถึงสองแก้วติด หัวใจที่ห้อยติ่งคว้างอยู่บนอากาศก็ถูกปล่อยให้ตกลง ฉับพลันนั้นเองจู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามือเท้าไร้เรี่ยวแรงไปในทันใด จึงได้หย่อนกายลงบนเก้าอี้ด้วยความหมดแรง


 


 


รอจนกระทั่งเขาจากไปแล้ว พระชายารองก็ตะโกนเรียกสาวใช้คนสนิทที่รออยู่ที่หน้าประตูให้เข้ามา “ซุ่ยหง”


 


 


ซุ่ยหงตอบรับแล้วเดินเข้ามาในห้อง


 


 


พระชายารองที่หมดเรี่ยวหมดแรงไปแล้วจึงสั่งนางไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าว่า “ช่วยพยุงข้าไปพักที่เตียงที อีกครึ่งชั่วยามเจ้าค่อยเตรียมน้ำมาให้ข้าอาบและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์”


 


 


ซุ่ยหงขานรับอีกครั้ง ก่อนจะช่วยพานางไปยังเตียง พยุงให้นางนอนลง


 


 


พระชายารองนอนอยู่บนเตียง ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นภายหลังเกินกว่าที่คาดคิดไว้นัก นางคิดว่าโชคดีจริงๆ ที่อวี้เอ๋อร์กลับมาที่เรือนของนางหลังจากกินขนมพวกนั้นลงไป ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ หวงฝู่อี้ก็เดินจูงม้ามารอที่ประตูจวน คนที่ต้องไปที่กั๋วจื่อเจียนกับหวงฝู่อี้เซวียนทุกวันอย่างหวงฝู่อวี้รู้สึกประหลาดใจนัก จึงได้ถามออกไปว่า “พี่ใหญ่ ทำไมวันนี้ท่านถึงคิดจะขี่ม้าไป?”


 


 


“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกเที่ยงข้าจะไปทานมื้อกลางวันที่จวนของโยวเอ๋อร์ หากเจ้าไม่มีธุระอะไรก็มาด้วยกันสิ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบเขา


 


 


หวงฝู่อวี้กลับส่ายหัวให้อย่างพัลวัน “ข้าไม่ไปหรอก นางดุออกขนาดนั้น”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะไม่ออก จึงได้แต่ขี่ม้าออกไปกับหวงฝู่อี้


 


 


เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนที่อยู่กับเขาทุกวันทิ้งเขาเอาไว้ข้างหลัง หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก เขานั่งอยู่ในรถม้าอย่างเงียบๆ ก่อนจะตะโกนบอกคนขับรถม้าไปด้วยความรู้สึกหดหู่หงอยเหงาว่า “ไปกันเถอะ”


 


 


ทางฝั่งหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์ของเขาสักนิด ดังนั้นหลังจากที่เลิกเรียนที่กั๋วจื่อเจียนแล้วเขาก็ตรงไปที่จวนของเมิ่งเชี่ยนโยวทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแม้ปากจะบอกว่าไม่อาจเข้าครัวทำอาหารให้เขาทานเองได้ทุกวัน แต่พอถึงยามอู่วันนี้กลับอดไม่ได้เข้าครัวไปทำอาหารด้วยตัวเองถึงสองจานเพื่อรอให้เขามา สำหรับมื้ออาหารของคนอื่นๆ น่ะหรือ? แน่นอนว่าแม่ครัวและสาวให้ที่เหลืออีกสามคนตระเตรียมไว้ให้แล้ว


 


 


ด้วยจวนหลังนี้ไม่มีคนรับใช้ในบ้าน ยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเองผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าระวัง ดังนั้นพอหวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อี้มาถึง หลังจากทั้งคู่พลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยท่าทางงามสง่า ก็โยนบังเ**ยนไปให้กับทหารยามที่เข้ามาทักทายเขาด้วยความเคารพก่อนจะเดินตรงเข้าไปในจวนทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคาดเดาถึงเวลาที่พวกเขาจะมาถึงเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้กับข้าวจึงถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะพร้อมสรรพ


 


 


ทันทีที่หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าประตูมา กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยเข้าเตะจมูก เขารู้สึกมีความสุขมาก


 


 


“ล้างมือก่อนแล้วค่อยทาน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับอย่างมีความสุข เขาล้างมือให้เสร็จอย่างว่าง่ายและรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ สายตามองอาหารบนโต๊ะด้วยอาการน้ำลายสอ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวอย่างระอาใจแล้วยื่นตะเกียบส่งไปให้เขา “กินเถอะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับตะเกียบคู่นั้นมาด้วยความขอบคุณ พูดตอบหญิงสาวกลับไปว่า “ขอบใจเจ้ามากโยวเอ๋อร์”


 


 


จากนั้นเขาก็แทบทนรอที่จะกินอาหารตรงหน้าไม่ไหวแล้ว


 


 


เมื่อผักชิ้นหนึ่งถูกคีบวางลงในชามข้าวของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลงมือทานส่วนของตัวเองบ้าง 

 

 


ตอนที่ 21-2 ยาสิ้นบุตร

 

หลังจากมื้ออาหารกลางวันจบลงไปเป็นที่เรียบร้อย เขาก็เรียกให้คนเข้ามาเก็บจานไปก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “หลังจากที่ข้ากลับจวนไปเมื่อวานนี้ อวี้เอ๋อร์ได้ยกของว่างมาให้ข้าจานหนึ่ง ข้าจำสิ่งที่เจ้าพูดได้จึงไม่ได้กินมันลงไปและให้อี้เอ๋อร์ห่อมันมาด้วย เจ้าดูสิว่ามีพิษอยู่ในของว่างพวกนี้หรือเปล่า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้อย่างเงียบๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนออกไปข้างนอก “อี้เอ๋อร์ เข้ามา”


 


 


หวงฝู่อี้ขานรับแล้วเดินเข้าไปในห้องทันที “พี่ใหญ่ แม่นางเมิ่ง”


 


 


“เอาขนมเมื่อวานที่ข้าให้เจ้าห่อเก็บไว้ออกมาให้โยวเอ๋อร์ดูสิ”


 


 


หวงฝู่อี้หยิบขนมออกมาจากแขนเสื้อของเขา วางมันไว้บนโต๊ะ ก่อนจะค่อยๆ คลี่ปมที่ผูกไว้ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ดมมันอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร จึงได้ลองหักมันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโยนมันเข้าปาก แต่ก็ถูกมือของหวงฝู่อี้เซวียนยกขึ้นมากั้นไว้เสียก่อน “ถ้าหาไม่เจอก็ช่างเถอะ บางทีอาจเป็นข้าที่คิดมากไปเอง พวกเขาคงไม่ได้วางยาพิษลงในของว่างพวกนี้หรอก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาเป็นห่วงตัวเอง จึงพูดออกไปให้อีกฝ่ายคลายกังวลว่า “ข้ากินเพียงชิ้นเล็กๆ เท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างหากไม่ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีพิษหรือเปล่า แล้วพวกเราจะสืบเสาะต่อไปอย่างไร?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยมือลง ได้แต่มองไปที่นางอย่างเป็นห่วง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโยนขนมชิ้นนั้นเข้าไปในปากแล้วเคี้ยวมันอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเองคิดของนางก็ขมวดแน่น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงได้รีบพูดออกไปว่า “คายมันออกมา!”


 


 


แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยื่นมือออกไปเป็นสัญญาณบอกให้เขาเงียบแทน นางยังคงเคี้ยวขนมชิ้นนั้นในปากอย่างระมัดระวัง ทันทีที่ขนมในปากถูกบดละเอียดจนหมด ความเย็นชาก็พลันฉายขึ้นบนใบหน้างาม ซากขนมถูกคายทิ้งอย่างไม่ใยดี ก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวจะผละออกไปอีกทางเพื่อบ้วนปาก ไม่นานนางก็กลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม แล้วพูดไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “อำมหิตจริงๆ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อี้มองไปที่นางเป็นตาเดียว


 


 


ความโกรธที่อธิบายไม่ได้ฉายชัดขึ้นในน้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยว “ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะกลายเป็นสุนัขจนตรอกแล้วสินะ นอกจากจะเพิ่มปริมาณของพิษเรื้อรังแล้ว พวกมันยังเพิ่มตัวยาสิ้นบุตรลงไปอีก”


 


 


หวงฝู่อี้หลุดร้องอุทานออกมาทันที แต่พอรู้ตัวก็รีบยกมือขึ้นมาอุดปากไว้


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เย็นลงเช่นกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันมากล่าวกับเขา “ดูท่าข่าวลือที่ปล่อยไปในช่วงสองสามวันนี้จะได้ผลแล้ว ไปกระตุ้นพวกนั้นได้อย่างจังเลย ถึงขั้นลงมืออำมหิตขนาดนี้ คงคิดจะกำจัดเจ้าแล้วจริงๆ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปากลงแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณบอกให้หวงฝู่อี้ออกไปยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู


 


 


หวงฝู่อี้หันหลังเดินออกไปอย่างว่าง่าย หลังจากช่วยปิดประตูลงเบาๆ เขาก็ยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนดูน่าเกลียดอย่างไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เขานั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่พูดอะไรออกมา นั่งลงข้างๆ เป็นเพื่อนเขาอย่างเงียบๆ


 


 


ใช้เวลาพักใหญ่ก่อนที่เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนจะดังขึ้น “หลังจากที่ข้ากลับมา ข้าก็ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นซื่อจื่อ แต่เพราะพวกเขาไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย ดังนั้นข้าจึงไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ไม่คิดว่าจิตใจของพวกเขาจะชั่วร้ายมากขนาดนี้ คิดจะกำจัดข้าไปแบบไม่ทันให้ข้าได้รู้สึกตัวเลยสินะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับอวี้เอ๋อร์ดีมากเสมอมา ตลอดหกเดือนที่ผ่านมาเขามาเยี่ยมข้าพร้อมกับขนมทุกครั้ง และบอกว่ามันเป็นของว่างชนิดใหม่ที่ทำขึ้นโดยพระชายารองให้ข้าลองชิมดู ข้าไม่สามารถทนเห็นเขาเศร้าใจได้ ทุกครั้งจึงหยิบกินครั้งละหนึ่งถึงสองชิ้น คิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นหลุมทางที่พวกนางที่พวกนางจงใจขุดขึ้นมาให้ข้าตกลงไป ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ชั่วร้ายถึงขั้นพิษที่ร้ายแรงขนาดนี้ก็ยังกล้าใช้ นางไม่กลัวว่าลูกชายของตัวเองจะกินมันเข้าไปด้วยเลยหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินที่เขาพูดก็เข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร จึงได้ขมวดคิ้วแล้วถามออกไปว่า “เจ้าหมายถึง หวงฝู่อวี้ก็กินมันด้วย?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เขาบอกข้าว่ากินมื้อเย็นไม่อิ่ม จึงกินมันลงไปสองชิ้นต่อหน้าต่อตาข้าเลย”


 


 


“ความหมายของเจ้าก็คือ หวงฝู่อวี้ไม่รู้ว่าในขนมนี้มีพิษอยู่?” เมิ่งเชี่ยนโยวไล่ถามอีกครั้ง


 


 


“ข้าเห็นเขากินไปแบบไม่ลังเลเลย บางทีคงไม่รู้เหมือนกัน”


 


 


“เช่นนั้นแต่ก่อนขนมที่เขายกมาให้ท่านเขาได้กินด้วยหรือเปล่า?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัว “ปกติแล้วเขาจะยกของว่างมาส่งหลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ไม่เหมือนเมื่อวานที่หิ้วท้องมาหา ดังนั้นเขาจึงไม่เคยได้กินเลย”


 


 


พูดถึงตรงนี้ถึงเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้ จึงรีบถามออกไปด้วยความลนลานว่า “เมื่อคืนอวี้เอ๋อร์กินมันเข้าไปสองชิ้น เขาจะเป็นไรหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ในส่วนของยาพิษไม่เป็นไรหรอกเพราะขนาดของยาข้างน้อย แต่ว่ายาสิ้นบุตรนี่สิ…” คำพูดต่อไปแม้จะละเว้นไว้แต่ก็ชัดเจนในตัวของมันเอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกนั่งไม่ติดขึ้นมาเล็กน้อยแล้วในเวลานี้ “มีวิธีแก้บ้างหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่ส่ายหัวให้ “ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสิบสองชั่วยามแล้ว ฤทธิ์ยาคงส่งผลไปนานแล้ว เกรงว่าแม้แต่หมอเทวดาก็คงไม่อาจช่วยได้อีก เพียงแต่ในเมื่อนี่เป็นพิษที่พระชายารองใส่ลงไปเอง ในมือของนางก็น่าจะมียาถอนพิษอยู่ ไม่แน่ว่าพิษในตัวของหวงฝู่อวี้อาจถูกพระชายารองกำจัดไปตั้งนานแล้ว”


 


 


เมื่อนึกถึงคำพูดของหวงฝู่อวี้ที่ว่าจะกลับไปนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนพระชายารองที่เรือน ใจที่ค้างเติ่งอยู่ของหวงฝู่อี้เซวียนจึงค่อยวางใจลง “เขาบอกกับข้าว่าจะกลับไปนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนพระชายารองที่เรือน แต่ไม่รู้ว่าเขาจะพูดเรื่องที่ตัวเองกินขนมไปหรือเปล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเขาเป็นกังวลมากจึงได้กล่าวออกไปว่า “ถ้าเจ้ายังไม่วางใจเช่นนั้นก็ให้อี้เอ๋อร์ไปเรียกเขามาที่นี่ พวกเราถามเขาสักคำ แบบนี้ก็ได้คำตอบแล้วไม่ใช่หรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนขึ้นทันที “อี้เอ๋อร์”


 


 


หวงฝู่อี้เปิดประตูเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่ขาของเขาจะก้าวเข้ามาในห้อง คำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนก็ตกลงไปเสียก่อน “เจ้ารีบกลับไปที่จวนไปพาตัวคุณชายรองมาที่นี่โดยเร็วที่สุด หากว่าเขาไม่ยอมมา เจ้าก็บอกเขาไปว่าถ้าเขาไม่มาอีกหน่อยก็ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพี่ใหญ่อีกแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้ตอบรับกลับมาคำหนึ่ง เท้าที่เพิ่งก้าวเข้ามาก็ถูกชักกลับไปทันที ประตูห้องถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นที่หน้าประตูจวน หวงฝู่อี้กระโดดขึ้นหลังม้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางของจวนอ๋องฉีราวกับสายฟ้าแลบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนแล้วพูดกับเขาไปว่า “หวังว่าเขาจะไม่ทรยศหักหลังต่อความเมตตาที่เจ้ามีให้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่กล้ายืนยัน จึงได้แต่เม้มปากลงแล้วไม่พูดอะไร


 


 


หวงฝู่อี้กลับมาถึงหน้าจวนอ๋องฉี เขาผูกม้าไว้กับหมุดที่ตรึงอยู่หน้าจวนแล้วรีบเดินเข้าไปถามคนที่เฝ้าประตูอยู่ด้วยน้ำเสียงรีบร้อนว่า “คุณชายรองกลับมาหรือยัง?”


 


 


คนเฝ้าประตูเห็นว่าเขามีท่าทีเป็นกังวลนัก รู้ว่าน่าจะมีเรื่องสำคัญจึงได้รีบตอบกลับไปโดยเร็วว่า “กลับมาแล้ว ตอนนี้น่าจะอยู่ที่เรือน”


 


 


หวงฝู่อี้ได้ยินแบบนั้นก็เดินตรงเข้าไปที่เรือนพักของหวงฝู่อวี้ทันที และพอมาถึงหน้าเรือนของเขา ก็หันไปพูดกับสาวใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ว่า “ไปรายงานคุณชายรองให้ที บอกว่าซื่อจื่อฝากคำข้ามาส่งต่อให้เขา”


 


 


ตอนนี้เองเหมือนกับว่าหวงฝู่อวี้ที่อยู่ในห้องจะได้ยินคำที่เขาพูด จึงได้ตะโกนและเปิดปากอนุญาตให้โดยตรง “ปล่อยเขาเข้ามา”


 


 


หวงฝู่อี้เดินเข้าไปในห้องก่อนจะโค้งคารวะให้เขาด้วยความเคารพ


 


 


หวงฝู่อวี้ถามออกไป “พี่ใหญ่ฝากให้เจ้ามาส่งต่อคำพูดให้ข้า?”


 


 


หวงฝู่อี้ชำเลืองมองสาวใช้ในห้องแวบหนึ่ง


 


 


หวงฝู่อวี้คล้ายกับจะเข้าใจเจตนาจึงได้มีคำสั่งลงไป “เจ้าออกไปก่อน ไม่มีคำอนุญาตจากข้าใครก็ห้ามเข้ามาโดยเด็ดขาด”


 


 


สาวใช้ขานรับหนึ่งที จากนั้นก็ถอยออกไป


 


 


“พูดมาได้แล้ว” หวงฝู่อวี้กล่าว


 


 


หวงฝู่อี้ลดเสียงลงแล้วพูดออกไปว่า “ซื่อจื่อตอนนี้อยู่ที่จวนของแม่นางเมิ่ง บอกให้ข้ารีบมาพาคุณชายรองไปที่นั่นโดยเร็วขอรับ”


 


 


หวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยความขัดขืน “ไม่ใช่ว่าข้าบอกกับพี่ใหญ่ไปแล้วหรือว่าข้าไม่ไป? นางดุออกขนาดนั้น ข้าไม่ไปบ้านนางหรอก”


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้ลดลงยิ่งกว่าเดิมมาก “ซื่อจื่อบอกว่าหากท่านไม่ไปวันนี้ วันหน้าจะไม่อนุญาตให้ท่านเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อีก”


 


 


หวงฝู่อวี้ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น ถามกลับไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่า “พี่ใหญ่พูดอย่างนั้นจริงๆ?”


 


 


หวงฝู่อี้พยักหน้า


 


 


หลังจากกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ หวงฝู่อวี้ก็ถามกลับไปอีกครั้งเป็นเชิงถามทาง “เจ้ารู้ไหมว่าพี่ใหญ่ต้องการพบข้าด้วยเรื่องอะไร?”


 


 


หวงฝู่อี้ส่ายหัวของเขา


 


 


หวงฝู่อวี้คาดเดาและพูดกับตัวเอง “คงไม่ใช่ว่านังตัวดีนั่นจำเรื่องที่ข้าสั่งคนไปฆ่านางได้แล้วหรอกนะ เพราะแบบนี้เลยต้องการจะใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนของพี่ใหญ่มาจัดการข้า?”


 


 


หวงฝู่อี้ยังคงเงียบเหมือนเดิม


 


 


หวงฝู่อวี้พยายามดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็กัดฟันแล้วตอบกลับไปว่า “เอาเถอะ ถึงจะมีพี่ใหญ่อยู่แต่ก็ใช่ว่านางจะทำอะไรข้าได้ ข้าจะตามเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน”


 


 


ทั้งสองคนออกจากประตูจวน หลังจากสั่งให้บ่าวรับใช้ไปจูงม้ามาทั้งหวงฝู่อี้และหวงฝู่อวี้ก็พลิกตัวขึ้นควบม้ามุ่งหน้าไปยังจวนที่พักของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เพิ่งมาถึงหน้าประตู หวงฝู่อวี้ก็เกิดอาการประหม่าขึ้นมาเสียแล้ว แม้จะลงจากหลังม้ามาได้สักพักแล้ว แต่หวงฝู่อวี้ก็ยังลังเลที่จะเข้าไปข้างใน


 


 


หวงฝู่อี้เปิดปากกระตุ้นเขาออกไป “คุณชายรองรีบเข้าไปเถิดขอรับ ซื่อจื่อคงรอแย่แล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่มีทางเลือกอื่น แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ได้แต่เดินตามหลังหวงฝู่อี้เข้าไปในลานบ้านอย่างจนปัญญา


 


 


ด้วยอยู่ต่อหน้าหวงฝู่อวี้ หวงฝู่อี้จึงเลือกใช้คำกล่าวอย่างให้เกียรติ “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง คุณชายรองมาถึงแล้วขอรับ”


 


 


ได้ยินเพียงแต่เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังตอบกลับมาว่า “ให้เขาเข้ามา”


 


 


หวงฝู่อวี้ก้าวเข้าไปในห้องอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ สายตาของเขาเหลือบมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง แล้วจึงหันไปถามหวงฝู่อี้เซวียนตรงๆ ว่า “พี่ใหญ่ ท่านหาข้าหรือ?”


 


 


แต่ก่อนที่หวงฝู่อี้เซวียนจะได้ตอบกลับมา สายตาของหวงฝู่อวี้ก็พลันหันไปเห็นของว่างที่วางอยู่บนโต๊ะ จึงได้พูดออกไปด้วยความไม่พอใจว่า “นี่เป็นของว่างที่ข้านำมาให้ท่านเป็นพิเศษนี่ ทำไมท่านต้องเอามาแบ่งนังตัวดีนี่ด้วย?”


 


 


—————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)