ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 174-178
ตอนที่ 174 ข่มขู่
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบหน้ากากมาจากมือของเส้าเอ๋อร์ ให้เขาถือไว้เพียงอันเดียวจูงเขาเดินนำหน้า พ่อค้าเดินตามหลังมา
ทั้งหมดเดินตามกันมาจนถึงบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวหลันหลังกลับไปยิ้มพร้อมพูดว่า “รบกวนท่านรอตรงนี้สักครู่เถิด ข้าจะเข้าบ้านไปเอาเงินมาให้”
“ตามสบายเลยแม่นาง!” พ่อค้าตอบรับด้วยความยินดี มองเมิ่งเชี่ยนโยวพาเส้าเอ๋อร์เดินเข้าไปในบ้าน
เมิ่งซื่อและกลุ่มคนที่เก็บของยังเก็บไม่เสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเอาหน้ากากทั้งหมดยื่นให้เส้าเอ๋อร์ พูดว่า “เส้าเอ๋อร์ ไปหาท่านย่าก่อนนะ”
เส้าเอ๋อร์ถือหน้ากากเดินเข้าไปอวดในห้องซีเซียงอย่างมีความสุข เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินมายังห้องของรั่วหลาน สาวใช้ทั้งสองเฝ้าอยู่ตามคำสั่ง ชิงหลวนและจูหลเองก็อยู่ด้านข้าง
“เปิดประตู” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
ชิงหลวนเปิดประตูออกด้วยตัวเอง
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนเดินจากไปแล้ว รั่วหลานก็นอนเหงื่อท่วมอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง นานเพียงนี้แล้วก็ยังไม่ดีขึ้น เมื่อได้ยินเสียงประตู จึงได้หันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวนั้น นางก็ตกใจจนกระโดดออกจากเตียง พูดปากสั่นว่า “แม่ แม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปยังตรงหน้าของนาง ไม่พูดพล่ามทำเพลง กล่าวว่า “หน้าประตูมีพ่อค้ามา คงจะเป็นคนของพวกเจ้า ข้าทำเป็นซื้อหน้ากากแล้วเงินไม่พอ จึงพาเขามาที่นี่ เจ้าออกไปจ่ายเงินให้เขา ดูว่าเขาจะสั่งอะไรเจ้า จำไว้ว่าทำตัวให้ปกติ อย่าแสดงพิรุธออกมา ชีวิตของเจ้าและครอบครัวเจ้าตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
พวกเขาน่าจะสั่งการทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว รั่วหลานไม่เข้าใจว่ายังมีเรื่องอะไรจะสั่งนางเพิ่มเติมอีก แต่ว่า เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนั้น รั่วหลานก็ได้รีบลงจากเตียง ใส่รองเท้าและเดินออกไปด้านนอก
“เดี๋ยวก่อน!” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกนางไว้
รั่วหลานหันหลังกลับ มองนางด้วยความไม่เข้าใจ
“แต่งตัวให้ดีเสียก่อน ออกไปด้วยสภาพนี้จะถูกสงสัยเอาได้”
รั่วหลานส่องกระจก จัดเสื้อผ้าหน้าผมของตนให้เรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวมอบเงินให้นาง รั่วหลานรีบเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามออกไปเช่นกัน เมื่อเห็นรั่วหลานเดินออกจากห้องไป จึงส่งสายตาให้ชิงหลวน ให้นางแอบเดินตามออกไป
ชิงหลวนเดินตามรั่วหลานออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนรออยู่ด้านใน
รั่วหลานถือเงินเดินออกมาอย่างเร่งรีบ หยุดตรงที่หน้าประตู สูดหายใจเข้าลึกๆ และแสดงสีหน้ายิ้มออกมา ก้าวขาอย่างช้าๆ เดินบิดเอวออกไปด้านนอก
พ่อค้าถูกเมิ่งเชี่ยนโยวพามา กลัวว่าจะถูกจับได้ จึงไม่กล้าตะโกนเรียกรั่วหลานเช่นเคย ในใจกำลังร้อนรนอยู่ ก็เห็นรั่วหลานย่างกรายเดินมาพอดี ใบหน้าดีใจขึ้นมา ถามด้วยเสียงดังว่า “มาเลือกมาดูก่อนได้ หาบเร่ของข้ามีทุกอย่างเลย”
รั่วหลานบีบเสียงเล็กเสียงน้อย ตอบไปว่า “เมื่อครู่เสี่ยวกูค้างเงินท่านอยู่ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วจ้ะ” พ่อค้าตอบรับ “แม่นางผู้นั้นซื้อหน้ากากจากข้าไปหกอัน ทั้งหมดสิบตำลึง”
รั่วหลานเดินไปตรงหน้าเขา มอบเงินให้เขา “เจ้านับดูก่อนว่าครบหรือไม่”
พ่อค้ารับเงินมาแต่ไม่ได้นับ แต่กลับมองเข้าไปด้านในจวน เมื่อเห็นว่าด้านในไม่มีคน จึงได้พูดกับรั่วหลานเสียงเบาว่า “ท่านชายส่งข้ามาเตือนเจ้าว่าวันพรุ่งนี้คือวันสุดท้าย หากเจ้าทำไม่สำเร็จ ก็อย่าหวังจะได้เจอกับคนในครอบครัวเจ้าอีกเลย”
รั่วหลานตอบรับเสียงเบาด้วยความกลัว
พ่อค้าพลางมองเข้าไปด้านใน พลางพูดเสียงดังว่า “ฮูหยิน ผ้าไหมนี้ข้าได้มาจากในเมืองเชียวหนา เป็นผืนแรกที่นี่เลย เหมาะกับฐานะแม่นางยิ่งนัก ท่านลองดูสิ” พูดจบก็โน้มตัวลง ทำทีเป็นหยิบผ้าไหมหยิบหอกระดาษสองห่อด้านล่างผ้ารองหาบออกมา ส่งให้รั่วหลาน
รั่วหลานก้มตัวลง ทำทีเป็นดูผ้า และรีบหยิบห่อผ้าเอาไว้ในมือ จากนั้นก็ยืนขึ้น พูดเสียงดังว่า “ข้ามีผ้าไหมเยอะอยู่แล้ว วันนี้คงไม่ซื้อหรอก”
พ่อค้าก็ยืนขึ้น น้ำเสียงผิดหวังอย่างชัดเจน “ฮูหยิน ท่านจะลองดูอย่างอื่นอีกหรือไม่ หาบแร่ของข้ามีแต่ของดีๆ หนา” พูดจบ ก็กดเสียงต่ำลง พูดว่า “ท่านชายได้ข่าวว่าเด็กสาวเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว เจ้าทำอะไรระวังตัวเอาไว้เสียหน่อย ยาสองห่อนั้นเอาไว้สำหรับวางยาแม่นางนั่น คืนวันพรุ่งหาวิธีวางยานางให้ได้”
รั่วหลานกดเสียงต่ำลงถามว่า “ยาอะไรหรือ”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องรู้หรอก ทำตามคำสั่งของท่านชายก็พอแล้ว รอให้เรื่องจบ ท่านชายจะสั่งให้คนพาเจ้าและครอบครัวเจ้าออกจากเขตชิงเหอไป”
รั่วหลานฟังจบ ก็พูดเสียงดังว่า “ไม่ล่ะ ในบ้านยังมีเรื่องยุ่งอยู่ ข้าไม่มีเวลามาเลือกผ้าหรอก รอหลังตรุษจีนไปแล้วค่อยมาใหม่นะ”
พ่อค้าเข้าใจความหมายของนาง ก็ยินดีและพูดว่า “ได้เลย รอพ้นตรุษจีนแล้วข้าจะมาใหม่ ตอนนั้นฮูหยินซื้อหลายๆ ผืนหน่อยหนา”
รั่วหลานไม่ตอบ
พ่อค้าโน้มตัวลง แบกหาบแร่ขึ้นมา และเดินจากไป
เมื่อรั่วหลานเห็นเขาเดินไปแล้ว จึงได้พ่นลมออกมา หันหลังเดินกลับเข้าไปด้านใน
ของในห้องซีเซียงเก็บเรียบร้อยแล้ว เส้าเอ๋อร์ถือหน้ากากไว้ในมือและพูดไม่หยุด
ซุนเชี่ยนและเมิ่งเสียนพาเขาออกมาจากห้องก่อน เมื่อเห็นรั่วหลานจึงได้ผงะไปพร้อมกัน
ชิงหลวนที่แอบมองรั่วหลานอยู่ตลอดนั้นโบกมือให้พวกเขาเงียบๆ
เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนรับรู้ได้ว่าอาจจะมีเรื่องอะไร จึงแสร้งทำเป็นไม่เห็นนางและเบือนหน้าไปอีกทาง
รั่วหลานนึกไม่ถึงว่าจะเจอเข้ากับพวกเขา หลังจากหยุดชะงักไปแล้วก็ก้มหน้าลง รีบเดินไปยังหอนอนของตน
ชิงหลวนเดินตามนางมาตลอดทาง
เมื่อเข้ามาด้านใน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ รั่วหลานก็รีบเดินไปหานาง ยื่นห่อกระดาษสองห่อให้นาง “พวกเขาให้ข้ามา ห่อนี้ให้เอามาวางยาท่านโดยเฉพาะ อีกห่อข้าไม่รู้ว่าคืออะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปรับห่อยามา บีบเล็กน้อย สีหน้ากลับเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็หันไปทางชิงหลวน
ชิงหลวนพยักหน้า ยืนยันว่าที่รั่วหลานพูดเป็นจริง
คิ้วของเมิ่งเชี่ยนโยวขมวดลง โยนห่อกระดาษในมือให้ชิงหลวน
ชิงหลวนรับมา ชะงักไป เงยหน้าขึ้น พูดว่า “เจ้านาย นี่มัน…”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินหลับห้อง รั่วหลานเดินตามมา ชิงหลวนเองก็เดินตามาด้วย
“เปิดห่อกระดาษออกมา ให้นางดู!” เมื่อทั้งสองเดินเข้าห้องมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งการไป
ชิงหลวนเปิดห่อกระดาษออกมา ส่งให้รั่วหลานดู
มองดูนิ้วมือเปื้อนเลือดในห่อกระดาษนั้น รั่วหลานกรัดร้องด้วยความตกใจ กลัวจนขาอ่อนพับลงบนพื้น
คิ้วของเมิ่งเชี่ยนโยวขมวดลงมากกว่าเดิม ฝ่ายนั้นส่งนิ้วมือมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการข่มขู่รั่วหลาน หากวันพรุ่งนางไม่ทำตามที่สั่ง ครอบครัวของนางคงไม่รอดเป็นแน่
หลังจากรั่วหลานหายตกใจแล้ว ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบคลานไปขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยว ขอร้องนางว่า “แม่นาง ได้โปรดช่วยครอบครัวข้าด้วยเถิด”
นับตั้งแต่วินาทีที่ไว้ชีวิตรั่วหลาน เมิ่งเชี่ยนโยวก็มีความคิดจะช่วยเหลือครอบครัวของนาง เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้นางยอมเป็นพยานให้ ตอนแรกนางคิดว่าจะลงมือหลังตรุษจีน คิดไม่ถึงเลยว่าฝั่งนั้นจะรีบร้อนเพียงนี้ ในเมื่อตัดนิ้วคนในครอบครัวนางมาขู่นางแล้ว เห็นทีวันนี้ก็คงจะต้องส่งคนไปแล้ว
รั่วหลานเห็นว่านางไม่พูด จึงคิดว่านางอาจจะไม่อยากช่วยเหลือตน ในใจหมดสิ้นความหวัง ร่างของนางล้มลง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าครอบครัวเจ้าถูกขังไว้ที่ใด”
นางพูดจบ รั่วหลานก็ลุกขึ้นทันที มองนางด้วยความดีใจ จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างเสียใจ “หลังจากที่พวกเขาจับครอบครัวข้าไป ก็ไม่เคยให้โอกาสพวกเราได้เจอกันอีกเลย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด”
“พวกเจ้าเป็นคนที่ใด ทั้งหมดมีกี่คน”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
รั่วหลานตอบทุกอย่างตามจริง
“รออยู่เฉยๆ ข้าจะให้คำตอบเจ้าก่อนคืนนี้” พูดจบเมิ่งเชี่ยนโยวก็หันหลังกลับไป
“ขอบคุณมากแม่นาง ขอบคุณมาก” รั่วหลานหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ คุกเข่าแสดงความขอบคุณ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินก้าวยาวออกมา เดินมายังห้องพักของบ่าวไพร่
กัวเฟยส่งคนไปสืบเรื่องตามคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เมื่อเห็นองครักษ์ที่เหลือไม่มีอะไรทำ จึงคิดว่าจะพาไปฝึกซ้อมที่ลานฝึก ยังไม่ทันออกมา ก็ได้พบเข้ากับเมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งเดินเข้ามา รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว จึงหยุดฝีเท้าลง ถามอย่างนอบน้อมว่า “เจ้านาย มีอะไรให้รับใช้หรือขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกที่อยู่ของบ้านรั่วหลาน สั่งกัวเฟยว่า “ครอบครัวนี้ถูกผู้ว่าการเขตจับตัวไป แต่จับไปที่ใดไม่รู้ เจ้าเข้าเมืองไปดูที ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ต้องหาทางช่วยคนออกมาให้ได้ จากนั้นก็หาที่ที่ปลอดถภัยให้พวกเขาอยู่ คืนวันพรุ่งรอพวกเจ้ากลับมากินเกี๊ยววันตรุษจีน”
สั่งการได้เรียบร้อยชัดเจนด้วยคำพูดไม่กี่คำ กัวเฟยและพรรคพวกได้ยินชัดเจน ตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้กัวเฟย พูดว่า “กาที่พักให้เรียบร้อยแล้วอย่าลืมเอาของเป็นตัวแทนครอบครัวมาด้วย
กัวเฟยรับตั๋วเงินมา เรียกคนไปด้วยจำนวนหนึ่ง และรีบเดินออกจากจวนไปยังในเขต
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมายังเรือนด้านหน้า องครักษ์ที่เหลือ ไม่มีอะไรทำ ก็ไปซ้อมที่ลานซ้อมดังเดิม
ของขวัญทั้งหมดถูกแยกไว้เรียบร้อยแล้ว มีทั้งของเมิ่งจงจวี่และภรรยา เมิ่งตาจินและภรรยา เมิ่งเหริน เมิ่งอี้และภรรยา ของขวัญเยอะมากเกินไป ไม่สะดวกที่จะเอาไปมอบให้ทุกคน เมิ่งเอ้ออิ๋นเดินไปด้านหลังจวนเรียกรถม้ามา คนสองสามคนเอาของวางบนรถม้า เมิ่งเอ้ออิ๋นนั่งรถม้านำของขวัญไปส่งให้
ของขวัญของเมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยาเยอะที่สุด เมิ่งซื่อเองก็ถือไม่ไหว จึงได้วางเอาไว้ที่ห้องซีเซียง
เมิ่งเชี่ยนโยวดูรายการอีกรอบ หวงฝู่อี้เซวียนผู้ละเอียดอ่อน ไม่เพียงแต่เตรียมของขวัญมาให้ทุกคนในตระกูลเมิ่ง แต่ยังเตรียมมาให้หลี่ต้าฉุยและภรรยาด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมหยิบของขวัญของหลี่ต้าฉุยขึ้นมา เดินออกจากห้องซีเซียงไป พูดกับเมิ่งซื่อว่า “แม่ ข้าเอาของไปให้ย่าหลี่ก่อนนะเจ้าคะ จะได้ไปเตือนเขาให้มากินเกี๊ยวที่บ้านเราวันพรุ่งนี้ด้วย”
หลังจากที่คนในครอบครัวกินเกี๊ยวด้วยกันเป็นครั้งแรกนั้น ปีต่อไปก็ทำจนเป็นวิถี คืนก่อนตรุษจีนของทุกปี ไม่ว่าจะเป็นหลี่ต้าฉุยและภรรยา หรือจะเป็นครอบครัวของเหวินเปียว รวมไปถึงเหล่าองครักษ์ทั้งหลาย ต่างก็จะมารวมตัวกันกินเกี๊ยวที่บริเวณเรือนหน้า
เมิ่งซื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า อดไม่ได้ที่จะเชยชมว่า “อี้เซวียนคนนี้ช่างใส่ใจเสียจริง ของขวัญของครอบครัวย่าหลี่ของเจ้าก็ยังเตรียมมาให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ถือของขวัญเดินไปยังหน้าจวนของหลี่ต้าฉุย ยืนตะโกนอยู่หน้าจวนว่า “ท่านปู่หลี่ ท่านย่าหลี่ อยู่บ้านหรือไม่เจ้าคะ”
หลังจากที่หลี่ต้าฉุยย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เมิ่งเชี่ยนโยวเกรงว่าพวกเขาจะเดินไปประตูหน้าไม่สะดวก จึงได้สั่งให้คนมาทำประตูใหญ่เอาไว้ด้านข้าง ดังนั้นสองคนจึงไม่เคยเข้าออกทางประตูหน้าเลย ทั้งสองไม่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อได้ยินเสียงของนาง จึงเดินออกมาจากห้องพร้อมรอยยิ้ม พร้อมกับพูดอย่างยินดีวว่า “โยวเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ ไม่ได้เจอกันหลายเดือน คิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว”
“เมื่อวานตอนพลบค่ำก็มาถึงแล้วล่ะเจ้าค่ะ แต่เห็นว่ามืดแล้วจึงไม่ได้มาหาท่าน” เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายด้วยรอยยิ้ม
หลี่ต้าฉุยเปิดม่านประตูออกมา “เข้ามาก่อนเร็ว เข้ามานั่งข้างใน ข้างในอบอุ่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปด้านใน วางของขวัญไว้บนโต๊ะ ชี้ไปทางของขวัญที่อยู่ด้านขวาพร้อมยิ้มและพูดว่า “นี่เป็นของขวัญที่อี้เซวียนฝากมาให้ท่านทั้งสองเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ชี้ไปทางซ้าย “ส่วนนี่เป็นของข้าซื้อมา เปิดูสิเจ้าคะว่าชอบหรือไม่”
“อัยหยา อี้เซวียนคิดถึงพวกเราด้วยหรือนี่ เด็กคนนี้นี่ช่างมีน้ำใจเสียจริง” หลี่ต้าฉุยพูดอย่างมีความสุข
เสียงของย่าหลี่เองก็มีความสุขมาก พูดว่า “ชอบ ชอบสิ พวกเจ้าซื้ออะไรมา พวกเราก็ชอบทั้งนั้น”
พูดจบ ก็ไม่ได้สนใจของขวัญบนโต๊ะ แต่กลับรีบไปเทน้ำมาให้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างเป็นห่วงว่า “ถือของมากมายพวกนี้มา มือเจ้าเย็นไปหมดแล้ว รีบถือแก้วน้ำให้มืออุ่นเสียหน่อย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะย่าหลี่” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ รับแก้วน้ำมาถือเอาไว้ในมือ
ย่าหลี่ใช้มือปัดเตียงคั่งที่ไม่ได้มีฝุ่น พูดว่า “รีบนั่งลงเร็ว ให้ย่าดูทีว่าหลานผอมลงไปหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมา “ท่านย่า ข้าอยู่สุขสบายดีในเมืองหลวง ไม่อดอยาก ไม่ผอมหรอกเจ้าค่ะ”
“ก็ไม่แน่หรอก อยู่ห่างบ้าน ไม่มีเตี่ยแม่คอยดูแล จะไม่ผอมลงได้อย่างไร” พูดจบ ก็พิจารณาดูร่างของนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวถือแก้วน้ำในมือ ยิ้มและมองนาง
เมื่อพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นย่าจึงได้พยักหน้าอย่างพอใจว่า “อื้ม ยังดี ยังไม่ได้ผอมลงไปมาก พ้นตรุษจีนนี้ไปก็น่าจะขุนกลับมาได้ดังเดิม”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มไปเล็กน้อย
หลี่ต้าฉุยนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกด้าน ส่วนย่าหลี่นั่งอยู่ถัดจากนาง ถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ในเมืองหลวงของนางอย่างละเอียด
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าข่าวดีทั้งหมดให้พวกเขาฟัง รวมทั้งเรื่องซื้อบ้านใหม่ ร้านใหม่ และเรื่องเปิดโรงงานด้วย
ทั้งสองได้ยินดังนั้น ก็มีความสุขจนยิ้มไม่หุบ
หลี่ต้าฉุยชื่นชมไม่หยุดปาก “เก่งมาก เก่งมาก โยวเอ๋อร์ของเราเก่ง เวลาไม่เท่าไร ก็สามารถสร้างธุรกิจในเมืองหลวงได้มากเพียงนี้”
ย่าหลี่ก็ยิ้มพร้อมสนับสนุนว่า “ใช่น่ะสิ มีธุรกิจมากเพียงนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว หากหมั้นหมายกับอี้เซวียนไปก็ไม่ถูกบรรดาภรรยาคนใหญ่คนโตในเมืองหลวงดูถูกเอาได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมตอบรับ “ธุรกิจพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นพี่ใหญ่และพี่รองสร้างขึ้นมาเจ้าค่ะ ตัวข้าเองก็ไม่ได้ออกเงินสักเท่าไรนัก”
ย่าหลี่รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ดีแล้ว เสียนเอ๋อร์และฉีเอ๋อร์ทำดีแล้ว เจ้ายังไม่ได้ออกเรือน พวกเขาสร้างรากฐานไว้ให้เจ้าน่ะดีแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะอีกครั้ง พูดว่า “บ้านในเมืองหลังใหญ่มาก รอให้วันหน้ามีโอกาส ข้าจะพาท่านทั้งสองและพ่อแม่ รวมทั้งท่านปู่และท่านย่าไปพักที่นั่นสักช่วงหนึ่ง”
ย่าหลี่รีบโบกมือบ่ายเบี่ยง “ไม่ได้หรอก ได้ยินว่าคนในเมืองหลวงมีแต่ผู้ดี พวกเราเป็นคนแก่บ้านนอกไม่รู้จักธรรมเนียม หากไปทำให้ผู้ดีไม่ถูกใจเข้าจะทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนเอาได้ พวกเราอยู่ที่นี่น่ะดีแล้ว”
หลี่ต้าฉุยตำหนินางยิ้มๆ ว่า “หญิงแก่ผู้นี้นี่กระไร ลืมไปแล้วหรือ ต่อให้ในเมืองหลวงมีผู้ดีเยอะเพียงใด รอให้ถึงวันที่โยวเอ๋อร์แต่งงานแล้ว พวกเราก็จะต้องไปเข้าร่วมงานแต่งของโยวเอ๋อร์นะ
ย่าหลี่ตบมือของตนเอง พูดอย่างมีความสุขว่า “ใช่ จริงด้วย เจ้าพูดถูก ถึงคราที่โยวเอ๋อร์แต่งงาน อย่างไรพวกเราก็ต้องไป ไม่ต้องสนใจผู้ดีเหล่านั้นหรอก”
“อย่างนั้นเราสัญญากันแล้วนะเจ้าคะ เมื่อใดข้าจะแต่งงาน ข้าจะส่งคนมารับท่านทั้งสองล่วงหน้าหนึ่งเดือน พวกท่านห้ามปฏิเสธว่าไม่ได้เชียว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยรอยยิ้ม
“วางใจเถิด งานแต่งของเจ้าน่ะเป็นเรื่องใหญ่ ต่อให้เจ้าไม่ส่งคนมารับ พวกข้าสองคนก็จะเดินไปเมืองหลวงเอง” ย่าหลี่ให้สัญญาด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามพูดคุยกันอย่างมีความสุขครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวบอกทั้งสองว่าพรุ่งนี้ตอนกลางวันให้ไปห่อเกี๊ยว และก็ยืนขึ้นท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ของทั้งสอง เดินออกมา กลับไปยังบ้านของตน
เวลาช่วงเช้าก็ได้ผ่านไปอย่างยุ่งๆ เช่นนี้
หลังจากกินข้าวกลางวันและพักผ่อนเล็กน้อยแล้ว เมิ่งซื่อ ซุนเชี่ยนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เริ่มเช็ดถูห้องนอน อุปกรณ์ในห้องครัว เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียน ก็ได้กวาดลานบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ คนในครอบครัวคุยกันอย่างสนุกสนาน จัดเตรียมสถานที่สำหรับวันรุ่งขึ้นอย่างมีความสุข
กวาดลานไปได้ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงของรถม้าดังมาจากหน้าประตู
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนที่กำลังกวาดลานอยู่นั้นหยุดมือลง เมิ่งเสียนวางไม้กวาดลง เดินไปยังหน้าประตู
รถม้าสองคันจอดตรงหน้าประตู ผ้าม่านของรถม้าคันหน้าถูกเปิดออก เซี่ยเจียงเฟิงเดินลงมาจากรถม้า
เมื่อเห็นว่าเป็นเขา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรีบโบกมือให้ “คุณชายเซี่ยมาแล้วหรือ”
เมื่อเซี่ยเจียงเฟิงทรงตัวยืนขึ้นแล้ว ก็ตอบว่า “ตรุษจีนแล้ว ข้านำของมามอบให้ท่านลุงและท่านป้า”
ตอนที่ 175-1 ช่วยชีวิต
เซี่ยเจียงเฟิงทำการค้าร่วมกับตระกูลเมิ่งมาหลายปี ตรุษจีนทุกปีจะต้องนำของขวัญมาสวัสดีปีใหม่ เมิ่งเสียนเองก็ชินเสียแล้ว จึงไม่ได้ปฏิเสธบ่ายเบี่ยง ยิ้มต้อนรับเขา พูดว่า “คุณชายเซี่ยเข้ามานั่งด้านในก่อนเถิด น้องเล็กเองก็เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานพอดี”
สายตาของเซี่ยเจียงเฟิงเป็นประกาย พูดอย่างดีใจว่า “แม่นางเมิ่งกลับมาแล้วหรือ ข้ามีเรื่องจะคุยกับนางอยู่พอดี”
พูดจบ ก็สั่งให้คนงานที่ติดตามมาด้วยเอาของลงจากรถม้า ส่วนตนเองนั้นก็เดินตามเมิ่งเสียนเข้าไปในบ้าน
คนงานเองคุ้นเคยกับบ้านนี้แล้ว เดินถือของตรงไปยังห้องซีเซียงทันที
เมื่อเห็นเมิ่งเอ้ออิ๋นอยู่ด้านใน เซี่ยงเจียงเฟิงก็ได้กล่าวทักทายเขาด้วยความเคารพ เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงจึงได้เดินออกมาจากห้อง และพูดหยอกล้อเขาว่า “คุณชายเซี่ย ปีนี้มาส่งของขวัญเร็วยิ่งนัก พรุ่งนี้จะตรุษจีนอยู่แล้ว”
เซี่ยเจียงเฟิงเข้าใจความหมายของนาง จึงได้อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “การค้าขายปีนี้ดีกว่าปีก่อน ยุ่งวุ่นวายไปทั่ว พอมีเวลาว่างข้าก็รีบมาทันทีเลย”
ตั้งแต่ที่เซี่ยเจียงเฟิงไปเมืองหลวงเมื่อสองปีก่อน หลังจากนำธุระเรื่องที่จะต้องขนส่งกุนเชียงจากโรงงานมอบให้เถ้าแก่ที่ดูแลร้านในเมืองหลวงจัดการแล้ว ก็กลับมาที่ชิงเหอ ไม่ได้กลับเมืองหลวงอีกเลย ลองนับดูแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้พบกันนานแล้ว เมื่อได้ยินคำของเซี่ยเจียงเฟิง เมื่อเชี่นโยวก็ยิ้มและพูดว่า “อย่างนั้นข้าก็ขอแสดงยินดีด้วยที่คุณชายเซี่ยค้าขายรุ่งเรือง”
เซี่ยเจียงเฟิงหัวเราะชอบใจ พูดว่า “ที่ค้าขายรุ่งเรืองก็เพราะแม่นางเมิ่งนั่นหล่ะ หากไม่ได้กุนเชียงและน้ำพริกของแม่นาง ข้าเองก็คงไม่มีกิจการที่รุ่งเรืองเช่นนี้ดอก”
ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอยู่ครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเชิญเขาเข้าไปในห้องรับรองแขก เมิ่งเสียนชงชามาให้เขาเอง ให้เมิ่งเชี่ยนโยวและเซี่ยเจียงเฟิงคนละแก้ว แล้วก็นั่งลงข้างอีกฝั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเชิญเขาออกไปเป็นนัยๆ พูดกับเขาว่า “พี่ใหญ่ พี่ไปช่วยท่านพ่อทำความสะอาดลานก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่ายชายเซี่ย”
เมิ่งเสียนลุกขึ้น ก้มหัวให้เซี่ยเจียงเฟิงเล็กน้อย และเดินออกไป
“แม่นางจะถามเรื่องจูหลานใช่หรือไม่ ที่ข้ารีบมาวันนี้ก็เพราะจะมาคุยกับแม่นางเรื่องของเขานี่แหละ” พอเมิ่งเสียนเดินออกไป เซี่ยเจียงเฟิงก็พูดออกมาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ถามว่า “เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นกับคุณชายจู ครั้งที่แล้วที่ท่านไปเมืองหลวงเหตุใดจึงไม่พูด”
เซี่ยเจียงเฟิงตกใจ “แม่นางรู้เรื่องแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พอรู้มาบ้าง แต่ว่าไม่ละเอียด เรื่องราวเป็นมาอย่างไรหรือ”
เซี่ยเจียงเฟิงถอนหายใจออกมา “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร ข้าเองก็ไม่ได้เจอจูหลานมาหลายวันแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจเล็กน้อย ถามอย่างร้อนรนว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือ ไหนว่าห้ามคนทั้งบ้านออกมาพร้อมกันมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงไม่อนุญาตให้คุณชายจูจะออกมาได้”
เซี่ยเจียงเฟิงก็ถอนหายใจออกมายาวเหยีดและพูดว่า “แม่นางไม่รู้อะไร ตระกูลเฉียวได้พาตัวเฉียวหมิ่นกลับไปแล้ว และวันต่อมาก็ได้ไปส่งที่จวนจูทันที จากนั้นมาคนในตระกูลจูก็ไม่ได้ออกจากจวนอีกเลย พวกเราก็ได้ขาดการติดต่อกับเขาอย่างสิ้นเชิง ข้าและอันอี่หยวนเคยลองติดสินบนเจ้าหน้าที่เฝ้าประตู ถามเขาว่าเหตุการณ์ด้านในเป็นอย่างไร แต่พวกเขาเก็บความลับเก่งมาก ไม่ปริปากพูดออกมาสักคำ ข้าเลยคิดว่าข้าจะเขียนจดหมายให้เจ้าและเปาอี้ฝานสักฉบับ ให้เจ้าไปคิดหาวิธีมา แต่เมื่อคิดได้ว่าเจ้าใกล้จะกลับมาแล้ว จึงไม่ได้เขียนให้ไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวมีน้ำเสียงกล่าวโทษเล็กน้อย “เรื่องสำคัญเพียงนี้ เหตุใดท่านไม่พูดตอนที่ไปเมืองหลวงครั้งนั้น”
เซี่ยเจียงเฟิงก็รู้สึกผิดไม่น้อย “ตอนนั้นผู้ว่าการยังไม่ได้สั่งคนไปปิดจวนจู คนในตระกูลยังคงสามารถเดินเข้าออกได้ปกติ อีกอย่างพวกเราไม่คิดเลยว่าเฉียวหมิ่นจะถูกรับกลับมาและส่งตัวไปยังจวนจู ยิ่งไปกว่านั้น จูหลานได้เตรียมการณ์ทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว เตรียมตัวจะพาครอบครัวหนีไปที่บ้านของพ่อตา ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมา และพูดต่อว่า “ใกล้จะถึงตรุษจีนแล้ว การค้าขายยุ่งจนล้นมือ หลังจากที่ข้ากลับมาจากเมืองหลวง ก็ได้เจอกับเขาเพียงหนเดียวเท่านั้น แล้วก็ไปยุ่งเรื่องค้าขายต่อ เวลาล่วงเลยไปสิบกว่าวัน เขาก็ไม่ได้มาลาข้า ตอนนั้นข้าถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติ จึงได้เดินทางไปที่จวนของเขาเอง เมื่อถึงหน้าประตูก็ถูกคนกันไว้ไม่ให้เข้า บอกว่าจวนจูถูกปิดล้อมไว้แล้ว ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก ข้าถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว จึงได้ไปปรึกษากับอันอี่หยวน แต่ยังคิดแผนไม่ออก ทำได้แค่อดทนรอ รอให้เจ้ากลับมาคิดทางแก้ไข”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจมาก “หากเป็นอย่างท่านว่า พวกเขาก็ไม่ได้ออกจากจวนมาเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วอย่างนั้นหรือ”
เซี่ยเจียงเฟิงพยักหน้า “ประมาณนั้นหล่ะ ข้าและอันอี่หยวนยังกังวลอยู่เลยว่าพวกเขาจะเจอปัญหาอะไรหรือไม่”
“เป็นไปไม่ได้!” เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “เป้าหมายของเฉียวหมิ่นคือบังคับให้จูหลานแต่งงานกับนาง ไม่มีทางจะ…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น สีหน้าซีดเผือด น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ท่าไม่ดีแล้ว เฉียวหมิ่นคงไม่ได้ลงมือกับลี่เอ๋อร์และลูกใช่ไหม”
เซี่ยเจียงเฟิงลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ ถามอย่างไม่มั่นใจว่า “คงไม่หรอก เฉียวหมิ่นอยากจะแต่งงานกับจูหลาน คงไม่ลงไม้ลงมือกับเด็กหรอก แต่ส่วนจางลี่นั้น…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็คิดอะไรขึ้นได้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
แต่ก่อนที่เฉียวหมิ่นยังไม่ถูกส่งตัวกลับมานั้น ตระกูลเฉียวก็ได้บีบบังคับให้จูหลานเลิกกับลี่เอ๋อร์ ยกตำแหน่งภรรยาเอกให้เฉียวหมิ่น ตอนนั้นจูหลานปฏิเสธอย่างหัวเด็ดตีนขาด แต่ครานี้เฉียวหมิ่นกลับมาแล้ว รู้ว่าจูหลานได้แต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว จะต้องไม่ปล่อยจางลี่ไว้แน่ อย่างนั้นจางลี่นั้น เซี่ยเจียงเฟิงสั่นสะท้านขึ้นมา ไม่กล้าคิดต่อไป
เมิ่งเชี่ยนโยวบังคับให้ตนเองใจสงบขึ้น พูดว่า “วันนี้ข้าได้ส่งคนให้แอบไปสืบเรื่องจวนจูแล้ว หากพวกเขาได้ข่าวอะไรก็ให้รีบมารายงานกับข้า พวกเราอย่างเพิ่งลนลานกันไปเลย บางทีอาจจะไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เราคิดก็เป็นได้ เฉียวหมิ่นอาจจะเพียงต้องการแต่งงานกับจูหลาน ไม่มีทางทำร้ายคนในครอบครัวของเขาหรอก”
“เจ้าไม่รู้อะไร ข้าไปถามมาแล้ว หลายปีมานี้ตอนที่เฉียวหมิ่นลำบากมาก ได้ยินมาว่านิสัยก็ดุร้ายขึ้น ข้ากลัวนางทำเรื่องไร้สติขึ้นมา” พูดจบ ก็เสียใจเหลือเกิน “ข้าควรจะเขียนจดหมายหาเจ้าตั้งนานแล้ว ให้เจ้าและอี้ฝานช่วยกันหาทางช่วยพวกเขา หากเกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัวจูขึ้นมาจริงๆ ข้า…”
พูดถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ
คำพูดของเซี่ยเจียงเฟิงทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวใจหายใจคว่ำ ความคิดด้านลบทั้งหลายถาโถมเข้ามาในหัวของนาง สีหน้าของนางแย่ลงเรื่อยๆ นางเม้มปากลง พูดกับเวี่ยเจียงเฟิงว่า “ไปพวกเราเข้าไปในเมืองกัน!”
ขณะนี้เซี่ยเจียงเฟิงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ลุกขึ้นเดือนออกไปด้านนอก แข้งขาอ่อนแรงไปเล็กน้อย โชคดีที่คว้าขอบประตูเอาไว้ได้ ทำให้ไม่ล้มลงไป เขาพยายามจะยืนทรงตัวอยู่นาน จึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ไปกันเถิด!”
“เจ้าไปรอข้าที่รถม้า ข้าจะไปสั่งคนให้เตรียมรถม้าไว้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตามหลังเขา
เซี่ยเจียงเฟิงพยักหน้า และเดินออกไปด้านนอก
เมิ่งเสียนเห็นว่าผ่านไปนานแล้วเซี่ยเจียงเฟิงก็ยังไม่ออกมา คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นจึงได้รีบไปดู แต่เมื่อกำลังยิ้มทักทายเขากลับพบว่าสีหน้าเขาซีดเผือด ดูร้อนรน แข้งขาสั่น จึงรู้สึกตกใจมาก รีบวางไม้กวาดในมือทิ้งไป และรีบไปพยุงเขาเอาไว้ พร้อมถามอย่างเป็นห่วงว่า “คุณชายเซี่ย ท่านเป็นอะไรไปหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เขาเพิ่งพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกมาจากห้อง และเดินสาวเท้าไปยังห้องพักคนงานอย่างเร่งรีบ
เมิ่งเสียนร้อนใจกว่าเดิม รอคำตอบจากเซี่ยเจียงเฟิง
เซี่ยเจียงเฟิงอ้าปากพูด แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เมื่อครู่เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจให้เมิ่งเสียนออกมาจากห้อง แสดงว่าไม่ต้องการให้เขารู้เรื่องนี้ อีกอย่างเรื่องนี้ช่างซับซ้อนยากที่จะพูดให้เข้าใจ
เมิ่งเสียนเห็นท่าทีของเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าท่าทีกีดกันเขาออกจากห้องของเมิ่งเชียนโยวจะต้องเกี่ยวข้องกับคำพูดของของเซี่ยเจียงเฟิงเป็นแน่ เมื่อคิดได้ว่าเหตุที่เมิ่งเชี่ยนโยวกันเขาออกมาก็เพราะไม่อยากให้เขารู้ จึงได้ไม่ตอแยถามต่อ
ถามว่า “ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า ต้องให้ข้าพยุงหรือไม่”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ถามตอแย เซี่ยงเจียงเฟิงจึงได้โล่งใจ ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่เป็นอะไร”
เมิ่งเสียนปล่อยมือจากเขา
เซี่ยเจียงเฟิงฝืนยิ้มออกมา กล่าวลาเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างสุภาพ และเดินออกจากจวนเมิ่งไป กลับมารอเมิ่งเชี่ยนโยวยังที่รถม้าของตน
ตอนที่ 175-2 ช่วยชีวิต
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมายังที่พักของรั่วหลาน สั่งชิงหลวนและจูหลีว่า “เจ้าสองคนตามข้าไปในเมือง”
สีหน้าของทั้งสองคนเปลี่ยนไป รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว จึงตอบรับนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปสั่งการสาวใช้ทั้งสองว่า “จับตาดูรั่วหลานให้ดี อย่าให้นางออกมาจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว”
สาวใช้ทั้งสองก็ตอบรับอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินไปยังจวนของเหวินเปียว ไม่รอให้ครอบครัวของเหวินเปียวกล่าวทักทาย นางเดินสาวเท้าอย่างเร่งรีบไปสั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ว่า “เจ้าทั้งสองไปเตรียมรถม้า ตามข้าออกไปที”
พูดจบก็หันหลังเดินไปยังอีกจวน สั่งให้องครักษ์ที่เก่งกาจห้านายติดตามไปด้วย
เหล่าองครักษ์เหล่านี้ได้ถูกคัดสรรมาอย่างดีแล้ว ฝีมือเก่งฉการทุกนาย หนึ่งคนสามารถเอาชนะได้สิบคน เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการไปโดยไม่ต้องเลือกคน องครักษ์ห้าคนตอบรับทันที เดินตามนางออกไปยังเรือนหน้า
เมิ่งเอ้ออิ๋นตกใจมากที่เห็นนางพาคนมากมายเช่นนี้ออกมา กำลังจะเปิดปากถาม แต่เมิ่งเชี่ยนโยวเดินอย่างเร่งรีบออกไป พลางพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “เตี่ย ข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอกเสียหน่อย”
พูดจบ นางก็เดินออกจากจวนไป
เมิ่งเสียนยืนนิ่งอยู่ด้านหน้า
“พี่ใหญ่ ข้าจะไปในเมืองเสียหน่อย หากวันนี้ไม่ได้กลับมา ท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป ท่านดูแลบ้านให้ดีก็พอ” เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปด้วยพูดไปด้วย
พูดจบ ไม่รอให้เมิ่งเสียนตอบรับ ก็ขึ้นไปยังรถม้าที่เหวินเปียวเตรียมไว้ ด้วยเสียงร้อนรนว่า “ไปในเมือง” พูดจบ ก็สั่งชิงหลวนและจูหลีว่า “พวกเจ้าก็ขึ้นมา”
เหวินเปียวหวดแซ่ควบม้าไปออกไปนอกหมู่บ้าน องครักษ์ทั้งห้าก็ได้ขึ้นมายังรถม้าของเหวินหู่แล้ว ตามมาด้านหลัง
รถม้าของเซี่ยเจียงเฟิงเองก็ตามมาด้านหลัง
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวร้อนรน เหวินเปียวรู้ได้ว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ จึงได้เร่งความเร็วขึ้น ควบม้าให้วิ่งเร็วขึ้น ใกล้วันตรุษจีนแล้ว ผู้คนบนถนนไม่พลุ่งพล่านมากนัก ความเร็วของเหวินเปียวไม่ลดลง ไม่กี่นาทีก็ออกมากจากหมู่บ้านแล้ว มุ่งหน้าตรงยังเขตชิงเหอ เดินทางมาได้ราวสิบห้านาที ด้านหน้าก็มีรถม้าวิ่งสวนม้า ผู้ที่ควบม้าเป็นองครักษ์ที่มีสีหน้าร้อนรนนายหนึ่ง
เหวินเปียวมองดูคนควบม้าจนชัดแล้ว จึงได้รายงานว่า “ตงเจีย พวกเขากลับมาแล้ว”
พูดยังไม่ทันขาดคำ พรึ่บ เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านออกมา มองไปยังรถม้าด้านหน้า
เมื่อองครักษ์ที่ควบม้าได้เห็นพวกเขา สีหน้าก็แสดงความยินดีออกมา ควบม้าเข้าใกล้พวกเขาพูดว่า “เจ้านายขอรับ พวกเราแอบพาตัวของคุณชายจูและภรรยาพร้อมทั้งเด็กๆ ออกมาแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโน้มตัวลงมาจากรถม้า กระโดกไปยังรถม้าด้านหน้า “คนเป็นอย่างไรบ้าง” ขณะที่ถามนางก็เปิดผ้าม่านของรถม้าอีกฝั่ง แต่กลับเห็นจางลี่นอนจมกองเลือดกำลังกอดจูเสี่ยวที่เต็มไปด้วยบาดแผลเอาไว้ในอก ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ไฟโกรธในใจก็ได้ประทุขึ้นมา แผ่เอาบรรยากาศน่ากลัวไปรอบๆ
อารมณ์โกรธของนางทำเอาองครักษ์รู้สึกกลัว กลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว รายงานว่า “พวกเราเจอเขาสองแม่ลูกที่ห้องเก็บฟืนของจวนจู ตอนที่พบก็อยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว พวกเราไม่รอช้า ใช้จังหวะตอนที่ยามเปลี่ยนเวรกันพาตัวพวกเขาออกมา และก็รีบกลับมาทันที นายท่านวางใจเถิด พวกเขายังมีลมหายใจเหลืออยู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวควบคุมอารมณ์อยากข้าคนของนางเอาไว้อย่างยากลำบาก กระโดดขึ้นรถม้า สั่งว่า “รีบกลับไปยังหมู่บ้านชิงซี!”
เหล่าองครักษ์ไม่รอช้า รีบควบม้าไปยังด้านหน้า
เหวินเปียวรีบวนรถม้ากลับ
เซี่ยเจียงเฟิงที่อยู่ด้านหลังเมื่อได้ยินดังนั้น ก็สั่งคนรถว่า “เร็ว วนรถกลับ ตามพวกเขาไปให้ทัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ เอามือเข้าไปใกล้จมูกของจางลี่ นานทีเดียวกว่าจะรู้สึกถึงลมหายใจที่โรยรินของนาง เม้มปาก หลับตาลง บังคับให้ตัวเองใจเย็นลง
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดตาขึ้น สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ชิงหลวน เจ้ารีบไปยังบ้านของพี่รองของข้า บอกเขาว่าอีกครู่ข้าจะพาคนเจ็บสองคนไป ให้เขาเตรียมห้องอบอุ่นเอาไว้ห้องหนึ่ง และก็ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ด้วยสองหม้อ”
ชิงหลวนตอบรับ รีบแสดงฝีมือวิ่งกลับไปด้วยความรวดเร็ว
“จูหลี เจ้าบอกเหวินเปียวว่าให้เขารีบไปในหมู่บ้าน ซื้อผ้าห่มกันหนาวหนาๆ มาสองสามผืน แล้วมารอพวกข้าที่หน้าหมู่บ้าน”
จูหลีนำคำของเมิ่งเชี่ยนโยวบอกต่อกับเหวินเปียว เหวินเปียวหวดม้าแรงหนึ่งที ม้าร้องเสียงดังสนั่นขึ้น กระโจนวิ่งออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปสั่งองครักษ์ที่คุมรถม้าว่า “ไปแวะที่ร้านยาที”
องครักษ์อยู่ที่หมู่บ้านชิงซีมาหลายสิบบปี คุ้นเคยกับที่นี่มาก ควบม้าไปยังร้านยาที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านทันที
ใกล้วันตรุษจีนแล้ว ร้านยาเองไม่ได้มีคนไข้มากนัก เพียงคนงานสองสามนายอยู่เวรเท่านั้น เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็ได้กระตือรือร้นทักทายต้อนรับนาง แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดเพียงชื่อยายาวเหยียด กล่าวว่า “ทำตามสูตรยานี้ ทำยามาให้ข้าสิบชุด”
เมื่อคนงานได้ยินนางท่องสูตรยาออกมาอย่างคุ้นเคยเช่นนี้ ก็คิดว่าคงจะเป็นเพราะในบ้านมีคนป่วยเป็นโรคนี้เป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ได้คิดอะไรมาก รีบไปจัดยามาให้นางทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปสั่งยากับคนงานอีกคนหนึ่ง “ยาสูตรนี้ก็ทำให้ข้าสิบชุดเช่นกัน”
คนงานผู้นี้ตกใจเล็กน้อย มองนางอย่างสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “ทำไมหรือ ไม่มีหรือ”
“มี มี มีขอรับ” คนงานรีบตอบรับ ถามหยั่งเชิงว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางจะนำยามากมายเพียงนี้ไปทำอะไรหรือขอรับ”
น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่สู้ดีนัก “เรื่องนี้เป็นกงการอะไรของเจ้าหรือ หากเจ้าไม่อยากขาย ข้าก็จะไปซื้อที่อื่น”
คนงานผู้นี้พูดไม่ออก
คนงานอีกคนพูดตำหนิเขาว่า “เอ้อจื่อ แม่นางผู้นี้มาซื้อยา เรามีหน้าที่ขายยา เจ้าจะไปยุ่งเรื่องเขาด้วยเหตุใดกัน”
ก็จริง เอ้อจื่อพยักหน้า พูดว่า “แม่นางรอสักครู่หนา พวกข้าจะไปจัดยามาให้เดี๋ยวนี้”
คนงานคนแรกจัดยาเสร็จเรียบร้อย ห่ออย่างดี ยื่นให้เมิ่งเชี่ยนโยว
“เอาผ้าพันแผลให้ข้าอีกห้าม้วน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
คนงานผู้นี้ผงะไปเล็กน้อย พิจารณาดูนาง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา หันไปหยิบผ้าพันแผลมาวางบนโต๊ะ
ยาจัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนงานหยิบลูกคิดขึ้นมา คิดลูกคิดเสียงดัง จากนั้นก็วางลูกคิดไว้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ให้นางมองให้ชัด “แม่นาง ทั้งหมดยี่สิบตำลึงขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิกแขนเสื้อออก หยิบเงินออกมายี่สิบตำลึงวางบนโต๊ะคิดเงิน ถือถุงยาออกออกมาพร้อมจูหลี และรีบขึ้นรถม้าไปทันที สั่งองครักษ์ว่า “กลับบ้าน!”
องครักษ์ควบม้าออกจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว เหวินเปียวและคนอื่นๆ กำลังรออยู่ที่นั่น เมื่อเห็นรถม้าเข้ามา ก็รีบนำผ้าห่มกันหนาวมาให้เมิ่งเชี่ยนโยว “ตงเจีย”
“ข้าและจูหลียกนางสองแม่ลูก พวกเจ้ารีบเอาผ้าห่มรองไว้ใต้ร่างของทั้งสอง” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนเหล่านั้น
เหวินเปียวและคนทั้งหมดตอบรับ คลี่ผ้าห่มในมือออก
เมิ่งเชี่ยนโยวประคองส่วนหัวของจางลี่และจูเสี่ยว จูหลีประคองส่วนเท้า ออกแรงพร้อมกัน นำร่างของสองแม่ลูกยกขึ้นมา กลุ่มคนนำโดยเหวินเปียว ตามด้วยเหล่าองครักษ์รีบนำผ้าห่ม ในมือมาปูรองด้านล่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวและจูหลีค่อยๆ ว่างสองแม่ลูกลงอย่างเบามือ เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสั่งเหล่าองครักษ์ว่า “เร่งมือหน่อย พยายามกลับถึงบ้านให้ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง”
ในรถม้ารองด้วยผ้าห่มหนาๆ เมิ่งเชี่ยนโยวและจูหลีเองก็ดูแลอยู่ข้างๆ สองแม่ลูก ต่อให้รถโคลงเคลงไปสักหน่อย สองแม่ลูกก็ไม่เป็นอันตรายมาก องครักษ์วางใจ จึงได้หวดม้าอย่างแรงเพื่อให้วิ่งเร็วขึ้น
ไม่ถึงชั่วโมงก็ได้เดินทางมาถึงจวนของเมิ่งฉี
ชิงหลวนมาถึงบ้านนานแล้ว นำคำของเมิ่งเชี่ยนโยวมาบอกเมิ่งฉีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เมื่อเมิ่งฉีฟังจจบ ก็ได้สั่งสาวใช้ไปจัดการ เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงบ้านของเมิ่งฉี ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เมิ่งฉีและชิงหลวนยืนรอพวกเขาอยู่หน้าบ้าน
รถม้าหยุดลง เมิ่งฉีเดินเข้ามา ถามด้วยเสียงจริงจังว่า “น้องเล็ก เกิดอะไรขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านออก ให้พวกเขาเห็นสภาพน่าเวทนาของสองแม่ลูก
เมิ่งฉีตกใจจนเผลอร้องออกมา “น้องเล็ก พวกนางเป็นใคร เกิดอะไรขึ้น”
ตอนที่ 176-1 เจ็บปวดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบสั้นๆ “ฮูหยินกับลูกของจูเฟิงเจ้าค่ะ”
เมิ่งฉีกลับประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม “ทำไมพวกนางถึงถูกคนทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้ได้”
“ไว้ค่อยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทีหลังนะเจ้าคะ จัดแจงห้องเรียบร้อยแล้วหรือยัง พวกข้าขอแบกนางกับลูกเข้าไปก่อน”
เมิ่งฉีพูดอย่างร้อนรน “จัดเรียบร้อยแล้ว เตาของเตียงก็ร้อนแล้ว รีบแบกเข้าไปเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับจูหลีแบกสองแม่ลูกที่กอดกันแน่นอยู่ด้านหน้าและด้านหลังคนละฝั่ง ลงจากรถม้า
เมิ่งฉี เหวินเปียว และทหารองครักษ์อีกสองสามนายไม่สนใจว่าใครชายใครหญิงอีก ต่างยื่นมือเข้ามาช่วยแบกด้วย
เซี่ยเจียงเฟิงลงจากรถม้าเช่นกัน ครั้นมองเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของสองแม่ลูกที่อยู่ในกลุ่มคนนั่น ภาพเบื้องหน้าก็มืดมัว ร่างกายโอนเองไปมาจนเกือบจะล้มหมดสติไป
ทุกคนค่อยๆ แบกสองแม่ลูกเข้ามาในห้องที่เตรียมไว้ แล้ววางลงบนเตียงร้อน
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียว “ในห้องของข้ามีกล่องยาหนึ่งกล่อง ภายในบรรจุยาหลายชนิด เจ้ารีบกลับไปที่บ้าน แล้วนำกล่องยามาที่นี่โดยเร็ว”
เหวินเปียวรับคำ แล้ววิ่งกลับไปอย่างว่องไว
“พี่รอง ท่านสั่งสาวใช้ให้รองน้ำมาหลายกะละมัง เตรียมเอาไว้เจ้าค่ะ”
เมิ่งฉีรับคำ แล้วเดินออกไป
“จูหลี นำยาที่อยู่บนรถม้าลงมาให้อย่างละสองชุด แล้วส่งให้พวกเขาบางส่วนเพื่อไปต้มโดยเร็ว แล้วหยิบผ้าทำแผลติดมาด้วย”
จูหลีและทหารองครักษ์แต่ละคนรับคำ แล้วเดินออกไป
“ชิงหลวน เจ้าช่วยข้า ก่อนอื่นแยกแม่ลูกสองคนนี้ออกจากกัน แล้วรักษาแยกกัน”
ชิงหลวนพยักหน้า เดินไปที่ข้างเตียงร้อน เอนตัวลง พยายามอุ้มจูเสี่ยวออกมาจากอ้อมอกของจางลี่ ทันทีที่นางขยับจูเสี่ยว จางลี่ที่สติยังเลือนรางอยู่ก็สวมกอดลูกแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ ชิงหลวนกลัวว่าจะทำให้จางลี่ได้รับบาดเจ็บหนักขึ้น จึงไม่กล้าออกแรง และมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความอึดอัดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง ประชิดข้างหูของจางลี่ และพูดด้วยเสียงอันเบาและนุ่มนวล “ลี่เอ๋อร์ ข้าคือพี่โยวเอ๋อร์เอง เสี่ยวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ เจ้าปล่อยเขานะ แล้วข้าจะรักษาเขาอย่างดี”
จางลี่ที่หมดสติอยู่ราวกับว่าได้ยินคำพูดของนาง จึงคลายมือออกเล็กน้อย ชิงหลวนดีใจมาก ขณะที่กำลังจะอุ้มจูเสี่ยวออกมา จู่ๆ แขนของจางลี่กลับสวมกอดแน่นขึ้นอีกครั้ง ทั้งกายดูคล้ายว่าได้สติแล้ว ปากก็พูดพึมพำเบาๆ ว่า “พวกเจ้า…ใคร…ก็…อย่าได้…ทำอะไร…ลูก…ของข้า”
จูเสี่ยวตัวน้อยกลับไม่เคลื่อนไหวใดๆ ถูกเจียงลี่กอดไว้ที่อกโดยไร้สติ
ลมหายใจชีวิตของแม่ลูกทั้งสองใกล้จะมาถึงขีดสุดท้ายแล้ว ถ้ายังไม่ได้รับการรักษาอีก เกรงว่าจะไม่อาจมีชีวิตรอดแล้วจริงๆ ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็กระวนกระวาย จึงพูดเบาๆ ที่ข้างหูของจางลี่อีกครั้ง “ลี่เอ๋อร์ ข้าคือพี่โยวเอ๋อร์เอง หากเจ้ายังไม่ปล่อยเสี่ยวเอ๋อร์อีก เขาจะต้องตายจริงๆ แล้วนะ”
ใบหน้าของจางลี่ไม่มีการตอบสนองใดๆ ทว่า แขนกลับสวมกอดจูเสี่ยวแน่นขึ้นอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา กัดฟัน และพูดกับชิงหลวนว่า “สกัดจุดนาง”
ชิงหลวนสกัดจุดสำคัญหลายแห่งบนร่างกายจางลี่อย่างว่องไว ร่างของจางลี่อ่อนแรงลง เมิ่งเชี่ยนโยวสบโอกาสนั้นอุ้มจูเสี่ยวออกมาจากอ้อมอกของนาง
จางลี่ขยับไม่ได้ แต่นัยน์ตาพลันมีน้ำตาไหลรินออกมา
จูหลีรีบแก้จุดบนกายให้นาง น้ำตาของจางลี่ยิ่งร่วงไหลมากขึ้น แล้วยื่นแขนออกไปอย่างไร้สติ ร้องคำรามด้วยเสียงที่เบาและอ่อนแรง “พวกเจ้า…เอา…ลูกข้า…คืนมา”
แม้ว่าชิงหลวนจะเป็นองค์รักษ์ผู้ที่ตัดขาดซึ่งกิเลสและอารมณ์แล้ว แต่ในเวลานี้ขอบตานางชื้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เมิ่งเชี่ยนโยววางจูเสี่ยวไว้ด้านหนึ่ง เตรียมจะตรวจดูอาการบาดเจ็บบนกายของเขา แต่เมื่อเห็นแผลทั้งใหญ่และเล็กมากมายบนร่างเล็กๆ นั้น ทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะลงมืออย่างไรดีเป็นครั้งแรก
พวกสาวใช้ยกกะละมังน้ำร้อนเข้ามา ขณะที่เข้ามาในห้องและเห็นสภาพสองแม่ลูกที่น่าสะพรึงเช่นนั้น ก็ตกใจจนเกือบทำกะละมังที่อยู่บนมือร่วงหล่น แล้วถามขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “แม่นาง น้ำเหล่านี้วางไว้ที่ใดเจ้าคะ”
“วางลงที่พื้นก็ได้ พวกเจ้ารีบไปนำมีดสองเล่มกับผ้าขนหนูสะอาดมาให้ข้า” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
สาวใช้แต่ละคนวางกะละมังน้ำลง แล้วรีบวิ่งออกไปอย่างลนลาน ไม่นานสาวใช้คนหนึ่งก็นำมา และส่งให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งมีดหนึ่งเล่มให้ชิงหลวน “ตัดเสื้อผ้าของพวกเขาออกก่อน” พูดจบ ก็คุกเข่าบนเตียง แล้วตัดเสื้อผ้าบนตัวของจูเสี่ยวออกเป็นเส้นๆ อย่างระมัดระวัง ครั้นเห็นแผลอันน่าสยดสยองค่อยๆ ปรากฏอยู่เบื้องหน้าตัวเอง ความรู้สึกเจ็บปวดก็ถาถมเข้าสู่หัวใจของเมิ่งเชี่ยนโยว
ทว่า จูเสี่ยวดูเหมือนกับว่าไม่รู้สึกอะไรแล้ว ตาทั้งคู่ปิดสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ปล่อยให้เมิ่งเชี่ยนโยวกระทำอะไรต่างๆ หรือแม้กระทั่งเสียงร้องโหยหวนและความรู้สึกที่เจ็บปวดก็ไม่มีทั้งสิ้น
ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหนักอึ้ง หยิบเส้นผ้าที่ตัดออกจากร่างเล็กๆ ของเขาแล้ววางลงบนเตียงร้อนอย่างรวดเร็ว จากนั้นหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาจุ่มน้ำอุ่น แล้วเช็ดกายของเขาเพื่อให้แผลบนร่างปรากฏชัดขึ้นทั้งหมด
ขั้นตอนการรักษาของชิงหลวนมิได้ราบรื่นเช่นนั้น และไม่รู้ว่าจางลี่ได้รับบาดเจ็บมานานเพียงใดแล้ว เลือดบนร่างแห้งและแข็งตัวจนติดกับเสื้อผ้า ต่อให้จะตัดเสื้อผ้านางออกแล้ว ก็ยังไม่อาจหยิบผ้าที่ติดแน่นกับกายนั้นออกมาได้
“นายหญิง กล่องยามาแล้วขอรับ!” เสียงของเหวินเปียวที่อยู่ด้านนอกห้องดังขึ้น
“ให้พวกนางส่งเข้ามา เจ้าไปตามพี่ชายรอง แล้วบอกให้เขาหั่นโสมมาหลายแผ่น” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
เหวินเปียวรับคำ นำกล่องยาส่งให้สาวใช้คนใดคนหนึ่ง ส่วนตัวเองก็สาวเท้าไปหาเมิ่งฉี
เมิ่งฉีกำลังสั่งการให้ทุกคนต้มน้ำและยา
เมื่อได้ยินคำพูดของเหวินเปียวก็หันตัวเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง หยิบโสมหนึ่งต้นออกมาอย่างรวดเร็วไปที่ห้องครัว แล้วตัดเป็นแผ่นใหญ่ๆ ออกหลายแผ่น พร้อมสั่งสาวใช้ที่ต้มน้ำอยู่ “ต้มโสมที่เหลือนี้ด้วย เตรียมไว้ใช้” พูดจบ ก็รีบก้าวเดินไปยังประตูห้องที่จางลี่สองแม่ลูกอยู่ ขณะยื่นแผ่นโสมให้แก่สาวใช้หน้าประตูเพื่อให้นางนำเข้าไป ก็ตะโกนถามไปด้วย “น้องเล็ก ยังมีอะไรต้องทำอีกหรือไม่”
“เตรียมน้ำร้อนไว้ให้เพียงพอ ยาที่ต้มเสร็จก็นำเข้ามา และหน้าประตูต้องมีคนเฝ้าอยู่ตลอด” เมิ่งเชี่ยนโยวเช็ดแผลบนกายของจูเสี่ยว พลางพูดตอบ
เมิ่งฉีรับคำ สั่งสาวใช้สามสี่คนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูให้รอรับคำสั่ง ตัวเองก็หันกลับไปที่ห้องครัว
เซี่ยเจียงเฟิงยืนอยู่ภายในเรือน ในใจเต็มไปด้วยความหดหู่ นึกคิดว่าเป็นเพราะความละเลยของตัวเอง ถึงทำให้เจียงลี่สองแม่ลูกต้องประสบกับความทุกข์ทรมานอย่างหนักเช่นนี้ จนอยากจะกระแทกเข้ากับกำแพงแทนการลงโทษตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น
พอเมิ่งเชี่ยนโยวที่เหงื่อท่วมศีรษะเช็ดคราบเลือดบนตัวจูเสี่ยวเสร็จ ความรู้สึกที่คิดอยากจะฆ่าคนก็เอ่อท้นขึ้นในใจอีกครั้ง ปิดตาลง พยายามข่มตัวเองให้ใจเย็น แล้วสั่งจูหลี “หยิบกล่องยามา”
จูหลีวางกล่องยาไว้ข้างเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดและหยิบยาออกมาบางส่วน พร้อมกับดึงจุกขวดออกแล้วราดลงบนแผลที่ตัวจูเสี่ยวอย่างรวดเร็ว เลือดที่แผลหยุดไหลโดยทันที ทว่า เด็กน้อยยังคงไม่เคลื่อนไหวและหลับตาอย่างไม่รู้สึกตัวเช่นเดิม หากไม่ใช่เป็นเพราะหน้าอกที่ผอมบางนั่นยังมีการขยับขึ้นลงเล็กน้อย ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการตายไปแล้วเลย
ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก ขณะที่หยิบผ้าขนหนูที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาเพื่อจะพันแผลให้เขา เสียงพูดของชิงหลวนที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้นด้วยความไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี “น…นายหญิง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันศีรษะไปด้านข้าง เห็นเสื้อผ้าติดแน่นอยู่บนร่างของจางลี่ ก็เข้าใจถึงความลำบากของชิงหลวนทันที จึงนำผ้าขนหนูที่อยู่ในมือส่งให้จูหลี “รีบพันแผลเสี่ยวเอ๋อร์ให้เรียบร้อย”
ในค่ายลับ เรื่องเหล่านี้ล้วนฝึกฝนมาแล้ว ครั้นจูหลีรับมา ก็ลงมือพันแผลให้จูเสี่ยวอย่างช่ำชองคล่องแคล่ว
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบขวดยาสองสามขวดส่งให้ชิงหลวน และไม่ไตร่ตรองสิ่งใดอีก กัดฟัน แล้วใช้มือออกแรงดึงผ้าแต่ละเส้นบนกายของจางลี่ออกมาด้วยความรวดเร็ว ผ้าทุกเส้นที่ดึงออกมานั้นเผยให้เห็นเลือดสดๆ ไหลทะลักออกจากแผลบนกายของจางลี่โดยทันที เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวดึงออกหมดในรวดเดียวแล้ว ทั้งกายของจางลี่ก็ล้วนเต็มไปด้วยเลือด
ทันทีที่การเคลื่อนไหวของเมิ่งเชี่ยนโยวเสร็จสิ้น ยาทั้งหมดบนมือของชิงหลวนก็ได้ถูกเทลงบนกายของจางลี่
จางลี่กลับยังมีความรู้สึกอยู่ ระหว่างการรักษาทุกขั้นตอนก็ร้องโอดครวญออกมาอย่างเจ็บปวด หากแต่ดวงตามิได้เปิดขึ้น
เมื่อลงยาไปบางส่วน เลือดบนกายของจางลี่ก็หยุดไหลในที่สุด ยังไม่ทันที่ชิงหลวนจะถอนหายใจโล่งอก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ส่งผ้าขนหนูผืนหนึ่งให้แก่นางทันที ทั้งสองคนรีบพันแผลทั้งตัวของจางลี่อย่างรวดเร็ว
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เมิ่งเชี่ยนโยวดึงผ้าห่มที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาห่มให้จางลี่ แล้วร้องถามขึ้น “ยาที่ต้มได้ที่แล้วหรือยัง”
สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกประตูรับคำ และยกยาที่คลุ้งด้วยไอร้อนเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ในน้ำเสียงมีความดุดัน “เหตุใดจึงไม่ทำให้เย็นเสียหน่อย”
พวกสาวใช้เหล่านี้ล้วนเป็นสาวใช้ที่ตามรับใช้เมื่อหวังเยียนแต่งเข้าบ้านเป็นเวลาหลายปี แต่เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้ตำหนิพวกนางเลยสักครั้ง ในใจพลันรู้สึกหวาดหวั่น มือสั่นจนเกือบทำถาดที่วางถ้วยยาสองใบร่วงหล่นพื้น โชคดีที่จูหลีไหวตัวทันจึงยื่นมือเข้าไปช่วยประคองไว้อยู่ด้านล่าง
สาวใช้รู้ดีว่าตัวเองเกือบทำพลาดอย่างมหันต์ จึงตกใจจนใบหน้าซีดเซียว มือยิ่งสั่นระรัว
จูหลีจึงรับถาดนั้นมาเลย
“แล้วก็ไปหยิบชามสองใบและช้อนเล็กมา” เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งด้วยเสียงที่เย็นชา ราวกับไม่เห็นว่านางกำลังกลัว
สาวใช้เดินขาสั่นออกไปด้านนอก
คิ้วของเมิ่งเชี่ยนโยวขมวดแน่นขึ้น สั่งชิงหลวน “เจ้าไปซะ!”
ชิงหลวนรีบสาวเท้าออกไป ขาของสาวใช้กลับอ่อนระทวยจนเกือบจะล้มลงที่หน้าประตู สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ที่ประตูอีกคนหนึ่งพยุงนางออกไปด้วยความหวังดี
ชิงหลวนนำถ้วยชามและช้อนเล็กมาอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 176-2 เจ็บปวดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา แล้วยกชามยาเทใส่ชามที่นำมาในปริมาณครึ่งหนึ่ง แล้วหยิบช้อนเล็กขึ้น หันกายไปป้อนยาให้จูเสี่ยวก่อน แต่ฟันของเด็กน้อยปิดแน่น งัดอย่างไรก็งัดไม่ออก
คงไม่มีประโยชน์หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เมิ่งเชี่ยนโยวมองจูหลี จูหลีก็เข้าใจ จึงเอามือจับที่คางของจูเสี่ยวแล้วยกขึ้น ครั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจะป้อนยาเข้าไปภายในปากของจูเสี่ยวด้วยช้อนเล็ก จูหลีก็บีบให้ปากของเขาเปิดออกโดยทันที จนกระทั่งเห็นว่าเขากลืนลงไปแล้ว ถึงจะคลายมือออก
ทำเช่นนี้หลายครั้ง ยาครึ่งชามเล็กถึงจะป้อนได้หมด จูหลีจึงค่อยกดคางกลับลงไป
ทั้งกายของจูหลีถูกพันร่างจนคล้ายกับมัมมี่ เมิ่งเชี่ยนโยวเอนกายลง ยกช่วงศีรษะของนางขึ้นเบาๆ ส่งสัญญาณให้ชิงหลวนนำยาที่เหลือมาป้อนนาง อาจเพราะว่าลูก จางลี่ถึงได้พยายามยื้อลมหายใจไว้ เมื่อยาเข้าปาก ก็กลืนลงไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวและชิงหลวนต่างดีใจเป็นอย่างมาก ยาชามใหญ่ถูกป้อนหมดลงภายในระยะเวลาอันสั้น
เมื่อวางนางเรียบลง ก็ห่มผ้าให้อย่างมิดชิด และเช็ดคราบยาที่เลอะอยู่บนริมฝีปากของนาง ครานี้เมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะถอดหายใจออกมาด้วยความโล่งอกได้ คว้ามือของจางลี่ขึ้นมาเพื่อสัมผัสชีพจรที่ข้อมือนาง แม้ว่าชีพจรจะเต้นเพียงอ่อนๆ แต่ก็ยังรู้สึกได้ จึงวางมือของนางไว้บนผ้าห่ม และสั่งชิงหลวน “ไปบอกพี่ชายรองของข้า ให้ต้มน้ำแกงโสมเตรียมไว้”
ชิงหลวนรับคำและเดินออกไป ผ่านไปชั่วครู่ก็กลับมารายงาน “พี่ชายรองได้สั่งให้คนต้มไว้แล้ว และถามว่าจะให้ยกเข้ามาเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ “อุ่นเตรียมไว้ก่อน”
ชิงหลวนเดินออกไปอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันกายไปคว้าข้อมือของจูเสี่ยวเพื่อจับชีพจร แต่กลับหาเส้นชีพจรของเด็กน้อยไม่เจอ ในใจพลันตึงเครียด จึงปล่อยมือของเขาลง เม้มปาก แล้วถอดเสื้อนอกของตัวเองออก เอนกายลงข้างจูเสี่ยว จากนั้นก็สวมกอดร่างน้อยของเขาเข้ามาที่อ้อมอกของตัวเองอย่างระมัดระวัง ทำให้ศีรษะของเขาพิงอยู่ที่ตำแหน่งหัวใจของตัวเอง แล้วพาดศีรษะของตัวเองลงบนหัวของเขา กระซิบข้างหูเขาด้วยเสียงที่เบาและอ่อนโยน “เสี่ยวเอ๋อร์ ข้าคือกูกูโยวเอ๋อร์เอง กูกูเคยรับปากกับเจ้าว่า รอให้มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะรับเจ้าไปเที่ยวที่เมืองหลวง ตอนนี้กูกูกลับมารับเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับได้รับบาดเจ็บหนัก คงไปกับกูกูไม่ได้แล้ว กูกูเสียใจมาก เจ้ารับปากกูกูได้ไหม ว่าจะรีบหายดี…”
ขณะที่พันแผลเมื่อครู่ จูหลีก็ถือโอกาสตรวจสอบชีพจรบนข้อมือของจูเสี่ยว และพบว่าแทบจะสัมผัสไม่ได้เลย จึงรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่รอดแน่แล้ว
บัดนี้ เห็นการกระทำของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ไม่รู้ว่านางต้องการจะทำอะไร ได้แต่มองนางอย่างอึ้งๆ
ชิงหลวนเข้ามา เห็นท่าทางของนางก็ไม่เข้าใจเช่นกัน จึงยืนอึ้ง นิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนกับจูหลี
เมิ่งเชี่ยนโยวทำเช่นเดิมตลอด พูดที่ข้างหูของจูเสี่ยวไม่หยุด เมิ่งฉีและเซี่ยเจียงเฟิงที่รออยู่ด้านนอกอย่างร้อนใจก็ได้ยินเสียงเบาๆ ของนาง จึงมองหน้ากัน ในใจก็เกิดความรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี
เมิ่งฉีเม้มปาก เซี่ยเจียงเฟิงตัวสั่นเทา ทรงตัวยืนไม่ได้จนทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น พนักงานผู้ติดตามตกใจจนร้องออกมา “เถ้าแก่!” จากนั้นเข้ามาช่วยพยุงขึ้น เซี่ยเจียงเฟิงอ่อนปวกเปียกไปทั้งกายอย่างช่วยไม่ได้ จึงไม่มีแรงแม้แต่น้อย พนักงานออกสุดแรงก็ไม่อาจพยุงเขาขึ้นมาได้
เมิ่งฉีเข้ามาช่วย ทั้งสองคนออกแรงด้วยกัน ถึงพอจะพยุงเซี่ยเจียงเฟิงให้ลุกขึ้นยืนได้
เห็นสีหน้าที่ซีดเผือดและร่างกายที่สั่นเทิ้มของเขา เมิ่งฉีถามด้วยความเป็นห่วง “คุณชายเซี่ย ให้ข้าช่วยพยุงท่านไปนั่งในห้องสักครู่หนึ่งไหมขอรับ”
เซี่ยเจียงเฟิงส่ายหน้า พยายามฝืนตัวเองให้ยืนตรง “ขอบคุณคุณชายเมิ่ง ไม่เป็นไรขอรับ”
เมิ่งฉีรู้ว่าเขาเป็นห่วงจางลี่สองแม่ลูก จึงไม่ได้คาดคั้นเขา แล้วสั่งสาวใช้ “ไปยกเก้าอี้มาสองตัว!”
สาวใช้สองคนรับคำ แล้วไปยกเก้าอี้มาอย่างรวดเร็ว เมิ่งฉีนั่งเป็นเพื่อนเซี่ยเจียงเฟิงอยู่ภายในเรือนที่อากาศหนาวเหน็บ
ทว่า ภายในใจของเซี่ยเจียงเฟิงเย็นยะเยือกยิ่งกว่าลมหนาวนี้เสียอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงทำท่าเดิม ร่ำพูดไม่หยุด ถึงสิ่งที่พบเห็นในเมืองหลวง เรื่องน่าสนใจที่เจอในเมืองหลวง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตที่เขากับเส้าเอ๋อร์เล่นด้วยกัน พูดถึงจ้าวเอ๋อที่ซื้อหน้ากากไว้ให้เขา และพูดถึงที่นางได้รับปากเส้าเอ๋อร์ว่าจะพาเขาไปที่เมืองหลวงหลังจากตรุษจีน จากนั้นก็พูดอย่างช้าๆ ว่า “อีกไม่นานก็จะถึงวันตรุษจีนแล้ว ถ้าเสี่ยวเอ๋อร์ยังไม่ตื่นอีกล่ะก็ กูกูจะทิ้งเจ้าไว้ แล้วพาแต่พี่เส้าเอ๋อร์ไป…”
ครั้นเมิ่งเชี่ยนโยวพูดถึงตรงนี้ จูหลีตาไว เห็นว่ามือเล็กๆ ของจูเสี่ยวขยับเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่มีการเคลื่อนไหวแล้วจริงๆ พลันร้องตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจปนดีใจ “นายหญิง นิ้วของคุณชายน้อยขยับแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดพูดโดยพลัน รีบคว้ามือมาตรวจชีพจรของจูเสี่ยวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะอ่อนมาก แต่ในที่สุดก็สัมผัสถึงการเต้นของชีพจรได้ เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา ก้มศีรษะลงไปหอมแก้มเล็กๆ ของจูเสี่ยว และพูดทั้งที่มีน้ำตาชื้นอยู่เล็กน้อยบนนัยน์ตา “เสี่ยวเอ๋อร์ กูกูรู้ว่าเจ้ายอดเยี่ยมที่สุด กูกูสัญญาแล้ว รอให้แผลของเจ้าหายดีเมื่อไร กูกูจะพาเจ้าไปเมืองหลวงอย่างแน่นอน แล้วซื้อของเล่นสนุกๆ มากมายให้เจ้า พาเจ้าไปเที่ยวเล่นในที่สนุกๆ ทั่วเมืองหลวงเลย”
มือน้อยๆ ของจูเสี่ยวขยับอีกครั้ง ครานี้ไม่เพียงแต่ชิงหลวน แม้แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกได้ ขณะที่ถอนหายใจโล่งอก น้ำตาในตาก็ไหลรินออกมา ในครั้งนี้ตระกูลจูประสบกับความยากลำบากอย่างหนัก สาเหตุเกือบทั้งหมดนั้นมีความเกี่ยวข้องกับนาง ถ้าหากไม่อาจยื้อชีวิตของจูเสี่ยวกลับมาได้ จางลี่ต้องหมดความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นแน่ เช่นนั้นจูหลานและพ่อแม่ของเขา…หากตระกูลจูต้องบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะเหตุนี้ เช่นนั้น ชีวิตนี้ของนางจะไม่อาจสงบสุขได้อีกต่อไป ยังดี ยังดีนัก จูเสี่ยวฮึดสู้ เพียงแค่เขามีชีวิตอยู่ และโค่นล้มตระกูลเฉียวและผู้ว่าการเขตได้เมื่อไร ตระกูลจูถึงจะยืนหยัดขึ้นได้อีกครั้ง”
นึกถึงตระกูลเฉียว นัยน์ตาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ฉายไอสังหารขึ้นโดยฉับพลัน
ชิงหลวนและจูหลีมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกคาดเดาไม่ได้ คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่านายหญิงช่วยชีวิตเด็กคนนี้ได้อย่างไร
และยังคงทำท่าทางเช่นเดิมอีกครั้ง นอนกอดจูเสี่ยวอยู่บนเตียงร้อน จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจออกที่อ่อนแรง และไออุ่นๆ ที่พ่นออกมาปะทะเข้ากับหน้าอกของตัวเอง ถึงจะทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจโล่งอกได้อย่างแท้จริง จึงลุกขึ้น แล้วดันร่างเล็กๆ ของเขาย้ายไปที่ข้างกายของจางลี่เบาๆ พร้อมวางแขนของจางลี่ลงบนร่างเล็กๆ ของจูเสี่ยว ทำให้พวกเขาสองแม่ลูกได้รู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวห่มผ้านวมให้อย่างดี ลงจากเตียงร้อน เดินออกนอกประตู
ได้ยินเสียงร้องตกใจของจูหลี เซี่ยเจียงเฟิงและเมิ่งฉีลุกขึ้นยืนโดยพลัน นัยน์ตาส่องทะลุประกายแห่งความตกใจปนยินดี มองที่หน้าประตูตาไม่กระพริบ เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา ก็รีบเดินเข้าไปหาทันที
เซี่ยเจียงเฟิงถามอย่างอดรนทนไม่ไหว “สองแม่ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวถมึงทึง ริมฝีปากบึ้งตึง
ในใจของเซี่ยเจียงเฟิงก็ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง แสงแห่งความหวังในดวงตาค่อยๆ มลายหายไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง “สภาพไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าจะเป็นแผลที่บาดเจ็บนอกกายทั้งสิ้น แต่อาการสาหัสเกินไป จะฟื้นหรือไม่นั้น ข้าก็ไม่อาจมั่นใจได้”
ไม่มีการบาดเจ็บภายใน มีแต่เพียงบาดเจ็บภายนอก นั่นก็หมายความว่า หากเพียงแค่ได้รับการรักษาและฟื้นฟูเป็นอย่างดี ก็จะสามารถกลับมาแข็งแรงได้ เซี่ยเจียงเฟิงมองเห็นความหวังอีกครั้ง จึงพูดด้วยเสียงที่รีบร้อน “ใช้ยารักษาที่ดีที่สุด จำนวนเงินมากน้อยเท่าไรก็ไม่เกี่ยง เจ้าบอกมาได้เลย ข้าจะส่งคนไปซื้อบัดเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ “สองแม่ลูกในตอนนี้อยู่ในสภาวะที่ไร้สติ จางลี่ยังดีหน่อย ยังยืนหยัดลมหายใจได้อยู่ แต่เสี่ยวเอ๋อร์นั้น บอกได้ยาก เขายังเด็กมาก แล้วทั้งร่างก็เต็มไปด้วยแผลมากมาย หากตัวร้อนขึ้นมา ผลลัพธ์ต่อจากนี้ก็ไม่อาจจะคิดได้อีก”
“เช่นนั้นทำอย่างไรเล่า มีวิธีอันใดที่ป้องกันไม่ให้พวกเขาตัวร้อนหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะอีกครั้ง “ไม่มี ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงแค่รอ รอดูว่าพวกเขาจะตัวร้อน หรือว่าพวกเขาจะฟื้นขึ้นเท่านั้น”
ตอนที่ 177-1 ยามสอง
เซี่ยเจียงเฟิงล้มนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง
เมิ่งฉีก็ไม่พูดเช่นกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ตรงประตู เม้มปาก สีหน้าหม่นหมอง ผ่านไปชั่วครู่ถึงจะเอ่ยปากสั่งหลินเปียว “เรียกทหารองครักษ์ผู้นั้นเข้ามา ข้าจะถามเขาเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เหวินเปียวขานตอบแล้วเดินออกจากลานหน้าบ้านไป
“พี่รองไปนั่งรอที่ห้องรับแขกเถิด ปล่อยให้คุณชายเซี่ยนั่งรออยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ด้านในมีคนนอนอยู่สองคนแล้ว อย่าเพิ่มอีกคนเลย”
เชี่ยเจียงเฟิงโบกมืออย่างอ่อนแรง “ข้าไม่มีธุระอะไร ข้านั่งรออยู่ตรงนี้จนกว่าสองแม่ลูกจะฟื้น ก็พอใจแล้ว”
“แม่ลูกคู่นี้ถูกช่วยออกมาแล้ว แต่สถานการณ์ของจูหลานและพ่อแม่ของเขายังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร คงต้องไปถามให้แน่ชัดก่อน ไปที่ห้องรับแขกกันเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เซี่ยเจียงเฟิงจึงลุกขึ้นและเดินตามเมิ่งฉีออกจากเรือนไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับชิงหลวนกับจูหลีว่า “พวกเจ้าสองคนเฝ้าอย่าให้คาดสายตานะ หากพวกเขามีอาการผิดปกติ ให้รีบมารายงานข้าทันที”
ชิงหลวนและจูหลีรับคำ จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตามมาที่ห้องรับแขก
ทั้งสามคนนั่งลง โดยเมิ่งฉีสั่งให้คนชงชาขึ้นมา ทหารองครักษ์สามนายก็เดินเข้ามา แล้วตะโกนด้วยความเคารพ “นายหญิง คุณชายรอง คุณชายเซี่ย”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงพบเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น แล้วจูหลานกับพ่อแม่ของเขาล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อเนื่องกันหลายคำถาม
ทหารองครักษ์นายหนึ่งเอ่ยปากตอบ “พวกเราห้าคนได้รับคำสั่งจากท่านหัวหน้ากัว ครั้นเข้าเมืองแล้วให้แยกกันปฏิบัติหน้าที่ โดยพวกเราสามคนไปที่จวนของตระกูลจู ซึ่งมีคนเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูอยู่จำนวนไม่น้อย และไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าออก พวกเราทั้งสามจึงเดินอ้อมไปด้านหลัง ค้นหาพื้นที่ที่ไม่มีผู้คน แล้วจึงปีนกำแพงเข้าไป เสียเวลาไปไม่น้อยถึงจะหาคุณชายจูจนพบ คุณชายจูตอนนี้ปลอดภัยดี เพียงแต่ซูบผอมไปมาก เมื่อได้ยินว่าท่านส่งพวกข้ามา จึงรีบขอร้องให้พวกข้าไปช่วยภรรยาและลูกของเขา และบอกอีกว่าก่อนหน้านี้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกถูกขังไว้ที่เดียวกัน ทว่า ไม่รู้ว่าเมื่อวานเฉียวหมิ่นไปได้ยินข่าวอะไรมา จากนั้นก็ลากภรรยาและลูกแยกออกไปทารุณกรรม เขาถูกคนเฝ้าไว้ ตั้งใจจะหนีออกไปอยู่หลายหน แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงรู้สึกเป็นกังกลมาก ได้ฟังเพียงเท่านี้ พวกเราก็แยกกันออกไปค้นหา จนในที่สุดก็เจอแม่ลูกทั้งสองติดอยู่ในห้องเก็บฟืน เมื่อมองเห็นพวกเขาอิดโรยเหมือนกำลังจะตาย พวกเราทั้งสามคนจึงปรึกษากันแล้วรีบแอบช่วยสองแม่ลูกออกมาก่อน โดยไม่เหลือเวลาติดต่อคนอื่นเลย จึงกลับมาอย่างเร่งรีบ ระหว่างทางก็ได้พบกับท่านนี่แหละขอรับ”
หลังจากที่เขาพูดจบ สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหม่นหมองขึ้นกว่าเดิม หากเป็นเช่นนี้ เมื่อวานถึงจะลงมือทำร้ายพวกเขาสินะ นั่นหมายความว่า เฉียวหมิ่นได้ยินข่าวเรื่องนางกลับมาแล้ว ใจคิดอกุศล จึงลงมืออย่างไม่รีรอ
หลังจากเซี่ยเจียงเฟิงฟังจบก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จูหลานและพ่อแม่ปลอดภัยดี ก็ถือว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดี
ทว่า หลังจากเมิ่งฉีฟังจบกลับอดไม่ได้ที่จะด่าทอด้วยความโมโห “เฉียวหมิ่นผู้นี้ทำร้ายได้แม้กระทั่งเด็ก หากประหารนางด้วยพันมีดหมื่นแล่ ก็ไม่มากไปหรอก”
เมื่อเขาพูดจบ บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบ
เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ทหารองครักษ์นายหนึ่งมองไปที่เซี่ยเจียงเฟิง แล้วลองหยั่งเชิงโดยพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “นายท่าน ให้พวกเราไปจัดการเฉียวหมิ่นและช่วยเหลือคุณชายจูกับพ่อแม่ของเขาออกมาดีหรือไม่ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโจวส่ายหัวแล้วพูดอย่างใจเย็น “เฉียวหมิ่นมีตระกูลเฉียวคอยหนุนหลัง และตระกูลเฉียวก็มีผู้ว่าการเขตหนุนหลังอยู่ สถานะของพวกเราตอนนี้ หากจัดการเฉียวหมิ่น จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนมาก ในเมื่อเฉียวหมิ่นยังไม่ได้ลงมือทำร้ายจูหลานกับพ่อแม่ของเขา แสดงว่านางยังคิดถึงความทรงจำในอดีตอยู่ ฉะนั้น ทั้งสามคนจะยังไม่ตกอยู่ในอันตรายในชั่วครู่ชั่วยามนี้หรอก รอข่าวจากองครักษ์อีกชุดนึงก่อน พวกเราต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งการครั้งนี้ แล้วพวกเราค่อยลงมือ ก็ไม่สายเกินไปหรอกหนา”
เซี่ยเจียงเฟิงและเมิ่งฉีพยักหน้า
ทหารองครักษ์รับคำ แสดงความเคารพเสร็จก็เดินถอยออกไป
สาวใช้ยกน้ำชามาให้ เมิ่งเชี่ยนโจวจิบน้ำชาก่อนคำหนึ่ง เพื่อให้ความโกรธสงบลง
เซี่ยเจียงเฟิงยกถ้วยน้ำชาขึ้นด้วยมือที่สั่น แล้วจิบอยู่หลายคำ รู้สึกร่างกายที่เย็นยะเยือกกลับอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
“คุณชายเซี่ย…” เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงแสดงความเคารพของเหวินเปียวและทหารองครักษ์ดังมาจากนอกห้องรับแขก “คุณชายใหญ่และฮูหยินขอรับ”
“น้องเล็กและน้องชายรองอยู่ข้างในหรือไม่” เมิ่งเสียนถาม
“อยู่ขอรับ” เหวินเปียวขานตอบพลางเปิดม่านออก เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนเดินตามกันเข้ามา
เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสามแลดูเคร่งเครียด เมิ่งเสียนจึงเอ่ย “เมื่อกี้เหวินเปียวรีบกลับบ้านไปเอากล่องยา เลยไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนี้พ่อแม่เป็นห่วงกันมาก อยากมา แต่ข้ากลัวว่าพวกเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นจะกลัวไปกันใหญ่ จึงห้ามพวกเขาไว้ ข้าเลยมากับเชี่ยนเอ๋อร์สองคน ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ใครบาดเจ็บบ้าง”
“จางลี่กับเสี่ยวเอ๋อร์ร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส” เมิ่งฉีตอบสั้นๆ
วันว่างของจูหลานกับจางลี่ จะชอบพาเด็กๆ มาค้างคืนที่บ้านของตระกูลเมิ่งวันถึงสองวัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลนี้ค่อนข้างสนิทใกล้ชิดกัน เมื่อทราบข่าวว่าแม่ลูกคู่นี้ได้รับบาดเจ็บ ซุนเชี่ยนจึงถามด้วยความตกใจ “เพราะเรื่องของสามีหรือ”
ซุนเชี่ยนได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่รั่วหลานสั่งเสียไว้ก่อนหน้านี้ แต่เมิ่งเสียนไม่รู้เรื่องเลย เมื่อนางเอ่ยถามออกมา เมิ่งเสียนจึงหันหลังกลับมามองหน้านางด้วยความประหลาดใจ แล้วถามว่า “เชี่ยนเอ๋อร์ ตกลงคืออะไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับนางตั้งแต่แรกแล้วว่าห้ามบอกคนในตระกูลและเมิ่งเสียน เมื่อซุนเชี่ยนเอ่ยถามประโยคนี้ขึ้น ก็เสียใจทันทีและมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโหยวด้วยความขอโทษ โดยไม่รู้ว่าควรเล่าให้เมิ่งเสียนฟังดีหรือไม่
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่ควรปิดบังอีกต่อไป เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้เมิ่งเสียนกับซุนเชี่ยนนั่งลงแล้วเล่าเรื่องที่รั่วหลานกำชับอย่างละเอียด
ก่อนที่นางจะพูดจบ เมิงเสียนก็ลุกขึ้นยืนด้วยความหวาดกลัว เหงื่อออกตามศีรษะ แล้วพูดด้วยความโมโห “ตระกูลเฉียวบ้าเกินไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นความผิดของเฉียวหมิ่นเอง พวกเราใจดีถึงปล่อยนางไป แต่เหตุใดนางถึงเนรคุณเช่นนี้”
“ตระกูลเฉียวเพียงตระกูลเดียวไม่สามารถทำเรื่องใหญ่และคิดวางแผนโหดร้ายเช่นนี้ได้หรอก หากข้าเดาไม่ผิด แม้แต่ข้าราชการหมานั้นก็ถูกสั่งมาแน่ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเฉียวหมิ่นจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่เด็กก็ยังไม่เว้น” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี จะให้นั่งรอเช่นนี้ต่อไปคงไม่ไหวแน่ พรุ่งนี้เป็นวันครบกำหนดที่พวกเขาให้กับรั่วหลานแล้ว วันมะรืนก็ถึงวันแรกของเดือนแล้ว หากพวกมันรู้ว่ารั่วหลานไม่ได้ทำตามที่บอก จะหาวิธีโหดร้ายกว่าเดิมในการจัดการกับครอบครัวเราหรือไม่” เมิ่งเสียนรีบถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างมั่นใจ “ไม่หรอก รั่วหลานไม่ได้ทำอะไรผิดสังเกต บัดนี้ พวกเขาคงรอข่าวดีจากนางอยู่ ฉะนั้น ช่วงนี้ไม่มีการดำเนินการอื่นใดหรอก”
“ดีแล้ว หากเป็นเช่นนั้น เราควรทำอย่างไรต่อไปดี” เมิ่งเสียนถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วถามอีกครั้ง
“ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบภูมิหลังและรวบรวมหลักฐานที่ทำผิดกฎหมายของข้าราชการหมานั้นแล้ว ช้าสุดจะได้ข่าวในคืนวันพรุ่งนี้ จากนั้นเราค่อยมาหารือเรื่องแผนการรับมือกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
หลายคนต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพียงกัน
ซุนเชี่ยนถาม “ตอนนี้ฮูหยินจูกับลูกเป็นอย่างไรกันบ้าง ข้าไปเยี่ยมพวกเขาได้หรือไม่”
“พวกเขาอยู่ตรงลานบ้านที่พี่รองส่งคนมาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว หากซ้อใหญ่อยากจะไปเยี่ยม ก็ไปเถิด แต่ว่าอาการของสองแม่ลูกน่าสลดใจเล็กน้อย ซ้อใหญ่ต้องเตรียมใจไว้ล่วงหน้าด้วย มิเช่นนั้นอาจตกใจกลัวได้” เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับ
ซุนเชี่ยนพยักหน้า แล้วหันหลังเดินออกจากห้องรับแขก เพื่อไปพบกับจางลี่และลูกของนางตรงลานบ้านที่ทั้งสองพักรักษาตัวอยู่
จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะพูดกับเซี่ยเจียงเฟิง “คุณชายเซี่ย จางลี่กับเสี่ยวเอ๋อร์คงต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะฟื้น เวลาไม่เช้าแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด ไว้รอสองแม่ลูกฟื้นแล้ว ข้าจะรีบส่งคนไปบอก”
เซี่ยเจียงเฟิงส่ายหัว “แม่ลูกสองคนนั้นไม่ฟื้น ข้ากลับไปก็ไม่สบายใจอยู่ดี สู้อยู่ที่นี่ต่อไป รอจนกว่าพวกเขาจะฟื้นยังจะดีเสียกว่า” พูดจบ ก็หันไปพูดกับเมิ่งฉีต่อ “หวังว่าข้าจะไม่รบกวนคุณชายเมิ่งจนเกินไปนะ”
เพราะอยู่ในเรือนของเมิ่งฉี เซี่ยเจียงเฟิงจึงพูดออกไปเช่นนั้น
เมิ่งฉีอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งก่อนหน้านี้เป็นของเมิ่งจงจวี่และภรรยา จากนั้นได้สร้างเป็นจวนที่มีลานกว้างในภายหลัง จวนนี้มีขนาดกว้างใหญ่มาก จะพักอาศัยเพิ่มอีกหลายคนก็มิใช่ปัญหา เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเจียงเฟิงแล้ว จึงรีบเอ่ยปากพูดทันที “ไม่รบกวน คุณชายเซี่ยพักได้ตามสบายเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความรู้สึกของเซี่ยเจียงเฟิงในตอนนี้ดี รู้ว่าหากเขากลับบ้านไปก็ต้องกังวลใจอยู่ดี จึงมิได้ห้ามปราม และกล่าวไปว่า “หากเป็นเช่นนี้ เจ้าส่งคนไปบอกที่บ้านเถิด เมื่อเห็นว่าเจ้ายังไม่กลับบ้านพวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
เซี่ยเจียงเฟิงเป็นห่วงแต่ความปลอดภัยของจางลี่สองแม่ลูกเท่านั้น จึงคิดไม่ถึงว่าต้องส่งคนไปแจ้งข่าวที่บ้านด้วย เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็พยักหน้า “อีกสักครู่ข้าจะสั่งคนกลับไป”
ทุกสิ่งที่ควรรู้ก็กระจ่างมากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เป็นห่วงจางลี่แม่ลูกเช่นกัน นางลุกขึ้นและพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งฉี “พี่ชายใหญ่ เรื่องวันนี้มีเพียงพวกเราไม่กี่คนและซ้อใหญ่รู้เท่านั้น ห้ามให้พ่อแม่และปู่ย่ารู้เป็นอันขาด พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลไปด้วย”
เมิ่งเสียและเมิ่งฉีตอบอย่างพร้อมเพียงกัน “เข้าใจแล้ว”
“พวกเจ้านั่งลงก่อน ข้าไปดูลี่เอ๋อร์กับเสี่ยวเอ๋อร์ก่อน หากพวกเขาตื่นแล้ว ข้าจะส่งคนมาแจ้งให้พวกเจ้าทราบ” หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกจากห้องรับแขกไป
ตอนที่ 177-2 ยามสอง
เมิ่งฉีและเซี่ยเจียงเฟิงเห็นสภาพที่น่าสงสารน่าเวทนาของจางลี่แล้ว พวกเขาก็รู้ว่าขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวรักษานางนั้นคงต้องถอดเสื้อผ้าของนางออกอย่างแน่นอน พวกเขาที่เป็นผู้ชายทั้งแท่งเช่นนั้นจึงไม่สะดวกที่จะเข้ามาด้วย จึงไม่ได้ขยับตัว เมื่อเมิ่งเสียนไม่เห็นว่าทั้งสองคนขยับตัว เลยเดาออกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่สะดวกเกิดขึ้นแน่ เขาจึงไม่ขยับตัวด้วย ทั้งสามคนนั่งเงียบๆ อยู่ภายในห้อง
ทันทีที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปลานบ้านเพื่อรักษาอาการของจางลี่สองแม่ลูก ก็ได้ยินเสียงสะอื้นของซุนเชี่ยน จึงเดินเร็วขึ้นสองถึงสามก้าว ครั้นถึงภายในห้อง ก็เห็นซุนเชี่ยนยืนอยู่ข้างๆ เตียงร้อน กำลังมองดูจางลี่สองแม่ลูกที่ถูกพันทั่วร่างกายด้วยผ้าพันแผล แล้วน้ำตาเม็ดใหญ่ก็ไหลหล่นลงมา
เมื่อได้ยินเสียงของนาง ซุนเชี่ยนเงยหน้าขึ้น เบิกตาที่บวมแดงเล็กน้อย แล้วตะโกนว่า “น้องหญิงเล็ก!”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก เดินไปข้างๆ นาง แล้วโอบไหล่ของนาง
น้ำตาของซุนเชี่ยนไหลพรากไม่หยุดและร้องไห้หนักมาก “ข้าคิดไม่ถึงว่าแม่ลูกคู่นี้จะบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้” รุนแรงขนาดที่นางก้าวเข้าประตูมา ทันที่ที่เห็นสภาพของแม่ลูกคู่นี้ นางก็หน้ามืดจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดอะไร แต่เสียงของซุนเชี่ยนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง จึงกล่าว “เฉียวหมิ่นที่พวกเจ้าพูดถึง นางบ้าไปแล้วหรือ ลงมือโหดเ**้ยมเช่นนี้ ไม่กลัวเทวดาฟ้าดินลงโทษหรือถูกฟ้าผ่าหรือไง”
แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอเฉียวหมิ่นมานานถึงสี่ห้าปี แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่าจิตใจของนางบิดเบือนและเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าของนางถูกทำลายและถูกส่งตัวไปรับโทษที่สถานีส่งสาร ขณะเดียวกัน จูหลานกลับแต่งงานกับหญิงอื่นและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นางจะทนกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน จางลี่แม่ลูกจึงเปรียบเสมือนหนามยอกอกในสายตาของนาง หนึ่งเดือนมานี้ สาเหตุที่ยังไม่จัดการสองแม่ลูกนี้ อาจเป็นเพราะว่าภายในใจของนางยังวาดฝันว่าจูหลานจะถอดทิ้งจางลี่ แล้วมาแต่งงานกับตนและยกย่องตนเป็นภรรยาเอก ไม่มีใครรู้เลยว่านางกลับมาแล้ว ข่าวนี้ทำร้ายความรู้สึกของนางโดยตรง ทำให้นางชำระแค้นที่จางลี่สองแม่ลูก คนเช่นนี้เข้าสู่ความบ้าคลั่งขั้นสุดและตกอยู่ในสภาพเป็นบ้าเสียสติไปแล้ว ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป หลงเหลือไว้เพียงความเกลียดชังเท่านั้น
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตอบกลับนางด้วยน้ำเสียงที่ซ่อนจิตสังหารไว้ไม่อยู่ “ให้ฟ้าผ่าตายคงง่ายไปสำหรับนาง คนอย่างนางต้องทนทุกข์ทรมารร้อยแปดพันเก้า ถูกทรมารทุกวิถีทางถึงจะสาสม”
เมิ่งเชี่ยนโยวมักจะยิ้มอย่างเฉยเมย น้อยมากที่จะพูดเช่นนี้ ทำให้ชิงหลวนและจูหลีตกใจกับน้ำเสียงที่เย็นชาของนาง ทั้งสองต่างตัวสั่น ซุนเชี่ยนก็ตื่นตระหนกตกใจจนลืมร้องไห้ไปเลย อ้าปากค้างและเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างตะลึงงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิกเฉยต่อปฏิกิริยาของพวกเขาทั้งสาม ปล่อยให้ซุนเชี่ยนยืนอยู่ตรงหน้าของจางลี่สองแม่ลูกที่กำลังหายใจอ่อนแรง นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายอาฆาตอย่างเต็มเปี่ยม นางบ่นพึมพำและเป็นการรับประกันว่า “ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับสองแม่ลูก ข้าจะฝังกลบพวกเขาทุกคนเพื่อล้างแค้นกับพวกเจ้า”
ชิงหลวนและจูหลี่ต่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของนาง แต่ซุนเชี่ยนกลับมองนางอย่างประหลาดใจนัก
ภายในห้องเงียบสนิท
ซุนเชี่ยนใช้เวลาสักพักหนึ่งถึงจะได้สติกลับคืนมา แล้วเช็ดน้ำตาและพูดว่า “น้องหญิงเล็ก จะให้ข้าช่วยเจ้าอย่างไรได้บ้าง”
“เจ้าและพี่ชายใหญ่กลับบ้านไปก่อนเถิด กลับไปปลอบประโลมพ่อแม่ก่อน อย่าให้พวกท่านต้องเป็นกังวล หากพวกเขาไม่สบายใจ อยากมาดูอาการ ก็ให้บอกไปว่าแม่ลูกคู่นี้ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส ยังไม่สะดวกที่จะให้คนเข้าเยี่ยม ไว้ค่อยให้พวกเขามาในภายหลัง”
ซุนเชี่ยนพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะกลับไปพร้อมกับพี่ชายใหญ่ทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับอีกครั้ง “ในฝั่งของรั่วหลานมีสาวใช้เพียงสองคนคงไม่พอ หลังจากที่พวกเจ้ากลับถึงบ้านแล้ว ให้พี่ชายใหญ่หาองครักษ์สักสองคนมาเฝ้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้น”
“อืม ได้” ซุนเชี่ยนตอบ พร้อมกับปาดน้ำตา แล้วเดินไปที่อ่างล้างหน้าเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สะอาด ไม่ให้ดวงตาของนางแดงก่ำไปมากกว่านี้ จากนั้นมองไปที่จางลี่สองแม่ลูกซึ่งนอนอยู่บนเตียงร้อน แล้วก็หันหลังเดินจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวถอดรองเท้า นั่งลงข้างๆ จางลี่สองแม่ลูก โดยไม่สนใจคลาบเลือดที่อยู่บนเตียง นางเอื้อมมือไปจับแขนของจางลี่ก่อน เพื่อจับชีพจรอย่างละเอียด รู้สึกว่าชีพจรที่เต้นแรงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้นางใจชื้นขึ้นมาบ้าง จึงหันไปสั่งชิงหลวน “ไปเอาซุปโสมที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามา”
ชิงหลวนหันหลังออกไป แล้วรีบยกชามที่ใส่ซุปโสมไว้เข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงอยู่ที่เดิม และกำลังยกศีรษะของจางลี่ขึ้น และใช้สายตาส่งสัญญาณให้จูหลีช่วยป้อนซุปโสมให้แก่นาง
ไม่รู้ว่ารู้สึกถึงลมหายใจของจูเสี่ยว หรืออยากตื่นให้เร็วขึ้นกันแน่ จางลี่ที่หมดสติอยู่กลับให้ความร่วมมือโดยดื่มซุปโสมทั้งชามจนหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจมาก วางนางลง แล้วเช็ดมุมปากของนาง จากนั้นจับมือของนางวางลงบนอกของจูเสี่ยวอีกครั้ง พร้อมกับกระซิบ “ลี่เอ๋อร์ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเสี่ยวเอ๋อร์ยู่เคียงข้างเจ้าตลอด เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องการการดูแลจากเจ้า เจ้าต้องสู้นะ เข้มแข็งไว้ แล้วรีบตื่นขึ้นมาดูแลนาง”
เมื่อใช้ไม้นั้นกับจูเสี่ยวแล้ว ทำให้ชิงหลวนและจูหลีสงบสติอารมณ์ได้มาก ไม่แสดงสีหน้าตกใจอีกต่อไป และมองหน้านางอย่างมีความหวัง หวังว่าจะเกิดปาฎิหาริย์เช่นนั้นอีกสักครั้ง
ทว่า กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว จางลี่ไม่เพียงไม่ฟื้น ใบหน้าของนางกลับเริ่มแดงก่ำขึ้น หายใจก็เร็วขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจมาก นางนั่งลงทันทีและรีบสั่ง “รีบไปเอายาที่ลดไข้มาเร็ว”
ชิงหลวนและจูหลีคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ชิงหลวนรีบวิ่งออกไปด้วยความตื่นตระหนก แล้วยกชามที่ใส่ยาลดไข้เข้ามา ทั้งสามคนรีบป้อนยาให้นางดื่ม ไม่มีใครคาดคิดว่าความร้อนภายในร่างกายของจางลี่ไม่เพียงแต่ไม่ลดลง สีหน้ากลับแดงก่ำยิ่งขึ้น หายใจก็เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
ร่างกายของจางลี่ถูกพันด้วยผ้าพันแผล จึงไม่สามารถเช็ดตัวนางเพื่อทำให้ร่างกายเย็นลงได้ วิธีเดียวที่ทำได้คือ เอาผ้าขนหนูชุบน้ำให้เปียกแล้วนำมาวางไว้บนหน้าผากของนางเพียงเท่านั้น
เมื่อคิดถึงวิธีนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะโกนขึ้นทันที “ผ้าเปียก!”
ชิงหลวนรีบเอาผ้าขนหนูเปียกพับแล้ววางบนหน้าผากของจางลี่
จูหลี่ก็ไม่ได้อยู่เฉย รีบไปรองน้ำเย็นเข้ามาอีกหนึ่งกะละมัง
และไม่รู้ว่าทำเช่นนี้วนซ้ำไปแล้วกี่รอบ แต่ไข้ของจางลี่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ขณะเดียวกัน จางเสี่ยวที่นอนยู่ข้างๆ กลับส่งเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดและแผ่วเบา เวลานี้เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกช็อคมิน้อย นางหันกลับไปมอง สีหน้าของจูเสี่ยวก็เริ่มแดงก่ำ เดิมที่หายใจอ่อนแรง แต่ตอนนี้กลับหายใจเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
ชิงหลานและจูหลีก็เห็นสภาพของจูเสี่ยวเช่นกัน ไม่ต้องให้เมิ่งเชี่ยนพูด ก็รู้ว่าเขากำลังไข้ขึ้น ขณะนั้นหัวใจของพวกเขาทั้งสองกระตุกหนึ่งที
บนหน้าผากของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ปรากฏเม็ดเหงื่อเช่นเดียวกัน นางรีบพูดอย่างเป็นกังวล “ยา!”
ชิงหลวนก็ตื่นตระหนกตกใจและรีบวิ่งออกไป แล้วรีบนำชามใบเล็กเข้ามา ยังคงใช้วิธีเดิม เมิ่งเชี่ยนโยวและจูหลีช่วยป้อนยาให้กับจูเสี่ยว ไม่รู้ว่าเพราะรู้สึกไม่สบายจนทนไม่ไหว หรือเป็นเพราะเมิ่งเชี่ยนโยวป้อนยาเร็วเกินไปกันแน่ ป้อนยาเสร็จ ถ้วยยายังอยู่ในมือของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ได้วางลง ยาที่ป้อนจูเสี่ยวก็ไหลออกมาตามมุมปากทั้งหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจขึ้นทันที และหยิบมุมเสื้อของนางขึ้นมาเช็ดที่มุมปากของจูเสี่ยว โดยลืมไปว่ามีผ้าขนหนูอยู่ข้างๆ เสียงของนางสั่นเครือ “เสี่ยวเอ๋อร์ แข็งใจไว้ แม่เจ้าอยู่ข้างๆ หากเจ้าเป็นอะไรไป นางคงไม่อยากไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
ตอนที่ 178 การช่วยชีวิตที่ยากเย็น
จูเสี่ยวปิดตาแน่น ไม่ได้ยินคำพูดอะไรของนางเลย มุมปากก็ยังคงมียาไหลออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวตาแดง และเช็ดให้เขาไม่หยุด ยาที่ดื่มไปแทบจะไหลออกมาจนหมด จนปากของจูเสี่ยวไม่มีอะไรให้ไหลออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยเขาเช็ดจนสะอาด กัดฟัน พูดสั่งว่า “ไปตักยามาอีกหนึ่งถ้วย”
ชิงหลวนและจูหลีสบตากัน จูหลีพยักหน้า ชิงหลวนรีบเดินออกไป ไม่นานก็ยกถ้วยยามาหนึ่งถ้วย
รอบนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนวิธีใหม่ ป้อนจูเสี่ยวหนึ่งคำแล้วมองเขากลืนลงไป ถึงจะค่อยๆ ป้อนอีกหนึ่งคำ หลังจากหมดไปหนึ่งถ้วยเล็กๆ แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงขั้นเหงือออกเต็มไปหมด แต่รอบนี้มุมปากของจูเสี่ยวไม่มียาไหลออกมา
โล่งใจไปเล็กน้อย ยื่นถ้วยยาให้ชิงหลวน มองดูสองแม่ลูกตรงหน้าที่หน้าแดง หายใจแรงเหมือนกัน เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหัวเข้าใกล้จางลี่ กัดฟันพูดขู่อยู่ข้างๆ หูของนาง “จางลี่ ข้าบอกเจ้า ตอนนี้ลูกชายของเจ้าใกล้ตายแล้ว ถ้าหากเจ้ายังไม่ลุกขึ้นมาดูแล ต่อไปเจ้าจะไม่เห็นหน้าเขาไปอีกตลอดชีวิต”
ชิงหลวนและจูหลีตกใจ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเหมือนซาตานและกล่าวต่อไปว่า “ก็ได้ หากเจ้าไม่สงสารลูกของเจ้าจริงๆ ข้าจะไปสงสารเขาทำไม ข้าบอกเจ้าว่าตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าจะไม่สนใจแล้ว เจ้าสองแม่ลูกอยากตายก็ตาย อยากอยู่ก็อยู่ ไม่มีผลอะไรกับข้า” พูดจบ ก็ทำท่าทางให้เข้ากับที่นางพูด เดินถอยหลัง ถอยห่างจากสองแม่ลูกเล็กน้อย
แต่ชิงหลวนและจูหลีที่ตาไวได้สังเกตเห็นพร้อมกันว่า แม้หน้าตาของจางหลี่จะยังคงแดงอยู่ แต่ลมหายใจที่แรงของนางเริ่มช้าลงเรื่อยๆ ทั้งสองต่างดีใจ เงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมกัน แสดงใบหน้าที่เลื่อมใสศรัทธาออกมา
แน่นอนว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนกัน ใจที่กังวลเริ่มคลายลงสักที ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา แล้วกลับอยู่ข้างจางลี่ จับมืออีกข้างของนางที่ไม่ได้วางไว้บนตัวจูเสี่ยว กล่าวว่า “ลี่เอ๋อร์ อดทนไว้ เสี่ยวเอ๋อร์รอเจ้าไปดูแลอยู่ จูหลานรอเจ้ากลับไปอยู่ ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้ารอเจ้ากลับไปดูแลพวกท่านอยู่ เจ้ายังมีหน้าที่อีกเยอะ เจ้าจะปล่อยมือไปแบบนี้ไม่ได้ พี่โยวเอ๋อร์รับปากกับเจ้า หากเจ้าอดทนผ่านด่านนี้ไปได้ ข้าจะทำให้เฉียวหมิ่นตายโดยไม่มีแม้แต่ที่ฝังศพแน่นอน ให้เจ้าได้ปลดปล่อยความแค้นในใจของเจ้า
พูดถึงเฉียวหมิ่น จางหลี่ก็มีสีหน้าของความเจ็บปวดออกมา ค่อยๆ ขยับตัว เหมือนเป็นเพราะความรีบร้อน หรืออาจเป็นผลจากยาลดไข้ที่ดื่มลงไป หน้าผากเริ่มมีเหงื่อออกมา
จูหลีรีบหยิบผ้าสะอาดที่วางอยู่ข้างๆ ช่วยนางเช็คเหงื่อแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอกเล็กน้อย ความตึงเครียดได้เบาลงเล็กน้อย
น่าจะเป็นเพราะความผูกพันของแม่ลูกจริงๆ ไม่เพียงแต่เหงื่อบนตัวของจางหลี่ที่ยิ่งไหลออกมา แม้แต่ใบหน้าเล็กๆ ของจูเสี่ยวก็เริ่มมีเหงื่อออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าด้วยตัวเอง เช็ดให้เขา ให้กำลังใจเขา “เสี่่ยวเอ๋อร์ ดีมาก ใช่ อดทนอย่างนี้ต่อไป”
ทุกคนยุ่งวุ่นวายในห้อง สาวใช้ทั้งหลายที่อยู่นอกห้องกลับมองสบตากัน ไม่รู้ว่าในห้องเกิดอะไรขึ้น สาวใช้หนึ่งในนั้นกล่าวถามออกมาอย่างกล้าหาญ “แม่นาง ต้องการให้พวกเราช่วยอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวเสียงเรียบๆ ออกมาจากข้างในว่า “ต้มยาลดไข้เพิ่มอีก ทุกสองชั่วโมงยกเข้ามาหนึ่งรอบ ยังมีซุปโสม ต้มเพิ่มอีก บอกพวกคุณชายรองอาการของสองแม่ลูกดีขึ้นแล้ว บอกพวกเขาอย่าได้กังวล”
สาวใช้รับคำสั่ง ไปรายงานเมิ่งฉีและเซี่ยเจียงเฟิง
เมิ่งเชี่ยนโยวไปแล้วประมาณสองชั่วโมงกว่า ก็ยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งมา ทั้งสองร้อนรนใจเป็นอย่างมาก ฟังคำรายงานของสาวใช้แล้ว ก็วางใจลง เมิ่งฉีลุกขึ้น กล่าวว่า “คุณชายเซี่ย ท่านนั่งพักก่อน ข้าไปสั่งงานเสร็จแล้วจะมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
เซี่ยเจียงเฟิงโบกมือ “คุณชายเมิ่งไปทำธุระของท่านเถิด ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า วันนี้ข้ารบกวนพวกเจ้ามากพอแล้ว”
เมิ่งฉีรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องที่พาคนงานมาพัก ยิ้มให้เขา กล่าวว่า “เราเป็นเพื่อนเก่าแก่กันมากี่ปีแล้ว คุณชายพูดแบบนี้ก็เกรงใจเกินไป”
สั่งให้สาวใช้เปลี่ยนน้ำชาใหม่ให้เซี่ยเจียงเฟิง เมิ่งฉีกลับไปที่ห้องตัวเอง ในจวนเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ หวังเยียนต้องรู้เป็นคนแรกแน่นอน แต่เมื่อครู่ตอนที่เมิ่งฉีเข้ามาหยิบโสม ได้สั่งให้นางดูแลลูกดีๆ อย่าออกนอกห้อง รอเขาเสร็จธุระกลับมาแล้วจะเล่าให้นางฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
หวังเยียนเชื่อฟัง ไม่ได้ออกไปไหน แต่ว่ารอเกือบครึ่งวันแล้วเมิ่งฉีก็ยังไม่กลับมา กำลังจะให้สาวใช้คนสนิทของตัวเองไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเมิ่งฉีเดินเข้าห้องมา รีบกล่าวถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมิ่งฉีเห็นว่าเซิ่งเอ๋อร์หลับแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมา นำเรื่องตั้งแต่เแรกริ่มเล่าให้นางฟังอย่างละเอียด
หวังเยียนและจางหลี่สองแม่ลูกก็คุ้นเคยกันดี เป็นคนตรงไปตรงมา นิสัยเข้ากันได้ ฟังจบ ดึงกระโปรงขึ้นแล้วเดินออกไป “ข้าจะไปดูสักหน่อย”
เมิ่งฉียื่นมือขวางนางไว้ “อย่าไปเลย ตอนนี้พวกเขาสองแม่ลูกยังสลบไม่ฟื้นเลย น้องเล็กกำลังหาทางช่วยพวกเขาอยู่ เจ้าอย่าเพิ่งไปเลย รอพวกเขาสองแม่ลูกฟื้นขึ้นมาก่อนเจ้าค่อยไปช่วย”
หวังเยียนเชื่อฟังเลยหยุดเดิน รีบกล่าวถามว่า “เมื่อไหร่พวกเขาสองแม่ลูกจะฟื้นขึ้นมา”
เมิ่งฉีส่ายหัวไปมา “พูดยาก ข้าเห็นสีหน้าของน้องสาวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คิดว่าไม่น่าจะฟื้นขึ้นมาเร็วๆ นี้ เจ้ารออย่างวางใจเถิด ดูแลเซิ่งเอ๋อร์ คุณชายเซี่ยก็เป็นห่วงพวกเขาสองแม่ลูก วันนี้ไม่ไปแล้ว ข้ายังต้องไปเตรียมที่พักให้พวกเขา”
หวังเยียนพยักหน้า เอากล่องเล็กๆ สามกล่องออกมาจากกล่องใหญ่ เอาให้เขาทั้งหมด “ยังเหลือตรงนี้อีกไม่กี่กล่อง เจ้าเอาไปหมดเลย ต้มเยอะๆ ให้พวกเขาสองแม่ลูกดื่ม”
เมิ่งฉีรับมา แล้วก็กำชับนางอีกหลายคำ แล้วอุ้มกล่องออกไปที่ห้องครัว หยิบออกมากล่องหนนึ่ง ให้สาวใช้ สั่งนางให้ต้มซุปโสมมา
ยุ่งอยู่สิบห้านาที ใบหน้าของจางหลี่สองแม่ลูก เหงื่อที่ไหลออกเพราะความอ่อนเพลียของร่างกายถึงเริ่มลดน้อยลง สีหน้าเริ่มกลับมาเป็นปกติ เมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งสามถอนหายใจใหญ่ๆ หนึ่งรอบ ชิงหลวนหยิบผ้ามาผืนหนึ่ง ยื่นให้เมิ่งเชี่ยนโยวที่เหงื่อออกเต็มหัว “นายหญิง เช็ดเหงื่อพักผ่อนสักครู่เถิดเจ้าค่ะ”
เมิ่วเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน ถอดเสื้อคลุมที่มีแต่รอยเปื้อนเลือดและยาน้ำติดอยู่ออก แล้วรับผ้ามา เช็ดเหงื่อที่ออกมาจากหน้าผาก ตรัสสั่งจูหลี “เจ้ากลับจวนไปเอาเสื้อคลุมมาให้ข้าตัวหนึ่ง”
จูหลีรับคำสั่ง เดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยววางผ้าบนมือลง จับมือของจูเสี่ยวมา จับชีพจรของเขา รู้สึกว่าเส้นชีพจรดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้ ค่อยโล่งอกเล็กน้อย จับมือของเขาวางเข้าไปในผ้าห่ม
เงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าข้างนอกมืดลงแล้ว สั่งชิงหลวน “เจ้าออกไปฟังดูสิ องครักษ์ลับส่งข่าวคราวกลับมาบ้างหรือไม่”
ชิงหลวนก็เดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนนั่งอยู่บนเตียงร้อนอย่างเงียบๆ มองดูสองแม่ลูกที่สลบ ใจที่ยังกังวลอยู่ไม่ได้ลดลงเลย สองแม่ลูกโดนรุมทำร้ายเมื่อวาน ถึงวันนี้เวลานี้รวมแล้วเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ถ้าหากพรุ่งนี้ในเวลานี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีกก็อาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกตลอดชีวิต
ถ้าหากจูหลานถูกช่วยออกมาแล้วได้ยินข่าวนี้ ไม่รู้ว่าจะผ่านไปได้หรือไม่ คิดถึงตรงนี้ ส่ายหัวไปมา ให้ตื่นจากความคิด สงบใจลง ไม่มีทาง เรื่องอย่างนี้ตนจะไม่ให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
ชิงหลวนเดินเข้ามา เห็นตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยว้ส่ายหัวพอดี ในใจนึกสงสัย แต่ก็รายงานด้วยความเคารพว่า “นายหญิง ข้าถามแล้ว ไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งมาเจ้าค่ะ”
ท้องฟ้ามืดลงแล้ว เมิ่งฉีสั่งคนให้จัดเตรียมอาหาร สั่งคนไปเชิญเมิ่งเชี่ยนโยวให้มารับประทานอาหารที่ห้องอาหาร
เมิ่งเชี่ยนโยวให้คนยกเข้ามาเลย หลังจากกินไปหนึ่งคำแล้ว ก็เฝ้าดูจางหลี่สองแม่ลูกไม่ห่าง
ด้านเซี่ยเจียงเฟิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่กินแม้แต่คำเดียว แค่ดื่มซุปไปไม่กี่คำ ก็กลับไปนั่งรอฟังข่าวที่ห้องรับแขกต่อไป
ทุกคนต่างรอคอยด้วยความกังวลใจ
ท้องฟ้ายิ่งมืดลง เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวนให้ไปบอกเมิ่งฉี บอกทุกคนให้ไปพักผ่อน ไม่ต้องอยู่รอแบบนี้ เซี่ยเจียงเฟิงอดทนรอไม่ได้ต่อไป เดินตามหลังเมิ่งฉีไปห้องที่จัดเตรียมไว้ให้ หลังจากกล่าวขอบคุณกันเสร็จแล้ว ก็นอนลงไปบนเตียงพร้อมเสื้อผ้าทันที แต่ก็ไม่มีความรู้สึกง่วงแม้แต่น้อย
จัดแจงทุกคนเสร็จหมดแล้ว เมิ่งฉีกลับไปที่ห้องของตัวเอง หลังจากเมิ่งเยียนกล่อมลูกหลับแล้ว นั่งรอเขาอยู่ที่เก้าอี้ในห้อง
เมิ่งฉีเดินเข้ามา เห็นนางอ้าปาก ก็รู้ทันทีว่านางจะถามอะไร ส่ายหัวไปมากับนางก่อน
หวังเยียนแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา อยากจะถามอะไรอีก สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยถามออกมา กลืนมันลงไปเหมือนเดิม
เมิ่งฉีถอนหายใจออกมา “นอนเถิด พักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้จะได้ไปเปลี่ยนกับน้องสาว”
หวังเยียนพยักหน้า สองสามีภรรยาก็นอนลงไป แต่ก็ไม่มีความรู้สึกง่วงเหมือนกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวให้สาวใช้ ชิงหลวนและจูหลีที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสลับกันไปพักผ่อน
ชิงหลวนเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว กล่าวว่า “นายหญิง ข้ากับจูหลีจะเฝ้าดูฮูหยินจูและคุณชายจูไว้ ท่านไปพักผ่อนสักครู่เถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมา “อาการของสองแม่ลูกยังไม่คงที่ ข้าเฝ้าเองจะวางใจกว่า ชิงหลวนพยักหน้า กล่าวว่า “จูหลี เจ้าไปพักก่อนเถิด อีกสี่ชั่วโมงลุกขึ้นมาเปลี่ยนกับข้า”
จูหลีก็ไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้าแล้วเดินออกไป
ในห้องก็เหลือเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวและชิงหลวนสองคนที่เฝ้าจางหลี่สองแม่ลูก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่วางใจแตะหน้าผากของพวกเขาไปมา รู้สึกเย็นๆ ไม่ร้อน ถึงเริ่มวางใจลงเล็กน้อย
“นายหญิง ท่านหลับสักครู่เถิด มีเรื่องอะไรข้าจะเรียกท่าน” ชิงหลวนกล่าว
ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนพวกเขาสองแม่ลูกถึงจะฟื้นขึ้นมา ตัวเองรอต่อไปแบบนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ขยับถอยพิงตู้วางของด้านหลัง หลับตาลง
ชิงหลวนหยิบผ้าห่มข้างๆ มาห่มบนตัวนางให้อย่างห่วงใย หลังจากนั้นค่อยๆ ยกเก้าอี้มาหนึ่งตัววางไว้ข้างเตียงร้อน นั่งรอจางหลี่สองแม่ลูกอย่างไม่ละสายตา
สี่ชั่วโมงผ่านไป จูหลีเข้ามาเปลี่ยนอย่างตรงเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลืมตาขึ้นม ตรัสสั่งสาวใช้ที่เฝ้ารอบดึกยกยาลดไข้เข้ามา ค่อยๆ ป้อนสองแม่ลูกให้ดื่มลงไป ชิงหลวนถึงกลับไปพักผ่อน เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มอีกครั้ง หลับตาลง ในขณะเหมือนฝันเหมือนตื่นนั้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ของจางลี่ “น้ำ…น้ำ…น้ำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบลืมตาขึ้นมาทันที มือที่เร็วกว่าสติรีบแตะลงบนหน้าผากของนาง รู้สึกได้ว่าตัวนางไม่ร้อน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจก็แสดงออกมาทันที รีบกล่าวด้วยเสียงต่ำๆ ว่า “ลี่เอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้วใช่หรือไม่ รีบลืมตาขึ้นมามองข้า ข้าคือพี่โยวเอ๋อร์”
เปลือกตาของจางหลี่ขยับไม่หยุด เหมือนกับว่าพยายามจะลืมตาขึ้นมา
เมิ่งเชี่ยนโยวและจูหลีเฝ้ามองดูนางอย่างรอคอย จางหลี่ใช้แรงทั้งหมดที่มีของตัวเอง ตาก็ไม่ลืมขึ้นมา ร้อนใจจนเหงื่อออกบนหน้าผาก
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยนางเช็ด และสั่งจูหลี “ยกน้ำมา”
จูหลีเทน้ำร้อนครึ่งแก้ว ใช้แก้วอีกใบเทไปมาหลายๆ รอบ รู้สึกน้ำอุ่นแล้ว จึงหยิบช้อนหนึ่งคันวางลงไปในแก้ว แล้วยื่นไปข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยกหัวของจางหลี่ขึ้นสูงเล็กน้อย รับแก้ว หยิบช้อนขึ้น ตักขึ้นมาหนึ่งคำแล้วยื่นไปที่ข้างๆ ปากจางหลี่
จางหลี่อ้าปากให้ความร่วมมืออย่างดี
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจ ค่อยๆ ป้อนน้ำเข้าไปในปากของนาง หลังจากจางหลี่กลืนลงไป ก็ค่อยๆ อ้าปากอีกรอบ เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจจนเกือบน้ำตาไหล มือที่ยกน้ำสั่นเล็กน้อย แล้วตักน้ำคำเล็กๆ ป้อนเข้าไปในปากของจางหลี่อีกครั้ง
ดื่มจนน้ำครึ่งแก้วเกือบหมด จางหลี่ถึงหยุดอ้าปาก มิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่านางดื่มพอแล้ว นำช้อนและผ้าห่มยื่นให้จูหลี ช่วยนางเช็ดน้ำที่ไหลออกมาจากมุมปาก กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ลี่เอ๋อร์ เจ้าหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เวลานานพอแล้ว รีบตื่นขึ้นมาเถิด เสี่ยวอ๋อร์รอให้เจ้าไปดูแลอยู่นะ”
เหมือนกับว่าจางหลี่ได้ยินคำพูดของนาง เปลือกตาขยับกลิ้งไปมาอีกครั้ง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น จนลืมตาขึ้นได้หมด กรอกตาไปมามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว พึมพำพูดว่า “เสี่ยวเอ๋อร์”
สุดท้ายน้ำตาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลั้นไม่อยู่ ไหลลงมา ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ใช่ เสี่ยวเอ๋อร์ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ตอนนี้ก็อยู่ข้างๆ เจ้า”
สติของจางหลี่ค่อยๆ กลับมา ค่อยๆ ขยับหัวของตัวเองอย่างยากลำบาก มองหาที่ๆ เสี่ยวเอ๋อร์อยู่ด้วยความลำบาก
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือของนางขึ้นมา วางไว้บนหน้าอกของจูเสี่ยว กล่าวด้วยเสียงเบาๆ ว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าวางใจเถิด”
จางหลี่รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจจูเสี่ยวอใบหน้ายิ้มออกมาเล็กน้อย หลังจากนั้นน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลออกมา กล่าวด้วยเสียงอ่อนแรงว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ ดีมากจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างมาก ตาแดงก่ำ ช่วยนางเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาตรงหางตา ปลอบใจนางด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว ดีจริงๆ เสี่ยวเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาต้องการเจ้า ฉะนั้นเจ้าต้องรีบดีขึ้นมาเพื่อดูแลเขา”
“ข้า… ดีขึ้น… แน่นอน” จางหลี่รับปากอย่างยากลำบาก
คำพูดเพียงไม่กี่คำนี้ราวกับใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่นางมี พูดจบ ก็ได้หอบเหนื่อยไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะช่วยนางลูบบริเวณอกเบาๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ได้แต่มองนางหายใจอย่างเจ็บปวดแต่ทำอะไรไม่ได้เลย
ผ่านไปสักพัก ลมหายของจางหลี่ถึงเริ่มเป็นปกติ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสั่งคนข้างนอก “ตักซุปโสมเข้ามา”
สาวใช้ที่เฝ้ารอบดึกรับคำสั่ง ไปที่ห้องครัว ตักซุปโสมที่อุ่นอยู่บนเตาตลอดเวลามาหนึ่งถ้วยแล้วยกเข้ามา ยื่นวางลงบนมือเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเคารพ แล้วถอยออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวกับจางหลี่อย่างอ่อนโยนว่า “ลี่เอ๋อร์ ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแอมาก ฟังคำของพี่โยวเอ๋อร์ ดื่มซุปโสมนี้แล้วเจ้าหลับพักผ่อนดีๆ อีกรอบ รอเจ้าตื่นขึ้นมา เสี่ยวเอ๋อร์ก็จะตื่นขึ้นมาแล้ว”
จางหลี่พยักหน้าอย่างยากลำบาก ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “เจ้าค่ะ” พูดจบ ก็อ้าปากให้ความร่วมมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ ป้อนซุปโสมให้นางดื่ม รอจนนางดื่มหมด ยื่นถ้วยให้จูหลี ช่วยนางเช็ดมุมปาก จัดผ้าห่มให้นาง กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “นอนเถิด พี่โยวเอ๋อร์จะเฝ้าอยู่ข้างๆ เจ้า ช่วยเจ้าดูแลเสี่วเอ๋อร์”
จางหลี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขอบคุณออกมาให้นาง เชื่อฟังนางและปิดตาลง แล้วหลับลงไป
จูหลีรู้ว่าชีวิตของจางหลี่ปลอดภัยแล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “นายหญิง ตอนนี้ท่านก็สามารถวางใจแล้วไปพักผ่อนได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวปิดปากไม่พูดอะไร มองดูลมหายใจที่อ่อนแรงของจูเสี่ยว บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ถึงตอนนี้จูหลีเพิ่งนึกได้ว่าอาการบาดเจ็บของจูเสี่ยวนั้นร้ายแรงที่สุด ไม่รู้ว่าเด็กตัวเล็กเท่านี้จะผ่านไปได้หรือไม่ นึกถึงตรงนี้ ใบหน้าดีใจก็หายไป
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหัวลง เอาหน้าผากของตัวเองแตะบนหน้าผากของจูเสี่ยว รู้สึกถึงอุณหภูมิที่เย็นของเขา เป็นครั้งแรกที่ในใจเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
จูหลีมองด้วยความเศร้า ทนไม่ได้ต้องหันหลังไป
“จูหลี เจ้าว่าข้าใจดีมากไปหรือไม่ ถึงทำให้พวกเขาโหดร้ายมากเพียงนี้ ทำร้ายคนรอบข้างของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น มองจูหลี ถามด้วยน้ำเสียงที่อยากฆ่าคน
จูหลีหันกลับมา มองจางหลี่สองแม่ลูก พูดอะไรไม่ออก
มิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้รอฟังคำตอบของนาง ก้มลงไปมองจูเสี่ยวด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง
ครั้งนี้จนถึงรุ่งสาง จางหลี่และจูเสี่ยวก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ตัวร้อน ลมหายใจก็เริ่มเป็นปกติ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ่งหนักใจมากขึ้นเรื่อยๆ สองวันหนึ่งคืนแล้ว จูเสี่ยวไม่ขยับแม้แต่น้อย แม้แต่คิ้วยังไม่ขยับเลยสักครั้ง ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ผลที่ตามมา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าแม้แต่จะคิด
เซี่ยเจียงเฟิงไม่ได้หลับทั้งคืน เฝ้ารอให้ฟ้าสางอย่างยากเย็น ได้ยินเสียงจากในเรือนรีบลุกขึ้นมา แล้วก้าวขายาวมาในเรือนกล่าวถามสาวใช้ที่เฝ้ารอบดึกว่า “พวกเขาสองแม่ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”
สาวใช้ส่ายหัวไปมา
ใจของเซี่ยเจียงเฟิงตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงของเขา กล่าวว่า “คุณชายเซี่ย เข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น