ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 172.1-173.2

ตอนที่ 172-1 เลวทรามยิ่งนัก

 

กรอบตาของรั่วหลานแดงขึ้น น้ำตาไหลอาบลงมาโดยไร้เสียง ทำให้นางดูน่าสงสารยิ่งนัก กระทั่งซุนเชี่ยนเองก็ยังเกิดความรู้สึกเวทนาขึ้นมา โชคดีที่นางกำลังเผชิญอยู่กับเมิ่งเชี่ยนโยว ผู้ที่ไม่มีทางหลงกลเป็นแน่


 


 


ถอยหลังนั่งลงบนตั่งอย่างช้าๆ ราวกับว่าไม่เห็นสภาพของนาง พูดอย่างเย็นชาเช่นเคยว่า “บอกมา ว่าเจ้ามาบ้านของข้าด้วยวัตถุประสงค์ใด”


 


 


รั่วหลานพยายามเป็นครั้งสุดท้าย จึงทำเพียงร้องไห้อย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


“ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด หากเจ้าไม่ต้องการถูกลงโทษอีกก็รีบพูดออกมา” เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวเรียบเฉย แต่คำขู่นั้นกลับน่ากลัวยิ่งนัก


 


 


ราวกับว่ารั่วหลานนึกถึงการลงโทษเมื่อครู่ได้ จึงได้สั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างน่าสงสาร อ้าปากอยู่หลายทีแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว มองนางด้วยสายตาน่ากลัวราวกับมีดดาบ


 


 


รั่วหลานอดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ในที่สุดจึงได้เปิดปากพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาเสียจนเมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะฟังไม่ถนัด “พวกเขาบอกว่า หลังจากที่ข้าเข้าบ้านมาแล้วให้ข้าหาโอกาสขึ้นเตียงกับท่านชายใหญ่ ให้เรื่องเสียหายของตระกูลเมิ่งโด่งดังไปทั่ว จากนี้ไปจะต้องขายหน้าอับอายผู้คน”


 


 


ปัง เมิ่งเชี่ยนโยวแกว่งเท้าวางบนเตียงอย่างแรงจนเตียงสั่น รั่วหลานตกใจจนร้องออกมา


 


 


ซุนเชี่ยนหูไม่ดีเท่าเมิ่งเชี่ยนโยว ได้ยินคำของรั่วหลานไม่ชัด แต่ว่าเมื่อเห็นสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็รู้ได้ว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่


 


 


สิ้นเสียงร้องตกใจของรั่วหลาน นางก็คุกเข่าก้มหัวบนเตียง “แม่นาง แม่นางไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ท่านผู้ว่าการเขตสั่งข้ามาเช่นนี้ อาจารย์สั่งข้ามาเช่นนี้ แต่หลังจากที่ข้าน้อยมาถึงที่นี่แล้ว ก็ได้คิดทบทวนหลายที จึงไม่ได้ทำเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจึงไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ขอร้องแม่นางไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด”


 


 


“ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ทำ แต่ว่าเจ้าไม่มีโอกาสทำมากกว่าไม่ใช่หรือ เนื่องจากหลังจากที่เจ้ามาที่นี่แล้ว พี่ใหญ่ไม่ชายตาแลเจ้าเลยแม้แต่น้อย ซ้อก็ไม่เข้าใกล้เจ้า คนทั้งบ้านไม่มีใครสนใจเจ้า เจ้าจึงไม่มีโอกาสลงมือทำ!”


 


 


รั่วหลานยืดตัวตรง โบกมืออย่างร้อนรน ว่า “มิใช่นะเจ้าคะ ว่าท่านชายเมิ่งจะไม่สนใจข้า แต่ว่านายหญิงก็ดีกับข้ายิ่งนัก กลางวันข้าอยู่ที่เรือนหลักตลอด หากอยากลงมือทำย่อมมีโอกาสเสมอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก ยิ้มเยาะออกมา “อ๋อเหรอ อย่างนั้นเจ้าพูดมาสิ เหตุใดจึงไม่ลงมือทำ คิดว่าหากลงมือทำแล้วครอบครัวเราจะไม่ยอมรับเจ้า? หรือเจ้าคิดว่าหากทำลายครอบครัวข้าแล้วตัวเจ้าเองก็จะจบไม่สวย”


 


 


สายตาของรั่วหลานขยับเล็กน้อย ละล่ำละลักอยู่นานถึงได้พูดออกมาว่า “ข้าเป็นเพียงบุตรสาวจากตระกูลยากจน ในตอนนั้นครอบครัวข้าแทบจะไม่มีข้าวกิน จึงได้จำใจขายข้า ประจวบเหมาะกับที่ตระกูลเฉียวถูกชะตาข้า จึงได้ซื้อตัวข้ามาและมอบให้ผู้ว่าการเขต ข้ามิมีอำนาจไปขัดขวางแผนการณ์ที่พวกเขาต้องการทำลายตระกูลเมิ่งได้ ทำได้เพียงให้พวกเขาชักใย แต่ข้าเองรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้ว่าเรื่องใดควรทำ เรื่องใดมิควร อย่างเรื่องเลวทรามเช่นการทำลายคนทั้งตระกูลเช่นนี้ข้ามิทำ และอีกอย่าง ตั้งแต่ข้าเข้ามาที่นี่ ท่านชายใหญ่ก็ดีกับข้ามาก ของกิน ของใช้ก็มีให้ข้าพร้อม”


 


 


“เจ้ารู้จักผิดชอบชั่วดี?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “เกรงว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเจ้าคงถูกสุนัขกินไปหมดแล้วตั้งแต่คืนที่เจ้าใส่ร้ายพี่ชายข้า มิเช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่มาตั้งนานเหตุใดจึงไม่เคยพูดความจริงออกมา เห็นอยู่กับตาว่าพี่ใหญ่และซ้ออิดโรยเพียงใด พ่อแม่ข้าหน้าตาคร่ำเครียดเพียงใด แต่เจ้ากลับไม่คิดจะทำอะไรเลย”


 


 


รั่วหลานอธิบายด้วยเสียงร้อนรน “ชีวิตของครอบครัวข้าอยู่ในกำมือของพวกเขานะเจ้าคะ หากไม่ทำตามคำขอของพวกเขา พวกเขาก็จะทำร้ายครอบครัวข้า ข้าจำใจต้องใส่ร้ายท่านชาย แต่เรื่องท่านชายใหญ่นั้นข้าทำไม่ลงจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะเร่งข้ามาหลายหน ข้าก็ได้แต่อ้างว่าไม่มีโอกาส ข้าทำไม่ลงจริงๆ แม่นางไตร่สวนดูได้ ที่ข้าพูดทุกประโยคเป็นจริง ไม่มีคำโกหกเลยแม้แต่ประโยคเดียว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง แววตามีประกายเล็กน้อย แต่ไม่นานก็หายไป ถามว่า “เท่าที่ข้ารู้มา ตั้งแต่เจ้ามาที่นี่พวกเขาก็ไม่เคยมาอีกเลย เช่นนี้พวกเขาจะเร่งรัดเจ้าได้อย่างไรกัน”


 


 


อะไรที่ควรพูดก็ได้พูดมาจนหมดแล้ว ที่เหลือรั่วหลานจึงไม่คิดปิดบังอีก จึงตอบอย่างรวดเร็วว่า “พวกเขาส่งคนปลอมตัวเป็นคนส่งของ ไม่กี่วันก็จะต้องมาส่งข่าว ฮูหยินไม่เข้มงวดกับข้า ข้าจึงได้อาศัยจังหวะตอนไปดูของส่งข่าวให้ทางนั้น”


 


 


“พวกเขาให้เวลาเจ้าถึงเมื่อใด” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยเสียงด้วยเสียงอำมหิต


 


 


สีหน้าของรั่วหลานกลัวขึ้นมาทันใด จากนั้นจึงรีบตอบไปว่า “คืนวันพรุ่งเจ้าค่ะ พวกเขาสั่งข้าว่าหลังจากเสร็จเรื่องแล้ว เช้าตรู่ในวันแรกของตรุษจีนให้เปิดประตูบ้านกว้างๆ เมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาสวัสดีปีใหม่ ก็ให้ตะโกนร้องดังๆ ให้คนมาเห็นว่าท่านชายใหญ่อดใจไม่ได้ จึงได้นอนกับข้า”


 


 


ซุนเชี่ยนเพิ่งจะเข้าใจเป้าหมายของนาง เบิกตาโตขึ้นอย่างตกใจ รีบเอามือปิดปากไว้ เกรงว่าตนจะอดไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้องออกไป


 


 


แผนการณ์ชั่วร้ายเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ตกใจจนเหงื่อผุดออกมา ยังดีที่ตนกลับบ้านมาทัน หากเป็นไปตามแผนของพวกนั้นเข้า ตระกูลเมิ่งของนางก็คงต้องจบสิ้นจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าชื่อเสียงของตระกูลเมิ่งจะเป็นเช่นไร แต่หากเมิ่งจงจวี่และภรรยารู้เข้าว่าลูกชายและหลานชายนอนกับหญิงคนเดียวกัน คงจะต้องโกรธจนเป็นอะไรไปเป็นแน่ ยังมีเมิ่งเอ้ออิ๋น หากรู้ว่าตนเองได้ทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ลงไปก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ส่วนเมิ่งเสียน หากถูกเรื่องเช่นนี้โจมตีเข้าก็คงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แล้วแม่ของตนเล่า ไหนจะซ้ออีก อีกอย่างหากเรื่องนี้แพร่ไปถึงเมืองหลวงเข้า เรื่องการหมั้นหมายของนางและอี้เซวียนก็คงเป็นไปไม่ได้อีก ยิ่งคิดยิ่งน่ากลัว สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวดูเครียดเป็นอย่างมาก กระทั่งน้ำเสียงที่ใช้ถามก็ยังฟังดูหนาวเย็น แม้แต่ชิงหลวนและจูหลีที่ยืนอยู่หน้าประตูเองก็ยังรู้สึกอดเสียวสันหลังไม่ได้ รั่วหลานเองยิ่งรู้สึกว่าร่างของตนนั้นถูกเสียงของนางแช่แข็งไปแล้ว “ข้าถามเจ้า ใครเป็นคนคิดแผนการณ์เลวทรามเช่นนี้ออกมา พวกมันต้องการอะไรกันแน่”


 


 


รั่วหลานกลัวจนตัวสั่น ฟันกระทบกัน พูดจาไม่เป็นคำ


 


 


“ขอแค่เจ้าบอกเป้าหมายที่แท้จริงของพวกมันออกมา ข้าให้สัญญาว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป” เมิ่งเชี่ยนโยวหลอกล่อนาง


 


 


รั่วหลานมองนางอย่างไม่อยากเชื่อ แววตามีประกายแห่งความหวังออกมา พยายามบังคับเสียงที่สั่นเครือของตนเอง พูดว่า “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เพียงแต่ได้ยินพวกเขาพูดคร่าวๆว่า แม่นางมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่ที่เมืองหลวง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น จะต้องทำลายชื่อเสียงของตระกูลเมิ่ง จึงจะทำลายการหมั้นหมายครั้งนี้ได้อย่างถอนรากถอนโคน ขอแค่แม่นางพลาดการหมั้นหมายครั้งนี้แล้ว ก็จะกลายเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่ง จากนี้จะสามารถจัดการกับท่านได้ง่ายขึ้น ”


 


 


เป็นอย่างที่นางคิดไว้จริงเสียด้วย ไฟโกรธในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวประทุขึ้นมา แผ่เอาความอำมหิตไปทั่ว รั่วหลานตกใจจนต้องก้มหัวขอร้องอีกครั้ง “แม่นางไว้ชีวิตข้าด้วย ที่ข้าไม่กล้าลงมือ ยื้อเวลาจนถึงบัดนี้ ก็เพื่อรอให้แม่นางมาจัดการเรื่องนี้นะเจ้าคะ ข้าเองก็ทำร้ายครอบครัวที่แสนดีเช่นนี้ไม่ลงจริงๆ”


 


 


ซุนเชี่ยนตกใจจนพูดอะไรไม่ออก


 


 


“เจ้าจะลงมืออย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


รั่วหลานผละไป จากนั้นก็เข้าใจความหมายของนาง กล่าวว่า “พวกเขาให้ยาข้ามาสองห่อ ให้ข้าหาโอกาสใส่ลงไปในโอ่งน้ำ”


 


 


“แล้วยาเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยเสียงแข็ง


 


 


รั่วหลานตะเกียกตะกายหันหลัง เปิดผ้าห่มอีกฝั่งขึ้น หยิบยาสองห่อขึ้นมา ยื่นส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความกลัว “ยาสองห่อนี้เจ้าค่ะ ห่อหนึ่งเป็นยานอนหลับ อีกห่อเป็นยากล่อมประสาทเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา บีบห่อยาไว้แน่น ความโกรธของนางใกล้จะประทุออกมาแล้ว


 


 


ซุนเชี่ยนนั่งอยู่ข้างนาง รับรู้ได้ถึงอารมณ์โกรธของนาง จึงลืมความตกใจไป และรีบกอดเอวของนางไว้ พูดด้วยเสียงสั่นว่า “น้องเล็ก ใจเย็นก่อน พวกเราเองก็ยังอยู่ดีมีสุขกันมิใช่หรือ”


 


 


รั่วหลานในสถานการณ์เช่นนี้รีบคุกเข่าคำนับบนเตียง ร้องขอชีวิตไม่หยุดปาก


 


 


ชิงหลวนและจูหลีที่อยู่ด้านนอกก็รู้สึกได้ถึงความกดดันของเมิ่งเชี่ยนโยว ตกใจเป็นอย่างมาก จึงได้รีบวิ่งเข้ามา เห็นนางนั่งอย่างสงบอยู่กับที่ จึงมองหน้ากัน หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

 

 

 


ตอนที่ 172-2 เลวทรามยิ่งนัก

 

ย้อนอดีตกลับมาได้หลายปี เมิ่งเชี่ยนโยวได้กลายเป็นคนในครอบครัวไปจริงๆ เสียแล้ว บางครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในชาติที่แล้ว ก็คิดว่านั่นคือเรื่องในความฝัน เหตุการณ์ตรงหน้าถึงจะเป็นเรื่องจริง ตนเองเป็นลูกสาวตระกูลเมิ่ง อยู่ในครอบครัวนี้มาตั้งแต่เกิด มีพวกเขาดูแลประคบประหงมจนโตขึ้นมา มีพ่อแม่ที่รักตนเอง มีพี่ชายที่คอยปกป้อง มีน้องชายที่นับถือตน มีซ้อใหญ่ ซ้อรองที่เห็นตนราวกับน้องสาวคนหนึ่ง มีหลานชายน่ารักสดใส และยังมีปู่ย่าที่แม้จะหัวโบราณแต่ก็ยังรักและตามใจตน และทั้งหมดนี้กลับมีคนคิดจะทำลายมันลงไป คิดว่าหากเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะรั่วหลานยังมีความดีเหลืออยู่บ้าง ไม่ได้รีบลงมือทำ หากไม่ใช่เพราะนางกลับมาฉลองตรุษจีนที่บ้าน จัดการกับรั่วหลานอย่างทันท่วงที แต่เรื่องดีงามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็จะถูกทำลายด้วยเสียงกรีดร้องของของรั่วหลานที่จะเกิดขึ้นในวันมะรืน และไม่แน่ว่านางอาจจะกลายเป็นเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่ง คิดถึงตรงนี้ความโกรธในใจนางก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้น ห่อยาในมือถูกนางบีบจนแตก ผงยาด้านในหกออกมาด้านนอก ซุนเชี่ยนรู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวดี เกรงว่านางจะทำร้ายรั่วหลาน จึงได้กดตัวนางเอาไว้แน่น “น้องเล็ก ใจเย็นไว้ก่อน พวกเราค่อยๆ ช่วยกันคิดหาทางแก้ คนที่จ้องทำลายพวกเรา พวกเราจะไม่ปล่อยไปแน่”


 


 


คำพูดของซุนเชี่ยนทำให้ความโกรธของเมิ่งเชี่ยนโยวลดลงเล็กน้อย นางปิดตาข่มอารมณ์ของตนไว้ ถามรั่วหลานที่กลัวจนหัวหดว่า “เจ้าเขียนหนังสือได้หรือไม่”


 


 


รั่วหลานไม่เข้าใจความหมายของนาง ส่ายหน้าอย่างงุนงน ตอบอย่างสัตย์จริงว่า “ไม่เจ้าค่ะ”


 


 


“ชิงหลวน!” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง


 


 


ชิงหลวนรีบตอบกลับมาว่า “เจ้าค่ะ นายหญิง”


 


 


“รีบไปเอาหมึกและพู่กันมา เจ้าเขียนตามที่นางพูด นำความที่นางพูดทั้งหมดเขียนลงไป”


 


 


ชิงหลวนตอบรับ เดินไปยังหน้าจวนเพื่อหาพู่กันและหมึก และเดินกลับมาที่โต๊ะภายในห้อง


 


 


จูหลีปิดประตูเบาๆ และออกไปจากห้องอย่างรู้ความ


 


 


สาวใช้ทั้งสองของซุนเชี่ยนแม้ว่าจะสงสัย แต่ก็มิได้เงยหน้าขึ้นมามองในห้องเลยแม้แต่น้อย ยืมก้มหน้าก้มตาอยู่ที่หน้าประตูด้วยความเรียบร้อย


 


 


รั่วหลานเริ่มเล่าตั้งแต่ที่ตนถูกตระกูลเฉียวซื้อตัวมา และส่งให้ผู้ว่าการเขต ไปจนถึงเรื่องที่พวกเขาวางแผนทำลายตระกูลเมิ่ง ชิงหลวนฟังที่นางเล่า แม้ว่าสีหน้าจะเรียบเฉยและเขียนอย่างรวดเร็ว แต่ในใจนั้นกลับกลัวเป็นอย่างมาก แผนการณ์นี้ช่างเลวทรามเหลือเกิน หากสำเร็จได้นั้น ครอบครัวของนายหญิงก็คงจบสิ้นแล้ว ไม่มีพื้นที่ให้ยืนในสังคมอีกเป็นแน่


 


 


แม้ว่าอารมณ์โกรธของเชี่ยนโยวจะหายไปแล้ว แต่บรรยากาศรอบตัวกลับน่ากลัวยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินรั่วหลานเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอีกรอบ สายตาของนางก็ขยับไปมา ไม่รู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


เมื่อรั่วหลานพูดจบ ชิงหลวนเองก็เขียนเสร็จแล้ว ยกคำสารภาพยื่นให้เมิ่งเชี่ยนโยว “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ นายหญิง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มอง แต่ได้สั่งชิงหลวนว่า “ให้นางพิมพ์ลายนิ้วมือ”


 


 


รั่วหลานมองนางอย่างทรมานใจ


 


 


ชิงหลวนรำคาญ จึงได้คว้ามือขวาของนางมา หยิบมีดเล็กที่พกติดตัวออกมา และกรีดนิ้วชี้ของนางเป็นแผลเล็กๆ และกดไว้ที่คำสารภาพนั้น


 


 


กว่ารั่วหลานจะร้องออกมา ชิงหลวนก็ได้ปล่อยมือจากนางเรียบร้อยแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาเป็นปกติ สีหน้าไม่มีอะไรเปลี่ยนไป พูดกับรั่วหลานว่า “เห็นแก่ความดีที่มีเพียงน้อยนิดของเจ้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า และจะช่วยครอบครัวเจ้าออกมา…”


 


 


ไม่รอให้นางพูดจบ รั่วหลานก้มหัวนับด้วยความดีใจ พูดขอบคุณไม่หยุด “ขอบพระคุณแม่นาง ขอบพระคุณแม่นาง”


 


 


“ส่วนตัวเจ้านั้น ขอให้อยู่กับข้าไปก่อนชั่วคราว รอจนกว่าข้าต้องการตัวเจ้าไปเป็นพยานแล้วนั้น เจ้าก็จงนำคำสารภาพวันนี้พูดออกไปอีกรอบก็พอ จำไว้ว่าขอเพียงเจ้าเชื่อฟังคำสั่ง อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ข้าก็จะดีกับเจ้าและครอบครัวเจ้า แต่หากเจ้าเล่นแง่กับข้า เจ้าและครอบครัวก็จะได้กลับบ้านเก่าไปด้วยกัน ข้าพูดจริงทำจริง”


 


 


ฟังคำของนางจบ รั่วหลานตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ นี่เป็นโอกาสเดียวที่คนในครอบครัวของนางจะมีชีวิตรอด นางพยักหน้าติดกันหลายครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ซุนเชี่ยนเองก็อยากจะลุก แต่นางอ่อนไปทั้งร่าง พยายามอยู่หลายหนแต่ก็ไม่สามารถยืนขึ้นได้ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “น้องเล็ก ขาข้าเกิดอ่อนแรงขึ้นมาเล็กน้อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก พยุงนางขึ้นมา เดินออกไปอย่างช้าๆ สั่งบ่าวไพร่เหล่านั้นว่า “จับตาดูนางเอาไว้ให้ดี!”


 


 


สาวใช้ทั้งสอง ชิงหลวนและจูหลีตอบรับ


 


 


เมื่อเดินออกไปด้านนอก ถูกลมหนาวพัดเข้าใส่ ลมโกรธในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้ถูกพัดหายไป พูดกับซุนเชี่ยนที่ยังไม่ได้สติกลับมาว่า “ซ้อคะ เรื่องวันนี้นอกจากข้าและท่านก็ห้ามบอกให้ใครรู้อีก แม้แต่พี่ใหญ่ก็ไม่ได้ หากพวกเขารู้เข้าอาจจะทำแผนแตกได้”


 


 


แม้ว่าซุนเชี่ยนจะดูแลจัดการโรงงานของครอบครัว ทำงานเก่งกว่าหญิงทั่วไป ทัศนวิสัยกว้างไกล แต่นางก็ไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน หากไม่ได้ยินเองกับหู นางเองก็คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนที่สามารถเลวร้ายได้เช่นนี้ เมื่อได้ยินคำของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วจึงหยุดฝีเท้าลง หันมองหน้านาง ปากสั่นอยู่หลายครั้งจึงได้พูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือว่า “น้องเล็ก พวกเราทำอย่างไรกันต่อดี”


 


 


“ทั้งหมดให้ข้าจัดการเองเจ้าค่ะ ซ้อทำตัวเหมือนเช่นเคย อย่าให้ผู้ใดจับพิรุธได้”


 


 


“ต้องการคนช่วยหรือไม่ หากเจ้าต้องการข้าสามารถไปขอความช่วยเหลือจากท่านปู่ได้” ซุนเชี่ยนพูดอย่างร้อนรน


 


 


ซุนซ่านเหรินมาการค้ามาหลายปี ก็จะต้องมีพรรคพวกเป็นธรรมดา ในเมื่อไม่ให้คนในบ้านนี้รู้ อย่างนั้นกลับบ้านตนเองไปขอความช่วยเหลือจากท่านปู่ก็คงเป็นไปได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ครั้งนี้พวกมันมาร้าย ผู้เกี่ยวของยิ่งน้อยยิ่งดี ทุกวันนี้ซุนซ่านเหรินต้องยุ่งอยู่กับการเลี้ยงหลาน ไม่ได้ดูแลเรื่องค้าขายมากนัก พวกเราก็อย่าเอาปัญหาไปให้ท่านเลย วางใจเถิด คนของข้ามีพอใช้ ครานี้ข้าจะต้องจัดการพวกมันให้ราบคาบ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมีความน่าเชื่อถือมากในสายตาของคนในครอบครัว นางทำได้อย่างที่พูด เมื่อได้ยินดังนี้ ซุนเชี่ยนก็รู้สึกสบายใจขึ้น พูดว่า “ได้ ข้าจะเชื่อเจ้า” เมื่อพูดจบ ก็พูดต่อว่า “พวกเรายืนตรงนี้อีกครู่เถิด ตัวข้าอ่อนแรงไปหมดแล้ว ขาก็สั่น หากเดินเข้าไปในจวนหลักเช่นนี้ เตี่ยกับแม่จะต้องจับพิรุธได้แน่นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พยุงนางยืนต้านลมหนาวอยู่ราวสิบห้านาทีได้ ซุนเชี่ยนถึงได้บังคับตัวเองให้สงบลงได้ และพยายามฉีกยิ้มอย่างแข็งทื่อ “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเรากลับไปเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคล้องแขนของนาง ทั้งสองคนเดินกลับไปด้วยสีหน้าปกติ


 


 


เมิ่งเสียนกินข้าวเช้าแล้วเรียบร้อย นำอาหารที่เหลือเก็บไว้ในหม้อให้ซุนเชี่ยนอย่างบรรจง ปิดฝาหม้อไว้อย่างเรียบร้อย และไปช่วยงานที่ห้องซีเซียง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนำของมาฝากถึงสองคันรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีเองก็ซื้อของมาบ้าง ของทั้งหมดรวมกันก็เกือบจะเต็มห้องแล้ว คนหลายคนแบ่งของฝากตามรายการที่เขียนมา


 


 


เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคนเดินเข้ามา เมิ่งเสียนก็โผล่ออกมาจากห้อง ถามอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดจึงไปนานสองนานเช่นนี้ อาหารเย็นจนหมดแล้ว”


 


 


ซุนเชี่ยนยิ้มออกมา “ไม่ได้เจอกันเสียนาน ระหว่างทางข้าและน้องเล็กจึงได้คุยกันมากเสียหน่อย”


 


 


“อากาศหนาวเช่นนี้ พวกเจ้าไม่กลัวหนาวกันหรือ จึงยังไปคุยกันอยู่ด้านนอก” น้ำเสียงของเมิ่งเสียนมีความกล่าวโทษเล็กน้อย


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไม่หนาว เจ้าทำงานของเจ้าไปเถิด ข้าไปเก็บห้องครัวแล้วจะตามมา” ซุนเชี่ยนพูด


 


 


เมิ่งเสียนมองพวกเขาเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าของพวกนางเป็นปกติดี หนำซ้ำยังมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้น จึงไม่ได้คิดอะไรมาก หันหลังกลับมาแบ่งของขวัญต่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับซุนเชี่ยนด้วยเสียงเบาว่า “ซ้อ ท่านไปเก็บของเถิด ข้าจะไปช่วยพวกกัวเฟยเขาน่ะ”


 


 


ซุนเชี่ยนพยักหน้าเบาๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือจากแขนนาง เดินไปยังหน้าห้องซีเซียง ยื่นหัวเข้าไปดูในห้องเล็กน้อย ยิ้มและถามว่า “แบ่งเสร็จแล้วหรือยัง”


 


 


“ใกล้แล้วล่ะ อีกราวครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย” นางเมิ่งซื่อพูดจบก็พูดต่อว่า “เจ้าบอกอี้เซวียนนะว่าคราวหน้าคราวหลังไม่ต้องซื้อของมามากมายเพียงนี้หรอก ของเหล่านี้จะต้องเปลืองเงินทองเท่าใดกันนี่”

 

 

 


ตอนที่ 173-1

 

 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา “ท่านแม่ ในจวนอ๋องฉีน่ะมีเงินทองเต็มไปหมด เพียงซื้อของพวกนี้ขนหน้าแข้งของเขาไม่ร่วงหรอกเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเสียดายไป”


 


พูดจบก็เสริมว่า “พวกเจ้าเก็บของกันไปก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะต้องสั่งให้พวกกัวเฟยไปจัดการเสียหน่อย อีกครู่ข้าจะกลับมาช่วย”


 


เมิ่งซื่อโบกมือ “ไปเถิด ไม่นานพวกเราก็เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องถึงมือเจ้าหรอก”


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับ สีหน้ายิ้มแย้มได้หายไป เดินไปทางที่พักของกัวเฟยและเหล่าองครักษ์อย่างรวดเร็ว ชิงหลวนและจูหลีก็เดินตามติดไม่ห่าง


 


สองคืนก่อนวันตรุษจีน ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำมากนัก กัวเฟยจึงได้พาเหล่าองครักษ์ สามพี่น้องของเหวินเปียวและเหล่าองครักษ์ของพวกเขาไปยังสนามฝึกซ้อม ฝึกซ้อมกังฟูยามเช้าจนกระทั่งเหงื่อท่วมตัว เพิ่งจะกลับมากินข้าวเช้าเมื่อครู่ ยังไม่ทันได้เก็บถ้วยชามก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก็รู้ได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้วเป็นแน่ จึงรีบลุกยืนขึ้น ถามว่า “เจ้านาย มีอะไรจะสั่งข้าหรือ”


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองเหล่าองครักษ์ในห้อง และสั่งกัวเฟยว่า “มีสองเรื่องให้พวกเจ้าไปทำ เรื่องแรก พวกเจ้ารีบส่งคนไปในเมือง สืบค้นประวัติของผู้ว่าราชการคนปัจจุบันมาให้ละเอียด ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม เจ้าจะต้องเอาคำตอบมาให้ข้าก่อนวันพรุ่ง”


 


กัวเฟยตอบรับ


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งต่อไปว่า “เรื่องที่สอง ส่งคนแฝงตัวเข้าไปที่จวนจู ไปดูว่าคนในครอบครัวนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง กลับมารายงานให้ข้ารู้”


 


กัวเฟยตอบรับอีกครั้ง


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตั๋วเงินจากแขนเสื้อออกมามอบให้เขา “ไปตอนนี้เลย ยิ่งเร็วเท่าใดยิ่งดี”


 


กัวเฟยรับตั๋วเงินมา


 


หลังจากสั่งงานเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันหลังเดินกลับจวนไป ถอนหายใจยาวเหยียดให้อารมณ์ของตนเองสงบลง จึงค่อยเดินเข้าไปด้านใน และมายังห้องซีเซียงอีกครั้ง


 


เมื่อเห็นนางกลับมาเร็วเช่นนี้ เมิ่งซื่อจึงถามว่า “สั่งงานเสร็จแล้วหรือ”


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมพยักหน้า โกหกไปว่า “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเจ้าค่ะ ข้าแค่ให้กัวเฟยไปซื้อของให้”


 


เมิ่งซื่อไม่ได้คิดอะไร จึงไม่ได้ถามต่อ


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือให้เส้าเอ๋อร์ที่กำลังยุ่งอยู่ “เส้าเอ๋อร์ มาหาอาเร็ว พวกเราไปเยี่ยมน้องด้วยกันดีหรือไม่”


 


ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวจากไป เยี่ยนเอ๋อร์ยังไม่คลอดลูก เมื่อวันกลับมาก็ดึกแล้วจึงไม่ได้ไปเยี่ยม ตอนนี้จัดการเรื่องทุกอย่างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้มีเวลาไปเยี่ยมสักหน่อย


 


เส้าเอ๋อร์เองต้องดีใจเป็นธรรมดา วางของในมือเดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจูงมือของเขา พูดกับเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ หยิบกล่องสีแดงทางนั้นให้ข้าที ในนั้นมีสร้อยอายุมั่นขวัญยืนที่ข้าทำมาให้เซิ่งเอ๋อร์ ให้ช่างฝีมือที่ชำนาญในเมืองหลวงทำให้เชียวหนา”


 


เมิ่งเสียนหยิบกล่องที่นางว่า ยื่นให้นาง


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับไป พูดว่า “เตี่ย แม่ ข้าไปบ้านพี่รองนะเจ้าคะ”


 


“ไปเถิด บอกซ้อรองว่าวันพรุ่งให้มากินข้าวกลางวันที่นี่ ห่อเซิ่งเอ๋อร์ไว้ให้ดี อากาศเย็นแล้วอย่าให้หลานหนาวเอาได้”


 


วิถีชนบทก็เป็นเช่นนี้ ในคืนก่อนตรุษจีน และวันตรุษจีนคนในครอบครัวจะต้องมารวมตัวกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา หากไม่ทำเช่นนี้ จะถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะเอาได้ว่าครอบครัวไม่อบอุ่น ลูกหลานไม่กตัญญู


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับปาก “เจ้าค่ะ”


 


ถือกล่องสร้อย จูงมือเส้าเอ๋อร์ คนตัวโตและคนตัวเล็กเดินจูงมือคุยกันไปจนถึงจวนเมิ่งฉี


 


พอดีกับที่มีสาวใช้สองคนออกมาเทน้ำเสียทิ้ง เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดอย่างดีใจว่า “แม่นางมาแล้วหรือเจ้าค่ะ เข้ามาก่อยเจ้าค่ะ เมื่อครู่แม่นายนังบ่นคิดถึงอยู่พอดี หากไม่ใช่เพราะอากาศหนาว พาคุณหนูอกมาไม่ได้ มิเช่นนั้นคงจะไปหาเสียนานแล้ว”


 


พูดจบ ก็วางถังไม้ที่เอาไว้ตักน้ำเสียลงบนพื้น สาวใช้คนหนึ่งรีบหันหลังกลับไปรายงาน


 


เมื่อหวางเยียนได้ยินที่สาวใช้รายงานแล้วนั้น จึงได้รีบออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเพิ่งจะพูดกับพี่รองของเจ้าอยู่พอดีว่าให้เขาดูลูกให้ข้าที ข้าจะไปหาเจ้า เจ้าก็มาพอดี”


 


“เมื่อวานข้ากลับมาดึกแล้ว เช้านี้ก็มีเรื่องยุ่งจนถึงเมื่อครู่จึงได้มีเวลาว่างมาเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมอธิบาย


 


เส้าเอ๋อร์ตะโกนอย่างนอบน้อมว่า “คุณอารองขอรับ”


 


หวางเยียนขานรับ ลูบหัวของเขา “เข้าไปด้านในเถิด น้องของเจ้ายังไม่หลับนะ”


 


เส้าเอ๋อร์ปล่อยมือจากเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความตื่นเต้น วิ่งนำเข้าไปในห้อง


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินตามหวางเยียนเข้าไปด้านใน


 


ในห้องจุดไฟเอาไว้ เมื่อเดินเข้าไป ไอร้อนก็ได้ลอยมาประทะหน้า เมิ่งฉีวางลูกที่เมื่อครู่กำลังอุ้มอยู่ลง เส้าเอ๋อร์เดินไปหาเซิ่งเอ๋อร์ และหยิบมือน้อยของน้องขึ้นมาเล่นอย่างคุ้นเคย


 


หวางเยียนกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้าใจผิด จึงได้รีบอธิบายว่า “พี่รองของเจ้าเมื่อกลับบ้านมาก็อุ้มลูกไม่ยอมวาง ข้าจะบอกอย่างไรก็ไม่ฟัง”


 


“พอเซิ่งเอ๋อร์คลอดมา พี่รองก็ไปช่วยงานข้าที่เมืองหลวง ไม่ได้มีเวลาดูแลพี่และลูก บัดนี้ทำเช่นนี้สมควรแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพูดอย่างไม่ใส่ใจ พูดจบจึงได้นำกล่องสร้อยในมือยื่นให้หวางเยียน “ข้าให้ช่างฝีมือที่เก่งที่สุดในเมืองหลวงทำสร้อยอายุมั่นขวัญยืนมาให้เซิ่งเอ๋อร์ ท่านรับไว้เถิด”


 


เมื่อครั้งที่เส้าเอ๋อร์เกิดเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำสร้อยอายุมั่นขวัญยืนให้ ครานี้เซิ่งเอ๋อร์เองก็จะได้รับเช่นกัน หวางเยียนไม่ปฏิเสธ รับมาและเปิดดูด้วยความสงสัย จากนั้นก็ร้องออกมาด้วยความตะลึง “เป็นสร้อยที่สวยเหลือเกิน!”


 


เมื่อเส้าเอ๋อร์ได้ยินเสียงจึงได้มาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


หวางเยียนย่อตัวลง ยื่นสร้อยในมือให้ต่ำลง เพื่อให้เขาเห็นได้ชัด


 


เมิ่งฉีเองก็เห็นรูปทรงของสร้อยแล้ว จึงถามอย่างประหลาดใจว่า “น้องเล็ก เจ้าไปสั่งทำสร้อยนี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน เหตุใดข้อจึงไม่รู้เลย”


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบยิ้มๆ ว่า “ก็เมื่อครั้งที่ทหารสามร้อยนายเข้าไปที่โรงงาน ท่านยุ่งอยู่กับการจัดการดูแลพพวกเขา ข้าไม่มีอะไรทำ จึงได้ไปร้านที่ทำเครื่องประดับให้กับโม่เอ๋อร์ สั่งให้ช่างที่เก่งที่สุดในร้านทำสร้อยอายุมั่นขวัญยืนให้ ที่จริงยังมีสร้อยข้อมือข้อเท้าเข้าชุดกันด้วย แต่พวกเขางานเยอะ ทำไม่ทัน จึงได้ทำสร้อยเส้นนี้ให้ข้า เจอหน้าหลานชายครั้งแรก คนเป็นอาอย่างข้าก็ต้องมีของรับขวัญด้วยสิเจ้าคะ”


 


เส้าเอ๋อร์ยิ่งดูยิ่งชอบ อดไม่ไหวที่จะหยิบมาดู


 


เมื่อหวางเยียนเห็นดังนั้น จึงได้หยิบสร้อยขึ้นมา วางกล่องลง และสวมสร้อยไปบนคอของเขา จากนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “น้องเล็กมีน้ำใจเสียจริง”


 


เมื่อสวมสร้อยแล้ว เส้าเอ๋อร์ดีใจเป็นอย่างมากเดินไปหาเซิ่งเอ๋อร์และพูดด้วยเสียงเล็กๆ ว่า “น้อง สวยหรือไม่ หากเจ้าปีนขึ้นมาเล่นกับพี่ได้ พี่ก็จะมอบสร้อยนี้ให้เจ้า”


 


ผู้ใหญ่ทั้งสามคนหัวเราะไปกับคำพูดของคนตัวเล็ก


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปหาเซิ่งเอ๋อร์ อุ้มเขาขึ้นมาอย่างระวัง โยกเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า “ข้าได้ยินพี่รองว่าตั้งแต่ที่ท่านคลอดเซิ่งเอ๋อร์ออกมา ท่านแม่ก็ผิดหวังมาก เร่งซ้อใหญ่ทุกวันว่าให้รีบท้องอีกคน ทำเอาซ้อใหญ่กลัวจนเอาแต่ขลุกอยู่ในโรงงานไม่ยอมกลับบ้าน”


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี่ เยียนเอ๋อร์ก็หัวเราะขึ้นมาพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะว่า “เจ้าไม่รู้อะไร ช่วงนั้นซ้อกลัวจนไม่กล้ากลับบ้านเลยหล่ะ เกือบจะนอนที่โรงงานอยู่แล้ว หลายครั้งอ้างว่าจะมานอนที่นี่เป็นเพื่อนข้า แต่แม่ก็ส่งคนมาตามถึงที่นี่ หากไม่ใช่เพราะตอนหลังพี่ใหญ่เขา…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงไม่ได้พูดต่อ


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดีว่านางหมายถึงเรื่องที่เมิ่งเสียนรับภรรยาน้อยเข้าบ้าน จึงได้อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากที่ข้ากลับบ้านมาเมื่อวาน ข้าก็ได้สืบเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว พี่ใหญ่ถูกคนวางแผนใส่ร้าย เขาไม่ได้ทำเรื่องให้ซ้อใหญ่ต้องเสียใจเลย บัดนี้ทั้งสองไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านวางใจเถิด”


 


เมิ่งฉีไม่เข้าใจ หวางเยียนประหลาดใจ “พี่ใหญ่ไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือ เหตุใดพวกเขาต้องมาทำร้ายพี่ใหญ่ด้วย”


 


“เรื่องนี้ซับซ้อน รอให้ผ่านตรุษจีนนไปก่อน รอให้ข้ามีเวลาแล้วจะมาเล่าให้พี่รองและซ้อรองฟัง ตอนนี้อย่าเอาเรื่องนี้ไปใส่ใจเลย รั่วหลานน่ะ ข้าก็สั่งให้คนไปเฝ้ายามไว้แล้ว ไม่มีทางทำเรื่องวุ่นวายได้อีก ตรุษจีนปีนี้ ครอบครัวเราก็ฉลองกันได้อย่างสงบสุข”

 

 

 


ตอนที่ 173-2

 

ไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว แม้ว่าตนจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่จวนหลัก แต่อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เดือนที่ผ่านมานี้หวางเยียนเห็นได้ว่าสีหน้าของซุนเชี่ยนและเมิ่งซื่อไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วนบรรเทาความเจ็บปวดนี้อย่างไร


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “ดีแล้ว ขอเพียงรั่วหลานไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่น ตรุษจีนปีนี้ ครอบครัวเราก็ยังคงมีความสุข”


 


 


พูดถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวนึกคำสั่งของเมิ่งซื่อขึ้นได้ พูดว่า “แม่บอกว่า พรุ่งนี้ให้พี่พาเซิ่งเอ๋อร์ไปกินข้าวกลางวันที่บ้าน ห่อหลานให้หนาๆ อย่าให้หนาวเอาได้ แต่หากไม่สะดวก ก็จะให้รถม้ามารับพวกเจ้าไป”


 


 


หวางเยียนโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก เดินนิดหน่อยเท่านั้น พวกเราเดินกันไปได้”


 


 


เมิ่งฉีได้ยินคำของนางก็สบายใจขึ้น ขอเพียงพี่ใหญ่ไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรง เรื่องอื่นก็พอจะปรับความเข้าใจกันได้


 


 


ทั้งสามพูดคุยกันสักพัก เซิ่งเอ่อร์คงจะหิวแล้วจึงได้ร้องไห้งอแงขึ้นมา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้ส่งเขาให้หวางเยียน พูดว่า “ข้าควรกลับบ้านแล้ว”


 


 


หวางเยียนรับลูกมา พร้อมก้มตัวลงจะเอาลูกวางบนคั่ง พูดว่า “อย่างนั้นให้ข้าไปส่งเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนาง “ข้าไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อยซ้อรองไม่ต้องมีพิธีรีตรองกับข้าหรอก ท่านกล่อมลูกเถิด ให้พี่รองไปส่งข้าก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เมื่อเส้าเอ๋อร์ได้ยินว่าจะต้องไปแล้ว จึงได้ถอดสร้อยที่คอออกมา วางลงในกล่องอย่างทะนุถนอม แล้วจึงจูงมือเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างรู้ความว่า “คุณอารองข้าขอตัวก่อนนะขอรับ หากมีเวลาว่างแล้วข้าจะมาเยี่ยมน้องใหม่”


 


 


หวางเยียนยิ้มพร้อมพยักหน้า “ได้จ้ะ เส้าเอ๋อร์มาบ่อยๆ นะ มาช่วยอาเลี้ยงน้อง”


 


 


เส้าเอ๋อร์ตอบรับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวของเขา จูงมือเขาออกมาจากห้อง


 


 


เมิ่งฉีเดินตามมาด้านหลัง


 


 


ทั้งสามเดินออกจากบริเวณจวน เมิ่งเชี่ยนโยวเอาเรื่องที่รั่วหลานสารภาพว่าได้ทำการใส่ร้ายเมิ่งเสียนอย่างไรบอกให้เมิ่งเสียนฟัง แต่ว่ากลัวเขาจะไม่สบายใจ จึงได้ไม่บอกว่าเป็นแผนของผู้ว่าการและตระกูลเฉียว บอกเพียงแต่ว่าเป็นแผนที่ตระกูลเฉียวจะทำเพื่อแก้แค้นแทนเฉียวหมิ่น


 


 


 


 


เมื่อเมิ่งฉีได้ฟังแล้วก็รู้สึกโกรธมาก พูดว่า “ครานั้นเป็นเฉียวหมิ่นเองที่ปั้นน้ำเป็นตัว ในใจคิดชั่ว เขาลักพาตัวน้องเล็กไปก่อน จึงได้เกิดเรื่องภายหลังทั้งหมดนี้ขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะหันกลับมาแก้แค้นเรา บอกว่าเป็นความผิดของเจ้า แล้วยังสร้างเรื่องใส่ความพี่ใหญ่อีก พวกเฉียวของลืมไปเสียงแล้ว ว่าพวกตระกูลเราไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่ว่าจะเรื่องอำนาจ หรือเงินทอง ทิ้งห่างจากตระกูลเฉียวมากนัก พวกเขายังกล้าทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีก ที่ทำไปเพราะใจกล้า หรือเป็นเพราะมีผู้อยู่เบื้องหลังกันนะ”


 


 


“ตระกูลเฉียวมีเพียงลูกสาวและลูกชายอย่างละหนึ่งคน เฉียวหมิ่นเองก็ถูกเลี้ยงดูมาแบบไข่ในหิน แม้ว่าครานั้นจะถูกกดดันจากท่านเปา จึงได้ถอดใจจากลูกคนนี้ แต่ว่าอย่างไรก็คงไม่ยอมให้จบเช่นนี้ ครั้งก่อนที่พวกจูหลานไปเยี่ยมเปาอี้ฝานที่เมืองหลวงก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ บอกว่าตระกูลเฉียวกำลังคิดหาทางเอาเฉียวหมิ่นกลับบ้าน ตอนนั้นข้าไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ก็ดีแล้ว ถือเป็นบทเรียนราคาแพง คราหน้าพี่ใหญ่จะได้รอบคอบมากขึ้น”


 


 


เมิ่งฉีทำธุรกิจมาหลายปี เข้าใจโลกมากขึ้น เขารู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในอะบางอย่าง ไม่ง่ายอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเป็นแน่ ส่ายหน้าและพูดว่า “ข้าคิดว่าเรื่องนี่ไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าว่า หากตระกูลเฉียวเพียงแต่ต้องการหาทางให้เฉียวหมิ่นกลับบ้าน เพียงแค่แอบลักลอบเข้าไปด้านในก็พอแล้ว เหตุใดจะต้องมาใส่ความพี่ใหญ่ พวกเขาไม่กลัวว่าหากเรารู้เรื่องเข้าแล้วจะแก้แค้นเขาได้หรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ แต่ใบหน้าไม่ปรากฏสีหน้าออกมา พูดว่า “รั่วหลานบอกข้ามาเพีนงถึงเท่านี้ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นนางอาจจะไม่รู้ หรืออาจจะโกหกเจ้าค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไร ขอให้ผ่านตรุษจีนไปได้ด้วยดีก่อนค่อว่ากัน ไม่ว่าพวกเขาจะมีแผนอะไรก็ตาม พวกเราจะไม่ติดกับเด็ดขาด”


 


 


วันพรุ่งก็จะเป็นวันก่อนตรุษจีนแล้ว ไม่เหมาะที่จะสบสวนเรื่องนี้ เมิ่งฉีพยักหน้า “ได้ เรื่องทั้งหมดรอผ่านตรุษจีนไปก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


เมื่อทั้งสองพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็จูงเส้าเอ๋อร์กลับบ้าน เมิ่งฉีมองพวกเขาเดินจากไป จึงได้กลับเข้าบ้านของตน


 


 


เมิ่งฉีนำคำที่เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าให้ฟังบอกหวางเยียนทุกคำ หลังหวางเยียนได้ยินแล้วก็ถอนหายใจไม่หยุด รอจนถึงหลังตรุษจีนไปแล้วจะต้องจัดการตระกูลเฉียวให้สาสมทีเดียว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจูงเส้าเอ๋อร์กลับไป เส้าเอ๋อร์เล่าเรื่องของตนให้เมิ่งเชี่ยนโยวฟังด้วยเสียงน้อยๆ เมิ่งเชี่ยนโยวฟังไปยิ้มไป แต่เมื่อใกล้จะถึงบ้านแล้ว กลับมีเสียงของพ่อค้าดังลอยมา


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนไป หยุดฝีเท้าลง


 


 


เส้าเอ๋อร์แปลกใจ จึงได้เงยหน้าขึ้นมองนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าลง ยิ้มและพูดว่า “อาได้ยินเสียงของพ่อค้ามาขายของ เส้เอ๋อร์อยากไปดูหรือไม่ว่ามีอะไรน่าซื้อหรือไม่ เลือกได้ตามใจเลยนะ”


 


 


เส้าเอ๋อร์พยักหน้าอย่างดีใจ “ขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับ พาเส้าเอ๋อร์เดินไปตามเสียงของพ่อค้า


 


 


พ่อค้าแบกหายแร่ขายของอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพาเส้าเอ๋อร์เดินมา ก็ยังคงทักทายอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง ในหายของข้ามีทุกอย่างเลย มาดูก่อนสิ ชอบอันไหนก็ซื้ออันนั้น ใกล้ตรุษจีนแล้ว ข้าบดราคาให้”


 


 


“ได้สิ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบรับ “มีของเล่นเด็กหรือไม่ ข้าจะซื้อให้หลานเล่น ตรุษจีนแล้ว จะได้มีของเล่น”


 


 


“มีสิ มีสิ” พ่อค้ารีบตอบรับ ววางหาบแร่ลง “วันก่อนข้าเพิ่งไปรับของมา ของเล่นแปลกๆ มีทุกอย่าง ให้ท่านชายน้อยเลือกดูสิ”


 


 


พูดจบก็เปิดผ้าคลุมหาบแร่ออก เผยให้เห็นสินค้าด้านใน


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจ “โอ้ สินค้าของเจ้าดีเหลือเกิน คนบ้านนอกอย่างเราไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นของดีๆ เช่นนี้”


 


 


เส้าเอ๋อร์ก็ถูกดึงดูดโดยหน้ากากของเล่นตรงหน้า ย่อตัวลง เลือกรูปแบบที่ตนชอบ แล้วลองสวมใส่บนหน้าอย่างระวัง ถามอย่างดีใจว่า “ท่านอา สวยหรือไม่”


 


 


“สวยจ้ะ หากเส้าเอ๋อร์ชอบก็เลือกไปอีกสิ เลือกไปเผื่อพี่เยวี่ยร์เอ่อร์แล้ะน้องหงเอ๋อร์ด้วย รอมีเวลาแล้วพวกเราเอาไปฝากเขา”


 


 


เส้าเอ๋อร์ตอบรับด้วยความดีใจ จากนั้นก็ก้มหน้าลงเลือกอย่างตั้งใจ


 


 


พ่อค้าถอนหายใจออกมา พูดว่า “แม่นางไม่รู้อะไร ปกติข้าขายอยู่ในเมือง แต่บ้านเป็นคนที่นี่ ช่วงนี้ไม่ใช่ใกล้ตรุษจีนหรือ ข้าเองก็อยากกลับมาฉลองที่บ้าน แต่ก็ไม่อยากกลับมามือเปล่า จึงได้ไปรับของมาขายที่บ้านเรา แต่คนกลับมองว่าข้าขายของแพง ขายมาหลายวันแล้วยังไม่ไปไม่ได้เท่าใดเลย”


 


 


“สินค้าเจ้าดีจริงๆ ราคาก็ถือว่าไม่แพง เพียงแต่แถวนี้ยังมีบ้านคนยากคนจนอยู่ คงจะไม่อยากซื้อของแพงเช่นนี้ให้เด็กเล่น” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว


 


 


พ่อค้าพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของนาง “แม่นางพูดถูก ข้าเองก็ไปขายมาหลายหมู่บ้านแล้ว ตอนแรกคนก็มามุงดูกัน แต่พอบอกราคาไปก็หายไปกันหมด ตอนหลังมีคนใจดีมาบอกข้าว่าคนในหมู่บ้านนี้พอจะเงินกัน ให้ข้ามาลองขายดู ข้าเพิ่งจะเข้าหมูบ้านมา ก็ได้พบกับเจ้า ดูท่าแล้ววันนี้ข้าคงไม่ต้องเหนื่อยเปล่าแล้วล่ะ”


 


 


เส้าเอ๋อร์เลือกหน้ากากที่ไม่เหมือนกันขึ้นมาหกอัน ยื่นให้เมิ่งเชี่ยนโยว เงยหน้าน้อยๆ ถามอย่างรอคอยว่า “ข้าซื้อพวกนี้ทั้งหมดเลยได้หรือไม่ ข้าชอบทั้งหมดเลย”


 


 


“ได้สิ เส้าเอ๋อร์ชอบก็ต้องซื้อให้อยู่แล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ พูดจบก็ถามพ่อค้าว่า “ทั้งหมดราคาเท่าไรหรือ”


 


 


“หน้ากากพวกนี้ปกติจะขายอันละสองตำลึง ของท่านมีทั้งหมดหกอัน ก็สิบสองตำลึง แต่ตรุษจีนแล้ว ถือเสียว่าข้าขายราคาถูก ขายราคาทุนให้ท่าน ให้ข้าสิบตำลึงก็พอ”


 


 


“เถ้าแก่จริงใจเสียจริง ภายหน้าจะต้องขายดีขึ้นเป็นแน่” เมิ่งเชี่ยนโยวพลางยิ้มพร้อมเชยชมเขา พลางหยิบตำลึงในแขนเสื้อออกมาจ่าย


 


 


“อัยหยา แม่นางพูดดีเสียจริง ข้าชอบฟัง ตรุษจีนแล้วถือเป็นคำมงคลนะ”พ่อค้าพูดอย่างยินดี


 


 


แต่สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับแข็งทื่อ พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ขอโทษดวยนะเถ้าแก่ ข้าไม่ได้เอาตำลึงติดมาด้วยมากเพียงนั้น ท่านตามข้าไปเอาที่บ้านได้หรือไม่”


 


 


พ่อค้าพูดอย่างยินดีว่า “ได้สิ บ้านแม่นางอยู่ที่ใดเล่า ข้าจะเดินตามไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ไปทางบ้านของตน สีหน้าของพ่อค้าเปลี่ยนไปทันที สายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วก็กลับมาเป็นดั่งเดิม ก้มลงแบกหาบแร่ของตนแล้วพูดว่า “ไปเถิดแม่นาง ข้าจะเดินตามเจ้าไป”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)