ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 169.1-171.2
ตอนที่ 169-1 มีคนวางแผน
ซุนเชี่ยนส่ายหน้า “หลังจากที่เขากลับมาแล้วเล่าเรื่องทั้งหมด ข้ารู้สึกราวกับว่าฟ้าได้ทลายลงมาอย่างนั้น ไม่มีจิตใจจะถามไถ่เขาหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นฝั่งนั้นก็ได้แห่ขบวนเอาคนมาส่ง ชาวบ้านชาวช่องต่างมาแห่มุงดู ใจข้าคิดเพียงอยากจะให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็วที่สุด จึงได้รับรั่วหลานเข้าบ้านทันที ส่วนพี่ชายของเจ้าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมรับ ฝ่ายนั้นยื่นคำขาดว่าหากไม่แสดงความรับผิดชอบก็จะไปแจ้งทางการ ข้าตัดสินใจลงไปด้วยความกลัว จึงรับนางเข้าบ้านและแบ่งห้องให้นางอาศัย”
“ฝ่ายนั้นเป็นใครที่ใดหรือ มีความสัมพันธ์ใดกับรั่วหลาน”
ซุนเชี่ยนส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ “ท่านไม่รู้อะไรเลย แล้วรับนางเข้าบ้านได้อย่างไร”
ซุนเชี่ยนอดไม่ได้จึงสะอื้นออกมาอีกครั้ง “ข้าเองก็จนปัญญา จะให้ยอมให้พี่ชายเจ้าติดคุกหรือ ไม่กลัวชื่อเสียงของตระกูลเมิ่งเสียหายหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ข้างนาง “ซ้อใหญ่ ผู้ที่อยู่ในแผนมักมองแผนไม่ออกท่านลืมไปแล้วหรือ เหตุใดท่านจึงไม่คิดว่าพี่ใหญ่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง ต่อให้ดื่มหนักเพียงใด ก็ไม่มีทางทำเรื่องนอกลู่นอกทางได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากรั่วหลานเป็นสาวบริสุทธิ์จริง ตอนนั้นนางจะไม่ขัดขืนเลยหรือ หากมองให้ชัดแล้ว นี่ก็เป็นเพียงละครที่สร้างขึ้นมาใส่ร้ายพี่ใหญ่ก็เท่านั้น ท่านทำการค้าขายมาหลายปีแล้ว เล่ห์กลของคนเราก็พบมาไม่น้อย กลับมาตกม้าตายกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
ซุนเชี่ยนอ้าปากค้าง มองนางอย่างตกใจ สักครู่จึงถามออกไปด้วยความไม่มั่นใจว่า “เจ้าหมายความว่าพี่ของเจ้าไม่เคยแตะต้องนางอย่างนั้นหรือ”
“เรื่องนั้นก็พูดยากเจ้าค่ะ ต้องดูว่าขณะนั้นพี่ใหญ่เป็นอย่างไร หากเขาถูกวางยาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก็มีโอกาสจะไปทำลายเกียรติของรั่วหลาน แต่หากเพียงแค่ดื่มจนเมาเท่านั้น อย่างนั้นโอกาสที่พี่ใหญ่จะถูกใส่ความก็มีมาก”
ซุนเชี่ยนลุกขึ้น พูดอย่างร้อนใจว่า “เซี่ยงกงอยู่ด้านนอก ข้าจะเรียกเขาเข้ามาถามไถ่ให้รู้ความ”
พูดจบ ก็เดินตรงไปยังหน้าประตู ตะโกนออกไปด้านนอกว่า “เซี่ยงกง น้องเล็กมีเรื่องอยากจะถามท่าน”
ตั้งแต่เกิดเรื่องของรั่วหลานขึ้น ซุนเชี่ยนก็ไม่ได้ขานเขาเช่นนี้อีก เมิ่งเสียนที่นั่งคุกเข่ารู้สึกผิดอยู่ ได้ยินเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ลุกขึ้นยืนทันที สาวเท้ายาวเดินเข้าไปในห้องทันที
เมิ่งซื่อจูงมือเส้าเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะอ้าปากถามไถ่ความเป็นมาของเรื่องราว เมิ่งเจี๋ยที่ไปส่งของขวัญวันตรุษจีนที่หลี่จวงกับเมิ่งเอ้ออิ๋นตะโกนอย่างตื่นเต้นพร้อมวิ่งเข้ามาใน
บริเวณจวน “พี่ใหญ่ กลับมาแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ยิ้มตอบรับ
เมิ่งเจี๋ยวิ่งเข้ามาหานางด้วยความรวดเร็ว พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “เมื่อข้าและท่านพ่อเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็บอกว่าท่านและพี่ชายรองกลับมาแล้ว ข้าและท่านพ่อจึงได้รีบกลับมา” เมื่อสิ้นเสียง เมิ่งเอ้ออิ๋นก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างดีใจ
เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจเสียยิ่งกว่าเมิ่งเจี๋ย “กลับมาก็ดีแล้ว พ่อและแม่คิดว่าการค้าขายในเมืองหลวงยุ่งมาก จนเจ้าและโยวเอ๋อร์จะไม่ได้กลับบ้านเสียแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “การค้าช่วงก่อนตรุษจีนนั้นยุ่งเสียจนไม่มีเวลาเขียนจดหมายมาถึงที่บ้าน จนทำให้ท่านพ่อและท่านแม่เป็นห่วง”
เมิ่งเจี๋ยเงยหน้า ถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “พี่โยวเอ๋อร์ พ้นตรุษจีนไปแล้วข้าขอติดตามท่านไปที่เมืองหลวงได้หรือไม่ ท่านอาจารย์ที่สำนักบอกว่าเมืองหลวงทั้งใหญ่ทั้งเจริญหูเจริญตานัก หมู่บ้านชิงซีของพวกเรานั้นหาที่เปรียบไม่ได้เลย ข้าอยากไปเห็นกับตาสักครั้ง”
เมิ่งเชี่ยนโยงลูบหัวของเขา “โรงเรียนในเมืองเริ่มการสอนเมื่อไรหรือ”
เมิ่งเจี๋ยตอบอย่างรวดเร็วว่า “ต้นเดือนสองขอรับ”
“อื้ม อย่างนั้นพ้นตรุษจีนแล้ว พี่จะพาเจ้าไปเมืองหลวง” เมิ่งเชี่ยนโยวรับปาก
เมิ่งเจี๋ยตบมือด้วยความดีใจ
เมิ่งเส้าเดินก้าวสั้นๆ ออกมาจากห้อง คว้าชายเสื้อของเมิ่งเชี่ยนโยวอ้อนวอนว่า “ท่านอาขอรับ ข้าก็อยากไปเช่นกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มลงไปอุ้มเขาขึ้นมา “ได้สิ ถึงตอนนั้นอาจะพาเจ้าไปด้วยกัน พวกเราไปกันหมดทั้งครอบครัวเลย”
เมิ่งเส้าตบมืออย่างดีใจตามแบบเมิ่งเจี๋ย
เมิ่งเชี่ยนโยววางเขาลง กล่าวว่า “เส้าเอ๋อร์ ไปเล่นกับอาเจี๋ยของเจ้าก่อน อาและท่านปู่ของเจ้ามีเรื่องจะต้องพูดกัน”
เมิ่งเส้าพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เมิ่งเจี๋ยรู้ว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกัน จึงจูงเมิ่งเส้าไปเล่นที่ห้องของเขา
เมิ่งเอ้ออิ๋นเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อเห็นดวงตาที่บวมแดงก่ำของซุนเชี่ยน และสีหน้ารู้สึกผิดของเมิ่งเสียนก็เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นความรู้สึกยินดีเมื่อได้พบเมิ่งเชี่ยนโยวในตอนแรกหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถอนหายใจออกมา นั่งลงบนเก้าอี้
เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนยืนอยู่อีกด้าน
“พี่ใหญ่ ระหว่างพี่และรั่วหลานเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลองอธิบายมาทีเถิด” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เมิ่งเสียนมองซุนเชี่ยนด้วยความรู้สึกผิด บอกเล่าความเป็นมาของเรื่องราวด้วยเสียงแผ่วเบา ที่แท้ของที่ผลิตจากโรงงานนั้นล้วนอยู่ในความดูแลของเซี่ยเจียงเฟิงและจูหลาน แต่ช่วงก่อนหน้านี้ร้านอาหารสำเร็จรูปในเมืองของจูก่างเกิดปัญหาขึ้น ถูกบังคับให้ปิดกิจการ กุนเชียง น้ำมันพริกที่ผลิตมาจึงเหลือเป็นจำนวนมาก เมื่อเข้าใกล้ตรุษจีน เมิ่งเสียนอยากจะออกไปหาลูกค้า จึงได้นำของที่กักตุนเอาไว้ออกมาขายจนหมด พอดีกับตอนนั้นมีเถ้าแก่แซ่หลิวจากเมืองชิงเหอบอกว่าตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ อยากจะกว้านซื้อกุนเชียงและน้ำมันพริกจำนวนมากกลับไปขาย แต่ว่าไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่ เมิ่งเสียนจึงไม่กล้าขายให้เขา
เถ้าแก่ที่แซ่หลิวผู้นั้นจึงได้เชื้อเชิญเขาเข้าเมืองเพื่อไปเยี่ยมชมร้านของเขา หลังจากพิจารณาดูแล้ว จึงพูดว่า “ข้าไม่แย่งกิจการของตระกูลจูหรอก หากพวกเขาเปิดร้านอาหารสำเร็จรูปขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็จะไม่ขายกุนเชียงและน้ำมันพริกเหล่านี้อีกต่อไป”
เมิ่งเสียนเห็นว่าท่าทางของเขาจริงใจ พูดจาอ่อนน้อม จึงเกิดความสนใจขึ้น และได้นัดหมายวันเวลาที่จะเดินทางไปดูร้านของเขา
เมื่อถึงวันที่นัดหมาย เมิ่งเสียนเดินทางไปในเมืองผู้เดียว ไปตรวจสอบรอบๆ บริเวณร้านที่เถ้าแก่หลิวได้บอกไว้ สอบถามผู้คนรอบๆ ร้าน ต่างก็บอกว่าร้านนี้เปิดมานานหลายปีแล้ว เถ้าแก่แซ่หลิวจริงๆ
เมิ่งเสียนไม่สงสัยอะไร เข้าไปที่ร้าน เถ้าแก่หลิวกำลังสั่งให้ลูกน้องจัดวางของอยู่ เมื่อเห็นเมิ่งเสียนเดินเข้ามา จึงได้ตอนรับอย่างยิ้มแย้ม และยังพาเขาเดินชมรอบๆ ร้านอีกด้วย เมื่อเห็นว่าร้านรวงใหญ่โต คนงานก็จำนวนไม่น้อย ผู้คนที่เข้ามาซื้ออาหารสำเร็จรูปก็มีจำนวนมาก เมิ่งเสียนเห็นว่าสามารถทำการค้าด้วยได้ จึงได้บอกเถ้าแก่ไปว่า วันพรุ่งสามารถไปขนสินค้าได้เลย
เถ้าแก่หลิวดีใจเป็นอย่างมาก คะยั้นคะยอชักชวนให้เมิ่งเสียนไปดื่มเหล้า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของการค้าขาย เมิ่งเสียนปฏิเสธไม่ได้ จึงตอบตกลงไป ครั้งแรกคิดว่าจะไปที่โรงเหล้าใดสักแห่ง ไม่คิดเลยว่าลงจากรถม้ามาแล้วจะพบว่าเป็นบ้านของเถ้าแก่หลิวเอง
เมิ่งเสียนรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงรีบปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่หลิวจะอัธยาศัยดีมาก คะยั้นคะยอให้เขาเข้าไปในจวนของตน พร้อมกับสั่งคนให้ไปเอาเหล้าอย่างดีมา เมิ่งเสียนจนปัญญา จึงทำได้เพียงดื่มเหล้ากับเขา
เถ้าแก่หลิวผู้นั้นเป็นคนตรงไปตรงมา เรื่องใดเกี่ยวข้องกับการค้าขายเขาก็ได้พูดออกมาหมด ไม่มีปิดบัง ไม่นานเมิ่งเสียนก็เริ่มคลายความกังวล เริ่มพูดคุยสนุกกับเขา ทั้งสองยิ่งคุยกันก็ยิ่งถูกคอ จนทำให้ดื่มไปมากอย่างไม่รู้ตัว กว่าเมิ่งเสียนจะรู้ตัวว่าดื่มไปมาก ภาพตรงหน้าก็ได้เริ่มหมุนเป็นวงกลมแล้ว แต่เถ้าแก่หลิวกลับไม่เป็นอะไรเลย หัวเราะและพูดว่า “ท่านเมิ่งดื่มหนักไปแล้ว วันนี้ค้างที่บ้านข้าสักคืนเถิด รอวันพรุ่งค่อยกลับบ้าน”
ต่อให้เมิ่งเสียนอยากจะกลับบ้านก็ไม่มีแรงกลับอยู่ดี จึงปล่อยให้เถ้าแก่หลิวพยุงตนไปไว้ในห้องรับแขก จากนั้นก็กลับสนิทไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เขารู้สึกว่ามีคนมาถูกตัวเขา แต่ขณะนั้นเขาเองก็ไม่มีสติแล้ว คิดว่าเป็นซุนเชี่ยน จึงได้ทำเรื่องอย่างว่าลงไป เสร็จแล้วก็รู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก จึงได้หลับสนิทในทันที เมื่อตื่นขึ้นจึงได้พบว่าตนเองนอนเปลือยกายอยู่ด้านข้างหญิงแปลกหน้าผู้หนึ่ง ตกใจจนกระโดดออกจากเตียงนอน การกระทำของเขาปลุกให้หญิงที่นอนอยู่ตื่นขึ้น หญิงผู้นั้นกรีดร้องเสียงดัง เถ้าแก่หลิวจึงพาคนบุกเข้ามา เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า จึงโกรธจนแทบลมจับ ชี้หน้าด่าทอเมิ่งเสียนว่า “ข้าคิดว่าท่านเป็นคนดี จึงได้กล้าให้มาดื่มเหล้าและค้างแรมที่นี่ คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะทำเรื่องเช่นนี้ลงไป วันนี้ท่านต้องตอบข้าว่าจะรับผิดชอบเช่นไร ไม่เช่นนั้น ข้าจะไปฟ้องทางการเดี๋ยวนี้”
ขณะนั้นเมิ่งเสียนงงไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
ตอนที่ 169-2 มีคนวางแผน
หญิงสาวบนเตียงเอาแต่ร้องไห้ ขอร้องแทนเขาว่า “ท่านลุงเขย ข้าได้กลายของท่ายชายเมิ่งไปแล้ว หากท่านไปแจ้งท่านการ ต่อไปข้าจะทำเช่นไร หลานเอ๋อร์ขอร้องท่านล่ะ ปล่อยเขาไปเถิด”
แม้ว่าเถ้าแก่หลิวจะโกรธเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนึกถึงชื่อเสียงของรั่วหลาน เขาจึงได้กดอารมณ์โกรธลง ถามเมิ่งเสียนด้วยเสียงจริงจังว่า “ท่ายชายเมิ่ง ท่านพูดมาเถิด เรื่องนี้ท่านจะจัดการอย่างไร”
ในหัวของเมิ่งเสียนมีเพียงความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เมื่อเถ้าแก่หลิวเห็นดังนั้น จึงได้ตัดสินใจแทนเขา “ข้ารู้ว่าท่านมีภรรยาอยู่แล้ว ข้าเองก็ไม่บังคับให้ท่านรับรั่วหลานเป็นภรรยาเอก ท่านกลับไปเตรียมตัวเถิด วันพรุ่งข้าจะส่งรั่วหลานไปเป็นภรรยาน้อยของท่าน”
เมิ่งเสียนไม่ตอบรับ
เถ้าแก่หลิวพูดจบ ก็ได้พาคนออกไปจากห้อง โดยไม่ได้ใส่ใจว่าท่าทีของเขาจะเป็นเช่นไร
เมิ่งเสียนนั่งลงบนเตียงอย่างงุนงง รั่วหลานเปิดผ้าห่มออกเผยให้เมิ่งเสียนเห็นรอยเลือดสีแดงสด กล่าวว่า “เซี่ยงกงเมิ่ง เมื่อคืนข้านำน้ำชามาให้ท่านตามคำสั่งของลุงเขย แต่ก็ถูกท่านครอบครองร่างกายอันบริสุทธิ์ของข้าเพราะฤทธิ์ของมึนเมา รั่วหลานเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอ แม้ว่าจะไม่เต็มใจอย่างไร ก็คงจะต้องอยู่กับท่านไปชั่วชีวิตนี้”
เมิ่งเสียนลุกขึ้น สวมใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว วิ่งโซเซออกมาจากจวนหลิว กลับมาถึงบ้านอย่างมึนงง เรื่องต่อจากนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้รู้ทั้งหมดแล้ว
เมื่อฟังคำของเขาจบ ใบหน้าของซุนเชี่ยนซีดเผือดไป เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อกลับถอนหายใจออกมา เมิ่งเสียนก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด ไม่กล้ามองหน้าใครทั้งสิ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งสี่ตะลึงไป มองไปที่นางพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะอยู่นาน จนกระทั่งเมิ่งซื่อทนไม่ไหวจึงได้ดุนางเข้า นางจึงหยุดหัวเราะ และพูดกับทุกคนว่า “พ่อ แม่ พี่ใหญ่ ซ้อ พวกท่านยังไม่รู้อีกหรือ ว่าพี่ใหญ่น่ะถูกคนใส่ความเข้าแล้ว”
เมื่อรู้ว่านางหัวเราะด้วยเรื่องนี้ เมิ่งซื่อจึงโมโหขึ้น แล้วดุนางไปว่า “พวกเรารู้ดีว่าพี่ของเจ้าถูกใส่ร้าย เพราะว่าหลังจากที่เถ้าแก่หลิวพารั่วหลานมาส่งที่บ้านเรา ก็ไม่เคยมาเหยียบที่นี่อีกเลย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพี่เจ้ากับรั่วหลานเอง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง แล้วเจ้ายังจะหัวเราะออกอีกหรือ”
“ข้าก็ต้องหัวเราะออกน่ะสิ เพราะข้ารู้ดีว่าพี่ใหญ่ไม่ได้แตะต้องรั่วหลานเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พวกนั้นแสดงขึ้นมาทั้งหมดเพื่อจะใส่ร้ายพี่ใหญ่ เพื่อให้พี่ใหญ่รับรั่วหลานเข้ามาเป็นเมียน้อย ส่วนเรื่องของจุดประสงค์ ก็เพื่อจะทำลายชื่อเสียงของตระกูลเรา แต่ว่า พวกนั้นหายหน้าไปนานเพียงนี้ คาดว่ายังมีแผนต่อจากนี้อีก หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด คงจะรอถึงตรุษจีน ให้เราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้วค่อยมาทำเรื่องที่เราคาดไม่ถึงเป็นแน่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างอารมณ์ดี
เมิ่งนางพูดจบ สีหน้าซีดเผือดของซุนเชี่ยนหายไป กลับมามีสีหน้าสดใสดังเดิม ถามอย่างตกตะลึงว่า “น้องเล็ก เจ้าพูดจริงหรือ พี่ชายของเจ้าไม่ได้แตะต้องรั่วหลานจริงหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างแน่ใจ “ไม่มีทางเป็นแน่ แต่ข้ารู้ได้อย่างไรนั้น อีกครู่ข้าจะบอกท่าน”
เมิ่งเสียนมองนางอย่างรอคอยและมีความหวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของเขา จึงถามอย่างจงใจว่า “พี่ใหญ่ ท่านคงมิได้ผิดหวังเพราะรู้ว่าไม่ได้ครอบครองรั่วหลานจริงๆ หรอกนะเจ้าคะ”
เมิ่งเสียนยกมือปฏิเสธทันที พร้อมส่ายหน้าระรัว “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่มีน่ะดีที่สุดแล้ว” พูดจบจึงได้ถามอย่างสงสัยว่า “น้องเล็ก เจ้าพูดจริงหรือ คืนนั้นข้ารู้สึกได้จริงนะว่าข้าได้ทำ…” ประโยคหลังเข้าไม่ได้พูดออกมา แต่คนในห้องกลับเข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร ทั้งห้องจึงได้เงียบไปชั่วขณะ
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหัวเราะและพูดว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่เชื่อใครอื่นแต่ยังไม่เชื่อน้องสาวอีกหรือ ข้าเคยหลอกลวงท่านเมื่อใดกัน หากท่านไม่เชื่อข้า รอจนค่ำท่านและซ้อไปทำการทดสอบดูก็รู้แล้วเจ้าค่ะ”
ซุนเชี่ยนหน้าแดงขึ้น ใบหน้าของเมิ่งเสียนก็มีสีแดงขึ้นเล็กน้อย
เมิ่งเอ้ออิ๋นสองสามีภรรยามองตากัน เมิ่งซื่อถามอย่างไม่วางใจว่า “โยวเอ๋อร์ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของหญิงสาวเชียวนา เจ้าจะมาพูดมั่วมิได้เด็ดขาด หากเป็นความผิดพลาดของพี่ใหญ่ของเจ้าจริง ตระกูลเมิ่งของเราก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น”
“ท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวโอบไหล่นาง พูดลากเสียงอย่างออดอ้อนว่า “ข้ารับรองว่า เรื่องนี้เป็นการวางแผนของคนพวกนั้นเป็นแน่ เรื่องเช่นนี้ข้าพบมามากแล้ว ท่านวางใจเถิด ไม่นานข้าจะสืบสาวราวเรื่องจนรู้ความจริงให้ได้ นำความบริสุทธิ์กลับคืนมาให้พี่ใหญ่”
ในที่สุดเมิ่งเอ้ออิ๋นก็เปิดปากพูด “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ พ่อก็เชื่อเจ้า ตระกูลเมิ่งต้องพึ่งพาเจ้ากู้คืนกลับมา”
“พวกท่านจงฉลองตรุษจีนอย่างสบายใจได้เลย รอพ้นตรุษจีนแล้ว ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนจนได้”
คนในครอบครัวรู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวดี ไม่มีเรื่องใดที่นางเอ่ยปากแล้วทำไม่ได้ เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ เมิ่งเอ้ออิ๋นสองสามีภรรยาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมกัน ใบหน้าเผยรอยยิ้มจริงใจที่ไม่ได้มีมาเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งเดือน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างออดอ้อนเมิ่งซื่อว่า “ท่านแม่ ไม่มีเรื่องแล้ว ท่านและซ้อควรไปทำอาหารให้ข้ากินแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนกำลังจะไปเตรียมอาหารให้เมิ่งเชี่ยนโยว แต่กลับเสียเวลาจนถึงบัดนี้ จึงได้รีบสาวเท้าเดินออกไปด้านนอก “จริงด้วยสิ เจ้าคงหิวแย่แล้ว ข้าจะไปเตรียมอาหารให้เจ้าเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ซุนเชี่ยนเองก็ได้เดินตามออกไปด้านนอก พูดว่า “ท่านแม่ ข้าไปช่วยเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนห้ามนาง และพูดกับเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ ท่านไปช่วยท่านแม่ทำอาหารนะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับซ้อเสียหน่อยเจ้าคะ”
เมิ่งเสียนพยักหน้า เดินออกไปด้านนอก
เมิ่งเอ้ออิ๋นยืนขึ้น พูดว่า “ข้าเองก็จะไปช่วยด้วย” และได้เดินตามออกไป
ซุนเชี่ยนมองอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวจูงนางเข้าไปในห้องของตนเอง กระซิบข้างหูนาง ซุนเชี่ยนเงยหน้าขึ้น แววตาสว่างขึ้น ถามด้วยเสียงกังวลว่า “น้องเล็ก เจ้าพูดจริงหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า และกระซิบข้างหูนางอีกครั้งว่า “หากซ้อไม่เชื่อข้า ตกดึกท่านก็ไปลองดูได้เจ้าค่ะ”
ใบหน้าของซุนเชี่ยนแดงขึ้น พยักหน้าเล็กน้อย “ได้ ข้าเชื่อเจ้า ตกดึกข้าจะลองดู หากเป็นดังเจ้าพูดจริง ข้าก็จะไม่เกรงใจหญิงที่ชื่อรั่วหลานนั่นอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเอาไว้ “ยามนี้นางก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยของพี่ใหญ่ หากท่านยื่นมือไปทำร้ายนาง จะทำให้ผู้คนไปพูดลับหลังว่าเป็นความผิดท่านได้ ท่านไม่ต้องใส่ใจหรอก เรื่องนางให้ข้าจัดการดีกว่า ท่านก็ทำเพียงไม่รู้ไม่เห็นใดๆ ทั้งสิ้น”
ซุนเชี่ยนตอบรับ “ได้สิ ซ้อฟังเชื่อเจ้า”
“ท่านน่ะ ทำใจให้สบายเถิด ดูแลสุขภาพให้ดี ขุนเอาเนื้อหนังที่ผอมไปในช่วงนี้กลับคืนมา ข้าพูดจริงนะ เมื่อครู่ข้าเห็นท่านทำเอาตกใจแทบแย่ หากไม่ใช่ท่านแม่เล่าเรื่องพี่ใหญ่ให้ข้าฟังก่อนหน้า ข้าคงคิดว่าท่านเป็นโรคร้ายอะไรเสียแล้ว”
“ตั้งแต่รั่วหลานเข้ามาในบ้าน ครั้งใดที่ข้าเห็นนางก็รู้สึกเจ็บปวด นอนก็นอนไม่หลับ กินก็กินไม่ลง จึงทำให้ผอมลงเช่นนี้ แต่นี่ดีแล้ว พี่ใหญ่ของท่านไม่ได้แตะต้องตัวนาง ใจข้าก็ไม่ทรมานอีก เนื้อหนังที่ผอมไปนั้นไม่นานคงขุนกลับมาได้ดังเดิม”
เมื่อรู้ว่าเมิ่งเสียนไม่ได้แตะต้องรั่วหลาน อารมณ์ของซุนเชี่ยนก็ดีขึ้นมาไม่น้อย รอยยิ้มก็กลับมาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง กลับมาพูดเก่งดังเดิม ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันครู่หนึ่ง รอจนเมิ่งซื่อทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อยเรียกพวกนางไปรับประทาน ทั้งสองจึงเดินไปที่ครัว
อาหารถูกจัดวางเรียบร้อยแล้ว เมิ่งซื่อขานเรียกชิงหลวนและจูหลีที่ยืนอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด
ทั้งสองยกมือปฏิเสธอย่างตกใจ “ฮูหยิน พวกเราเป็นเพียงบ่าวไพร่ ไม่ควรร่วมโต๊ะกับเจ้านายเจ้าค่ะ พวกท่านเชิญรับประทานเถิด รอพวกทานทานเสร็จแล้ว พวกเราค่อยไปกินสองสามคำก็พอเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนเดินออกจากห้อง ได้ยินบทสนทนาของชิงหลวนพอดี จึงพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “บ้านเราไม่มีธรรมเนียมให้คนคอยยืนรับใช้หรอก พวกเจ้ามาร่วมโต๊ะด้วยกันเถิด”
ตอนที่ 170-1 ซุนวั่งมาหาถึงที่บ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนเดินออกจากห้อง ได้ยินบทสนทนาของชิงหลวนพอดี
จึงพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “บ้านเราไม่มีธรรมเนียมให้คนคอยยืนรับใช้หรอก พวกเจ้ามาร่วมโต๊ะด้วยกันเถิด”
ที่จริงแล้วเมื่อครั้งอยู่ที่เมืองหลวงเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีก็ได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับบ่าวอยู่หลายครั้ง แต่เนื่องด้วยมีเพียงพวกเขาเป็นเจ้านาย คนที่เหลือเป็นบ่าวไพร่ทั้งหมด ชิงหลวนและจูหลีไม่รู้สึกอะไร แต่วันนี้ทั้งโต๊ะเป็นเจ้านายทั้งสิ้น มีเพียงเขาทั้งสองเป็นบ่าว จึงรู้สึกไม่เหมาะสม บัดนี้ได้ยินคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วทั้งสองจึงมองหน้ากัน รอจนทุกคนนั่งลงแล้วจึงค่อยนั่งลงอย่างเรียบร้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับทุกคนว่า “สองคนนี้เป็นสาวใช้ที่พระชายามอบให้ข้ามา ฝีมือการต่อสู้เก่งกาจนัก มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้า”
เมื่อนางพูดเช่นนี้ เมิ่งซื่อก็ยิ่งยินดี ตักข้าวใส่จานส่งให้สองคนด้วยตัวเอง
ชิงหลวนและจูหลีตกใจแทบแย่ รีบลุกขึ้นยืน พูดอย่างจริงจังว่า “ฮูหยิน พวกเราทำเองดีกว่าเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อหัวเราะและพูดว่า “พวกเจ้ากินเยอะๆ นะ จากนี้ไปฝากดูแลโยวเอ๋อร์ด้วย”
ทั้งสองรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา พูดว่า “เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วเจ้าค่ะ แม้ว่าฮูหยินจะไม่พูด พวกเราก็ต้องเอาความเปลอดภัยของเจ้านายเป็นที่หนึ่งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อกำลังจะพูดต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวปรามไว้ “ท่านแม่ หากท่านพูดต่อไป สองคนนั้นจะไม่กล้ากินข้าวแล้วนะเจ้าคะ ทำเหมือนว่าสองคนนั้นเป็นคนในครอบครัวเราก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสองพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินมองเราเป็นสาวใช้ทั่วไปก็พอเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อนั่งลง เมิ่งเชี่ยนโยวบอกกับทั้งสองว่า “อยากกินอะไรก็คีบเอานะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ทั้งสองพยักหน้า
ไม่ได้กินอาหารฝีมือเมิ่งซื่อมานานหลายเดือน เมิ่งเชี่ยนโยวกินแล้วรู้สึกอร่อยกว่าปกติมาก
เมิ่งซื่อเห็นดังนั้น จึงปลื้มใจไม่น้อย จึงเอาแต่คีบอาหารใส่ในจานของนาง ซุนเชี่ยนเช่นกัน ทำเอาคนเมิ่งเส้าตัวเล็กประท้วงขึ้นมา
ในบ้านไม่ได้มีบรรยากาศร่าเริงเช่นนี้มานานแล้ว ขนาดเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อก็กินไปไม่ใช่น้อย ส่วนซุนเชี่ยนนั้นไม่ต้องพูดถึง ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอกแล้ว รู้สึกสบายใจยิ่งนัก เจริญอาหารขึ้นมาทันใด ใบหน้าของเมิ่งเสียนเองก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
มื้ออาหารจบลงด้วยบรรยากาศสุขสันต์ กินจนจุกกันแทบทุกคน เมิ่งเชี่ยนโยวอิ่มกว่าใคร นางยืนขึ้น เดินไปเดินมาในห้องครัว พูดกับเมิ่งซื่ออย่างออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ต้องโทษที่ท่านทำอาหารอร่อยเหลือเกิน ทำเอาข้ากินจนจุกเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็ปลื้มใจจนยิ้มไม่หุบ กล่าวว่า “กินเยอะๆ น่ะดีแล้ว แม่ว่าเจ้าไปอยู่เมืองหลวงมาซูบผอมไปบ้าง ตรุษจีนนี้แม่จะขุนเจ้าให้กลับมาเป็นดังเดิม”
คนเป็นแม่คิดเช่นนี้เหมือนกันทั้งโลก ไม่ว่าลูกๆ อยู่ภายนอกจะใช้ชีวิตดีเพียงใด คนเป็นแม่ก็ต่างคิดว่าลูกๆ ต้องอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยและหิวโหย เมื่อกลับมาบ้านแม่ก็จะต้องหาวิธีบอกรักลูกของตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกซาบซึ้ง ยิ้มและพูดว่า “เจ้าค่ะ ท่านแม่ทำเท่าไรข้าจะกินให้หมดเลย หากตรุษจีนนี้ไม่อ้วนขึ้นสักห้ากิโลข้าก็ไม่ขอกลับเมืองหลวง”
เมิ่งซื่อได้ยินดังนั้นก็ดีใจยิ่งนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านไปเยี่ยมท่านปู่และย่ากับข้าได้หรือไม่ ข้าไม่ได้ไปเยี่ยมท่านนานแล้ว คิดถึงเหลือเกิน”
ลูกของตนคิดถึงผู้หลักผู้ใหญ่ เมิ่งเอ้ออิ๋นย่อมรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา จึงพยักหน้าว่า “ได้สิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “อี้เซวียนฝากของมาให้ท่านปู่และท่านย่ามากมาย กองอยู่ในห้องเก็บของหมด ฟ้ามืดแล้วจะไปหาลำบาก รอจนวันพรุ่งพวกเราค่อยนำไปให้ท่านปู่และท่านย่าเถิด”
“เพียงเจ้ามีน้ำจิตรน้ำใจคิดถึงท่าน ต่อให้ไม่นำของไปฝากปู่และย่าก็ต้องดีใจมากเช่นกัน” เมิ่งเอ้ออิ๋นกล่าว
เมิ่งซื่อพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่น่ะสิ ท่านปู่และท่านย่ามักถามถึงเจ้า บัดนี้เจ้ากลับมาแล้ว ไปเยี่ยมพวกท่าน พวกท่านจะต้องดีใจเป็นแน่”
เมิ่งเอ้ออิ๋นลุกขึ้นเดินไปด้านนอก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามไปด้านหลัง เมื่อเดินผ่านซุนเชี่ยนก็ขยิบตาให้นาง ใบหน้าของซุนเชี่ยนแดงระเรื่อขึ้น แต่ก็ยังพยักหน้าเล็กน้อย
รอจนกระทั่งเก็บกวาดครัวเรียบร้อยแล้ว ซุนเชี่ยนเดินไปตรงหน้าเมิ่งซื่อ พูดด้วยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ คืนนี้ข้ามีเรื่องจะคุยกับเซี่ยงกง ให้เส้าเอ๋อร์นอนกับท่านหนึ่งคืนได้หรือไม่เจ้าคะ”
เมิ่งซื่อตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ได้สิ พวกเจ้ามีธุระก็ไปคุยกัน คืนนี้เส้าเอ๋อร์นอนกับข้า”
แต่เมิ่งเสียนมองซุนเชี่ยนอย่างสงสัย
เมื่อได้ยินเมิ่งซื่อตอบตกลง ซุนเชี่ยนหน้าแดงขึ้น พร้อมดึงมือเมิ่งเสียนไปยังห้องนอนของตน
บัดนี้เมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจินอาศัยอยู่ที่บ้านเดิมของอาจารย์โจว หลังจากที่เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากจวนของตนเองไปได้ไม่ไกล เมิ่งฉีก็ได้เดินเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสอง จึงตะโกนเรียกเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “ท่านพ่อ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบรับ
“ข้ากำลังจะไปหาท่านที่บ้านพอเลยเชียว ท่านกับน้องจะไปที่ใดหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างยิ้มๆ ว่า “ข้าและท่านพ่อจะไปบ้านท่านปู่ท่านย่า พี่รองไปด้วยกันสิเจ้าคะ”
ทีแรกเมิ่งเสียนตั้งใจจะถามไถ่เรื่องของเมิ่งเสียนเสียก่อนจึงค่อยไปบ้านใหญ่ แต่เมื่อได้ยินคำของนาง จึงพยักหน้า หันเท้ากลับไป เดินตามทั้งสองไป
ประตูของบ้านใหญ่ไม่ได้ปิดเอาไว้ ทั้งสามจึงเดินเข้าไป
เมิ่งอี้และโจวอิ๋งพาหงเอ๋อร์กลับมาแล้ว คนทั้งครอบครัวมีความสุขมาก เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จแล้วก็นั่งรวมตัวกันอยู่ที่ห้องของเมิ่งจงจวี่ เมื่อได้ยินเสียงเท้าคนในบริเวณบ้าน ภรรยาเมิ่งต้าจินจึงเดินออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นว่าเป็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยว จึงพูดอย่างดีใจว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ น้องชายรองพาโยวเอ๋อร์และฉีเอ๋อร์มาแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงดีใจของท่านย่าที่อยู่ในห้องดังขึ้น “โยวเอ๋อร์หรือลูก เข้ามาหาย่าเร็ว”
ภรรยาของเมิ่งต้าจินเปิดม่านประตูให้ทั้งสามเข้ามา
“ท่านป้าเจ้าขา/ขอรับ” เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีตะโกนพร้อมกัน
ภรรยาของเมิ่งต้าจินยิ้มรับ
ทั้งสามเดินเข้าไปในห้อง ท่านย่านั่งอยู่บนคั่ง[1]ที่อบอุ่น กวักมือให้เมิ่งเชี่ยนโยว “มา มาหาย่าเร็วลูก”
สามีภรรยาเมิ่งต้าจิน เมิ่งเสียวเถี่ย สามีภรรยาเมิ่งอี้ก็อยู่พร้อมหน้า หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวทักทายทุกคนแล้ว จึงได้เดินไปนั่งข้างกายท่านย่า
ท่านย่าจับมือนางขึ้นมาชั่งความหนักอยู่นานสองนาน จนกระทั่งพูดออกมาว่า “อื้ม ไม่ได้ผอมลงไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ “ท่านย่าเจ้าคะ ข้ามีบ้านในเมืองหลวง กินดีอยู่ดี เรื่องการค้าขายก็เป็นของถนัดของพี่รองและพี่เมิ่งอี้ ไม่ต้องให้ข้ากังวลใจเลยแม้แต่น้อย ข้าจะผอมได้อย่างไรเจ้าคะ”
ท่านย่าตบมือของนาง พูดว่า “อย่างนั้นก็ดีแล้ว เป็นครั้งแรกที่เจ้าจากบ้านไปนานเช่นนี้ ย่ากับแม่ของเจ้าเป็นห่วงแทบแย่”
ภรรยาเมิ่งต้าจินอยู่ด้านข้าง จึงพูดไปว่า “โยวเอ๋อร์เก่งเพียงใดพวกเรารู้กันดี ข้าบอกกับท่านและน้องสะไภ้แต่แรกแล้วว่ามิต้องเป็นห่วงดอก”
“จะพูดอย่างนั้นก็ใช่ แต่นางอยู่ที่นั่นไม่มีคนคอยดูแล พวกเราจะวางใจได้อย่างไรกัน หากเมื่อไรนางแต่งงานกับอี้เซวียนแล้ว มีครอบครัวอยู่ที่เมืองหลวงจริงๆ พวกเราจึงจะวางใจไปได้มาก” เมื่อผู้เป็นย่ากล่าวถึงเรื่องงานแต่งของนาง เมิ่งต้าจินจึงได้ถามไปว่า “นั่นสิ โยวเอ๋อร์ เจ้าและอี้เซวียนจะแต่งงานกันเมื่อใด”
ทุกคนมองนางอย่างรอคอย
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดีว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้นคำถามเช่นนี้ จึงยิ้มและตอบว่า “อี้เซวียนเพิ่งยกเลิกการหมั้นหมายกับคุณหนูแห่งจวนราชเลขา หากพวกเราจะตกลงเรื่องการหมั้นหมายในยามนี้ก็คงไม่เหมาะสมเท่าใด รอให้ผ่านไปสักระยะเถิด ส่วนเรื่องแต่งงานนั้น อี้เซวียนยังเด็ก ข้าคิดว่าอยากรอสักสองปีค่อยคิดเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้!” ปู่ย่าและพ่อปฏิเสธพร้อมกัน “เจ้าย่างเข้าสิบเก้าปีแล้วนา อีกสองปีก็ยี่สิบกว่าแล้ว ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด! เจ้ากลับไปบอกอี้เซวียน อย่างช้าที่สุด ภายในปีนี้จะต้องจัดการเรื่องหมั้นหมายให้เรียบร้อย”
เมิ่งฉีทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาเล็กน้อย ยิ้มตอบรับว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านย่า ข้ากลับไปแล้วจะนำคำของท่านไปบอกกับเขา” พูดจบ ก็พูดต่อว่า “อี้เซวียนฝากของมาให้ครอบครัวเราไม่น้อย แต่เวลาดึกมากแล้ว ข้าจึงไม่ได้นำมาด้วย รอจนวันพรุ่งพวกเราจะเอามาให้นะเจ้าคะ”
“อี้เซวียนสบายดีใช่หรือไม่ เหตุใดจึงไม่กลับมากับเจ้าเล่า” ผู้เป็นย่าถาม
ไม่ต้องรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ เมิ่งจงจวี่จึงตำหนิว่า “ท่านแม่หนาท่านแม่ ไม่รู้ก็อย่าพูดไปเรื่อยสิขอรับ บัดนี้อี้เซวียนเป็นถึงซื่อจื่อเชียวนะ จะออกจากเมืองหลวงตามใจตนได้อย่างไรกัน”
ผู้เป็นย่าเติบโตที่ชนบทห่างความเจริญ ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้จริงๆ เมื่อได้ยินคำของเมิ่งจงจวี่จึงไม่ได้โต้แย้ง และไม่ได้นึกโกรธ ยังคงพร่ำสั่งเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ต่อให้เป็นซื่อจื่อก็เถอะ จะไม่ให้เกียรติพวกเราไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพร้อมหัวเราะ
คนทั้งครอบครัวต่างพูดคุยเล่นกันอยู่ครู่ใหญ่ เวลาล่วงเลยไปจนดึก ทั้งสามจึงขอตัวกลับบ้าน
[1] คั่ง เตียงคั่ง หมายถึงเตียงหรือแท่นที่ก่อด้วยอิฐ ด้านล่างมีปล่องเตาเพื่อจุดให้ความอบอุ่น ด้านบนจะปูด้วยฟูกหรือเบาะรองนั่ง
ตอนที่ 170-2 ซุนวั่งมาหาถึงที่บ้าน
นอกจากเมิ่งจงจวี่และภรรยาแล้ว ทุกคนต่างออกมาส่งพวกเขาที่หน้าประตู เมิ่งชิงที่หาโอกาสพูดไม่ได้ เดินมายังด้านหน้าสุดด้วยความอาลัยอาวรณ์ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เหตุใดท่านจึงกลับเร็วเช่นนี้ ข้ายังไม่ได้คุยกับท่านเลย”
ไม่ได้เจอกันนานหลายเดือน ดูเหมือนว่าเมิ่งชิงจะสูงขึ้นเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวของเขา พูดว่า “ครั้งนี้พี่กลับมาอยู่บ้านยี่สิบกว่าวันเลย หากเจ้ามีเวลาว่างเมื่อใดก็ไปหาพี่ได้”
เมิ่งชิงพยักหน้าอย่างดีใจ เดินไปส่งนางที่หน้าประตูอย่างเสียไม่ได้ มองดูพวกเขาเดินจากไป
เมื่อเดินถึงทางแยก เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งฉีว่า “พี่รอง เรื่องของพี่ใหญ่ได้คลี่คลายแล้ว เวลาก็ดึกแล้ว ท่านไม่ต้องเข้าไปดอก”
เมิ่งฉีประหลาดใจ อยากจะเอ่ยปากถาม เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อสั้นๆ ว่า “เรื่องง่ายเพียงนี้ พี่ใหญ่กลับถูกคนใส่ความได้ วันนี้ดึกแล้ว วันพรุ่งข้าจะอธิบายให้ท่านฟังโดยละเอียด”
เมิ่งฉีไม่ถามให้มากความ พยักหน้า มองดูเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเอ้ออิ๋นเดินห่างออกไป จึงได้หันหลังกลับบ้านของตน
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าบ้านมา เมิ่งซื่อกำลังนั่งพูดกับเมิ่งเส้าอยู่ในห้อง พร้อมกับรอให้พวกเขากลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเส้าเอ๋อร์อยู่ในห้อง จึงได้เม้มปาก จึงเอื้อมมือไปหาเขา ถามว่า “เส้าเอ๋อร์ อยากนอนกับอาหรือไม่”
เส้าเอ๋อร์รีบยกมือปฏิเสธ พูดด้วยเสียงน้อยๆ ว่า “ไม่ได้นะขอรับ ชายหญิงจะอยู่กันสองต่อสองมิได้นะขอรับ ท่านอาเป็นหญิง ข้าจะไปนอนกับท่านอาไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะจนตัวงอ เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อเองก็หัวเราะเสียงดัง มีเพียงเส้าเอ๋อร์ที่เบิกตาโตสวยของตน มองพวกเขาอย่างงุนงง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้าของเขา ลูบหัวของเขา ก้มลงจูบหน้าผากของเขาหนึ่งครั้ง “เจ้าเล่ห์เสียจริงนะเจ้า”
เส้าเอ๋อร์ลูบตรงที่ตนถูกจูบพร้อมยิ้มอย่างดีใจ
“แม่จัดการให้สาวใช้ทั้งสองไปพักผ่อนแล้ว เจ้าเองก็รีบไปผักผ่อนเถิด พักผ่อนให้เต็มที่ วันพรุ่งก็ไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้า” เมิ่งซื่อกล่าว
เดินทางมาสองวันเต็ม เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็รู้สึกเหนื่อย จึงพยักหน้าตอบรับ เมื่อกลับมายังห้องของตนเอง นอนลง ไม่นานก็ผลอยหลับไป
การนอนครั้งนี้ช่างสบายยิ่งนัก เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฟ้าก็สางแล้ว แสงแดดอ่อนๆ สาดเข้ามาผ่านผ้าม่าน เมิ่งเชี่ยนโยวยืดตัวบิดขี้เกียจ หยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่ด้านข้างมาสวมใส่
ชิงหลวนได้ยินเสียงในห้อง จึงถามอยู่ที่หน้าประตูว่า “เจ้านายตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบไปสั้นๆ ว่า “อื้ม”
ชิงหลวนเปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นแล้ว จึงโล่งอก อยู่กับเจ้านายมานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นนางตื่นสายเช่นนี้มาก่อน นางและจูหลีคิดว่าเจ้านางไม่สบายเสียแล้ว คิดว่าหากอีกครู่เจ้านายยังไม่ตื่นนอน นางจะเข้าไปดูเสียหน่อย
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังสวมเสื้อผ้า ไม่ได้สังเกตสีหน้าของนาง
จูหลีประคองอ่างล้างหน้าที่มีน้ำพร้อมไอร้อนลอยขึ้นมา พูดด้วยเสียงสดใจว่า “เจ้านายเจ้าคะ ล้างหน้าล้างตาก่อนเถิด ฮูหยินบอกว่า อีกครู่อาหารก็เตรียมเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย เดินไปล้างหน้าที่อ่างล้างหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากห้องไปยังห้องครัว เมื่อเห็นเมิ่งซื่อกำลังยุ่งอยู่ คนเดียว จึงได้ถามว่า “ซ้อยังไม่ตื่นหรือคะ”
เหตุที่เมิ่งเชี่ยนโยวต้องถามเช่นนี้ก็เพราตั้งแต่ที่ซุนเชี่ยนแต่งเข้ามาในบ้านก็จะตื่นแต่เช้า พาสาวใช้มาทำอาหารทุกวัน แทบจะไม่เคยให้เมิ่งซื่อต้องลงมือเองเลย
เมิ่งซื่อพลางหั่นผักดองเส้นพลางพูดว่า “คงจะเพราะว่าช่วงที่ผ่านมามีเรื่องรั่วหลานทำให้นอนไม่หลับ เมื่อคืนได้ฟังสิ่งที่เจ้าพูดแล้วสบายใจขึ้น วันนี้นอนมากหน่อยไม่เป็นไรดอก อีกครู่พวกเรากินกันก่อน ที่เหลือก็เอาไว้ในหม้อให้พวกเขา ตื่นเมื่อไรค่อยกิน”
ผักดองเส้นเหล่านี้เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวเองที่ใช้เวลายามว่างลองผิดลองถูกทำออกมา รสชาติกรอบ สดใหม่ ไม่ได้กินมานานก็รู้สึกคิดถึงเข้าแล้ว นางเดินไปหาเมิ่งซื่อ อ้าปาก บ่งบอกว่าให้เมิ่งซื่อป้อนตน
เมิ่งซื่อหยิบผักดองเส้นเล็กขึ้นมา ป้อนไว้ในปากนาง ยิ้มและกล่าวว่า “อย่ากินมากไป มันจะเค็มเอาได้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเจี๋ยพาเส้าเอ๋อร์ไปยังลานฝึกซ้อม เดาว่าเมิ่งซื่อคงจะทำอาหารเสร็จแล้ว ทั้งสามจึงกลับมา เมิ่งซื่อบอกให้พวกเขาไปล้างหน้าล้างตา ตนนั้นก็วุ่นวายกับการเตรียมอาหารต่อไป
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้ามาช่วย
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นว่าในห้องมีเพียงสองคนแม่ลูก จึงแปลกใจ และได้ถามว่า “สองสามีภรรยาบ้านเสียนเอ๋อร์เล่า”
เมิ่งซื่อไม่ได้ตอบเขาตรงๆ พูดว่า “ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก เจ้ามากินข้าวเถิด”
“อ้อ” เมิ่งเอ้ออิ๋นกล่าว ไม่ได้ถามให้มากความ นั่งลงกินข้าว
ผ่านมื้ออาหารเมื่อวานมาแล้ว ชิงหลวนและจูหลีไม่รอให้ต้องขานเรียก นั่งลงบนที่นั่งของตนทันที
เมื่อกินข้าวเช้าไปแล้ว เมิ่งซื่อพักผ่อนอยู่ในครัว เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งเจี๋ยและเส้าเอ๋อร์ไปยังห้องซีเซียง จัดเก็บของขวัญที่ได้มา แบ่งของฝากให้แต่ละคนตามรายการที่อี้เซวียนเขียนมาให้
ขณะที่ทั้งสามกำลังเก็บของอยู่นั้น มีเสียงดังขึ้นในลานว่าง “ท่านชายใหญ่อยู่หรือไม่”
เส้าเอ๋อร์อยู่ใกล้ประตูที่สุด เมื่อได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งออกมา เห็นว่ามีคนมา จึงตะโกนอย่างดีใจว่า “ท่านตา” และวิ่งไปยังผู้มาเยือนทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามออกมา เห็นซุนวั่งกำลังอุ้มเส้าเอ๋อร์อย่างมีความสุข มีบ่าวไพร่สองคนถือของอยู่ด้านหลัง
เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากห้องซีเซียง ซุนวั่งตกใจ สีหน้ามีท่าทีเปลี่ยนไป เมิ่งเชี่ยนโยวจึงกล่าวทักทายก่อน “ท่านพ่อของซ้อมาแล้วหรือเจ้าคะ”
สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติของซุนวั่งหายไป ตอบว่า “อืม” เบาๆ
เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยาได้ยินเสียงจึงได้รีบเดินออกมาจากห้อง ยิ้มต้อนรับซุนวั่ง “มาแล้วหรือ เข้ามานั่งด้านในก่อนสิ”
ซุนวั่งไม่มีรอช้า อุ้มเส้าเอ๋อร์เข้าไปในห้อง บ่าวไพร่ทั้งสองเดินถือของฝากตามเข้าไป รอจนทุกคนนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำของฝากมาวางบนโต๊ะ ทำความเคารพและถอยออกไป
เมิ่งเอ้ออิ๋นเทน้ำให้เขาด้วยตัวเอง วางไว้ตรงหน้าของซุนวั่ง ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ท่านมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ”
ซุนวั่งให้เส้าเอ๋อร์นั่งที่ตักของตน สีหน้าจริงจัง น้ำเสียงหนักแน่น พูดว่า “เมื่อวานหลังจากที่เชี่ยนเอ๋อร์กลับบ้านไปแล้วนั้น ข้าและพ่อเห็นว่านางซูบผอมไป สีหน้าอิดโรยถามนางว่าป่วยหรือไม่ นางว่าไม่เป็นอะไร ข้าไม่สบายใจ รอจนพวกเขากลับไปแล้วจึงได้ส่งคนไปสืบ จึงได้ทราบว่าลูกเขยคนดีของข้าทนความเหงาไม่ไหว จึงได้ไปรับเมียน้อยเข้าบ้านวันนี้ข้าก็จะมาถามว่าเชี่ยนเอ๋อร์ไม่ดีที่ใดหรือ จึงได้ทำให้เมิ่งเสียนทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้”
ซุนวั่งแม้ว่าจะดูเป็นคนเสเพล แต่ในเรื่องนี้กลับไม่มีที่ติ หลายปีมานี้แม้ว่าจะดัดนิสัยยากเพียงไร แต่ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะรับเมียน้อยเข้าบ้านเลย ดังนั้นหลังจากที่ส่งคนไปสืบแล้ว รู้ว่าเมิ่งเสียนแอบรับเมียน้อยมา จึงโกรธมาก นอนไม่หลับทั้งคืน ไปหาซุนซ่านเหรินตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อบอกว่าตนจะมาถามเมิ่งเสียนให้รู้ความ
ซุนซ่านเหรินมีสติ คิดว่าดูจากพฤติกรรมของเมิ่งเสียนแล้ว ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้โดยไร้เหตุผลเป็นแน่ แต่เขาไม่วางใจ จึงได้อนุญาตให้เขามาที่นี่ แต่ก็ได้กำชับให้เขาระวังกิริยาเอาไว้ อย่ามาถึงจวนเมิ่งก็เริ่มโวยวาย ซุนวั่งจึงได้เตรียมของฝากมาด้วย
เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้ เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อกลัวจนลนลาน ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี
หลังจากที่ซุนเชี่ยนแต่งเข้ามาในบ้าน ก็ขยันขันแข็ง ทั้งดูแลบ้าน ทั้งจัดการเรื่องโรงงาน โดยเฉพาะให้กำเนิดเส้าเอ๋อร์ออกมา ไม่ว่าจะข้อใดก็ทำได้ดีทั้งสิ้น เมิ่งเสียนไม่เหตุผลที่จะต้องรับเมียน้อยเข้าบ้าน แต่เรื่องนี้เองก็มีที่มาที่ไป แต่ก็ยากที่จะอธิบายให้เข้าใจโดยง่าย
เมื่อเห็นพวกเขาไม่พูดไม่จา สีหน้าของซุนวั่งก็จริงจังขึ้น พูดว่า “ที่พวกท่านไม่พูดหมายความว่าอย่างไร”
เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร กลัวจนเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผาก เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้อง ยิ้มและพูดว่า “ท่านพ่อของซ้อเจ้าคะ เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น รอผ่านตรุษจีนไปแล้ว พวกเราจะไล่นางออกไปจากบ้านเองเจ้าค่ะ”
ตอนที่ 171-1 ผู้อยู่เบื้องหลัง
ซุนวั่งเคยถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตำหนิ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับนาง จึงได้มีความรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้ยินดังนั้น เขามีแววตาเปลี่ยนไป ร่างกายขยับเล็กน้อย แต่ทว่า เรื่องนี้มีความเกี่ยวโยงกับชีวิตของซุนเชี่ยนและชื่อเสียงของตระกูลซุน ซุนวั่งจึงอดกลั้นไม่เผยความกลัวออกมา กล่าวว่า “พูดง่ายดีนี่ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เมิ่งเสียนจะใยต้องรับนางมาเป็นเมียน้อยหรือ บัดนี้ข้ามาหาถึงที่ พวกเจ้าจึงได้พูดเช่นนี้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเองก็รีบพูดว่า “ท่านชาย พวกเราไม่ปิดบังความจริงหรอก การที่เสียนเอ๋อร์รับนางมาเป็นเมียน้อยเพราะเสียไม่ได้ เนื่องจากถูกคนวางแผนใส่ร้าย ไม่เพียงแต่เชี่ยนเอ๋อร์หรอก แต่เสียนเอ๋อร์เองก็ทรมานใจมากเช่นกัน”
เมื่อวานสีหน้าของเมิ่งเสียนเองก็ไม่สู้ดี ดูไม่เข้มแข็งเหมือนแต่ก่อน ซุนวั่งเริ่มเชื่อแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่วางใจ จึงพูดว่า “เชี่ยนเอ๋อร์เล่า พวกเจ้าไปตามนางมา ข้าถามนางเสียก่อนค่อยว่ากัน หากสิ่งที่พวกท่านพูดไม่เป็นความจริง วันนี้ข้าก็จะพาเส้าเอ๋อร์กลับไปด้วย ตระกูลซุนของเราเลี้ยงดูพวกเขาสองแม่ลูกเองได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวนว่า “ไปเรียกพี่ชายใหญ่และซ้อมา”
ชิงหลวนตอบรับ ไปยังห้องของเมิ่งเสียน ไม่นานก็กลับมารายงานว่า “ทั้งสองบอกว่าอีกครู่จะรีบตามมาเจ้าค่ะ”
ซุนวั่งได้ยินดังนั้นจึงแปลกใจ ส่วนเมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยากลับรู้สึกใจเต้นกลัว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแต่ไม่พูดกระไร
ผ่านไปราวๆ สิบห้านาที เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนถึงได้ตามมาอย่างรีบร้อน ดูออกว่าเพิ่งจะตื่นนอน ยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตาก็มาเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าซุนวั่งอยู่ในห้อง ซุนเชี่ยนผงะไปเล็กน้อย อ้าปากถามอย่างตะลึงว่า “เตี่ย ท่านมาทำอะไรหรือ ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้นหรือเจ้าคะ”
ซุนวั่งขมวดคิ้ว ตำหนิด้วยเสียงดุ “ดูสภาพเจ้าทีสิ เป็นถึงสะไภ้ของบ้าน แต่กลับนอนตื่นสายโด่ง รู้ไปถึงไหนตระกูลซุนของเราก็ต้องอายไปถึงนั่น อยู่ที่บ้านพวกเราสั่งสอนเจ้าเช่นนี้หรือ”
ซุนเชี่ยนหน้าแดง ไม่กล้าโต้เถียง
ซุนวั่งรู้สึกอับอาย ตนเองรีบมาแต่เช้าตรู่ก็เพื่อจะมาไตร่สวนความผิดของผู้อื่น คิดว่าลูกสาวของตนนั้นไม่มีข้อเสียใด แต่เมิ่งเสียนกลับรับเมียน้อยเข้าบ้าน แสดงว่าไม่ได้ให้ความเคารพตระกูลซุนเลย แต่เหตุการณ์เช่นนี้กลับทำให้ตนเองขายหน้า ทีแรกคิดว่าจะมาอาละวาด แต่คำที่ตนเองพูดเมื่อครู่กลับกลายเป็นเรื่องตลกไปเสียแล้ว
เมื่อเห็นซุนเชี่ยนถูกตำหนิ เมิ่งเสียนรีบขอโทษแทนนาง “ท่านพ่อตา เรื่องนี้จะโทษเชี่ยนเอ๋อร์มิได้ขอรับ เป็นข้าเองที่รั้งนางไว้บนเตียง”
เมื่อเขาพูดออกไป ใบหน้าของซุนเชี่ยนก็แดงขึ้นมา ก้มหน้าด้วยความเขินอาย
ทั้งซุนวั่งและเมิ่งเอ้ออิ๋นต่างอาบน้ำร้อนมาก่อน มีหรือจะไม่เข้าใจความหมาย หมดคำพูดไปชั่วขณะ
เมิ่งเสียนรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ใบหน้าก็เริ่มแดงระเรื่อขึ้นพร้อมก้มหน้าลง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซุนวั่งจึงได้แกล้งทำเสียงกระแอมขึ้น เพื่อเลี่ยงบทสนทนานี้ พูดว่า “ข้าถามเจ้าหน่อยเถิด ในเมื่อพวกเจ้ารักกันถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงต้องรับเมียน้อยเข้าบ้านเพิ่ม”
ไม่รอให้เมิ่งเสียนตอบ ซุนเชี่ยนเงยหน้า ตอบอย่างเร่งรีบว่า “เตี่ย เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเจ้าค่ะ เซี่ยงกงถูกคนใส่ร้ายเจ้าค่ะ”
ขนาดซุนเชี่ยนก็ยังพูดเช่นนี้ ซุนวั่งจึงเชื่อหมดใจ พูดกับทุกคนว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ถามให้มากความ หวังว่าพวกเจ้าจะทำได้อย่างที่พูดนะ หลังตรุษจีนแล้วหวังว่าข้าจะได้คำตอบที่น่าพอใจ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบให้สัญญา “วางใจเถิด คำพูดพวกเราเชื่อถือได้ พวกเราจะให้คำตอบที่น่าพอใจต่อท่านสำหรับเรื่องนี้เป็นแน่”
ซุนวั่งพยักหน้า และก็ตำหนิซุนเชี่ยนอีกเล็กน้อย “เป็นถึงสะไภ้แล้ว ต้องรู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่สามี ดูและเรื่องในบ้านโดยไม่ขาดตกบกพร่อง อย่าทำตัวเป็นลูกสาวที่จะทำสิ่งใดก็ได้ตามใจตน”
ซุนเชี่ยนหน้าแดงพยักหน้าตอบรับ
ซุนวั่งยืนขึ้น วางเส้าเอ๋อร์ไว้บนพื้น พูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “อย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อน หากต้องการให้ช่วยอะไรก็บอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ เมิ่งเสียนเป็นลูกเขยตระกูลซุน ใส่ร้ายเขาก็เท่ากับใส่ร้ายตระกูลซุนของเรา พวกเราจะละเลยไม่ได้”
ใบหน้าของเมิ่งเอ้ออิ๋นเผยความสบายใจออกมา พยักหน้าระรัว ไม่ได้รั้งเขาไว้ ครอบครัวเมิ่งส่งซุนวั่งกลับบ้าน มองดูเขาขึ้นรถม้าแล่นไกลออกไป
เมิ่งซื่อหันหลังกลับ พูดกับซุนเชี่ยนและเมิ่งเสียนว่า “ข้าเก็บอาหารของพวกเจ้าเอาไว้ในหม้อ ไปกินเสียสิ”
ซุนเชี่ยนอายจนหน้าแดง ก้มหน้าตอบรับ
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อพาเส้าเอ๋อร์ เมิ่งเจี๋ยกลับห้องซีเซียง ไปเก็บของที่หวงฝู่อี้เซวียนฝากมาให้
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เมิ่งเสียน เป็นสัญญาณให้เขาไปห้องครัว
ส่วนตนนั้นเดินไปด้านหน้าโอบไหล่ของซุนเชี่ยนเอาไว้ กระซิบข้างหูนางว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าพูดไม่ผิดคำเลยใช่หรือไม่”
ซุนเชี่ยนหน้าแดง พยักหน้า “เซี่ยงกงเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ หลังจากดื่มจนเมาแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก จนกระทั่งตื่นมาตอนเช้า ถึงได้…” ประโยคหลังไม่ได้พูดออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจชัดเจน พูดว่า “เจ้ากินข้าวก่อนเถิด วันนี้ไม่มีเรื่องอะไร หลังกินข้าวเสร็จพวกเราค่อยไปจัดการกับรั่วหลาน”
ความจริงถูกพิสูจน์แล้ว ในใจของซุนเชี่ยนก็เริ่มมั่นใจขึ้นมา เมื่อพูดถึงรั่วหลานก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอีกเช่นเคย พูดว่า “ไม่ต้องหรอก พวกเราจะไปกันตอนนี้เลย ต้องไปถามนางให้แน่ชัด ว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “เจ้าเองยังไม่ได้ส่องกระจกใช่หรือไม่ ลองไปส่องดูสิ สภาพเช่นนี้จะไปพบผู้อื่นได้อย่างไร”
ซุนเชี่ยนถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนถูกชิงหลวนตะโกนปลุกให้ตื่นขึ้น จึงได้เดินออกมาทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตาเลย ดังนั้นจึงได้รีบร้อนเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องของตน
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้ายิ้มๆ เดินเข้าไปในห้องครัว
เมิ่งเสียนได้ตักข้าวเรียบร้อบแล้ว เมื่อเห็นว่านางเดินเข้ามาผู้เดียว จึงได้ถามอย่างแปลกใจว่า “ซ้อเจ้าล่ะ”
“ซ้อไปล้างหน้าล้างตาเจ้าค่ะ ข้าเข้ามาก็เพื่อจะถามพี่ใหญ่สักหน่อย”
เมิ่งเสียนวางชามข้าวไว้บนโต๊ะ ถามว่า “ถามอะไรหรือ เจ้าถามมาเถิด”
“พี่ใหญ่คิดอย่างไรกับรั่วหลานเจ้าคะ” เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวถามจบ ก็จ้องมองไปที่เมิ่งเสียน มองสีหน้าของเขาอย่างละเอียด
เมิ่งเสียนเผยสีหน้าขยะแขยงออกมา “ข้าไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับนาง เจ้าจะจัดการกับนางอย่างไรก็ได้”
“นางเป็นถึงสาวงามเชียว งามกว่าซ้อเสียอีก พี่ใหญ่ไม่สนใจเลยหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจถามเขา
เมิ่งเสียนชักสีหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “น้องเล็ก ได้แต่งงานกับหญิงอย่างเชี่ยนเอ๋อร์ก็ถือเป็นโชคดีที่สุดในชีวิตของข้าแล้ว ต่อให้รั่วหลานเป็นนางฟ้าแปลงกายลงมา ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ปรับสีหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “พี่ใหญ่ ท่านจำคำของท่านวันนี้เอาไว้ แม้ว่าพวกเราจะเป็นพี่น้องกัน แต่หากวันใดท่านทำเรื่องให้ซ้อต้องเสียใจ ข้าก็จะไม่ปล่อยท่านไป”
สีหน้าของเมิ่งเสียนไม่เปลี่ยนไป พยักหน้าอย่างมั่นใจ
ซุนเชี่ยนล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับมาอย่างรีบร้อน พูดกับเมิ่งเสียนว่า “เซี่ยงกง ท่านกินข้าวเสร็จแล้วนำอาหารที่เหลือเก็บไว้ในหม้อ อีกครู่ข้าจะกลับมาเก็บล้าง” พูดจบ ไม่รอให้เมิ่งเสียนตอบกลับ ก็รีบคว้ามือเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องเล็ก พวกเราไปกันเถิด”
เมิ่งเสียนกำลังจะอ้าปากถาม แต่ทั้งสองก็ได้เดินออกไปเสียแล้ว
แม้จะบอกว่าจัดสรรจวนให้อยู่ แต่ที่จริงแล้วก็เพียงล้อมห้องพักของบ่าวไพร่ทั้งแถวเอาไว้ให้อยู่เท่านั้น ยังอยู่ในบริเวณของจวนหลัก ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึง
สาวใช้ของซุนเชี่ยนผลัดกันเฝ้ายามรั่วหลานตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาก็ทำความเคารพ
“นางเป็นอย่างไรบ้าง” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
“เรียบร้อยดีมากเจ้าค่ะ ตั้งแต่กลับเข้าห้องเมื่อคืน ก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย” สาวใช้คนหนึ่งตอบ
“เปิดประตู”
สาวใช้ตอบรับ เปิดประตูออก เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนเดินเข้าไป
ตอนที่ 171-2 ผู้อยู่เบื้องหลัง
รั่วหลานนอนอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงด้านนอก จึงลุกขึ้นอย่างยากลำบาก พูดอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านพี่ เสี่ยวกู ประทานโทษที่รั่วหลานไม่ได้ออกไปทำความเคารพ ร่างกายของรั่วหลานเจ็บเหลือเกิน”
แรงถีบของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นแรงเหลือเกิน รั่วหลานถูกถีบจนกระเด็นร่วงลงกับพื้นอย่างแรง นางพูดเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะมารยา
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองห้องนาง เคลื่อนตั่งสองตัวมานั่งระยะห่างจากรั่วหลานเพียงสองก้าว บอกซุนเชี่ยนให้นั่งลง
แม้ว่าซุนเชี่ยนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ทำตาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งลง และถามรั่วหลานอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “เจ้าเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของข้าหรือไม่”
รั่วหลานพยักหน้าอย่างลืมตัว จากนั้นก็รีบส่ายหน้า
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวเรียบนิ่ง แต่คำพูดที่พูดออกมาทำให้รั่วหลานต้องกลัวจนตัวสั่น “เจ้าน่าจะรู้จักสินัยของข้าดี ทางที่ดีเจ้าตอบคำถามที่ข้าจะถามเจ้าด้วยความสัตย์จริงดีกว่า มิเช่นนั้นข้าก็มีวิธีเป็นร้อยที่จะทำให้เจ้าต้องร้องของชีวิต”
รั่วหลานคงจะกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวตั้งแต่ถูกนางถีบกระเด็นเมื่อวาน เมื่อนางพูดจบ จึงรีบพยักหน้าแรงๆ
“ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เคยได้ยินชื่อข้าหรือไม่”
ครั้งนี้รั่วหลานพยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “เคยเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง น้ำเสียงแข็งขึ้นมา “ได้ยินมาจากใคร”
“ได้ ได้ ได้ยินมาจากเถ้าแก่หลิวเจ้าค่ะ” พูดจบก็เปลี่ยนคำว่า “ข้าได้ยินมาจากท่านลุงเขยเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยร้อยยิ้มน่ากลัวออกมา ถามว่า “เป็นเถ้าแก่หลิวจริงๆ หรือ”
รั่วหลานเบิกตาโพลง มองนางอย่างตกใจ
สีหน้าของนางบ่งบอกทุกอย่างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ต้องถามอะไรอีก ก็รู้ได้ว่าสิ่งที่ตนคาดการณ์ไว้นั้นเป็นจริง จึงพูดว่า “ดูทีแล้ว หากเจ้าไม่ได้รับการสั่งสอนจากข้า ก็คงไม่ยอมพูดความจริงสินะ”
รั่วหลานถดเข้าหาเตียงอย่างลืมตัว พูดเสียงร้อนรนว่า “เสี่ยวกูเจ้าคะ ที่ข้าพูดเป็นความจริง เถ้าแก่หลิวเป็นลุงเขยของข้าจริงๆ ข้าไม่ได้โกหกท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องนางอย่างไร้สีหน้าอยู่นาน จนกระทั่งรั่วหลานใจแทบเต้นระรัว มีสีหน้าตื่นตระหนก ถึงได้เลิกจ้องนาง จะโกนเสียงดังว่า “จูหลี! ”
จูหลีตอบรับและเดินเข้ามา “นายหญิง!”
“เมื่อวานแม่นางรั่วหลานล้มจนเจ็บไปทั่วทั้งร่างเข้าช่วยนวดให้นางที” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรียบๆ
จูหลีตอบรับ เดินหน้านึงไปหารั่วหลาน
รั่วหลานกลัวจนถดตัวไปด้านหลัง ถามด้วยความกลัวว่า “เจ้าจะทำอะไร”
จูหลีไม่ตอบ เอื้อมมือคว้าตัวนางไว้ กดนางไว้บนเตียง บังคับนวดให้นางตามคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว
เสียงร้องดั่งถูกเชือดของรั่วหลานดังขึ้น
สาวใช้ทั้งสองของซุนเชี่ยนอยู่ที่หน้าประตูรู้สึกทั้งสะใจและกลัว สะใจที่เสี้ยนหนามตำใจอย่างรั่วหลานผู้นั้นถูกลงโทษเสียที แต่สิ่งที่กลัวคือ หากตนเองทำผิดขึ้นมา จะถูกลงโทษเช่นนี้หรือไม่
ซุนเชี่ยนไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน รู้สึกทนไม่ไหว แต่เมื่อนึกถึงว่านางเป็นเหตุที่ทำให้คนทั้งครอบครัวกินไม่ได้นอนไม่หลับมาเป็นเดือน จึงได้อดกลั้นไว้ไม่พูดอะไรออกมา
การนวดของจูหลีคือการกดจุดประสาทของรั่วหลาน ทุกครั้งที่นางกด รั่วหลานรู้สึกราวกับว่าตนเองได้ตายไปแล้ว กดจุดไม่กี่ครั้ง นางก็เจ็บจนแม้แต่ปลายผมก็ยังมีเหงื่อออกมา รีบขอร้องว่า “ข้ายอมพูดแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล่าวอะไร จูหลีก็ไม่หยุดมือ จนกระทั่งเสียงอ้อนวอนของรั่วหลานเริ่มแหบแผ่วลง จนกระทั่งซุนเชี่ยนทนไม่ไหวอยากจะขอร้องชีวิตแทนนางนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดปากพูดว่า “พอแล้ว”
จูหลีจึงได้หยุด ถอยออกไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
รั่วหลานหายใจหอบ นางเจ็บจนเหงื่อออกเปียกท่วมทั้งร่าง รู้สึกราวกับว่ากระดูกทั้งร่างของตนถูกหักออกมา และประกอบเข้าไปอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่ได้รีบร้อน นั่งลงบนตั่งมองนางอย่างผ่อนคลาย
ผ่านไปราวๆ สิบห้านาที รั่วหลานจึงได้รู้สึกว่าร่างกายของนางไม่ได้เจ็บเท่าเดิมแล้ว รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จึงได้พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “แม่นางอยากจะถามอะไรก็ถามมาเถิด ข้าไม่กล้าโกหกอีกต่อไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้พูดว่า “เถ้าแก่หลิวคือผู้ใดกัน”
รั่วหลานไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป ตอบคำถามตามตรง “เขาเป็นผู้ว่าการเขตเจ้าค่ะ”
ซุนเชี่ยนเบิกตาโตอย่างตกใจ
“เจ้าเป็นใคร เป็นอะไรกับเขา”
สายตารั่วหลานขยับเล็กน้อย เม้มปาก ครู่หนึ่งจึงได้ตอบว่า “ข้าเป็นเมียน้อยคนที่เจ็ดของผู้ว่าราชการเขตเจ้าค่ะ”
ซุนเชี่ยนตกใจจนลุกขึ้นอย่างเร็ว ตึง ชี้หน้ารั่วหลานว่า “เจ้า เจ้า เจ้า…”
รั่วหลานเปลี่ยนเป็นท่าคุกเข่าอยู่บนเตียง “ฮูหยินไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก ท่านชายพูดว่าหากท่านทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ เขาก็จะขายครอบครัวของข้า”
“ซ้อ นั่งลงเจ้าค่ะ ฟังความทั้งหมดของรั่วหลานเสียก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
อย่างไรก็ตามซุนเชี่ยนก็เป็นคนที่ทำธุรกิจมานาน ไม่ใช่แม่บ้านทั่วๆ ไป หลังจากตกใจไปแล้ว ไม่นานก็สามารถสงบลงได้ นั่งลงที่ตั่งดังเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พูดมาสิ เหตุใดผู้ว่าการเขตจึงได้ให้เจ้ามาทำเช่นนี้”
รั่วหลานคุกเข่าลงบนโต๊ะ พูดช้าด้วยเสียงแหบแห้งว่า “แม่นางจำตระกูลเฉียวได้หรือไม่” พูดจบก็เสริมอีกว่า ตระกูลของเฉียวหมิ่นที่ถูกส่งไปยังที่พักชั่วคราวของทางการน่ะเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “ข้าจำได้”
“ท่านผู้ว่าการเขตเป็นญาติห่างๆ ของตระกูลเฉียว ข้าเองหลังจากที่ท่านมาประจำการแล้ว ก็ถูกตระกูลเฉียวขายส่งมาให้เป็นเมียน้อยของท่าน เพื่อจะได้ผูกดองกับท่าน ปีนั้นแม่นางตระกูลเฉียวก็ได้หมั้นหมายกับจูหลานแล้ว ได้ยินมาว่าเพราะท่าน แม่นางตระกูลเฉียวจึงได้มีจุดจบที่น่าสงสารเช่นนั้น หลายปีมานี้ ตระกูลเฉียวได้เก็บความแค้นไว้ในใจ รอโอกาสที่จะแก้แค้นท่านและท่านชายจู แต่ว่าก็หาโอกาสไม่ได้ จนกระทั่งผู้ว่าการเขตผู้นี้ได้มาประจำการที่เขตชิงเหอ ตระกูลเฉียวจึงได้มีความหวัง อย่างแรกก็เอาใจเขา โดยการซื้อตัวข้าและหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ส่งไปเป็นเมียน้อยของเขา และยังมอบเงินทองมากมายให้เขา ขอร้องให้ผู้ว่าการเขตหาวิธีให้ครอบครัวของเขาถูกปล่อยออกมาจากที่นั่น จากนั้นก็หาวิธีปิดล้อมร้านค้าของท่านชายจู และยังบังคับให้เขาหย่ากับภรรยาและมาแต่งงานกับแม่นางเฉียว”
พูดถึงตรงนี้ นางคงจะเหนื่อยแล้ว หายใจหอบ จึงได้พูดต่อว่า “ทีแรกท่านชายจูไม่ยอม แต่ตระกูลเฉียวกลับตามตื้อไม่ถอย จนกระทั่งกิจการของท่านชายจูเกือบจะพังไปแล้ว เขาจนปัญญา วางแผนจะพาครอบครัวของคนเองหนีไปบ้านพ่อตา แต่ผู้ว่าการกลับส่งคนมาจับตามองจวนจูไว้ ไม่ให้พวกเขาออกจากเขตนี้ไป”
คิ้วของเมิ่งเชี่ยนโยวขมวดเข้าหากัน ก่อนตรุษจีนเซี่ยเจียงเฟิงไปหานางที่เมืองหลวง แต่กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย เขาไม่รู้เรื่อง หรือว่าถูกบังคับจนไม่กล้าพูดกับนาง
คิดถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถามว่า “แล้วพี่ใหญ่ของข้าเกี่ยวอะไรด้วย”
“แม่นางเฉียวกล่าวว่าตอนนั้นเป็นเพราะท่านจึงทำให้นางต้องเดินมาถึงจุดนี้ นางจะต้องแก้แค้นให้ได้ ดังนั้นจึงได้มีแผนให้ท่านผู้ว่าการมาขอร่วมธุรกิจ และเชิญท่านชายเมิ่งไปยังในเมือง ส่วนเรื่องร้านรวงนั้น เป็นของปลอมทั้งสิ้น ของด้านในเป็นของที่ย้ายมาจากบ้านจู เพื่อตบตาให้ท่านชายเมิ่งตกหลุมพรางเจ้าค่ะ ผู้ว่าการสั่งให้คนไปบอกเถ้าแก่ใกล้ๆ ร้านว่าหากมีคนมาถามถึงร้านนี้ จะต้องตอบตามที่พวกเขาได้สั่งไว้เท่านั้น”
“คืนนั้นเจ้าได้ทำอะไรลงไปบ้าง เจ้ามาที่บ้านของพวกเรามีเป้าหมายอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
รั่วหลานรีบยกมือปฏิเสธ รีบพูดว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยเจ้าค่ะ เพียงแค่ทำตามคำสั่งของพวกเขาเท่านั้น หลังเข้าไปแล้วก็ถอดเสื้อผ้าออก นอนอยู่ข้างกายท่านชาย ตอนนั้นท่านชายดื่มจนเมามากแล้ว นอนนิ่งไม่ขยับ และไม่ได้แตะตัวข้าเลยแม้แต่น้อย ส่วนเรื่องอื่นนั้น เป็นของปลอมทั้งสิ้นเจ้าค่ะ กระทั่งภาพที่ท่านชายเห็นตอนหลับฝันก็เป็นฤทธิ์ยาที่ท่านผู้ว่าใส่ลงไป เป็นความฝันเจ้าค่ะ”
“แล้วอย่างไรต่อ เป้าหมายที่เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร เจ้าลงแรงทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา คงไม่เพราะเพียงจะแต่งงานกับพี่ข้า และทำลายชื่อเสียงของพวกเราหรอกนะ”
รั่วหลานคุกเข่าอยู่บนเตียง ยืดตัวตรง ก้มหัวคำนับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง ที่ข้าทำทั้งหมดก็เพราะถูกบังคับ หากข้าไม่ยอมทำ พวกเขาก็คงไม่ปล่อยครอบครัวของข้าไป ได้โปรดแม่นางเห็นแก่ตั้งแต่ที่ข้ามาไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใด ไม่เคยทำร้ายคนในครอบครัวท่าน ปล่อยข้าไปเถิดเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง พูดว่า “พูดมาสิ หากเจ้าพูดความจริงออกมา ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า”
รั่วหลานเม้มปากแน่น มองเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างรอคอยว่า “แม่นางให้สัญญากับข้าได้หรือไม่ ขอแค่ข้าพูดออกมา ก็จะไว้ชีวิตข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะอย่างเลือดเย็น โน้มตัวมาด้านหน้า เข้าใกล้นาง พูดเสียงเย็นชาว่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้าหรือ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น