ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 166.1-168.2

ตอนที่ 166-1 หักหน้า

 

ถึงแม้ผู้คนต่างรู้ว่าเขาพูดคำเท็จ แต่ก็ไม่มีใครเอาผิดเขาได้ โหวหลิวจึงยิ่งรู้สึกได้ใจ


อ๋องฉีกลับสำรวมสีหน้าที่เคร่งขรึม และเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ทราบว่ารถม้าของโหวหลิวประสบกับเหตุอันใดหรือ”


โหวหลิวคิดไม่ถึงว่าอ๋องฉีจะถามคำถามนี้ จึงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วรีบตอบกลับ “เรื่องของพวกชั้นต่ำเช่นนี้ ข้าจะรู้ได้อย่างไร”


อ๋องฉีพูด “อ้อ” แล้วถามด้วยเสียงเหน็บแนมว่า “ท่านโหวหลิวช่างใจกว้างจริงๆ คนรถของจวนทำหน้าที่ของตัวเองไม่ดี ทำให้ธุระอันใหญ่หลวงของท่านเป็นต้องล่าช้า ท่านโหวหลิวก็ยังเก็บเขาไว้ ถ้าใครได้ยินเรื่องนี้เข้า เกรงว่าไม่มีคนใดในเมืองหลวงไม่เอ่ยปากชื่นชม” คำพูดที่ลอบเสียดสีเป็นนัยเช่นนั้น ทำให้ใบหน้าชราของโหวหลิวค่อยๆ แดงไปทั้งหน้า และอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก


คาดไม่ถึงว่ายังไม่จบเพียงแค่นี้ อ๋องฉีเอ่ยปากขึ้นอีก “ในเมื่อรถม้าของท่านโหวหลิวเสีย จึงมาได้ไม่ทันเวลา ข้าและท่านแม่ทัพใหญ่ก็คงกล่าวโทษอันใดไม่ได้”


สีหน้าของโหวหลิวผ่อนคลายลง


อ๋องฉีพูดกับฉู่เหวิ่นเจี๋ยต่อโดยทันที “ท่านแม่ทัพใหญ่ คนของท่านคุ้นเคยกับรถม้าดี ช่วยสั่งให้คนของท่านไปตรวจสอบให้ท่านโหวหลิวสักหน่อย ตอนที่กลับไปจะได้ไม่ประสบอุบัติเหตุอีก”


เมื่อเขาพูดจบ ฉู่เหวินเจี๋ยก็เข้าใจความหมายของเขาทันที จึงสั่งนายทหารที่พามาด้วย “พวกเจ้าแต่ละคนไปดูเสียหน่อยและต้องซ่อมแซมรถม้าของท่านโหวหลิวให้ดีด้วย หากรถม้าของท่านโหวหลิวยังประสบเหตุอันใดอีก กลับไปจะต้องโดนโทษโบยด้วยตะบองทหารสิบที”


นายทหารต่างรับคำอย่างเคารพ เดินมุ่งไปยังรถม้าของโหวหลิว


พวกโหวหลิวตั้งใจมาช้า จุดประสงค์ก็เพื่อให้อ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยดูน่าสมเพช รถม้าย่อมไม่ได้เกิดเหตุอะไรอยู่แล้ว พอเห็นนายทหารหลายนายมุ่งมาที่รถม้าของตัวเอง ก็รีบพูดกับอ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยว่า “ขอบพระคุณท่านอ๋องฉีและท่านแม่ทัพใหญ่เป็นอย่างมากขอรับ รถม้าของข้าได้ซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องลำบากถึงมือนายทหารเหล่านี้หรอกขอรับ”


ใบหน้าของอ๋องฉียังคงปรากฏรอยยิ้ม และฉู่เหวินเจี๋ยยังคงทำหน้าถมึงทึง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่าไม่ได้ยินที่เขาพูด


เมื่อไม่มีคำสั่งของฉู่เหวิ่นเจี๋ย เหล่าทหารย่อมไม่ได้หยุด เดินมาที่ข้างรถ เอนกาย และย่อตัวลง เริ่มตรวจสอบรถม้าอย่างละเอียด ผ่านไปครู่ใหญ่ไม่พบปัญหาอะไร นายทหารคนหนึ่งกำมือคำนับขึ้นขออนุญาต “ท่านโหว รอบนอกของรถม้าพวกเราตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบความผิดปกติอันใดขอรับ จึงขอกรุณาให้ท่านลงจากรถม้า พวกเราต้องคว่ำรถเพื่อตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง”


โหวหลิวโบกมือปัด “ไม่ต้องหรอก พวกเจ้ากลับไปเถิด”


นายทหารกำมือที่คำนับไม่ขยับ “ท่านโหว นี่เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพใหญ่ หากพวกเรากล้าไม่เชื่อฟัง กลับไปต้องโดนโบยด้วยตะบองทหารเป็นแน่ ขอโปรดท่านโหวอย่าได้ทำให้พวกเราลำบากเลยขอรับ”


“เจ้า…” สถานการณ์ของโหวหลิวในตอนนี้คือยิ่งดื้อรั้นต่อไป ยิ่งลำบาก ทว่า ห่างจากประตูโรงงานยังต้องไปอีกระยะหนึ่ง หากลงไปตอนนี้ ดูทรงแล้วพวกเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้ว แต่ถ้าหากยังยืนกรานไม่ลงจากรถ ดูจากคำพูดที่มีความสมเหตุสมผลยิ่งของนายทหารพวกนี้ พวกเขาจะต้องใช้วิธีการเด็ดขาดเป็นแน่ ถึงเวลานั้นเกรงว่าตัวเองจะยิ่งดูน่าสมเพช


ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ หลิวเหยี่ยนก็ทนต่อไปไม่ไหว ยื่นศีรษะออกมาจากรถม้า ตวาดใส่นายทหารพวกนั้น “จะมาวุ่นวายอะไรอีก ไสหัวออกไป อย่ามาขวางทางพวกข้า”


สีหน้าของทหารเคร่งขรึมขึ้น พูดว่า “ท่านโหวหลิวยืนกรานไม่ลงจากรถม้า เช่นนั้นพวกเราก็ต้องขอล่วงเกินนะขอรับ” พูดจบก็สั่งคนอื่น “ลงมือได้”


โหวหลิวกับหลิวเหยี่ยนยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร รถม้าก็สั่นไหวโคลงไปเคลงมา


คนรถตกใจรีบกระโดดลงจากรถม้า สีหน้าของโหวหลิวและหลิวเหยี่ยนขาวซีดโดยพลัน โหวหลิวร้องตะโกนเสียงดัง “หยุดเดี๋ยวนี้!”


ไม่มีใครฟังคำพูดของเขา รถม้ากลับยิ่งสะเทือนรุนแรงขึ้นอีก


โหวหลิวและหลิวเหยี่ยนเกาะห้องบนรถม้าอย่างแน่น จึงไม่ถูกเหวี่ยงออกไป


โหวหลิวอดทนต่อไปไม่ไหว ตะโกนด้วยเสียงอันดังปนเสียงที่ไหวสั่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ รีบสั่งลูกน้องของท่านหยุดซะ แล้วข้าจะลงจากรถม้าเดี๋ยวนี้”


ฉู่เหวินเจี๋ยเปิดปากขึ้น “หยุด!”


นายทหารหยุดมือของพวกเขา


โหวหลิวและหลิวเหยี่ยนไม่ลังเลอีกต่อไป และลงจากรถม้าอย่างไม่รอช้า หกคนที่อยู่ด้านหลังเห็น ก็ลงมาจากรถม้าตามๆ กัน แล้วเดินมาตรงหน้าของโหวหลิว พอเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของเขา จะเอ่ยปากพูดแต่ก็หยุดเอาไว้


โหวหลิวสูดลมหายใจเข้าหลายครั้ง จนหายใจได้สงบขึ้น แล้วเดินขาสั่นระริกอย่างควบคุมอย่างไม่ได้ นำทุกคนมายังหน้าประตูโรงงาน


เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นจากด้านหลัง พวกเขาหันศีรษะกลับไปด้วยความตกใจกลัว เห็นพวกทหารถอดรถม้าคว่ำอยู่บนพื้น ก้มตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน


แต่ละคนหันศีรษะกลับมา มองหน้ากันและกัน บนหน้าผากล้วนมีเหงื่อไหลซึมออกมา และไม่กล้าคิดตุกติกอะไรอีก เดินมาถึงหน้าโรงงานอย่างช้าๆ


อ๋องฉียังคงมองพวกเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับมองไม่เห็นเบื้องลึกของนัยน์ตา


บรรดาโหวปั๋วมองดูท่าทีของอ๋องฉี ในใจก็รู้สึกหนาวสั่นพร้อมกันๆ ในชั่วขณะนั้น ก็นึกถึงอ๋องฉีตอนที่เป็นผู้ออกหน้านำทัพทหารบุกเข้าไปยังพระราชวัง และช่วยเหลือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันให้รอดพ้นจากเงื้อมมือจากแผนปฏิวัติขององค์ชายห้าได้ หลังจากศึกสงครามครั้งนั้น ก็ค่อยๆ สำรวมท่าทีลง ทุกวันก็มักจะมีแต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มกับผู้อื่น จนนานวันเข้า ทุกคนก็ลืมอ๋องฉีที่เด็ดขาดเลือดเย็นผู้นั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความคิดดูถูกเขาในใจ เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว เหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากของแต่ละคนก็ไหลพรูออกมา แล้วมีท่าทีที่นอบน้อมขึ้นอย่างมากโดยพลัน ประสานมือคำนับและพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพ บุตรของข้าน้อยได้กระทำผิดอย่างมหันต์ วันนี้ ข้าพาเขามาขอโทษด้วยตัวเอง ขอท่านอ๋องและท่านแม่ทัพใหญ่โปรดให้อภัยที่พวกเขาได้กระทำผิดไปด้วยขอรับ”


อ๋องฉียังคงยิ้มให้และพูดว่า “ผิดแล้วท่านโหว คนที่พวกเขาควรจะขอโทษไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นเจ้าของโรงงานแห่งนี้”


สีหน้าของโหวหลิวแดงขึ้น แล้วตวาดหลิวเหยี่ยน “ยังไม่เข้าไปขอโทษต่อแม่นางเมิ่งอีก”


ภายใต้ความกดดันนั้น ใบหน้าหลิวเหยี่ยนยังคงแสดงความเหยียดหยาม แต่ทำเป็นเออออพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวไปอย่างนั้น “ขอโทษ!”


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบรับ


อ๋องฉีหุบยิ้มลง น้ำเสียงเริ่มไม่พอใจแล้ว “ดูเหมือนว่าคุณชายน้อยจะไม่ยินยอม ถ้าเช่นนี้ ทุกท่านก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษแล้ว และตามข้าไปเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทเถิด”


การขอโทษและการปรับโทษเงินล้วนเป็นสนองของฝ่าบาท ถ้าหากไม่ปฏิบัติตาม ก็คือเป็นการขัดขืนต่อพระองค์ ผลลัพธ์ก็ไม่อาจจินตนาการได้เลย โหวหลิวมือไม้ลนลานเล็กน้อย พูดอย่างกระวีกระวาด “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้วขอรับ บุตรของข้าน้อยมิได้ไม่ยินยอม” พูดจบก็ตำหนิหลิวเหยี่ยนด้วยน้ำเสียงที่โหดเ**้ยม “ขอโทษแม่นางเมิ่งอีกครั้ง”


เมื่อวานที่กลับไปหลิวเหยี่ยนก็ถูกโหวหลิวสั่งสอนอย่างหนัก จนเกือบจะโดนกฎบ้าน ตอนนี้ได้ยินเสียงตวาดสั่งของโหวหลิว ร่างกายก็สั่นเทา แล้วรีบทำท่าทางเรียบร้อย พูดกับแม่นางเมิ่งใหม่อีกครั้ง “แม่นางเมิ่ง ขออภัยด้วย!”


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “คุณชายหลิวมีความจริงใจเช่นนี้ ข้าก็รับคำขอโทษนี้ไว้ หวังว่าต่อไปคุณชายจะไม่มาก่อความวุ่นวายที่โรงงานอีก มิเช่นนั้น ต่อไปจะไม่ใช่การขอโทษที่ง่ายๆ แบบนี้แล้ว”


เมื่อถูกสาวใช้บ้านนอกข่มขู่ ในใจของหลิวเหยี่ยนก็เดือดดาลเป็นไฟ จนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากถามทันควัน “คุณชายหลิว มีความเห็นอะไรต่อคำพูดของโยวเอ๋อร์หรือ”


หวงฝู่อี้เซวียนเป็นซื่อจื่อ แต่ตัวเองเป็นแค่คุณชายธรรมดา สถานะที่ค้ำหัวตัวเองไว้เช่นนี้ อีกทั้งเห็นท่าทางของพ่อตัวเองแล้ว วันนี้ก็ได้แต่ก้มหัวขอโทษให้จบไปจริงๆ แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่ยินยอมอย่างมาก หลิวเหยี่ยนก็ต้องระงับอารมณ์เอาไว้ จึงพูดโดยบีบเค้นคำออกจากร่องฟัน “ไม่มี”


หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะเล็กน้อย “ไม่มีแหละดีที่สุด โยวเอ๋อร์เป็นหญิงในดวงใจของข้า โรงงานที่นางเปิดก็เท่ากับข้าเปิด หวังว่าต่อไปมีอะไรคุณชายหลิวก็ช่วยดูแลกันหน่อย”


ชัดเจนว่านี่เป็นการพูดโดยไว้หน้าเขาแล้ว สีหน้าของหลิวเหยี่ยนอ่อนลงเล็กน้อย พูดว่า “ซื่อจื่อพูดเกินไปแล้ว เมื่อวานเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ถึงได้ทำผิดต่อแม่นางเมิ่ง ต่อไปจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”


หลิวเหยี่ยนก็ได้ขอโทษแล้ว สามคนที่เหลือก็ไม่กล้าคิดจะหาเรื่องอะไรอีก จึงขอโทษต่อแม่นางเมิ่งอย่างตรงไปตรงมา


ท่ามกลางคนมุงดูมากมายขนาดนี้ คุณชายจวนโหวและปั๋วผู้ทรงสง่ากลับต้องมาขอโทษต่อเด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่ง สีหน้าของโหวปั๋วทั้งสี่ดูไม่ค่อยดีเท่าไร แต่นี่เป็นพระราชโองการ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะไม่ทำตาม รอให้แต่ละคนพูดขอโทษเสร็จสิ้น ก็รีบนำตั๋วแลกเงินส่งให้อ๋องฉีอย่างรวดเร็ว “ท่านอ๋อง นี่คือตั๋วแลกเงินจำนวนสองหมื่นตำลึง ท่านลองตรวจสอบดู”


อ๋องฉีไม่รับ สายตามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว


โหวปั๋วทั้งสี่เข้าใจความหมายของสายตานั่น ก็จนปัญญา ทำได้เพียงยื่นตั๋วแลกเงินให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เมื่อวานบุตรของข้ากระทำไม่ถูกต้อง ตั๋วแลกเงินนี้ถือเป็นค่าชดเชยความเสียหายของโรงงานกับค่ายารักษานายทหารทุกท่าน”


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาโดยไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง ถึงจะใส่เข้าไปในแขนเสื้อ


ขอโทษก็แล้ว เงินก็ชดเชยแล้ว ทั้งแปดคนก็ย่อมไม่ยอมที่จะเสียหน้าต่อหน้าคนอื่นอีก จึงรีบขอโทษอ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ย แล้วหันตัวเดินกลับไปยังรถม้าของตัวเอง


ช่วงเวลาที่ผ่านไปนี้ นายทหารหลายคนก็ทำการตรวจสอบรถม้าของโหวหลิวเสร็จแล้ว พร้อมประกอบรถม้าใหม่ให้แก่เขา พอเห็นโหวหลิวมา นายทหารที่เอ่ยปากเมื่อครู่ก็พูดขึ้น “ท่านโหว พวกข้าตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว รถม้ามิได้มีปัญหาอะไรแม้แต่น้อย เชิญท่านใช้อย่างสบายใจได้เลยขอรับ”


คำพูดนี้เป็นการพูดตบหน้าโหวหลิวที่พูดโกหกได้ก้องกังวานอย่างไม่ต้องสงสัย สีหน้าของโหวหลิวแดงซ่านโดยพลัน จะรับคำก็ไม่ใช่ จะไม่รับคำก็ไม่ใช่ พาลสั่งคนรถอย่างโมโห “ไอ้บ่าวเฮงซวย กล้าพูดโป้ปดมดเท็จเชียวหรือ ดูสิว่าหลังจากกลับจวนไปข้าจะจัดการลงโทษเจ้าอย่างไร”


คนรถถูกใส่ร้ายโดยไร้สาเหตุ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วง ได้แต่รับคำอย่างนอบน้อม


โหวหลิวสะบัดแขนเสื้อด้วยความโมโห ขึ้นรถม้าไป คนรถก็ไม่กล้ายื้ดเยื้อเชื่องช้า บังคับหัวรถม้ากลับ ง้างแซ่และตีม้าอย่างรุนแรงโดยทันที ม้ารู้สึกเจ็บหนัก รีบสะบัดเท้าวิ่งอย่างรวดเร็ว


จนรถม้าทั้งสี่คนไปไกลแล้ว ผู้คนที่มุงดูถึงจะกล้าส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์

 

 

 


ตอนที่ 166-2 หักหน้า

 

เปาชิงเหอ พูดกับอ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพใหญ่ เชิญเข้าไปนั่งในที่ประจำการก่อนขอรับ”


อ๋องฉีพูด “ไม่เป็นไร ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ”


ฉู่เหวินเจี๋ยก็เปิดปาก “ในค่ายทหารก็ยังมีธุระ ข้าเห็นควรจะต้องกลับไปเช่นกัน”


หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก “เสด็จพ่อ ท่านน้า พวกท่านคอยก่อน ข้ามีเรื่องต้องปรึกษาพวกท่านขอรับ”


ทั้งสองคนมองไปที่เขา


“ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะพูดคุยกัน เข้าไปคุยในโรงงานเถิดเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


“เช่นนั้น ข้าน้อยกลับที่ประจำการก่อนนะขอรับ” เปาชิงเหอพูด


“ข้าพาพวกคนบาดเจ็บเหล่านี้กลับไปเลยแล้วกัน” เหวินซื่อพูดด้วย


ทั้งสองคนพยักหน้า


ทุกคนแยกย้ายกันไป ผู้บัญชาการโต้วให้คนกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งลาดตระเวนบริเวณประตูโรงงาน ที่เหลือก็ตามเขาไปตรวจความเรียบร้อยในเมืองตอนเหนือ แต่ละคนเข้าไปในห้องของโรงงานที่สำหรับรับแขกโดยเฉพาะ และนั่งลงเรียบร้อย เสี่ยวซือสังเกตได้ จึงรินน้ำชาและยกเข้ามาวาง จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างนอบน้อม


เมิ่งเชี่ยนโยวนำเงินแปดหมื่นตำลึงออกมาวางไว้บนโต๊ะ หวงฝู่อี้เซวียนพูด “เสด็จพ่อ ท่านน้า ข้ากับโยวเอ๋อร์ปรึกษากันแล้วว่า เงินแปดหมื่นตำลึงนี้ เมื่อหักค่ายารักษาพวกนายทหารและค่ารางวัลสำหรับนายทหารทุกคนคนละยี่สิบตำลึงออกแล้ว ที่เหลือจะมอบให้แก่ท่านน้า เพื่อให้เหล่าทหารแม่ทัพได้ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นขอรับ”


อ๋องฉีคิดตรองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วพยักหน้า “ความคิดนี้ดีอย่างยิ่ง ถ้าหากแม่นางเมิ่งเก็บเอาไว้แปดหมื่นตำลึงล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกโหวปั๋วสี่คนนั้นรู้สึกไม่พอใจ แม้แต่เสด็จพี่จะต้องคิดว่านางเป็นคนโลภมากเกินไป หากนำเงินให้แก่แม่ทัพเพื่อการใช้สอยเช่นนี้แล้ว แม้ว่าในใจของพวกเขาจะแค้นเคือง แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก”


แม้ว่าทรัพยาการในค่ายทหารจะไม่ขาดแคลน แต่มีเงินเพิ่มขึ้นไม่กี่ตำลึง ก็สามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในค่ายทหารได้บ้าง ฉู่เหวินเจี๋ยจึงไม่ปฏิเสธ และพยักหน้า “เช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”


เรื่องก็ได้ตกลงกันเช่นนี้


อ๋องฉีกับฉู่เหวินเจี๋ยเดินออกจากโรงงาน คนหนึ่งกลับจวนอ๋องฉีไป ส่วนอีกคนกลับค่ายทหารไป


เมิ่งเชี่ยนโยวไปเดินสำรวจที่โรงงานกุนเชียงรอบหนึ่ง แล้วนำเรื่องรางวัลตอบแทนที่จะมอบให้แก่ทุกคนยี่สิบตำลึงบอกให้ทุกคนฟัง พวกนายทหารส่งเสียงร้องอย่างปิติยินดีนั้นเป็นธรรมดา แต่แม้แต่หวงฝู่อวี้ก็ดีใจกระโดดโลดเต้นไปด้วย


หวงฝู่อี้เซวียนย่อมไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ จึงจัดแจงให้คนไปป่าวประกาศให้ทั่ว ทำให้ผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่าเงินลงโทษแปดหมื่นตำลึงเกือบทั้งหมดมอบให้แก่ค่ายทหาร ฮ่องเต้ก็ได้ยินแล้วเช่นกัน ในใจก็รู้จักเมิ่งเชี่ยนโยวอีกขั้นหนึ่ง


ทว่า มหาเสนาบดีที่อยู่ภายในจวนได้ยินข่าวที่น่ายินดีนี้กลับโกรธจนเขวี้ยงแก้วชาแตกกระจาย พูดด้วยน้ำเสียงที่เกลียดชังว่า “หวงฝู่จิ้ง เรื่องนี้ พวกเรายังไม่จบหรอก”


แม้แต่คุณชายทั้งสี่ของจวนโหวและปั๋วล้วนขอโทษเมิ่งเชี่ยนโยวต่อหน้าผู้คน คนในเมืองหลวงยิ่งไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องที่โรงงานนั้นอีก


ทุกอย่างก็สงบสุขลง


ย่างเข้าตรุษจีนแล้ว การค้าของแต่ละที่คึกคักเป็นอย่างมาก เซี่ยเจียงเฟิงมาที่เมืองหลวงด้วยตัวเอง พอเห็นกุนเชียงที่กักตุนไว้มากมายเช่นนั้นก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบบอกว่าจะขนทั้งหมดไปที่ร้านของตัวเอง


ในร้านบะหมี่มันฝรั่งก็ยุ่งกันหัวหมุน เมิ่งอี้ยุ่งจนถึงดึก ด้วยความที่กลัวว่าจะรบกวนการพักผ่อนของครอบครัวท่านราชครู จึงกลับมาอาศัยที่บ้าน


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกิจการของร้านผ้าไหมทั้งสองแห่ง พนักงานในร้านต่างยุ่งจนเท้าไม่อยู่กับที่ทุกวัน


เถ้าแก่เหลาจวี้เสียนและเถ้าแก่ร้านบะหมี่มันฝรั่งของแต่ละที่ ก็เร่งพากันนำบัญชีไปรายงานผลงานประจำปีของร้านตัวเองที่เมืองหลวง


เมิ่งเชี่ยนโยวยุ่งอยู่กับการต้อนรับพวกเขา และตรวจสอบบัญชีทีละราย หวงฝู่อี้เซวียนไม่ต้องออกว่างานราชการนอกเมือง จึงมาช่วยทุกวัน เมื่อตรวจสอบบัญชีเสร็จ ก็แจกจ่ายเงินปันผลให้แต่ละคน


หลังจากมอบเงินให้แก่เถ้าแก่เหลาจวี้เสียนและเถ้าแก่ร้านบะหมี่มันฝรั่งทุกคนไปแล้ว ทั้งสองคนก็คำนวณบัญชีของกิจการจวนอ๋องอีกรอบหนึ่ง


เพียงพริบตาเดียววันเวลาก็มาล่วงเลยมาถึงวันที่ยี่สิบหกของเดือนสิบสองตามปีจันทรคติ ซึ่งเป็นวันที่โรงงานหยุดพักผ่อน


ในเวลาเช้าตรู่ เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนรับประทานข้าวเช้าเสร็จ ก็นั่งรถม้าของตัวเองมาถึงโรงงาน


วันนี้โรงงานก็ได้หยุดงานแล้ว คนงานทั้งหมดในวันนี้ล้วนมาเพื่อรับเงินค่าจ้าง


พวกคนงานมากันแต่เช้า เสี่ยวซือเปิดโรงงาน ให้พวกเขามารอด้านใน


หลังจากทั้งสองคนถึงแล้ว และเดินเข้าไปในโรงงาน ก็สั่งให้พวกทหารรักษาการณ์ขนของที่จะเตรียมมอบให้แก่คนงานเป็นของขวัญวันตรุษจีนลงมา ซึ่งมีเนื้อและผ้า


คนงานที่กำลังรออยู่เห็นของเหล่านี้ ก็พูดคุยกันอย่างตื่นเต้นทันที


เมิ่งฉีโบกมือขึ้น กลุ่มคนที่พูดจาเอะอะกันอยู่ก็เงียบลง และมองไปที่เขาทั้งหมด เมิ่งฉีพูดว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โรงงานจะหยุดทำการเนื่องในวันตรุษจีน และจะเริ่มงานอีกครั้งในวันที่ยี่สิบของต้นเดือนหน้า หวังว่าถึงตอนนั้นทุกคนจะมาเข้างานตรงต่อเวลา”


หยุดงานยี่สิบกว่าวัน พวกคนงานทั้งดีใจและกังวล ดีใจที่เป็นเวลานานขนาดนี้ ก็สามารถฉลองตรุษจีนได้อย่างสบายใจ แต่กังวลที่ยี่สิบกว่าวันนี้จะไม่ได้รับเงินค่าแรง


เมิ่งฉีชี้ไปที่เนื้อและวัสดุผ้าพร้อมพูดว่า “ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ทุกต่างลำบากกันมาก พวกเราจึงเตรียมเนื้อสองจิน[1]และวัสดุสำหรับทำเสื้อผ้าชุดหนึ่ง เป็นรางวัลที่พวกเจ้าทำงานทุกวันอย่างเหน็ดเหนื่อย ประเดี๋ยวรับค่าแรงและรางวัลแล้ว ทุกคนก็สามารถกลับบ้านได้”


ผู้คนต่างรู้สึกยินดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาที่ได้ค่าแรง แล้วยืนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย รอให้เสี่ยวซือเรียกชื่อคนไปรับค่าแรงและรางวัล


กลุ่มแรกเป็นพวกผู้หญิงที่ทำโรงงานบะหมี่มันฝรั่งและทำข้าวปลาอาหาร เมื่อรับค่าแรงและรางวัลด้วยความดีอกดีใจ ก็กลับบ้านไปอย่างสุขใจ


ที่เหลือก็คือทหารที่บาดเจ็บพิการพวกนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับทุกคนต่อว่า “วันนี้นอกจากจะให้ค่าแรงและรางวัลแก่พวกเจ้าแล้ว ครั้งก่อนที่พูดว่าทุกคนได้รับค่าทำขวัญยี่สิบตำลึงก็จะจ่ายให้พร้อมกัน พวกเจ้าไม่มีครอบครัว และนี่ก็เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน ขอให้เงินเหล่านี้เมื่อไปอยู่ในมือของพวกเจ้าแล้ว จะไม่ทำให้พวกเจ้าใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย”


นายทหารผ่านศึกเหล่านี้ยังเป็นวัยรุ่นที่มีพลัง และยังไม่มีครอบครัว ตอนนี้ออกจากกองทัพแล้ว ไม่มีคนควบคุมดูแล หลังจากได้เงินแล้ว ก็เลี่ยงได้ไม่ที่จะออกไปดื่มสุราเคล้านารี ไปทำความประพฤติที่ไม่ชอบไม่ควร เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ก็เพื่อเตือนสติพวกเขา


พวกทหารก็ย่อมเข้าใจความหมายของนาง และรับปากตามๆ กัน “นายหญิง ท่านวางใจเถิด พวกข้าไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน”


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เป็นเช่นนี้ก็ดีมาก ถ้าหากหลังจากตรุษจีน ข้าได้ยินว่ามีใครทำเรื่องเช่นนี้แล้วล่ะก็ ข้าจะไม่ปล่อยคนนั้นเอาไว้แน่”


 


 


[1] จิน หน่วยวัดน้ำหนักเรียกว่า ชั่ง (ประมาณ 500 กรัม)

 

 

 


ตอนที่ 167-1 นางเป็นใคร

 

“แล้วก็” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงดังขึ้น “อย่าคิดว่าตัวเองมีความบกพร่องทางกายแล้วจะรู้สึกต่ำต้อยกว่าผู้อื่น พวกเจ้าเก็บหอมรอมริบเสียหน่อย รอให้ผ่านไปปีครึ่ง ก็สามารถหาหญิงแต่งงานและมีครอบครัวได้แล้ว มิใช่เป็นคนที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีการงานอีกต่อไป”


 


 


พวกนายทหารผ่านศึกได้ยินคำพูดของนางจบ นัยน์ตาก็เผยประกายแห่งความหวัง นายทหารร่างสูงใหญ่ที่ขาหักพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “นายหญิง ไม่เช่นนั้น เงินยี่สิบตำลึงนี้ไม่ต้องมอบให้แก่พวกเรา แต่เก็บเอาไว้ที่ท่าน แล้วเมื่อไรที่พวกเราต้องการ ค่อยเบิกจากท่าน”


 


 


พอเขาพูด ทุกคนก็คล้อยตามกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีมองกันและกัน เมิ่งฉีพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรับปาก “ก็ได้ พวกเจ้าคนไหนที่ต้องการตอนนี้ก็มารับได้ ส่วนใครที่ยังไม่ต้องการก็เก็บไว้ที่ข้าก่อน”


 


 


นายทหารผ่านศึกเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ไม่มีครอบครัว ค่าแรงทุกเดือนก็ใช้ไม่ได้หมด จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงินตำลึงเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการรับไป


 


 


เมื่อหลายร้อยคนนี้รับค่าแรงไปแล้ว แต่ละคนก็แยกย้ายกลับกันไป เหลือแต่เพียงพวกทหารรักษาการณ์ เสี่ยวซือ และหวงฝู่อวี้


 


 


ค่าแรงของทหารรักษาการณ์คือทุกคนได้รับห้าตำลึง กินและอาศัยอยู่ในจวน อีกทั้งแต่ละฤดูจะมีทำเสื้อผ้าให้สองชุด ดังนั้นจึงไม่มีรางวัลให้แก่พวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวให้แค่เงินค่าแรงแก่พวกเขา คนต่อไปคือเสี่ยวซือ เมิ่งเชี่ยวโยวหยิบออกมาสิบตำลึง ส่งให้เขา และพูดว่า “เงินห้าตำลึงคือค่าแรงของเจ้า อีกห้าตำลึงคือรางวัลของเจ้า นอกจากนี้เนื้อและผ้า เจ้าก็รับไปชุดหนึ่ง”


 


 


เสี่ยวซือไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นอีกห้าตำลึง จึงตื่นเต้นอย่างมาก และกล่าวขอบคุณไม่หยุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือปราม “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เจ้าทุ่มเททั้งกายและใจให้แก่โรงงาน นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ”


 


 


เมื่อมอบเงินให้กับคนทุกคนเสร็จ ก็เหลือแต่เพียงหวงฝู่อวี้ที่เดินมายังโต๊ะด้านหน้า มองเมิ่งเชี่ยนโยวตาปริบๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินสิบตำลึงวางไว้บนโต๊ะ พูดว่า “ตามกฎของพวกข้า ค่าแรงของท่านที่กำหนดไว้คือสิบตำลึง ตอนนี้ แม้จะยังไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่เห็นแก่ที่ท่านทุ่มเทกายใจ จึงให้ท่านสิบตำลึงก็แล้วกัน”


 


 


เงินสิบตำลึงไม่เพียงพอสำหรับของที่ตัวเองจะซื้อ หวงฝู่อวี้จึงลองต่อรองดู “แม่นางเมิ่ง เงินสิบตำลึงนั้นออกจะน้อยเกินไป เจ้าลองดูว่าสามารถให้ข้ามากขึ้นได้ไหม ตรุษจีนแล้ว ข้าก็อยากซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ใหญ่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าบึ้งตึง “ที่นี่คือโรงงาน ค่าแรงของทุกคนล้วนกำหนดไว้อย่างชัดเจน ถ้าหากว่าให้ค่าแรงท่านมากกว่าคนอื่นอย่างส่งๆ แล้วคนอื่นจะทำอย่างไร และถ้าหากว่าจะให้ค่าแรงเพิ่มขึ้น ทุกคนก็ต้องได้เท่ากับท่านเหมือนกันหมด โรงงานนี้ของข้าก็ไม่ต้องเป็นทำอะไรแล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างมาก เห็นนางมีสีหน้าบึ้งตึง ก็รีบโบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่ขอเพิ่มแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ”


 


 


เมิ่งฉีเกือบจะหัวเราะพรืดออกมา แต่กลัวว่าตัวเองจะต้องแสดงสีหน้าที่แทบจะทนหัวเราะออกมาไม่ไหวให้หวงฝู่อวี้เห็น จึงรีบก้มหัวลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ใช้แรงอดกลั้นอย่างมากถึงได้ไม่มีหลุดเสียงหัวเราะออกมา


 


 


หวงฝู่อวี้หันตัวกลับ อยากจะไปหยิบเนื้อและวัสดุผ้า เมิ่งเชี่ยนโยวร้องหยุดเขาเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน!”


 


 


หวงฝู่อวี้หยุดฝีเท้าลง หันศีรษะกลับไปมองนางอย่างฉงนงงงวย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “จวนอ๋องไม่ขาดแคลนเนื้อสองจินกับผ้าเช่นนี้ ท่านไม่ต้องหยิบไปหรอก”


 


 


หวงฝู่อวี้เบิกตาโพล่งทันที ขณะที่จะทักท้วง เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบตั๋วแลกเงินหลายใบออกจากแขนเสื้อส่งให้เขา “นี่คือตั๋วแลกเงินจำนวนห้าร้อยตำลึง ให้ท่านเอาไปซื้อของขวัญ แต่บอกไว้ก่อนว่า นี่คือเงินที่ข้าให้ท่านยืม ต่อไปจะค่อยๆ หักจากค่าแรงของท่าน”


 


 


นัยน์ตาของหวงฝู่อวี้เปล่งประกายด้วยความทึ่งและยินดีโดยพลัน เขารีบรับมาและกล่าวขอบคุณอย่างไม่ขาดสาย “ขอบคุณแม่นางเมิ่ง ขอบคุณแม่นางเมิ่ง เจ้าวางใจเถอะ ต่อไปข้าจะยิ่งลงแรงทำงาน จะไม่ทำให้เจ้ากับพี่ใหญ่ผิดหวังอย่างแน่นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและโบกมือปัด


 


 


หวงฝู่อวี้เดินถือเงินออกไปข้างนอกด้วยความสุขใจ เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หยุดลง และหันหลังกลับไปตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว ลองถามของระมัดระวัง “ข้ายังอยากจะรับเนื้อสองจินกับผ้าไปด้วย”


 


 


เมิ่งฉีทนไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะเสียงดังออกมา


 


 


มุมปากของเมิ่งเชี่ยนโยวปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้า


 


 


หวงฝู่อวี้หันหลังกลับอย่างดีใจ ไปหยิบเนื้อและวัสดุผ้าที่อยู่ด้านข้าง แล้วก้าวเดินออกไปจากประตูโรงงานอย่างรวดเร็ว


 


 


เมิ่งฉีหัวเราะจนยืนตัวตรงไม่ได้


 


 


เหล่าทหารรักษาการณ์และเสี่ยวซือก็หัวเราะอย่างอดไม่ไหวเหมือนกัน


 


 


หัวเราะเสร็จ ก็เก็บข้าวของให้เรียบร้อย เมิ่งฉีและเสี่ยวซือไปเดินสำรวจภายในโรงงานรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าของทั้งหมดได้เก็บอย่างเรียบร้อย ก็ลงกลอนประตูโรงงาน แล้วเอากุญแจไว้กับเสี่ยวซื่อ พร้อมกลับบ้านที่หนานเฉิง


 


 


ตระเตรียมเก็บข้าวของเสร็จแล้ว วันต่อมาก็กลับบ้านเกิด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรออยู่ในจวนแล้ว พอได้ยินพวกเขากลับมา ก็เดินออกมาจากห้อง พูดว่า “ข้าซื้อของขวัญให้ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ และยังมีพี่ใหญ่กับซ้อ วางอยู่บนรถม้าหลังเรือนนั่น วันพรุ่งนี้ที่พวกเจ้ากลับถึงบ้าน ก็นำติดมือกลับไปด้วยล่ะ”


 


 


เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถามเขาว่าคืออะไร และพยักหน้า


 


 


พรุ่งนี้ต้องกลับบ้านแล้ว นึกขึ้นว่าพวกเขาสองคนต้องมีเรื่องพูดมากมายเป็นแน่ เมิ่งฉีก็พูดหาข้ออ้างว่า “ของๆ ข้ายังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อยเลย ข้าขอกลับไปเก็บสักหน่อย”


 


 


ทั้งสองคนพยักหน้า


 


 


เมิ่งฉีหันตัวจากไป เพิ่งจะเดินออกไปไม่กี่ก้าว ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงหยุดก้าวเดินไว้ แล้วหันมากำชับพวกเขา “ไม่อนุญาตให้ทำอะไรเกินเลยนะ”


 


 


ใบหน้าเมิ่งเชี่ยวโยวแดงเรื่อ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับคำ “เข้าใจแล้วขอรับ พี่รอง”


 


 


เมิ่งฉีถึงกลับเข้าไปภายในเรือนของตัวเองอย่างสบายใจ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปในห้องเช่นกัน


 


 


ชิงหลวนกับจูหลีทั้งคู่ก็ยืนห่างๆ อยู่ที่ประตูนอกเรือน


 


 


วันรุ่งขึ้นก็ต้องแยกจากกันแล้ว คิดแล้วก็มีตั้งยี่สิบกว่าวันที่จะไม่ได้เจอหน้า ยังไม่ทันได้จาก หวงฝู่อี้เซวียนก็เริ่มคิดถึงเสียแล้ว พอเข้าไปในห้องก็อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ วางศีรษะลงที่คอนาง พูดเสียงเบา “ทำอย่างไรดี ตอนนี้ข้าเริ่มคิดถึงเจ้าแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา พูดว่า “ตอนนี้ข้าก็อยู่ในอ้อมอกของท่านอยู่มิใช่หรือ”


 


 


ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนเป็นประกาย ถาม “เจ้ากำลังโน้มนำให้ข้าทำตามใจปรารถนาอยู่หรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปเคาะหน้าผากเขา “หลังจากฉลองตรุษจีนแล้วถ้ายังคิดอยากจะเจอข้า ก็อย่าได้คิดฟุ้งซ่าน นิสัยของพี่รองเจ้าก็รู้นิ เขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยอมแพ้ แนบศีรษะชิดที่หน้าผากของนาง ถอดถอนหายใจอย่างโศกเศร้า “แต่ว่าข้าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีกตั้งยี่สิบกว่าวัน”


 


 


“ยี่สิบกว่าวันแค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว หากที่บ้านไม่มีอะไร ข้าก็กลับมาโดยเร็ว”


 


 


น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนซึมลง “เพราะข้าคือซื่อจื่อ งานเลี้ยงกลางคืนในพระราชวังทุกปีไม่อาจขาดข้าได้ มิเช่นนั้นข้าก็อยากกลับไปบ้านของท่านพ่อท่านแม่ด้วยกันกับเจ้าจริงๆ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถอนหายใจเบาๆ “หลายปีก่อนไม่กล้าติดต่อกับที่บ้าน เพราะกลัวว่าจะสร้างความเดือดร้อนที่ไม่จำเป็นให้แก่ที่นั่น ตอนนี้สามารถติดต่อได้แล้ว กลับมีสถานะซื่อจื่อเป็นเหตุให้ไม่อาจกลับบ้านไปฉลองตรุษจีนเป็นเพื่อนพวกเจ้า จึงทำได้แต่เพียงซื้อของเล็กๆ น้อยๆ แสดงน้ำใจของข้าให้คนในบ้าน” พูดจบ ก็หยุดชั่วครู่ แล้วพูดต่อว่า “หลังจากเจ้ากลับไป ท่านพ่อท่านแม่ต้องถามถึงเรื่องงานแต่งงานของพวกเรา เจ้าก็บอกพวกเขาว่า ไม่เกินสิ้นปีหน้าเป็นอย่างช้า พวกเราต้องจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”


 


 


“ไม่ต้อง ข้าไม่รีบ รอสักหนึ่งหรือสองปีก็ไม่เดือดร้อนอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบเขา


 


 


นัยน์ตาของหวงฝู่อี้เซวียนส่องประกายขึ้น และถือโอกาสจูบลงที่ริมฝีปากนางเบาๆ “เจ้าไม่รีบ แต่ข้ารีบก็แล้วกัน ปีหน้าข้าก็อายุสิบหกปีแล้ว เห็นเจ้าทุกวัน แต่กลืนกินเจ้าไม่ได้ ในใจของข้าเป็นทุกข์เสียเหลือเกิน”


 


 


คำพูดเป็นนัยที่กล่าวออกมาอย่างเปิดเผยนี้ ทำให้สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงก่ำ หวงฝู่อี้เซวียนเห็นแล้ว ใจก็เต้นแรง มือออกแรงดึงให้เมิ่งเชี่ยนโยวขยับเข้ามาใกล้ตัวเองยิ่งขึ้น และริมฝีปากก็จูบตามด้วย


 


 


ทั้งสองคนอยู่ในห้องด้วยกันตลอดจนถึงเวลาอาหารเย็น เมิ่งฉีส่งคนไปเรียกพวกเขามารับประทานอาหาร ทั้งสองคนถึงจะเดินออกมาจากห้อง ไปที่ห้องอาหาร เมิ่งฉีรออยู่ภายในห้องอาหารแล้ว เห็นริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยวบวมแดงเพียงเล็กน้อย จึงไม่ได้พูดอะไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยิบป้ายห้อยเอววางไว้ตรงหน้าเมิ่งฉี พูดว่า “พี่รอง นี่คือป้ายห้อยเอวของข้า พอใกล้ถึงสิ้นปีแล้ว หนทางจะวุ่นวาย พวกเจ้าอย่าได้ไปพักแรมที่ไหนสุ่มสี่สุ่มห้า ไปพักอาศัยในที่พักสำหรับข้าราชการจะปลอดภัยยิ่งกว่า”


 


 


เมิ่งฉีมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “รับไว้เถิด พี่รอง กันไว้ดีกว่าแก้”


 


 


เมิ่งฉีเก็บป้ายห้อยเอวเอาไว้


 


 


รับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจำต้องแยกจากด้วยความอาลัยอาวรณ์

 

 

 


ตอนที่ 167-2 นางเป็นใคร

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเขาออกไปที่ประตู จนเห็นเขานั่งรถม้าออกไปไกลแล้ว ขณะที่เพิ่งจะหันกายเดินกลับเข้าจวน ก็เห็นรถม้าเคลื่อนมาแต่ไกล จึงหยุดฝีเท้าลง


 


 


รถม้าหยุดลง เมิ่งอี้กับโจวอิ๋งพาหงเอ๋อร์ลงจากรถม้า


 


 


เห็นนางยืนอยู่ที่ประตู หงเอ๋อร์ยื่นแขนเล็กๆ ออก และร้องเรียก “กูกู[1]” แล้ววิ่งถลันเข้าไปหานาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง โอบหงเอ๋อร์ที่กำลังวิ่งมาตรงหน้าอุ้มขึ้นและแกว่งไปมา เสียงหัวเราะที่ใสแจ๋วของหงเอ๋อร์ดังขึ้น


 


 


โจวอิ๋งพูดอย่างยิ้มแย้ม “พวกเราคิดว่าค่อยมารวมตัวกับพวกเจ้าในวันพรุ่งนี้เช้า แต่พอหงเอ๋อร์ได้ยินว่าจะกลับบ้าน ก็ดีอกดีใจ บ่นว่าอยากจะมาให้ได้ ข้าเห็นเขาตื่นเต้นอย่างมาก ก็เลยตามใจเขา จึงมาตั้งแต่คืนนี้”


 


 


“ข้างนอกอากาศหนาว เข้ามาข้างในก่อนแล้วค่อยคุยกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เมิ่งอี้รับคำ สั่งคนรถจวนโจวให้นำรถม้ากลับไป


 


 


หงเอ๋อร์ลงมาจากอ้อมอกของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวจูงมือน้อยๆ ของนาง เดินเข้ามาในจวนพร้อมกันทุกคน ไปยังเรือนที่เมิ่งอี้พักอาศัยเป็นประจำ แล้วนั่งลงเรียบร้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “หลังจากที่มาถึงเมืองหลวง ทุกวันก็ยุ่งกับการทำงานเสียจนไม่มีเวลาว่างไปเยี่ยมท่านราชครูและฮูหยินโจวเลย พวกเขาสบายดีใช่หรือไม่”


 


 


“ร่างกายของท่านปู่แข็งแรงและกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก พ่อกับลุงสอง ทั้งว่างและไม่มีอะไรต้องคิดคำนวณ จึงอารมณ์ดีมาก ต้องลำบากน้องโยวเอ๋อร์ที่นึกถึงเสียแล้ว” โจวอิ๋งพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือปัด “ซ้อพูดเช่นนี้ก็เป็นการตบหน้าข้าแล้ว ตรุษจีนที่ผ่านมาข้าไม่มีเวลาไปเยี่ยมท่านราชครูเลย เป็นการเสียมารยาทอย่างแท้จริง รอผ่านพ้นตรุษจีนไปก่อน หลังจากกลับมา เรื่องแรกที่จะทำก็คือไปเยี่ยมพวกเขา”


 


 


พูดจบ ก็ประเมินดูโจวอิ๋งด้วยสายตาครู่หนึ่ง พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ไม่ว่าอย่างไร เมืองหลวงก็มีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าจริงๆ ไม่ได้เจอกันช่วงหนึ่ง เหตุใดข้ารู้สึกว่าซ้อดูเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์ ราวกับอ่อนวัยลงหลายปี” พูดจบก็ถามเมิ่งอี้ “พี่เมิ่งอี้ พี่เห็นด้วยหรือไม่”


 


 


เมิ่งอี้ไม่ได้ตอบ ส่ายศีรษะยิ้มแหะๆ


 


 


โจวอิ๋งหน้าแดง พูดว่า “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าล้อซ้อของเจ้าอีกแล้ว มีใครที่ไหนที่นับวันยิ่งเด็กลงล่ะ”


 


 


พวกเขาคุยกันสักพัก ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรีบเดินทาง เมิ่งเชี่ยนโยวกลับห้องไปพัก วันที่สองเช้าตรู่ แม่ครัวและสาวใช้ตื่นแต่เช้ามาทำอาหารเช้า ทุกคนรับประทานเสร็จแล้ว กัวเฟยและเหล่าทหารรักษาการณ์ก็ได้ประกอบรถม้าและจัดแจงของทั้งหมดเรียบร้อย แล้วออกไปนอกจวนเพื่อรอให้เหวินเปียวพาพี่น้องของเขามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งครอบครัวของแม่ครัวและสาวใช้ทั้งสาม “จวนนี้มอบให้แก่พวกเจ้าแล้ว หลายวันนี้พวกข้าไม่อยู่ พวกเจ้าก็พักผ่อนให้สบายเสียหน่อย”


 


 


แต่ละคนรับคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบอั่งเปาที่เตรียมไว้แล้วออกมาแจกให้แต่ละคน แม้แต่ลูกชายของแม่ครัวก็ได้รับ “ตรุษจีนแล้ว ขอให้มีความสุขมากๆ นะ”


 


 


ทุกคนขอบคุณอย่างยินดี พร้อมกับรับประกันว่าจะดูแลบ้านเป็นอย่างดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกนอกประตูไป จนเวลาล่วงเลยไปประมาณสิบห้านาที ถึงจะเห็นเหวินเปียวกับเหวินหู่พาเหล่าพี่น้องในสำนักคุ้มกันภัยสาวเท้าวิ่งมาอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยวโยว ก็หยุดและหายใจหอบเฮือกๆ พูดอย่างขออภัย “นายหญิง พวกเรามาสายแล้ว”


 


 


“ไม่สาย กำลังพอดีเลย พวกเจ้าไปพักสักหน่อย พวกเราจะออกเดินทางในอีกไม่ช้า”


 


 


ทุกคนโบกมือขึ้นปฏิเสธ พากันพูดว่า “ไม่ต้องหรอกขอรับ พวกเราไม่เป็นไร ออกเดินทางกันเถอะ”


 


 


“ก็ได้ พวกเจ้านั่งรถม้าที่อยู่ด้านหลังนั่น ภายในรถม้าแต่ละคันได้เตรียมอาหารแห้งและน้ำเอาไว้แล้ว วันนี้วันที่ยี่สิบเจ็ดแล้ว ห่างจากวันฉลองตรุษจีนเพียงสามวัน พวกเราไม่กล้าล่าช้าระหว่างเดินทางอีก และพยายามถึงบ้านภายในวันพรุ่งนี้ตอนเย็นให้ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


ทุกคนรับคำ ไปยังรถม้าด้านหลัง มีบางคนเป็นคนคุมรถม้า ส่วนที่เหลือก็เข้าไปนั่งด้านใน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งฉีและครอบครัวเมิ่งอี้แยกกันขึ้นรถม้า ออกเดินทางมุ่งไปยังแคว้นชิงซี


 


 


อากาศหนาวเย็น เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ชิงหลวนและจูหลีเข้ามานั่งด้านในรถม้า ทว่า เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้ออกนอกเมืองหลวง จึงอดรู้สึกใคร่รู้ไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงชิงหลวนที่เอาแต่ถามจ๊อกแจ๊กไม่หยุด แต่แม้แต่คนที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ค่อยพูดอะไรอย่างจูหลีก็ถามคำถามต่างๆ ไม่น้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบพวกนางทีละคำถามด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม และบอกพวกนางว่า “พวกเจ้าต้องเตรียมใจไว้ให้ดี ที่บ้านนอกนั้น นอกจากความใสซื่อบริสุทธิ์ของคนแล้ว อะไรก็เทียบกับที่เมืองหลวงไม่ได้เลย”


 


 


ชิงหลวนไม่เห็นว่าเป็นเช่นนั้น จึงพูดว่า “ตอนที่พวกข้าอยู่ในค่ายลับ สภาพแวดล้อมล้วนมีแต่ความลำบากยากเข็ญ อย่าบอกนะว่าบ้านนอกจะแย่กว่าในค่ายลับน่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม ส่ายศีรษะ “หลังจากที่ไปถึงแล้ว พวกเจ้าก็จะรู้เอง”


 


 


ทั้งสามคนพูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้น พอตกเย็นก็ได้เดินทางมาครึ่งทางแล้ว คนจำนวนมากขนาดนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ไปที่พักสำหรับข้าราชการตามที่หวงฝู่อี้เซวียนบอก แต่หาพักในโรงเตี๊ยมที่ดีหน่อย เมื่อเข้าใกล้สิ้นปี ทุกแห่งหนล้วนเต็มไปด้วยคนที่เดินทางกลับบ้านด้วยความรีบเร่ง ทุกโรงเตี๊ยมจึงมีคนไม่น้อย ทว่า แขกที่ต้องการมาพักเป็นจำนวนหลายสิบคนนั้นไม่ได้เจอง่ายๆ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็ดีอกดีใจอย่างมาก ห้องในโรงเตี๊ยมมีไม่พอ จึงสั่งให้พวกพนักงานขนของจากห้องนอนของตัวเองออกมาเพื่อให้พวกเขาพัก


 


 


ขอเพียงมีที่พัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้มากเรื่อง และสั่งให้เหวินเปียวนำพวกพี่น้องเข้าไปพัก


 


 


เมื่อก่อนพวกเขาล้วนต้องเดินเหนือลงใต้เพื่อไปส่งสินค้า แต่ก็ไม่เคยได้พักในที่แห่งไหนมาก่อน ยิ่งยังได้ห้องพักเป็นห้องที่อบอุ่น


 


 


ทุกคนต่างหาที่พักได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมทำอาหารเย็นอร่อยๆ ให้ หลังจากรับประทานอาหารร้อนๆ เรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับเข้าห้องไปพักผ่อน


 


 


รอให้ทุกคนไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดกับเถ้าแก่ว่า “เถ้าแก่ พรุ่งนี้พวกเราต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ รบกวนท่านช่วยเตรียมอาหารเช้าอย่างดีให้พวกเราด้วย”


 


 


เถ้าแก่รับคำด้วยความยินดี “เข้าใจแล้วขอรับ แม่นาง รับรองว่าพรุ่งนี้เช้าพวกเจ้าลืมตาก็มีอาหารให้รับประทานได้เลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวน และจูหลีกลับห้องไปเนื่องจากเร่งเดินทางทั้งวัน จึงรู้สึกเหนื่อยล้ากันมาก เอนกายลงไม่นาน แต่ละคนก็หลับสนิท หลับสบายทั้งคืน


 


 


วันที่สอง เมื่อถึงเวลาฝึกซ้อมยามเช้าทุกวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลืมตาขึ้นตามเวลา เห็นแสงท้องฟ้าด้านนอกยังเช้าอยู่มาก จึงหลับตาลงและงีบต่อพักหนึ่ง จนท้องฟ้าส่องแสงสว่างอ่อนๆ ถึงจะลุกขึ้น


 


 


ชิงหลวนและจูหลีก็ลุกตาม เดินออกจากห้องมา เห็นทุกคนตื่นกันแล้ว และนั่งรออยู่ในโถงใหญ่


 


 


เถ้าแก่ได้สั่งพนักงานทำอาหารเช้าให้เรียบร้อย พร้อมยกมาวางตรงหน้าของพวกเขา


 


 


ทุกคนรับประทานกันเสร็จ ก็ไปหลังเรือนนำรถม้าออกมา รออยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินเรียบร้อย ก็ออกจากโรงเตี๊ยมมาพร้อมกับเมิ่งฉีและครอบครัวเมิ่งอี้ ขึ้นนั่งบนรถม้า มุ่งตรงไปยังทางกลับบ้าน


 


 


ตลอดทางทุกคนผลัดกันบังคับรถม้า กลางวันไม่ได้หยุดพักกินข้าว เพียงแต่รับประทานอาหารแห้งเล็กน้อยอย่างง่ายๆ จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงแคว้นชิงซีในเวลาประมาณบ่ายสามโมง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านของรถออก เห็นแคว้นที่คุ้นเคย ภาพในอดีตแต่ละภาพก็ปรากฏขึ้นบนหัว ในใจก็ยิ่งคิดถึงคนที่บ้าน จึงสั่งกัวเฟย “เร่งม้าให้เร็วหน่อย พยายามให้ถึงบ้านภายในหนึ่งชั่วโมงให้ได้”


 


 


ถนนจากแคว้นชิงซีจนถึงหวงจวงเส้นนี้ กัวเฟยขี่รถม้าไปมาหลายปี คุ้นเคยจนแม้แต่ปิดตาก็สามารถหาบ้านได้เจอ พอได้ยินนางแล้วก็ง้างแส้ม้าเพื่อเร่งให้ม้าวิ่งเร็วขึ้น รถม้าด้านหลังทั้งหมดก็ตามมาติดๆ ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หวงจวงก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า


 


 


พอคิดว่าจะได้เจอกับคนในครอบครัวในอีกไม่ช้านี้แล้ว ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตื่นเต้น และเร่งกัวเฟย “เร็วอีกหน่อย”


 


 


เขาก็เคยอาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายปี ในใจของกัวเฟยก็ย่อมตื่นเต้นเช่นกัน ม้าก็ถูกเร่งอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตาก็มาถึงหน้าประตูบ้าน


 


 


ยังไม่ทันรอให้รถม้าหยุดสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวก็กระโดดลงมา รีบสาวเท้าเดินเข้าไปในบ้าน ชิงหลวนและจูหลีตามหลังนางไปอย่างติดๆ


 


 


ทั้งสามคนยังเดินไม่ถึงประตูดี หญิงสาวคนหนึ่งที่หน้าตาสละสลวย รูปร่างอ้อนแอ้น ดูอ่อนแอและเปราะบางเดินออกมาจากในบ้าน เห็นรถม้าหยุดอยู่ที่ประตูมากมาย ก็ตกตะลึงอย่างมาก และเมื่อเห็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยวสามคนเดินมาที่ประตูอย่างรวดเร็ว จึงเอ่ยถามอย่างลนลาน “พวกเจ้าเป็นใคร คนมากมายเช่นนี้มาทำอะไรที่บ้านของข้า”


 


 


 


 


 


 


[1] กูกู ภาษาจีนคือ 姑姑 ใช้เรียกน้องสาวของพ่อ

 

 

 


ตอนที่ 168-1 ที่มาที่ไปของเรื่อง

 

เหล่าองครักษ์ที่เพิ่งลงจากรถม้าเมื่อได้ยินคำของนาง ต่างพากันหยุดชะงัก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้าลง มองไปที่นางด้วยสายตาดุร้าย ถามกลับไปว่า “เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงมาอยู่ที่บ้านของข้า”


 


 


“บ้านของเจ้า?” เมื่อหญิงสาวได้ยินสิ่งที่นางกล่าว จึงถามอย่างสงสัย


 


 


จากนั้นจึงเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ จึงกล่าวอย่างตกใจว่า “ท่านคือเสี่ยวกู[1]หรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง น้ำเสียงของนางเริ่มไม่พอใจ “ตอบคำถามของข้า เจ้าเป็นใคร”


 


 


หญิงสาวก้มลงทำความเคารพนาง “ข้าน้อยคือรั่วหลาน เป็นเมียน้อยคนใหม่ของเซี่ยงกง[2] เจ้าค่ะ ขอประทานโทษที่ข้ามิได้ทำความเคารพท่านในตอนแรก”


 


 


ปัง! เมื่อนางพูดจบ ร่างของนางก็ลอยกระเด็นไปยังลานกว้าง


 


 


รั่วหลานกรีดร้องออกมา ตุ้บ! และร่วงลงบนพื้นในลาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปด้วยอารมณ์โกรธ ชิงหลวนและจูหลีมองตากันเล็กน้อย และรีบเดินตามไป


 


 


เหล่าองครักษ์ด้านหลังไม่เคยพบเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเช่นนี้มาก่อน จึงต่างพากันตกใจมาก


 


 


หลังจากเมิ่งฉีอึ้งไปเล็กน้อย ก็ได้เดินเข้าไปด้วยความรีบร้อน


 


 


เมิ่งซื่อกำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงของรั่วหลานกรีดร้องอย่างทรมานจึงได้รีบเดินออกมา เดินไปพร้อมเดินไปว่า “รั่วหลาน เจ้า…” แต่เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว จึงตกใจจนผ้าขี้ริ้วร่วงออกจากมือ เดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรีบร้อน “โยวเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเก็บอารมณ์โกรธแค้น แสดงสีหน้าดีใจออกมา ผายมือออกมาต้อนรับเมิ่งซื่อ โอบคอนางราวกับเป็นเด็ก “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”


 


 


กรอบตาของเมิ่งซื่อมีน้ำตารื้นขึ้นมา ตบหลังของนาง และพูดว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว แม่คิดถึงเจ้าจะแย่อยู่แล้วเชียว” เมื่อพูดจบ จึงผละออกจากเมิ่งเชี่ยนโยว และตั้งใจพิจารณาตัวนางอย่างละเอียด พยักหน้า “ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แม่ยังเกรงว่าเจ้าจะผอมลงเสียอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนไปกอดแขนของนางแทน และพูดอย่างออดอ้อนว่า “ไม่ได้กินอาหารที่ท่านแม่ทำ จึงผอมลงไปเล็กน้อยเจ้าค่ะ ครานี้ข้ากลับมาอยู่บ้านสักพักใหญ่ ท่านต้องทำของอร่อยให้ข้ากินบำรุงนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งซื่อพยักหน้าอย่างดีใจ “ได้สิ ต่อไปแม่จะทำของอร่อยให้เจ้ากินทุกวัน ให้เจ้ากินให้พอเสียเลย”


 


 


รั่วหลานร้องออกมาอย่างเจ็บปวด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือเป็นสัญลักษณ์ให้ชิงหลวน ชิงหลวนเข้าใจความหมาย จึงรีบเดินเข้าไปกดจุดประสาทที่ร่างของนาง


 


 


เมิ่งซื่อกำลังจะพูด แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนของนาง พูดอย่างออดอ้อนปนชื่นชมว่า “ท่านแม่ พวกเรารีบเข้าไปในห้องเถิดเจ้าค่ะ ข้ารีบเดินทางมา หนาวเสียจริง”


 


 


เมิ่งซื่อลืมการมีอยู่ของรั่วหลานไปทันที รีบจูงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง เดินไปพลางบ่นไปว่า “รีบเข้าห้องเถิด ในห้องอุ่น เจ้านี่ก็กระไร จะกลับมาล่วงหน้าวันสองวันมิได้หรือ เหตุใดจะต้องเร่งมาวันสุดท้ายเช่นนี้”


 


 


ไม่ได้ยินเสียงแม่บ่นมานานแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกหวนคิดถึงขึ้นมา จึงไม่ได้ขัดนาง ปล่อยให้นางบ่นตลอดการเดินกลับห้อง


 


 


เมิ่งซื่อให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ เทน้ำร้อนใส่แก้ววางลงบนมือนาง “เจ้าถือเอาไว้เสีย จะได้อุ่นขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาถือเอาไว้ในมือ


 


 


เมิ่งฉีเดินตามเข้ามาในห้อง พูดยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านช่างลำเอียงเสียเหลือเกิน ในตาของท่านมีเพียงลูกสาว ไม่มีลูกชายเลย”


 


 


เมิ่งซื่อเองก็เพิ่งจะรู้ว่าเมิ่งฉีเองก็ตามมาด้วย สีหน้าของนางดีใจมากขึ้น “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ส่งข่าวมาบอกก่อน เมื่อวานแม่ยังพูดกับท่านพ่อของพวกเจ้าอยู่เลยว่าปีนี้พวกเจ้าคงจะยุ่งกัน มิได้กลับบ้านหรอก”


 


 


พูดจบ จึงหันหลังไปเทน้ำใส่แก้วให้เมิ่งฉี


 


 


เมิ่งอี้และโจวอิ๋งพาหงเอ๋อร์เข้ามา ตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ท่านป้ารอง”


 


 


เสียงเล็กๆ ของหงเอ๋อร์ก็ดังตามมาว่า “ท่านย่า!”


 


 


เมิ่งซื่อตอบรับอย่างดีใจ นางย่อตัวลง ลูบหัวของหงเอ๋อร์ พูดอย่างดีใจว่า “ดูสิ ไม่เจอกันไม่กี่เดือน หงเอ๋อ์ของพวกเราโตขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว”


 


 


พูดจบ ก็ยืนขึ้น และพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้านั่งก่อนสิ อากาศเย็นเช่นนี้ คงจะหนาวกันมากเลยใช่หรือไม่ เดี๋ยวข้าเทน้ำร้อนให้พวกเจ้า”


 


 


เมิ่งอี้และโจวอิ๋งมองตากันเล็กน้อย เมิ่งอี้จึงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องหรอกขอรับท่านป้า พวกเราเองก็ไม่ได้กลับบ้านหลายเดือนแล้ว อยากจะรีบกลับไปดูเสียหน่อย”


 


 


เมิ่งซื่อไม่รั้งพวกเขาเอาไว้ พูดว่า “อย่างนั้นก็ดี วันก่อนแม่ของพวกเจ้ายังบ่นอยู่เลย ไม่รู้ว่าพวกเจ้ากลับมาฉลองตรุษจีนหรือไม่ บัดนี้นางคงจะดีใจไม่น้อย”


 


 


“อย่างนั้นพวกเราของตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ทำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราจะมาเยี่ยมท่านป้าใหม่” โจวอิ๋งกล่าว


 


 


เมิ่งซื่อพยักหน้า


 


 


“พี่เมิ่งอี้ ท่านกลับไปบอกกับท่านปู่และท่านย่าว่าข้าอาจจะไปเยี่ยมท่านดึกเสียหน่อย”


 


 


เมิ่งอี้ตอบรับ พาโจวอิ๋งและลูกเดินออกไปด้านนอก


 


 


เมิ่งซื่อกำลังจะเตรียมตัวเดินไปส่งด้านนอก


 


 


เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพร้อมกัน


 


 


เมิ่งฉีไปส่งครอบครัวของเมิ่งอี้ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปโอบแขนของเมิ่งซื่อเอาไว้ กล่าวว่า “ท่านแม่ พี่เมิ่งอี้ไมใช่ใครอื่น ให้พี่รองไปส่งก็พอแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะอยู่คุยกับท่านเสียหน่อย”


 


 


เมิ่งอี้เองก็รีบหันกลับมาบอกว่า “ท่านป้า ท่านมิต้องไปส่งพวกเราหรอกขอรับ พวกเราไปกันเองก็พอ”


 


 


เมิ่งซื่อหยุดฝีเท้าของตนเอง มองพวกเขาเดินออกจากห้องไป จึงถอนหายใจออกมา


 


 


พวกเขาเดินออกมาจากห้อง เห็นรั่วหลานที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยสภาพอิดโรย เมิ่งฉีและเมิ่งอี้มองหน้ากัน ไม่มีใครพูดอะไร และเดินตรงต่อไปยังหน้าประตู


 


 


เมื่อส่งครอบครัวเมิ่งอี้กลับไปแล้ว เมิ่งฉีหันหลังกลับห้องโดยไม่แม้แต่จะมองรั่วหลานสักนิด ราวกับว่านางไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น


 


 


เมิ่งซื่อได้เทน้ำเตรียมให้เมิ่งฉีเรียบร้อยแล้ว วางไว้บนโต๊ะ เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็นำแก้วน้ำกลับมาถือไว้บนมืออีกครั้ง เมิ่งซื่อนั่งลงบนเตียงคั่ง สีหน้ายินดีได้หายไปแล้ว สีหน้าเหนื่อยหน่ายได้เข้ามาแทนที่


 


 


ไม่รอให้ทั้งสองได้เอ่ยปากถาม นางได้บอกกับทั้งสองว่า “เมื่อเดือนที่แล้ว พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไปทำการค้าในตัวเมือง คืนนั้นไม่ได้กลับบ้าน มากลับเอาในเช้าของวันที่สองด้วยสภาพอิดโรย ร่างกายดูอ่อนเพลีย พวกเราตกใจแทบแย่ จึงได้ถามไถ่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทีแรกเขาไม่ยอมตอบ แต่ต่อมาถูกพวกเราไล่เค้นคำตอบ จึงพูดว่าตนเองกินเหล้าจนเมา และได้ทำเรื่องที่ไม่ควรทำลงไป เขาพูดเช่นนี้ พวกเราก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าโกรธแทบแย่ ต่อว่าเขาอยู่นาน ท่านพ่อของเจ้าเองโกรธยิ่งกว่า จะไล่เขาออกจากบ้านอย่างเดียว สุดท้ายก็ได้พี่สะไภ้ของพวกเจ้าขอร้องแทนเขาทั้งน้ำตา พ่อของเจ้าจึงไม่ได้ไล่เขาออกจากบ้าน”


 


 


พูดถึงตรงนี้ เมิ่งซื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า “ตระกูลเมิ่งของเราได้สะไภ้ดี พี่ใหญ่ของเจ้าทำเรื่องแบบนี้ขึ้น เชี่ยนเอ๋อร์ไม่เพียงแต่ไม่กล่าวโทษเขา แต่ยังขอร้องให้พวกเรายอมรับหญิงผู้นั้นอีก ให้เสียนเอ๋อร์รับนางเป็นเมียน้อย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพวกเราก็ทำได้เพียงเท่านี้ แต่ว่า พวกเรายังมิทันได้ส่งคนไปส่งข่าว วันรุ่งขึ้นทางนั้นก็ได้ส่งคนมาแล้ว พวกเราเห็นนางทั้งอ่อนโยนและอ่อนแอ ดูเป็นหญิงที่ดีใช้ได้ จึงไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ พี่สะไภ้ใหญ่ของเจ้าได้แบ่งห้องเล็กๆ ให้นางอยู่ กลางวันนางก็จะมาทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ที่นี่ ตกกลางคืนก็กลับไปที่หอนอนของตนเอง ก็สงบดีเหมือนกัน”


 


 


“พี่ใหญ่มีท่าทีกับนางอย่างไรหรือเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


“พี่ใหญ่ของเจ้าเกลียดนางมาก หลังจากที่นางย่างกรายเข้ามาในบ้าน เขาก็ไม่มองนางเลยแม้แต่น้อย หอนอนของนางก็ไม่เคยไปเลยสักครั้ง”


 


 


“พี่ใหญ่ได้บอกพวกท่านหรือไม่ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว


 


 


เมิ่งซื่อสายหน้า “หลังจากที่เขากลับมาเล่าให้ฟัง พวกเราก็เอาแต่โมโห ไม่มีใจจะไปถามไถ่เรื่องรายละเอียดพวกนั้นหรอก จากนั้นรั่วหลานก็ถูกส่งตัวมาแล้ว จะถามไถ่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเราจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามว่า “พี่ใหญ่กับซ้อล่ะเจ้าคะ ไปที่โรงงานแล้วหรือ”


 


 


“โรงงานหยุดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้พี่ใหญ่และพี่สะไภ้เจ้าพาเส้าเอ๋อร์กลับบ้านแม่ยายไปมอบของขวัญวันตรุษจีน เวลานี้ก็น่าจะใกล้กลับมาแล้ว” เมิ่งซื่อกล่าว


 


 


เมิ่งเสียนไม่อยู่บ้าน ความเป็นมาของเรื่องราวก็ยังไม่ชัดเจน เมิ่งเชี่ยนโยวยังตัดสินอะไรไม่ได้ จึงพูดกับเมิ่งฉีว่า “พี่รอง ท่านเองก็จากบ้านไปเป็นเวลานานแล้ว รีบกลับไปดูซ้อรองกับลูกเถิด กินข้าวเย็นเสร็จแล้วค่อยกลับมา”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า วางแก้วชาลง ยืนขึ้นและพูดว่า “ท่านแม่ ข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”


 


 


“ไปเถิด เยียนเอ๋อร์ก็รอให้เจ้ากลับมาอยู่หนา”


 


 


เมิ่งฉีเดินออกไปจากห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางแก้วชาในมือ ยืนขึ้นและถามว่า “ท่านแม่ ห้องซีเซียงยังว่างอยู่หรือไม่เจ้าคะ อี้เซวียนฝากของมาให้ที่บ้านไม่น้อย เก็บเอาไว้ในห้องนั้นก่อนเถิด”


 


 


เมิ่งซื่อเองก็ลุกยืนขึ้น เดินออกไปด้านนอกพร้อมนาง “ยังว่างอยู่ ข้าเข้าไปทำความสะอาดอยู่เสมอ เอาไปวางไว้ด้านในก็พอ”


 


 


รั่วหลานเห็นทั้งสองเดินออกมา จึงกลอกลูกตาขยับไปมาตลอด ราวกับว่าจะขอร้อง เมิ่งเชี่ยนโยวมองนางเล็กน้อย และสั่งชิงหลวนว่า “เอานางออกไปไกลๆ อย่าให้เกะกะสายตาผู้อื่น”


 


 


ชิงหลวนตอบรับ และโยนร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของรั่วหลานไปไว้ที่ช่องลมระหว่างห้องตงเซียงและห้องหลัก ปกติอากาศก็หนาวอยู่แล้ว ช่องลมระหว่างห้องก็ยิ่งหนาวมากขึ้น รั่วหลานรู้สึกหนาวจนสั่นสะท้าน


 


 


เมิ่งซื่อรู้จักนิสัยใจคอของเมิ่งเชี่ยนโยวดี จึงไม่ได้พูดอะไร


 


 


ทั้งสองเดินออกมาถึงหน้าประตู องครักษ์ยังรออยู่ด้านหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกัวเฟยและเหวินเปียวว่า “จัดการให้เพื่อนๆ ของเจ้าพักในจวนของเจ้านะ พักผ่อนเสียก่อน มีธุระอะไรวันพรุ่งค่อยว่ากัน”


 


 


กัวเฟยและเหวินเปียวตอบรับ


 


 


องครักษ์ขนย้ายข้าวของบนรถไปยังห้องซีเซียงจากนั้นก็ลากรถม้าไปยังหลังจวน และแยกย้ายกันไปพักผ่อน


 


 


 


 


 


 


 


[1] เสี่ยวกู น้องสาวของสามี


 


 


[2] เซี่ยงกง ใช้เรียกสามีในแบบที่เคารพและยกย่องสามีมากๆ หรือสามีเป็นชนชั้นสูงบ้านมีฐานร่ำรวยในสมัยโบราณ

 

 

 


ตอนที่ 168-2 ที่มาที่ไปของเรื่อง

 

ร้านแป้งมันฝรั่งของเมืองก็ปิดแล้ว ครอบครัวของเหวินเปียวอยู่ที่นี่ทั้งหมด เมื่อได้เห็นพี่น้ององครักษ์ยืนอยู่ด้านหน้าตัวเองอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งดีใจและตื่นเต้น เหวินเป้าและเหวินจงคิดไม่ถึงเลยว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะให้พวกเขาได้กลับมาฉลองตรุษจีนกับครอบรัว จึงดีใจเป็นอย่างมาก


 


 


อีกด้านของจวน เหล่าองครักษ์เมื่อเห็นกัวเฟยกลับมาก็ดีใจกันยกใหญ่ ต่างพากันรุมล้อมเค้า เพื่อถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่ในเมืองหลวง


 


 


เวลาล่วงเลยไปจนพลบค่ำ เมื่อคิดว่าสองสามวันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวต้องเดินทางจนไม่ได้กินอย่างเต็มอิ่ม เมิ่งซื่อจึงพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ห้องของเจ้าแม่ได้หมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ พร้อมเข้าอยู่ตลอดเวลา เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด แม่ทำอาหารเสร็จแล้วจะเรียกเจ้า”


 


 


“ข้าไม่เหนื่อย ข้าไปทำอาหารกับท่านดีกว่า จะได้เล่าเรื่องอี้เซวียนให้ท่านฟังด้วย”


 


 


เมื่อกล่าวถึงหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งซื่อก็คิดถึงเรื่องงานแต่งของเขาทันที จึงถามว่า “เรื่องหมั้นหมายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง จดหมายที่เจ้าส่งมามิได้กล่าวถึง งานแต่งของเขายังไม่ได้ยกเลิกอย่างนั้นหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพลางกอดแขนของเมิ่งซื่อ พลางยิ้มและพูดว่า “เรื่องงานแต่งของเขาและคุณหนูจวนราชเลขาได้ยกเลิกไปนานแล้วเจ้าค่ะ แต่เรื่องงานแต่งของพวกเรา อี้เซวียนยังเด็กอยู่ พวกเราจึงรออีกสองปีค่อยว่ากันเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อหยุดฝีเท้าลง มองนางอย่างไม่เห็นด้วย พูดเสียงแข็งว่า “ไม่ได้ รออีกสองปีเจ้าก็อายุครบยี่สิบปีแล้ว เจ้าบอกเขาว่า อย่างช้าที่สุดคือปลายปีหน้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับอย่างยิ้มๆ ว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะกลับไปบอกเขา หากภายในปลายปีหน้าไม่มาสู่ขอข้า ท่านพ่อและท่านแม่ก็จะไม่ยอมรับเขาอีก”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของนาง เมิ่งซื่อทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างระอา


 


 


เมื่อดูวัตถุดิบในครัวแล้ว เมิ่งซื่อก็คิดได้ว่าจะทำอาหารอะไรออกมาบ้าง เริ่มลงมือทำทันที เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงเริ่มลงมือช่วย


 


 


เพิ่งเริ่มลงมือได้ไม่ทันไร ในลานจวนมีเสียงเล็กๆ ที่สดใสของเมิ่งเส้าดังขึ้นมา “ท่านย่า ข้ากลับมาแล้ว”


 


 


เมิ่งซื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพร้อมกัน เมิ่งเชี่ยนโยวเดินนำไปที่หน้าประตู เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือให้เมิ่งเส้า “เส้าเอ๋อร์ มาหาอามา”


 


 


เมิ่งเส้าได้ยินเสียงของนาง จึงตะโกนร้องด้วยความดีใจ “ท่านอา!” ก้าวขาสั้นๆ วิ่งเข้ามาหานาง


 


 


เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนเดินตามมาด้านหลัง เมื่อได้ยินเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีใจมาก พร้อมพูดว่า “น้องเล็ก เจ้ากลับมาแล้วหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มเมิ่งเส้าขึ้นมา จูบหน้าผากของหลานด้วยความรัก แล้วจึงค่อยมองไปทางทั้งสอง


 


 


ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่เดือน เมิ่งเสียนดูแก่ลงไปหลายปี ไร้ซึ่งสีหน้าท่าทางน่าเกรงขาม แผ่เอาความรู้สึกอิดโรยไปรอบตัว


 


 


แม้ว่าเมิ่งเสียนจะดีใจที่เห็นนางกลับมา บนใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่นานรอบยิ้มนั้นก็หายไป ส่วนซุนเชี่ยนไม่เพียงแต่อิดโรยจนดูไม่ได้ แต่ร่างกายยังดูซูบผอมไปมาก กระทั่งเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังดูหละหลวมไปมาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก พยักหน้าให้พวกเขา พูดว่า “ข้าเพิ่งจะมาถึง ท่านแม่บอกว่าจะทำอาหารให้ข้า ข้าเลยจะไปช่วยนาง”


 


 


ซุนเชี่ยนรีบสั่งคนใช้ที่มาด้วย “เอาของไปเก็บให้เรียบร้อย และตามข้าไปทำอาหาร”


 


 


สาวใช้ทั้งสองตอบรับ แต่เมื่อหาที่เก็บข้าวของที่ได้มาจากบ้านตระกูลซุน ก็ได้เห็นเข้ากับรั่วหลานที่อยู่ในช่องลม จึงร้องออกมาอย่างตกใจ “แม่ แม่นาง นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเสียนขมวดคิ้ว


 


 


ซุนเชี่ยนไม่เข้าใจสถานการณ์ กำลังจะเดินไปที่ช่องลมเพื่อดูให้แน่ชัด แต่เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนห้ามนางไว้ “อย่าไปเลยค่ะซ้อ”


 


 


ซุนเชี่ยนจึงไม่ได้เดินต่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งสาวใช้ทั้งสองว่า “เอาร่างนางไปโยนไว้จวนของนาง ให้ข้าวให้น้ำนางก็พอ ตั้งแต่วันพรุ่งเป็นต้นไป พวกเจ้าผลัดกันไปเฝ้ายามนางเอาไว้ หากไม่มีคำสั่งของข้าก็ห้ามนางออกมาเด็ดขาด”


 


 


สาวใช้ทั้งสองอยู่กับซุนเชี่ยนมาตั้งแต่เด็ก เข้าใจความรู้สึกของนางดี การปรากฏตัวของรั่วหลานก็ทำเอาพวกนางรู้สึกคันไม้คันมือไม่น้อย เมื่อได้ยินคำของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงตอบรับอยากยินดี และรีบไปลากร่างของรั่วหลานกลับจวนของนาง


 


 


รั่วหลานถูกกดจุดประสาท ร่างของจึงนางแข็งทื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสั่งชิงหลวนว่า “เจ้าไปส่งนางกลับจวน”


 


 


ชิงหลวนตอบรับ ให้สาวใช้ทั้งสองนำทาง ตัวเองก็ยกร่างก็รั่วหลานและเดินตามไป


 


 


เมิ่งเสียนเห็นชัดว่าเป็นรั่วหลาน จึงเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ แต่สีหน้าของซุนเชี่ยนกลับอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นขอบตาก็เริ่มแดงขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ทุกอย่างตรงหน้า จึงวางเมิ่งเส้าลง เดินไปตรงหน้าของซุนเชี่ยน ยิ้มพร้อมโอบไหล่ของนาง พูดปลอบใจว่า “ซ้อใหญ่เจ้าคะ วางใจเถิด ยังมีข้าอยู่ตรงนี้นะ”


 


 


น้ำตาของซุนเชี่ยนก็เริ่มหยดลงมาทันที


 


 


เมิ่งเสียนเห็นภาพทั้งหมด สีหน้าบ่งบอกว่าเจ็บปวดใจ เขาอ้าปากแต่กลับพูดอะไรไม่ออก


 


 


เมิ่งเส้าที่แสนฉลาดพยายามจะเขย่งเท้า ใช้แขนเสื้อของตนเช็ดน้ำตาให้กับซุนเชี่ยน เสียงน้อยๆ พูดว่า “ท่านแม่ ไม่ร้องนะ”


 


 


น้ำตาของซุนเชี่ยนไหลออกมามากกว่าเดิม นางกุลีกุจอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาแบบลวกๆ พูดเสียงอู้อี้ว่า “เส้าเอ๋อร์ แม่ไม่เป็นไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโอบไหล่นางไว้แน่น มองค้อนให้เมิ่งเสียนหลายที


 


 


เมื่อเห็นซุนเชี่ยนทนเจ็บทรมานเช่นนี้ เมิ่งเสียนปรากฏสีหน้าเจ็บปวดออกมา


 


 


เมิ่งซื่อเห็นซุนเชี่ยนเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน จึงเดินไปหานาง พูดว่า “เด็กดี แม่รู้ว่าเจ้าเสียความรู้สึกมาก อยากร้องก็ร้องออกมาเถิด ตั้งแต่ที่เสียนเอ๋อร์ก่อเรื่องขึ้นจนบัดนี้ เจ้าอดกลั้นมาตลอด ระวังจะป่วยเอาได้นะ”


 


 


ซุนเชี่ยนอดทนไม่ไหวอีกแล้ว นางซบลงในอ้อมกอดของเมิ่งเชี่ยนโยวและร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ระบายความเจ็บปวดเสียใจของช่วงเวลาที่ผ่านมาออกมาจนสิ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตบหลังของนางเบาๆ ปล่อยให้นางร้องไห้ระบายออกมา


 


 


เมิ่งเส้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้เพียงเม้มปาก มองซุนเชี่ยนอย่างหวาดกลัว


 


 


ดวงตาของเมิ่งเสียนแดงขึ้น คุกเข่าลงบนพื้น ขยำผมของตนเองอย่างเจ็บปวด


 


 


ร้องไห้อยู่ราวๆ สิบห้านาที เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดปลอบขึ้นว่า “ซ้อคะ หากร้องไห้ต่อไปจะไม่ดีกับร่างกายนะเจ้าคะ”


 


 


ซุนเชี่ยนค่อยๆ หยุดเสียงร้องลง แต่ยังสะอื้นไม่หยุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงนางไปยังห้องของเมิ่งซื่อ ให้นางนั่งลงบนเก้าอี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่อ่างล้างหน้าที่อยู่อีกด้าน นำผ้าชุบน้ำ ส่งให้นาง “ซ้อใหญ่ เช็ดหน้าเช็ดตาก่อนเถิด”


 


 


ซุนเชี่ยนรับมา นำผ้ามาทาบไว้กับใบหน้าของตัวเอง สะอื้นไม่หยุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ข้างกายนางเงียบๆ ผ่านไปชั่วครู่ ซุนเชี่ยนวางผ้าลง พูดด้วยเสียงของคนร้องไห้ว่า “ได้ร้องให้ออกมาก็รู้สึกดีขึ้นมาก ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”


 


 


“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับพี่ใหญ่ พวกท่านก็ควรจะเขียนจดหมายไปบอกข้า ข้าจะได้กลับมาจัดการ ท่านจะได้ไม่ต้องทรมานใจนานถึงเพียงนี้ ดูท่านสิ ซูบผอมลงไปถึงเพียงนี้”


 


 


ซุนเชี่ยนสะอื้นเล็กน้อย พูดว่า “เจ้ายุ่งเรื่องการค้าในเมืองหลวงมากพอแล้ว เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ไม่ต้องให้เจ้าลำบากหรอก ข้าจัดการเองได้”


 


 


“จัดการอย่างไรหรือคะ รับนางเข้ามาเป็นเมียน้อย นี่เป็นวิธีการแก้ปัญหาของพวกท่านหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างไม่เห็นด้วย


 


 


“ข้าไปถามมาแล้ว รั่วหลานคนนี้แต่ก่อนเป็นสาวบริสุทธิ์ พี่ใหญ่ของเข้าไปสร้างมลทินให้ตระกูลนาง อย่างไรก็ต้องรับผิดชอบ ต่อให้รับเข้าบ้านก็ยังดีกว่าให้คนมาจับพี่ของเจ้าไปส่งทางการ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายโดยนัยที่นางสื่อ จึงย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้กล่าวอะไร คว้าเอาผ้าในมือของนางมา วางไว้ในอ่างน้ำ จากนั้นก็เทน้ำร้อนมาแก้วหนึ่งส่งให้นาง ให้นางถือเอาไว้ร่างกายจะได้อบอุ่น จากนั้นจึงค่อยถามว่า “เรื่องราวเป็นมาเช่นไร พี่ใหญ่บอกท่านชัดเจนแล้วหรือไม่”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)