ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 164-165
ตอนที่ 164 อาการบาดเจ็บสาหัส
“ไม่เป็นไรขอรับ บาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้มิใช่เรื่องใหญ่อะไร เทียบกับที่เจอบนสนามรบถือว่าเบามากแล้วขอรับ” นายทหารที่ถูกถามตอบอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นสภาพที่พวกเขาถูกพันแผลแล้ว ก็ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย
เหวินซื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านล่าง จึงเดินลงมา พลางพูดไปด้วย “บาดแผลของคนเหล่านี้ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรมากมาย ตอนนี้สามารถกลับได้แล้ว”
เหล่าทหารที่บาดเจ็บก็พูดคล้อยตามกัน “ใช่แล้ว นายหญิง อาการของพวกเราไม่ได้เป็นอะไรมาก สามารถกลับไปทำงานต่อได้แล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ “ไม่ได้เจ้าค่ะ อาการบาดเจ็บของพวกเจ้าสาหัสมาก จำเป็นต้องพักฟื้นตัวที่ร้านยาเต๋อเหรินสักพักหนึ่ง วางใจเถิดเจ้าค่ะ ค่าแรงรายวันของพวกเจ้าข้ายังจ่ายให้เหมือนเดิม”
“ได้อย่างไรกันล่ะ” นายทหารที่ส่วนเท้าได้รับบาดเจ็บ และกำลังยื่นเท้าออกมาเพื่อให้เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูให้แน่ชัดพูดขึ้น “อาการบาดเจ็บของข้าเล็กน้อยเพียงนี้จะกล้าทำให้งานต้องล่าช้าได้อย่างไร นายหญิง ให้ข้ากลับไปเถอะขอรับ”
“ข้าบอกให้เจ้าพักรักษาอาการ พวกท่านก็พักรักษาอาการให้สบายสิเจ้าคะ ผู้ใดก็อย่าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องที่จะกลับไปทำงาน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยความขึงขัง แล้วหันศีรษะมาพูดกับเหวินซื่อว่า “เถ้าแก่เหวิน รบกวนท่านจัดเตรียมห้องที่อยู่หลังเรือนให้คนงานของข้าเหล่านี้อยู่พักฟื้นที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับไป” พูดจบ ก็ลอบส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แก่เหวินซื่อ
เหวินซื่ออึ้งเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเข้าใจนัยยะของเมิ่งเชี่ยนโยวทันที จึงรีบสั่งกับพนักงานว่า “พาผู้ป่วยเหล่านี้ไปที่หลังเรือน พร้อมจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย”
พนักงานรับคำ พูดกับทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดว่า “ทุกท่านเชิญตามข้ามาขอรับ”
ได้ยินเสียงที่เคร่งขรึมขึ้นโดยพลันของเมิ่นเชี่ยนโยว พวกนายทหารก็ไม่กล้าที่จะร้องวอนอีก แม้ว่าในใจยังคงฉงนสงสัยยิ่ง แต่ก็ตามพนักงานไปหลังเรือนอย่างว่าง่าย
“ข้ากำลังคิดจะไปหาเจ้าที่โรงงานอยู่เลย พวกเจ้ามาได้พอดี ขึ้นไปด้านบนเล่าให้ข้าฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ทั้งสามคนขึ้นมาด้านบนและนั่งลง
เหวินซื่อสั่งให้พนักงานรินน้ำชาให้ แล้วถามว่า “ข้าเพียงแต่ได้ฟังเรื่องคร่าวๆ จากกัวเฟย ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดให้เขาฟัง
เหวินซื่อฟังจบก็ขมวดคิ้ว “ความหมายของเจ้าคือคนพวกนี้แค่ไปหาคุณชายรอง แต่โรงงานของเจ้ากลับพาลได้รับความเดือดร้อนโดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดเลยหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักและส่ายหน้า พูดว่า “พวกเขาทั้งสี่คนล้วนเป็นคุณชายแห่งเจ้าพระยาและพระยา เรื่องกิริยามารยาทนั้นล้วนเข้าใจดี โดยเฉพาะการใช้ทหารของจวนที่เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่ได้ไตร่ตรองก่อน ในเมื่อพวกเขากล้าลงมือได้อย่างใหญ่โตเช่นนี้ แสดงว่าเบื้องหลังต้องมีคนหนุนอยู่แน่นอน”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าคล้อยตาม “ได้ยินคำพูดของโยวเอ๋อร์ในวันนี้แล้ว ก็เดาได้ทันทีว่ามีคนสั่งการอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นถึงได้ขอเสด็จลุงให้ลงโทษพวกเขาอย่างหนัก เชื่อว่ามีครั้งนี้ ต่อไปพวกเขาจะไม่กล้าลงมือต่อโรงงานง่ายๆ อีก”
เหวินซื่อถาม “ฝ่าบาทจัดการอย่างไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนบอกผลลงโทษให้แก่เขาฟัง
เหวินซื่อเบิกตากลมโตราวกับว่าไม่รู้จักเขา มองตั้งแต่หัวจรดเท้าประเมินเขาหลายรอบ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดขึ้นว่า “ท่านช่างใจดำยิ่งนัก ทหารได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงแค่นี้ก็หลอกเอาเงินจากพวกเขามาตั้งสองหมื่นตำลึง”
หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าคิดคำนวณ “ทุกคนจ่ายสองหมื่นตำลึงก็ออกจะมากไปเสียหน่อย แต่ว่านี่เป็นจำนวนที่เสด็จลุงตรัสออกมา วาจาของฝ่าบาทเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟัง และหลังจากผ่านพ้นเรื่องนี้ไป เมืองหลวงก็จะไม่มีใครกล้าคิดมาทำอะไรโรงงานอีกแล้ว”
เหวินซื่ออ้าปากมองเขา
หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับเขาว่า “ท่านอย่ามองข้าด้วยสีหน้าแบบนี้ นี่ก็คือผลกรรมที่สนองคืนแก่พวกเขา มาโทษข้าไม่ได้ และนอกจากนี้ ตอนที่คุณชายแห่งเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่จะไปขอโทษ ข้าจะให้คนมาส่งจดหมายบอกเจ้า เจ้าก็พันแผลให้เหล่าทหารนั้นใหม่อีกรอบ แล้วต้องพันให้มีสภาพเหมือนกับว่าได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสสากรรจ์ ถึงเวลาที่พวกเขามาขอโทษเมื่อไรก็ให้พวกเขากลับไปที่โรงงาน จงจำไว้ว่า ต้องทำให้ดูสมจริงเสียหน่อย”
เหวินซื่อเข้าใจความหมายของเขา พยักหน้า “วางใจเถิด เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง รับรองว่าเจ้าต้องพอใจ”
“ให้พวกเขาใช้แต่ของดีทั้งหมด ส่วนค่าใช้จ่ายก็หักมาจากเงินแปดหมื่นตำลึงนั่นแหละ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“ตกลง ได้ตามที่เจ้าต้องการ” เหวินรับคำอย่างเริงร่า
เจรจาทุกอย่างลงตัวแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ลงไปข้างล่าง และออกจากร้านยาเต๋อเหริน
เหวินซื่อส่งทั้งสองถึงหน้าประตูร้านด้วยตัวเอง จนเห็นพวกเขาควบม้าออกไป ถึงจะไปที่หลังเรือนเพื่อตรวจดูพนักงานด้วยตัวเองว่า พวกเขาจัดแจงให้นายทหารที่บาดเจ็บเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ท่าทีของหวงฝู่อี้เซวียนที่วางมาดโอบเมิ่งเชี่ยนโยวบนหลังม้า มุ่งตรงไปยังจวนอ๋องฉีอย่างสบายๆ อย่างนั้น ทำให้ผู้คนพากันจับจ้องตลอดทาง
ถึงจวนอ๋องฉีแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้าก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดตามลงมา หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือนาง แล้วเดินคู่กันเข้าไปภายในจวน มายังเรือนของพระชายาฉีก่อน
เรื่องใหญ่ขนาดนี้พระชายาฉีย่อมทราบเรื่องแล้ว และรู้สึกร้อนอกร้อนใจอย่างมาก หลังจากอ๋องฉีกลับมาจากพระราชวังแล้ว ก็ตรงเข้าไปที่ห้องของนาง บอกผลของเรื่องราว ทว่า พระชายายังคงไม่วางใจ และถามเขาไม่หยุด “โยวเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่เจ้าคะ อวี้เอ๋อร์ล่ะเจ้าคะ ไม่เป็นไรเหมือนกันใช่หรือไม่”
อ๋องฉีรู้เรื่องราวเพียงคร่าวๆ แต่ยังไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรที่ชัดเจนจริงๆ เมื่อได้ยินนางถามขึ้น จึงตอบนางจากการคาดเดา “ดูจากสีหน้าของเซวียนเอ๋อร์แล้วไม่ได้แย่มาก จึงน่าจะไม่มีปัญหาอะไรมาก”
“พวกเขารังแกคนได้อย่างร้ายกาจมาก รู้ความสัมพันธ์ระหว่างโยวเอ๋อร์กับเซวียนเอ๋อร์ดีอยู่แล้ว ยังกล้าจะไปพังโรงงานอย่างอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้เห็นจวนอ๋องของพวกเราอยู่ในสายตาเลย” พระชายาฉีพูดอย่างเดือดดาล
คำพูดนี้ของนางเตือนอ๋องฉี ราวกับมีอะไรแล่นเข้าในสมอง เมื่อไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าพวกเขามีจุดประสงค์อะไร หลังจากได้รับโทษหนักในวันนี้ จะทำให้พวกเขารู้กาละเทศะมากขึ้น ต่อไปก็จะไม่กล้าสร้างความเดือดร้อนให้แก่โรงงาน และไม่กล้าไปหาอวี้เอ๋อร์อย่างง่ายๆ อีก นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี”
พระชายาฉีพยักหน้า “ก็คงต้องคิดเช่นนั้นแหละเจ้าค่ะ โยวเอ๋อร์กับอวี้เอ๋อร์ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสักพัก อ๋องฉีก็ไปห้องหนังสือจัดการงานราชการ พระชายาฉีพยายามระงับอารมณ์ตัวเองให้สงบลง นั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่มริมหน้าต่าง เย็บเสื้อผ้าให้เมิ่งเชี่ยนโยว
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในเรือนของพระชายาฉี โดยที่ห้ามสาวใช้ไม่ให้รายงาน แล้วเดินตรงเข้าไปด้านในห้องเลย
พระชายาฉีกำลังก้มศีรษะอยู่ ได้ยินเสียงม่านประตูขยับ ก็ถามโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น “มีเรื่องอะไรหรือ”
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นพร้อมกัน “เสด็จแม่” “พระชายา”
พระชายาฉีเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจปนยินดี “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ พวกเจ้ามาที่นี่ด้วยกันได้อย่างไร” พูดจบ ก็วางเสื้อผ้าบนมือลง แล้วลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พินิจพิเคราะห์นางครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสภาพของนางไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บอะไร ก็วางใจลง แล้วจูงมือนาง มายังเก้าอี้นิ่มด้านข้าง พร้อมทำท่าทางให้นางนั่งลง แล้วพูดว่า “ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงงานมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ก็รู้สึกเป็นกังวลแทบแย่ ยังดีที่อ๋องฉีกลับมาบอกว่าพวกเจ้าไม่เป็นอะไร ตัวข้าถึงได้สบายใจขึ้นเปราะหนึ่ง เจ้ารีบบอกข้าเถิด ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ปฏิกิริยาเช่นนี้ เมินหวงฝู่อี้เซวียนไปอย่างนิ่งเฉย หวงฝู่อี้เซวียนทำทีจะอ้าปากหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างโต๊ะ
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบให้พระชายาฉีฟัง สุดท้ายก็พูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “ท่านไม่ต้องเป็นกังวลแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไร คุณชายรองก็ไม่ได้เป็นอะไรเช่นกัน แต่พวกคุณชายนั้นกลับโชคร้ายเสียเอง ต่างได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อยทีเดียว”
“สมน้ำหน้า” พระชายาฉีพูดอย่างฉุนเฉียว “พวกเจ้าลงมือเท่านี้ถือว่ายังเบานัก ควรจะโบยพวกเขาจนเอาให้ครึ่งเดือนก็ลุกออกจากเตียงไม่ได้ถึงจะถูก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนตาโตอ้าปากอึ้งไปเล็กน้อย ด้วยเหตุว่าพระชายาฉีเป็นคนที่อ่อนโยนและนุ่มนวลเสมอมา คำพูดคำจาล้วนมีเสียงที่เบาและละเอียดอ่อน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยพูดวาจารุนแรงขนาดนี้ จึงเอ่ยปากขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เสด็จแม่ ท่าน…”
พระชายาฉีย่อมรู้ว่าเขาต้องการจะพูดว่าอะไร จึงพูดขึ้น “คนดีแต่ถูกรังแก ม้าดีแต่ถูกกดขี่ หลายปีที่ผ่านมา เป็นเพราะแม่มีเมตตาเกินไป ถึงทำให้พระชายารองกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ จนเกือบทำให้ครอบครัวของพวกเราพังพินาศ บัดนี้ แม่คิดได้แล้ว ต่อไปหากผู้ใดกล้ารังแกพวกเจ้าอีก พวกเจ้าจะต้องโต้กลับ เกิดเรื่องอะไรขึ้น ยังมีแม่และพ่อของเจ้าคอยช่วยเหลืออยู่”
พูดจบ ก็พูดต่อว่า “หลายปีมานี้ ร่างกายของแม่ไม่ดี ต้องพักฟื้นตัวอยู่ตลอด น้อยมากที่จะได้พบปะกับผู้คนภายนอก ถึงขนาดคนพวกนั้นลืมเสียแล้วว่าแม่กำเนิดในตระกูลเจียง โลหิตบนกายเป็นเลือดของแม่ทัพทหาร อีกทั้งยังมีพ่อของเจ้า หลังจากศึกสงครามในปีนั้น ก็เก็บตัวสำรวมกาย และตั้งใจเป็นอ๋องที่มีคุณธรรมและความเมตตาคนหนึ่ง สิ่งใดๆ ก็ล้วนอดทนประนีประนอม ไม่สร้างความบาดหมางร้าวรานกับผู้อื่น แต่นี่กลายเป็นว่า พวกเขามองว่าอ๋องฉีเป็นใครที่จะสามารถรังแกได้อย่างตามใจชอบเสียแล้วหรือ เห็นเป็นหมาเป็นแมวที่จะย่ำยีได้หรือย่างไร พวกเจ้าทั้งคู่จำไว้ให้ดี นับแต่นี้ต่อไป ไม่ว่าที่ไหนเวลาใด เพียงแค่มีคนมาหาเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องปราณี จงตอบโต้กลับไปเลย”
คำพูดที่ก้องกังวาลและเปี่ยมด้วยพลังของพระชายาฉี มิได้มีความเยิ่นเย่ออ้อมค้อมแม้แต่น้อย ภายในตาของหวงฝู่อี้เซวียนส่องประกาย ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะเบาๆ
เห็นท่าทีของทั้งสองคน พระชายาฉีก็อดหัวเราะไม่ได้ แล้วสั่งให้หลิงหลงยกน้ำชาเข้ามา พร้อมคว้าเสื้อผ้าที่วางไว้อยู่ข้างกายขึ้น และพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ตอนที่ข้าออกไปเดินซื้อของในตลาดเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็เห็นสีของผ้าผืนนี้ดูเหมาะกับเจ้าอย่างมากจึงซื้อมา เจ้าลองดูสิว่าชอบหรือไม่”
วัสดุเป็นผ้าไหมชั้นดี สีเขียวอ่อน ดูแล้วเรียบสง่า สะอาดชื่นตา แน่นอนว่าถูกใจเมิ่งเชี่ยนโยว จึงพยักหน้า “ขอบพระคุณพระชายาเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณอะไรกัน ตอนนี้ในจวนไม่มีเรื่องอะไร เรื่องการค้าก็มอบให้เป็นหน้าที่ของเซวียนเอ๋อร์กับเจ้า ข้าว่างไม่มีอะไรทำ จึงทำได้เพียงเย็บเสื้อผ้าเท่านั้นแหละ”
“แผลที่ขาของพระชายาหายดีเป็นปลิดทิ้งแล้วหรือยังเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
“ไม่กี่วันก็หายดีแล้ว เดินถนนหรือไปจ่ายตลาดก็ไม่มีปัญหา”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับนาง “เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ขอให้ท่านทายาสมานรอยแผลเป็นที่ข้ามอบให้แก่ท่านทุกวันเป็นการดีที่สุด หลังจากใช้เพียงไม่กี่วันรอยแผลเป็นบนเข่าของท่านก็จะหายไปเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีพูดอย่างยิ้มแย้ม “ใช้แน่นอนจ้ะ ยาของเจ้าวิเศษจริงๆ เห็นรอยแผลนี้จางลงทุกวันๆ พวกหลิงหลงต่างรู้สึกอัศจรรย์ใจกันหมด”
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่ออย่างกระหยิ่มใจ “ยาสมานรอยแผลเป็นที่โยวเอ๋อร์ผสมออกมานี้ เป็นที่ต้องการจนจัดสรรไม่ทันในร้านยาเต๋อเหริน ในเมืองหลวงนี้ผู้คนชนชั้นสูง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คุณหนูคุณนายล้วนต้องไปถามไถ่ที่ร้านยาเต๋อเหรินทุกวัน เพื่อดูว่ามียานี้ขายหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา พูดกับพระชายาฉีว่า “ท่านอย่าได้ไปฟังเขาคุยโวเลยเจ้าค่ะ จะมีดีอย่างนั้นที่ไหนกัน”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยหัวเราะกัน เสียงของหวงฝู่อวี้ดังมาจากด้านนอก ถามว่า “เสด็จแม่อยู่ในห้องหรือไม่”
หลิงหลงตอบ “รายงานคุณชายรอง อยู่ในห้องเจ้าค่ะ ซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งก็อยู่ด้วย”
สิ้นเสียงพูด ม่านประตูก็สะบัดเปิดออก หวงฝู่อวี้เดินเข้ามา
พระชายาฉีกวักมือเรียกเขาด้วยความดีใจ “อวี้เอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ รีบมาให้แม่ดูหน่อยเร็ว”
หวงฝู่อวี้เดินตรงเข้ามาที่เบื้องหน้าของนาง ร้องเรียก “เสด็จแม่”
พระชายาฉีรับคำ ถามเขาด้วยเสียงที่นุ่มนวล “วันนี้คงตกใจแย่เลยสินะ”
หวงฝู่อวี้ส่ายศีรษะ “ลูกไม่เป็นอะไรขอรับ แต่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่แม่นางเมิ่งเสียแล้ว หากไม่ใช่ท่านแม่ทัพใหญ่มาถึงได้ทันเวลา ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ขอรับ”
พระชายาฉีพูดว่า “เรื่องใหญ่อะไรกันล่ะ ด้วยความสามารถของโยวเอ๋อร์แล้ว คงมีแต่จะทำให้พวกนั้นต้องโดนโบยจนลุกออกจากเตียงไม่ได้ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก ทุกอย่างมีเสด็จพ่อของเจ้ากับแม่ดูแล เจ้าไม่ต้องกลัวไปนะ”
หวงฝู่อวี้ได้ยินน้ำเสียงของนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก ก็มองนางด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
พระชายาฉีไม่พูดอะไรมากอีก พูดว่า “กลับเข้าเรือนของเจ้าไปอาบน้ำเสียก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวค่อยมาคุยเป็นเพื่อนแม่”
หวงฝู่อวี้อยู่ในโรงงานเป็นเวลานาน บนกายจึงติดกลิ่นแปลกๆ พระชายาฉีไม่อาจสูดดมไหว ดังนั้นจึงพูดเช่นนี้
หวงฝู่อวี้กลับเคยชินเสียแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดของพระชายาฉี ก็ขอตัวออกไป แล้วไปอาบน้ำอย่างว่าง่าย
เมื่อได้ยินเขาเดินออกจากเรือนไป พระชายาฉีถึงจะหัวเราะพูดขึ้น “ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ดูเหมือนอวี้เอ๋อร์จะโตขึ้นหน่อยแล้ว”
“ท่านคงไม่ทราบ คุณชายรองอยู่ในโรงงานนั้นมีความตั้งอกตั้งใจทีเดียว ทุกเรื่องที่ผ่านเขาล้วนได้รับการจัดแจงอย่างเป็นระบบระเบียบ แม้แต่พี่ชายรองของข้ายังพูดว่า ตั้งแต่ที่คุณชายรองไปทำงานที่โรงงาน เขาก็สบายใจขึ้นไม่น้อย ตอนนี้ทุกวันเหลือแค่เพียงงานตรวจสอบบัญชี ส่วนเรื่องอื่นๆ ล้วนไม่ต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างยิ้มแย้ม
พระชายาฉีทึ่งไปเล็กน้อย และหัวเราะขึ้นทันที “อวี้เอ๋อร์เป็นเด็กที่ฉลาดคนหนึ่ง เพียงแต่ตอนเด็กถูกตามใจจนเคยตัว ตอนนี้สามารถใจจดใจจ่อทำอะไรได้แล้ว ก็นับเป็นเรื่องดี”
ทั้งสองคนคุยกันอีกไม่กี่คำ หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงยืนขึ้น ดวงตาของอีกสองคนเผยความรู้สึกประหลาดใจ เขาเดินไปตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว ดึงให้นางลุกขึ้น แล้วพูดว่า “เสด็จแม่ ข้ากับโยวเอ๋อร์ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว ถ้าหากท่านไม่มีเรื่องสำคัญอันใด ข้าก็อยากจะพาโยวเอ๋อร์ไปที่เรือนของข้าขอรับ”
พระชายาฉีอึ้งไปก่อน แล้วจึงหลุดหัวเราะตามมา โบกมือไล่ “ไปเถิด ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว”
ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงก่ำ จ้องเขาอย่างเคืองๆ ยังไม่ทันที่นางจะได้บอกลาพระชายาฉี หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบจูงนางเดินออกไปโดยไม่รีรอ
ตอนที่ 165 มาช้าไป
เห็นท่าทางที่เร่งรีบของเขาเช่นนั้น พระชายาฉีส่ายศีรษะยิ้มอยู่ด้านหลัง รอให้ทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว ก็หยิบเสื้อผ้าที่อยู่ข้างกายขึ้นมาเย็บต่อ
ไม่ได้พบเจอกันหลายสิบวัน อาจจะไม่ถึงกับมีอารมณ์ดั่งไฟสุมขอน แต่ก็ยากที่จะควบคุมตัวเองได้ ทันทีที่เข้าประตูไป หวงฝู่อี้เซวียนก็โอบตัวนางอุ้มขึ้น แล้ววางลงบนเตียง ระดมจูบนางอย่างหนักหน่วง จนสุดท้ายเห็นว่าริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยวบวมแดงแล้ว ถึงปล่อยนาง และหอบหายใจแรงนอนโอบอยู่ข้างกายนาง
สติของเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ได้กลับคืน สายตาพร่ามัวเล็กน้อย จึงยื่นมือไปเพื่อโอบเขากลับ
ผ่านไปครู่ใหญ่ลมหายใจของทั้งคู่ถึงนิ่งเป็นปกติ
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากถามปนเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อย “ฝ่าบาทส่งเจ้าไปว่าราชการครั้งนี้ เหตุใดถึงได้ออกไปนานขนาดนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงักมือชั่วครู่ แล้วจึงโอบนางต่อ พร้อมตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก เพียงแต่เจียงหนานที่ไปครั้งนี้ มีระยะทางค่อนข้างไกล จึงทำให้ล่าช้าไปหลายวัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้ชัดเจนถึงกิริยาของเขา จึงเม้มปาก เงยหน้า และสบตาเขาตรงๆ “อี้เซวียน ข้ารู้ว่างานแต่งงานของพวกเรายังไม่อาจจัดขึ้นได้ ในใจเจ้าจึงรู้สึกกระวนกระวาย อยากจะทำความดีความชอบมากมายให้ฝ่าบาทได้เห็นเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่เจ้าอย่าลืมเสียล่ะว่า สิ่งที่คาดเดาได้ยากที่สุดนับแต่โบราณกาลก็คือจิตใจของฮ่องเต้ ถ้าหากเจ้ากลายเป็นมีดที่แหลมคมเล่มหนึ่งบนมือของเขาแล้ว เกรงว่าผลลัพธ์ของเรื่องจะกลับตาลปัตรได้ ซึ่งข้าไม่ยินยอม และไม่ต้องการให้เจ้ากลายเป็นเช่นนั้น”
ท่าทีของหวงฝู่อี้เซวียนหยุดนิ่ง จ้องมองนางกลับ นัยน์ตามีความดิ้นรนและความลังเลอยู่
เมิ่งเชี่ยนโยวรุกเข้าไปประชิดที่หน้า แล้วจูบเขาที่ริมฝีปากเบาๆ พูดว่า “เจ้าต้องจำไว้ว่า ข้าไม่เพียงแต่ไม่ต้องการพรากจากเจ้า และยังอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเจ้าไปอย่างยาวนาน แม้จะต้องรอคอยอีกแปดปีสิบปี แต่งานแต่งงานนี้ก็ยังไม่สามารถตกลงได้ ข้าก็ยังคงอยู่เคียงข้างเจ้าเช่นเคย ดังนั้นความกังวลและความไม่สบายใจของเจ้าล้วนไม่จำเป็น”
นี่เท่ากับเป็นคำพูดที่สาบานต่อเขา ในใจหวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกเริงร่า จึงจูบลงบนริมฝีปากของนางอีกครั้ง
หวงฝู่อวี้อาบน้ำเสร็จ จัดระเบียบกายของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปเข้าไปในห้องของพระชายาฉี พอเห็นหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยู่ จึงถามขึ้นอย่างสงสัย “พี่ใหญ่กับแม่นางเมิ่งล่ะ”
พระชายาฉีเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม “พวกเขามีธุระ ก็เลยกลับเรือนของเซวียนเอ๋อร์ไปแล้ว” พูดจบ นางก็ทำท่าเรียกให้เขานั่งบนเก้าอี้นิ่มที่อยู่ด้านข้าง “เจ้ามาคุยเป็นเพื่อนแม่หน่อย เล่าให้แม่ฟังว่า หลายวันที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง”
พูดถึงเรื่องในโรงงาน หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่ม เล่าให้นางฟังอย่างไม่หยุดหย่อนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เข้าไปในโรงงานจนถึงงานต่างๆ ที่ได้ทำทุกวันนี้
พระชายาฉีฟังไปยิ้มไปตลอด เห็นเขาเล่าอย่างยิ่งใหญ่และตื่นเต้น ก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือฝืนใจที่จะฟังแม้แต่น้อย ในใจกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไร ก็ถือว่าเด็กคนนี้ได้เดินออกมาจากความทุกข์โศกที่พระชายารองเสียชีวิตแล้ว
หวงฝู่อวี้เห็นพระชายาฉีมองเขาอย่างยิ้มแย้มตลอด ก็ยิ่งเล่าอย่างคึกคะนอง จนกระทั่งหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้อง ก็ยังได้ยินเสียงอันมีความสุขของเขานั้น “เสด็จแม่ขอรับ ท่านคงไม่ทราบ ตอนนี้ข้ามีความสุขมากในทุกๆ วัน รู้สึกว่าตัวเองได้ใช้ชีวิตทุกวันอย่างเต็มที่”
“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว” หวงฝู่อี้เซวียนพูด “รอให้ตรุษจีนผ่านพ้นไปก่อน ข้าก็จะมอบงานด้านการค้าในจวนบางส่วนให้เจ้า จนกระทั่งเจ้าเริ่มเก่งขึ้นแล้ว ก็จะมอบหมายการค้าในจวนทั้งหมดให้เจ้ารับผิดชอบ”
หวงฝู่อวี้ลุกขึ้น ร้องเรียกอย่างดีใจ “พี่ชายใหญ่ แม่นางเมิ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดกับพระชายาฉีว่า “พระชายาฉีเจ้าคะ ฟ้าใกล้มืดแล้ว ข้าควรกลับไปแล้ว”
พระชายาฉีเห็นริมฝีปากของนางบวมแดง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ปรากฏชัดขึ้น และยื้อนางเอาไว้ “อยู่กินข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยกลับเถิด เวลานั้นให้เซวียนเอ๋อร์ส่งเจ้ากลับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวปฏิเสธ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่ชายรองของข้ากำลังรอให้ข้ากลับไปรับประทานพร้อมกันอยู่เจ้าค่ะ”
พระชายาฉีก็ไม่ฝืนรั้งเอาไว้ และกำชับว่า “เดินทางปลอดภัยล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณลา หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือนาง ส่งนางออกจากประตูจวน รอให้เห็นว่านางขี่ม้าไปไกลแล้วถึงจะไปห้องหนังสือของอ๋องฉี เพื่อสอบถามว่าพรุ่งนี้สี่คนนั้นจะไปขอโทษในเวลาใด
หวงฝู่อวี้เล่าเรื่องราวในโรงงานให้พระชายาฉีฟังต่อ
พอกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว อ๋องฉีก็ไปจัดการงานราชการที่ห้องหนังสือต่อ หวงฝู่อวี้ก็กลับเข้าเรือนของตัวเองไป หวงฝู่อี้เซวียนเตรียมจะกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย แต่พระชายาฉีเรียกเขาไว้ “เซวียนเอ๋อร์ เจ้ามาที่ห้องของแม่ แม่มีเรื่องจะต้องพูดกับเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนตามนางเข้าไปในห้อง พระชายาฉีโบกมือไล่ให้บ่าวรับใช้ทุกคนออกจากห้องไป แล้วกดเสียงให้เบาลงพูดกับเขา “เซวียนเอ๋อร์ แม่รู้ว่าลูกรักใคร่ชอบพอกับโยวเอ๋อร์ พวกเจ้าก็อยู่ในช่วงวัยรุ่นไฟแรง เมื่อก่อนแม่ตามใจพวกเจ้า เพราะแม่เห็นว่าหลังจากยกเลิกการแต่งงานของลูกกับคุณหนูหลินไป ก็จะรีบทำการตบแต่งกับโยวเอ๋อร์ เมื่อผ่านตรุษจีนไปแล้วก็จะเลือกวันมงคลให้พวกเจ้าแต่งงานกัน ซึ่งต่อให้มีสิ่งใดที่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมไปบ้าง แม่ก็จะทำเหมือนว่าไม่รู้ ทว่า ตอนนี้เสด็จย่ากับเสด็จลุงของเจ้าไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงานของพวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้ายังสนิทสนมกันเช่นนี้ต่อไป โยวเอ๋อร์เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา นางจะกลายเป็นตัวตลกของผู้คนในเมืองหลวง และไปที่ไหนก็จะถูกคนชี้ว่าเอาได้ ดังนั้นต่อไปพวกเจ้ายับยั้งชั่งใจหน่อยเถิด”
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางอย่างอึ้งๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้หัวเราะออกมา “เสด็จแม่ ท่านคิดไปถึงไหนแล้ว ข้ามีขอบเขตนะขอรับ ข้ากับโยวเอ๋อร์มิได้มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันถึงปานนั้น นางจะไม่มีเด็กในร่างกายอย่างแน่นอนขอรับ”
พระชายาฉีทั้งดีใจและเป็นกังวล “เซวียนเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดนั้นเป็นความจริงหรือ”
“เรื่องอย่างนี้ ข้าจะหลอกเสด็จแม่ได้อย่างไร ท่านวางใจเถอะขอรับ ตราบใดที่ยังไม่มีวันได้แต่งงาน ข้าก็จะไม่มีวันที่ทำให้โยวเอ๋อร์โดนผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้”
ที่แท้ตัวเองคิดมากไป พระชายาฉีจึงวางใจลง พยักหน้า “เจ้ารู้จักรักษาขอบเขตก็ดี โยวเอ๋อร์เป็นหญิงดีที่หาจับตัวได้ยาก แม่ไม่ปรารถนาให้นางต้องประสบกับความทุกข์ใจใดๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนรับปาก “วางใจเถิดขอรับ เสด็จแม่ เรื่องที่ท่านเป็นกังวลจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับถึงบ้าน เมิ่งฉีก็ได้กลับมาแล้ว พอเห็นริมฝีปากที่บวมเป่งของนาง ก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่กำลังอ้าปากออกเพื่อจะสั่งสอนนาง ก็หวนนึกถึงหวงฝู่อี้เซวียนที่ได้ยกเลิกงานแต่งไปแล้ว ดังนั้นต่อให้ทั้งสองยังไม่ได้ตกลงว่าจะแต่งงานกัน ไม่ช้าก็เร็วการแต่งงานนี้ก็คงจะเกิดขึ้นได้ จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วถามว่า “อาการบาดเจ็บของนายทหารพวกนั้นเป็นอย่างไรแล้วบ้าง”
“โดยรวมไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “แต่ว่า ยังจำเป็นต้องได้รับการพักฟื้นที่ร้านยาเต๋อเหรินสักพัก”
เมิ่งฉีไม่เข้าใจ มองไปที่นางอย่างฉงนสงสัย เมิ่งเชี่ยนโยวบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มถึงเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้เหวิ่นซื่อทำ พร้อมกับผลลงโทษที่จัดการกับคุณชายแห่งจวนเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คน
เมิ่งฉีฟังจบ ก็เข้าใจเจตนาของหวงฝู่อี้เซวียนทันที จึงยิ้มและพยักหน้า “ดี พวกเราก็ทำตามความคิดของอี้เซวียน หลอกเอาเงินจากพวกเขาหนักๆ จะได้ไม่ต้องมีคนมาหาเรื่องในภายหลังอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดเช่นนั้น พยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม
เมิ่งฉีมองนาง แล้วแสร้งกระแอมออกมา และพูดอย่างไม่ใส่ใจ “วันหลังก็ระวังๆ หน่อย โชคดีที่ฟ้ามืดแล้ว นี่ถ้าเป็นตอนกลางวันแสกๆ แล้วคนอื่นมาเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้ เจ้าจะออกไปพบคนอื่นอีกได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายของเขาในทันที ใบหน้าแดงระเรื่อ รับคำด้วยเสียงเบาๆ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ พี่ชายรอง” จากนั้นรีบกลับเข้าไปในเรือน
เมิ่งฉีมองเงาบนแผ่นหลังของนาง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วกลับเรือนของตัวเองไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาในห้องของตัวเอง รีบคว้ากระจกมาส่องดู เห็นว่าริมฝีปากตัวเองบวมแดงอย่างไม่น่าดู ใบหน้าก็แดงผาวขึ้นอย่างอดไม่ได้ ชิงหลวนตามเข้ามา แล้วถามเบาๆ “นายหญิง ให้ข้าน้อยไปเอาก้อนน้ำแข็งมาให้ไหมเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก ในเมื่อพี่ชายรองเห็นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก รอให้ถึงพรุ่งนี้รอยบวมแดงนี่ก็จะหายไปเอง”
ชิงหลวนรับคำ และถอยออกไป
ช่วงรับประทานข้าวเย็น เมิ่งฉีสั่งคนให้ยกอาหารไปที่เรือนของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวรับประทานเสร็จแล้ว ก็พักผ่อนแต่หัวค่ำ
กลางคืนผ่านไปอย่างเงียบสงัด จนถึงเวลาลุกมาฝึกซ้อมตามปกติของวันถัดมา รอยบวมแดงบนริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยวก็จางหายไป
เมิ่งฉีเห็นแล้ว ก็ถอนหายใจโล่งอก
รับประทานข้าวเช้าเสร็จไม่นาน หวงฝู่อวี้ก็ขี่ม้ามา บอกกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ซื่อจื่อให้ข้ามาบอกท่านว่าวันนี้เวลาปลายเช้า พวกคุณชายพวกนั้นจะมายอมรับผิดและขอโทษต่อท่าน ซื่อจื่อให้ท่านกับคุณชายเมิ่งไปที่โรงงานเร็วหน่อย เขาไม่มาที่นี่แล้ว จะตรงไปรอท่านที่โรงงานเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราออกไปที่โรงงานตอนนี้เลย”
หวงฝู่อวี้รับคำ หันหลังกลับไปเพื่อส่งคำพูดต่อ
เมิ่งฉี เมิ่งเชี่ยนโยวแยกย้ายกันนั่งรถม้ามายังโรงงาน โรงงานเปิดแล้ว คนงานก็ทยอยกันมาเข้างาน
เมื่อเห็นพวกเขาอยู่ ก็ทักทายพวกเขาอย่างนอบน้อมตามๆ กัน “นายท่าน” “นายท่าน” …
ทั้งสองคนพยักหน้ารับ ผ่านไปไม่นาน หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้ก็แยกกันนั่งรถม้ามา หวงฝู่อวี้ทักทายทั้งสองคน แล้วเดินเข้าไปในโรงงาน
หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเมิ่งฉี “พี่ชายรอง”
เมิ่งฉีผงกศีรษะเบาๆ มองเขาอย่างละเอียด ขมวดคิ้วถาม “ไม่เจอกันหลายวัน เหตุใดรู้สึกว่าเจ้าซูบผอมลงไม่น้อย”
“หลายวันก่อนไปเจียงหนาน สภาพแวดล้อมไม่ค่อยสะดวกสบายสักเท่าไร และยังต้องเร่งเดินทางไป จนไม่มีเวลาให้หยุดพัก จึงอาจทำให้ผอมลงเล็กน้อย” หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มอธิบาย
เมิ่งฉีพยักหน้าเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไรอีก
ในเวลาช่วงกลางเช้า ฉู่เหวินเจี๋ยขี่ม้านำคนกลุ่มเล็กๆ มา เมื่อถึงหน้าประตูโรงงาน ก็ลงจากม้า
ทั้งสามคนทำความเคารพต่อเขา
บนถนนสองข้างทางมีผู้คนที่ออกมาหางานทำจำนวนไม่น้อยแล้ว พอเห็นฉู่เหวินเจี๋ยและหวงฝู่อี้เซวียนปรากฏตัว ก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ จึงชะเง้อมองด้านนี้ตามๆ กัน
ผู้บัญชาการโต้วและเปาชิงเหอขานชื่อตรวจสอบทหารเรียบร้อย ก็พาทหารกลุ่มเล็กๆ ของตัวเองมา เมื่อทำความเคารพต่อฉู่เหวินเจี๋ยเสร็จ ก็ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง
เมื่อเห็นเช่นนี้ผู้คนก็ยิ่งสงสัยขึ้น จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย แม้แต่คนที่ไม่ได้คิดจะออกมาหางานทำก็วิ่งออกมาดูเหตุการณ์ ไม่นานบนถนนด้านหน้าของโรงงานก็ล้อมด้วยผู้คนที่มามุงดูกันเต็มไปหมด
ผู้บัญชาการโต้วรีบส่งคนให้ไปยืนที่หน้าประตูโรงงาน ตั้งแนวกั้นเป็นแถว
อ๋องฉีออกว่าราชการเช้าเสร็จ ก็เร่งเดินทางมา ฝูงคนเห็นต่างก็ทำความเคารพ
ครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานั้น ก็มีรถม้ามาหลายคัน ทหารที่รับหน้าที่รักษาระเบียบก็กันทางพวกเขา รถม้าเหล่านั้นจึงหยุดลง และเหวินซื่อก็ลงมาจากรถม้า
พอเห็นว่าเป็นเขา ฉู่เหวินเจี๋ยก็ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนสั่งผู้บัญชาการโต้ว “นั่นคือเหล่านายทหารที่บาดเจ็บ เปิดทางให้พวกเขาเข้ามาได้”
ผู้บัญชาการโต้วยกมือขึ้น ทหารก็เปิดแถว รถม้าหลายคันก็เคลื่อนตัวมาหยุดลงที่ประตูโรงงาน นายทหารที่พันแผลราวกับว่าได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสพวกนั้นก็ค่อยๆ ลงมาจากรถม้า ทำความเคารพต่อฉู่เหวินเจี๋ยก่อน แล้วจึงทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉี
ผู้คนที่มุงดูอยู่ที่เชื่อฟังคำร้องขอของเมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อวาน ต่างหลบอยู่ในบ้านไม่ออกมา ได้ยินแต่เพียงเสียงที่ปะทะกันด้านนอก แต่กลับไม่รู้ว่าจะมีนายทหารมากมายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักเช่นนี้ ในใจพลันรู้สึกโกรธแค้นขึ้น และลอบด่าทอคุณชายทั้งสี่และทหารจวนของพวกเขา ‘ไม่สมกับเป็นคนจริงๆ แม้แต่ทหารที่พิการ บาดเจ็บก็ยังทำได้ลงคอ’
ทุกคนมาถึงครบแล้ว และยืนรออยู่หน้าประตูโรงงานอย่างนิ่งๆ
เวลาเช้าได้ผ่านไป แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของพวกหลิวเหยี่ยน สีหน้าของอ๋องฉี ฉู่เหวินเจี๋ยและหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มถมึงทึง เมื่อผ่านไปอีกสิบห้านาที ก็ยังไม่มีคนปรากฏตัว อ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยมองซึ่งกันและกัน ขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าและม้าของตัวเองไป ก็เห็นรถม้าไม่กี่คันกำลังเคลื่อนมาจากที่ไกลๆ
ทั้งคู่หยุดฝีเท้าลง
รถม้าถูกทหารรักษาระเบียบกั้นทางเอาไว้ ครั้งนี้ไม่มีคำสั่งของผู้ใด ผู้บัญชาการโต้วย่อมไม่ออกสั่งให้พวกเขาเปิดแถวด้วย
รถม้าหยุดลง ผ่านไปนานก็ไม่มีคนลงจากรถมา
อ๋องฉี ฉู่เหวินเจี๋ยและหวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาอย่างดุดัน
ผู้คนบนถนนและหน้าประตูโรงงานต่างเงียบสนิท ไม่ใครส่งเสียงใดๆ ออกมา
ผ่านไปเป็นเวลานาน ราวกับรับบรรยากาศที่กดดันนี้ไม่ไหว ม่านของรถคันแรกจึงถูกเปิดออก ใบหน้าจอมปลอมนั่นของเจ้าพระยาหลิวก็เผยออกมา ทักทายคนที่อยู่ฝั่งโรงงานด้านนี้ “ท่านอ๋องฉี ท่านแม่ทัพฉู่ รบกวนท่านทั้งสองให้คนเปิดทางให้ด้วยขอรับ พวกเราต้องผ่านไป”
ทั้งสองคนไม่ขยับและไม่ได้รับคำ
เมื่อเห็นทั้งสองคนดูไม่มีทีท่าว่าจะเปิดทาง สีหน้าของเจ้าพระยาหลิวก็เริ่มดูไม่ได้ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดังอย่างไม่พอใจ “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพใหญ่ พวกข้ามาเพื่อจะขอโทษอย่างจริงใจ พวกท่านกลับกันรถม้าของพวกข้าอยู่ด้านนอก นี่มันเกินไปแล้วนะขอรับ”
อ๋องฉีกร่นเสียง ‘เฮอะ’ เล็กน้อย ถามด้วยเสียงดังในระดับที่คนทุกคนล้วนได้ยิน “ท่านเจ้าพระยาหลิว ไม่ทราบว่าท่านจำได้หรือไม่ว่าพวกเรานัดหมายกันเวลาใด”
เจ้าพระยาหลิวกรอกตามองบนฟ้า ตอบอย่างปกติ “ก็เวลาปลายเช้าอย่างไรขอรับ ข้าออกจากจวนก็ได้คำนวณเวลาเรียบร้อยแล้วว่าจะถึงที่นี่อย่างตรงเวลาแน่นอน ใครจะรู้ว่ารถม้าจะเกิดเหตุขึ้นบนถนนเล็กน้อย จึงทำให้เวลาล่าช้าลง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น