ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 162-163

ตอนที่ 162 เข้าเฝ้าฝ่าบาท

 

เมื่อได้ยินเสียงของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น เม้มปาก และส่ายศีรษะ “ไม่เป็นอะไร”


หวงฝู่อี้เซวียนถอนหายใจโล่งอก แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อวี้เอ๋อร์ล่ะ”


เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้เขาฟังอย่างรวบรัด


หวงฝู่อี้เซวียนโกรธแค้นมาก แล้วพูดว่า “เจ้าวางใจเถอะ วันนี้จะไม่ปล่อยให้พวกเขาผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างง่ายๆ แน่นอน หากยังไม่ได้ถลกเนื้อหนังของพวกเขาออกมาแม้แต่ชั้นเดียว ข้าสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา”


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร


หวงฝู่อี้เซวียนกวาดสายตามองนายทหารบาดเจ็บที่อยู่ภายในเรือน ดูแล้วน่าจะมีประมาณสี่ห้าสิบนาย ความคิดในใจก็เปลี่ยนไป และนึกวิธีหนึ่งขึ้นได้ จึงเขยิบตัวเข้าไปข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วกระซิบว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าทำตามนี้ เช่นนี้ๆ นะ”


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบ ก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้นาง แล้วพูดว่า “เจ้าส่งคนไปจัดการให้เร็วที่สุด อีกประเดี๋ยวข้าจะไปพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าเสด็จลุง และท่านน้าก็อยู่ที่นั่นด้วยพอดี ท่านเป็นคนที่รักในการปกป้องคนของตัวเองเป็นที่สุด เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องทำให้คนพวกนี้กระอักเลือดในใจจนพูดอะไรไม่ออก”


เมิ่งเชี่ยนโยวอดหัวเราะไม่ได้ ส่ายหัวไปมา แล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะต้องโชคร้ายเสียแล้ว”


หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างแค้นใจ “บังอาจมารังแกผู้หญิงของข้าก็ต้องชดใช้ สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ถือว่ายังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”


เมิ่งเชี่ยนโยวทำตาโตใส่เขา จากนั้นสั่งคนให้พาเหล่านายทหารที่บาดเจ็บทั้งหมดนี้ไปส่งที่ร้านยาเต๋อเหรินตามที่เขาแนะนำ


หลังจากหวงฝู่อวี้ได้รับการแก้จุดบนกาย ก็เข้าไปวนสำรวจในโรงงานกุนเชียงรอบหนึ่ง แล้วจึงเดินออกจากโรงงาน ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียน ก็วิ่งไปหาทันที และพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “พี่ใหญ่ ขออภัยด้วย ข้าสร้างปัญหาอีกแล้ว”


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอวี้เอ๋อร์เลย เพราะไม่รู้ว่าพวกเขาไปสืบมาจากแหล่งใดจนรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ แล้วมาตามถึงที่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายแทนเขา


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “พวกเขามาหาเจ้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”


หวงฝู่อวี้ส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่ทราบ”


“ทำงานอยู่ในโรงงานดีๆ ล่ะ ต่อจากนี้ก็อย่าไปคบค้าสมาคมกับพวกเขาอีก”


หวงฝู่อวี้พยักหน้ารัว “ข้าจำไว้แล้ว”


“ไปทำธุระของเจ้าเถิด ข้าเพิ่งว่าราชการกลับมาจากนอกเมือง แล้วกำลังจะไปรายงานผลต่อเสด็จลุงที่พระราชวัง” เขาพูดเช่นนี้เพื่อถือโอกาสอธิบายแก่เมิ่งเชี่ยนโยวถึงสาเหตุที่เขาไม่ได้ไปที่บ้านในช่วงที่ผ่านมา


หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปในโรงงานอีกส่วนอย่างว่าง่าย


หวงฝู่อี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาอ่อนโยนแวบหนึ่ง แล้วจึงหันกายเดินออกจากโรงงาน กระโดดขึ้นหลังม้าและตะบึงมุ่งตรงไปยังพระราชวัง


ฉู่เหวินเจี๋ยมาถึงหน้าประตูพระราชวัง ส่งป้ายห้อยเอวให้ แล้วบอกว่าตนเองมีเรื่องสำคัญต้องรายงานต่อฝ่าบาท ขันทีรีบไปห้องทรงพระอักษรเพื่อรายงาน ผ่านไปเพียงไม่นานก็ออกมาพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าไปขอรับ”


ฉู่เหวินเจี๋ยรับป้ายห้อยเอวคืน ปลดอาวุธทหารส่งให้ขันทีที่เฝ้าประตู จากนั้นรีบสาวเท้าเดินเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษร คุกเข่าและก้มศีรษะลงจนติดพื้นเพื่อคำนับ “ถวายบังคมฝ่าบาท”


ฮ่องเต้วางเอกสารราชการบนพระหัตถ์ลง แล้วตรัสขึ้น “ลุกขึ้นได้”


ฉู่เหวินเจี๋ยลุกขึ้นยืน


“อ้ายชิง มีเรื่องรีบด่วนอันใดหรือ”


ฉู่เหวินเจี๋ยเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น และสุดท้ายพูดต่อว่า “ฝ่าบาท เหล่าคุณชายแห่งจวนเจ้าพระยาและพระยาประพฤติเช่นนี้ ก่อให้เกิดผลกระทบที่เลวร้ายอย่างมาก ตอนที่กระหม่อมไปถึงเป่ยเฉิง บนท้องถนนไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว คาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว หากครานี้มิได้ลงโทษพวกเขาอย่างหนัก เกรงว่าประชาชนเป่ยเฉิงจะเกิดความเคืองขุ่นในใจได้พ่ะย่ะค่ะ”


หลายปีมานี้ เป่ยเฉิงเป็นเมืองที่ทำเอาฮ่องเต้และบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นต้องปวดหัวมาตลอด เพราะทุกๆ วันจะมีผู้คนออกมาค้าบุตรชายขายบุตรสาวบนท้องถนนใหญ่ ไม่ง่ายเลยที่ปีนี้จะได้เมิ่งเชี่ยนโยวมาเปิดโรงงาน ซื้อที่ดินหลายร้อยหมู่ แล้วว่าจ้างผู้คนเป่ยเฉิงมากมายไปทำงาน ความเป็นอยู่ของผู้คนเป่ยเฉิงจึงดีขึ้นบ้าง ฤดูหนาวปีนี้จึงได้ไม่เกิดเหตุค้าบุตรชายขายบุตรสาวขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ภายในโรงงานนี้ยังว่าจ้างทหารผ่านศึกที่พิการและบาดเจ็บหลายร้อยนาย ทว่า พวกคุณชายกลับใจกล้าสามหาวถึงขนาดระดมทหารของจวนเพื่อไปถล่มโรงงาน ฮ่องเต้จึงทรงพิโรธอย่างยิ่ง รีบดำรัสสั่งขันทีผู้ดูแล “ไปตรวจสอบที่ประตูดูว่าเป็นคนของจวนเจ้าพระยาและพระยาคนใด แล้วเรียกพวกเจ้าพระยาและพระยาให้มาเข้าเฝ้า”


ขันทีผู้ดูแลรับพระบัญชาแล้วเดินออกไป เมื่อมาถึงหน้าประตูพระราชวังจึงไถ่ถามให้แน่ชัดว่าเป็นผู้ใดในจวน แล้วรีบส่งขันทีไปรายงานต่อพระองค์


แต่ละคนก่อความวุ่นวายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ผู้คนทั้งเมืองหลวงล้วนทราบกันหมด แล้วทั้งสี่ครอบครัวแห่งจวนเจ้าพระยาและพระยาจะไม่ทราบได้อย่างไร ขณะที่กำลังร้อนรนกระวนกระวายอยู่ในบ้าน ก็อยากจะไปจับลูกของตัวเองกลับมา แล้วโบยตีสั่งสอนอย่างหนักเสียเดี๋ยวนั้น พอขันทีมาบอกว่า ฮ่องเต้มีรับสั่งให้พวกเขาไปหาที่ห้องทรงพระอักษร ทั้งสี่คนก็รู้แล้วว่าลูกของบ้านตัวเองได้ก่อหายนะอันใหญ่หลวงเข้าแล้วจริงๆ จึงรีบสวมใส่ชุดราชการ แต่งองค์ทรงเครื่องให้เรียบร้อย แล้วทยอยกันมาที่ประตูพระราชวัง เมื่อเห็นทหารจวนในสภาพที่ดูน่ากระอักกระอ่วนกับลูกชายที่หน้าม่อยคอตกและได้รับบาดเจ็บ ในใจก็ทั้งโกรธทั้งเป็นกังวล โกรธที่พวกเขากล้าใช้ทหารของจวนมากมายเช่นนี้ไปก่อเรื่องที่โรงงานอย่างโจ่งแจ้ง และกังวลที่ไม่เพียงแต่เหล่าทหารจวนได้รับบาดเจ็บ ลูกชายของตัวเองก็ไม่รอดเหมือนกัน


เมื่อเห็นเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่มา ลูกๆ สี่คนก็กรูกันเข้ามาร้องเรียกอย่างน่าเวทนา “ท่านพ่อ”


เจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คนจ้องพวกเขาตาขมึงด้วยความโกรธ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า “กลับจวนไปค่อยคิดบัญชีกับเจ้า” จากนั้นก็รีบเร่งไปยังห้องทรงพระอักษร


ขณะที่คุกเข่าก้มศีรษะคำนับ ก็รู้สึกได้ถึงรังสีแห่งความพิโรธจากพระวรกายของฮ่องเต้ ในใจของพวกเขาก็อดสั่นเทาไม่ได้


และแล้ว เมื่อฮ่องเต้อ้าพระโอษฐ์ ความไม่พอใจที่อยู่ภายในน้ำเสียงที่แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะก้มศีรษะอยู่แต่ก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจนก็ปรากฏขึ้น “อ้ายชิงทั้งสี่เลี้ยงลูกได้ดีกันทั้งนั้น”


เหงื่อบนใบหน้าของสี่คนไหลออกมาโดยพลัน แล้วก้มศีรษะจรดพื้นเพื่อคำนับอย่างพร้อมเพรียง พูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ขอพระองค์พระราชทานอภัยโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


“เราขอถามพวกเจ้าว่า พวกเจ้าจะให้เราให้อภัยอย่างไร นี่ถ้าหากว่าได้พังโรงงานเข้าจริงๆ จะช่วยเหลือพวกนายทหารที่บาดเจ็บและพิการกว่าร้อยนายนั่นอย่างไร และหากเป่ยเฉิงจะต้องกลับไปประสบเหตุการณ์แบบเดิมเช่นนั้นอีก แล้วจะทำอย่างไร”


ทั้งสี่คนตอบไม่ได้


ราวกับว่าฮ่องเต้ดึงดันต้องการให้พวกเขาให้คำตอบ จึงไม่ตรัสอะไรอีก เพียงแต่มองพวกเขาอย่างน่าเกรงขาม


เสื้อผ้าออกว่าราชการบนกายของทั้งสี่คนล้วนเปียกชุ่ม


ภายในห้องทรงพระอักษรปกคลุมไปด้วยความเงียบ


ขันทีผู้ดูแลเข้ามารายงานอย่างระมัดระวัง “ทูลฝ่าบาท อ๋องฉีและซื่อจื่อมาที่พระราชวัง เพราะมีเรื่องที่ต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”


หวงฝู่อี้เซวียนถูกส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ แล้วกลับมารายงานผลก็เป็นเรื่องปกติ ทว่า อ๋องฉีมีเรื่องสำคัญอันใดกัน คิดอยู่ในใจขณะหนึ่ง จนได้เห็นสี่คนนี้ที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องพระพักตร์ ก็เข้าพระทัยอะไรบางอย่าง จึงตรัสขึ้น “ให้เข้ามาได้”


อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาภายในห้องทรงพระอักษร เหลือบเห็นสี่คนที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น หลังจากคำนับเรียบร้อย อ๋องฉีก็พูดขึ้น “เสด็จพี่ กระหม่อมได้ยินมาว่าโรงงานเป่ยเฉิงเกือบจะถูกถล่มแล้ว น้องรู้สึกเป็นกังวลยิ่ง จึงส่งเซวียนเอ๋อร์ไปตรวจสอบดูก่อน โชคดีที่โรงงานไม่เป็นอะไร ทว่า มีนายทหารที่พิการและบาดเจ็บส่วนหนึ่งถูกทำร้ายจนบาดแผลสาหัสยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยความวิตกกังวลของเซวียนเอ๋อร์จึงให้แม่นางเมิ่งส่งพวกเขาไปรักษาที่ร้านยาเต๋อเหริน”


นายทหารเหล่านี้ได้รับบาดเจ็บเพื่อชาติ จึงเป็นผู้สร้างคุณูปการให้แก่ชาติ ในตอนนี้กลับถูกทหารของจวนเหล่านี้ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว หากจัดการได้ดี ก็จะสามารถปลอบขวัญของทหาร และปลอบขวัญของประชาชนได้พร้อมกัน แต่หากจัดการได้ไม่ดี ก็จะทำให้ผู้คนเกิดความขุ่นข้องใจ เช่นนั้น ผลลัพธ์ที่ตามมา… คิดถึงตรงนี้แล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงกริ้วยิ่งขึ้นอีก คว้าเอกสารราชการบนโต๊ะโยนใส่ผู้คนเหล่านั้น “พวกสารเลว ก่อหายนะอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ ควรต้องรับโทษอย่างไรดี”


เมื่อคำพูดของอ๋องฉีสิ้นสุดลง ทั้งสี่คนก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากวิงวอนขอพระกรุณา เอกสารราชการของฮ่องเต้ก็ปะทะลงมาที่ศีรษะอย่างจัง ทั้งสี่คนไม่กล้าหลบ ได้แต่ปล่อยให้เอกสารนั้นกระแทกใส่ร่างของตัวเอง ผ่านไปสักพักถึงจะกล้าเอ่ยปากอ้อนวอน “ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอภัยโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกลับไปจะสั่งสอนพวกเขาเป็นอย่างดีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”


“สั่งสอนอย่างดีหรือ หากพวกเจ้าสั่งสอนอย่างดี แล้วทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นวันนี้ได้ ข้าว่าพวกเขาคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเกินไปเป็นปกติสินะ จึงไม่รู้ว่าพวกทหารที่คุ้มครองชาติบ้านเมืองเหล่านี้ลำบากแสนเข็ญเพียงใด ข้าว่า พวกเขาควรไปลองสัมผัสความรู้สึกในค่ายทหารดูบ้างนะ”


เหงื่อของทั้งสี่คนไหลพรูลงมาอีกครั้ง รีบก้มศีรษะคำนับ “ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นความผิดของบุตรกระหม่อมจริง จะโบยหรือจะลงโทษอะไร ก็แล้วแต่จัดการเถิดพ่ะย่ะค่ะ แต่ขอฝ่าบาทอย่าได้ส่งพวกเขาไปค่ายทหารเลย ครอบครัวของกระหม่อมมีผู้สืบทอดตระกูลเพียงแค่คนเดียวเองพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้พูดไปเช่นนั้นก็เพียงเพื่อจะทำให้พวกเขาตกใจกลัวเสียหน่อย แน่นอนว่ามิได้มีพระประสงค์จะส่งพวกเขาไปค่ายทหารจริง เมื่อได้ยินดังนั้นก็ถามด้วยเสียงเข้มว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าบอกมาสิ ว่าควรโบยอย่างไร ควรลงโทษอย่างไร”


“นั่น…” คำพูดนั้นเป็นเพียงคำที่หลุดออกมาจากความร้อนรนและความกังวลของทั้งสี่คน ยังไม่ได้คิดไปถึงว่าควรจะทำอย่างไรจริงๆ


ฮ่องเต้เห็นท่าทีของพวกเขา ในใจก็เดือดพล่าน ขณะที่กำลังจะตวาดใส่ หวงฝู่อี้เซวียนก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “เสด็จลุง หลานคิดวิธีหนึ่งออกพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ทราบว่าใต้เท้าทั้งหลายจะสามารถรับปากได้หรือไม่”


“ว่ามา!” ฮ่องเต้พูดอย่างองอาจ


“ประการแรก ให้พวกคุณชายไปขอโทษต่อแม่นางเมิ่ง พร้อมกับรับปากว่าจะไม่ไปก่อความวุ่นวายที่โรงงานอีก ประการที่สอง ค่ายาและค่ารักษาของนายทหารที่บาดเจ็บเหล่านั้นต้องให้พวกคุณชายเป็นคนจ่าย อีกทั้งมอบเงินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นค่าปลอบขวัญแก่นายทหารที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ”


สองข้อนี้สมเหตุสมผล ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ถาม “พวกเจ้าคิดว่าข้อเสนอของเซวียนเอ๋อร์เป็นอย่างไร”


 


เสียเงินเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร แต่จะให้ลูกชายของตนเองไปขอโทษต่อหญิงสาวบ้านนอกคนหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่เสื่อมเสียเกียรติและศักดิ์ศรีของจวนเป็นอย่างยิ่ง ในใจของแต่ละคนรู้สึกไม่ยินยอมเท่าไรนัก เจ้าพระยาหลิวจึงลองเอ่ยปากถาม “ฝ่าบาท เงินพวกนั้นจะให้กระหม่อมจ่ายเพิ่มก็ย่อมได้ แต่เรื่องที่ต้องขอโทษ สามารถละเว้นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


ที่หวงฝู่อี้เซวียนต้องการก็คือให้คนพวกนั้นไปขอโทษ จะได้ให้คนทั้งเมืองหลวงทราบโดยทั่วกันว่าเบื้องหลังของโรงงานแห่งนี้มีใครหนุนหลังอยู่ ต่อไปไม่มีเหตุอันใดก็อย่าได้คิดจะทำอะไรโรงงานอีก


แน่นอนว่าไม่อาจยอมถอยได้ จึงพูดกับฮ่องเต้ด้วยความนอบน้อมว่า “เสด็จลุง หลานเห็นว่าความผิดนี้จำเป็นต้องรับ ไม่ต้องพูดถึงว่าโรงงานได้รับผลกระทบเสียหายไปแค่ไหน ดูจากผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงกับประชาชนเป่ยเฉิงก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ตลอดทางที่หลานผ่านมา แทบไม่เห็นคนบนท้องถนนเลย คาดว่าคงไม่เคยเห็นกองทัพทหารเช่นนี้มาก่อนจึงตกใจกลัว และหลบอยู่ในบ้านไม่กล้าออกมา ตอนนี้ ผู้คนในแต่ละบ้านต้องรู้สึกประหวั่นพรั่นใจอยู่เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ถ้าพวกคุณชายไม่ไปยอมรับผิด ผู้คนเป่ยเฉิงจะต้องคิดว่า เสด็จลุงเข้าข้างพวกเขา ถึงเวลานั้นจะสูญเสียความเชื่อมั่นของประชาชนได้พ่ะย่ะค่ะ”


เจ้าพระยาอู๋ผูเป็นพ่อของจิงเหิง ก็ไม่ยอม แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อพูดเช่นนี้ก็ออกจะดูร้ายแรงเกินไปหน่อย นี่เป็นเพียงการกระทำที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ของคนไม่กี่คน มิได้เกี่ยวข้องกับใจของประชาชนแต่อย่างใด”


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ยอมถอย “ขอถามเจ้าพระยาอู๋ว่า แม่นางเมิ่งมิได้มีความบาดหมางอันใดกับพวกเขา เหตุใดพวกเขาจึงต้องบันดาลโทสะ เหตุใดจึงต้องสั่งคนให้ไปถล่มโรงงาน แล้วเหตุใดจึงต้องใส่ร้ายป้ายสีนางท่ามกลางผู้คนมากมายที่จับจ้องอยู่ เจ้าพระยาอู๋ก็คงทราบดีนะขอรับ ถ้าแม่นางเมิ่งละทิ้งโรงงานแห่งนี้กับที่ดินนอกเมืองหลายร้อยหมู่ แล้วกลับบ้านเกิดไป เพราะมีสาเหตุมาจากความโกรธของพวกคุณชาย แล้วหลังจากนั้นจะต้องมีประชาชนในเป่ยเฉิงที่กินไม่อิ่มท้องจนต้องค้าบุตรชายขายบุตรสาวอีกเท่าไรกัน”


เจ้าพระยาอู๋กระวนกระวาย ออกปากโต้แย้ง “ความสัมพันธ์ของนางบ่าวใช้บ้านนอกนั่นกับซื่อจื่อไม่ธรรมดา คนในเมืองหลวงนี้ต่างก็รู้กันหมด เมื่อนางยังไม่ได้บรรลุเป้าหมาย แล้วจะยอมละทิ้งทุกสิ่งกลับบ้านเกิดไปได้อย่างไรล่ะ”


สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนนิ่งขรึมขึ้น


สีหน้าของอ๋องฉีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แล้วถามเขากลับว่า “ในเมื่อเจ้าพระยาอู๋ต่างทราบเรื่องนี้แล้ว เช่นนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เหล่าคุณชายจะไม่รู้ และในเมื่อรู้แล้ว และยังทำเรื่องเช่นนี้ลงได้ นั่นหมายความว่าพวกเจ้าไม่ได้เห็นหัวจวนอ๋องฉีอย่างข้าเลยสินะ”


ในตอนนี้เจ้าพระยาอู๋ถึงจะตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิดไป ในใจก็ตื่นตระหนกอย่างมาก แล้วรีบกลับคำพูด “อ๋องฉีเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้นขอรับ”


อ๋องฉีกดดัน “เช่นนั้นเจ้าพระยาอู๋หมายความว่าอะไร”


 


เจ้าพระยาอู๋ถูกถามจนพูดออกมาไม่ได้


อ๋องฉีพูด “เสด็จพี่ น้องเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ต้องลงโทษ แต่ต้องลงโทษอย่างหนัก นอกจากปลอบขวัญประชาชนเป่ยเฉิงแล้ว ยังต้องปลอบขวัญพวกนายทหารในค่ายทหารเหล่านั้นด้วย พวกเขาอาบเลือดอาบเนื้อบนพื้นทราย เป็นผู้ปกป้องและคุ้มครองชาติบ้านเมือง ทั้งหมดก็เพื่อให้คนในครอบครัวของตัวเองมีชีวิตที่สงบสุข แต่ในเวลานี้ กลับมีคนมารังแกเหล่าพี่น้องที่บาดเจ็บของพวกเขา ในใจพวกเขาต้องไม่ยอมเป็นแน่ เรื่องนี้ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี จะทำให้จิตใจของเหล่าทหารไม่เป็นอันสงบได้”


ฉู่เหวินเจี๋ยคล้อยตามด้วยเสียงที่เคร่งขรึม “กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ นายทหารผ่านศึกที่พิการและบาดเจ็บพวกนั้นล้วนเป็นทหารที่ข้าพาออกมา ในสนามรบพวกเขาต่างเป็นทหารฉกาจชั้นยอด ในกองทัพก็มีอัธยาศัยที่ดีเลิศ หากพวกเขาไม่ได้รับความเคารพนับถือตามเกียรติที่มี ก็คงจะแล้งต่อน้ำใจของเหล่าทหารในค่ายทหารนี้ด้วย”


พูดเช่นนี้ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นอีกแล้ว เหงื่อบนหน้าผากของทั้งสี่คนไหลพรูลงมาอีกครั้ง


ฮ่องเต้มองอ๋องฉี หวงฝู่อี้เซวียน และฉู่เหวินเจี๋ย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่น่ายำเกรง “เช่นนั้นก็จัดการตามที่อวี้เอ๋อร์ต้องการ พวกคุณชายต้องไปขอโทษต่อหน้าเจ้าของโรงงาน นอกจากนั้น แต่ละคนจะต้องถูกปรับโทษด้วยเงินจำนวนสองหมื่นตำลึง เพื่อเป็นค่ารักษาแก่นายทหารที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้น ส่วนพวกเจ้าทั้งหลาย ด้วยเหตุที่ไม่สั่งสอนบุตรอย่างเข้มงวดแล้วทำให้พวกเขาประพฤติผิดอย่างร้ายแรง จึงต้องรับโทษงดเว้นเงินราชการเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป”


วาจาของฮ่องเต้นั้นศักดิ์สิทธิ์ ไหนเลยที่ทั้งสี่คนจะกล้าทักท้วง จึงน้อมรับและคำนับโดยพร้อมเพรียงกัน “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”


“เซวียนเอ๋อร์อยู่ก่อน คนอื่นออกไปได้”


ทั้งหกคนกล่าวขอบคุณ แล้วออกจากห้องทรงพระอักษร


เจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คนซับเหงื่อบนใบหน้า ประสานมือคำนับต่ออ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ย แล้วกระวีกระวาดกันออกจะพระราชวังไป จนมาถึงตรงหน้าลูกชายตัวเอง ก็ตะโกนสั่งพร้อมกัน “ไสหัวกลับบ้านไป หากข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามออกจากจวนอีกต่อไป”


คุณชายทั้งสี่นึกว่าเรื่องจบลงเพียงเท่านี้ จึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง หลิวเยี่ยนถามขึ้น “ท่านพ่อ ฝ่าบาทมิได้ตำหนิพวกข้าหรือ”

 

 

 


ตอนที่ 163 ส่งทหารไปคุ้มครอง

 

สีหน้าของเจ้าพระยาหลิวดำทะมึน และจ้องลูกชายตัวเองเขม็งด้วยความเดือดดาล หากไม่ใช่ว่ากลัวจะเสียหน้าเพราะมีคนอื่นอยู่ตรงนั้นด้วย ก็จะยกเท้าถีบเข้าใส่เสียแล้ว เจ้าคนไร้สมองนี่ ไม่ไตร่ตรองสักนิดว่าโรงงานนั่นมีใครหนุนอยู่เบื้องหลัง ก็กล้าไปก่อความวุ่นวาย ตอนนี้คลี่คลายแล้ว แค่โทษปรับเงินนั้นเรื่องเล็ก แต่การต้องไปขอโทษนังสาวใช้บ้านนอกนั่นต่อหน้าผู้คนเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าที่สุด


หลิวเหยี่ยนเห็นพ่อของตัวเองหน้าดำคร่ำเครียด ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองคิดไว้ สีหน้าก็ถอดความยินดีลง ขณะที่กำลังจะเอ่ยถาม อ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยเดินตามหลังออกมา อ๋องฉีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านเจ้าพระยาและพระยาทั้งหลาย ข้าเพิ่งจะปรึกษากับท่านแม่ทัพใหญ่เมื่อครู่ ตกลงว่าพรุ่งนี้เวลาปลายเช้า[1] พวกข้าจะรอพวกคุณชายอยู่หน้าประตูโรงงาน”


สีหน้าของพวกเจ้าพระยาและพระยายิ่งแสดงอาการไม่ชอบใจ อ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้สนใจพวกเขา แล้วอ๋องฉีก็เดินไปยังเกี้ยวของจวนตัวเอง


ส่วนฉู่เหวินเจี๋ยขึ้นบนหลังม้า และออกคำสั่งแก่เปาชิงเหอ “ฝ่าบาทได้คลี่คลายเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าไปรอข้าอยู่ที่ประตูโรงงาน”


เปาชิงเหอรับคำ ฉู่เหวินเจี๋ยควบม้านำทหารของตนเองกลับค่ายทหาร


อ๋องฉีก็นั่งเกี้ยวจากไป


เปาชิงเหอไม่ได้ทำความเคารพต่อเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คน ตรงไปขึ้นรถม้า แล้วสั่งพวกทหารให้กลับไปเป่ยเฉิง


ผู้คนไปกันหมดแล้ว สีหน้าของเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คนบึ้งตึง แยกย้ายกันขึ้นนั่งบนเกี้ยวของแต่ละคนเพื่อเดินทางกลับ


คุณชายทั้งสี่มองกันและกัน แล้วตามคนที่บ้านของตนกลับไปด้วยอย่างว่าง่าย


หวงฝู่อี้เซวียนยังอยู่ในห้องทรงพระอักษร บอกเล่าถึงงานที่ออกจากเมืองหลวงไปปฏิบัติครั้งนี้โดยละเอียด


ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ชื่นชม และตรัสว่า “เซวียนเอ๋อร์เติบโตขึ้นแล้วจริงๆ ด้วย การปฏิบัติราชการของเจ้านับวันก็ยิ่งทำให้ลุงวางใจ”


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุงชมเกินไปแล้ว” หวงฝู่อี้เซวียนรีบขอบคุณ


“หลายวันมานี้เจ้าคงเหนื่อยล้ามากทีเดียว กลับจวนไปพักเถิด”


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ และขอร้องขึ้นว่า “เสด็จลุง เซวียนเอ๋อร์มีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงเล็กน้อย จ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งถึงจะตรัสขึ้น “ว่ามา!”


“เสด็จลุงยังจำผู้บัญชาการโต้วที่ถูกย้ายไปเฝ้าประตูที่กองบัญชาการปัจทิศรักษาเพราะเรื่องที่โยวเอ๋อร์เข้าตารางเมื่อครั้งก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หลานอยากจะขอร้องเสด็จลุงให้เขาได้รับตำแหน่งเดิมคืน แล้วรวบรวมทหารและม้ากลุ่มหนึ่งไปป้องกันเป่ยเฉิงได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


“มีแค่เรื่องนี้หรือ” ฮ่องเต้ถามย้ำ


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “มีแค่เรื่องนี้ขอรับ หวังว่าเสด็จลุงจะอนุญาต”


“เราอนุญาตแล้ว เรื่องนี้เจ้าไปถ่ายทอดเป็นพระราชกระแสรับสั่งได้เลย ส่วนจำนวนของทหารและม้า เจ้าก็ให้เขาไปเลือกเอง โดยบอกว่าเราเป็นคนบอก ถือเป็นการให้โอกาสเขาสร้างผลงานเพื่อชดใช้โทษ หลังจากนี้ความปลอดภัยของประชาชนเป่ยเฉิงก็มอบให้แก่เขา หากยังทำหน้าที่นี้ไม่ดี ก็จงให้เขาถือหัวของตัวเองมาพบเราเสีย”


“ขอบพระทัยเสด็จลุง” หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างดีอกดีใจ


ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ไปเถิด หลังจากถ่ายทอดกระแสรับสั่งแล้วก็กลับจวนไปพักให้สบายเถิด ในเวลาอันใกล้นี้ ข้าจะไม่ส่งเจ้าไปปฏิบัติหน้าที่นอกเมืองอีก”


หวงฝู่อี้เซวียนทำความเคารพ แล้วเดินออกจากห้องทรงพระอักษรไป


ฮ่องเต้จ้องมองเงาบนแผ่นหลังเขาอยู่นาน ถึงจะก้มหน้าอ่านเอกสารราชการอีกครั้ง


หวงฝู่อี้เซวียนออกมาจากห้องทรงพระอักษรแล้ว ก็เดินเร่งฝีเท้าเดินไปยังพระราชวังด้านนอก รัชทายาทพร้อมด้วยขันทีข้างกายเดินเข้ามา พอเห็นว่าเป็นเขา จึงร้องเรียกขึ้นทันที “น้องเซวียน!”


หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียง จึงหยุดก้าวเดินและโค้งตัวคำนับ “รัชทายาท!”


รัชทายาทเดินเข้ามาตรงหน้าเขา ยื่นมือประคองเขาขึ้น “ข้าพูดกี่ครั้งแล้วว่าต่อไปเจอหน้ากันเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก็พอ เจ้ากับข้าต่างก็เป็นพี่น้องที่สนิทสนมกัน หากเสด็จพ่อเห็นเช่นนี้ก็ต้องดีใจมิใช่หรือ”


หวงฝู่อี้เซวียนเรียกอย่างคล้อยตามทันที “พี่ใหญ่!”


หวงฝู่อี้ผู้เป็นรัชทายาทรับคำ แล้วถามว่า “เห็นน้องเซวียนเดินอย่างรีบร้อน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ”


เรื่องที่คุณชายบ้านเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คนจะถล่มโรงงาน ผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันหมดแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่รัชทายาทจะไม่รู้ แต่เขาไม่ได้ถามตรงๆ หวงฝู่อี้เซวียนจึงตอบอย่างง่ายๆ เพื่อทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก “เสด็จลุงให้ข้าไปเป็นตัวแทนไปถ่ายทอดกระแสรับสั่ง ข้ารู้สึกร้อนรนใจ จึงเดินเร็วขึ้นเล็กน้อย”


รัชทายาทพยักหน้า แล้วเขยิบตัวออก “เช่นนั้นน้องเซวียนรีบไปเถิด จะได้ไม่ล่าช้าจนทำให้เสด็จพ่อกริ้ว”


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขอบคุณ แล้วเดินกระวีกระวาดออกจากพระราชวัง


รัชทายาทสั่งขันทีที่ติดตาม “หวังอัน ไปสืบมาว่า ซื่อจื่อรีบร้อนเช่นนี้เพื่อไปถ่ายทอดพระราชกระแสรับสั่งเรื่องอันใด”


หวังอันรับคำ แล้วไปห้องทรงพระอักษรเพื่อสืบความ


รัชทายาทมองไปทางที่หวงฝู่อี้เซวียนจากไปครู่หนึ่ง แล้วจึงก้าวเท้าเดินไปยังตำหนักของตัวเอง


หวงฝู่อี้เซวียนควบม้าเร็วมาถึงเมืองตะวันออก ประตูเมืองในช่วงเวลานั้นมีคนเข้าออกจำนวนมาก พอถึงหน้าประตู หวงฝู่อี้เซวียนก็ดึงบังเ**ยนหยุด นั่งหลังตรงอยู่บนม้า


หวงฝู่อี้เซวียนมีใบหน้าที่งดงามยิ่ง ท่าทีก็ดูสง่าและสูงส่งเกินจะหาใครเทียบ ทหารที่เฝ้าประตูตงเฉิงเห็นเขาตั้งแต่ค่ำคืนนั้น ก็จำเขาได้ขึ้นใจ เมื่อเห็นเขาหยุดม้าอยู่ที่ประตูเมือง ก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาคำนับทันที “ซื่อจื่อ ท่านมีคำสั่งอันใดหรือขอรับ”


“ผู้บัญชาการโต้วอยู่หรือไม่”


ทหารผงะไปชั่วครู่ แล้วรีบตอบอย่างนอบน้อม “ผู้บัญชาการโต้วอยู่บนหอประตูเมือง ข้าน้อยจะไปเรียกเขาลงมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”


หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะเล็กน้อย


ทหารหันตัวกลับ รีบวิ่งขึ้นไปหอ เมื่อเจอผู้บัญชาการโต้ว ก็รายงานอย่างเหนื่อยหอบ “ผู้บัญชาการโต้ว ซื่อจื่อมาหาท่านแล้ว”


นับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ผู้บัญชาการโต้วก็เฝ้าคอยหวงฝู่อี้เซวียนให้มาพาเขาย้ายออกจากประตูเมืองตงเฉิงทุกวัน พอได้ยินคำพูดของทหารแล้ว จึงรีบสาวเท้าวิ่งลงจากหอ ไปตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน ในน้ำเสียงซ่อนความปิติยินดีไว้ไม่อยู่ “ข้าน้อยขอถวายความเคารพต่อซื่อจื่อ”


“ผู้บัญชาการโต้ว!” หวงฝู่อี้เซวียนนั่งหลังตรงบนหลังม้า เรียกเขาอย่างองอาจ


“ขอรับ!”


“ข้าได้ขอความกรุณาต่อหน้าเสด็จลุงให้เจ้าได้ตำแหน่งเดิมคืนแล้ว นับแต่บัดนี้ เจ้าต้องนำกองทัพทหารไปรักษาการณ์ที่เป่ยเฉิง เจ้าจะยินยอมหรือไม่”


ไม่ว่าทำอะไร ก็ย่อมดีกว่าหน้าที่ที่ต้องเฝ้าประตูอยู่อย่างนี้ ผู้บัญชาการโต้วจึงรับคำอย่างชอบใจ “ข้าน้อยยินยอมรับขอรับ”


“ดี เจ้าไปเก็บข้าวของเสีย แล้วรีบตามข้าไปกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนครเพื่อเลือกพลทหารและม้า จากนั้นมุ่งสู่เป่ยเฉิงโดยเร็ว”


“ขอรับ!”


ผู้บัญชาการโต้วหันตัวกลับและขึ้นไปบนหอทันที แล้วเอางานทั้งหมดของตัวเองมอบให้แก่นายทหารอื่นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของผู้คน เขาจึงวิ่งลงมาอย่างเร่งรีบ “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว”


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ดี เจ้าตามข้าไปกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนคร”


พูดจบก็หันม้ามุ่งหน้าเข้าเมืองไป


ผู้บัญชาการโต้วไม่มีม้า จึงวิ่งตามอยู่ข้างๆ โชคดีที่เขาเป็นทหาร มีความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่ได้อ่อนแอ ประกอบกับความเอาใจใส่ของหวงฝู่อี้เซวียนที่ไม่ได้บังคับม้าให้วิ่งเร็วนัก เขาจึงสามารถตามทันได้


ทั้งสองคนมาถึงกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนคร แล้วเดินเข้าด้านในไป หวงฝู่อี้เซวียนมอบพระราชกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ให้แก่ผู้บัญชาการอู๋ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนครคนปัจจุบัน ผู้บัญชาการอู๋ย่อมไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟังตาม และนำผู้บัญชาการโต้วไปเลือกทหาร


ผู้บัญชาการโต้วคุ้นเคยกับนายทหารพวกนี้เป็นอย่างดี ไม่นานก็เลือกทหารสองร้อยนายและม้าครบเรียบร้อย เมื่อเตรียมการพร้อมอย่างเสร็จสรรพ ก็ตามหวงฝู่อี้เซวียนมาถึงหน้าประตูโรงงานของเป่ยเฉิง


ในเวลานี้เริ่มมีผู้คนบนท้องถนนใหญ่มากขึ้นแล้ว เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นเหล่าทหารสวมชุดพร้อมอาวุธยุโธปกรณ์อย่างเต็มยศมา ก็รู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แม้ว่าพวกเขาจะยืนนิ่งไม่ขยับ แต่ล้วนพากันชูคอยืดยาวมองมายังด้านนั้น จนเห็นทหารเหล่านี้หยุดอยู่ที่ประตูโรงงาน ก็คิดไปว่าพวกเขาจะมาตรวจสอบและปิดโรงงาน จึงตื่นตระหนกกันอย่างมาก


หวงฝู่อี้เซวียนกับผู้บัญชาการโต้วกระโดดลงจากม้า เสี่ยวซือซึ่งเดินออกมาจากโรงงานพอดี เห็นทหารมากมายเช่นนั้นยืนอยู่ที่ประตู ก็สะดุ้งตกใจ จนกระทั่งเห็นชัดแล้วว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียน จึงถอนหายใจ แล้วคำนับอย่างนอบน้อม “ซื่อจื่อ”


“ไปเรียกโยวเอ๋อร์ออกมา” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเขา


เสี่ยวซือรับคำ รีบสาวเท้าตรงเข้าด้านใน เมื่อพบเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รายงานแก่นาง


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินออกมาจากด้านใน


ผู้บัญชาการโต้วคำนับอย่างลนลาน “แม่นางเมิ่งขอรับ”


เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะเล็กน้อย มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความฉงนสงสัย


หวงฝู่อี้เซวียนอธิบาย “เสด็จลุงมีกระแสรับสั่งคืนตำแหน่งให้แก่รองผู้บัญชาการโต้ว พร้อมนำทหารมารักษาการณ์ที่เป่ยเฉิงแห่งนี้”


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจโดยกระจ่าง “ต่อไปต้องรบกวนผู้บัญชาการโต้วแล้วเจ้าค่ะ”


ผู้บัญชาการโต้วรีบโบกมือปฏิเสธ “แม่นางเมิ่งเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ หลังจากนี้หากต้องการเรียกใช้ก็บอกได้เลยขอรับ”


ยังไม่ทันที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะพูด หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากขึ้น “ไม่ใช่หลังจากนี้มีอะไรก็เรียกใช้ แต่ในทุกวันหลังจากนี้ เจ้าต้องส่งคนไปเฝ้าประตูโรงงานแห่งนี้ ไม่ว่าเป็นใคร หากกล้ามาก่อความวุ่นวาย ผู้บัญชาการโต้วไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อ จับกุมเอาไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


“นี่…” ผู้บัญชาการโต้วลังเล


“ทางด้านนี้มีเรื่องขึ้นในวันนี้ เจ้าคงได้ยินแล้วสินะ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม


ผู้บัญชาการโต้วพยักหน้า “ได้ยินมาบ้างแล้วว่า คุณชายแห่งจวนเจ้าพระยาและพระยาสี่คนมาก่อความวุ่นวาย และต้องการพังโรงงานแห่งนี้ขอรับ”


“ดังนั้นข้าถึงขอเสด็จลุงให้อภัยโทษแก่เจ้า แล้วให้เจ้าพาทหารมาในนามของผู้รักษาการณ์แห่งเป่ยเฉิง แท้จริงแล้วก็คือคุ้มครองโรงงานแห่งนี้ ซึ่งเสด็จลุงก็หมายความตามนี้เช่นกัน”


เมื่อได้ยินว่าเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ ผู้บัญชาการโต้วก็ไม่ลังเลอีก รับคำอย่างเปรมปรีดิ์ “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ” หลังจากนั้นก็พูดต่อว่า “ข้าน้อยขอนำพวกเขาไปลงทะเบียนที่ที่ว่าการของเป่ยเฉิงก่อนนะขอรับ”


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


ผู้บัญชาการโต้วนำทหารกว่าสองร้อยนายไปยังที่ว่าการของเมือง


ประชาชนที่กำลังหวาดกลัวอยู่ในใจเหล่านั้นเห็นผู้บัญชาการโต้วไม่ได้จะมาตรวจสอบและปิดโรงงาน จึงถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน


รอให้ผู้บัญชาการโต้วพาคนเดินออกไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “ทำไมถึงนึกให้ผู้บัญชาการโต้วนำทหารมาล่ะ”


“เสด็จลุงมักจะส่งข้าออกไปปฏิบัติหน้าที่นอกเมือง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่ข้าไม่อยู่ที่เมืองหลวง ข้าก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้อย่างท่วงทัน ข้าจึงช่วยผู้บัญชาการโต้วให้ได้รับตำแหน่งเดิมคืน เขาจะต้องรู้สึกขอบใจต่อข้า และย่อมต้องเอาใจใส่โรงงานแห่งนี้ของเจ้าด้วยเช่นกัน”


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้ม “ก็ดีเหมือนกัน เช่นนี้ก็ขจัดความยุ่งยากไปได้มากทีเดียว” แล้วยิ้มถามต่อ “เรื่องในวันนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้วล่ะ”


“เสด็จลุงสั่งพวกเขาให้มาขอโทษเจ้า และทุกจวนถูกปรับโทษด้วยเงินจำนวนสองหมื่นตำลึง”


เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตากว้าง มองเข้าอย่างตกตะลึง แล้วถามกลับอย่างไม่เชื่อ “สองหมื่นตำลึง?”


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


ดวงตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเบิกออกกว้างยิ่งขึ้นอีก แล้วถาม “นี่เป็นการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทหรือ”


“ข้าเสนอ และเสด็จลุงก็ยินยอม ส่วนจำนวนเงินที่ปรับโทษเป็นการตัดสินพระทัยของพระองค์”


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วถามอีกครั้ง “เช่นนั้น เจ้าวางแผนจะจัดการกับเงินเหล่านั้นอย่างไร”


“ข้าคิดไว้แล้ว นอกจากจะไปเป็นค่ายารักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้น ก็มอบให้แก่นายทหารทุกคนในโรงงานเพิ่มอีกคนละยี่สิบตำลึงเป็นรางวัล ส่วนที่เหลือถ้าเจ้าไม่มีความเห็นอื่น ก็ยกให้ท่านน้าเถิด ให้เขามอบแก่ทหารในค่ายทหาร เอาไว้ใช้จ่ายสิ่งที่ขาดเหลือเล็กๆ น้อยๆ”


“ข้าไม่มีความเห็นอื่นใด เจ้าตัดสินใจก็ดีแล้ว แม้ว่าจะไม่มีเงินปรับโทษเหล่านี้ ข้าก็เตรียมจะทำเช่นนี้เหมือนกัน”


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า เอนกายมาข้างหน้า ประชิดอยู่ตรงหน้าของนาง และถามอย่างเบาๆ “เจ้าเสร็จธุระแล้วหรือยัง พวกเราไม่ได้เจอกันสิบกว่าวันแล้วนะ ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว”


ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงแปร๊ดโดยพลัน จ้องเขาเขม็ง แต่ตอบอย่างตรงไปตรงมา “จัดการอะไรในโรงงานเรียบร้อยแล้ว ข้ายังต้องไปเยี่ยมพวกนายทหารที่บาดเจ็บที่ร้านยาเต๋อเหรินอีกด้วย”


หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างร้อนรน “ข้าไปกับเจ้าด้วย เยี่ยมเสร็จแล้วพวกเรากลับจวนอ๋องด้วยกัน”


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับไปที่โรงงาน บอกเมิ่งฉีว่าตัวเองจะไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นที่ร้านยาเต๋อเหริน


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ตามเข้าไป ยืนคอยอยู่ที่ประตูโรงงาน


บรรดาผู้คนที่เฝ้ามองด้านนี้อยู่ตลอด ในเวลานี้ถึงจะได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าด้วยความทึ่งใจตามๆ กัน และแอบพูดเบาๆ ว่า “ช่างมีรูปลัษณ์ที่งดงามน่าชมเสียเหลือเกิน เทียบกับหญิงสาวของพวกเราที่นี่แล้วยังดูงามยิ่งกว่า”


เมิ่งฉีพยักหน้า พูดว่า “หลังจากเยี่ยมเสร็จเจ้าไม่จำเป็นต้องกลับมาแล้ว กลับเข้าบ้านได้เลย”


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “อี้เซวียนกลับมาแล้ว เย็นนี้พี่รองให้หวงฝู่อวี้เลิกงานเร็วหน่อย จะได้กลับไปจวนอ๋อง เพราะเกรงว่าเรื่องวันนี้คงแพร่ออกไปในเมืองหลวงเป็นเวลานานแล้ว ป่านนี้พระชายาฉีคงเป็นกังวลแย่แล้ว”


“เข้าใจแล้ว อีกประเดี๋ยวไม่มีธุระใด ข้าจะให้เขากลับไปเร็วหน่อย”


เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากประตูใหญ่ของโรงงาน ชิงหลวนกับจูหลีพาม้ามารอที่ประตูด้านนอก ขณะที่กำลังคิดจะรับบังเ**ยนที่ชิงหลวนส่งให้ กลับถูกหวงฝู่อี้เซวียนอุ้มขึ้น และวางลงที่หลังม้าของตัวเอง แล้วกระโดดขึ้นอย่างว่องไว พร้อมโอบนางที่อยู่ด้านหลังกายเอาไว้


ผู้คนที่กำลังให้ความสนใจทางด้านนี้อยู่ตลอด ต่างส่งเสียงร้องด้วยความชอบใจ สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงระเรื่อ หวงฝู่อี้เซวียนขี่ม้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม มุ่งไปยังร้านยาเต๋อเหริน


ชิงหลวน จูหลีรีบขึ้นม้า แล้วตามหลังไป


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกัวเฟยให้พานายทหารที่บาดเจ็บเหล่านั้นไปส่งที่ร้านยาเต๋อเหริน ทันทีที่เหวินซื่อเห็นเขาส่งคนที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากมาเช่นนี้ก็ตกใจอย่างยิ่ง แล้วสั่งให้พนักงานพันแผลให้พวกเขา พลางสอบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


กัวเฟยเล่าให้เขาฟังตามความเป็นจริง


เหวินซื่อได้ยินว่าฉู่เหวินเจี๋ยจับกุมคนไป ก็สบายใจขึ้น จึงสั่งให้คนนำยารักษาอาการบาดเจ็บภายนอกที่ดีที่สุดรักษาให้แก่พวกเขา


เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเข้าประตูมา นายทหารที่บาดเจ็บทั้งหมดล้วนได้รับการพันแผลแล้ว และนั่งเรียงกันอยู่ในร้านยาเต๋อเหริน


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ทุกคนก็ลุกขึ้น ยืนตัวตรงและร้องเรียก “นายหญิง!”


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินเข้าไปใกล้ ตรวจดูอาการบาดเจ็บของพวกเขาครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้น “รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”


 


[1] ปลายเช้า คือการนับเวลาแบบจีนสมัยโบราณ โดยแต่ละช่วงเวลาจะถูกแบ่งออกเพิ่มอีก 2 ช่วงคือ ช่วงต้นและช่วงปลาย ช่วงต้นเช้าคือเวลา 7.00-7.30 และช่วงปลายเช้าคือเวลา 8.30-9.00

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)