ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 16-17

ตอนที่ 16 ตำหนิถามถึงบ้าน

 

กัวเฟยไม่เข้าใจ เงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นรอยยิ้มเจิดจ้าพิลึกพิลั่นบนใบหน้านาง พลันก็เกิดอาการสั่นสะท้านไปทั้งตัว ก้มหน้างุด เริ่มแสดงความเห็นใจซื่อจื่อ ดูจากท่าทีของแม่นางแล้ว วันพรุ่งซื่อจื่อคงไม่ได้อยู่เป็นสุขแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังคิดถึงเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ภายในห้องจู่ๆ ก็ตัวสั่นวาบอย่างประหลาด ถึงกับต้องออกไปดูท้องฟ้าด้านนอก แสงอาทิตย์จรัสจ้า เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วงที่ลมเย็นสบาย ไร้ซึ่งลมหนาวแม้สักวูบเดียว จึงขยี้จมูกที่ทำท่าจะจามของตัวเอง แล้วกลับไปนั่งยิ้มหวานคิดถึงเมิ่งเชี่ยนโยวบนเก้าอี้ต่อ


 


 


ฮูหยินราชเลขานำเรื่องของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวบอกเล่าแก่ท่านราชเลขา ราชเลขาก็โมโหจนหน้าเปลี่ยนสี พูดว่า: “ซื่อจื่อโตเป็นบุรุษใหญ่แล้ว ต้องการหญิงสาวหาใช่เรื่องแปลกประหลาดไม่ แต่พวกเขาไม่สมควรป่าวประกาศอย่างเอิกเกริก ตบหน้าครอบครัวของพวกเราเช่นนี้ ภายหน้าข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบสหายร่วมงาน วันพรุ่งเจ้าจงไปจวนอ๋องฉี ถามพวกเขาว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ หากพวกเขากล้ายอมรับการแต่งงานนี้ ต่อให้ต้องเอาตำแหน่งของข้าเข้าแลก ข้าก็จะไปขอความเป็นธรรมต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทพร้อมอ๋องฉี”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า: “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ตอนที่ซื่อจื่อหายสาบสูญไปนานหลายปี พวกเราก็หาได้มีความคิดจะถอนการหมั้นหมาย บัดนี้พวกเขากลับให้ท้ายเขาทำเรื่องบัดสี พรุ่งนี้พอเจอหน้าพระชายาอ๋องฉี ข้าจะเค้นถามให้ได้ความ หากนางยังคิดถึงความสัมพันธ์ของพวกเรา ก็ให้รีบกำหนดการแต่งงานของเยียนเอ๋อร์และซื่อจื่อให้เรียบร้อย หาไม่แล้ว จวนราชเลขาของพวกเราก็ไม่ใช่จะรังแกกันได้ง่ายๆ”


 


 


ทั้งสองปรึกษากันเสร็จ ราชเลขากำชับฮูหยินอีกว่า: “บอกพวกบ่าวเก็บเรื่องนี้ให้มิดชิด ห้ามให้เยียนเอ๋อร์รู้เรื่องนี้เด็ดขาด”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพูดว่า: “ข้ากำชับพวกบ่าวไว้แล้ว หากมีบ่าวคนไหนกล้าปากมากไปบอกนาง ข้าจะส่งตัวนางไปขาย”


 


 


เช้าวันถัดมาหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ฮูหยินราชเลขาให้คนเตรียมของกำนัล นั่งเกี้ยวมาถึงจวนอ๋องฉี


 


 


พระชายาเอกและฮูหยินราชเลขานับได้ว่าเป็นสหายรักต่อกันตั้งแต่ยังเด็ก ภายหลังคนหนึ่งแต่งงานกับอ๋อง คนหนึ่งแต่งงานกับราชเลขา ความสัมพันธ์ยิ่งให้แนบแน่น กระทั่งในตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนหายสาบสูญไป พระชายาเอกนอนซมอยู่บนเตียง ฮูหยินราชเลขาก็คอยมาเยี่ยมเยียนไม่ได้ขาด ดังนั้นคนเฝ้าประตูจึงย่อมรู้จักฮูหยินราชเลขา


 


 


ฮูหยินราชเลขาลงจากเกี้ยว คนเฝ้าประตูรีบเดินเข้ามาน้อมคำนับ พูดว่า: “ฮูหยิน ท่านมาแล้ว”


 


 


ฮูหยินราชเลขาผงกศีรษะเล็กน้อย: “ไปเรียนพระชายาเอกของพวกเจ้า บอกว่าวันนี้ข้าตั้งใจจะมาหานาง”


 


 


คนเฝ้าประตูน้อมรับคำ พูดว่า: “ฮูหยิน เชิญรอสักครู่ บ่าวจะเข้าไปรายงานเดี๋ยวนี้ขอรับ”


 


 


ว่าแล้วก็ก้าวถอยหลัง แล้วหันหลังวิ่งตรงไปเรือนใหญ่


 


 


พระชายาเอกได้ยินรายงานจากบ่าว รู้ว่าฮูหยินราชเลขาเข้ามาคาดคั้นถามความแล้ว ลุกขึ้นออกไปต้อนรับถึงนอกประตู


 


 


แม้พระชายาเอกจะสุขภาพดีขึ้นมากแล้ว แต่การเดินติดต่อกันเป็นระยะทางยาวเช่นนี้ ก็ทำเอาเหนื่อยหอบไม่น้อย


 


 


ฮูหยินราชเลขาเข้าใจสุขภาพของนางดี เห็นนางออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ความขุ่นเคืองจางหายไปกว่าครึ่ง กล่าวตำหนิว่า: “เจ้าข้าหาใช่คนอื่นไกล ข้ารู้สุขภาพร่างกายเจ้าดี ข้าเข้าไปเองก็ได้แล้ว ไยต้องให้เจ้าออกมาด้วยตัวเอง”


 


 


พระชายาเอกผ่อนลมหายใจจนหายใจเป็นปกติ ถึงยิ้มตอบว่า: “ตอนนี้สุขภาพของข้าดีขึ้นมากแล้ว หมอหลวงก็บอกให้ข้าเคลื่อนไหวมากๆ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลดอก”


 


 


ว่าแล้วก็คว้ามือฮูหยินราชเลขา พานางเดินเข้าเรือนไปด้วยตัวเอง


 


 


สาวใช้จวนราชเลขายกของกำนัลเดินตามหลังไป


 


 


ด้วยเป็นห่วงสุขภาพของพระชายาเอก ทั้งสองนวยนาดไปอย่างช้าๆ สาวใช้และบ่าวตามทางเห็นฮูหยินราชเลขาบุกมาถึงเรือน ต่างส่งสายตาเป็นประกาย


 


 


พระชายาเอกพาฮูหยินราชเลขาตรงเข้ามาในห้องตัวเอง หลังจากนั่งลงแล้ว ก็สั่งสาวใช้ออกไปชงน้ำชา แล้วยิ้มพูดว่า: “เจ้าไม่ได้มาระยะหนึ่งแล้วนะ”


 


 


ฮูหยินราชเลขาส่งสายตาให้สาวใช้วางของกำนัลไว้บนโต๊ะ ถึงยิ้มพูดว่า: “ช่วงที่ผ่านค่อนข้างยุ่ง ข้าปลีกตัวมาหาเจ้าไม่ได้เลย พอดีวันนี้มีเวลาว่าง จึงได้เข้ามา นี่เป็นโสมคนหนึ่งร้อยปีสองต้นที่ข้าเพิ่งได้มา มอบให้เจ้าไว้บำรุงร่างกาย”


 


 


พระชายาเอกรีบกล่าวขอบคุณ


 


 


ฮูหยินราชเลขาปัดมือ แล้วเปิดอกพูดอย่างไม่อ้อมค้อมทันที: “เจ้าข้าไยต้องเกรงใจกันอีก คิดว่าเจ้าคงเดาจุดประสงค์การมาในวันนี้ของข้าออกแล้ว ตอนนี้ข่าวลือโหมสะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ลือกันไปต่างๆ นานา ข้าใคร่ถามความ ซื่อจื่อกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เช่นนั้นการแต่งงานของเขาและเยียนเอ๋อร์จะทำเช่นไร?”


 


 


พระชายาเอกยกยิ้มหวาน: “ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เซวียนเอ๋อร์ไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนั้น เรื่องนี้เป็นการเดาส่งเดชของบ่าวในเรือน ถูกคนไม่ประสงค์ดีนำไปพูดต่อ สองวันก่อนเซวียนเอ๋อร์ลงโทษโบยบ่าวปากมากสองคนนั้นจนตายไปแล้ว นับแต่นี้ไป จะไม่มีข่าวลือเช่นนั้นอีก”


 


 


เดิมเป็นเพียงคำพูดปัดให้พ้นตัวของพระชายาเอก ไม่คิดว่านางจะเดาถูก แต่ตอนนี้นางกลับไม่รู้ ดังนั้นพอพูดจบก็ร้อนตัว ยกถ้วยชาขึ้น แสร้งทำเป็นดื่มชา


 


 


ฮูหยินราชเลขารู้ว่าพระชายารองเป็นผู้ดูแลจวนอ๋องฉี หลังจากได้ฟังพระชายาเอกพูดก็คิดปะติดปะต่อเรื่องราว เชื่อในถ้อยวาจาของนาง ถอนใจโล่งอก พูดว่า: “ข้าว่าแล้ว ซื่อจื่อจะทำเรื่องไร้ศีลธรรม ทำลายชื่อเสียงตัวเองเช่นนั้นได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นการลือด้วยความเข้าใจผิด ครานี้ข้าค่อยวางใจลงหน่อย แต่ว่าเรื่องของเขากับสตรีนางนั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่”


 


 


พระชายาเอกเห็นนางเชื่อสนิทใจ ก็ให้โล่งใจ วางถ้วยชาลง พูดว่า: “สตรีนางนั้นเป็นบุตรสาวของครอบครัวที่เลี้ยงดูเซวียนเอ๋อร์มา พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ไม่เจอกันสี่ปี เซวียนเอ๋อร์คิดถึงพวกเขามาตลอด ดังนั้นพอได้เจอสตรีนางนั้น จึงไม่ทันยั้งคิด กระทำเรื่องไม่เหมาะสมออกไป”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า: “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ซื่อจื่อทำเช่นนี้ก็มิใช่ความผิดอะไร จะโทษก็ต้องโทษพวกปากไม่สุข กล้าโพนทะนาข่าวลือเสียๆ หายๆ นี้ พอข้าได้ยินก็เลยไม่สบายใจ”


 


 


พระชายาเอกกำลังจะพูด ฮูหยินราชเลขากลับชิงพูดต่อ: “ทว่า ด้วยการกระทำของซื่อจื่อ เกรงว่าจะไม่ได้เป็นความสัมพันธ์ใสซื่อที่โตมาด้วยกันแต่เด็กเพียงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อุ้มนางเข้าจวนต่อหน้าสายตาธารกำนัลเช่นนั้น”


 


 


พระชายาเอกเริ่มมีอาการใบหน้ากระตุก ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร


 


 


ฮูหยินราชเลขาไม่ทันสังเกตสีหน้านาง พูดว่า: “พวกเราก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร หากซื่อจื่อชอบสตรีนางนั้นจริงๆ รอให้เสร็จสิ้นงานแต่งของเขากับเยียนเอ๋อร์ ค่อยรับนางมาเป็นอนุก็ได้”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว พระชายาเอกก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ฝืนยกยิ้มพูดว่า: “ต้องขอบใจความใจกว้างของพวกเจ้าแล้ว”


 


 


ฮูหยินราชเลขาโบกมือ ถามต่อว่า: “เมื่อนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเราก็ไม่ต้องเอ่ยอีก กลับไปข้าจะชี้แจงให้ท่านพี่ทราบเอง ที่มาวันนี้ด้วยอยากถามอีกว่า การแต่งงานของซื่อจื่อและเยียนเอ๋อร์จะกำหนดได้เมื่อใด?”


 


 


พระชายาเอกรอยยิ้มแข็งค้าง พูดเลี่ยงไปว่า: “เยียนเอ๋อร์เพิ่งจะสิบห้าปี อายุยังน้อย ข้าคิดว่ารอปีหน้า ค่อยหารือเรื่องการแต่งงานของพวกเขาเถอะ”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพูดว่า: “พวกเราก็ไม่อยากให้เยียนเอ๋อร์รีบแต่งงาน ดังนั้นเรามากำหนดการแต่งงานไว้ก่อน พอมอบสินสอดแล้ว จะได้กำหนดวัน พวกเราจะได้มีเวลาเตรียมเครื่องแต่งงานให้เยียนเอ๋อร์ด้วย”


 


 


พระชายาเอกไม่อาจหลบเลี่ยงได้อีก จำต้องพูดว่า: “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ รอท่านอ๋องกลับมา พอพวกเราหารือกันแล้ว จะให้คำตอบเจ้าอีกที”


 


 


เรื่องภายในเช่นนี้ไฉนเลยจะต้องหารือกับท่านอ๋องอีก ฮูหยินราชเลขาเคลือบแคลงขึ้นมาฉับพลัน ทว่าพอคิดได้ว่าพระชายารองมีอำนาจสิทธิ์ขาดภายในจวนอ๋องฉี คาดว่าจะต้องหารือเรื่องสินสอดทองหมั้นกับท่านอ๋อง จึงพยักหน้า: “ได้ หวังว่าพวกท่านจะกำหนดวันโดยไว แล้วรีบแจ้งข่าวแก่ข้า”


 


 


พระชายาเอกฝืนยิ้มแห้งๆ พยักหน้า


 


 


เมื่อเรื่องไม่ใช่ความจริง ฮูหยินราชเลขาหมดสิ้นความขุ่นมัว หลังจากพูดเรื่องนี้เสร็จ ก็พูดคุยสัพเพเหระกับพระชายาเอกต่อ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขจัดคนในเรือนออกไปจนหมด ย่อมไม่รู้เรื่องการมาถึงของฮูหยินราชเลขา ในตอนนี้กำลังดื่มยาที่หวงฝู่อี้ต้มมาล้างพิษให้เขา


 


 


พอดื่มเสร็จ คืนชามให้หวงฝู่อี้ แล้วถามว่า: “ยังไม่มีข่าวจากโยวเอ๋อร์หรือ?”


 


 


ไม่มีคนนอก หวงฝู่อี้ก็เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาก พูดแหย่เย้า: “ชั่วเวลาประเดี๋ยวนี้ท่านถามไม่รู้กี่ครั้งแล้ว หากพี่โยวเอ๋อร์ยังไม่ส่งข่าวมา คาดว่าแม้แต่ข่าวเที่ยงท่านก็คงจะกินไม่ลงแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนในตอนนี้จะต้องคิดไม่ถึงว่า เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังได้รับผลกระทบจากข่าวลืออย่างหนัก จนแทบอยากจะฉีกเนื้อเขาแล้ว


 


 


พอพวกเมิ่งเชี่ยนโยวจองบ้านเสร็จ ก็กลับมาโรงเตี๊ยม คนในโรงเตี๊ยมต่างใช้สายตาแปลกประหลาดมองนาง


 


 


แม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่แยแสสายตาเช่นนี้ แต่การที่เดินไปที่ไหนก็ถูกสายตาเช่นนี้จับจ้องทำให้รู้สึกไม่สบายตัว บัญชีแค้นนี้ย่อมต้องชำระกับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


พวกกัวเฟยก็รับรู้ได้ถึงแววตาพิลึกพิลั่นพวกนั้น ต่างรู้สึกเห็นใจซื่อจื่อ คิดว่าตอนที่ไปส่งข่าวบอกซื่อจื่อที่จวน ควรบอกเตือนเขาหรือไม่ ทว่าพอคิดถึงวิธีจัดการคนอย่างวิปริตของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็เลิกล้มความคิด เมื่อซื่อจื่อมาถึงอย่างมาก็ถูกสั่งสอนสักยก แม่นางคงไม่ลงมือหนัก แต่หากรู้ว่าพวกเขาแอบเตือนซื่อจื่อก่อน คาดว่าจะต้องจัดการพวกเขาไม่ไหนไม่ได้ไปครึ่งเดือน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่ากัวเฟยกำลังคิดมากมายหลายตลบ สั่งการเขา: “ไปบอกหลงจู๊ว่าพวกเราได้บ้านแล้ว พรุ่งนี้หลังจากโอนบ้านก็จะย้ายเข้าไปอยู่ทันที ให้เขาสรุปยอดเงินค่าที่พักและอาหารของหลายวันนี้เตรียมไว้”


 


 


กัวเฟยรับคำ รีบลงไปชั้นล่างบอกหลงจู๊


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้อง นั่งบนม้านั่ง เปิดกล่องออก หยิบจดหมายที่เหลือไม่กี่ฉบับออกมาอ่านด้วยใจจดจ่อ


 


 


เช้าวันถัดมา หลังจากกินอาหารเช้าในห้องตัวเองเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็นำทุกคนเดินลงมา


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่และองครักษ์หลวงอีกสามนายแยกไปจูงรถม้าออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวยืนรอหน้าโต๊ะคิดเงิน


 


 


หลงจู๊สรุปยอดเงินเตรียมไว้แล้ว พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็หยิบสมุดบัญชีออกมา วางไว้ตรงหน้านาง ชี้ยอดเงินแล้วพูดว่า: “นี่เป็นค่าใช้จ่ายตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม่นางเชิญตรวจดูก่อน?”


 


 


ราคาห้องพักได้ตกลงกันตอนเข้าพักแล้ว พอเห็นสมุดบัญชี ที่มีเพียงค่าห้องพักสองสามวันมานี้ ไม่มีค่าอาหาร จึงยิ้มพูดว่า: “หลงจู๊คิดผิดแล้ว ค่าอาหารของพวกเราท่านยังไม่ได้คิดรวมเข้าไป”


 


 


หลงจู๊ปัดมือยิ้มพูด: “ทุกท่านเพียงกินอาหารเช้าของโรงเตี๊ยมไม่กี่มื้อเท่านั้น ไม่ต้องคิดเงินก็ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังยิ้มพูดว่า: “เช่นนั้นก็ขอบคุณหลงจู๊แล้ว”


 


 


“แม่นางไม่ต้องเกรงใจ ท่านเป็นคนมีบุญวาสนา การที่พวกท่านมาพักโรงเตี๊ยมของพวกเรา จักต้องนำพาโชคลาภมาให้โรงเตี๊ยมของพวกเราขอรับ” หลงจู๊พูดประจบสอพลอ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาหมายความถึงสิ่งใด ยิ้มอ่อนไม่ได้พูดอะไร พอจ่ายเงินเสร็จก็เดินออกมา


 


 


พวกเหวินเปียวบังคับรถม้าออกมาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปบนรถม้า รถม้าขบวนใหญ่มุ่งหน้าไปฝั่งใต้ของเมือง


 


 


คนในโรงเตี๊ยมเห็นรถม้าไปไกลแล้ว เสียงวิพากษ์อื้ออึงดังระงม


 


 


มาถึงฝั่งใต้ของเมือง เจ้าของเรือนยืนรออยู่แล้ว พอเห็นพวกเขาเข้ามาก็พูดทักทายเล็กน้อย แล้วพาพวกเขาไปโอนบ้าน


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้า กัวเฟยและองครักษ์หลวงสองนายเดินตามหลัง คนที่เหลือเฝ้ารถม้ารอหน้าประตูเรือน


 


 


เอกสารการโอนบ้านครบถ้วน หลังจากจ่ายเงินค่าโอน ไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยววางตั๋วเงินหกหมื่นตำลึงให้เจ้าของบ้านเดิมต่อหน้าเจ้าหน้าที่ดำเนินการ


 


 


เจ้าของบ้านนับเงินอย่างละเอียด ครบหกหมื่นตำลึงพอดี จึงประสานมือพูดว่า: “นับแต่นี้ไปเรือนหลังนั้นเป็นของแม่นางแล้ว หวังว่าท่านจะดูแลรักษามันอย่างดี สักวัน หากสภาพคล่องทางการเงินข้าดีขึ้น จะกลับมาขอซื้อคืนจากแม่นาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด: “จากนี้ไปที่นั่นจะเป็นบ้านของข้า ข้าจักต้องดูแลรักษาเป็นอย่างดี สำหรับการซื้อคืนนั้น เอาไว้ท่านมีเงินค่อยว่ากันเถอะ”


 


 


เจ้าของบ้านเห็นนางพูดอย่างไร้ช่องโหว่ แหงนหน้าหัวเราะลั่น หลังจากมอบกุญแจให้นาง ก็นั่งรถม้าจากไป


 


 


พวกเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงเรือน


 


 


พอลงจากรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวก็มอบกุญแจให้กัวเฟย


 


 


กัวเฟยเดินมาหน้าประตู หลังจากปลดกลอนประตูก็ผลักประตูใหญ่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปก่อน


 


 


กัวเฟยเดินตามเข้าไปถึงประตูหลัง แล้วเปิดประตูหลังออก รถม้าห้าคันทยอยตามกันเข้ามาจากประตูหลัง


 


 


สภาพภายในเรือนยังเป็นเหมือนเมื่อวานที่เห็นไม่ผิดเพี้ยน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในเรือนใหญ่ สำรวจมองสิ่งประดับภายในห้อง เดินออกมาสั่งพวกเขา: “พวกเจ้าขนย้ายสิ่งของลงจากรถม้าเสร็จ จงเข้าไปเก็บกวาดทุกซอกทุกมุมของทุกห้องให้สะอาด”


 


 


คนทั้งหมดรับคำ รีบขนย้ายสิ่งของ แล้วเดินไปตักน้ำหลังเรือน เข้าไปหาเศษผ้าจำนวนหนึ่งจากห้องบ่าว เริ่มจากปัดกวาดเช็ดถูสิ่งของในเรือนใหญ่ก่อน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปทั่วเรือน สำรวจดูทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียด เกิดภาพแผนผังเรือนขึ้นภายในใจ


 


 


เดินครบหนึ่งรอบกลับมายังเรือนใหญ่ พวกกัวเฟยยังคงเช็ดถู เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า พูดว่า: “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าเห็นหลังเรือนยังพอมีฟืน เหวินเปียวจงไปซื้อผัก ข้าจะทำของอร่อยให้พวกเจ้ากิน”


 


 


พวกกัวเฟยต่างรู้ดีว่า อาหารเลื่องชื่อของเหลาจวี้เสียนล้วนถูกสอนมาโดยเมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้ได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะทำอาหารให้พวกเขาเอง ต่างดีอกดีใจ รีบรบเร้าเหวินเปียวให้ออกไปซื้อผัก


 


 


เหวินเปียวเข้ามาหยิบตระกร้าสานใหญ่สองใบในครัว ตะโกนเรียกเหวินหู่ให้ไปด้วยกัน


 


 


กัวเฟยนึกอะไรได้ ชะโงกหน้าไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างอ่อนน้อม: “แม่นางขอรับ ซื่อจื่อไม่ได้กินอาการที่ท่านทำมาสี่ปีแล้ว ข้าควรไปตามเขามาด้วยหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา พูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม: “ดูเจ้าจะพะวงถึงนายของพวกเจ้ายิ่งนัก”


 


 


กัวเฟยไหวพริบดี รีบปัดมือเป็นพัลวัน: “มิได้ๆ ตอนนี้แม่นางต่างหากที่เป็นนายของพวกเรา พวกเราเชื่อฟังแต่ท่านเท่านั้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจลากเสียงยาวถาม: “อย่างงั้น…หรือ?”


 


 


บนหน้าผากมีเหงื่อไหลติ๋งๆ ลงมาแล้ว กัวเฟยรีบพยักหน้างุด: “ใช่ๆๆ จริงแท้แน่นอนขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงรอยยิ้มเดิมไว้ สั่งการเขา: “เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเดี๋ยวเจ้าจงรับผิดชอบเผาไฟเถอะ”


 


 


กัวเฟยร้องโอดครวญในใจ แม่นางรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ถนัดการเผาไฟที่สุด ยังจะให้เขาไปเผา นี่เป็นการลงโทษที่เขาพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา นึกเสียใจจนแทบอยากจะตบหน้าตัวเองสองสามฉาด เขาสาบานกับตัวเองในใจ ต่อไปจะไม่ยุ่งเรื่องนายผู้ชายอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาเขา หัวเราะชอบใจ เดินกลับมาเรือนใหญ่


 


 


พวกเหวินเปียวซื้อผักกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวดูเสร็จ ทำกับข้าวสี่อย่าง แต่ละอย่างจะทำสามจานใหญ่พูนๆ


 


 


รู้ว่าหากตนเองนั่งอยู่พวกเขาจะกินไม่สะดวก หลังจากทำอาหารเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบถาดตักอาหารบางส่วน ตักข้าวสวยเดินไปกินที่เรือนใหญ่


 


 


เพิ่งจะเดินออกมาจากครัว เสียงยื้อแย่งภายในห้องก็ดังลอดออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มส่ายหน้า เดินกลับมาเรือนใหญ่ หลังจากกินอาหารเสร็จก็สั่งกัวเฟยยกถ้วยตะเกียบเปล่าไปล้างให้สะอาด


 


 


กัวเฟยเดินก้มหน้าเข้ามา เก็บกวาดถ้วยชามออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีของเขา นึกได้ว่าผู้ชายอกสามศอกเยี่ยงเขาไม่เหมาะสมจะทำเรื่องพวกนี้ ครุ่นคิดเรื่องการซื้อสาวใช้จำนวนหนึ่งและแม่ครัว เพราะอย่างไรนางก็ไม่อาจทำกับข้าวให้พวกเขากินได้ทุกวัน อีกอย่าง เสื้อผ้าของพวกเขาก็ต้องมีคนคอยซักล้างให้


 


 


พอกินอาหารเที่ยงเสร็จ พักผ่อนเล็กน้อย มองดูท้องฟ้า คิดว่าตอนนี้หวงฝู่อี้เซวียนน่าจะกลับมาจากกั๋วจื่อเจียนแล้ว จึงไปสั่งกัวเฟย: “ไปเชิญนายของพวกเจ้ามาที่นี่”


 


 


กัวเฟยรับคำ จูงม้าออกไปจากประตูข้าง แล้วควบม้ามาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉี เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า พูดกับคนเฝ้าประตูอย่างเกรงใจ: “รบกวนท่านไปเรียนซื่อจื่อหน่อยเถิด บอกว่าคุณหนูของพวกเราเรียนเชิญ”


 


 


วันนั้นพวกกัวเฟยยืนรอเมิ่งเชี่ยนโยวหน้าประตูจวนครึ่งวัน คนเฝ้าประตูต่างจำเขาได้ รีบวิ่งเข้าไปรายงานทันที


 


 


หลายวันแล้วที่ไม่มีข่าวคราวเลย หวงฝู่อี้เซวียนกำลังร้อนอกร้อนใจ ได้ยินคำรายงานจากคนเฝ้าประตู ก็รีบรุดออกไปพร้อมหวงฝู่อี้ทันที


 


 


กัวเฟยถวายคำนับ พูดว่า: “พวกเราซื้อเรือนใหม่ได้แล้ว แม่นางให้ข้าเข้ามาเรียนเชิญนายท่านเข้าไปขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนดีใจพูดว่า: “รีบนำทาง พาพวกเราไป”


 


 


กัวเฟยไม่ขยับ พูดว่า: “เรือนอยู่ฝั่งใต้ของเมือง ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล นายท่านขี่ม้าไปจะดีกว่าขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว สั่งหวงฝู่อี้ไปจูงม้าสองตัวออกมา แล้วถามกัวเฟย: “เหตุใดถึงไปซื้อฝั่งใต้ของเมือง เงินไม่พอหรือ?”


 


 


กัวเฟยตอบความ: “นี่เป็นการตัดสินใจของแม่นาง ผู้น้อยไม่อาจทราบได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคลายหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น: “ประเดี๋ยวเจอนาง ข้าจะถามให้กระจ่างเทียว”


 


 


กัวเฟยครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กัดฟันพูดออกมา: “แม่นางทราบเรื่องข่าวลือในเมืองหลวงแล้ว ขอนายท่านเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”

 

 

 


ตอนที่ 17 ซื่อจื่อฉีสะบักสะบอม

 

เตรียมพร้อมอะไร ความหมายนั้นชัดแจ้งอยู่แล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตกตะลึงเล็กน้อย พลันคิดถึงข่าวลือที่ยิ่งลือก็ยิ่งเสื่อมเสียหลายวันก่อน หัวใจกระตุกไหว ยื่นหน้าเข้าใกล้กัวเฟย หยั่งเชิงถามเขา “โยวเอ๋อร์โมโห?”


 


 


กัวเฟยส่ายหน้าแล้วพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้าใจ


 


 


กัวเฟยพูดว่า “ผู้น้อยก็ไม่ทราบ เห็นชัดๆ ว่าหลังจากแม่นางได้ยินก็โมโหมาก แต่นางกลับเอาแต่ยิ้ม ผู้น้อยไม่อาจตัดสินได้ขอรับ”


 


 


ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนถึงกับเสียวสันหลังวาบ รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว เขาเริ่มขลาดกลัว ถามเสียงแผ่ว “เจ้าว่า ข้าควรจะรออีกสองสามวันค่อยเข้าไปดีหรือไม่?”


 


 


กัวเฟยส่ายหน้า “นายท่าน ผู้น้อยว่าท่านอย่าทำเช่นนั้นเลย ด้วยนิสัยของแม่นาง หากท่านไม่เข้าไปวันนี้ เกรงว่าต่อไปคงจะไม่มีโอกาสเหยียบประตูใหญ่เรือนของพวกเราอีกนะขอรับ”


 


 


คนเฝ้าประตูเห็นทั้งสองกระซิบกระซาบเป็นนาน เกิดความระแวงสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถาม


 


 


หวงฝู่อี้จูงม้าสองตัวออกมา ทั้งสามกระโดดขึ้นหลังม้า มาถึงเรือนที่เพิ่งซื้อใหม่โดยมีกัวเฟยเป็นคนนำทาง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว โยนเชือกให้หวงฝู่อี้ เดินจ้ำเข้ามาถึงลานเรือน


 


 


ทั้งเรือนเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงจ้อกแจ้ก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสำรวจโดยละเอียด แล้วเดินตรงไปเรือนใหญ่


 


 


เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าเรือนใหญ่ เห็นสภาพการณ์กลางลานเรือนก็หยุดชะงัก ขบคิดว่าหากตนเองหนีออกไปตอนนี้จะยังทันการหรือไม่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่กลางลานเรือน


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่รวมถึงองครักษ์หลวงยืนขนาบข้างกลางลานเรือน ต่างมองมาที่เขาอย่างเห็นใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นความคิดของหวงฝู่อี้เซวียนหมดแล้ว มองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มพูดว่า “ซื่อจื่อหวงฝู่ เดินมาถึงหน้าประตูแล้ว เหตุใดถึงยังไม่เข้ามา ต้องการให้ข้าส่งคนไปหามท่านเข้ามาหรือ?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนฉีกยิ้มเจิดจ้า เดินเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล ยกยิ้มพูดว่า “โยวเอ๋อร์ ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าแล้ว หลายวันมานี้ยาวนานราวผ่านไปหลายปี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเข้าด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย “อ่อ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าซื่อจื่อหวงฝู่ดูจะระรี่ระริกนัก”


 


 


คำพูดนี้เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มเอ่ยความ แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอำมหิต บรรยากาศโดยรอบเยียบเย็นฉับพลัน


 


 


ส่วนองครักษ์หลวงที่ยืนขนาบทั้งสองด้านไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง พยายามลดการมีอยู่ของตัวเองลง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือเป็นพัลวัน พูดอธิบาย “โยวเอ๋อร์ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด…”


 


 


พูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดตัดบท “เชิญซื่อจื่อหวงฝู่บอกหน่อยเถิด ที่ข้าคิดคืออย่างไรเล่า?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลืนน้ำลาย พูดว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนพูดออกไป แต่เป็นบ่าวสองคนในเรือนข้าที่โพนทะนาออกไป…”


 


 


เขาไม่อธิบายยังดีเสียกว่า พอเขาเอ่ยปากอธิบาย ลมโทสะเมิ่งเชี่ยนโยวก็ปะทุพลุ่งขึ้น เดินเกรี้ยวกราดขึ้นหน้าสองก้าว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดไปพลางจับจ้องเมิ่งเชี่ยนโยวเขม็ง เห็นนางเดินตรงเข้ามา สบถว่าไม่ได้การ แล้วหันหลังพุ่งพรวดออกไปจากลานเรือน


 


 


กัวเฟยและหวงฝู่อี้เพิ่งจะผูกม้าเสร็จ กำลังเดินมาถึงหน้าทางเข้าเรือนใหญ่ เห็นหวงฝู่อี้เซวียนพุ่งถลาออกมา ทั้งสองตื่นตะลึง กำลังจะเอ่ยปากถาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไล่ตามออกมา


 


 


ทั้งสองมึนงง


 


 


คนทั้งลานเรือนต่างข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า แล้วกรูกันออกไปโดยไม่นัดหมาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไล่ตามเขาไม่ทัน ร้องก่นด่า “เจ้าตัวเสนียดใจดำอำมหิต แม้แต่กับข้าก็กล้าวางแผน วันนี้ข้าจะอัดเจ้าให้ไปไหนไม่ได้ไปครึ่งเดือน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนน้ำท่วมปาก คิดจะหยุดเพื่ออธิบาย แต่ก็กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะอัดเขาจริงๆ จำต้องเดินไปพูดไปว่า “โยวเอ๋อร์ ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย เป็นการเดาส่งเดชของบ่าวสองคนนั้น ข้าสั่งคนโบยพวกเขาตายไปแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังโกรธควันออกหู ฟังคำอธิบายของเขาไม่เข้าหูแล้ว เดินไล่หลังมาติดๆ หมายจะคว้าตัวเขามาอัดให้สาใจ ระบายความแค้นที่อัดแน่นเต็มอก


 


 


สี่ปีมานี้หวงฝู่อี้เซวียนมีวรยุทธ์ก้าวหน้าไปไม่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวไล่ตามจนหอบ ก็ทำอะไรเขาไม่ได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นแล้วให้ปวดใจ หยุดฝีเท้า พูดว่า “พอแล้วโยวเอ๋อร์ เจ้าฟังข้าพูด…” ยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็เห็นลำแสงหนึ่งลอยพุ่งเข้ามา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตกใจตัวสั่นวาบ ขวัญผวาจนต้องกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีกำลังภายใน ไม่มีวิชาตัวเบา ย่อมกระโดดขึ้นต้นไม้ไม่ได้ ใช้วาจากราดเกรี้ยวพูดใต้ต้นไม้ว่า “ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้าไม่ลงมา ก็ไม่ต้องลงมาอีกตลอดไป”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังพูดต่อรอง “เจ้ารับปากก่อนว่า จะไม่ใช้กริช แล้วข้าจะลงไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา ตะโกนนับทันที “หนึ่ง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกระสับกระส่าย ลังเลว่าจะลงไปหรือไม่


 


 


เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นอีกครั้ง “สอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังคงลังเล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแหงนหน้ายิ้มอ่อนให้เขา พูดว่า “สาม”


 


 


สิ้นเสียง หวงฝู่อี้เซวียนก็กระโดดลงมา พูดสอพลออย่างระแวดระวัง “ข้าลงมาแล้ว ข้าลงมาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถอยหลังหนึ่งก้าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดกร้าว “ห้ามขยับ!”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตกใจไม่กล้าขยับอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปเบื้องหน้าเขา น้ำเสียงเจือแววอำมหิต “ไม่เจอหลายปี วรยุทธ์ของซื่อจื่อรุดหน้าไม่น้อยเทียว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังถึงกับขนหัวลุกชัน ก้าวถอยไปหลายก้าว เตรียมพร้อมเพื่อวิ่งหนีอีกครั้ง


 


 


เห็นเขาตั้งท่า เมิ่งเชี่ยนโยวแอบหัวเราะในใจ โทสะมลายหายไปหลายส่วน เก็บคืนกริช สืบเท้าเข้าหา บิดหูดึงเขาเดินไปเรือนใหญ่


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสูงกว่านางมาก ได้แต่ก้มตัวเดินกระย่องกระแย่งตามนางไป


 


 


เหล่าองครักษ์หลวงที่รอดูเรื่องสนุกเห็นทั้งสองคนกลับมาแล้ว รีบกลับเข้ามาในลานเรือน ยืนสงบนิ่งด้วยอาการไม่ปกติ เหลือเพียงหวงฝู่อี้และกัวเฟยที่ยังยืนอ้าปากตะลึงค้างไม่ได้สติกลับมาหน้าทางเข้าเรือน


 


 


ตอนอี้เซวียนที่ถูกดึงหูเดินผ่านพวกเขาทั้งสอง ได้ส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้พวกเขาช่วยพูดขอร้องแทนตัวเอง


 


 


กัวเฟยลนลานส่ายหน้า ก้าวถอยไปหลายก้าว ส่งสายตาให้เขาช่วยเหลือตัวเองไปก่อน


 


 


หวงฝู่อี้เม้มปาก ร้องเรียกเสียงแผ่ว “พี่โยวเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมามองเขา แววตาดุดันนั้นทำเขาตัวสั่นสะท้าน คำพูดขอร้องแปรเปลี่ยนเป็น “คือว่า ซื่อจื่อต้องไปกั๋วจื่อเจียนทุกวัน” ความหมายคือนางอย่าลงมือหนักเกินไป หากคนอื่นรู้เข้าจะไม่ดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายของเขา พูดว่า “วางใจ ข้าจะไม่อัดใบหน้าเขา”


 


 


หวงฝู่อี้ตะลึงงัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดึงหูอี้เซวียนเดินเข้ามาในห้อง สั่งกำชับทุกคน “พวกเจ้าเฝ้าหน้าประตูเรือนให้ดี ไม่มีคำสั่งข้า ต่อให้ภายในห้องเกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นพวกเจ้าก็ห้ามเข้ามา”


 


 


คนทั้งหมดรับคำ ส่งสายตาเห็นใจให้หวงฝู่อี้เซวียนโดยพร้อมเพรียง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถูกดึงหูเดินเข้ามาในห้อง “ปังปัง”เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวใช้เท้าปิดประตูทั้งสองข้าง


 


 


คนด้านนอกต่างตกใจสั่นผวา ยื้อแย่งกันสาวเท้าเดินออกไป กริ่งเกรงว่าหากเดินช้า จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย ทว่าหลังจากเดินพ้นประตูลานเรือนออกมา ก็ทนความใคร่รู้ไม่ไหว ต่างเกาะประตูลานเรือนมองลอดเข้าไปด้านใน


 


 


หวงฝู่อี้ถูกเบียดจนไม่มีตำแหน่งที่ดี ให้งุ่นง่านว้าวุ่นใจ


 


 


หลังจากที่คนทั้งหมดได้ยินเสียงใสกังวานไม่กี่เสียง เสียงร่างหวงฝู่อี้เซวียนวิ่งหัวซุกหัวซุนไปทั่วห้องก็ดังแว่วผ่านหน้าต่างออกมา ตามติดด้วยเสียงโมโหโทโสของเมิ่งเชี่ยนโยว “ถือว่าตัวเองมีวิชาตัวเบา กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ ดูว่าภายในห้องนี้ข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร แน่จริงก็หลบไปอยู่บนขื่อคานเสียเล่า”


 


 


ด้วยวรยุทธ์ในตอนนี้ของหวงฝู่อี้เซวียน จะกระโดดขึ้นไปบนคานก็หาใช่เรื่องยากไม่ เพียงแต่เขาไม่กล้า คาดว่าหากตัวเองกระโดดขึ้นไปจริงๆ ชาตินี้ก็อย่าหวังจะได้ลงมาอีก ทำได้เพียงวิ่งไปทั่วห้อง ทั้งต้องคอยหลบถ้วยชา ชามชาที่เมิ่งเชี่ยนโยวเขวี้ยงเข้ามา


 


 


หวงฝู่อี้ได้ยินเสียงเอะอะภายในห้อง ร้อนใจกระสับกระส่าย เกาะตัวพวกเขาดันร่างเข้าไปด้านใน พูดว่า “พวกเจ้าหลีกทางให้ข้าดูบ้าง”


 


 


คนทั้งหมดกำลังลุ้นใจจดจ่อ ไฉนเลยจะได้ยินคำพูดเขา


 


 


ภายในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวที่ได้ระบายอารมณ์ โทสะในใจถึงได้ปลดปล่อยออกไปอย่างแท้จริง กระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นนางยอมรามือ เดินย่องเข้าไปเบื้องหน้านางอย่างระวัง พูดประจบเอาใจ “เหนื่อยแล้วสิ ข้าทุบหลังให้ดีหรือไม่?”


 


 


เห็นท่าทีฉอเลาะเอาใจของเขา “พู่” เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะออกมาดังพรืด


 


 


ในความเป็นจริงหวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยเลย เขาไม่รู้เลยว่าข่าวลือแพร่สะพัดออกไปได้อย่างไร ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่นแล้ว มองสีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวตะล่อมอธิบายอย่างระวัง “โยวเอ๋อร์ เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมีข่าวลือออกไปเช่นนั้นได้ หลังจากอี้เอ๋อร์บอกข้า ข้าได้สั่งโบยบ่าวปากพล่อยสองคนที่เดาส่งเดชจนตาย ส่วนคนที่เหลือในเรือนข้าก็ขายทิ้งไปทั้งหมด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มถาม “จากนั้นเล่า…?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเริ่มประหวั่นร้อนตัว ดวงตาล่อกแล่ก ลูบจมูกตัวเองพูดอะไรไม่ออก


 


 


“เจ้าถึงกับโบยบ่าวจนตาย เหตุใดถึงไม่ออกมาแก้ข่าว อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะแหะ พูดว่า “ข้าก็แค่ไม่มีทางเลือก หากธิดาราชเลขาได้ยินข่าวลือนี้ ขอถอนหมั้นด้วยตัวเอง เช่นนี้มิเท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจบดขยี้เท้าไปบนหลังเท้าของเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงร้องครวญ


 


 


กลุ่มคนที่คอยฟังความเคลื่อนไหวด้านใน ได้ยินเสียงร้องครวญของเขา ต่างตกใจสะดุ้งโหยง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “สี่ปีแล้ว ข้านึกว่าเจ้าจะเก่งกาจขึ้นสักเพียงไหน ที่แท้กลับรู้จักเพียงการใช้วิธีหน้าไม่อายนี้มาแก้ปัญหา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นนางโมโหขึ้นอีก ลนลานโบกมืออธิบาย “โยวเอ๋อร์ ข้าผิดไปแล้ว พอกลับไปข้าจะให้อี้เอ๋อร์ป่าวประกาศความจริงออกไป ไม่ถึงสองวันก็จะล้างมลทินให้เจ้าได้ สำหรับเรื่องการแต่งงานกับธิดาราชเลขา เจ้าวางใจ ภายในสามเดือนข้าจะต้องคิดหาวิธีถอนหมั้นได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายสีหน้าลง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเช่นนั้น รีบเข้าพูดปะเหลาะ “วิ่งตั้งนานคงหิวน้ำแย่แล้ว ข้าจะสั่งคนไปชงชามาให้เจ้านะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ไม่พูดอะไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาเปิดบานประตูออก ตะโกนสั่งออกไป “โยวเอ๋อร์กระหายน้ำแล้ว พวกเจ้าจงไปชงชาเข้ามา ส่วนอีกสองคนให้เข้ามาเก็บกวาดด้านใน”


 


 


คนทั้งหมดเห็นเขาเปิดประตู ต่างยืดตัวยืนหลังตรง ขานรับคำสั่งจากเขา แยกย้ายกันไปทำงาน


 


 


กัวเฟยนำองครักษ์หลวงสองคนเข้ามา หลังจากเก็บกวาดเศษข้าวของที่แตกกระจายภายในห้องเสร็จ ก็รีบถอยแนบออกไป


 


 


หวงฝู่อี้นำองครักษ์หลวงอีกสองคนยกน้ำร้อนเข้ามา เพื่อจะชงชา กลับพบว่ากาน้ำชาถูกเมิ่งเชี่ยนโยวขว้างแตกไปแล้ว ทำได้เพียงเทน้ำลงในชาม ประคองถือเข้ามา พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “แม่นางเมิ่ง ซื่อจื่อ ไม่มีกาน้ำชาแล้ว ชงชาไม่ได้ พวกท่านใช้ชามดื่มน้ำไปก่อนเถอะ เหวินเปียวกำลังออกไปซื้อมาแล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งวิ่งไล่ทั้งตบตี กระหายน้ำไม่น้อย จึงไม่พูดอะไร ยกชามขึ้นเป่า ค่อยๆ ดื่มลงคอไปทีละคำ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ยกชามอีกใบขึ้นเป่า พอเมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำในชามนั้นหมด ก็ยื่นชามอีกใบให้นางทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งยิ้มประจบเอาใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร ยกชามขึ้นดื่มจนหมด แล้ววางชามไว้บนโต๊ะ


 


 


หวงฝู่อี้เดินขึ้นหน้า เก็บชามออกไปอย่างว่องไว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “วันนี้เพิ่งจะย้ายเข้ามา ยังไม่ได้ตระเตรียมข้าวของ หากเจ้าว่างไม่มีอะไรทำ ประเดี๋ยวออกไปซื้อของเข้าบ้านกับข้าก็แล้วกัน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปรารถนาอย่างที่สุด สิ้นเสียงนางก็พยักหน้าหงึก “ได้ ข้าจะไปกับเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “ข้ายังต้องการซื้อสาวใช้จำนวนหนึ่งและแม่ครัวหนึ่งอัตรา เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ไหนมีคนให้ซื้อขายบ้าง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ พ่อบ้านเป็นคนซื้อบ่าวในจวนเข้ามา ข้าก็ไม่เคยซักถาม ทว่า อี้เอ๋อร์น่าจะรู้ว่าสถานที่เช่นนี้อยู่ที่ไหน พวกเราเรียกเขามาถามดู”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนออกไปด้านนอก “อี้เอ๋อร์ เจ้าเข้ามาหน่อยเถอะ”


 


 


หวงฝู่อี้ขานรับเดินเข้ามา น้อมถาม “ซื่อจื่อ ท่านมีเรื่องอะไรจะสั่งการขอรับ?”


 


 


“เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าสถานที่ค้ามนุษย์อยู่ที่ไหน โยวเอ๋อร์ต้องการซื้อสาวใช้หลายอัตราเข้ามา” หวงฝู่อี้เซวียนถาม


 


 


“สถานที่ค้ามนุษย์ในเมืองหลวงมีหลายแห่ง แต่ละแห่งจะมีการซื้อขายคนหลายระดับแตกต่างกัน ไม่ทราบว่าแม่นางเมิ่งต้องการซื้อสาวใช้เช่นใด?” หวงฝู่อี้ถาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้าต้องการซื้อพวกนางมาช่วยดูแลบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูเรือน ช่วยข้าทำอาหาร ซักเสื้อผ้าให้พวกองครักษ์หลวง ดังนั้นข้าไม่ต้องการเด็กที่อายุยังน้อย และไม่ต้องการพวกคุณหนูตกอับ”


 


 


หวงฝู่อี้พยักหน้า “ข้าทราบแล้ว เช่นนั้นพวกเราไปซื้อที่ฝั่งเหนือของเมืองเถอะ สตรีด้านนั้นล้วนเป็นเด็กครอบครัวแร้นแค้น ที่บ้านแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อถึงถูกขายออกมา การซักผ้าทำอาหารไม่เหนือบ่ากว่าแรงพวกนางเลย เพียงแต่ว่าระเบียบมารยาทอาจจะด้อยไปบ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่แยแส “พวกเราก็ไม่ใช่ตระกูลสูงส่งอะไร ไม่มีกฎระเบียบมากมาย ขอเพียงพวกนางขยันขันแข็ง ทำงานที่มีได้เรียบร้อยถูกใจข้าก็พอ”


 


 


“เช่นนี้พวกเราจะไปตอนนี้ หรือรอท่านพักให้หายเหนื่อยก่อนค่อยไปขอรับ” หวงฝู่อี้ถาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ทันได้ตอบ หวงฝู่อี้เซวียนก็ชิงเอ่ยปาก “ตอนนี้ยังมีเวลา ไม่ต้องรีบร้อน ให้โยวเอ๋อร์พักผ่อนสักหน่อยพวกเราค่อยออกไป”


 


 


หวงฝู่อี้รับคำ ก้าวถอยออกไป


 


 


เหวินเปียวซื้อกาชาและถ้วยชาใหม่กลับมา หวงฝู่อี้เช็ดล้างจนสะอาดเอี่ยม ชงน้ำชาหนึ่งกาเข้ามา เทให้ทั้งสองคนละถ้วย


 


 


เมื่อครู่เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำสุกเข้าไปสองชาม ไม่กระหายน้ำแล้ว ระหว่างรอหวงฝู่อี้เซวียนดื่มชาเสร็จ จึงหันไปสั่งเหวินเปียวนำกระดาษพู่กันเข้ามา


 


 


เหวินเปียวออกไปหาแล้วรีบกลับเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นลงบนกระดาษ ส่งให้เหวินเปียว พูดว่า “เจ้าให้เหวินหู่นำคนจำนวนหนึ่งบังคับรถม้าออกไปซื้อสิ่งของในกระดาษกลับมา จำไว้ว่า จะต้องเลือกซื้อผ้านวมชั้นดีเท่านั้น แล้วอีกประเดี๋ยวให้เจ้าและกัวเฟยตามพวกเราไปซื้อคนที่ฝั่งเหนือของเมือง”


 


 


เหวินเปียวรับคำ ถือกระดาษเดินออกมาหาเหวินหู่ ยื่นกระดาษให้เขา ถ่ายทอดสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับแก่เขา


 


 


เหวินหู่รีบพาองครักษ์หลวงจำนวนหนึ่งบังคับรถม้าออกไปทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนดื่มน้ำชาเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวสังการเหวินเปียวและกัวเฟยไปบังคับรถม้า สั่งองครักษ์หลวงสองนายให้ดูแลบ้านให้ดี พาหวงฝู่อี้และองครักษ์หลวงอีกสองคนขึ้นรถม้าออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนรถม้าที่เหวินเปียวเป็นคนบังคับ องครักษ์หลวงสองนายและหวงฝู่อี้นั่งบนรถม้าที่กัวเฟยบังคับ


 


 


รถม้าของเหวินเปียวนำหน้า รถม้ากัวเฟยตามหลัง ไม่นานรถม้าทั้งสองคันก็มาถึงฝั่งเหนือของเมือง


 


 


ฝั่งเหนือมีแต่คนแร้นแค้นอาศัยอยู่ เพิ่งจะพ้นเขตเมืองฝั่งเหนือมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รับรู้ได้ถึงความล้าหลังของเมือง ไม่เจริญคึกคักเหมือนเมืองฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้ไม่ว่า แม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านรถม้าไปก็ล้วนแต่มีใบหน้าเศร้าหมอง


 


 


เหวินเปียวไม่รู้จักสถานที่ค้ามนุษย์ พอเข้าเมืองฝั่งเหนือมาก็หยุดรถม้า


 


 


หวงฝู่อี้ลงจากรถม้าคันหลัง เดินตรงมาข้างรถม้าคันหน้า กระโดดขึ้นไปนั่งบนคาน ชี้บอกทางแก่เหวินเปียว


 


 


ไม่นานรถม้าทั้งสองคันก็มาถึงสถานที่ค้ามนุษย์


 


 


เหวินเปียวหยุดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนลงมาจากรถม้า เดินเข้าไปในเรือน


 


 


หยาผอมีอาชีพค้ามนุษย์มานานหลายปี ส่วนใหญ่จะทำการค้ากับเศรษฐีเจ้านายคนใหญ่คนโต เห็นพวกเขาที่แต่งกายไม่ธรรมดาเดินเข้ามา รู้ว่าจะต้องทำกำไรได้อีกก้อนโต รีบยกยิ้มเข้าไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที “ทั้งสองท่านจะซื้อคนหรือเจ้าคะ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าอยากซื้อเด็กสาวจำนวนหนึ่งกลับไปเป็นสาวใช้ ไม่ทราบว่าพอจะมีที่เหมาะสมหรือไม่?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)