ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 153-159

ตอนที่ 153 ขอพระราชโองการ

 

 


 


“อัปยศยิ่งนัก!” ไทเฮาตะคอกด่า “เจ้าคงถูกตามใจจนเคยตัว ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำเสียแล้ว เขาเป็นถึงพระชายาจะไม่รู้จักกฎระเบียบได้อย่างไร! เห็นได้ชัดว่าเจ้าจงใจหาเรื่อง ถึงสั่งให้คนลงมือหนักเพียงนี้!”


 


 


เฮ่อกุ้ยเฟยตกใจ รีบร้องขอความเป็นธรรม “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันถูกใส่ร้ายนะเพคะ พระชายาเขาไม่รู้จักกฎระเบียบจริงๆ หม่อมฉันจึงสั่งให้คนสั่งสอนนะเพคะ”


 


 


ไทเฮาเห็นว่ากุ้ยเฟยไม่ยอมรับผิดเสียที พยักหน้าอย่างโมโห “ได้ มาดูกันว่าสิ่งที่เจ้าพูดวันนี้จริงหรือไม่” พูดจบ ก็ตะโกนเรียก “ทหาร!”


 


 


ขันทีผู้ดูแลวังเดินเข้ามา ไทเฮาสั่งด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “จับบ่าวของเฮ่อกุ้ยเฟยขังแยกทีละคน ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่นี้ หากตอบไม่ตรงกัน โบยให้ตายเสียหมด”


 


 


ขันทีขานรับ เดินออกไป


 


 


ไทเฮายังสั่งไม่สิ้นเสียง สีหน้าของเฮ่อกุ้ยเฟยขาวโพลน ตัวสั่นเทา ถึงสำนึกขึ้นได้ นางได้ใจเหมือนอึ่งอ่างพองตัว เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้จะหลุดรอดสายตาของไทเฮาได้อย่างไร แต่ตอนนี้ถ้าจะให้คุกเข่าขอโทษ ก็คงมีจุดจบไม่ดีเช่นกัน จึงตัดสินใจกัดฟันสู้จนถึงที่สุด


 


 


ขันทีเดินออกไปสั่งคนตามคำสั่งของไทเฮา บ่าวหญิงของเฮ่อกุ้ยเฟยถูกจับขังแยกทันที สิ่งที่ไทเฮาพูดพวกเขาก็ได้ยินหมดแล้ว ยังจะมีใครกล้าปิดบังอีก ต่างเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด


 


 


ขันทีฟังแล้วส่วนใหญ่พูดตรงกัน จึงกลับไปรายงานไทเฮา


 


 


ไทเฮาโกรธจนเดือดพล่าน มือเอื้อมไปจับแก้วน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะเขวี้ยงลงบนพื้นอย่างแรง “เจ้าคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี แม้แต่พระชายาเจ้ายังกล้าใส่ร้าย”


 


 


แก้วน้ำชาแตกละเอียดต่อหน้าเฮ่อกุ้ยเฟย เศษแก้วกระจายไปทั่วห้อง เฮ่อกุ้ยเฟยตกใจจนร้องเสียงหลง


 


 


ไทเฮายังไม่หายโกรธ หันไปถามฮ่องเต้ “ฮ่องเต้ ฝ่าบาทจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”


 


 


ฮ่องเต้ได้ยินสิ่งที่ขันทีบอก ในใจก็คุกกรุ่นด้วยความโกรธ เหลือบมองเฮ่อกุ้ยเฟย ออกคำสั่งว่า “ห้ามเฮ่อกุ้ยเฟยออกนอกพื้นที่สามเดือน”


 


 


เฮ่อกุ้ยเฟยนั่งนิ่งบนพื้น ผู้หญิงในวังมีมาก ทุกคนต่างตั้งตาคอยฮ่องเต้มาเสพสังวาส ความรักใคร่เอ็นดูที่ได้รับทุกวันนี้ก็มีมากโข จนพอจะทำให้พวกนางอิจฉาตาร้อน หากตัวเองถูกกักบริเวณสามเดือน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะยังคิดถึงนางไหม


 


 


ครั้นเฮ่อกุ้ยเฟยจะเอ่ยปากขอร้อง ฮ่องเต้ก็พูดขึ้นว่า “กล้าพูดอะไรอีกสักคำ จะห้ามออกนอกพื้นที่ครึ่งปี”


 


 


แค่สามเดือนก็เพียงพอให้ฮ่องเต้ลืมกุ้ยเฟยได้แล้ว หากเป็นครึ่งปี ฮ่องเต้คงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเฮ่อกุ้ยเฟยคือใคร คำขอร้องของเฮ่อกุ้ยเฟยถูกกลืนลงไปหมด


 


 


ขันทีผู้รับใช้ฮ่องเต้ เดินไปหน้าเฮ่อกุ้ยเฟย พูดอย่างนอบน้อม “เฮ่อกุ้ยเฟย เชิญขอรับ”


 


 


เฮ่อกุ้ยเฟยแขนขาอ่อนแรง ลุกยืนไม่ไหว ขันทีเอกส่งสายตาให้ขันทีผู้น้อย ขันทีน้อยสองคนเดินมาทันที พยุงและลากเฮ่อกุ้ยเฟยออกไป


 


 


แพทย์หญิงประคบยาให้พระชายาฉีเสร็จ กูกูผู้ดูแลวังประคองพระชายาฉีเดินออกมาจากม่าน และประคองไปนั่งบนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง


 


 


ไทเฮาเอ่ยถามแพทย์หญิงสองสามคำ และให้เขาจากไป


 


 


ไทเฮาพูดกับพระชายาฉีว่า “หัวเข่าบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องเล็ก กลับไปแล้วให้ทำตามคำสั่งของแพทย์หญิง พักผ่อนให้มาก เดินให้น้อย”


 


 


พระชายาฉีตอบรับด้วยความนอบน้อม


 


 


หลังจากสั่งให้คนยกชาแล้ว ไทเฮาเอ่ยปากถาม “วันนี้ที่พวกเจ้าสองคนเข้าวัง มีอะไรจะบอกหรือ”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า พูดขึ้นว่า “เสด็จแม่เพคะ เรื่องการหมั้นของเซวียนเอ๋อร์และคุณหนูจวนราชเลขาถูกยกเลิกไปแล้ว หม่อมฉันอยากขอให้ท่านช่วยออกพระราชโองการสมรสให้เขาและแม่นางเมิ่ง ให้พวกเขาได้ตกลงปลงใจ ปีหน้าจะได้จัดงานสมรสได้เลยเพคะ”


 


 


ไทเฮาชะงัก


 


 


ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว


 


 


ไทเฮามองหน้าอ๋องฉีและพระชายาฉี พูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องของเซวียนเอ๋อร์ยังไม่รีบ รอให้เราไตร่ตรองแล้วจะบอกพวกเจ้าอีกที”


 


 


“ตอนที่เสด็จแม่พูด เซวียนอ๋อร์ยังไม่ถอนงานหมั้น ตอนนี้เขาถอนแล้ว หม่อมฉันคิดว่าสมควรพูดเรื่องนี้แล้วนะเพคะ” พระชายาฉีกล่าว


 


 


ไทเฮาโบกมือ “ไม่ได้ เรื่องนี้เราขอคิดดูก่อน แม้ว่าเซวียนอ์อร์จะถอนงานหมั้นกับคุณหนูจวนราชเลขาไปแล้ว แต่ก็ไม่เหมาะสมอยู่ดีหากจะแต่งตั้งให้สาวบ้านนอกเป็นสนมเอก อีกอย่างนะ เพิ่งจะถอนงานหมั้นไป ข้าก็ได้ยินมาว่าคุณหนูบ้านหลินล้มป่วยทันที เซวียนเอ๋อร์ขอหมั้นตอนนี้ มิเป็นการหักหน้าท่านราชเลขาหรอกหรือ ไม่ได้!”


 


 


ไทเฮาพูดว่าไม่ได้ตลอด พระชายาฉีเริ่มรีบร้อน น้ำเสียงแฝงความร้อนรน “เสด็จแม่เพคะ เซวียนอ๋อร์และโยวเอ๋อร์ต่างมีใจให้กัน ให้พวกเขาได้สมปารถนาเถอะนะเพคะ”


 


 


“ไร้สาระสิ้นดี!” ไทเฮาดุว่า “เซวียนเอ๋อร์ยังเด็ก ลุ่มหลงในตัวผู้หญิงเพียงชั่วครู่ จะรู้จักอะไรคือใจต้องกันหรือ อีกอย่างข้าเคยสัญญากับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่ปฏิบัติไม่ดีต่อสาวบ้านนอกคนนั้น รอให้เซวียนอ๋อร์สมรสแล้ว จะแต่งตั้งให้เขาเป็นสนม”


 


 


เมื่อเห็นความเด็ดขาดของไทเฮา พระชายาฉีมองไปที่อ๋องฉี


 


 


อ๋องฉีพูดขึ้น “เสด็จแม่ เสด็จแม่ยังไม่รู้จักเซวียนเอ๋อร์ดีพอ เรื่องอะไรที่เขาตั้งมั่นแล้ว ไม่ว่าใครจะกีดกันอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อสี่ปีก่อน ที่ลูกรับเขากลับมา เขาก็หาวิธีทำลายชื่อเสียงของสาวเมิ่ง เขารอคอยมาตลอดสี่ปี จนตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ หากเสด็จแม่ยังไม่เห็นด้วยกับงานหมั้นของเขา ลูกเกรงว่าเซวียนเอ๋อร์จะกระทำอะไรที่คาดไม่ถึง ถึงครานั้นเราคงเสียใจภายหลังนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


น้ำเสียงไทเฮาลดต่ำลง “ตั้งแต่ที่เขากลับมาพร้อมลูกในตอนนั้น เขาก็ควรรู้ตัวดีว่าเป็นคนในวัง ไม่ใช่ทุกเรื่องจะเป็นไปได้ดั่งใจ เจ้าไปบอกเขาทีเถอะ เรื่องที่ข้าเห็นด้วยที่จะแต่งตั้งสาวบ้านนอกคนนั้นเป็นสนม ก็ถือเป็นพระคุณยิ่งแล้ว หากเขายังไม่ยอมลดละอีก ก็อย่าโทษน้ำมือของข้านะ”


 


 


จะใช้วิธีอะไร ทุกคนต่างรู้ดี ก็คือการขู่คนบ้านเมิ่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวยอมจำนนนอย่างเชื่อฟัง


 


 


ฮ่องเต้นั่งเงียบอยู่ข้างๆ พระชายาฉีรู้ดีว่าความเห็นของไทเฮาก็คือความเห็นของฮ่องเต้ จึงเกิดร้อนรนขึ้นมา


 


 


พระชายาฉีลุกขึ้น คุกเข่าลง “เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันมีลูกเซวียนเอ๋อร์เพียงคนเดียว พลัดพรากกันไปสิบเอ็ดปี กว่าจะได้มาเจอกัน หม่อมฉันไม่อยากให้เขาเป็นอะไรอีก ขอร้องเสด็จแม่ปล่อยให้พวกเขาได้สมปรารถนากันเถอะนะเพคะ”


 


 


หัวเข่าที่เพิ่งประคบอย่าเสร็จของพระชายาฉี เมื่อคุกเข่าลงอีกครั้ง ความเจ็บปวดก็แล่นแปลบ เม็ดเหงื่อปรากฎบนหน้าผากทันที ไทเฮาเห็นดังนั้น ก็ยิ่งโมโห กล่าวว่า “เจ้ายอมทำเพื่อสาวบ้านนอกคนนั้นได้จนไม่เอาแม้แต่ขาตัวเองแล้วหรือ”


 


 


พระชายาฉีกลั้นความเจ็บปวดไว้ ตอบกลับว่า “เสด็จแม่เพคะ ช่วงนี้หม่อมฉันได้พบปะพูดคุยกับโยวเอ๋อร์ไปไม่น้อย นางเป็นเด็กจิตใจดี คอยคิดแทนคนอื่นเสมอ มีความรับผิดชอบ ความสามารถก็มีมาก คุณหนูในเมืองสองสามคนรวมกันยังไม่ได้เท่านางเลยเพคะ อย่าพูดถึงเซวียนเอ๋อร์เลย แม้แต่หม่อมฉันเองยังชอบนางเลยเพคะ ขอร้องเมตตาพวกเขาเถอะเพคะ”


 


 


อ๋องฉีถลกเสื้อคุกเข่าลง สำทับเพิ่มเติมว่า “กระหม่อมเห็นว่าเซวียนเอ๋อร์แลแม่นางเมิ่งเป็นคู่สร้างคู่สม ขอร้องเสด็จแม่เมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เจ้า พวกเจ้า…” ไทเฮาพูดไม่ออก ได้แต่ชี้ไปที่พวกเขาทั้งสอง


 


 


ระยะหลังมานี้ฮ่องเต้ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเมิ่งเชี่ยนโยวมามาก ความเห็นที่มีต่อนางค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ในใจก็ยังไม่ยอมรับงานหมั้นของพวกเขา เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “เรื่องของสาวบ้านนอกคนนั้น เราก็ได้ยินมาไม่น้อย มีความสามารถอยู่มากพอสมควร แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะคู่กับเซวียนเอ๋อร์ เอาอย่างนี้ เราตกลงพวกเจ้า จะไม่ให้เซวียนเอ๋อร์หมั้นก่อน หนึ่งคือเพื่อไว้หน้าบ้านท่านราชเลขา สองคือช่วงนี้เราจะให้เซวียนเอ๋อร์หมั่นเพียรวิชา ในอนาคตจะให้เขาปฏิบัติงานราชงานหลวงที่สำคัญ ส่วนเรื่องความรักใคร่ของลูกหลานเลื่อนออกไปก่อนแล้วกัน”


 


 


คำพูดของฮ่องเต้คือคำพูดศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้เองก็ยอมถอยให้ก้าวหนึ่งแล้ว ทั้งสองจะขอร้องขอโพยอย่างไร อาจจะทำให้ฝ่าบาททรงพระกริ้วได้ อ๋องฉีและพระชายาฉีมองหน้ากัน ลุกขึ้นยืนอย่างไม่มีทางเลือก เป็นพระกรุณาล้นพ้น


 


 


เรื่องนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ เมื่อทั้งสองนั่งลง ไทเฮาก็เอ่ยถามอีกเรื่องหนึ่ง “อ๋องฉี สนมเฮ่ออยู่ๆ ก็เสียชีวิตกะทันหัน สรุปคือเรื่องอะไรกันแน่”


 


 


อ๋องฉีมองไปที่บ่าวใช้ทั้งหลาย


 


 


ไทเฮาเข้าใจทันที สั่งพวกเขา “พวกเจ้าออกไปก่อน!”


 


 


บ่าวใช้ขานรับ และเดินออกไป


 


 


“ว่ามาสิ” ไทเฮาพูดขึ้น เมื่อพวกเขาเดินออกไปกันหมดแล้ว


 


 


อ๋องฉีคิดอยู่พักหนึ่ง จึงนำเรื่องที่สนมเฮ่อหลอกล่อใส่ยาเสน่ห์ให้เมิ่งเชี่ยนโยวและฉู่เหวินเจี๋ย อยากให้พวกเขาคู่กัน เพื่อทำลายบ้านอ๋องฉีและจวนท่านแม่ทัพเล่าให้เสด็จแม่ฟัง


 


 


ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นจึงโกรธจนตบโต๊ะ “สนมเฮ่อนี่น่ารังเกียจเหลือเกิน! เสียไปง่ายๆ แบบนี้น่าเสียดายจริงๆ สมควรลงโทษเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าครั้งให้นางทนทุกข์ทรมานก่อนจะจากไป”


 


 


การลงโทษสี่สิบเก้าครั้งเป็นการลงโทษสำหรับบ่าวหญิงในวัง แต่ละครั้งเจ็บเจียนตาย แต่ทุกครั้งก็ไม่ทำให้ตาย จนกว่าคนที่ลงโทษจะเหลือเพียงหนังและลมเฮือกสุดท้าย จึงยอมให้เขาตาย ไทเฮาทรงกริ้วหนักมาก ถึงพูดคำพูดที่ชั่วร้ายเช่นนี้ออกมา


 


 


พูดถึงสนมเฮ่อ อ๋องฉีไม่มีแม้เพียงความรู้สึก เพียงแค่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “อย่างน้อยสนมเฮ่อก็ติดตามลูกมาสิบกว่าปี คอยเลี้ยงดูลูก ช่วงที่พระชายาเจ็บป่วย ก็ช่วยจัดการดูแลบ้านอย่างดี แม้ไม่มีผลงานก็มีความพากเพียร ลูกกลับส่งสนมเฮ่อไปด้วยการให้ดื่มสุราพิษ ถือซะว่าลบล้างให้กับความรักที่ผ่านมาแล้วกัน”


 


 


เมื่อครั้งกระนั้นอ๋องฉีชอบพอสนมเฮ่อ แต่เพื่อทำความสนิทสนมกับท่านแม่ทัพผู้มีอำนาจทางการทหาร แต่ไทเฮาท่านดึงดันให้แต่งกับพระชายาฉีคนปัจจุบัน คิดๆ ดูแล้วก็ละอายใจ ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “ช่างประไร คนตายเหมือนไฟที่ดับมอด อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองก็ต้องครองรักกันนานๆ ดูแลกันดีๆ อย่าให้เกิดเรื่องยุ่งเหยิงพวกนี้อีก เราอายุมากแล้ว รับไม่ไหวหรอก”


 


 


ทั้งสองขานรับพร้อมกัน


 


 


เรื่องของฉู่เหวินเจี๋ยตบแต่งกับลูกสาวพ่อค้าลึกๆ แล้วฮ่องเต้ดีใจมาก แต่ภายนอกกลับพูดอย่างเสียดายว่า “เช่นนี้ ก็คงลำบากท่านแม่ทัพ เราได้ยินว่าเขาตบแต่งกับลูกสาวตระกูลเฝิง น่าเสียดายดายจริงๆ ไม่กี่วันก่อน เรายังปรึกษากับเสด็จแม่เรื่องการหมั้นหมายของท่านแม่ทัพอยู่เลย”


 


 


แม่ลูกใจตรงกัน ฮ่องเต้หมายถึงอะไร ไทเฮานั้นรู้ดีกว่าใคร ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยักหน้า “นั่นน่ะสิ เมื่อไม่กี่วันก่อน ฮ่องเต้ยังยังปรึกษาว่าจะให้ท่านแม่ทัพตบแต่งกับหญิงใดในวังดีอยู่เลย แต่กลับเกิดเรื่องนี้ขึ้น


 


 


ไม่ว่ามีหรือไม่ ในเมื่อฮ่องเต้และไทเฮาพูดออกมาแล้ว พระชายาฉีก็จะคิดซะว่ามีเรื่องนี้จริง กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “เป็นพระมหากรุณาธิคุณหาสุดมิได้เพคะ แม้ซูเอ๋อร์อายุยังน้อย แต่ก็ได้ใจเหวินเจี๋ยไปหมดแล้วเพคะ”


 


 


ไทเฮาพยักหน้าอย่างปลื้มใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็วางใจแล้ว รอให้ผ่านไปสักพักหนึ่ง เราค่อยแต่งตั้งสนม”


 


 


พระชายาฉีรีบพูดขึ้น “เป็นพระมหากรุณาธิคุณหาสุดมิได้เพคะ แต่ไม่ต้องแล้วเพคะ ปกติเหวินเจี๋ยยุ่งงานทหาร ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน หากคนในบ้านเยอะ เกรงว่าจะวุ่นวาย ขอเพียงมีแค่พระชายาเอกคนเดียวก็พอเจ้าค่ะ”


 


 


ไทเฮาสบตาฮ่องเต้ครู่หนึ่ง หัวเราะแล้วพูดว่า “ได้ หากเป็นเช่นนี้ เราก็แล้วแต่เจ้าเลย”


 


 


สิ่งที่ต้องพูดก็พูดไปหมดแล้ว อ๋องฉีและพระชายาฉีคารวะเดินออกจากวังไทเฮา


 


 


เข่าของพระชายาฉีมีบาดแผล ไทเฮาสั่งให้กูกูผู้ดูแลวังเตรียมเกี้ยวส่งพระชายา


 


 


เมื่อทั้งสองจากไป ไทเฮาพูดอย่างไม่เห็นด้วยกับฮ่องเต้ “ฮ่องเต้ เรื่องสมรสของเซวียนเอ๋อร์เจ้ายอมได้อย่างไร”


 


 


“เสด็จแม่ แม้แต่อ๋องฉียังบอกว่าสาวบ้านนอกคนนั้นดี คิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงมีอะไรดี หากเราดึงดันไม่เห็นด้วย มีแต่จะทำให้เซวียนเอ๋อร์ไม่พอใจ ตอนนี้เซวียนเอ๋อร์อายุยังน้อย เลื่อนเวลาออกไปสักปีสองปีคงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ผู้หญิงคนนั้นเลยอายุแต่งงานไปแล้ว ถ้าจะเลื่อนออกไปอีกสองปี คงรอไม่ได้ ถึงตอนนั้นหญิงคนนั้นคงแต่งเข้าบ้านคนอื่น เรื่องสมรสของเซวียนเอ๋อร์ก็จะตกเป็นเรื่องของเรา”


 


 


ไทเฮาคิดครู่หนึ่ง พยักหน้า


 


 


พระชายาฉีถูกเกี้ยวแบกไปจนถึงรถม้าของจวนอ๋องฉี หลิงหลงประคองพระชายาออกจากเกี้ยว พระชายาฉีขึ้นรถม้าอย่างยากลำบาก อ๋องฉีตามขึ้นนั่งด้วย


 


 


คนขับรถม้ารีบทะยานม้ามุ่งไปทางบ้านอ๋องฉี


 


 


อ๋องฉีนั่งข้างๆ พระชายาฉี ถลกกระโปรงพระชายาขึ้น


 


 


พระชายาฉีสะดุ้งตกใจ “ท่านอ๋อง!” แล้วรีบปัดกระโปรงลงมา


 


 


“ข้าขอดูแผลเจ้าหน่อย” อ๋องฉีพูดเสียงต่ำ


 


 


พระชายาฉีจับกระโปรงตัวเองไว้แน่น พูดว่า “ไม่เป็นอะไรมากหรอก พักผ่อนไม่กี่วันก็หายเพคะ”

 

 

 


ตอนที่ 154 ยืนยันคำสาบานอีกครั้ง

 

อ๋องฉีแสดงสีหน้าเป็นห่วง จ้องตาพระชายาเขม็ง


 


 


พระชายาฉียิ่งจับกระโปรงไว้แน่น


 


 


อ๋องฉีจ้องพระชายาอยู่ครู่หนึ่ง จึงปัดความคิดที่จะตรวจดูหัวเข่าพระชายาออกไป เอนตัวพิงเข้าไปในรถม้า


 


 


พระชายาฉีเห็นท่าทางของท่านอ๋อง พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก แต่มือที่จับกระโปรงกลับไม่ได้คลายออก


 


 


รถม้าหยุดลงเมื่อถึงหน้าประตูจวนท่านอ๋อง อ๋องฉีลงมาจากรถม้า พระชายาฉีค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมา หลิงหลงรีบเดินเข้าไป เตรียมยื่นมือไปหวังจะประคองพระชายาลงจากรถม้า อ๋องฉีกลับก้มตัวอุ้มพระชายาฉีแล้วเดินสาวเท้ามุ่งหน้าเข้าไปในจวน ในขณะที่พระชายาฉีตกใจร้องเสียงหลง


 


 


พระชายาฉีร้องตกใจ “ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉันลงมาเถอะ หม่อมฉันเดินเองได้ ท่านทำอย่างนี้จะไม่ดีต่อสายตาคนในบ้านเอานะเพคะ”


 


 


อ๋องฉีฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เดินตรงไปยังเรือนของพระชายาฉี


 


 


หลังจากหลิงหลงตกตะลึง กระหยิ่มยิ้มย่องเดินมือปิดปากตามหลังไป บ่าวใช้ในบ้านที่เห็นภาพนี้ ปฏิกิริยายาแรกคือเบิ่งตาตกใจอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อสายตาที่เคร่งขรึมของอ๋องฉีกวาดมอง บ่าวใช้ทั้งหมดก็ก้มหน้าไม่กล้ามอง


 


 


พระชายาฉีหน้าแดงร้อนผ่าว คิดว่าต่อจากนี้คงไม่มีหน้าเจอใครแล้ว และก็ไม่ต้องตกใจแล้ว มุดศีรษะลงบนหน้าอกของท่านอ๋อง ช่างคนในจวนจะพูดนินทาอะไร


 


 


วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ออกจากบ้าน อยู่บ้านรอฟังข่าวโดยเฉพาะ เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้รายงานว่าอ๋องฉีและพระชายาฉีกลับมาแล้ว ก็ลุกเดินออกไปในทันที


 


 


หวงฝู่อี้ห้ามไว้ “ซื่อจื่อ รอสักครู่เถอะขอรับ ตอนนี้ท่านอ๋องยังอุ้มพระชายาไม่ถึงห้องของพระชายาเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินคำว่า ‘อุ้ม’ เต็มสองหู มองเขาด้วยความสงสัย หวงฝู่อี้พยักหน้า พูดว่า “ซื่อจื่อ ไม่ได้ฟังผิดหรอกขอรับ หวงเฟยเหนียงเหนียงถูกท่านอ๋องอุ้มกลับเข้าจวนจริงๆ ขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนฉลาดเป็นกรด รู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ สาวเท้าเดินออกไปในทันที


 


 


หวงฝู่อี้เดินตามหลังห้ามปราม “ซื่อจื่อ ค่อยไปเถอะขอรับ รอให้หวงเฟยเหนียงเหนียงถึงที่หมายแล้วค่อยว่ากัน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก พูดว่า “อี้เอ๋อร์ ต้องเกิดเรื่องอะไรกับเสด็จแม่แน่ๆ ไม่อย่างนั้นเสด็จพ่อคงไม่อุ้มเสด็จแม่เข้าบ้านหรอก”


 


 


หวงฝู่อี้กระจ่าง รีบเดินตามหลังไปติดๆ


 


 


เมื่อทั้งสองถึงเรือนของพระชายาฉี อ๋องฉีอุ้มพระชายาฉีเข้าไปในห้องแล้ว เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา รีบออกคำสั่ง “ให้คนไปเชิญแม่นางเมิ่งมา เข่าของเสด็จแม่บาดเจ็บน่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนในใจหนักอึ้ง รีบสั่งให้หวงฝู่อี้ไปเชิญเมิ่งเชี่ยนโยวมา


 


 


หวงฝู่อี้ขานรับ เดินออกจากบ้านของพระชายาฉี และไปจูงม้าดีตัวหนึ่งออกมา ขึ้นค่อมขี่ม้าทยานออกไปเชิญเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เลือดบนหน้าของพระชายาฉีสูบฉีดจนแดงก่ำ นั่งบนเตียง เห็นสีหน้ากังวลของหวงฝู่อี้เซวียน จึงรีบเก็บอาการ และรีบพูดขึ้นว่า “เซวียนเอ๋อร์อย่ากังวลเลย แพทย์หญิงในวังดูให้แล้ว แผลของข้ามิเป็นอะไรมากหรอก พักผ่อนไม่กี่วันก็หาย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปหน้าเตียง เห็นรอยเปื้อนเลือดที่แห้งกรังบนกระโปรงของพระชายา สีหน้าก็พลันหนักอึ้ง ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เสด็จแม่ เกิดอะไรขึ้นหรือขอครับ”


 


 


คนในวังนั้นมีมากไม่แพ้เสียงพูดคุย แม้ตัวเองจะไม่พูดก็คงปิดบังไว้ไม่ได้ พระชายาฉีจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผ่อนหนักผ่อนเบา “เซวียนเอ๋อร์อย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แม่เข้าวังเจอเฮ่อกุ้ยเฟยเข้า เกิดปากเสียงกันเล็กน้อย แม่แค่บาดเจ็บเล็กน้อย แต่ฮ่องเต้ลุงของเจ้าลงโทษกุ้ยเฟยไม่ให้ออกนอกบริเวณสามเดือนเชียว เรื่องนี้ก็ถือว่าจบกันนะ เซวียนเอ๋อร์อย่าใส่ใจไปเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามด้วยน้ำเสียงปนความสงสัย “กุ้ยเฟยโยนสาเหตุการตายของพระชายารองให้เสด็จแม่ใช่ไหม”


 


 


พระชายาฉีรีบโบกมือ พูดให้เป็นเรื่องเล็กน้อยว่า “ไม่ใช่หรอก เรื่องวันนี้ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด แม่เองก็พูดจาไม่ดีเอง ทำให้กุ้ยเฟยโมโห กุ้ยเฟยจึงสั่งคนให้ลงมือน่ะ”


 


 


เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่เชื่อคำพูดเมื่อครู่นี้เลย เสด็จแม่ของตนเองเป็นอย่างไร เขาเองรู้ดีที่สุด อยู่ๆ จะทำให้เฮ่อกุ้ยเฟยโกรธอย่างไร้สาเหตุได้อย่างไร จึงจี้ถามต่อ “เสด็จแม่ทำอะไรลงไป พูดอะไรไป กุ้ยเฟยถึงลงมือหนักเช่นนี้”


 


 


พระชายาฉีตอบไม่ได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ถามเสด็จแม่ต่อ หันไปทางประตูและตะโกนขึ้น “หลิงหลง!”


 


 


หลิงหลงขานรับและเดินเข้ามาคารวะ


 


 


“วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


พระชายาฉีส่งสายตาให้หลิงหลง


 


 


แต่อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ด้วยกันหมด ให้ตายหลิงหลงก็ไม่กล้าปิดบังพวกเขา เล่าความจริงทั้งหมดออกมา เมื่อฟังจบ หวงฝู่อี้เซวียนกำมือแน่น สีหน้าอ๋องฉีหนักอึ้งกว่าเดิม


 


 


พระชายาฉีเห็นสีหน้าของทั้งสองคน โบกมือให้หลิงหลงออกไป พูดกับทั้งสองว่า “แม้เฮ่อกุ้ยเฟยจะจงใจหาเรื่อง แต่ก็โดนลงโทษหนักไปแล้ว ให้เรื่องนี้มันผ่านไปเถอะนะ”


 


 


ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร


 


 


พระชายาฉีเปลี่ยนเรื่อง พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “เซวียนเอ๋อร์ วันนี้แม่และเสด็จพ่อไม่ได้ขอหมายหมั้นมาให้ได้”


 


 


ตั้งแต่ที่หวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาเห็นสีหน้าทั้งสองท่านไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ ก็พอจะเดาออกแล้ว ตอนนี้ได้รับการยืนยัน จึงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เพราะเหตุใดขอรับ”


 


 


 


 


พระชายาฉีนำสิ่งที่ไทเฮาและฮ่องเต้กล่าวบอกเขาว่า “ไทเฮายืนหยัดไม่เห็นด้วยแน่ๆ แต่ฮ่องเต้ค่อยยังชั่ว แม้เรื่องสมรสของลูกกับโยวเอ๋อร์ยังไม่สามารถมีข้อสรุปได้ แต่ในระยะสั้นนี้ พวกท่านก็จะยังไม่ให้เจ้าตบแต่งกับหญิงอื่น”


 


 


อำนาจกษัตริย์นั้นสูงกว่าสิ่งอื่นใด หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่


 


 


พระชายาฉีคิดว่าหากลูกรู้แล้วต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ๆ ไม่น่าเชื่อว่าลูกจะสงบเช่นนี้ เกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมา น้ำเสียงที่พูดก็เริ่มร้อนรน “เซวียนเอ๋อร์ ลูกอย่ารีบร้อนไปเลย รอผ่านไปสักระยะ แม่และเสด็จพ่อจะเข้าวังไปขออพระราชโองการให้อีกนะ”


 


 


“ไม่เป็นไรขอรับ เสด็จแม่” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยสีหน้าปกติ “ในเมื่อไทเฮาและฮ่องเต้พูดเช่นนี้แล้ว พวกท่านคงพิจารณามาดีแล้ว เสด็จแม่และเสด็จพ่อจะไปขออีกก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็แค่รออีกสองสามปีไม่ใช่หรือ ลูกไม่รีบหรอก โยวเอ๋อร์ก็ไม่เป็นไร เสด็จแม่รักษาตัวให้หายเถอะขอรับ”


 


 


พระชายาฉีรู้สึกปฏิกิริยาของลูกแปลกๆ ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี กำลังจะเอ่ยปากปลอบ อ๋องฉีก็พูดขึ้น “เซวียนเอ๋อร์พูดถูก ในเมื่อเสด็จแม่และฮ่องเต้พูดแล้วว่าจะไม่ให้หมายหมั้นพวกเขา แม้เราจะไปขออีกครั้งก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ควรทำตอนนี้ คือเซวียนเอ๋อร์ควรทุ่มเททำงานให้วังมากขึ้น เพื่อนำคุณงามความดีเข้าแลก”


 


 


พระชายาฉีเข้าใจสิ่งที่อ๋องฉีพูดทันที เหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง รู้ว่าลูกก็คงเข้าใจความตั้งใจของฮ่องเต้ ถอนหายใจเฮือกใหญ่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินว่าพระชายาฉีบาดเจ็บ ก็รีบให้กัวเฟยควบม้าเร็ว พร้อมชิงหลวนและจูหลีถึงจวนอ๋องฉี ก็รีบมุ่งไปเรือนพระชายาฉีทันที


 


 


เมื่อหลิงหลงเห็น จึงแผ่เสียงรายงานเข้าไปในห้อง เปิดม่านประตู คารวะและเชิญนางเข้าไป


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าห้อง ก็รู้สึกบรรยากาศไม่ดี เหมือนจะเข้าใจบางอย่าง พลันรู้สึกหนักอี้ง เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินไปข้างเตียง ถามพระชายาฉีเสียงเบา “พระชายา บาดเจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ”


 


 


พระชายาฉีมองไปที่อ๋องฉี และหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


อ๋องฉีนิ่ง หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังเดินออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นรอยเลือดบนกระโปรงของพระชายาฉี ก็พอเข้าใจ ค่อยๆ ถลกกระโปรงของพระชายาขึ้นไปเหนือเข่า เห็นแผลบนหัวเข่าของพระชายา คิ้วขมวด


 


 


พระชายาฉีพูด “แพทย์หญิงในวังประคบยาให้แล้ว บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือคลำรอบๆ เข่าของพระชายา หลังจากถามไถ่อย่างละเอียด ก็พยักหน้า พูดขึ้น “ไม่เป็นอะไรมากจริงๆ ทายาพักผ่อนสองสามวันก็หาย แต่นี่ท่านทายาแล้ว เลือดกลับยังไหลซิบ หากจะทาอีกครั้ง ต้องเช็ดของเก่าออกให้หมดสะอาดก่อน ยาจึงจะออกฤทธิ์ได้เต็มที่ ระหว่างนี้อาจจะเจ็บหน่อย ท่านต้องทนหน่อยนะเจ้าคะ”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้หลิงหลงนำกระดาษและพู่กันมา เขียนรายการยา ส่งให้นาง ให้นางสั่งให้คนไปซื้อยา หลังจากนั้นก็สั่งให้นำกะละมังใส่น้ำอุ่นมา


 


 


หลิงหลงทำตามคำสั่ง หลังจากสั่งให้คนไปซื้อยาแล้ว ก็รีบไปนำน้ำอุ่นใส่กะละมัง วางบนเก้าอี้ข้างเตียง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้นางไปหาผ้าสะอาดมาผืนหนึ่ง นั่งลงข้างเตียง ค่อยๆ เปิดกระโปรงขึ้น เห็นหัวเข่าที่บวมช้ำ เมื่อนำผ้าชุบน้ำแล้ว ก็เช็ดยาที่เหลือบนเข่าออกอย่างระมัดระวัง


 


 


ตอนที่อยู่ในวัง แพทย์หญิงทายาให้แล้วไม่ได้ปิดแผลให้ ตอนที่นางคุกเข่าลงไปอย่างแรงต่อหน้าไทเฮา ทำให้เลือดไหลออกมาทันที ผสมปนไปกับยาที่ทาไป อีกทั้งระยะทางระหว่างทางกลับจากวัง เลือดและยาที่ผสมปนกันก็แห้งกรังหมดแล้ว ติดแน่นบนเข่าของพระชายา ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเช็ดอีกครั้งก็เหมือนกับเปิดแผลอีกครั้ง พระชายาฉีจะอดทนอย่างไร ก็อดไม่ได้ที่ตัวจะสั่นสะท้าน หายใจแรงและร้องด้วยความเจ็บปวด


 


 


อ๋องฉีเดินเข้าใกล้ เห็นแผลบนเข่าของนางชัดเจน สีหน้าพลันหนักอึ้ง เอื้อมมือไปจับขาข้างหนึ่งของนาง ให้สัญญาณให้เมิ่งเชี่ยนโยวเร่งทำให้เสร็จ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับทราบ แม้จะยังคงระมัดระวัง แต่ก็เร่งทำให้เร็วขึ้น


 


 


พระชายาฉีกัดฟันกรอด พยายามไม่ให้ตัวเองร้องส่งเสียงดัง แต่ตัวที่สั่นเทาของนางกลับแสดงให้เห็นว่านางกำลังทนความเจ็บปวดอยู่มากเพียงใด


 


 


เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวทำความสะอาดแผลของนางเสร็จ เม็ดเหงื่อก็ปรากฏบนหน้าผากของพระชายาฉี ปลดเสื้อบริเวณหน้าอกของนางให้ระบายอากาศ อ๋องฉีปล่อยขาของนาง ยื่นมือไปจับผ้าห่มมาห่มให้นาง พระชายาฉีหายใจเข้าลึก ความเจ็บปวดจึงน้อยลง


 


 


หลิงหลงนำกะละมังน้ำออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนำผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของพระชายาฉี


 


 


คนใช้ซื้อยากลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจสอบ นำยาสองสามชนิดผสมกัน โขลกพอหยาบ ประคบบนเข่าของพระชายาฉี และใช้ผ้าโปร่งปิดแผล พูดว่า “สองสามวันนี้อย่าลุกเดินเลยเพคะ เปลี่ยนยาทุกวัน วันละครั้ง ประมาณสามถึงห้าวันก็ดีขึ้นแล้วเพคะ”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า


 


 


อ๋องฉีจดจำสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำไว้ทั้งหมด


 


 


ปิดแผลเรียบร้อยแล้ว เมื่อเหงื่อของพระชายาฉีแห้ง ก็รู้สึกตัวเหนียวจนไม่สบายตัว เรียกหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา พูดขึ้น “เซวียนเอ๋อร์ ลูกพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปนั่งในเรือนของลูกสักครู่สิ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า พาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป


 


 


พระชายาฉีพูดขึ้นอีกว่า “ท่านอ๋อง เสื้อหม่อมฉันเปียกไปหมดแล้ว เหนียวไม่สบายตัวเลย โปรดกลับไปก่อนเถอะ หม่อมฉันอยากเปลี่ยนหน่อยเพคะ”


 


 


อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร ยืนขึ้น กำชับให้หลิงหลงรับใช้อย่างระมัดระวัง จึงเดินกลับไปที่ห้องของตน


 


 


เหงื่อออกเยอะขนาดนี้ น้ำก็อาบไม่ได้ พระชายาฉีจึงสั่งให้หลิงหลงสั่งคนนำน้ำร้อนมาเช็ดตัว แล้วจึงเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่


 


 


หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่ห้องของตนอย่างเงียบขรึม เขาไม่ได้โผเข้ากอดและจูบอย่างดูดดื่มกับเมิ่งเชี่ยนโยวทันทีเหมือนอย่างเคย แต่กลับสั่งให้หวงฝู่อี้ยกชาเข้ามา นั่งลงบนโต๊ะในห้องข้างๆ นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำชาขึ้น เป่าให้หายร้อน ค่อยๆ จิบชา แล้วจึงถามขึ้นว่า “ไทเฮาไม่ได้ตกลงเรื่องงานหมั้นของเราใช่ไหม”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “อืม” เบาๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจิบชาอีกคำหนึ่ง พูดว่า “ข้ารู้แต่แรกแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะมองไปที่เขา พูดว่า “ถ้าให้ข้าเดา เหตุผลที่ปฏิเสธคงไม่พ้นสองเรื่องนี้ หนึ่งคือพี่เพิ่งถอนหมั้นกับคุณหนูหลิน ถ้าเราหมั้นกันตอนนี้ก็เหมือนไม่ไว้หน้าท่านราชเลขา อีกหนึ่งเหตุผลก็คือฐานะของข้าเอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตกใจ เอ่ยปากถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “ฮ่องเต้รู้วิชาการสร้างสมดุลมาแต่ไหนแต่ไร ในเมื่อพวกท่านยอมรับการถอนหมั้นอย่างเงียบๆ แล้ว ก็ต้องมีคำอธิบายที่เหมาะสมให้กับบ้านท่านราชเลขา ส่วนเรื่องฐานะของหม่อมฉัน ก็คงเป็นเหตุผลที่พวกท่านไม่สามารถยอมรับได้ตลอดไป”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งตกใจ จึงนำสิ่งที่ไทเฮาและฮ่องเต้พูดเล่าให้ฟังหมด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบก็ยิ้มอย่างสดใส พูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าพวกท่านจะคอยประวิงเวลาจนกว่าข้าจะรอไม่ได้ แล้วให้ข้ายอมแพ้ไปเอง รอให้ข้าแต่งกับคนอื่น จึงออกหมายหมั้นให้ท่านตบแต่งหลังจากนั้น”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเกิดร้อนรนขึ้นมา เอนตัวไปข้างหน้า หยุดตรงหน้านาง จ้องมองตานาง ถามโพล่งว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าจะทำเช่นนั้นหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบตรงๆ แต่กลับถามเขากลับว่า “จำคำพูดที่ข้าพูดตอนเราจากกันได้ไหม”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “จำได้ หากข้าไม่จาก เจ้าก็จะไม่ไป!”

 

 

 


ตอนที่ 155 กล้าดีไปหอนางโลม

 

 


 


“เพราะฉะนั้น…” เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะมองเขา “สิ่งที่ข้าพูดไม่ว่าตอนไหนก็นับ ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ”


 


 


บนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซียนมลายหายไป ค่อยๆ เผยรอยยิ้มสดใสออกมา ดวงตาโตสวยกลับมามีชีวิตชีวา ค่อยๆ ยืนขึ้น เดินไปหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสง่าผ่าเผย ถือแก้วชาที่อยู่ในมือของนางวางลงบนโต๊ะ ขณะที่นางแสดงแววตางงงวยก็อุ้มนางขึ้นไปวางบนเตียง ประกบริมฝีปากลงไปอย่างเร่าร้อน ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวที่หายใจไม่ทันตบตีอย่างไรเขาก็ไม่ปล่อย


 


 


ผ่านไปนานจนเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าสมองตนขาดอากาศ จนจะเป็นลมไปแล้วนั้น หวงฝู่อวี้เซียนจึงปล่อยตัวนาง หายใจหอบและกระซิบข้างหูนางว่า “โยวเอ๋อร์ ข้าคิดว่าเจ้าจะทิ้งข้าไปเสียแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา มองด้วยสายตาเย้าแหย่


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนรู้สึกร้อนรุ่ม อดไม่ได้ที่จะประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง


 


 


สมองเมิ่งเชี่ยนโยวเบลอไปหมด มือเอื้อมไปกอดคอเขาตามธรรมชาติ ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ


 


 


จนเมื่อเสียงระแวดระวังของหวงฝู่อวี้จากเรือนในจวนดังขึ้น “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง พระชายาส่งคนมาแจ้งว่าอาหารกลางวันเตรียมเสร็จแล้ว เชิญท่านทั้งสองไปทานขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนจึงปล่อยตัวนาง น้ำเสียงเหนื่อยหอบตอบไปว่า “รู้แล้ว เดี๋ยวพวกเราตามไป”


 


 


เสียงเท้าของหวงฝู่อี้เดินออกไปจากลานบ้าน


 


 


หวงฝู่อี้ลุกขึ้นยืน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยังตกอยู่ในความมึนงง ก้มหัวหัวเราะ “โยวเอ๋อร์ ถ้าเจ้ายังลุกไม่ขึ้น ข้าไม่ประกันนะว่าจะทำอะไรอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกตัว หน้าแดงก่ำ ถลึงตาใส่เขาผู้ร้ายคนนี้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลดตัวลงต่ำ หัวเราะพลางดึงนางขึ้นมา พานางไปที่อ่างล้าง ชุบผ้าบิดน้ำหมาด และเช็ดให้นางอย่างเบามือ


 


 


ความเย็นของน้ำทำให้นางตื่นจากภวังค์ ดึงผ้าขนหนูจากมือเขามา ชุบน้ำบิดหมาดอีกครั้ง เช็ดหน้าตัวเองลวกๆ จนรู้สึกว่าหน้าไม่ร้อนผ่าวแล้ว จึงดุหวงฝู่อี้เซวียนว่า “จากนี้ไป อยู่ให้ไกลข้าหน่อย ถ้ายังกล้าทำอย่างนี้กับข้า ข้าจะหักขาเจ้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะเสียงเบา จับผ้าที่อยู่ในมือนางโยนลงในอ่าง จูงมือนางเดินไปที่ห้องของพระชายาฉี


 


 


เห็นทั้งสองเดินเข้ามา พระชายาฉียิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่นี้บ่าวหญิงพูดไม่ชัดเจน อาหารกลางวันต้องทานในห้องแม่ แม่กำลังจะให้หลิงหลงเรียกพวกเจ้ามาอยู่เลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหน้าแฝงรอยยิ้ม ถามขึ้นว่า “เข่าเสด็จแม่ยังเจ็บมากหรือขอรับ”


 


 


พระชายาฉีสังเกตเห็นสีหน้าเขาต่างจากเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง เหลือบไปเห็นริมฝีปากที่บวมเป่งของเมิ่งเชี่ยนโยว แอบถอนหายใจ สีหน้าไม่มีอะไรผิดปกติ ยิ้มและตอบกลับ “ไม่เจ็บแล้ว ยาของโยวเอ๋อร์ได้ผลดีมาก”


 


 


“หลังจากหายแล้ว คงทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ข้ามียาที่ช่วยเรื่องแผลเป็นด้วย รอให้อี้เซวียนไปที่จวนของข้า จะให้เขานำกลับมาขวดหนึ่ง เมื่อแผลหายดีแล้ว ให้ทาทุกวัน ใช้เวลาไม่นานมากนัก เข่าของท่านก็จะกลับมาเนียนดังเดิมเพคะ”


 


 


พระชายาฉีเคยได้ยินยารักษาแผลเป็น มูลค่าสูงลิ่ว โบกมือปฏิเสธ “แผลอยู่ตรงหัวเข่า ไม่เป็นไรหรอก อย่าสิ้นเปลืองของมีค่าขนาดนั้นเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อยไม่พูดอะไร


 


 


อ๋องฉีและหวงฝู่อวี้เดินเข้ามา


 


 


อ๋องฉียังคงมาดปกติไว้ เข้ามาแล้วเหลือบมองพระชายาฉีครู่หนึ่ง เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของนาง ไม่มีอาการเจ็บปวด จึงนั่งลงบนโต๊ะอาหาร


 


 


แต่ไม่ได้เจอหวงฝู่อวี้เพียงไม่กี่วัน ก็ซูบผอมลงไปไม่น้อย สีหน้าดูป่วยทรุดโทรม หลังจากเข้ามาในเรือน ก็คารวะทุกคนตามธรรมเนียม และนั่งลงบนโต๊ะอาหาร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมองตากัน ครู่หนึ่ง จึงนั่งลงด้วย


 


 


พระชายาไม่ได้ขยับ หลิงหลงนำโต๊ะตัวเล็กออกมาหนึ่งตัว วางข้างหน้านาง


 


 


บ่าวใช้นำอาหารเข้ามาจัดวางบนโต๊ะ อ๋องฉีจับตะเกียบเริ่มทาน


 


 


ที่เหลือจึงจับตะเกียบและทานตาม หวงฝู่อี้เซวียนคีบผักที่เมิ่งเชี่ยนโยวชอบใส่ในถ้วยของนาง ก่อนที่ตัวเองจะเริ่มทาน


 


 


อ๋องฉีแกล้งทำเป็นไม่เห็น ทานข้าวตัวเองต่อไป แม้หวงฝู่อวี้เองก็ทานอย่างเอร็ดอร่อย แต่เขาก็คีบแค่อาหารจานที่อยู่หน้าเขา จานอื่นไม่แม้แต่จะมอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวกระพริบตาปริบ


 


 


หลังจากทานเสร็จ บ่าวใช้นำอาหารออกไป หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นยืน คารวะทุกคนพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่งข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”


 


 


เมื่อเห็นว่าเขาเรียกด้วยคำที่แปลกไปจากเคย หวงฝู่อี้เซวียนก็ขมวดคิ้วเป็นปม ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อวี้เอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ”


 


 


หวงฝู่อวี้สีหน้าสงบ ตอบอย่างนอบน้อม “เพื่อนสองสามคนเห็นว่าข้าเบื่อ พาข้าไปข้างนอกมาสองสามวัน เมื่อคืนเพิ่งกลับมา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อวี้พูดอย่างนอบน้อม “ซื่อจื่อ หากไม่มีธุระอื่นใดแล้ว ข้าขอกลับห้องก่อนนะขอรับ ช่วงนี้เล่นเพลินไปหน่อย ไม่ได้พักผ่อนดีๆ รู้สึกเหนื่อยขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าคุณชายรองไปเที่ยวเล่นนอกเมืองที่ไหนมานะเพคะ”


 


 


หวงฝู่อวี้สะดุ้งโหยง สายตาเลิกลั่ก พูดว่า “ก็แค่ไปล่าสัตว์ เมื่อก่อนเราก็ออกไปล่าด้วยกันบ่อยๆ น่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อวี้เพิ่งจะโล่งใจ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเอ่ยปากถามขึ้นอีก “คุณชายรองล่าสัตว์อะไรหรือเจ้าคะอย่าบอกเชียวนะว่า หายไปล่าตั้งหลายวันแต่ไม่ได้ไก่ป่ามาแม้แต่ตัวเดียว”


 


 


แม้ความสามารถของหวงฝู่อวี้จะสู้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ แต่ในบรรดารุ่นเดียวกันก็ถือว่าไม่เลวอยู่ ออกไปตั้งหลายวัน จะบอกว่าล่าสัตว์ไม่ได้เลยสักตัว แม้แต่ตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย จึงเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “ข้าคิดว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่น่าจะไม่ชอบ ก็เลยให้พวกเขาเอากลับไปน่ะขอรับ”


 


 


“คุณชายรองไปกับใครบ้างหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวจี้ถามโดยไม่เว้นช่องว่างให้เขาได้คิด


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ได้พูดอะไร


 


 


อ๋องฉีรู้สึกแปลกชอบกล คิ้วขมวด


 


 


พระชายาฉีเข้าใจเมิ่งเชี่ยนโยว รู้ว่านางไม่เค้นคำตอบอะไรอย่างไร้เหตุผลแน่ๆ จึงไม่ได้พูดห้ามปราม เพียงแค่นั่งมองไปทางนี้อย่างเงียบๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินไปข้างๆ หวงฝู่อวี้ วนรอบตัวเขาหนึ่งรอบ ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าแล้วคุณชายรองคงล่าได้สัตว์ใหญ่นะเจ้าคะถึงได้ไปหอนางโลมสังสรรค์ใหญ่โต”


 


 


เมื่อนางพูดจบ พระชายาฉีถามอย่างไม่เชื่อว่า “อวี้เอ๋อร์ โยวเอ๋อร์พูดจริงเหรอ”


 


 


อ๋องฉีโมโหจนร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ราวกับว่าขอแค่หวงฝู่อวี้กล้ายอมรับ ก็จะลงโทษเขาอย่างหนัก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตามอง อารมณ์โกรธเริ่มเดือดพล่าน


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจจนเข่าอ่อนไปหมด พลุบ ลงไปคุกเข่า พูดแก้ตัว “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกไม่ได้ไปนะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนสั่ง “เรียกเฮ่ออีเข้ามา ข้าล่ะอยากจะถามให้รู้จริงๆ ว่าคุณชายรองไปไหนมา”


 


 


หวงฝู่อวี้หน้าซีดเผือก ปากสั่นระริก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจ้องเขา


 


 


สักพัก หวงฝู่อวี้ก้มหน้าเงียบ


 


 


เฮ่ออีเข้ามาอย่างรวดเร็ว เห็นอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ แต่หวงฝู่อวี้กลับคุกเข่าอยู่บนพื้น ก็พอจะเดาอะไรได้ เขาได้แต่ร้องทุกข์ในใจ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก ถามเสียงขรึม “เฮ่ออี สองสามวันนี้เจ้าอยู่กับอวี้เอ๋อร์ตลอดใช่ไหม”


 


 


เฮ่ออีเป็นองครักษ์ประจำตัวตัวหวงฝู่อวี้ แน่นอนว่าต้องอยู่ปกป้องเขาทุกเมื่อ เขาตอบอย่างนอบน้อมว่า “รายงานซื่อจื่อ ข้าน้อยติดตามคุณชายรองตลอดขอรับ”


 


 


“เขาไปทำอะไรมาบ้าง เจ้าจงพูดความจริงทั้งหมด”


 


 


เฮ่ออียังคงจำภาพการลงโทษครั้งที่แล้วได้ไม่ลืม จึงไม่กล้าปิดบัง พูดขึ้นว่า “คุณชายรองและท่านชายที่สนิทสนมกันสองสามคนออกไปนอกเมืองล่าสัตว์ เมื่อประตูเมืองจะปิดก็กลับเข้ามา คุณชายรองกำลังจะกลับบ้าน แต่ท่านชายสองสามคนนั้นกลับฉุดดึงคุณชายรองไปหอนางโลม หลังจากนั้น หลังจากนั้น…”


 


 


“หลังจากนั้นอะไร” หวงฝู่อี้เซวียนเสียงขรึมกว่าเดิม


 


 


เฮ่ออีตกใจจนสะดุ้ง รีบตอบว่า “หลังจากนั้น จนถึงเมื่อคืนคุณชายรองจึงเพิ่งออกมาจากหอนางโลมพร้อมท่านชายท่านอื่นๆ”


 


 


พระชายาฉีเบิ่งตานิ่งเงียบ ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก อ๋องฉีโกรธจัด ลุกขึ้น และชักขาถีบออกไปทันที ด่าด้วยความโกรธ “ไอ้คนไม่รู้จักโต อายุแค่นี้หัดไปหอนางโลม ดูสิว่าข้าจะเอาให้เจ้าตายยังไง”


 


 


แรงถีบทำให้หวงฝู่อวี้กระเด็นไปกองบนพื้น เขาใช้เวลาตะกุยตะกายอยู่สักพักจึงกลับมาคุกเข่าเหมือนเดิมได้


 


 


“เสด็จพ่อ ท่านอย่าโมโหเลย ลูกจะสั่งสอนเขาเอง” หวงฝู่อี้เซวียนพยายามเกลี้ยกล่อมให้เสด็จพ่อหายโกรธ ก้มลงหน้าหวงฝู่อวี้ พูดชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อวี้เอ๋อร์ จำได้ไหมว่าข้าเคยพูดอะไรกับเจ้า”


 


 


หวงฝู่อวี้หดตัวตามสัญชาตญาณ เงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย ไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะพลางพยักหน้า “ดีมาก ลืมเร็วแบบนี้ พี่ช่วยคิดให้ได้นะ” พูดจบ ลุกขึ้น ตะโกนสั่งว่า “เฮ่ออี ส่งคุณชายรองกลับห้องตัวเอง”


 


 


เฮ่ออีขานรับเดินเข้ามา พยุงหวงฝู่อวี้ที่ยังมึนงงอยู่ออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับอ๋องฉีและพระชายาฉีว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ อีกสักครู่หากพวกท่านได้ยินเสียงอะไร อย่าตกใจไปนะขอรับ วันนี้ข้าต้องลงโทษอวี้เอ๋อร์ให้หนักสักตั้ง”


 


 


อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร พระชายาฉีอดไม่ได้พูดขึ้น “เซวียนเอ๋อร์ ลงมือเบาๆ หน่อยนะ อวี้เอ๋อร์อาจจะโกรธเคืองอะไรพวกเราอยู่ หาที่ระบายไม่ได้ จึงทำอะไรอย่างนี้น่ะ หากลูกทำอะไรเกินไป อวี้เอ๋อร์อาจจะโกรธเคืองพวกเรามากกว่าเดิมนะ”


 


 


“วางใจเถิดขอรับ เสด็จแม่ ข้ารู้อะไรควรมิควร” หวงฝู่อี้เซวียนรับรองอย่างไม่จริงใจ


 


 


พระชายาฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ หวงฝู่อวี้ถูกเฮ่ออีพยุงกลับห้องไปแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากเรือนของพระชายาฉี มาถึงเรือนของหวงฝู่อวี้


 


 


ทั้งสองเดินเข้าไป นั่งลง หวงฝู่อี้เซวียนถามเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “อวี้เอ๋อร์ เจ้าบอกความจริงข้ามา นอกจากไปล่าสัตว์และไปหอนางโลมแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”


 


 


หวงฝู่อวี้กระพริบตา ตอบอย่างลังเล “ไม่ ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจ้องเขา


 


 


หวงฝู่อวี้ถูกจ้องจนทำตัวไม่ถูก ไม่กล้ามองเขา ก้มหน้าลงต่ำ


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นข้างหน้าเขา “พี่ไม่เคยบอกเจ้าหรือ ว่าเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ต่อไปต้องดูแลซึ่งกันและกัน ร่วมประคับประคองตระกูล”


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจเงยหน้า มองเขาอย่างสับสน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถามขึ้นอีกครั้ง “พี่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเจ้าเลยหรือ”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้าด้วย สั่งเฮ่ออี “ไปเอาเชือกมา มัดคุณชายรองไว้”


 


 


เฮ่ออีตกใจมองไปที่เขา ไม่ขยับ


 


 


“ทำไม คำสั่งข้าไม่ใช่คำสั่งรึ” หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างน่าเกรงขาม


 


 


เฮ่ออีได้สติ รีบพูดขึ้น “ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยจะไปเอาเชือกมาเดี๋ยวนี้ขอรับ” พูดจบ เดินออกไปทันที


 


 


หวงฝู่อวี้กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ถามอย่างเกรงกลัว “ซื่อ ซื่อจื่อ พี่ พี่จะทำอะไรน่ะ”


 


 


“เจ้าลืมสิ่งที่พี่บอกเจ้าไปไม่ใช่หรือ พี่จะช่วยเจ้านึกออกนี่ไง”


 


 


หวงฝู่อวี้ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ถามอย่างกลัวๆว่า “พี่จะช่วยข้าคิดยังไง”


 


 


“เจ้าว่าล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนถามเขากลับ


 


 


อยู่ๆ สมองของหวงฝู่อวี้ก็นึกคำที่เขาเคยพูดออก “ถ้าต่อไปเจ้ากล้าทำผิดอีก ข้าจะแขวนเจ้าไว้บนต้นไม้!”


 


 


รีบพูดขึ้นว่า “พี่ทำอย่างนี้ไม่ได้”


 


 


“ทำไมข้าจะทำไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าซื่อจื่อ ก็สำนึกว่าเจ้าทำผิดแล้ว ข้ามีสิทธิลงโทษเจ้า” หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าใกล้เขา พูดอย่างเย็นชา


 


 


หวงฝู่อวี้อ้าปากจะพูด แต่พูดอะไรไม่ออก


 


 


เฮ่ออีนำเชือกมา มองหวงฝู่อวี้อย่างลำบากใจ


 


 


“มัดไว้!” หวงฝู่อี้เซวียนตะคอก


 


 


เฮ่ออีไม่กล้าตุกติก มัดหวงฝู่อวี้


 


 


“หาต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้น แขวนคุณชายรองไว้”


 


 


เฮ่ออีไม่กล้าขัดคำสั่ง นำร่างที่ถูกมัดของหวงฝู่อี้ออกไป หาต้นไม้ต้นใหญ่หน้าเรือนในจวน แขวนหวงฝู่อวี้ไว้ จนถึงตอนนี้ หวงฝู่อวี้ปิดปากแน่น ไม่แม้แต่จะร้องขอความเมตตา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา เห็นท่าทางของที่เฮ่ออีแขวนหวงฝู่อวี้ ถามเขาอย่างขึงขัง “เฮ่ออี ในค่ายองครักษ์เขาสอนให้แขวนคนอย่างนี้รึ”


 


 


เม็ดเหงื่อปรากฏบนหน้าผากของเฮ่ออี เขารีบปล่อยหวงฝู่อวี้ลงมา และแขวนขึ้นไปใหม่


 


 


หน้าของหวงฝู่อวี้แดงก่ำไปด้วยเลือด แต่กลับไม่ร้องสักคำ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปหน้าเขา ก้มศีรษะแสยะยิ้มให้เขา ยังไม่ทันที่หวงฝู่อวี้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวของเขาก็ถูกเตะเข้าอย่างจัง

 

 

 


ตอนที่ 156 ข้าไม่ไป

 

หวงฝู่อี้เซวียนถีบขาออกไปอย่างไร้ความปราณี แม้แต่เฮ่ออียังเกือบจะร้องตกใจ แต่หวงฝู่อวี้กลับไม่ร้องแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้ลำตัวที่ห้อยกลับหัวของตนแกว่งไปมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองร่างที่แกว่งไปมาของเขา หัวเราะด้วยสีหน้านิ่งพูดขึ้นว่า “หลายปีมานี้ ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าหัวรั้นเช่นนี้ สมควรแล้วที่เป็นลูกผู้ชายของตระกูลหวงฝู่” พูดจบก็กระทืบไปอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อวี้เพิ่งทานอิ่ม เมื่อถูกเขาทรมานแบบนี้ อาหารในกระเพาะก็ตีขึ้จนอาเจียนออกมา และเนื่องจากว่าเขาถูกแขวนกลับหัว อาหารที่ยังไม่ย่อยเหล่านี้จึงไหลไปตามปากและจมูกจนถึงหน้าผากของเขา ก่อนจะไหลกลับลงมาอีก


 


 


เฮ่ออีเห็นภาพนี้แล้วก็อดรู้สึกคลื่นไส้ไม่ได้ หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่แม้แต่กระพริบตา หัวเราะมองร่างหวงฝู่อวี้ที่ยังแกว่งไปมาอย่างไร้ทิศทาง


 


 


หน้าของหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยเศษอาเจียน ลืมตาไม่ได้ จึงมองไม่เห็นสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน แต่เฮ่ออีเห็นชัดเต็มสองตา ขนลุกซู่ ขอร้องหวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง ยอมรับผิดกับซื่อจื่อเถอะขอรับ”


 


 


ตั้งแต่เล็กจนโต หวงฝู่อวี้เป็นลูกหัวแก้วหัวแหวน นอกจากครั้งนั้นที่ทำผิดต่อเมิ่งเชี่ยนโยว จนถูกขังไว้ในห้องเก็บฟืน อดข้าวอดอาหารสามวันสามคืน ยังจะเคยรับโทษหนักอะไรอีก จริงๆ ในใจเขารับไม่ไหวตั้งนานแล้ว แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของสหายสองสามคนนั้น ความแค้นเคืองก็คุกรุ่น กัดฟันแน่นไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังคงกระทืบต่อไป พลางยิ้มด้วยสีหน้าเช่นเดิม ร่างของหวงฝู่อวี้แกว่งไปมาในอากาศราวกับชิงช้า ตกใจจนทำให้เฮ่ออี พลุบ ลงไปคุกเข่า ขอร้องแทนหวงฝู่อวี้ “ซื่อจื่อ คุณชายรองสำนึกผิดแล้ว ท่านอภัยให้เขาเถอะขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้เข้าห้ามเช่นกัน ยืนมองทุกสิ่งอยู่ข้างๆ อย่างสงบ


 


 


ในที่สุดหวงฝู่อวี้ก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดัง “ซื่อจื่อ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วทั้งจวนอ๋องฉี


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกระทืบไปอีกครั้ง ถามอย่างเยือกเย็น “เรียกข้าว่าอะไรนะ”


 


 


“พี่ พี่ ข้าสำนึกผิดแล้ว อภัยให้ข้าเถอะ” เมื่อคำเว้าวอนคำแรกถูกเปล่งออกมา หวงฝู่อวี้ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เริ่มร้องขอความเมตตาขึ้นอีกครั้ง


 


 


“เจ้าทำอะไรผิด” หวงฝู่อี้เซวียนหยุดกระทืบแล้วถามขึ้น


 


 


“ข้าไม่ควรไปหอนางโลม ไม่ควรไม่เรียกพี่ว่าซื่อจื่อ” หวงฝู่อวี้ตอบกลับทันที


 


 


“แล้วอะไรอีก” หวงฝู่อี้ถามต่อ


 


 


หวงฝู่อวี้โพล่งพูด “ข้าไม่ควรเชื่อคำยุยงของพวกเขา ให้ข้าโกรธเคืองพี่”


 


 


พูดจบ ทั้งลานในจวนเงียบสงัด เฮ่ออีพูดไม่ออก เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว หวงฝู่อวี้เซวียนยิ้มใส่อย่างเย็นชา หวงฝู่อวี้สะดุ้งเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ในใจยิ่งรู้สึกกลัว ร้องเสียงดัง “พี่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”


 


 


“พวกเจ้าไปทำอะไรที่หอนางโลม”


 


 


หวงฝู่อวี้โบกมือกลับหัว “พี่ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย จริงๆ นะ ข้าไม่โกหกพี่ พี่ส่งคนไปสืบที่หอนางโลมดูก็ได้ ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ แค่ไปฟังเพลง และนอนที่นั่นสองวัน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร หวงฝู่อวี้ยิ่งรู้สึกกลัว รีบพูดขึ้นว่า “พี่ พี่ปล่อยข้าเถอะ จากนี้ไป พี่จะให้ข้าทำอะไร ข้าจะทำ จะไม่ทำให้บ้านเราเสื่อมเสียชื่อเสียงอีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่พูดอะไร หวงฝู่อวี้ทนไม่ไหวแล้ว ร้องสุดเสียง “พี่ พี่ ขอร้องล่ะ ปล่อยข้าเถอะ ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว”


 


 


เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้แม้แต่คนที่เดินผ่านมายังต้องเร่งฝีเท้าเดินไป กลัวว่าความเดือดของหวงฝู่อี้เซวียนจะมาพาลมาโดนตนเอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยให้เขาเว้าวอนต่อไป เมื่อเห็นเขาพูดซ้ำไปซ้ำมา จึงให้เฮ่ออีปล่อยเขาลงมา


 


 


เฮ่ออีรีบลุกขึ้น เดินไปข้างหน้าปล่อยหวงฝู่อวี้ลงมา พยุงเขานั่งลงบนพื้น


 


 


หวงฝู่อวี้หายใจหอบ


 


 


เห็นสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ของเขา หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว สั่งเฮ่ออี “ไปเอาน้ำร้อนมาให้คุณชายรองเช็ดล้างเสียหน่อย”


 


 


เฮ่ออีขานรับ สั่งคนใช้ไปนำอ่างน้ำเข้าไปในห้องหวงฝู่อวี้ เติมน้ำร้อนจนเต็ม ลองอุณหภูมิน้ำ จึงให้หวงฝู่อวี้เช็ดล้าง


 


 


หวงฝู่อวี้ยังคงไม่ได้สติ นั่งอยู่กับพื้น เฮ่ออีเดินเข้าไปพยุงเขาลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้าน


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “ให้เวลาหนึ่งก้านธูป”


 


 


เฮ่ออีเข้าใจความหมายของเขา เร่งมือให้เร็วขึ้น หลังจากประคองหวงผู่อวี้เข้าไปในบ้าน ก็รีบสั่งให้คนใช้ช่วยเขาเช็ดล้าง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรออยู่ที่ลานในจวน


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ หวงฝู่อวี้ออกมาจากอ่างอาบน้ำ สวมใส่เสื้อเรียบร้อย ปล่อยผมสยาย พูดอย่างนอบน้อม “พี่ใหญ่ แม่นางเมิ่ง ข้าเสร็จแล้ว พวกท่านโปรดเข้ามาเถอะ”


 


 


ทั้งสองรอจนคนใช้ยกอ่างอาบน้ำออกไป ทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้วจึงเข้าไป


 


 


หวงฝู่อวี้ยืนรอในบ้าน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง พูดขึ้น “บอกเรื่องที่เกิดขึ้นทุกเรื่องในช่วงนี้ให้ข้าฟังทั้งหมดมา หากปิดบัง เจ้ารู้ว่าจะเจออะไร”


 


 


หวงฝู่อวี้ยังจะกล้าปิดบังได้อย่างไร เล่าเรื่องทั้งหมดว่า สหายสนิทสองสามคนชักชวนตนไปล่าสัตว์ พอดีกับที่ตัวเองรู้สึกเบื่อ อ๋องฉี พระชายาฉี และหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่อยู่พอดี ไม่มีคนห้ามปราม จึงออกไปพร้อมพวกเขา วันแรกไปล่าสัตว์มาจริงๆ หลังจากฟ้ามืดก็กลับเข้าเมือง อันที่จริงเขาจะกลับบ้านทันที แต่พวกเขาชักชวนให้ไปหอนางโลม จริงๆ เขาไม่อยากไป แต่สหายท่านหนึ่งพูดขึ้นว่า ‘เจ้าไม่มีแม่แล้ว แล้วยังเป็นแค่ลูกสนม แม้เจ้าจะไม่กลับบ้านก็คงไม่มีใครตามหาเจ้าหรอก’ คำพูดนี้แทงใจเขาเหลือเกิน ฉู่เหวินเจี๋ยกำลังมีงานสมรส แม้แต่บ่าวหญิงในจวนยังถูกส่งไปช่วยงาน แต่เขากลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย ทำเหมือนเขาเป็นคนนอก เขาเกิดหัวร้อนขึ้นมา จึงตามพวกเขาไปหอนางโลม จริงๆ แล้วในใจหวังว่าอ๋องฉีหรือไม่ก็หวงฝู่อวี้เซวียนจะพบว่าเขาไม่อยู่ ส่งคนมาหาเขา แต่สามวันผ่านไป แม้แต่จดหมายสักฉบับก็ไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นสหายสองสามท่านนั้นยังคอยกรอกหูว่า เขาใสซื่อเกินไป มีลูกพระชายาคนไหนจะเห็นลูกสนมเป็นพี่น้องแท้ๆ แค่พูดให้ดูดีไปเช่นนั้น ในอนาคตต้องมีเรื่องเดือดร้อนเขาแน่ๆ และยังบอกเขาอีกว่า ท่านมหาเสนาบดีเป็นพระอัยกาที่สนิทชิดเชื้อของเขา ต่อไปจะเป็นที่พึ่งที่เดียวของเขา บอกให้เขาเข้าหาท่านบ่อยๆ เขาเองก็รู้สึกว่าไม่มีใครในบ้านใส่ใจเขาเลย จึงรู้สึกโกรธเคือง พอกลับถึงจวนจึงไม่เรียกหวงฝู่อี้เซวียนว่าพี่ แต่เรียกว่าซื่อจื่อแทน


 


 


เมื่อฟังเขาพูดจบ เหมือนมีอะไรแล่นผ่านหัว หวงฝู่อี้เซวียนถามขึ้นว่า “สหายเหล่านั้นเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าหรือ”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งเขาว่า “จากนี้ไป ห้ามไปมาหาสู่กับพวกเขาอีก”


 


 


แม้เขาไม่พูด หวงฝู่อวี้ก็ไม่กล้าไปมาหาสู่กับพวกนั้นอีก เขามิได้เขลา ถูกหวงฝู่อี้เซวียนลงมือไปหนึ่งยกก็ยิ่งได้สติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจงใจยุแหย่ความสัมพันธ์ของเขากับหวงฝู่อี้เซวียน ต้องมีเจตนาไม่ดีเป็นแน่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาก้มหน้าไม่พูด ยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “คุณชายรองไม่ไปกั๋วจื่อเจียนแล้วหรือ”


 


 


หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า “พี่ไม่ไป ข้าก็ไม่อยากไปแล้ว”


 


 


“งั้นดีเลย โรงงานของข้ายังขาดคนดูแลอยู่หนึ่งคน คุณชายรองไปช่วยเถอะนะ จะให้ค่าแรงเดือนละสิบสองเหรียญ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดพลางยิ้ม


 


 


สิบสองเหรียญยังไม่พอให้เขาซื้อขนมขบเคี้ยวเลย หวงฝู่อวี้กำลังจะเอ่ยปากคัดค้าน เงยหน้าเห็นสายตาหวงฝู่อี้เซวียนจ้องเขาถมึงทึง ก็กลืนคำพูดที่กำลังจะพูดลงไป เปลี่ยนเป็นถามอย่างกล้าได้กล้าเสียว่า “ให้เยอะกว่านี้ได้ไหม สิบสองเหรียญน้อยเกินไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ปฏิเสธ “ผู้ดูแลคนอื่นได้เดือนละหกเหรียญ ข้าเห็นท่านในฐานะเป็นพี่น้องของหวงฝู่อี้เซวียน จึงเพิ่มให้เท่าตัวนะ”


 


 


“แต่ข้าเป็นคุณชายรองของจวนอ๋องนะ ลดตัวไปทำงานเป็นผู้ดูแลโรงงานของเจ้า สมควรได้รับค่าแรงมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “คุณชายรองคิดบัญชีเป็นไหม”


 


 


หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า


 


 


“ทำกุนเชียงเป็นไหม”


 


 


ส่ายหน้าอีก


 


 


“โม่แป้งมันฝรั่งเป็นไหม”


 


 


ส่ายหน้าอย่างเดียว


 


 


“คุณชายรองทำอะไรไม่เป็นเลย สู้คนงานสักคนยังไม่ได้เลย เรื่องอะไรให้ข้าเพิ่มเบี้ยให้หล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


 


หวงฝู่อวี้อึ้งไป พูดขึ้นว่า “เพราะว่าข้าคือคุณชายรองไง ฐานะข้าไปทำงานให้โรงงานของเจ้าจะนำพาเกียรติยศมาให้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม ส่ายหน้าถามกลับไปว่า “ฐานะใช้หาเลี้ยงได้หรือ”


 


 


หวงฝู่อวี้นิ่งเงียบ เม้มปากแล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อข้าทำอะไรไม่เป็นเลย แล้วให้ข้าไปทำไมล่ะ”


 


 


“ก็จะฝึกคุณชายรองให้ช่วยพี่ใหญ่จัดการดูแลงานที่บ้านในอนาคตน่ะสิ คุณชายตกลงแล้วไม่ใช่หรือว่าต่อไปจะร่วมประคับประคองวงศ์ตระกูล จะเป็นไปได้อย่างไรหากจะพึ่งเขาคนเดียว เจ้าก็ควรออกแรงช่วยจวนอ๋องบ้างนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


หวงฝู่อวี้มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน ถามอย่างคาดหวังว่า “พี่ใหญ่ แม่นางเมิ่งพูดจริงหรือขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


“งั้นข้าไป” หวงฝู่อวี้ตอบอย่างดีใจ แต่แล้วก็หน้าเบ้ อ้อนวอนว่า “พี่ใหญ่ พี่ให้แม่นางเมิ่งเพิ่งค่าแรงหน่อยได้ไหม สักสิบสามเหรียญก็ยังดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็อมยิ้ม พูดว่า “โยวเอ๋อร์จะเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าในอนาคต นางจะเป็นคนดูแลเรื่องทุกเรื่องในบ้านหลังนี้ แม้แต่พี่ใหญ่เองก็ต้องฟังนาง”


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจเบิ่งตาโต พูดอย่างไม่เชื่อว่า “พี่ใหญ่ พี่ พี่ พี่…” เมื่อเห็นหน้ากึ่งยิ้มกึ่งจริงจังของเมิ่งเชี่ยนโยว คำพูดที่เหลือก็ถูกกลืนกลับไปโดยปริยาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “ผู้ดูแลโรงงานของข้า ปกติอาศัยในเรือนข้า ทุกเช้าออกไปทำงานด้วยกัน ตอนเย็นเลิกงานก็กลับพร้อมกัน คุณชายรองก็ไม่ยกเว้น วันนี้ก็กลับไปพร้อมข้าเถอะ”


 


 


หวงฝู่อวี้รีบพูดปฏิเสธขึ้นทันที “ข้าไม่ไป ข้าไม่อยากอาศัยอยู่กับคนเหล่านั้น พวกเขาตัวเหม็นเกินไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนึกถึงตอนที่หวงฝู่อวี้ไปลอบฆ่าตนเอง แล้วถูกนางสกัดไว้ได้ สุดท้ายโยนเขาไว้ที่ห้องกัวเฟย วันต่อมานางเห็นสีหน้าน่าสงสารของเขา ในที่สุดก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ พูดขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ให้เจ้าอยู่กับพวกเขาหรอก ข้าจะให้เรือนหนึ่งหลังกับเจ้าเลย แต่จะไม่มีคนคอยรับใช้นะ”


 


 


หวงฝู่อวี้โล่งใจ พูดว่า “ข้าขอคิดดูก่อน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตัดสินใจแทนเขา “ไม่ต้องคิดแล้ว เจ้าไปเก็บสัมภาระ แล้วไปบอกเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ ไปพร้อมโยวเอ๋อร์ตอนนี้เลย”


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่กล้ามีปากเสียง ได้แต่กลับไปเก็บข้าวของตนเอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น พูดว่า “ข้าและโยวเอ๋อร์ไปห้องเสด็จแม่ เจ้าเก็บเสร็จแล้วก็ตามมา”


 


 


หวงฝู่อวี้ขานรับ


 


 


ทั้งสองเดินออกจากเรือนในจวน เข้าไปที่ห้องของพระชายาฉี


 


 


ถึงแม้เรือนของพระชายาฉีจะอยู่ถัดไปสองสามหลัง อ๋องฉีและพระชายาฉีก็ยังได้ยินเสียงร้องโหยหวนของหวงฝู่อวี้ พระชายาฉีกลัวว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะลงมือหนักเกินไป จนรู้สึกร้อนรน ส่วนอ๋องฉีกลับนั่งนิ่งบนเก้าอี้


 


 


ดีที่เสียงร้องดังขึ้นไม่นานก็หยุดลง พระชายาฉีจึงค่อยโล่งใจ อดไม่ได้ที่จะสั่งให้หลิงหลงไปดูลาดเลาที่เรือนของหวงฝู่อวี้ แต่อ๋องฉีพูดห้ามปรามนาง “ไม่ต้อง เซวียนเอ๋อร์ทำอะไรรู้ว่าควรมิควร ไม่ทำให้อวี้เอ๋อร์เป็นอะไรไปหรอก ถึงแม้วันนี้เขาจะลงมือหนักก็ดีเหมือนกัน อวี้เอ๋อร์จะได้ตื่นรู้มีสติเสียหน่อย เขาจะได้ไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใคร ทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงจวนอ๋องอีก”


 


 


อ๋องฉีพูดขนาดนี้แล้ว พระชายาย่อมไม่รั้นทำต่อไป โบกมือให้หลิงหลงออกไป นั่งรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนและโยวเอ๋อร์สองคนเดินเข้ามา ก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “อวี้เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ลูกไม่ได้โบยจนเขาทรุดหนักใช่ไหม”


 


 


“ไม่ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มพลางปฏิเสธ “ลูกแค่กระทืบเขาไปสองที เขาก็พูดทุกอย่างออกมาหมดเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เขาก็แค่หูเบา ฟังคำยุยงของคนอื่น กลับมาก็เลยเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วขอรับ ตกลงกับโยวเอ๋อร์แล้วว่าจะไปเป็นผู้ดูแลโรงงาน ตอนนี้กำลังเก็บข้าวของ อีกสักพักก็ตามมาขอรับ”


 


 


พระชายาฉีตกใจ พูดขึ้นว่า “ได้อย่างไร อวี้เอ๋อร์อายุยังน้อย ต้องไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน จะไปเป็นผู้ดูแลได้อย่างไร”


 


 


“เสด็จแม่” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกพลางหัวเราะ “เสด็จแม่ลืมไปแล้วหรือ อวี้เอ๋อร์อายุเท่าลูก ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ควรให้เขาเรียนอะไรหน่อย ต่อไปจะได้ช่วยดูแลงานของจวนอ๋องแทนข้าได้”

 

 

 


ตอนที่ 157 ไม่อยากให้ท่านเป็นเพียงหมา...

 

พระชายาฉีนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วฉุกคิดได้โดยพลัน จริงด้วยสิ อวี้เอ๋อร์กับเซวียนเอ๋อร์เกิดปีเดียวกันนี่ แต่แค่หลายปีมานี้ อวี้เอ๋อร์ถูกคนในจวนตามใจ จนมีนิสัยเหมือนเด็กน้อยมาตลอด เพราะเหตุนี้ตนเองถึงรู้สึกว่า เขาอ่อนวัยกว่าเซวียนเอ๋อร์มาก


 


 


คิดมาถึงตรงนี้ ก็ยิ้มเล็กน้อย และพูดว่า “หากเจ้าไม่พูดขึ้นมา แม่คงยังลืมแล้วจริงๆ ว่าอวี้เอ๋อร์กับเจ้าอายุเท่ากัน ถึงแม้เป็นจะเช่นนั้น อวี้เอ๋อร์ก็คงไม่เหมาะที่จะไปทำงานด้านบริหารจัดการอยู่ดี ให้เขาศึกษาด้านวิชาการต่อไปเถิด หากเสร็จธุระงานแต่งของลุงเจ้าแล้ว แม่ก็จะสามารถดูแลเขาได้มากขึ้น”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัว “ท่าทีเมื่อครู่กับพฤติกรรมของอวี้เอ๋อร์หลายวันมานี้ มิได้เป็นเพราะความเอาแต่ใจของตัวเองหรอกนะขอรับ แต่เป็นเพราะถูกยุยงต่างหาก ถ้าให้เขาไปศึกษาด้านวิชาการอีก ลูกเกรงว่าเด็กคนนั้นจะหูเบา เชื่อคำยุแยงตะแคงรั่วของคนอื่นอีก ยิ่งทำให้จิตใจขุ่นเคืองขึ้น เช่นนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกเราจะเป็นดั่งน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้อีกต่อไป นั่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นเลย เหตุผลที่ให้เขาไปทำด้านบริหารจัดการที่โรงงานของโยวเอ๋อร์ ก็เป็นเพราะ ข้อแรก เพื่อให้เขาอยู่ห่างจากคนพวกนั้น และข้อสอง เพื่อฝึกความสามารถให้เขารู้จักรับผิดชอบเฉพาะด้าน ภายภาคหน้าจะสามารถช่วยเหลือข้าได้”


 


 


พระชายาฉี เป็นผู้ที่มีความคิดอ่านทะลุปรุโปร่ง พอคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนสิ้นสุดลง นางก็เข้าใจนัยยะสำคัญที่อยู่ในนั้นทันที จึงไม่ได้ทักท้วงอีก และเอ่ยปากถามอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋องคิดเห็นอย่างไรกับการตัดสินใจของเซวียนเอ๋อร์เจ้าคะ”


 


 


ไม่ว่าอย่างไร หวงฝู่อวี้ก็ยังเป็นบุตรชายคนรองแห่งจวนอ๋อง ถึงแม้จะเป็นบุตรชายของพระชายารอง ก็ยังมีศักดิ์สูงกว่าพวกบุตรของข้าราชการธรรมดาอยู่ดี สถานะวางไว้เช่นนั้น หากเขาไปทำงานบริหารจัดการ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่พระชายารองเพิ่งตายไป ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าจวนอ๋องกำลังผลักไสไล่ส่งเขาเพราะความขัดเคืองใจ อ๋องฉีจึงรู้สึกลังเลเล็กน้อย


 


 


คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนทำให้เขารู้สึกตัว “เสด็จพ่อ ลูกรู้ว่าท่านเป็นกังวล แต่ท่านคิดว่าระหว่างชื่อเสียง กับอนาคตของอวี้เอ๋อร์ สิ่งใดสำคัญยิ่งกว่ากันขอรับ”


 


 


อ๋องฉีลบล้างความกังวลโดยพลัน พยักหน้าเห็นด้วย “ก็ได้ เช่นนั้นก็ว่าตามเจ้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมีปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า “เสด็จพ่อ ท่านวางใจเถิด อวี้เอ๋อร์ไปทำงานด้านบริหารจัดการไม่นานหรอกขอรับ รอให้จิตใจของเขาสงบลงแล้ว ลูกจะแนะนำให้แก่เสด็จลุง เพื่อเขาจะได้ติดตามเรียนรู้งานดูแลด้านการปกครองข้างกายข้า”


 


 


เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อ๋องฉีก็สบายใจยิ่งขึ้น พยักหน้าพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เช่นนั้นแล้ว ต่อไปนี้ก็ต้องขอรบกวนแม่นางเมิ่งแล้วล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านอ๋องอย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ เป็นเรื่องที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้เก็บเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จ จึงสั่งให้คนมาเช็ดผมของเขาให้แห้ง มัดผมเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตรงมาที่ห้องของพระชายาฉี ทันทีที่เข้าไปในห้อง เขาก็คุกเข่าลงพื้นขออภัยโทษ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ได้โปรดให้อภัยในสิ่งที่ลูกได้กระทำผิดไปด้วยขอรับ”


 


 


อ๋องฉีไม่ได้พูดอย่างใด พระชายายิ้มกวักมือเรียก หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นไปตรงหน้าแม่ของเขา พระชายากำชับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็โตแล้ว ควรมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรสักอย่างบ้างแล้ว ตอนนี้ได้ไปฝึกที่โรงงานของแม่นางเมิ่งก็ดีเหมือนกัน หลังจากนั้นผ่านไป เจ้ากับพี่ชายใหญ่ของเจ้าจะได้ช่วยเหลือค้ำจุนจวนอ๋องด้วยกัน เสด็จพ่อของเจ้ากับแม่ก็รู้สึกยินดี ไร้ซึ่งกังวลแล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า “เสด็จแม่ ลูกอวี้รู้เท่าไม่ถึงการ ลืมที่พี่ใหญ่เคยบอกกับลูกไปเสียได้ว่า ต้องช่วยกันค้ำจุนจวนอ๋องต่อไป นับจากนี้ลูกจะไม่กระทำผิดอีกแล้วขอรับ ลูกรู้ว่า เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และพี่ใหญ่หวังดีต่อลูกจริงๆ และไม่ได้จะทำร้ายลูก”


 


 


พระชายาพยักหน้าอย่างปลื้มใจ “เด็กโง่เอ๋ย รู้ก็ดีแล้ว เจ้าต้องจำไว้ตลอดว่า ไม่ว่าเวลาใด พวกเราล้วนเป็นคนที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้าหงึกๆ “คำสั่งสอนของเสด็จแม่ ลูกจดจำไว้แล้ว ต่อไปจะไม่ลืมอย่างเด็ดขาดขอรับ วันนี้ลูกจะตามแม่นางเมิ่งไปที่บ้านของนาง ได้ค่าแรงมาเมื่อใด ลูกจะซื้อของกลับมาเพื่อตอบแทนบุญคุณของเสด็จพ่อและเสด็จแม่อย่างแน่นอนขอรับ”


 


 


เมื่อได้ยินว่าเขายังต้องไปอาศัยที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วย พระชายาฉีก็ตกใจ มองไปยังหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้นาง พระชายาฉีเกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาเล็กน้อย อ๋องฉีไม่ได้พูดอย่างใด


 


 


หลังจากหวงฝู่อวี้พูดจบ ถึงสังเกตได้ว่าพระชายาฉีนั่งอยู่บนเตียงโดยที่มีผ้าผืนบางคลุมไว้ตลอด จึงซักถามด้วยความแปลกใจว่า “ร่างกายของเสด็จแม่ไม่สบายอีกแล้วหรือขอรับ”


 


 


พระชายาฉีไม่ปรารถนาให้เขารู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในจวน จึงจงใจปิดบังไว้ และพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้แม่เหนื่อยเหลือเกิน แม่รู้สึกไม่ค่อยสบายกายจริงๆ แต่พักแค่ไม่กี่วันก็หายดีแล้ว อวี้เอ๋อร์ไม่ต้องเป็นกังวลหรอก”


 


 


หลายปีมานั้น พระชายาฉีมีอาการป่วยเกือบทุกวัน ต้องนอนบนเตียงตลอด ดังนั้นหวงฝู่อวี้จึงไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้าตอบรับ และกำชับนาง “เสด็จแม่ต้องดูแลร่างกายของท่านให้มากๆ นะขอรับ”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้ายิ้มให้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาอ๋องฉีและพระชายาฉี ออกมาจากห้องพร้อมกันกับหวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้ แล้วเดินไปยังนอกจวน


 


 


เมื่อเห็นพวกเขาไปกันหมดแล้ว พระชายาฉีถึงจะถอดถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย อยากจะพักสักหน่อย เชิญท่านตามสะดวกเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


อ๋องฉีพยักหน้า ลุกขึ้น และไปยังห้องหนังสือ


 


 


เมื่อทั้งสามคนออกมานอกจวน เฮ่ออีก็ได้เตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อวี้ขึ้นนั่งบนรถม้าอย่างคล่องแคล่ว หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “วันนี้ข้าไม่ส่งเจ้ากลับแล้วละกัน เดินทางระวังด้วยล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้มให้ และกลับขึ้นมาบนรถม้าของตน กัวเฟยบังคับรถม้าอยู่ด้านหน้า ส่วนเฮ่ออีบังคับรถม้าอยู่ด้านหลัง และกลับมาถึงบ้านที่อยู่เมืองตอนใต้


 


 


ในตอนแรกก็พิจารณาว่า จะมีคนไปๆ มาๆ ที่บ้านเยอะ เรือนพักอาศัยที่เมิ่งเชี่ยนโยวซื้อมานี้จึงมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับพระชายาฉีแล้ว ยังห่างชั้นกันมาก ครั้นหวงฝู่อวี้ลงจากรถม้า เห็นบ้านพักที่ดูซอมซ่อ ก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้าตามมา เห็นท่าทางของเขาเช่นนั้น จึงพูดกับเขาอย่างทีเล่นทีจริงว่า “เห็นสีหน้าของคุณชายรอง ก็รู้แล้วว่า ท่านรังเกียจที่จวนข้าดูไม่ดี อยากกลับจวนอ๋องเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


เท้าที่ไร้ซึ่งปราณีของหวงฝู่อี้เซวียนถีบเข้าอย่างแรงเมื่อครู่ ทำเอาตอนนี้หวงฝู่อวี้นึกขึ้นแล้ว ก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งกาย ไหนเลยจะกล้าพูดกลับจวนได้ จึงรีบส่ายหน้า พูดอย่างปากไม่ตรงกับใจว่า “ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจเลย นี่ก็ดีมากแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขาอีก กำชับกับชิงหลวนว่า “จัดแจงเรือนที่ใกล้ข้ามากที่สุดให้คุณชายรองอาศัย”


 


 


ชิงหลวนรับคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าจวน


 


 


หวงฝู่อวี้เดินอุ้ยอ้ายตามเข้าไปอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ โดยมีชิงหลวนนำทางไปยังเรือนที่ใกล้กับห้องของเมิ่งเชี่ยนโยวที่สุด


 


 


เฮ่ออีตามกัวเฟยที่ลากรถม้าจากข้างประตู ไปยังด้านหลังเรือน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าห้องตัวเอง หยิบยากระตุ้นเลือดลมไหลเวียนที่ตนเองผสมและจัดเตรียมไว้เรียบร้อย มายังเรือนของหวงฝู่อวี้ มอบให้กับเฮ่ออี “รีบนำยาขวดนี้ไปทาให้นายของพวกเจ้า จำไว้ว่า ขณะที่นวด ต้องออกแรงคลึงสักเล็กน้อย เพื่อให้รอยช้ำบนตัวเขาคลายออก”


 


 


ไม่ต้องพูดไปถึงว่า ตอนนี้หวงฝู่อวี้เป็นเพียงผู้ขออาศัย แค่เพียงนึกถึงตอนแรกที่หวงฝู่อวี้นำพวกเขาไปลอบสังหารเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวก็อาศัยจังหวะที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัวหยุดหวงฝู่อวี้ไว้ได้ในเพลงเดียว แล้วกลับกลายว่า ยังต้องมาให้ความช่วยเหลือเรื่องของพวกเขาอีก ทำให้เฮ่ออีนับถือนางยิ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก็รับขวดยามาอย่างเคารพ ถือไว้บนมือ และหันตัวเดินเข้าไปห้องข้างใน


 


 


เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นจากด้านหลังของเขา “นี่เป็นยาที่ข้าผสมเองกับมือ ต่อให้เป็นร้านยาที่ดีที่สุดก็ไม่มีขาย ใช้อย่างระมัดระวังหน่อยล่ะ ส่วนที่เหลือก็มอบให้เจ้าเลย”


 


 


เฮ่ออีดีใจยกใหญ่ หยุดก้าวเดิน และหันมาขอบคุณ “ขอบพระคุณแม่นางเมิ่งมากขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือห้าม “รีบไปเถิด ดูจากนิสัยคุณชายรองของพวกเจ้า จนถึงตอนนี้ยังสามารถอดทนไม่ร้องโอดครวญได้ ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว”


 


 


ราวกับอยากจะยืนยันคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวว่าเป็นจริงอย่างไรอย่างนั้น ถ้อยคำยังไม่ทันขาด เสียงร้องตะโกนที่ออกจะเกินกว่าเหตุของหวงฝู่อวี้ก็ดังออกมาจากในห้อง “โอ๊ย ปวดจะตายอยู่แล้ว พี่…พี่ใหญ่ลงมือกับข้าหนักเสียจริง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา


 


 


เฮ่ออีหน้าแดงก่ำ หยิบขวดยาเดินเข้าไปในห้อง กล่าวกับหวงฝู่อวี้ด้วยท่าทีนับถือ “คุณชายรองขอรับ แม่นางเมิ่งมอบยาดีมาให้ บ่าวจะทาให้นะขอรับ แล้วพรุ่งนี้ท่านจะหายดี”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า ถอดเสื้อผ้าออกให้เฮ่ออีทายาอย่างว่าง่าย รอจนเฮ่ออีแต้มยาบนกายของเขาที่มีรอยฟกช้ำเขียวเสร็จ จึงพูดอย่างดีใจว่า “ยาที่แม่นางเมิ่งมอบให้นี้ ดีจริงๆ ไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่า…” พูดยังไม่จบ เฮ่ออีก็เริ่มลงมือนวดตามรอยเขียวช้ำนั้น หวงฝู่อวี้ตะโกนร้องโวยวายขึ้นทันที ราวกับเสียงของหมูที่กำลังจะถูกฆ่าอย่างไรอย่างนั้น “โอยยย เจ็บๆๆ เฮ่ออีหยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าอยากจะให้ข้าเจ็บจนตายเลยหรือนี่!”


 


 


คนในจวนต่างตกใจกับเสียงร้องอันน่าเวทนาของเขา โดยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงทยอยกันมาตามเสียงที่ดังมาจากหน้าเรือนของเขา แล้วเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ภายในเรือน ทว่า เสียงร้องนั้นดังมาจากห้องด้านใน จึงถามเป็นเสียงเดียวกันด้วยความตกใจว่า “นายหญิง เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบพวกนาง แต่กำชับว่า “ไม่มีอะไรหรอก พวกเจ้าไปทำงานของพวกเจ้าเถอะ”


 


 


สาวใช้และแม่ครัวได้ยินดังนั้น ก็เหลือบมองภายในห้องอย่างฉงนสงสัยแวบหนึ่ง แล้วแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง


 


 


เสียงร้องอันน่าเวทนาของหวงฝู่อวี้ดังไม่หยุด เฮ่ออีทำเป็นไม่ได้ยิน และออกแรงนวดต่อไป เท้าของหวงฝู่อี้เซวียนที่ถีบใส่นั้นช่างหนักหนาสาหัสยิ่ง ทั้งกายเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำ เสียงร้องโอดครวญดังต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสิบห้านาทีถึงจะหยุด ความเจ็บปวดหวงฝู่อวี้ค่อยๆ บรรเทาลง เขานอนคว่ำอยู่บนเตียง พูดอย่างเคียดแค้นว่า “เฮ่ออี เจ้าคอยดูเถิด รอดูว่าพรุ่งนี้ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”


 


 


เฮ่ออีรีบอธิบายอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายรองขอรับ รอยเขียวบนกายของท่านฟกช้ำอย่างหนัก วันนี้จำเป็นต้องให้มันคลายตัว มิฉะนั้นเกรงว่า พรุ่งนี้แม้แต่ท่านจะลุกจากเตียงนอนก็ยังทำไม่ได้ขอรับ”


 


 


“ลุกออกจากเตียงไม่ได้ ข้าก็นอนอยู่สักวันสองวันก่อน จนกว่ามันจะค่อยๆ คลายตัวก็ได้ แล้วจำเป็นให้เจ้าต้องออกแรงเช่นนี้เชียวหรือ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะปกติข้าเข้มงวดกับเจ้ามากเกินไป วันนี้เจ้าจึงฉวยโอกาสแก้แค้นข้าสินะ”


 


 


เฮ่ออีรีบตอบอย่างกระวนกระวาย “บ่าวมิกล้าขอรับ เป็นเพราะพรุ่งนี้ท่านต้องติดตามแม่นางเมิ่งไปโรงงานแล้วจริงๆ ไม่มีเวลามานอนเอนกายอยู่บนเตียงหรอกขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้ถึงฉุกคิดได้ว่า พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานที่โรงงานอีก เสื้อผ้าก็ยังไม่ใส่ให้เรียบร้อย กลับมาร้องครวญคราง นอนคว่ำอยู่บนเตียง จึงพูดอย่างตัดพ้อว่า “ข้าไม่อยากไป!”


 


 


ถ้อยคำของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป เสียงปนขบขันของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังออกมาจากในเรือน “คุณชายรอง ท่านอยากกลับคำพูดหรือเจ้าคะ อย่าลืมว่าตอนนี้ท่านอยู่ในจวนของข้า หากท่านไม่เชื่อฟังล่ะก็ ข้ามีวิธีจัดการท่านในแบบของข้านะเจ้าคะ”


 


 


เมื่อนึกถึงตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ใช้วิธีสารพัดจัดการกับคนอื่นในระหว่างที่เดินทางอยู่ที่อำเภอชิงเหอของเมืองหลวงแล้ว หวงฝู่อวี้ก็กลัวจนตัวสั่นระริก จึงรีบตอบอย่างลนลานว่า “ไม่ๆๆ ข้าแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง วันพรุ่งนี้ก็ตามเจ้าไปนั่นล่ะ” พูดจบ ก็ดันตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย และเดินออกมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยืนอยู่ในเรือน จึงพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าเหนื่อยแล้วสินะ เข้ามานั่งในห้องสิ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลอบหัวเราะอยู่ในใจ แต่เดินเข้าไปในห้องโดยไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทีอย่างไร พร้อมสั่งชิงหลวนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่า “ไปยกน้ำชามาให้คุณชายรอง”


 


 


ชิงหลวนรับคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเฮ่ออีอีกว่า “ในจวนของข้า นอกจากงานซักเสื้อผ้าและทำครัวแค่สองอย่างนี้ที่มีสาวใช้รับผิดชอบ ส่วนที่เหลือ ต้องจัดการด้วยตัวเอง และต่อจากนี้ไป หน้าที่รินน้ำชาให้คุณชายรองของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องมาทำแล้ว”


 


 


เฮ่ออีรับคำ


 


 


“ไปเถอะ ไปเดินรอบๆ จวนให้คุ้นชินเสียบ้าง ข้ามีเรื่องที่ต้องพูดกับคุณชายรอง”


 


 


เฮ่ออีเดินถอยออกไปอย่างนอบน้อม


 


 


ชิงหลวนยกน้ำชาเข้ามา วางแก้วไว้ตรงหน้าคนละใบ แล้วถอยออกไปเฝ้าที่หน้าประตูทั้งสองด้านกับจูหลี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำชาขึ้น เปิดฝาครอบแก้วออก เป่าลมอย่างเบาๆ และดื่มสองสามคำอย่างระวัง


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่รู้ว่านางจะพูดเรื่องอะไร ในใจรู้สึกกระวนกระวายจนไม่กล้าแตะถ้วยชาของตน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาลง หันศีรษะมองหวงฝู่อวี้ ถามว่า “คุณชายรองคิดว่า พระชายาปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”


 


 


“เสด็จแม่ดีต่อข้ามาก หลายปีมานี้ไม่เคยปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่เป็นธรรม” หวงฝู่อวี้รีบตอบ


 


 


“เช่นนั้น เรื่องที่เสด็จแม่ของท่านตาย คุณชายรองได้โยนความโกรธแค้นให้พระชายาหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


พูดถึงพระชายารอง สีหน้าของหวงฝู่อวี้หม่นหมองลง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะตอบขึ้นว่า “การตายของเสด็จแม่ข้า มาจากผลกรรมที่เสด็จแม่ก่อไว้ หาโทษผู้ใดได้ไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น คุณชายรองก็คงทราบแล้วว่าวันนี้พระชายาได้รับบาดเจ็บ มิใช่เป็นเพราะร่างกายไม่สบายดังที่นางกล่าว?”


 


 


หวงฝู่อวี้มองนางด้วยความตื่นตระหนก และกล่าวว่า “ข้าไม่ทราบ พระชายาจะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขาอยู่นาน จนหวงฝู่อวี้ทนไม่ได้ราวกับจะกระโดดตัวขึ้น จึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “นั่นก็เป็นเพราะท่านป้าที่แสนดีของท่าน ต้องการโทษว่า ที่แม่ของท่านตายเป็นเพราะพระชายา จึงสั่งคนไปบีบบังคับให้นางต้องคุกเข่าลงบนพื้นที่ทำด้วยอิฐหินเขียว”


 


 


หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นยืนอย่างตกตะลึง เมิ่งเชี่ยนโยวกลับคาดการณ์ได้แต่แรกว่าเขาจะมีท่าทีเช่นนี้ จึงไม่ได้สนใจเขา และพูดต่อว่า “ร่างกายของพระชายาอ่อนแออย่างมาก ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะท่านอ๋องไปถึงได้ทันเวลา เกรงว่า วันนี้พระชายาคงจะได้นอนป่วยอยู่บนเตียงจริงๆ”


 


 


“ข้าต้องกลับไปพบเสด็จแม่!” พูดแล้ว หวงฝู่อวี้ก็ยกขาขึ้นเพื่อจะวิ่งออกไปข้างนอก


 


 


เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นต่อไป “คุณชายรองไม่จำเป็นต้องกลับไปหรอกเจ้าค่ะ ข้าได้ตรวจทานให้พระชายาก่อนแล้ว เคราะห์ดีที่บาดเจ็บแค่ภายนอก พักผ่อนไม่กี่วันก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อวี้ชะงักเท้าลง หันศีรษะกลับไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้ามองเขา พูดว่า “ที่ข้าบอกเรื่องพวกนี้กับท่าน ก็เพราะหลังจากนี้ ข้าไม่อยากให้คุณชายรองถูกหลอกใช้ และกลายเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของผู้ไม่หวังดีต่อจวนอ๋องเจ้าค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 158 ที่พูดเพราะหวังดี

 

หวงฝู่อวี้เหม่อนิ่งไปชั่วขณะ


 


 


“คุณชายรองคงจะทราบดี ท่านเป็นบุตรของพระชายารองและมารดาของท่านก็กระทำความผิดอย่างมหันต์ หากว่าเป็นจวนอื่นแล้วล่ะก็ คงเดือดร้อนพาลไปถึงท่านด้วยตั้งนานแล้ว และแม้แต่สามัญชนท่านก็เทียบเท่าไม่ได้ แต่พระชายาและอี้เซวียนไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขาเห็นท่านเป็นคนในครอบครัว ดูแลท่าน เจือจุนท่านอย่างเอาใจใส่ นี่ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขามีจิตใจเมตตาหรือสงสารท่าน แต่เพราะพวกเขาคิดเช่นนั้นจากใจจริงตลอดมา”


 


 


หวงฝู่อวี้พูดอะไรไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อไปว่า “คุณชายรองยังจำเรื่องที่แม่ของท่านวางยาทำหมันให้แก่อี้เซวียนได้หรือไม่ อี้เซวียนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่านอ๋องและพระชายา แผนการณ์ของแม่ท่านจึงไม่อาจสำเร็จได้ แต่นางกลับใส่ยาทำหมันลงไปในขนม และให้เจ้ามอบให้แก่อี้เซวียน ถึงจะบรรลุผล ถ้าหากไม่ใช่ข้าเจอเข้าก่อน ทั้งชีวิตของอี้เซวียนไม่เพียงแต่จะมีลูกหลานสืบทอดไม่ได้ และยังอาจจะเหมือนกับคนพิการที่ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดไป แต่เมื่อเขารู้เข้าว่ามียาทำหมันซ่อนอยู่ในขนมที่ท่านยกไปให้ ก็ยังไม่โยนความผิดให้ท่าน กลับกันแล้ว ยังช่วยท่านปิดบังต่อหน้าท่านอ๋องและพระชายาอีก คุณชายรองลองนึกดูเสียเถิดเจ้าคะ อี้เซวียนทำเช่นนี้ไปเพราะเหตุใดกันแน่ ถ้าหากเขาไม่ได้มองท่านเป็นพี่น้องแท้ๆ ของตัวเอง เขาจะเลือกไม่เปิดโปงเช่นนี้หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อวี้สับสนและสมองตื้อไปหมด จึงเหม่ออึ้งไป เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ริมฝีปากของเขาอึ้งๆ อ้ำๆ ปิดๆ เปิดๆ อยู่อย่างนั้น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ


 


 


เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ก็ไม่มองเขาอีก แต่ยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างช้าๆ


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ หวงฝู่อวี้ถึงจะล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วพูดพึมพำว่า “ข้าเกือบจะทำร้ายพี่ใหญ่แล้ว ข้าเกือบจะทำร้ายพี่ใหญ่”


 


 


“คุณชายรองตอนนี้รู้แล้วสินะเจ้าคะ ว่าพระชายากับอี้เซวียนจริงใจหรือเสแสร้งต่อท่าน”


 


 


หวงฝู่อวี้เงยหน้าขึ้น นัยน์ตามีประกายของน้ำตา “แม่นางเมิ่ง ข้า…ข้า…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาลง ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “คุณชายรองคิดทบทวนให้ดีละกันเจ้าค่ะ พวกเราช่วยท่านได้แค่ระยะหนึ่ง แต่ไม่อาจช่วยท่านได้ตลอดชีวิต หลังจากนี้ต่อไปจะทำเช่นใด และทำอย่างไร ล้วนขึ้นอยู่กับใจของท่าน” พูดจบ ก็เดินออกไป


 


 


หวงฝู่อวี้ยังคงอยู่ในห้อง นึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับหลายวันที่ตัวเองได้กระทำลงไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากเรือนของหวงฝู่อวี้ พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ นางพูดได้เท่านี้ หากภายหลังหวงฝู่อวี้ยังหูเบาเชื่อฟังคำยุแยงของคนอื่นอีก และทำตัวเป็นปรปักษ์ต่ออี้เซวียน นางก็จะไม่เกรงใจเหมือนตอนนี้อีก การที่คนมีจิตใจดี มีเมตตาเป็นเรื่องที่ดี แต่หากใจดี มีเมตตาเกินไป ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนได้ นางจะไม่ทำให้หวงฝู่อวี้ต้องกลายเป็นจุดอ่อนของอี้เซวียน ที่จะทำให้ชีวิตเขาในภายหลังต้องพานพบกับความหายนะอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยเด็ดขาด


 


 


เฮ่ออีเดินรอบจวนกลับมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ในเรือน จึงรู้สึกแปลกใจ ขณะที่กำลังจะโค้งคำนับนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็โบกมือห้าม พูดว่า “อย่ารบกวนนายของเจ้า มีเรื่องบางเรื่องที่ต้องให้เขาคิดทบทวนให้ดี” พูดจบ ก็เดินออกไป กลับไปยังเรือนของตัวเอง


 


 


เฮ่ออีอึ้งไปชั่วครู่ และมองเข้าไปในห้อง


 


 


ภายในห้องไม่มีเสียงแม้แต่น้อย


 


 


เฮ่ออีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ อยากจะเข้าไปในห้องดูเสียหน่อย แต่พอนึกถึงคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ดึงเท้าที่ก้าวเหยียดออกไปกลับมา แล้วถอยไปเฝ้าอยู่ที่ประตูนอกเรือน


 


 


ไทเฮาและฮ่องเต้ไม่รับปากอี้เซวียนถึงเรื่องงานสมรสของเขา แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ตัวเองคาดเดาไว้ได้แล้ว แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงไม่เป็นสุข มักจะเกิดความรู้สึกว่า ในใจอัดอั้นไปด้วยสุมไฟที่ไม่อาจหาที่ระบายออกได้ พอกลับเข้าห้อง ก็สั่งชิงหลวนให้นำยาสมุนไพรแต่ละชนิดวางไว้บนโต๊ะ โบกมือให้พวกเขาออกไป แล้วใช้แรงตำยาอย่างหนัก เสียง ตึงตึงตึง นั้น น่าสะพรึงจนทำให้ชิงหลวนและจูหลีสองคนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างมองหน้ากัน


 


 


เสียงตำยาดังต่อเนื่อง ล่วงเลยจนเวลาพลบค่ำถึงหยุดลง ชิงหลวนและจูหลีมองกันแวบหนึ่ง ขณะที่กำลังจะส่งเสียงซักถาม เมิ่งเชี่ยนโยวได้เปิดม่านประตู เดินออกมาจากห้อง นางเดินไปยังข้างนอก พลางพูดสั่งว่า “ชิงหลวน เจ้าไปเรียกคุณชายรองให้ไปช่วยในครัว จูหลีเจ้าไปเก็บกวาดสมุนไพรในห้องหน่อย”


 


 


ทั้งสองคนรับคำอย่างกระวีกระวาด และไปทำตามหน้าที่ของตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงห้องครัว แม่ครัวและสาวใช้สามคนที่ช่วยอยู่เห็นนางเดินเข้ามา ก็ทักทายอย่างนอบน้อม “นายหญิง!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “พวกเจ้าทั้งหมดออกไปเถอะ ข้าวเย็นวันนี้ข้าจะทำเอง”


 


 


นางมักจะมาทำอาหารในห้องครัวเป็นประจำ แม่ครัวและเหล่าสาวใช้เคยชินจนเห็นว่า เรื่องแปลกกลายเป็นปกติเสียแล้ว พอได้ยินแล้วก็เดินออกไปด้านนอก เหลือแต่เพียงสาวใช้คนหนึ่งที่อยู่เพื่อเตรียมช่วยนางจุดไฟ


 


 


“เจ้าก็ออกไปด้วยเถิด ประเดี๋ยวจะมีคนมาช่วย”


 


 


สาวใช้ก็เดินออกไปด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินวนอยู่ในห้องครัวหนึ่งรอบ เพื่อสำรวจว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง พอคิดออกว่าจะทำอาหารอะไรบ้าง ก็เริ่มเตรียมตัว


 


 


หวงฝู่อวี้เหม่อนิ่งอยู่ในห้องทั้งบ่าย คิดถึงว่า ตลอดหลายปีนี้พระชายาทำดีกับตัวเอง และยังมีหวงฝู่อี้เซวียนที่หลังจากกลับมาแล้ว ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซื่อจื่อก็ไม่ได้เป็นเหมือนบุตรของพระชายาบ้านอื่นที่จะผลักไสไล่ส่งตน แต่กลับปฏิบัติเหมือนกับเป็นพี่น้องแท้ๆ ด้วยเหตุนี้ แม่ของเขาจึงหลอกยืมมือเขาไปวางยาหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


เรื่องราวแต่ละเรื่องค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนหัวของเขา เวลานี้หวงฝู่อวี้ถึงจะรู้ซึ้งว่า ครั้งนี้ตัวเองได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ ผิดอย่างมหันต์เสียด้วย ความรู้สึกเสียใจภายหลังที่นับไม่ถ้วนเอ่อล้นขึ้นในใจ อยากจะรีบกลับไปที่จวนเพื่อขอขมา


 


 


ชิงหลวนเข้ามาตะโกนเรียกเขา บอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาไปช่วยงานในครัว หวงฝู่อวี้ถึงจะเรียกสติกลับคืนได้ นึกอย่างแรกก็คือ เมิ่งเชี่ยนโยวคิดวิธีใหม่ที่จะมาจัดการเขาอีกแล้ว แม้ว่าไม่ยินยอม ก็ไม่กล้าที่จะต่อต้าน จึงลุกขึ้น เดินออกไป แล้วตามมาถึงห้องครัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าหั่นผัก เห็นเขาเข้ามา จึงสั่งว่า “เย็นนี้ข้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้ท่านสักสองสามอย่างนะเจ้าคะ ท่านมาจุดไฟหน่อยเจ้าค่ะ”


 


 


งานชั้นต่ำเช่นนี้ ไหนเลยที่หวงฝู่อวี้จะเคยทำ จึงบ่นอย่างไม่พอใจทันที “นี่เป็นงานที่บ่าวรับใช้เท่านั้นถึงจะทำ ข้าทำเป็นที่ไหนกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดหั่นผักลง มองเขาอย่างทีเล่นทีจริง และพูดว่า “ในบ้านของข้า ไม่มีการแยกว่าใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าว อี้เซวียนมา ก็ต้องช่วยจุดไฟเหมือนกัน ท่านจะทำไม่เป็นได้อย่างไร”


 


 


หวงฝู่อวี้ส่ายหัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ข้าไม่เชื่อ พี่ใหญ่เป็นคนสูงศักดิ์เช่นนั้น จะช่วยเจ้าจุดไฟได้อย่างไร เจ้าอย่ามาหลอกข้าเสียเลย”


 


 


“ท่านจะไม่จุดไฟจริงๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับอย่างใจเย็น


 


 


หวงฝู่อวี้ฟังออกว่านางกำลังพูดขู่อยู่ กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วถามอย่างอ่อนแรง “ถ้าข้าไม่จุดไฟ จะเกิดอะไรขึ้น”


 


 


“แน่นอนว่าจะไม่มีข้าวกินสิเจ้าคะ ไว้เมื่อไรที่ท่านจุดไฟเป็นแล้ว ค่อยกินข้าวนะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขาอย่างสบายๆ


 


 


หวงฝู่อวี้ถลึงตา ถามกลับอย่างไม่เชื่อถือด้วยความตกใจ “ไม่มีข้าวกิน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าแรงๆ


 


 


เห็นนางดูเหมือนไม่ได้ล้อเล่น หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้วย่นอย่างสับสน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขาอีก ก้มหน้าลงไปหั่นผักใหม่อีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อวี้ยืนอยู่ที่เดิม มองดูท่าทางอย่างชำนาญของนางชั่วครู่ ถึงจะกัดฟันพูดว่า “จุดก็จุด ถ้าไฟไม่ดี เจ้าก็อย่ามาโทษข้าละกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มีดชี้ไปยังตำแหน่งของเตาไฟ “เตรียมฟืนไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านไปจุดไฟเลยเจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อวี้เดินอย่างอุ้ยอ้ายเข้าไป มองเตาไฟอย่างขยะแขยง พับเสื้อผ้าของตัวเองอย่างระมัดระวังเสร็จแล้ว ถึงจะย่อลงมาอย่างไม่เต็มใจ คว้าฟืนกำใหญ่ยัดเข้าไปภายในเตา เมื่อเจอหินเหล็กไฟ ก็ออกแรงตีเพื่อจุดให้ไฟติดบนฟืน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีที่ดูเอาการเอางานของเขา ก็ไม่ได้สนใจเขาอีก ก้มหน้า เริ่มหั่นผัก


 


 


หลังจากที่หวงฝู่อวี้จุดไฟได้ก็รู้สึกได้ใจอย่างมาก แต่ไฟติดเพียงชั่วครู่ก็มอดดับลง ทำให้รู้สึกร้อนรนใจอย่างมาก พอจุดอีกครั้ง ก็มอดดับอีก เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จนทำให้ภายในครัวเต็มไปด้วยควันโขมง


 


 


หวงฝู่อวี้สำลักตลอด เฮ่ออีทนดูไม่ได้แล้วจริงๆ จึงเดินเข้ามาข้างๆ เตาไฟ “นายท่าน ให้ข้าช่วยท่านเถิดขอรับ”


 


 


หวงฝู่อวี้ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนมาช่วย พอจะลุกขึ้นและเพิ่งจะลุกได้ครึ่งเดียว เสียงที่เข้มงวดของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น “ข้าไม่อนุญาตให้ช่วยเขา อนุญาตได้เพียงแค่บอกให้เขาทำอย่างไร”


 


 


ร่างของหวงฝู่อวี้ก็ย่อลงกลับไป


 


 


เฮ่ออีให้เขานำฟืนในเตาออกมาส่วนหนึ่ง และจุดใหม่ สอนให้เขาเป่าอย่างไร ถึงจะสามารถทำให้ไฟลุกได้


 


 


หวงฝู่อวี้ทำตามที่บอก ไฟภายในเตาก็ลุกโชนขึ้นทันที ในใจรู้สึกยินดีและตะโกนร้องอย่างดีใจ “จุดติดแล้ว!”


 


 


“ดีมากเจ้าค่ะ ทำตามนี้เลย รอประเดี๋ยวที่ข้าไปผัดกับข้าว ก็จุดไฟให้แรงขึ้นก็ได้แล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า และใส่ฟืนกำเล็กๆ เพิ่มเข้าไปในเตาอย่างระมัดระวัง ทำให้ไฟแรงขึ้นเล็กน้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมเสร็จ ก็เริ่มผัดกับข้าว โดยกำชับให้เขาจุดไฟให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย หวงฝู่อวี้มีท่าทีออกจะป้ำๆ เป๋อๆ เสียหน่อย ไฟติดแรงบ้าง เบาบ้าง พอไม่ระวังไฟก็มอดดับไปหลายครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้รีบร้อน และกำชับให้เขาทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็พอแล้ว


 


 


เดิมทีหวงฝู่อวี้กลัวเป็นอย่างมาก พอเห็นนางไม่ได้ต่อว่าตน และไม่ได้ลงโทษตน ใจก็ค่อยๆ สงบลง และค่อยๆ ทำความเข้าใจวิธีการ


 


 


อาหารทำเสร็จแล้ว หวงฝู่อวี้เหงื่อออกโซมกาย รู้สึกไม่สบายเหนียวตัวไปทั้งตัว จึงร้องขอว่า “ข้าอยากไปอาบน้ำก่อนสักหน่อย ค่อยมากินข้าว”


 


 


กับข้าวจานสุดท้ายยกออกมาวาง เมิ่งเชี่ยนโยวตักใส่จานเล็กแยกออกมา แล้วยื่นไปตรงหน้าเขา “ลองชิมดูว่าที่ข้าทำอร่อยหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


อาหารที่กินตอนกลางวันล้วนถูกฝ่าเท้าเหล่านั้นของหวงฝู่อี้เซวียนถีบจนสำรอกออกมาหมดแล้ว กลิ่นที่หอมหวนของอาหารเมื่อครู่ ทำเขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายไปหลายอึก พอเห็นจานที่ยื่นมาอยู่ตรงหน้า หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นรับมา และหยิบตะเกียบที่เฮ่ออีส่งให้ คีบอาหารคำใหญ่เข้าปากทันที คำแรกที่ลงท้องไป ก็ถลึงตาด้วยความไม่เชื่อ พูดชมอย่างเป็นไม่คำ “อร่อย อร่อยสุดๆ เลย!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองเขา และพูดว่า “แต่ไหนแต่ไรมาบ้านของพวกข้าไม่เคยมีกฎเหลืออาหารไว้ให้ใคร ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าท่านอยากจะไปอาบน้ำ”


 


 


หวงฝู่อวี้กินคำสุดท้ายหมด ก็นำจานส่งให้เฮ่ออี และส่ายหัว “ไม่รีบ ข้ากินข้าวเสร็จค่อยอาบน้ำก็ยังไม่สาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา


 


 


เมิ่งฉีกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำให้พวกเขารู้จักซึ่งกันและกันเสร็จ ก็พูดว่า “ข้ารับปากคุณชายรองว่าจะให้เขามาทำงานด้านบริหารจัดการโรงงานแล้ว วันรุ่งก็ให้เขาไปเข้างานเลยเจ้าค่ะ”


 


 


แม้ในใจของเมิ่งฉีรู้สึกประหลาด แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก และพยักหน้า


 


 


เมื่อกินข้าวเสร็จ หวงฝู่อวี้กลับไปยังเรือนของตัวเองเพื่ออาบน้ำ เมิ่งฉีอยู่ต่อ รอฟังคำอธิบายของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็บอกเล่าความเป็นมาเป็นไปทั้งหมด และพูดว่า “จุดประสงค์ของอี้เซวียนและข้าคือ ให้เขาได้ออกห่างจากพวกลูกของข้าราชการเหล่านั้นก่อน เพื่อไม่ให้โดนพวกเขายุแยงให้ทำอะไรที่ไม่สมควร อีกประการก็คือ หลบเลี่ยงคนของสำนักมหาเสนาบดีที่จะมาหลอกใช้เขาเพื่อต่อกรกับจวนอ๋องฉี ส่วนด้านการค้านี้ ถ้าหากเขาสามารถเรียนรู้ได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี หากเรียนไม่ได้ก็ไม่บังคับเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า “แม่เข้าใจแล้ว พรุ่งนี้แม่พาเขาไปแล้วกัน”


 


 


“พรุ่งนี้ข้าก็ไม่มีธุระใด ข้าตามพวกท่านไปด้วยแล้วกัน วันแรกควรจะให้เขาได้ปรับตัวเสียหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เมิ่งฉีไม่ได้คัดค้านอย่างไร


 


 


เมื่อได้ตกลงเรื่องนี้กันเรียบร้อย ก็ต่างคนต่างแยกย้ายกลับเข้าไปพักในห้องตน


 


 


ทั้งคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันที่สองกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็นั่งรถมาเข้ามายังโรงงานที่อยู่เป่ยเฉิง


 


 


เหล่าคนงานเข้างานตั้งแต่เช้าแล้ว เสี่ยวซือคือผู้ที่รับผิดชอบด้านบริหารจัดการโรงงานอยู่ ณ ตอนนี้ เมื่อเห็นคนสามสี่คนเดินเข้ามา ก็รีบเข้ามาแสดงความเคารพ “เถ้าแก่เนี้ย แม่นางเมิ่ง พวกท่านมาแล้วหรือขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วแนะนำ “นี่คือผู้ที่จะมาทำด้านบริหารจัดการใหม่ ต่อไปก็ให้เขาเรียนรู้จากเจ้า หากมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง เจ้าก็บอกเขาได้เลย”


 


 


ทันทีที่เสี่ยวซือได้ยินว่าเป็นคนที่มาทำงานด้านบริหารจัดการ ก็อึ้งไปชั่วครู่ คิดไปว่าตัวเองทำไม่ดีตรงไหน ต้องถูกให้โยกย้ายเปลี่ยนตำแหน่งเสียแล้ว คิดไปพลาง ก็มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างหวาดกังวล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มบอกเป็นนัยให้เขา “เรื่องนี้ข้าจะบอกเจ้าให้ละเอียดอีกที เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอแล้ว”


 


 


เสี่ยวซือเข้าใจความหมายในคำพูดของนางทันที ความเบิกบานใจก็กลับคืนสู่ใบหน้า และพยักหน้าไม่ขาดสาย “บ่าวรับทราบแล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพาหวงฝู่อวี้มาที่โรงงานทำบะหมี่มันฝรั่งก่อน หวงฝู่อวี้ได้เห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก ก็รู้สึกประหลาดใจชั่วขณะ เดินไปตรงนี้ที มองไปทางนั้นที เมิ่งฉีก็ไม่ได้ห้ามเขา รอจนเขาได้มองพอแล้ว ก็นำเขามายังโรงงานทำกุนเชียง


 


 


เมื่อได้เห็นกุนเชียงที่ตากแห้งไว้ในโรงงาน หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก และยังได้สูดกลิ่นที่ปะทะเข้ามาของกุนเชียงที่อยู่ตรงหน้า หลังจากเข้าภายในโรงงาน เห็นนายทหารบาดเจ็บและพิการเหล่านั้นกำลังทำไส้ใส่กุนเชียง ก็เกิดความใคร่รู้อย่างมาก จึงวอนขอต่อเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้าก็อยากลองบ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำท่าให้เขาไปล้างมือ แล้วให้นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้านายทหารคนหนึ่ง เรียนรู้วิธีการจากเขา


 


 


นายทหารทำจนชำนาญอย่างมากแล้ว หวงฝู่อวี้กลับทำไส้ของกุนเชียงรั่วตลอด เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร แต่นายทหารคนนั้นรู้สึกเสียดาย จึงพูดว่า “คุณชาย นี่ไม่ใช่งานที่ท่านทำได้ ท่านรีบหยุดทำเถิด ท่านทำของสิ้นเปลืองมากเกินไปแล้วขอรับ”


 


 


หวงฝู่อวี้ทำไส้ของกุนเชียงแตกเกือบทุกอัน ตัวเองก็หมดความรู้สึกสนใจลง ได้ยินแล้วจึงลุกขึ้นไปล้างมือให้สะอาด และกลับมาถาม “ข้าต้องทำอะไรหรือ”


 


 


“ก่อนอื่นท่านต้องจำกระบวนการการทำงานของโรงงานนี้ให้แม่นยำ จากนั้นตรวจสอบว่าพวกเขาทำจุดใดผิดบ้าง อีกทั้ง ต่อจากนี้ไป บันทึกสินค้าส่งออกและนำเข้า ก็ต้องการให้ท่านทำให้เรียบร้อยเจ้าค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 159 เรียกหวงฝู่อวี้ออกมา

 

 


 


เรื่องพวกนี้ล้วนง่ายดาย หวงฝู่อวี้ไม่ได้คัดค้านอย่างไร หลังจากได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวกำชับอีกไม่กี่คำ ก็เอามือไขว้หลัง ทำทีเดินวางมาดออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเฮ่ออี “ในโรงงานล้วนเป็นคนงานทั้งสิ้น ไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน เจ้าไม่จำเป็นต้องตามติดคุณชายรองตลอดเวลา แค่อารักขาอยู่หน้าประตูก็พอ ถ้าหากเขามีเรื่องต้องออกไป เจ้าค่อยตามไป”


 


 


เฮ่ออีรับคำ แล้วไปยังประตูโรงงาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหาเสี่ยวซืออีกครั้ง พูดกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “คนนั้นเป็นน้องชายของเพื่อนข้าคนหนึ่ง อยากจะให้เขามาเรียนรู้ที่นี้บ้าง ท่านไม่ต้องใส่ใจนะ ทำงานของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว”


 


 


เสี่ยวซือใจชื้นขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาไม่เช้าแล้ว จึงออกจากโรงงานไปซื้อวัตถุดิบสำหรับอาหารกลางวัน


 


 


หลายวันแล้วที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเปาอีฝาน พอดีวันนี้มีเวลาว่าง และเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้นั่งรถม้า จึงมายังหน้าประตูจวนเปาพร้อมกับชิงหลวนและจูหลี


 


 


ทหารเฝ้าประตูเห็นนาง ก็รีบเข้ามาทักทายด้วยความยินดี “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว”


 


 


“นายน้อยบ้านท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม


 


 


“เพราะได้แม่นางเนี่ยแหละขอรับ ตอนนี้นายน้อยสามารถลุกจากเตียงได้แล้ว แม่นางเข้าไปเห็นแล้วก็จะรู้”


 


 


เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่เปาอีฝานได้รับบาดเจ็บ ก็น่าจะลุกจากเตียงขยับตัวเดินได้บ้างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในจวน แล้วตรงเข้าไปยังเรือนของเปาอีฝาน เมื่อสาวใช้ที่เฝ้าประตูอยู่เห็นนาง ก็รีบรายงานเสียงดังทันที “นายน้อย นายหญิง แม่นางเมิ่งมาแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ม่านประตูเปิดจากข้างในอย่างรวดเร็ว ซุนฮุ่ยยิ้มเดินออกมาต้อนรับ พลางพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “น้องโยวเอ๋อร์ไม่ได้มาเสียนาน มั่วเอ๋อร์คิดถึงเจ้ามากเลยนะ” พลางเดินเข้ามาต้อนรับและโอบแขนของนางเดินเข้าไปในห้อง


 


 


“ท่านแม่ทัพใหญ่จะแต่งงาน ที่จวนของท่านไม่มีใครเลย พระชายาจึงเรียกให้ข้าไปช่วยทุกวัน เลยไม่มีเวลาว่างมาหาเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกับแม่ทัพฉู่รู้จักกันมาหลายปีแล้ว ไปช่วยเขาก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ซุนฮุ่ยพยักหน้า


 


 


เปาอีฝานกำลังฝึกขยับตัวเดินในห้อง ร่างกายมีเหงื่อไหลโซม เห็นนางเข้ามาในห้อง ก็พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ฮุ่ยเอ๋อร์ กับมั่วเอ๋อร์บ่นคิดถึงเจ้าทุกวัน จนหูของข้าใกล้จะตายด้านแล้ว”


 


 


พอพูดถึงเจ้าตัวเล็ก เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพบว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้อง จึงยิ้มถามว่า “มั่วเอ๋อร์ล่ะเจ้าคะ”


 


 


“ท่านแม่ของข้าพาเขาไปเที่ยวตลาดแล้ว เพิ่งไปเมื่อกี้ ก่อนเวลากลางวันก็คงกลับมาแล้ว”


 


 


ซุนฮุ่ยสั่งสาวใช้ให้มารินน้ำชา


 


 


เปาอีฝานหยุดเดิน นั่งเป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยวบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างโต๊ะ ซุนฮุ่ยหยิบผ้าขนหนู ซับเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากให้เขาอย่างนุ่มนวล


 


 


เปาอีฝานยกถ้วยน้ำชาขึ้น ดื่มสองสามคำ แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดท่านแม่ทัพใหญ่ถึงแต่งงานเร็วเช่นนี้เล่า”


 


 


“ท่านไม่ได้ยินเรื่องซุบซิบของผู้คนในเมืองหลวงจริงๆ หรือเจ้าคะ ท่านแม่ทัพใหญ่ได้เห็นฮูหยินครั้งแรกก็เกิดความรักขึ้นทันที จึงรีบไปสู่ขอโดยไม่ลังเล” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างติดตลก


 


 


เปาอีฝานส่ายศีรษะ “ข้าติดตามท่านแม่ทัพใหญ่อยู่หลายปี นิสัยของเขา ข้าก็พอรู้อยู่บ้าง ถ้าบอกว่าเขามีรักแรกพบกับสาวน้อยก็คงเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะเป็นเพราะความรับผิดชอบเขาถึงจะแต่งงานกับหญิงสาวที่มีอายุน้อยกว่าเขามากๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาโตด้วยความตกตะลึง ผ่านไปชั่วครูถึงจะยกนิ้วโป้งให้เขา และพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านพูดได้ถูกต้องจริงๆ”


 


 


เปาอีฝานเดาไปอย่างมั่วๆ คิดไม่ถึงว่าจะเดาถูกจริง ใบหน้าก็แสดงความประหลาดใจออกมาแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงซุนฮุ่ย นางจึงถามตรงๆ อย่างสงสัยว่า “ตกลงแล้วเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองในห้องแวบหนึ่ง


 


 


ซุ่นฮุ่นรู้สึกได้ จึงสั่งว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน และออกห่างไปไกลๆ หน่อย หากไม่ได้ยินคำสั่งของข้าก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา”


 


 


สาวใช้ทั้งในและนอกห้องที่เฝ้าอยู่ต่างรับคำ แล้วออกไปนอกเรือนทั้งหมด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าให้พวกเขาฟังด้วยเสียงเบา ถึงเรื่องที่ทั้งแม่ทัพใหญ่และฮูหยินของแม่ทัพตอนที่กินยาเสน่ห์เข้าไปพร้อมกัน และจับพลัดจับผลูจนเกิดความสัมพันธ์ขึ้น


 


 


เมื่อทั้งคู่ฟังจบ ก็ตกใจจนไม่ได้พูดอะไรออกมาครู่ใหญ่ สักพัก เปาอีฝานถึงจะย่นหัวคิ้วถาม “ท่านแม่ทัพแต่งงานกับนางก็เพราะความรับผิดชอบจริงๆ ด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะยิ้ม “ฮูหยินของแม่ทัพทั้งน่ารัก น่าเอ็นดู ท่านแม่ทัพก็มีใจหวั่นไหวบ้างแหละเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นคงจะไม่รีบถ่อไปสู่ขอถึงบ้านหรอก”


 


 


“ไม่กี่วันก่อน ที่จู่ๆ พระชายารองของจวนอ๋องฉีตายลง ก็มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่” ซุนฮุ่นกดเสียงให้เบาลง ถามอย่างสงสัย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยว พยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก แล้วเลี่ยงจากเรื่องหนักๆ มาพูดเรื่องเบาๆ บ้าง “พระชายารองกระทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ และประสบกับจุดจบเช่นนี้ ก็ถือว่ากรรมตามสนองแล้ว อ๋องฉีเห็นแก่ที่นางตรากตรำทำงานให้จวนอ๋องเป็นเวลาหลายปี นับว่าเป็นการตายที่ให้เกียรตินางแล้ว”


 


 


ซุนฮุ่นสะอื้นไห้ไม่หยุด “เป็นหญิงที่จิตใจเ**้ยมโหดจริงๆ นึกไม่ถึงว่าพระชายารองจะทำเรื่องที่ไร้หัวใจเช่นนี้ เคราะห์ดีที่ท่านแม่ทัพใหญ่ได้สู่ขอฮูหยินของแม่ทัพแล้ว มิฉะนั้น ชีวิตของแม่นางผู้นั้นคงพังทลายแล้ว”


 


 


“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก” เปาอีฝานคัดค้านนาง “ท่านแม่ทัพใหญ่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง ต่อให้เขาไม่ชอบนาง ก็จะช่วยให้นางมีหน้าตามีตาบ้าง”


 


 


“ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ทุกคนก็ต่างมีความสุข นี่แหละที่เป็นเรื่องดี” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงดัง


 


 


เปาอีฝานกับซุนฮุ่ยพยักหน้าคล้อยตาม


 


 


จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอาการบาดเจ็บของเปาอีฝาน เห็นว่าขาของเขามีกล้ามเนื้อใหม่ขึ้นมา จึงพูดว่า “ฟื้นฟูได้ดีมากเจ้าค่ะ บางทีไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี ก็สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้”


 


 


เมื่อที่ทั้งสองได้ยิน ก็รู้สึกยินดีขึ้นมาอีก


 


 


ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่า เปาฮูหยินก็พามั่วเอ๋อร์กลับมา ทันทีที่เจ้าตัวเล็กเห็นนาง ก็ผายมือเล็กๆ ออก กระโจนเข้าไปยังอ้อมอกของนาง และร้องเรียก “คุณอา คุณอา” ไม่หยุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มเขาให้นั่งลงบนตักของตน ถามเขาอย่างยิ้มแย้มว่าเมื่อครู่ไปที่ใดมา เจออะไรสนุกบ้างหรือไม่


 


 


มั่วเอ๋อร์เล่าเรื่องตั้งแต่ที่เขากับเปาฮูหยินออกจากบ้าน ไปจนถึงสิ่งได้เห็นและได้ยินตลอดทางที่กลับมาอย่างใสซื่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจฟัง ถามคำถามเขาตลอด มั่วเอ๋อร์ก็ค่อยๆ ตอบทีละคำถาม


 


 


เปาฮูหยินอาศัยช่วงเวลานี้ เข้าไปในครัว แล้วสั่งให้ทำอาหารดีๆ สองสามอย่าง


 


 


ก่อนอาหารกลางวัน เปาชิงเหอกลับมาบ้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขอบคุณไม่หยุด “แม่นางเมิ่ง ฤดูหนาวปีนี้ คนส่วนใหญ่ในเป่ยเฉิงจะไม่หิวโซแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือปฏิเสธ “ใต้เท้าเปาเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ พวกเขาออกแรง ข้าออกเงิน ทุกคนก็ได้ตามที่ต้องการ” พูดจบ ก็พูดต่อว่า “พื้นที่รกร้างยังบุกเบิกไม่เสร็จ หลังจากต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ก็ยังต้องจ้างพวกเขาต่ออีกเจ้าค่ะ”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้ายิ้มให้ “ข้าได้ยินมาแล้ว ตอนนี้มีหลายคนเฝ้ารอให้ปีนี้รีบผ่านไปโดยเร็ว”


 


 


กินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ก็สนทนากันอีกสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นบอกลา กลับไปยังโรงงาน เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้ยังดูมีความสุขดี ไม่ได้แสดงอารมณ์เบื่อหน่ายแม้แต่น้อย จึงวางใจขึ้น สั่งให้กัวเฟยควบรถม้ากลับไปยังหนานเฉิง


 


 


ไม่กี่วันถัดจากนั้น หวงฝู่อวี้ตามเมิ่งฉีและเหล่าทหารองครักษ์สามสี่คนออกเช้าเย็นกลับ และทุกวันที่กลับมากินข้าวเย็นเสร็จ ก็จะนำเรื่องที่ตัวเองทำในโรงงานทั้งวันมาเล่าให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยวฟัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเขาดูมีความสุขกับสิ่งนี้ จึงหายห่วงเป็นปลิดทิ้ง ทุกๆ วันนางจะสั่งให้คนที่เหลือในจวนช่วยนางตำยาสมุนไพร นางผสมและเตรียมยาเม็ดอย่างตั้งใจ ไม่เพียงแต่ผสมยารักษาแผลเป็นแล้ว ยังผสมยารักษาแผลบาดเจ็บภายนอก และยาช่วยเลือดไหลเวียนที่ห้ามเลือดได้ แล้วแบ่งส่งให้เหวินซื่อส่วนหนึ่ง เหวินซื่อดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบสั่งให้คู่ค้าส่งยาสมุนไพรให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยวอีกหนึ่งคันรถ


 


 


ไม่รู้ว่า หวงฝู่อี้เซวียนยุ่งหรือว่าเพราะมีเหตุอันใด หลายวันมานี้ไม่เคยมาหาแม้แต่ครั้งเดียว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร สั่งให้ผู้คนในจวนบดยาสมุนไพร ผสมยาเม็ดต่อไป


 


 


หลายวันผ่านไป หวงฝู่อวี้ไม่ได้สร้างเรื่องอะไรเลย เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางใจลง


 


 


วันนี้ก็เป็นเหมือนวันปกติทั่วไป เมิ่งเชี่ยนโยวพาผู้คนเข้ามาในห้องเพื่อทำยาเม็ด ทหารรักษาการณ์คนหนึ่งที่ทำงานและดูแลธุระเล็กน้อยในโรงงาน ขี่ม้าเร็วมาถึงหน้าประตูบ้าน เขาลงจากม้าอย่างรวดเร็ว พอทิ้งบังเ**ยน ก็รีบเร่งเข้ามาในเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว และรายงานอย่างร้อนรนว่า “นายหญิง มีคนจำนวนหนึ่งไปที่โรงงาน ตามหาผู้จัดการหวงฝู่อวี้ เถ้าแก่เนี้ยให้ข้ารีบมาเรียกท่านให้ไปหา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวน จูหลี และกัวเฟยลุกขึ้นยืน ล้างมือให้สะอาด พลางสั่งคนที่เหลือว่า “พวกเจ้าตำยาสมุนไพรต่อไป ส่วนพวกเขาจะตามข้าไป”


 


 


พูดจบ ก็เดินออกไปนอกเรือนแล้ว


 


 


พวกชิงหลวนไปลากม้าที่หลังสวน ทหารองครักษ์ออกจากประตูตามหลังเมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวนคล้องม้าไว้ และส่งให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวลอยตัวขึ้นบนม้า และควบไปยังตอนเหนือของเมืองไป สี่คนที่เหลือตามอยู่ด้านหลัง


 


 


เป่ยเฉิงกับหนานเฉิงค่อนข้างห่างไกลกัน กว่าพวกเขาจะมาถึง เมิ่งฉีก็ได้พาทหารองครักษ์หลายคนกันที่ประตูข้างหน้า และตรงข้ามพวกเขาเป็นคุณชายเศรษฐีที่สวมเสื้อผ้าราคาแพง และนั่งบนม้าตัวใหญ่ แต่ไม่เห็นเงาของหวงฝู่อวี้


 


 


เมื่อถึงหน้าประตูโรงงาน ก็หยุดและลงจากม้า นำบังเ**ยนส่งให้ชิงหลวน เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาถึงหน้าประตูโรงงาน หันไปเผชิญหน้ากับพวกเขา และถามอย่างเกรงอกเกรงใจ “ข้าคือเจ้าของโรงงานนี้ ไม่ทราบว่าพวกท่านขวางอยู่หน้าประตูโรงงานเพราะเหตุอันใดหรือเจ้าคะ”


 


 


คนเหล่านั้นได้ปะทะกับเมิ่งฉีแล้ว จึงรู้สึกหงุดหงิดก่อนแล้ว เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาพูด หนึ่งในนั้นที่เป็นวัยรุ่นอายุราวสิบห้าสิบหกปี ประเมินดูนางสองสามครั้ง แล้วเบ้ปากเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยความดูแคลน “พวกข้าทั้งหลายมาหาหวงฝู่อวี้ หากรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็รีบไปเรียกเขาออกมาพบกับพวกข้า มิเช่นนั้น จะพังโรงงานนี้ของเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้โกรธ และยังสอบถามอย่างสุภาพว่า “พวกท่านคือใคร เหตุใดจึงมาตามหาคุณชายรองหรือเจ้าคะ”


 


 


คุณชายอีกคนที่วัยไล่เลี่ยกันก็พูดจาสบประมาทว่า “บ่าวชนชั้นต่ำเช่นเจ้าไม่ควรค่าที่จะรู้หรอกว่าพวกข้าเป็นใคร รีบปล่อยหวงฝู่อวี้ออกมาเสีย พวกข้ากำลังรอเขาไปล่าสัตว์ด้วยกันอยู่นะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่รีบร้อน และถามอย่างสุภาพอีกครั้ง “ไม่ทราบว่า พวกท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ ว่า คุณชายรองอยู่ที่โรงงานของข้า”


 


 


เสียงเต็มไปด้วยความระอาของคุณชายท่านหนึ่งที่สวมเสื้อสีฟ้า โยกตัวไปมาบนหลังม้า ทำท่าทางคล้ายกับว่าจะพุ่งเข้าไปในโรงงานให้ได้ทุกเมื่อ พูดขึ้น “เจ้าตัวอ่อนชั้นต่ำ ข้าไว้หน้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังจะหน้าด้านอีก มีที่ไหนกันที่จะให้เจ้ามาถามไถ่คุณชายอย่างพวกเราได้ รีบไปเรียกหวงฝู่อวี้ออกมา มิเช่นนั้นข้าจะเหยียบโรงงานของเจ้าให้แบนราบ”


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งลง เสียงเริ่มเย็นชา “ถูกต้องเจ้าค่ะ หวงฝู่อวี้อยู่ที่โรงงานของข้า แต่ข้าจะไม่อนุญาตให้เขาพบพวกท่าน พวกท่านทั้งหลายจงกลับไปเสียเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ” คุณชายเสื้อฟ้าฉุนเฉียว ใช้แส้ม้าชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว “ในเมืองหลวงนี้ ยังไม่เคยมีใครกล้าหาเรื่องกับคุณชายอย่างพวกเรา ข้าว่าเจ้าคงเบื่อหน่ายกับชีวิตแล้วสินะ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง มีความโกรธอยู่ในเสียง “คุณชายท่านนี้ ก่อนทำอะไรก็ลองคิดถึงผลที่ตามมาก่อน ถ้าหากท่านยังใช้แส้นั้นชี้ที่ข้าอีก ข้าจะหักท่อนแขนของท่านโดยไม่เกรงใจก่อนนะเจ้าคะ”


 


 


คุณชายเสื้อฟ้าคงไม่เคยมีใครพูดใส่แบบนี้ จึงอึ้งไปชั่วครู่ แล้วความโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้น ปากร้องด่าว่า “เจ้าของชั้นต่ำ บังอาจพูดจาเช่นนี้กับข้า วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ถึงตายเลยคอยดู” แส้ม้าฟาดตรงมายังเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


กลุ่มคนที่มุงดูรอบๆ ร้องเสียงตกใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ที่เดิม ไม่หลบไม่เลี่ยง


 


 


ชิงหลวนกับจูหลีกระโจนเข้ามาในเวลาเดียวกัน คนหนึ่งคว้าแส้ม้าไว้ และใช้แรงกระชาก ส่วนอีกคนยกขากระโดดลอยตัว และถีบคุณชายเสื้อฟ้าตกลงมาจากหลังม้า


 


 


คุณชายอีกสามคน ไม่คาดคิดว่าพวกนางจะโต้กลับเช่นนี้ จึงร้องตกใจเป็นเสียงเดียวกันว่า “จิงเหิง!”


 


 


การเคลื่อนไหวของชิงหลวนและจูหลีเร็วเกินไป ต่อให้คุณชายจิงเหิงจะมีความสามารถการต่อสู้บ้าง แต่ก็แสดงออกมาไม่ทัน เห็นอีกทีก็ใกล้จะตกจากหลังม้า แล้วต้องล้มจนใบหน้าเกิดรอยบวมเขียวเสียแล้ว คนสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็กระโจนเข้ามา ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และรับตัวเขาได้พอเหมาะพอดี


 


 


คุณชายสามท่านที่อยู่บนม้าถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน กลุ่มคนที่มุงดูอยู่ก็พลอยโล่งใจราวกับได้ดึงหัวใจที่ทะลุออกจากอกกลับเข้ามา


 


 


คุณชายจิงเหิงยืนบนพื้นด้วยความตื่นตระหนกจนสติหลุด ใบหน้าขาวซีด ท่าทียโสจองหองเมื่อครู่หายไปหมด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมุมปาก ถามด้วยเสียงที่เบิกบานว่า “คุณชายท่านนี้ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”


 


 


แน่นอนว่าคำถามนี้ก็คือการราดน้ำมันลงบนไฟดีๆ นี่เอง สีหน้าที่ซีดเผือดของคุณชายจิงเหิงเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด มือชี้ไปที่ชิงหลวนกับจูหลี แล้วออกคำสั่งแก่สองคนนั้น “พวกเจ้าไปกำจัดนังบ่าวรับใช้เฮงซวยสองคนนี้”


 


 


ทั้งสองคนรับคำ ร่างกายแยกกันไปอย่างรวดเร็ว บุกเข้าไปโจมตีนางสองคน


 


 


ชิงหลวนกับจูหลีตั้งรับอย่างใจเย็น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโหยวไม่พอใจเสียแล้ว สั่งกัวเฟยกับทหารองครักษ์ที่กลับไปรายงาน “ไม่ได้ขยับมือขยับเท้ามาหลายวัน พวกเจ้าทั้งสองก็ไปออกแรงเสียหน่อย”


 


 


ทั้งสองเป็นองครักษ์ส่วนตัว ดังนั้นฝีมือของพวกเขาก็ไม่เลวเช่นกัน หากสู้กันตัวต่อตัว ก็ไม่แน่ว่าชิงหลวนกับจูหลีสองคนจะชนะไหว แต่ตอนนี้มีกัวเฟยกับทหารองครักษ์หนึ่งคนมาเข้าร่วม สถานการณ์ก็ต่างกันแล้ว สิ่งที่ชัดเจนคือ ฝั่งที่คนเยอะกว่า จะได้เปรียบกว่า ยังไม่ทันลงมือได้ถึงยี่สิบกระบวนท่า องครักษ์ทั้งสองก็โดนเตะกระเด็นออกไป


 


 


ผู้คนโห่ร้องไม่ขาดสาย


 


 


คุณชายจิงเหิงโมโหอย่างมาก ตวาดด่าทั้งสองคน “พวกเศษสวะไร้ประโยชน์ ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก ทำคุณชายอย่างข้าต้องมาอับอายขายขี้หน้าเสียเปล่า”


 


 


เขาพูดอย่างสบายๆ แต่องครักษ์ทั้งสองดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ก็ไม่ได้ลุกขึ้นมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ชื่นชมพวกเขาอย่างไร้กังวล “ทำได้ไม่เลว เย็นนี้ข้าจะเข้าครัวลงมือทำอาหารอร่อยๆ ให้พวกเจ้าสักสามสี่อย่างนะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)