ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 15-18

ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 15 ร่วมขบวน

 

วันต่อมา คนในจวนทั้งห้าก็ไปเยี่ยมบ้านตระกูลเมิ่งที่หมู่บ้านนอกเมืองเป่ยเฉิง


 


 


ในฐานะที่เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเป็นจอหงวนฝ่ายบุ๋นและบู๊ หวงฝู่ซวิ่นได้ประทานจวนให้ แต่ทั้งสองไม่ยอมไปอยู่ ยังคงกลับมาอยู่กับทุกคนในบ้านตระกูลเมิ่งที่หมู่บ้านแห่งนี้


 


 


เมิ่งจงจวี่และเหล่าเมิ่งซื่อมีอายุมากขึ้นทุกวัน พวกเขาจึงชอบคนเยอะเพราะครึกครื้นกว่า จึงไม่ได้ห้ามพวกเขา ต่อมา เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็กลับมาอยู่ หมู่บ้านจึงครึกครื้นมากขึ้นกว่าเดิม


 


 


แต่วันนี้ หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในจวน ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิมมาก ในบ้านเงียบเหงาไร้ซึ่งเสียงผู้คน บรรยากาศก่อนหน้านี้ที่มีเด็กๆ วิ่งวุ่นไปทั่วเรือนและเสียงหัวเราะรื่นเริงของผู้ใหญ่ที่ดังไปทั่วกลับไม่มีแล้ว มีแต่ความเงียบอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมาแทนที่ แม้แต่บ่าวรับใช้ยังต้องเขย่งเท้าเวลาเดิน เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง


 


 


เมื่อสาวใช้นางหนึ่งเห็นพวกเขา พลันแสดงสีหน้าดีใจ และเดินเข้ามาถอนสายบัวคารวะ


 


 


“คนในบ้านอยู่กันหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากถาม


 


 


สาวใช้พูดตอบเสียงต่ำ “อยู่เจ้าค่ะ อยู่เรือนของนายท่านเมิ่งเจ้าค่ะ”


 


 


ทั้งห้าคนมาถึงเรือนของเมิ่งจงจวี่


 


 


บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความหดหู่ เสียงอันชราภาพของเมิ่งจงจวี่ดังออกมาจากในห้อง “ชิงเอ๋อร์ ความชอบธรรมมาเป็นอันดับหนึ่งสำหรับปู่เสมอ ภพชาตินี้ปู่ไม่เคยเห็นแกตัวเลย แต่วันนี้ปู่อยากเห็นแก่ตัวสักครั้ง ปู่จะขอร้องซื่อจื่อให้ไปช่วยไปพูดขอให้เจ้าอยู่เมืองหลวง อยู่กับพวกเรา ดีไหม”


 


 


น้ำเสียงของเมิ่งจงจวี่เต็มไปด้วยความวิงวอน นี่คือสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นจากตัวเขา


 


 


เสียงของเมิ่งชิงก็ดังจากในห้อง “ท่านปู่ โปรดให้อภัยหลานอกตัญญูคนนี้ด้วยเถอะขอรับ ครั้งนี้หลานขอเอาแต่ใจ อย่างไรเรื่องที่ชายแดนหลานก็ต้องไปขอรับ”


 


 


“เจ้า…” เมิ่งจงจวี่ทั้งโกรธทั้งร้อนใจจนไอขึ้นมา


 


 


คนในห้องรนจนวุ่นวายไปหมด บ้างตกใจ บ้างช่วยรินน้ำ บ้างตบหลังให้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนสบตากันครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน


 


 


ทุกคนในบ้านตระกูลเมิ่งอยู่กันพร้อมหน้า ยืนกันเต็มห้องไปหมด เมิ่งจงจวี่และเหล่าเมิ่งซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง เมิ่งชิงคุกเข่าต่อหน้าพวกเขา ส่วนลูกสาวคนเล็กของราชเลขาฝ่ายทหารปัจจุบันที่เป็นภรรยาของเมิ่งชิงกำลังอุ้มลูกและมองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ


 


 


“ท่านปู่ ท่านย่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนขานเรียกพร้อมกัน


 


 


คนในห้องหันศีรษะมองไปที่พวกเขา


 


 


เมิ่งซื่อดีใจ รีบเดินไปหา “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ พวกเจ้ามาพอดีเลย รีบมาช่วยพูดกับชิงเอ๋อร์หน่อย เขาดึงดันจะไปชายแดน พวกเราห้ามเขาไม่อยู่เลย”


 


 


เมิ่งจงจวี่ก็ตั้งสติขึ้นได้ ปัดมือของเมิ่งต้าจินที่ขวางอยู่ข้างหน้าเขา เสียงแหบแห้งดังขึ้น “อี้เซวียน โยวเอ๋อร์ พวกเจ้ามาพอดีเลย ปู่มีเรื่องจะขอร้องพวกเจ้า”


 


 


เมิ่งชิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หน้าผากก็ซึมไปด้วยเหงื่อ มองเมิ่งเชี่ยนด้วยสายตาอ้อนวอน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองทุกคนที่ตั้งตารอนาง นางจึงยิ้มพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้าและอี้เซวียนก็มาเพราะเรื่องนี้เจ้าค่ะ”


 


 


ทุกคนคิดว่านางจะมาพูดห้ามเมิ่งชิง จึงถอนหายใจกันอย่างโล่งอก


 


 


สีหน้าผิดหวังของเมิ่งชิงปรากฏขึ้นบนใบหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปช้าๆ จนถึงด้านหน้าเมิ่งชิง นางก้มหน้ามองเขา สีหน้าเคร่งเครียด “ชิงเอ๋อร์คิดดีแล้วใช่ไหมว่าจะไปชายแดน”


 


 


เมิ่งชิงพยักหน้าหงึกๆ “เป็นหน้าที่ของชายชาติทหารที่ต้องปกป้องรักษาบ้านเมือง ข้าในฐานะที่เป็นรองแม่ทัพก็ยิ่งไม่ควรขี้ขลาดในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ จะไม่ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพสั่นคลอนเด็ดขาดขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตาเขา พูดอย่างเคร่งเครียดดังเดิมว่า “ไปสู้รบที่ชายแดนไม่เหมือนกับการฝึกรบในค่ายทหาร เจ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แท้จริง หากเกิดอะไรขึ้น อาจเลือดสาดเนื้อทะลัก หรืออาจจะกลับมาได้อีกเลยก็เป็นได้ เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม”


 


 


ทุกคนในห้องส่งเสียงสะอื้นไปทั่ว เมิ่งซื่อหน้ามืด ลำตัวเอนไหวไปมาจนเกือบจะสลบไป ดวงตาพลันแดงก่ำขึ้นมา


 


 


เมิ่งชิงมองตาเมิ่งเชี่ยนโยวกลับอย่างแน่วแน่ “ข้ารู้ และข้าก็เตรียมใจไว้แล้ว”


 


 


“หลานรักของย่า ย่าขอร้องเถอะนะ อย่าไปเลยนะ อย่าไปเลย” เหล่าเมิ่งซื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องไห้วิงวอนเขา


 


 


เมิ่งจงจวี่ก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า มองไปที่เมิ่งจงจวี่และเหล่าเมิ่งซื่อทั้งสองคน “ท่านปู่ ท่านย่า ชิงเอ๋อร์อยากไปก็ให้เขาไปเถอะ ลูกหลานบ้านตระกูลเมิ่งของเรา จะขี้ขลาดในเวลาสำคัญไม่ได้”


 


 


เมื่อนางพูดจบ เมิ่งจงจวี่ก็ชะงัก เหล่าเมิ่งซื่อหยุดร้องไห้ ทุกคนในห้องมองนางอย่างประหลาดใจ


 


 


เมิ่งชิงกลับดีใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณพี่โยวเอ๋อร์ขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองทุกคนในห้อง เอ่ยปากพูดอย่างไม่รีบร้อน เสียงใสแจ๋วดังเข้าไปในหูของทุกคน “เรื่องของชิงเอ๋อร์ ไม่ต้องให้ถึงมืออี้เซวียน ข้าก็ทำให้เขาไม่ต้องไปชายแดนได้เช่นกัน แต่หากเป็นเช่นนั้น ต่อไปตระกูลเมิ่งของเราจะมีหน้าอยู่ในเมืองหลวงต่อได้อย่างไร เราจะเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร บ้านตระกูลเมิ่งของเราจะถูกคนอื่นนินทาลับหลังเอาเสียได้นะเจ้าคะ!”


 


 


ทุกคนไม่พูดอะไร


 


 


เหล่าเมิ่งซื่อปากสั่น ครั้นจะเอ่ยปากพูด ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวขัดขึ้นว่า “ท่านปู่ ท่านยาย ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านนะเจ้าคะ อาสี่มีชิงเอ๋อร์เป็นสายเลือดเพียงคนเดียว หากเขาเป็นอะไรไป ต่อไปถ้าตายไปแล้วได้เจอกันในภพภูมิอื่น พวกท่านคงไม่กล้าสู้หน้าเขา แต่ท่านทั้งสองเคยคิดไหมเจ้าคะ หากท่านอาสี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาอาจจะซาบซึ้งเพราะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวของชิงเอ๋อร์ที่เลือกทำเช่นนี้ก็ได้ ลองคิดถึงอดีตที่เขายอมสละชีวิตตนเพื่อปกป้องบ้านตระกูลเมิ่งสิเจ้าคะ เรื่องวันนี้ท่านอาสี่จะต้องเห็นด้วยอย่างไร้ซึ่งความลังเล แม้เลือดของชิงเอ๋อร์จะสาดกระเด็นไปทั่วทั้งสนามรบ และอาจไม่ได้กลับมาอีก เขาก็ต้องดีใจและภูมิใจเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อฟังนางพูดจบ ทุกคนต่างมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป


 


 


เมิ่งจงจวี่และเมิ่งซื่อคิดถึงเมิ่งเสียวเถี่ยที่ตายไป คิดถึงความเจ็บปวดที่คนหัวขาวต้องส่งคนหัวดำไปก่อน ดวงตาก็แดงก่ำ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อคิดถึงเมิ่งเสียวเถี่ยที่ตายไปเพราะปกป้องบ้านตระกูลเมิ่ง น้ำตาก็เอ่อขึ้นมา


 


 


ในห้องพลันเงียบไป


 


 


ผ่านไปนาน เมิ่งจงจวี่จึงถอนหายใจยาว “ดูท่าข้าคงแก่แล้วจริงๆ เรื่องบางเรื่องข้าคงคิดได้ไม่ถี่ถ้วนพอ โยวเอ๋อร์พูดถูก บางทีหากเถี่ยเอ๋อร์ได้เห็นคุณงามความดีที่ชิงเอ๋อร์ทำ คงภูมิใจในตัวเขามาก”


 


 


เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงของเขา เมิ่งชิงก็ดีใจมาก เขาโขกศีรษะลงบนพื้นแรงๆ หนึ่งที “ขอบคุณท่านปู่ที่เข้าใจขอรับ”


 


 


เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจยาวอีกครั้ง ลูบศีรษะเมิ่งชิง “ชิงเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ปู่จะไม่ห้ามเจ้าอีก แต่เจ้าจงจำไว้ว่า คนในบ้านรอเจ้ากลับมาอยู่ เจ้าห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาดนะ”


 


 


เมิ่งชิงพยักหน้ารับประกันว่า “ขอรับ ข้ารู้แล้ว ท่านปู่ ข้าจะปกป้องตัวเองดีๆ และรีบกลับมาขอรับ”


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้า ดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตาก็ไหลลงมาหยดลงบนมือของเมิ่งชิง แผดเผาใจของเขา


 


 


น้ำตาเมิ่งซื่อไหลออกมามากกว่าเดิม


 


 


อารมณ์ของทุกคนในห้องหนักอึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปาก หวังจะทำลายบรรยากาศอันหดหู่ลง “ท่านปู่ ท่านย่า พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพวางแผนดีอยู่แล้ว ชิงเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรหรอก จะต้องได้รับชัยชนะกลับมาแน่”


 


 


เมื่อพูดจบ ก็ส่งสายตาให้สัญญาณหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่อยู่ข้างหลัง ให้พวกนางไปปลอบใจเมิ่งจงจวี่และเหล่าเมิ่งซื่อ


 


 


หลังจากทั้งสองได้รับสัญญาณของนาง พวกนางก็เดินขึ้นหน้า คนหนึ่งไปหาเมิ่งจงจวี่ อีกคนไปหาเหล่าเมิ่งซื่อ แล้วพูดออดอ้อนว่า “ท่านทวด กังฟูของท่านน้าชิงเอ๋อร์นั้นเก่งกล้า ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอนเจ้าค่ะ พวกท่านอย่าเสียใจเลยนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งจงจวี่และเหล่าเมิ่งซื่อตบมือพวกนางเบาๆ แล้วหยุดน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา


 


 


ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก


 


 


เมิ่งชิงก็ลุกขึ้นยืน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับทั้งสองว่า “ท่านปู่ ท่านย่า เรารีบมากันแต่เช้า ก็เลยยังไม่กินข้าวเช้ากันมา ตอนนี้หิวแย่แล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เหล่าเมิ่งซื่อก็สงสารจับใจ แล้วรีบสั่งสะใภ้ทั้งสามคนในนั้น “พวกเจ้ารีบไปทำอาหารเถอะ เดี๋ยวจะทำเอาเด็กๆ หิวโซเอา”


 


 


ทั้งสามขานรับ แล้วรีบเดินออกไปทันที


 


 


บรรยากาศที่หนักอึ้งเมื่อครู่จึงมลายหายไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้หวงฝู่อี้เซวียนให้เขาอยู่กับเมิ่งจงจวี่และพี่น้องเมิ่งต้าจินทั้งสามคน ส่วนตัวเองก็รีบเดินไปที่ครัว เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ที่ทำครัวอย่างคล่องแคล่ว เก็บและล้างผักเสร็จกำลังจะเริ่มทำแล้ว


 


 


“ท่านป้า ท่านแม่ ท่านอาสะใภ้สาม ที่ข้าพูดแบบนั้นไปเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของท่านย่าเจ้าค่ะ พวกเราทานข้าวเช้าก่อนมาที่นี่แล้ว พวกท่านไม่ต้องวุ่นวายแล้วนะเจ้าคะ”


 


 


ทั้งสามหยุดชะงักลง เมิ่งซื่อยิ้มตำหนินาง “เจ้าน่ะ ขนาดพูดโกหกยังจริงจังเช่นนี้ ทำเอาเราเชื่อกันหมดเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้น หัวเราะแหะๆ


 


 


เมิ่งซื่อกลับทำหน้าขึงขัง เหมือนเตรียมจะหาเรื่อง “ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เย่ว์เอ๋อร์ประสบอุบัติเหตุ ทำไมเจ้าไม่ได้บอกพวกข้าล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม เดินไปหน้าเมิ่งซื่อ จับแขนนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านแม่ เย่ว์เอ๋อร์แค่ไม่ระวังตกน้ำ จนขวัญหาย มีไข้สูงเล็กน้อย ไม่ได้เป็นอะไรมากเจ้าค่ะ ข้ากลัวว่าพวกท่านจะเป็นห่วง จึงไม่ได้ให้พี่ใหญ่บอกท่าน”


 


 


“อย่ามาปิดบังข้าเลย” เมิ่งซื่อไม่เชื่อนาง พูดด้วยสีหน้าดุดันว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่านางถูกคนผลักลงน้ำ จนเกือบจะไม่มีชีวิตรอด”


 


 


เรื่องผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ยอมรับง่ายๆ แน่ นางพูดเสียงสูงว่า “ข่าวลือ ข่าวลือทั้งนั้นเจ้าค่ะ ไม่ได้รุนแรงอย่างที่เขาว่ากันเสียหน่อย แค่ตัวร้อนจริงๆ ทานยาลงไปก็หายแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อจ้องนาง เมื่อเห็นท่าทีนางเหมือนไม่ได้โกหก ก็เริ่มเชื่อ “แม้จะเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ต้องดูแลนางดีๆ ร่างกายของผู้หญิงนั้นบอบบาง อย่าให้ทิ้งโรคร้ายอะไรไว้ล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ แม่ วิชาแพทย์ของข้าแม่ยังไม่วางใจอีกหรือเจ้าคะ ข้าจะดูแลพวกนางอย่างดี ให้ไม่หลงเหลือปัญหาอะไรแม้นเพียงเล็กน้อยเลยเจ้าค่ะ”


 


 


คนในบ้านทั้งห้าคนอยู่ในหมู่บ้านนอกเมืองทั้งวัน จนเริ่มตกค่ำ จึงกลับจวนอ๋อง


 


 


ผ่านไปอีกหนึ่งวัน


 


 


วันต่อมา ถึงวันที่ท่านแม่ทัพออกเดินทาง เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนตื่นแต่เช้า ปลุกหวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ และหวงฝู่รุ่ยทั้งสามคน เพื่อส่งฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งชิงออกเดินทาง


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับกุมท้องตนเองไว้ ใบหน้าบู้บี้ พูดด้วยน้ำเสียงทรมานว่า “ท่านแม่ ข้าปวดท้องเจ้าค่ะ คงไปไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้นางนั่งลง เพื่อตรวจชีพจรให้นาง เมื่อพบว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็ขมวดคิ้วพูดว่า “อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนนอนเตะผ้าห่ม ก็เลยเป็นหวัด เอาอย่างนี้ ดื่มซุปน้ำอ้อยหน่อยแล้วกัน แล้วห่มผ้านอนต่ออีกหน่อยนะ ตื่นมาก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”


 


 


“เจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์ขานรับ นอนกลับไปอย่างว่านอนสอนง่าย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไปครัวเล็ก ลงมือทำซุปน้ำอ้อยร้อนๆ ถ้วยหนึ่งให้นาง เมื่อคอยเฝ้าจนนางดื่มลงไป ก็กำชับนางให้พักผ่อนดีๆ จากนั้นก็พาหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่รุ่ยออกไปที่ประตูเมืองพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนอย่างเร่งรีบ


 


 


เมื่อพวกเขาออกไป หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลืมตาทันที นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งสภาพความอ่อนแอ


 


 


นางเปิด**บออก หยิบเสื้อผ้าออกมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เก็บกลับไป หยิบตั๋วเงินสองสามใบที่อยู่ข้างใต้**บออกมา หลังจากตรวจสอบดูแล้ว ก็เก็บเข้าในเสื้อตน จากนั้นก็ลุกยืนเดินไปที่โต๊ะหนังสือของนางและหวงฝู่สือเมิ่ง หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายอย่างรวดเร็วแล้ววางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ออกไปหลังเรือนเพื่อจูงม้ามาตัวหนึ่ง นางกระโดดขึ้นควบม้า สะบัดบังเ**ยนมุ่งไปทางประตูเมืองอย่างเร่งรีบ


 


 


การออกรบครั้งนี้ ฉู่เหวินเจี๋ยพาฉู่เหยาไปด้วยเพื่อเป็นการฝึกฝนเขา แม้เฝิงจิ้งซูจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ห้ามไว้ไม่ได้ นางพูดกำชับให้ฉู่เหยาระวังตัวซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยดวงตาที่บวมแดง


 


 


ฟ้ายังไม่สาง พระชายาฉีก็เร่งอ๋องฉีให้ไปประตูเมืองกับนาง เมื่อเห็นฉู่เหยาก็ไปด้วยเช่นกัน นางก็อยากจะเข้าไปหยิกหูฉู่เหวินเจี๋ยมาด่าเขาฉาดใหญ่ แต่ว่าวันนี้เป็นวันออกรบ เขาเป็นท่านแม่ทัพ นางจะทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่นางก็ใช้สายตาอันดุดันปรามเขาอยู่พักใหญ่


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยลูบจมูกตนไม่กล้าพูดอะไร ในใจคิดว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด คิดถึงตอนนั้นเขาออกรบกับท่านพ่อตั้งแต่อายุสิบสองปี เหยาเอ๋อร์สิบห้าปีแล้ว ควรพาเขาออกไปฝึกสนามจริงนานแล้ว


 


 


เฝิงจิ้งซูก็ไม่เห็นด้วย แต่ก็เอาชนะฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้ นางร้องไห้ทั้งคืน ดวงตาบวมแดงจนแทบจะลืมตาไม่ได้ ตอนนี้ก็จับมือฉู่เหยาอยู่ พูดกำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ระวังตัว


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นสถาณการณ์เช่นนี้ก็ไม่พอใจ ตนเองจะออกรบเหมือนกัน ภรรยาควรแสดงความอาลัยอาวรณ์และปลอบประโลมตนมากกว่ามิใช่หรือ


 


 


เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมาถึง ก็เห็นสถานการณ์ตรงหน้าที่เฝิงจิ้งซูและพระชายาฉีกำลังพูดกำชับฉู่เหยาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด ส่วนฉู่เหวินเจี๋ยก็กำลังมองทั้งสองอย่างขุ่นเคือง

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 16 ตามท้าย

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเห็นสถานการณ์ตรงหน้าพลันรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา ความกังวลใจเมื่อครู่ก็พลอยหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที


 


 


ทั้งสองเดินไปข้างหน้า ทักทายกับฉู่เหวินเจี๋ยแล้วก็พูดกำชับฉู่เหยาครู่หนึ่ง


 


 


จากนั้นก็ไปหาเมิ่งชิงที่ถูกครอบครัวตระกูลเมิ่งห้อมล้อมไว้ ต่างบอกให้เขาระวังตัวและรีบกลับมา


 


 


“พี่โยวเอ๋อร์ พี่อี้เซวียน” เมิ่งชิงยังคงขานเรียกเหมือนสมัยเด็กๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยื่นมือออกไปตบไหล่เขาเบาๆ “พี่จะรอเจ้านำชัยชนะกลับมานะ”


 


 


เมิ่งชิงยิ้มพยักหน้า ให้สัญญาอย่างหนักแน่นว่า “วางใจเถอะขอรับ ข้าจะกลับมาโดยเร็วขอรับ”


 


 


เมื่อถึงเวลา นายทัพเริ่มเคลื่อนขบวน หลังจากมองดูกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรจากไป หวงฝู่อี้เซวียนก็เข้าวังทันที ส่วนครอบครัวตระกูลเมิ่งก็ไปหมู่บ้านนอกเมือง อ๋องฉีและพระชายาฉีเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีเพียงหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่รุ่ยสองคนที่มา จึงถามขึ้นว่า “เย่ว์เอ๋อร์ล่ะ”


 


 


“เมื่อคืนเย่ว์เอ๋อร์เป็นหวัด ไม่ค่อยสบาย จึงพักอยู่ในจวนเจ้าค่ะ” หวงฝู่สือเมิ่งตอบ


 


 


พระชายาฉีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกังวล รีบสั่งคนม้าเร่งม้าให้เร็วขึ้นเพื่อให้ถึงจวนได้เร็วขึ้น


 


 


หลังจากถึงจวน ทุกคนก็ลงจากรถม้า อ๋องฉีและพระชายาฉีเดินสาวท้าวไปที่เรือนของหวงฝู่เย่าเย่ว์ เมิ่งเชี่ยนโยวหวงฝู่สือเมิ่ง และหวงฝู่รุ่ยตามหลังไป


 


 


เมื่อเดินถึงหน้าห้อง อ๋องฉีก็หยุดฝีเท้าลง พระชายาฉีผลักประตูเข้าไป พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ทำไมเจ้า…”


 


 


ยังไม่ทันพูดจบ เมื่อเห็นเตียงที่ว่างเปล่าก็ชะงักลง จากนั้นก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ “เย่ว์เอ๋อร์ล่ะ”


 


 


เมื่อนางพูดจบ อ๋องฉีก็เดินสาวเท้าเข้ามาในห้อง เห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็ขมวดคิ้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและอีกสองคนที่เดินตามหลังมาเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็ชะงัก


 


 


“เย่ว์เอ๋อร์ล่ะ พวกเจ้าบอกว่าเย่ว์เอ๋อร์ไม่สบายนอนอยู่ในจวนไม่ใช่หรือ แล้วนางล่ะ” พระชายาฉีหันกลับไปถามเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก เดินไปข้างเตียง ยื่นมือไปสัมผัสฟูกที่ไร้ซึ่งความอุ่น นัยน์ตาแสดงความฉุนเฉียว ลุกขึ้นยืน ครั้นกำลังจะสั่งชิงหลวนให้เรียกคนดูแลบ้านมา หวงฝู่สือเมิ่งก็เห็นจดหมายบนโต๊ะ นางเดินไปหยิบขึ้นมา เมื่อเห็นเนื้อหาและอ่านอย่างละเอียดแล้ว นางก็ร้องตกใจ “ท่านแม่ เย่ว์เอ๋อร์ไปชายแดนพร้อมกองทัพแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ลำตัวพระชายาฉีอ่อนเปลี้ยไปหมด จนนางยืนไม่ไหว อ๋องฉีจึงยื่นแขนไปประคองนางไว้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมา หวงฝู่สือเมิ่งรีบนำจดหมายส่งให้นาง แต่เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันได้อ่าน ก็ถูกพระชายาฉีหยิบไป อ่านได้ความว่า


 


 


‘ท่านพ่อ ท่านแม่ เมื่อพวกท่านเห็นจดหมายฉบับนี้ ข้าแอบหนีออกไปชายแดนพร้อมกับกองทัพแล้ว ข้ารู้ว่าพวกท่านต้องโกรธที่ข้าทำเช่นนี้ แต่ข้าอยากออกไปดูเจ้าค่ะ ได้โปรดให้อภัยความเอาแต่ใจของลูกด้วยเถอะ และได้โปรดวางใจ ข้าจะดูแลตัวเองดีๆ ไม่เป็นอะไรแน่นอนเจ้าค่ะ แล้วก็ขอท่านพ่อและท่านแม่ช่วยเกลี้ยกล่อมท่านปู่และท่านย่าด้วยนะเจ้าคะ บอกพวกท่านว่าเย่ว์เอ๋อร์จะกลับมาโดยเร็ว ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ’ สุดท้าย ข้างล่างยังเขียนหมายเหตุไว้เล็กๆ ว่า ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะไม่เข้าไปอยู่ในกองทัพ ดังนั้นไม่ต้องส่งคนมาตามหาข้านะเจ้าคะ’


 


 


ปิดท้าย เย่ว์เอ๋อร์


 


 


เมื่ออ่านจบ พระชายาฉีก็เงยหน้าขึ้น พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ เร็วเข้า ให้องครักษ์ลับรีบไปตามเย่ว์เอ๋อร์กลับมา นางอายุยังน้อย หากพบคนไม่ดีแล้วเกิดอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งไม่ขยับ


 


 


อ๋องฉีออกคำสั่งว่า “ไป รีบตามท่านหญิงน้อยกลับมาเดี๋ยวนี้”


 


 


มีคนขานรับ และกำลังจะเดินจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ห้ามไว้ “เสด็จพ่อ ช้าก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


อ๋องฉีมองไปที่นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ในเมื่อเย่ว์เอ๋อร์อยากออกไปเผชิญโลก ก็ปล่อยนางไปเถอะเจ้าค่ะ”


 


 


“มิได้” พระชายาฉีโต้กลับเสียงสูง “เย่ว์เอ๋อร์ยังเด็ก ไม่รู้ว่าข้างนอกอันตราย หากเจอคนร้ายเข้า จะทำอย่างไร” พูดจบก็เร่งอ๋องฉี “เร็วเข้า สั่งคนไปตามเย่ว์เอ๋อร์กลับมา”


 


 


“เสด็จแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ห้ามปรามนางอีกครั้ง “ในเมื่อเย่ว์เอ๋อร์มีความคิดเช่นนี้ แม้เราจะตามนางกลับมาวันนี้ วันข้างหน้าหากมีโอกาสอีก นางก็จะหนีออกจากจวนไปอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราปล่อยให้นางได้ทำตามความต้องการไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ นางอยากตามกองทัพไป ก็ให้นางไปเถอะเจ้าค่ะ หากพบเจออุปสรรคอะไร นางก็จะกลับมาเอง”


 


 


พระชายาฉีจะพูดอะไรขึ้นอีก อ๋องฉีกลับเอ่ยปากขึ้นก่อน น้ำเสียงเคร่งขรึม ถามเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความน่าเกรงขามว่า “เจ้าคิดดีแล้วหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แต่ไหนแต่ไรมามารดามีเมตตา มักมากด้วยบุตรล้างผลาญ แต่เย่ว์เอ๋อร์ถูกประคบประหงมเลี้ยงดูแต่เล็ก ไม่รู้ถึงภัยอันตรายและความลำบากภายนอก การได้ออกไปเผชิญโลก ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายเจ้าค่ะ”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่คนในครอบครัวมีความเห็นที่แตกต่างกันในการเลี้ยงดูลูก


 


 


สายตาอ๋องฉีเยือกเย็น จ้องเขม็งไปที่นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลบสายตา แววตาแน่วแน่ มุ่งมั่น ไม่ไหวติง


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง อ๋องฉีก็มองกลับมา พูดกับพระชายาฉีด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความโมโหว่า “ไปเถอะ กลับเรือนของเรากัน ต่อไปเราอย่ายุ่งเรื่องของเด็กๆ อีกเลย”


 


 


“ท่านอ๋อง!” พระชายาฉีร้องอย่างไม่เห็นด้วย


 


 


อ๋องฉียื่นมือไปจับมือนางไว้แน่น ไม่ได้พูดอะไร ลากนางเดินสาวเท้าออกไป


 


 


เป็นครั้งแรกที่หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่รุ่ยเห็นอ๋องฉีแสดงท่าทีเช่นนี้กับเมิ่งเชี่ยนโยว พวกเขาตกใจจนยืนนิ่งอยู่ข้างหนึ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับไป เห็นสีหน้าของทั้งสองคน ก็ยื่นมือออกมาลูบศีรษะทั้งสอง ยิ้มพูดว่า “แม่แค่มีความคิดเห็นต่างจากท่านปู่เท่านั้นเอง พวกเจ้าอย่ากลัวเลยนะ”


 


 


ทั้งสองพยักหน้าเงียบๆ


 


 


“เมิ่งเอ๋อร์ เก็บที่นอนเย่ว์เอ๋อร์ให้เรียบร้อย” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง จากนั้นก็เดินออกไป ส่งคนไปส่งข่าวให้หวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ในวัง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนทราบข่าวอย่างรวดเร็ว เขาวางมือจากงานทั้งหมด แล้วรีบกลับจวนทันที เมื่อเข้ามาถึงในห้องก็ถามขึ้นว่า “ส่งคนไปตามหาหรือยัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ “ยัง”


 


 


“เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย ข้าจะสั่งคนเดี๋ยวนี้ ไม่เกินสองวัน จะพาเย่ว์เอ๋อร์กลับมา” หวงฝู่อี้เซวียนปลอบใจนาง เมื่อกำลังจะหันหลังเดินออกไปสั่งโจวอันส่งองครักษ์ลับไปตามหา


 


 


“ไม่ต้องหรอก ให้นางออกไปเผชิญโลกบ้างก็ดี” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก หันกลับไปมองนางอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า มองตาเขา “เย่ว์เอ๋อร์สิบสามขวบแล้ว ข้าในตอนนั้นก็ดูแลการงานของคนในบ้านทุกคนแล้ว ตอนนั้นเจ้าเองไม่เพียงต้องอดกลั้นความคิดถึงที่มีต่อข้า ยังต้องแบกรับภาระหน้าที่ของจวนอ๋อง เย่ว์เอ๋อร์เป็นลูกสาวของเรา ข้าไม่อยากให้นางเป็นเหมือนคุณหนูในหอสูงอย่างในเมืองหลวงทุกคน ที่เติบโตภายใต้การปกป้องดูแลของผู้ใหญ่ตลอดชีวิต หวังรอแต่ออกเรือนมีลูก มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไร้อุปสรรคขวางกั้นใดๆ ฉะนั้น ครั้งนี้เราปล่อยมือเถอะ ปล่อยตามใจนางให้นางได้สัมผัสประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่งบ้างเถอะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร มองนางเงียบๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็มองเขาเงียบๆ


 


 


ผ่านไปนาน หวงฝู่อี้เซวียนจึงค่อยๆ ยื่นมือที่สั่นเทาออกมา โอบกอดนางไว้ในอ้อมกอด ให้ดวงใจสองดวงใกล้ชิดกันมากขึ้น เมื่อสัมผัสถึงจังหวะหัวใจที่เต้นระส่ำระส่ายอย่างกังวลใจอยู่เช่นกัน เขาก็พูดปลอบอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าพูดถูก ลูกสาวของเราควรออกไปใช้ชีวิตแบบอื่นบ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลับตา น้ำตาไหลลงมา ความกังวลใจที่มีมาตลอดนั้นสุดท้ายก็ได้ปลดปล่อยออกมา นางพิงอกของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างเงียบๆ


 


 


เจียงจิ่นก็ได้ข่าวเช่นกัน นางตกใจใหญ่ รีบส่งคนไปเรียกหวงฝู่อวี้กลับมา แล้วบอกเรื่องนี้แก่เขา


 


 


หวงฝู่อวี้ได้ยินดังนั้น ก็หันหลังเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรทันที เขาเดินพลางสั่งพลางว่า “สั่งคนไปกั๋วจื่อเจี้ยน บอกว่าในจวนมีธุระ ให้รับเฮ่าเอ๋อร์กลับมา”


 


 


เจียงจิ่นไม่เข้าใจ แต่ก็ทำตาม แล้วสั่งบ่าวรับใช้ไป


 


 


หวงฝู่อวี้มาถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน รอหลังจากชิงหลวนรายงานเสร็จแล้วก็เดินเข้าไป ยังไม่ทันยืนนิ่งก็พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ารู้เรื่องของเย่ว์เอ๋อร์แล้ว ไม่ทราบว่าพวกพี่มีแผนจะทำอย่างไรขอรับ”


 


 


ตอนนี้อารมณ์ของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวสงบลงแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น หวงฝู่อี้เซวียนก็ตอบกลับว่า “ข้าเขียนจดหมายให้ท่านน้าแล้ว ให้เขาคอยสังเกตการณ์ในกองทัพ เมื่อใดที่พบเย่ว์เอ๋อร์ในกอง จะรีบส่งข่าวกลับมา”


 


 


“ว่าแล้วว่าพวกพี่จะทำเช่นนี้” หวงฝู่อวี้พูดอย่างมั่นใจ “ข้าก็เลยส่งคนไปกั๋วจื่อเจี้ยน เพื่อรับเฮ่าเอ๋อร์กลับมา อีกประเดี๋ยวจะให้เขาเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย และออกตามเย่ว์เอ๋อร์ไป เพื่อคอยคุ้มกันนางตลอดทางขอรับ”


 


 


“ไม่เป็นไร เราคาดเดากันแล้วว่า อย่างมากสองวัน เย่ว์เอ๋อร์ก็จะไปหาท่านน้าในค่ายทหาร ถึงตอนนั้นท่านน้าจะจัดแจงดูแลนางเอง” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


หวงฝู่อวี้ส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกพี่ไม่รู้จักลูกสาวตัวเองเลย เจ้าเด็กน้อยเย่ว์เอ๋อร์นั้นมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงเป็นยอด นางจะเดาไม่ได้หรือว่าพวกพี่จะเขียนจดหมายให้ท่านแม่ทัพ จากการคาดเดาของข้า นางอาจจะตรงไปที่ชายแดนทันที หลังจากถึงที่นั่นแล้วค่อยไปหาท่านแม่ทัพ เมื่อนั้น เขาอยากจะส่งนางกลับมาก็ไม่ทันเสียแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก พวกเขาทั้งสองคนก็คิดไม่ถึงว่าเย่ว์เอ๋อร์อาจจะตรงไปที่ชายแดนทันที


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสองคน หวงฝู่อวี้ก็รู้ว่าทั้งสองไม่ได้คิดถึงตรงนั้นจริงๆ เขารู้สึกได้ใจเล็กน้อย พูดต่อว่า “ข้าก็เลยจะส่งเฮ่าเอ๋อร์รีบตามออกไป ไม่แน่ว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ตามเย่ว์เอ๋อร์ทันแล้ว ถึงตอนนั้นจะได้คอยปกป้องและส่งนางไปชายแดนอย่างปลอดภัย พวกพี่จะได้วางใจด้วยขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ ปฏิเสธว่า “ไม่ได้ เฮ่าเอ๋อร์ไปไม่ได้”


 


 


“ทำไมขอรับ” หวงฝู่อวี้ถามอย่างสงสัย


 


 


“เจ้ามีเฮ่าเอ๋อร์ลูกเพียงคนเดียว หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา ข้าและพี่ใหญ่ของเจ้าจะเผชิญหน้ากับเจ้าอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างตรงไปตรงมา พูดสิ่งที่กังวลในใจออกมาตามตรง


 


 


จู่ๆ หวงฝู่อวี้ก็พ่นหัวเราะออกมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงอย่างไม่พอใจว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะขอรับ เย่ว์เอ๋อร์ก็ยังเด็กอยู่ พวกพี่ยังไว้ใจให้นางไปเลย แต่เหตุใดลูกชายของข้าจึงไปด้วยไม่ได้ล่ะขอรับ”


 


 


“เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”


 


 


“ข้ารู้ว่าพี่สะใภ้ไม่ได้หมายความเช่นนั้น พี่สะใภ้ใหญ่แค่คิดว่าเฮ่าเอ๋อร์เป็นลูกในสายเลือดของข้า หากระหว่างที่ออกไปคุ้มกันเย่ว์เอ๋อร์แล้วเป็นอะไรไป พี่สะใภ้และพี่ใหญ่จะไม่สบายใจเอา แต่พี่สะใภ้ใหญ่อย่าลืมไปสิขอรับ ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เฮ่าเอ๋อร์เป็นผู้ชายที่โตที่สุดในเรือน การปกป้องเย่ว์เอ๋อร์พวกนางเป็นหน้าที่ของเขา ไม่ใช่แค่ตอนนี้ ต่อไปเติบใหญ่ขึ้นก็เช่นกันนะขอรับ”

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 17 ปลอมตัวเป็นผู้ชาย

 

ไม่นานหวงฝู่เฮ่าก็ถูกรับตัวกลับมา  


 


 


เจียงจิ่นรออยู่ด้านหน้าประตูแล้ว เมื่อหวงฝู่เฮ่าลงมาจากรถม้า ก็พาเขาเข้าไปหาหวงฝู่อี้เซวียนทันที 


 


 


สองแม่ลูกเข้ามาด้านในเรือน หวงฝู่เฮ่าทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว “คารวะท่านลุง ท่านป้าขอรับ” 


 


 


ทั้งสองพยักหน้าเล็กน้อย 


 


 


หวงฝู่อวี้พูดขึ้นมาว่า “เฮ่าเอ๋อร์ พี่เย่ว์เอ๋อร์ของเจ้าติดตามท่านแม่ทัพไปยังชายแดน พ่ออยากจะให้เจ้าติดตามนางไป ไปปกป้องนาง เจ้ายินดีหรือไม่” 


 


 


พูดจบ เจียงจิ่นเงยหน้ามองเขา ปากขยับเล็กน้อย ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง  


 


 


ส่วนหวงฝู่เฮ่าหลังจากที่ชะงักไปแล้วตอบพ่อด้วยความเคารพว่า “เรียนท่านพ่อ การปกป้องพี่เย่ว์เป็นหน้าที่ของลูก ลูกยินดีขอรับ” 


 


 


“ดี กลับเป็นเก็บข้าวเก็บของ รีบออกเดินทางเถิด” หวงฝู่อวี้ไม่ได้กล่าวอะไร และไม่ได้สั่งอะไร เพียงแต่สั่งหวงฝู่เฮ่าให้รีบไปดูแลหวงฝู่เย่าเย่ว์ 


 


 


“เซี่ยงกง” เจียงจิ่นอดไม่ได้ จึงพูดออกมา 


 


 


หวงฝู่อวี้มองนางด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่อาจให้ใครมาสงสัยได้  


 


 


เจียงจิ่นอยู่กับเขามาสิบกว่าปี เข้าใจทุกการกระทำของเขา เมื่อเห็นสายตาเช่นนี้ของเขาก็รู้ได้ว่าเขาได้ทำการตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนไปได้ คำที่ต้องการปรามเขาถูกกลืนหายไป เปลี่ยนเป็นอีกประโยค “ข้าจะไปช่วยเฮ่าเอ๋อร์เก็บข้าวของเจ้าค่ะ” 


 


 


“ไปเถิด อีกครู่ข้าจะตามไป” 


 


 


สองคนแม่ลูกกลับมายังเรือนของตน เจียงจิ่นจับมือของหวงฝู่เฮ่าเอาไว้ พูดว่า “เฮ่าเอ๋อร์ บอกกับแม่มาตรงๆ เจ้าเต็มใจจะไปชายแดนหรือไม่ หากเจ้าไม่ยินดี แม่จะแอบไปบอกท่านป้าของเจ้าให้ช่วยพูดให้” 


 


 


ในจวนนี้ หวงฝู่อวี้ไม่กลัวอ๋องฉี ไม่กลัวหวงฝู่อี้เซวียน กลัวก็แต่เพียงเมิ่งเชี่ยนโยวเท่านั้น ขอแค่เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดปากพูด ไม่มีทางที่หวงฝู่อวี้จะกล้าขัด 


 


 


หวงฝู่เฮ่ายืดตัวตรง เก็บสีหน้า ตอบอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่ ลูกยินดีขอรับ” 


 


 


“เจ้ายินดีจริงหรือ แต่เจ้ายังอายุน้อยอยู่ หากระหว่างทางเจอกับเรื่องอะไรเข้าจะทำเช่นไร” เจียงจิ่นมองลูกชายที่ทำหน้าจริงจังอยู่ตรงหน้า สายตาของนางมีความกังวลและไม่ยินยอม 


 


 


“ท่านแม่ ลูกไม่ใช่เด็กแล้ว หากพบเรื่องใดลูกจะจัดการด้วยอารมณ์สงบ ครานี้ ให้ถือว่าลูกออกไปฝึกฝนนะขอรับ” 


 


 


เจียงจิ่นไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กรอบดวงตาแดงก่ำขึ้น 


 


 


หวงฝู่เฮ่าปลอบใจ “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลแทนข้า ลูกจะดูแลตัวเองให้ดีขอรับ” 


 


 


แม้จะพูดเช่นนี้ แต่หวงฝู่เฮ่ายังอายุน้อย ยังไม่เคยจากบ้านไปไกล เจียงจิ่นไม่วางใจ 


 


 


หวงฝู่อวี้เดินเข้ามา เห็นภาพเช่นนี้ จึงพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ได้เตรียมการณ์เอาไว้แล้ว เย่ว์เอ๋อร์และเฮ่าเอ๋อร์จะต้องไม่เป็นอะไร” 


 


 


ในมือของหวงฝู่อี้เซวียนมีองครักษ์มือดีหลายคน อย่างไรเสีย พวกเขาไม่มีทางให้เฮ่าเอ๋อร์เดินทางผู้เดียว เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงจิ่นจึงได้คลายกังวลลงบ้าง ค่อยๆ ช่วยหวงฝู่เฮ่าเก็บข้าวของด้วยสายตาแดงก่ำ 


 


 


หวงฝู่อวี้อยากจะสั่งอะไรบางอย่าง แต่หลายปีมานี้ ตัวเขาเคยได้ไปไกลที่สุดก็เพียงอำเภอชิงเหอเท่านั้น ซ้ำแล้วยังมีองครักษ์มากมายคอยดูแล ไม่มีอะไรจะสั่งเสียจริงๆ จึงได้เดินไปตบบ่าของหวงฝู่เฮ่าเบาๆ พูดว่า “พ่อเชื่อใจเจ้า” 


 


 


หลังหวงฝู่อวี้จากไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนได้ปรึกษากับเมิ่งเชี่ยนโยว ปรับเปลี่ยนคน สั่งให้โจวอันไปเลือกองครักษ์มือดีมา เพื่อคุ้มกันส่งหวงฝู่เฮ่าไปยังชายแดน 


 


 


ทางนี้ยังจัดการไม่เรียบร้อยดี หวงฝู่สือเมิ่งก็เดินเข้ามา 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าของนาง เมิ่งเชียนโยวรู้ว่านางต้องการกล่าวอะไร ขมวดคิ้ว “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าคิดดีแล้วหรือ ระยะทางไปชายแดนแสนไกล ไม่รู้ว่าจักเกิดเรื่องอันตรายอะไรขึ้นบ้าง” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งเงยหน้าน้อยๆ ขึ้นมา เพื่อให้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้านางให้ชัด “ท่านแม่ ข้าเป็นพี่ หน้าที่ดูแลเย่ว์เอ๋อร์เป็นหน้าที่ของข้า ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ เมื่อไรที่ข้าเจอนาง ข้าจะพาตัวนางกลับมาทันที” 


 


 


“เย่ว์เอ๋อร์จากไปโดยไม่บอกกล่าว ท่านปู่ท่านย่าของเจ้ารับเรื่องนี้ไม่ไหว หากเจ้ายังอยากติดตามไป ก็ไปบอกพวกเขาเองเถิด หากพวกท่านยินดี พ่อและแม่ก็ไม่ขัด” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกัดปากตนเองเล็กน้อย หันหลังเดินออกไป 


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าหวงฝู่สือเมิ่งที่น่ารักและเชื่อฟังมาตลอดจะมาขอไปชายแดน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี  


 


 


และไม่รู้ว่าหวงฝู่สือเมิ่งไปอ้อนวอนขอร้องท่านอ๋องฉีและพระชายาได้อย่างไร ครึ่งชั่วยามต่อมา พระชายาเดินจูงมือหวงฝู่สือเมิ่งมาด้วยดวงตาแดงก่ำ ถามว่า “พวกเจ้าจัดการกันเรียบร้อยแล้วหรือไม่” 


 


 


“เตรียมการณ์เรียบร้อยแล้วขอรับ มีองครักษ์ติดตามตลอดเวลา เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบ 


 


 


พระชายากุมมือของหวงฝู่สือเมิ่งไม่ยอมปล่อย พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “พวกเจ้าเป็นพ่อแม่ประเภทใดกัน ลูกสาวจะไปที่ที่อันตรายเพียงนั้น แต่กลับไม่ห้ามปรามกันเลย” 


 


 


ความหมายโดยนัยนั้น หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจแล้ว หมายความว่าจะให้ทั้งสองปรามหวงฝู่สือเมิ่ง ไม่ให้นางไป แต่ว่าทั้งสองได้สัญญาไปแล้วว่า จะกลับคำได้อย่างไรกัน จึงจำต้องแกล้งโง่ แกล้งเป็นไม่เข้าใจความหมายของนาง 


 


 


บอกใบ้ชัดเจนเพียงนี้ทั้งสองยังไม่เข้าใจ พระชายาก็รู้แล้วว่าทั้งสองได้ตัดสินใจไปแล้ว จึงได้จ้องมองทั้งสองด้วยสายตาโหดเ**้ยมอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน  


 


 


ทั้งสองไม่กล้าปริปาก ก้มหน้าลง หลบสายตานางพร้อมกัน 


 


 


พระชายาจนปัญญา จึงทำได้เพียงเก็บสายตา บ่นเจื้อยแจ้ว สั่งเสียวนไปวนมานานกว่าครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งหวงฝู่สือเมิ่งเกือบจะนำคำพูดของนางมาพูดย้อนกลับได้แล้ว นางจึงได้หยุดลง ไปยังห้องของนางและช่วยนางเก็บของด้วยตัวเอง 


 


 


หวงฝู่เฮ่าเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อวี้และเจียงจิ่นพาเขามาบอกลาทั้งสอง เมื่อได้ยินว่าหวงฝู่สือเมิ่งต้องการจะไปด้วย จึงได้ชะงักไป จากนั้นหวงฝู่อวี้ก็ถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พวกท่านช่างใจกล้าเหลือเกิน เย่ว์เอ๋อร์แอบหนีไปชายแดน พวกเราไม่รู้เรื่องมาก่อน ก็จนปัญญา แต่เหตุใดพวกเจ้าจึงยอมให้เมิ่งเอ๋อร์ไปลำบากที่นั่นด้วย” 


 


 


“ลูกๆ โตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเราห้ามมิได้หรอก” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเบาๆ  


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ยอม กำลังจะอ้าปากโต้กลับไป แต่เจียงจิ่นแอบดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ บอกเขาว่าอย่าใจร้อนไป 


 


 


หวงฝู่อวี้สูดหายใจลึก และสูดหายใจเข้าไปอีกครั้ง ขอเพียงแค่ไฟในใจมอดดับไปเท่านั้น เย่ว์เอ๋อร์และเมิ่งเอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของเสด็จพ่อเสด็จแม่ คนหนึ่งไปยังชายแดน ก็เพียงพอจะทำให้พวกท่านเป็นห่วงแล้ว หากไปกันทั้งสอง แล้วเสด็จพ่อและเสด็จแม่จะเป็นอย่างไรเล่า เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไฟโกรธในใจก็ไม่สามารถมอดหายไปได้ แต่กลับลุกโชนยิ่งกว่าเดิม พูดเสียงดังและเสียงแข็งเป็นครั้งแรกว่า “ข้าไม่สน พวกเจ้าจะต้องห้ามให้เมิ่งเอ๋อร์ไปด้วย” 


 


 


“เสด็จพ่อและเสด็จแม่ตอบตกลงแล้ว ข้าและพี่ชายของเจ้าจะห้ามได้อย่างนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม 


 


 


หวงฝู่อวี้ชะงักไป ถามย้อนไปว่า “เสด็จพ่อและเสด็จแม่ยินดีให้เมิ่งเอ๋อร์ไป?” 


 


 


“ไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าข้าและพี่ใหญ่ของเจ้าตกลงกันเองอย่างนั้นหรือ ตอนนี้วิธีการลงโทษของเสด็จพ่อเชี่ยวชาญขึ้นทุกวัน อย่าว่าแต่พี่ใหญ่ของเจ้าเลย แม้แต่ข้าก็คงมิอาจเลี่ยงได้” 


 


 


เสด็จพ่อและเสด็จแม่ยอมแล้วเช่นนั้นหรือ หวงฝู่อวี้อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก 


 


 


พระชายาช่วยหวงฝู่สือเมิ่งเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมายังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน เมื่อเห็นข้างของของหวงฝู่เฮ่า ก็ตาแดงขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้กล่าวห้ามอะไร และสั่งเสียยกใหญ่เช่นเคย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมจัดยาเอาไว้ แบ่งให้ทั้งสองเก็บเอาไว้ พูดว่า “ยาพวกนี้ พวกเจ้ารู้ดีว่าคืออะไร ข้าก็จะไม่พูดมาก ต้องจำเอาไว้ว่าห้ามมีความคิดจะไปทำร้ายคน แต่ต้องไม่ลืมปกป้องตนเอง” 


 


 


ทั้งสองตอบรับ 


 


 


แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวได้มอบเงินร้อยตำลึงให้พวกเขา จากนั้นก็นำเศษเงินใส่เข้าไปในกระเป๋าของทั้งสอง สั่งว่า “ใจคนโหดร้าย โลกนี้มีคนอยู่ทุกรูปแบบ จำไว้ว่า เงินทองอย่าบอกให้ใครรู้ จะได้ไม่พาเรื่องเดือดร้อนมาหาตัว” 


 


 


ทั้งสองตอบรับ 


 


 


หลังจากสั่งเสียเสร็จแล้ว ทั้งสองก็เดินออกจากจวนไป 


 


 


ส่วนอ๋องฉีก็เดินไพล่หลังอยู่หน้าประตู 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งวิ่งไปด้านหน้า โอบแขนของอ๋องฉีไว้ พูดปลอบด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านปู่ ท่านมิต้องเป็นกังวลไป ไม่ช้าข้าจะพาเย่ว์เอ๋อร์กลับมาให้ได้เจ้าค่ะ” 


 


 


อ๋องฉีไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่ยื่นมือที่สั่นเทามาลูบหัวของนาง ฝืนยิ้มออกมา “รีบไปรีบกลับนะ” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า ปั้นยิ้มออกมา “ข้าไม่เพียงแต่จะพาเย่ว์เอ๋อร์กลับมาด้วย แต่ยังจะเอาของมาฝากท่านปู่ท่านย่าอีกด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


กรอบตาของอ๋องฉีร้อนผ่าวขึ้นมา เพื่อไม่ให้ตนน้ำตาไหลออกมา จึงได้เก็บมือลง พูดเสียงทุ้มว่า “ไปเถิด” 


 


 


หลังจากหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าได้ทำการร่ำลาทุกคนแล้วนั้น ก็หันหลังขึ้นม้าไป แซ่ม้าหวดขึ้น ม้าได้วิ่งจากไป 


 


 


องครักษ์ลับนับสิบติดตามไปด้านหลัง 


 


 


พร้อมกันนั้นอ๋องฉีก็ได้พูดกับอากาศว่า “ดูแลท่านหญิงน้อยให้ดี หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาแม้แต่น้อย พวกเจ้าก็จงหิ้วหัวมาพบข้า” 


 


 


มีเสียงตอบรับมาจากในที่มืด มีเงาดำหลายเงากระโดดออกมาจากมุมลับ ขึ้นรถม้าที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว ติดตามไปด้วย 


 


 


จนกระทั่งเหล่ารถม้าแล่นลับตาไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้เบนสายตามา พูดว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ กลับเข้าด้านในเถิดขอรับ” 


 


 


มองค้อนเขาเล็กน้อย จากนั้นอ๋องฉีก็เดินเข้าจวนไป พระชายาเดินตามด้านหลัง 


 


 


เดินได้ไม่ไกล เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธของอ๋องฉีดังขึ้นมา “นับแต่วันนี้ไป พวกเจ้ากินข้าวที่เรือนของตนเองเถิด อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีกเลย” 


 


 


พูดจบ ก็เร่งฝีเท่าเดินไป 


 


 


พระชายาก้มหน้าลง เดินติดตามไป ไม่มองพวกเขาแม้แต่น้อย 


 


 


ทั้งสี่คนหยุดฝีเท้าลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มองร่างของทั้งสองหายลับไปในทางโค้งของทางเดิน หวงฝู่อวี้จึงได้ถามลองเชิงว่า “พวกเรา…ถูกรังเกียจเช่นนั้นหรือ” 


 


 


รังเกียจที่ใดกัน ถูกโกรธต่างหากเล่า เด็กทั้งสองห่างบ้านไกลที่สุดคือเมื่อปีที่แล้วที่ติดตามเมิ่งซื่อไปยังบ้านที่ชิงเหอ ใช้เวลาทั้งหมดราวครึ่งเดือน แต่ถึงกระนั้น พระชายาและอ๋องฉีก็ทำราวกับไร้วิญญาณอยู่ครึ่งเดือน ครั้งนี้ ไปยังชายแดน และไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด หากอ๋องฉีไม่โกรธก็แปลกแล้ว โทษหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชียนโยวที่ไม่ได้ห้ามปรามเด็กทั้งสอง โทษหวงฝู่อวี้ที่คิดสั่งการณ์ให้หวงฝู่เฮ่าไปตามหาหวงฝู่เย่าเย่ว์ 


 


 


ไม่ว่าคนในจวนจะเป็นอย่างไร แต่ขณะที่ทุกคนไม่ได้ในใส่ใจนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์ที่แอบหนีออกมาจากจวน ทำตัวราวกับม้าที่ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ นางสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด เดินสบายใจอยู่บนท้องถนน 


 


 


แต่ท่าทางของนางเช่นนี้ ต่อให้เป็นฉู่เหวินเจี๋ยก็คงดูไม่ออก เพราะว่านางใส่เสื้อผ้าของเพศชาย มวยเกล้าผมสูง ใช้วิธีแต่งหน้าที่เมิ่งเชี่ยนโยวสอนนาง ทาใบหน้าและคอของตนให้ดำคล้ำ มองเผินๆ ก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป ไม่มีคราบของเด็กสาวเลย 


 


 


แม้ว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะตื้นเต้นเพียงใด แต่ว่านางก็ยังมีสติอยู่ ควบม้าเล่นอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่ปลดปล่อยอารมณ์ของตนแล้วนั้น ก้าวเดินช้าลง รอนายทหารเดินมาถึง จะได้เดินไปพร้อมกับเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าทางไปชายแดนนั้นไกล นางไม่รู้ทาง เพราะแค่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทาง นางคงไม่มีวิธีจัดการได้ แต่นางก็ไม่ได้เสียสติจนจะต้องไปถึงค่ายทหาร เพื่อไปหาท่านอาน้อยและท่านน้าชิงเอ๋อร์ พ่อและแม่จะต้องส่งคนมาส่งข่าวให้พวกเขาแล้วเป็นแน่ ถึงตอนนั้นหากพวกเขาส่งตัวนางกลับไป ที่นางพยายามมานานก็คงสูญเปล่า อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าจะใกล้ถึงชายแดนแล้ว ค่อยไปหาพวกเขา ถึงตอนนั้น ต่อให้พวกเขาอยากส่งนางกลับก็ไม่มีเวลาแล้ว 


 


 


คิดไปพลาง ก็ให้ม้าเดินไปอย่างช้าๆ รอจนเหล่านายทหารมาถึง เดินกันให้ฝุ่นตลบนั้น นางก็ดีใจขึ้นมา ติดตามไปด้านหลังทันที 


 


 


เป็นเช่นนี้ เมื่อถึงยามค่ำคืนแล้ว เมื่อเหล่าทหารหยุดทัพไว้ที่ใดแล้ว หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงได้ควบม้าไปยังเมืองเล็กใกล้ๆ หาที่พักสะอาดๆ ค้างคืน 


 


 


ออกจากบ้านวันแรก อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น กินข้าวเย็นง่ายๆ จึงนอนลงบนเตียง พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับเสียที กระทั่งได้ยินเสียงบอกเวลาแว่วๆ จึงได้มีอาการง่วงขึ้นมา นอนหลับลงไปในที่สุด 


 


 


การหลับครั้งนี้หลับสนิท ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งฟ้าก็สว่างแจ้งแล้ว แสงสาดส่องลอดหน้าต่างเข้ามา 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกใจรีบลุกขึ้นมา รีบสวมใส่เสื้อผ้า เก็บข้าวของ จากนั้นวิ่งออกจากห้องไป รีบไปจ่ายเงินค่าห้อง หยิบเชือกม้ามา รีบควบม้ามายังที่ตั้งค้างแรมของทหารเมื่อคืน 


 


 


ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของเหล่าทหาร หวงฝู่เย่าเย่ว์ตบหัวของตนเองด้วยความโมโห 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 18 ร้านมืด

 

นางยืนนิ่งที่เดิม คิดเล็กน้อย จากนั้นหวงฝู่เย่าเย่ว์ควบม้าเลียบไปตามถนน เดินทางไปพร้อมถามทางไปตลอดทาง 


 


 


ครึ่งชั่วยามต่อมา ก็ติดตามกองทัพทหารมาได้  


 


 


นางแอบโล่งใจ ควบม้าให้ช้าลง รักษาความเร็วให้เท่ากับกองทัพทหาร เดินทางไปพร้อมกับชื่นชมบรรยากาศข้างทางไปด้วย 


 


 


ออกจากเมืองหลวงได้ไม่ไกล บ้านเมืองสองข้างทางยังคงค่อนข้างคึกครื้น ไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่นางคิดเอาไว้ คงเป็นเพราะว่าหลายปีมานี้ การปกครองทั่วถึง ประชาราษฎร์อยู่อย่างสงบสุข ในหน้าของประชาชนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม  


 


 


เมื่อเห็นกองทัพทหารเดินผ่านมา ชาวบ้านที่อยู่ข้างทางต่างพากันมาส่ง มอบขนมแปลกๆ ให้เหล่าทหาร 


 


 


แต่ฉู่เหวินเจี๋ยควบคุมทหารอย่างเข้มงวด มิได้อนุญาตให้เหล่าทหารกินของพวกนั้น ทำเพียงโบกมือขอบคุณ จากนั้นก็เดินต่อไป 


 


 


จนกระทั่งตอนเที่ยง พวกเขาพักกลางวัน ทุกคนนำธัญพืชที่พกมาขึ้นมากิน  


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงคิดได้ว่า ตนรีบออกมาจากที่พักเมื่อเช้า ไม่ได้เตรียมอาหารสำหรับมื้อกลางวัน เมื่อรู้สึกหิวแล้ว จึงได้ควบม้าเดินหน้าต่อไป หวังจะไปเมืองใกล้ๆ เพื่อหาอะไรกินให้อิ่มท้อง พร้อมกับรอให้เหล่าทหารออกเดินทาง แล้วจึงค่อยติดตามไปด้วย 


 


 


นางเพิ่งจะควบม้าจากไปไม่นาน มีม้านับสิบแล่นตรงเข้ามา นำขบวนด้วยหวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่สือเมิ่ง ทั้งสองรีบควบม้ามา จึงได้ตามมาทันขบวนทหารในเที่ยงของอีกวัน 


 


 


เมื่อเห็นกองทัพอยู่ตรงหน้าแล้ว ทั้งสองก็โล่งใจ ยกแซ่ม้าขึ้น หวดให้ม้าวิ่งเข้าไป 


 


 


กองทัพทหารเดินทางบนถนนใหญ่ บนทางนั้นมีรถม้านับไม่ถ้วนแล่นผ่านไป ในทีแรกเหล่าทหารไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งเมื่อเห็นว่าม้านับสิบแล่นตรงมายังที่พักชั่วคราวของพวกเขานั้น ทหารที่ทำการลาดตระเวนอยู่จึงได้ระวังตัว ชูอาวุธทหารในมือขึ้น ตะโกนเสียงดังว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าเข้ามาใกล้อีก”  


 


 


ทั้งสองเมื่อได้ยินเสียงห้าม จึงได้ดึงเชือกที่คอม้า 


 


 


ม้าหยุดลงในระยะห่างจากทหารเพียงสามคืบ ไม่รอให้ทหารเปิดปากถาม หวงฝู่สือเมิ่งก็พูดขึ้นมาก่อน “ข้าเป็นท่านหญิงน้อยแห่งจวนอ๋องฉี มีเรื่องด่วนจะขอพบท่านแม่ทัพ รบกวนท่านไปแจ้งด้วย” 


 


 


ทหารไม่ขยับ มองพิจารณาพวกเขาเล็กน้อย ทั้งสองแต่งตัวเหมือนพวกผู้ดีจริงๆ ในใจจึงเกิดความสงสัย 


 


 


หวงฝู่เฮ่าหยิบป้ายประจำตัวขึ้นมา แกว่งไปแกว่งมาหน้าทหารผู้นั้น ให้เขามองสัญลักษณ์บนนั้นให้ชัด จากนั้นก็สั่งเสียงทุ้มว่า “รีบไปเสียสิ!” 


 


 


ทหารไม่กล้ารีรอ รีบวิ่งไปรายงานทันที 


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยละเมิ่งชิงกำลังกินอาหาร พร้อมกับเปิดดูแผนที่ชายแดนเพื่อวางแผนการโจมตีศัตรูกันอยู่ เมื่อได้ยินรายงานจากทหาร จึงได้ชะงักเล็กน้อย ถามย้ำว่า “เจ้าบอกว่าท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องงั้นหรือ” 


 


 


“ขอรับท่านแม่ทัพ” 


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งชิงมองหน้ากัน จากนั้นก็วางสิ่งในมือลงพร้อมกัน เดินเข้ามา เมื่อเห็นชัดแต่ไกลกว่าเป็นหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าแล้วนั้น ก็ใจหายทันที 


 


 


เมิ่งชิงสาวเท้าเร็วขึ้น  


 


 


เมื่อหวงฝู่สือเมิ่งเห็นพวกเขา ก็ได้ปล่อยม้า เดินเข้ามาหา “ท่านปู่ ท่านน้าเจ้าคะ” 


 


 


“เมิ่งเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไรกัน เกิดเรื่องขึ้นในจวนงั้นหรือ” 


 


 


“เย่ว์เอ๋อร์แอบหนีออกมาเจ้าค่ะ บอกว่าจะติดตามกองทัพทหารไปยังชายแดน ท่านแม่และท่านพ่อไม่วางใจ จึงได้ให้ข้าและเฮ่าเอ๋อร์มาคุ้มกันนาง ข้าอยากถามว่า เย่ว์เอ๋อร์ได้มาหาท่านที่กองทัพหรือไม่” 


 


 


สิ้นเสียงนาง ฉู่เหวินเจี๋ยโกรธขึ้นมาทันที “เด็กคนนี้นี่ ทำเรื่องวุ่นวายไปกันใหญ่ พวกเราจะไปรบกันที่ชายแดน ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่น นางเป็นเด็กผู้หญิงตัวคนเดียวจะติดตามไปได้อย่างไรกัน” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่ง และหวงฝู่เฮ่าไม่กล้าพูด แต่ฟังจากน้ำเสียงของพวกเขาก็พอจะเดาได้ว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ได้มาหาพวกเขา 


 


 


เมิ่งชิงขมวดคิ้ว พูดด้วยความเป็นกังวลว่า “เย่ว์เอ๋อร์ไม่ได้มาที่นี่ คิดว่าคงกลัวว่าหากพวกเรารู้เข้าจะจับนางส่งคืน” 


 


 


สีหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งเผยความร้อนใจออกมา ระหว่างทางที่มากับหวงฝู่สือเฮ่า พวกนางก็ถามมาตลอดทาง ว่าเคยเห็นเด็กผู้หญิงขี่มาผ่านมาบ้างหรือไม่ แต่ทุกคนต่างส่ายหน้า บอกว่าไม่เคยเห็น ใจของพวกเขากังวลมาตลอดทาง เมื่อได้ยินเมิ่งชิงพูดเช่นนี้ก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทันที 


 


 


หลังจากฉู่เหวินเจี๋ยเอ็ดแล้วนั้น คิดเล็กน้อย พูดว่า “เจ้าเด็กคนนั้นเล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจจะไปรอพวกเราที่ชายแดนแล้วก็เป็นได้ เพียงแต่ระยะทางไปชายแดนไม่ใช่ใกล้ๆ ระหว่างทางขออย่าเกิดเรื่องขึ้นเป็นพอ” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งฟังจบ จึงรีบพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าและเฮ่าเอ๋อร์จะเลียบถนนเดินทางตามไปเรื่อยๆ หากตามนางทัน ข้าจะส่งคนมาส่งข่าวให้พวกท่านเจ้าค่ะ” 


 


 


ทำได้เพียงเท่านี้ เมื่อมองดูองครักษ์ที่ติดตามมาหลายสิบคน ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “ก็ดี เจ้าติดตามไปก่อน ข้าก็จะบอกคนตามทางว่าให้คอยสังเกต หากพบร่องรอยของเย่ว์เอ๋อร์ จะรีบส่งคนไปส่งข่าวให้พวกเจ้าเช่นกัน” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าพยักหน้าพร้อมกัน หันขึ้นไปปีนม้า จากนั้นก็แล่นตรงไปยังชายแดน 


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยก็สั่งการไปว่าให้ทุกคนคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา 


 


 


เมื่อฉู่เหยาได้ยินข่าวเรื่องนี้ ก็รีบมาหาฉู่เหวินเจี๋ยทันที “ท่านพ่อ เย่ว์เอ๋อร์ออกมาผู้เดียว จะไม่เกิดเรื่องใช่หรือไม่” 


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยมิได้กล่าวอะไร ระยะทางระหว่างเมืองหลวงและชายแดนห่างกันเป็นพันลี้ เด็กคนนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ ก็ไม่มีใครรับรองได้ ตอนนี้หวังเพียงแค่ให้เมิ่งเอ๋อร์และเฮ่าเอ๋อร์รีบหานางให้พบโดยเร็ว 


 


 


เมื่อเห็นว่าเขาไม่กล่าวอะไร ก็ยิ่งเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น จึงได้ขอร้องว่า “ท่านพ่อ ไม่เช่นนั้นให้ลูกนำทางไปสืบดีหรือไม่ หากเย่ว์เอ๋อร์ไม่ได้ตรงไปที่ชายแดน แต่กำลังชื่นชมบรรยากาศระหว่างทางอยู่ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะพบตัวนางได้” 


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “ก็ดี เจ้าระวังตัวหน่อย อย่าอยู่ห่างจากกองทัพให้มากนัก หากเกิดเรื่องขึ้นให้รีบติดต่อข้าทันที” 


 


 


ฉู่เหยาตอบรับ จูงม้าเร็วมาตัวหนึ่ง จากนั้นก็ตามไปเช่นกัน  


 


 


หลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์กินอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว รออยู่ในหมู่บ้านอย่างใจเย็น รอเหล่าหทารผ่านมา จะได้แอบติดตามไปได้  


 


 


หลายวันมานี้ ต่างเป็นเช่นนี้ 


 


 


กระทั่งพ้นสิบวันไปแล้ว ระยะทางห่างจากเมืองหลวงมาได้เจ็ดแปดร้อยลี้แล้ว ทางที่กองหทารเดินทางกันเริ่มจะลำบากขึ้นทุกที ไม่ได้มีผู้คนมากมายเช่นหลายวันก่อนแล้ว 


 


 


ความเร็วของการเดินทางของทหารเริ่มช้าลง 


 


 


พลบค่ำวันนี้ ภายใต้คำสั่งของฉู่เหวินเจี๋ย เหล่าพลทหารรีบเดินทางมาตั้งที่พำนักอยู่หน้าป่า ก่อไฟทำอาหารกัน  


 


 


การเดินทางติดกันสิบกว่าวัน เหล่าทหารเริ่มมีอาหารกินอาหารไม่ลง ต่างพากันนั่งลงพักผ่อนบนพื้น 


 


 


เมื่อฉู่เหวินเจี๋ยเห็นดังนั้น ก็ไม่ได้ตำหนิอะไรพวกเขา เพียงแต่สั่งให้ทหารลาดตระเวนตั้งใจทำงานมากขึ้น 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์เองไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนตอนที่เพิ่งออกมาจากเมืองหลวงแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน เมื่อเห็นเหล่าทหารตั้งที่พำนักแล้ว จึงได้มองไปรอบๆ เห็นว่าไม่ไกลมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ จึงได้ควบม้าตรงไป 


 


 


ดูเหมือนว่า จะเป็นหมู่บ้านหนึ่งเดียวในบริเวณนี้ ไม่ได้เงียบเหงามาก มีผู้คนผ่านไปมามากมาย คึกครื้นไม่น้อย 


 


 


หลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์ควบม้าไปยังหมู่บ้านนั้นแล้ว หาที่พักที่สะอาดตา ลงจากม้า เดินโซซัดโซเซเข้าไปด้านใน พิงเข้ากับโต๊ะอย่างไร้เรี่ยวแรง ถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เถ้าแก่ ยังมีห้องเหลืออยู่หรือไม่”  


 


 


หมู่บ้านนี้อยู่ห่างจากเมืองหลวงมากนัก แต่อยู่ใกล้ชายแดน สำเนียงของผู้คนผสมกันมั่ว แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีสำเนียงของคนท้องถิ่นอยู่ มีเพียงสำเนียงของหวงฝู่เย่าเย่ว์เท่านั้นที่ฟังก็รู้ว่าไม่ใช่คนท้องถิ่น เถ้าแก่มองพิจารณานางรอบหนึ่ง เห็นว่าเขาแม้ว่าจะดูธรรมดา ผิวดำคล้ำ แต่ว่าแววตาสดใส เป็นประกาย เติมเสน่ห์ให้เขาเป็นอย่างมาก 


 


 


เถ้าแก่ยิ้มเล็กน้อย ตอบอย่างมีเลศนัยว่า “มีๆๆ ไม่ทราบว่าท่านจะพักกี่คืนหรือ” 


 


 


“ข้ามีธุระ รีบเดินทางต่อ แค่คืนเดียวก็พอ” 


 


 


“ได้เลย!” เถ้าแก่เดินออกมาจากโต๊ะ พาเขาเดินขึ้นไปด้านบน เมื่อเปิดห้องก็ถามว่า “นายท่าน เชิญดูเถิด ว่าพอใจห้องนี้หรือไม่” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์กวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นว่าค่อนข้างสะอาด จึงพยักหน้า “ห้องนี้ล่ะ” พูดจบ ก็หยิบเศษเงินออกจากแขนเสื้อส่งให้เขา “ให้คนนำน้ำร้อนและของกินมาให้ข้าที” 


 


 


ชั่งน้ำหนักเงินในมือดู สายตาเถ้าแก่มีแววมืดมนออกมา ยิ้มและพยักหน้า “โปรดรอสักครู่ ไม่นานน้ำร้อนจะมาถึง”  


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า เดินเข้าไป จากนั้นก็ปิดประตู  


 


 


เถ้าแก่หันหลัง ใบหน้ามารอยยิ้ม เดินลงบันไดไป พลางสั่งคนงานว่า “เตรียมน้ำร้อนและอาหารอย่างดีให้ลูกค้าด้านบน” 


 


 


คนงานตอบรับ รีบเดินไปด้านหลังเพื่อนำน้ำร้อนและอาหารขึ้นไป 


 


 


เสียงคนในห้องโถงดังเจื้อยแจ้ว ต่างก็กำลังพูดคุยกันเรื่องที่กองทัพจะเดินทางไปยังชายแดน 


 


 


ไม่มีใครสนใจเถ้าแก่และคนงานนั้นมีรอยยิ้มน่ากลัวเผยออกมา 


 


 


คนงานเอาน้ำร้อนมาส่งด้านบน หลังหวงฝู่เย่าเย่ว์ปิดประตูอย่างมิดชิดแล้ว ก็ถอดชุดอออก จุ่มน้ำสะอาดชำระร่างกายของตน ยิ่งเข้าใกล้ชายแดน พายุทรายยิ่งแรง วันนี้ทั้งวันทำเอารู้สึกสกปรกจนทรมาน 


 


 


หลังจากชำระล้างจนสะอาดแล้ว ก็ได้หยิบเอาชุดสะอาดออกมาเปลี่ยน ทิ้งชุดที่เพิ่งใส่ไปอีกด้านอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็ส่องเงาจากน้ำอย่างพินิจพิจารณา ทาสีที่บริเวณลำคอและใบหน้าของตน จึงได้เปิดประตู เรียกคนงานขึ้นมา ให้นำน้ำที่สกปรกลงไป 


 


 


จากนั้นก็สั่งคนงานให้เอาอาหารขึ้นมา 


 


 


หลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์นอนพักลงบนเตียงนอน มองเพดาน เป็นครั้งแรกที่นางมีความรู้สึกคิดถึงบ้าน คิดถึงท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ ไม่รู้ว่าหลังจากที่พวกเขารู้ว่าตนแอบหนีออกมาแล้ว จะเป็นเช่นไร จากนั้นก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาที่ตนคิดไวทำไวไปหน่อย 


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งนอนไม่หลับ กระทั่งดึกมาก จึงได้หลับสนิทลง 


 


 


เวลาล่วงเลย คนในโรงเตี๊ยมหลับกันหมดแล้ว ภายในเงียบสงัด มีเงามืดเข้ามาจากด้านหลังโรงเตี๊ยม 


 


 


เถ้าแก่ที่ยังไม่ได้นอน ทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้ให้พวกเขา คนเหล่านั้นพยักหน้า เดินย่องขึ้นบันไดไปเสียงเบา เดินไปจนถึงหน้าห้องของหวงฝู่เย่าเย่ว์ 


 


 


เงามืดเงาหนึ่ง ใช้มือขวาหยิบควันยาสลบออกมา มือขวาแตะน้ำลายเจาะรูบนหน้าต่าง จากนั้นก็สอดควันยาสลบเข้าไป แล้วเป่าเข้าไปในห้องเบาๆ  


 


 


ภายในห้อง หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย หายใจสม่ำเสมอ โดนพิษยาสลบเข้าไป หัวเอนไปอีกทาง ก็สลบไปทันที 


 


 


ภายนอกห้อง เงามืดหลายเงารอเล็กน้อย จากนั้นก็มีเงาหนึ่งนำหน้า หยิบกรรไกรขึ้นมา ตัดสายคล้องประตูออก คนเหล่านั้นบุกเข้าไปทีละคน เห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์สลบไร้สติอยู่ ไม่รู้สึกตัว จึงได้มองหน้ากันและกัน พยักหน้า แล้วเริ่มค้นกระเป๋าของหวงฝู่เย่าเย่ว์ 


 


 


เปิดออก ก็เป็นเพียงเสื้อผ้าของบุรุษเพศ ไม่มีของมีค่าใด  


 


 


คนพวกนั้นไม่ถอดใจ มองหน้ากัน จากนั้นก็ไปข้างเตียง เปิดกระเป๋าเงินของหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมาอย่างไม่ลังเล มองดูเศษเงินและตั๋วเงินด้วยสีหน้าพึงพอใจ 


 


 


คนหนึ่งหยิบเอาเงินทั้งหมดออกมา กอดเอาไว้กับอก แล้วโบกมือ สั่งเสียงเบาว่า “แบกออกไป” 


 


 


คนหนึ่งตอบรับ โน้มตัวลง เอาผ้าห่มมาห่อตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาไว้ ห่ออย่างมิดชิดแน่นหนา ยกแบกบนบ่า จากนั้น ก็เดินออกจากห้องไป ลงบันได เดินไปยังข้างโต๊ะ “เถ้าแก่” 


 


 


“สำเร็จแล้วหรือ” เถ้าแก่ถามเสียงเบา 


 


 


คนเหล่านั้นพยักหน้า คนที่เดินตามมาติดๆ เดินขึ้นมาด้านหน้า นำเงินที่ได้มามอบให้เถ้าแก่ พูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจจนปิดไม่มิด “เป็นแกะตัวอ้วนทีเดียว” 


 


 


เถ้าแก่ยื่นมือไปรับ เมื่อมองดูเงินในมือแล้ว ยิ้มอย่างยินดีจนตาหยี “เช่นนี้ จะเก็บไว้ไม่ได้เสียแล้ว จำไว้ ว่าขอราคาสูงๆ หน่อย เจ้าคนนี้แม้จะดำไปเสียหน่อย แต่แววตาราวกับเด็กสาว ยั่วยวนคนได้ดี คงจะขายได้ราคาดีไม่น้อย” 


 


 


ชายชุดดำกำลังจะทุบอก แต่เมื่อคิดว่าดึกดื่นแล้ว ถ้าหากทำเสียงดังจะทำให้แขกตื่นเอาได้ จึงได้หัวเราะเสียงเบา “วางใจเถิด เรื่องนี้ข้าจัดการเอง จะต้องขายได้ราคาดีแน่” 


 


 


“รีบไปเถิด เก็บความลับให้ดี อย่าให้ใครพบเข้า อีกอย่าง เงินที่ขายได้ให้เป็นค่าแรงของพวกเจ้า ไม่ต้องมอบให้ข้า” 


 


 


คนเหล่านั้นยินดีเหลือเกิน “ขอบคุณขอรับเถ้าแก่”  


 


 


เถ้าแก่โบกมือ พวกเขาจึงแบกหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกไป หายไปในความมืด 


 


 


เถ้าแก่หยิบเงินที่ได้มาขึ้นมาอย่างดีใจ รอยยิ้มผุดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน ค่อยๆ พับเงินอย่างตั้งใจ สอดไว้ในกระเป๋าของตน ส่วนเศษเงินพวกนั้น เขาหยิบขึ้นมาและโยนใส่กล่องใส่เงินบนโต๊ะ 


 


 


ชายฉกรรจ์หลายคนแบกหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมา เดินทางมาได้ราวหนึ่งก้านธูป มาถึงที่ที่หนึ่ง ก็เดินอ้อมตรงไปยังประตูหลัง เคาะประตูอยู่สองสามครั้ง 


 


 


ครู่ใหญ่ ด้านในจึงมีเสียงดังออกมา “ใครน่ะ” 


 


 


“จากโรงเตี๊ยมที่ซีเฉิง เถ้าแก่ของเราให้เอาของเล่นมาส่ง” ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งตอบ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)