ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 146-152
ตอนที่ 146 แค่ทักทายยังไม่เลย
อ๋องฉีพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ณ ตอนนี้เหลียนอีตายแล้ว เรื่องที่เหลือข้าไม่อยากซักไซ้ไล่เลียงอีก เชียงเย่ มาอย่างไรก็กลับเช่นนั้นเถอะ แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจำคือ วันนี้ข้าให้อภัยพวกเจ้า เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ตลอดหลายปีของข้ากับเหลียนอี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อ๋องฉีและจวนมหาเสนาบดี ทางใครทางมัน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ต่อไปหากพวกเจ้าทำผิดแล้วมาถึงมือข้าอีก ข้าจะไม่ปล่อยไปอีกเป็นอันขาด”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว หากเฮ่อจาง ยังโวยวายต่อไปมีแต่รนหาที่ตายเอง เขาหันหลัง มองพระชายารองที่อยู่บนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย เฮ่อจางกัดฟันพูดออกมาคำหนึ่ง “ไป”
พูดจบ ไม่แม้แต่จะหันหลังแล้วเดินออกจากห้องโถงไว้ทุกข์ทันที
เฮ่อเหลี่ยนรีบตามหลังทันที
หวงฝู่อวี้สั่งพ่อบ้าน “ไม่ต้องเก็บไว้นาน พรุ่งนี้แจ้งข่าวการเสียชีวิตได้เลย”
พ่อบ้านรับคำสั่ง
หวงฝู่อวี้ร้องไห้เสียใจอีกครั้ง
เฮ่อจางพึ่งลมหายใจสุดท้ายออกจากจวนอ๋องฉี พาองครักษ์ที่ไม่ได้เรื่องกลับจวน พอเข้าห้องโถง ก็ตะคอกเฮ่อเหลี่ยน “ลูกชั่ว คุกเข่าเดี๋ยวนี้!”
เฮ่อเหลี่ยนตกใจ หัวใจเต้นตึกตัก คุกเข่าลงบนพื้น
“ลูกเลว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำเช่นนี้เป็นความผิดร้ายแรง ถ้าหากไม่ใช่น้องสาวของเจ้าใช้ความตายมารับแทนเจ้า วันนี้เจ้าก็คงต้องถูกโยนทิ้งที่สุสานเป็นอาหารของสุนัขแล้ว”
เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนไม่กล้าออกเสียง เฮ่อจางยิ่งเห็นบุตรชายเช่นนี้ก็ยิ่งโมโห นึกถึงตนเองที่มาจากคนยากจนกลายเป็นขุนนาง ใช้ความสามารถของตนเองจนทำให้กษัตริย์องค์เดิมให้ความสำคัญ และก้าวมาเป็นมหาเสนาบดีที่อยู่เพียงใต้คนเพียงผู้เดียว แต่อยู่เหนือหมื่นคน แต่บุตรชายคนโตของตัวเองกลับเป็นคนไร้ประโยชน์ ไม่มีความสามารถ ไม่พอยังเป็นตัวถ่วงความเจริญของตนอีก ตอนนี้มีหลักฐานอยู่ในกำมืออ๋องฉี ต่อจากนี้หากตนมีเรื่องอะไรแม้แต่นิดเดียว เขาก็จะใช้มันมาจัดการตนเองจนตายได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห สีหน้าก็ยิ่งไม่ดี
เฮ่อเหลี่ยนรู้สึกได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นพ่อ กลัวบิดาเตะตนเอง จึงค่อยๆ ขยับตัวถอยหลัง ไม่คิดว่าบิดาจะเห็นเข้าพอดี จึงทำให้ความโกรธในใจยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก ตะคอกออกไปว่า “พ่อบ้าน เอากฎบ้าน[1]ออกมา”
เฮ่อเหลี่ยนได้ยินว่าจะถูกลงโทษด้วยกฎบ้าน ตกใจจนรีบร้องขอ “ท่านพ่อ ท่านโปรดยกโทษครั้งนี้ให้ลูกเถิด ต่อไปข้าไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้อีกแล้ว”
เขาตัวสั่นงอตัวเดินถอยหลังไปด้วย ขอร้องไปด้วย ยิ่งทำให้เฮ่อจางโกรธขึ้นไปอีก เอากฎบ้านมาจากมือพ่อบ้าน เดินเข้าไปด้วยความโมโหแล้วตีลงไป
เฮ่อเหลี่ยนโดนตีจนร้องเสียง โอ้ยๆ คลานหนีไปรอบๆ ทิศ
ไฟโกรธในใจของเฮ่อจางยิ่งมากขึ้นไปอีก วิ่งไล่ตีบุตรชายอีกหลายรอบ จนร่างกายไม่ไหว หอบเหนื่อยแล้วจึงหยุด
เฮ่อเหลี่ยนโดนตีจนนอนอยู่บนพื้นลุกไม่ไหว
เฮ่อจางก็โกรธมากจริงๆ หอบเหนื่อยและสั่งพ่อบ้าน “จับมันโยนไปไว้ที่ห้องโถงไหว้บรรพบุรุษ ไม่ตายก็พอ”
พ่อบ้านรับคำสั่ง โบกมือให้เหล่าคนใช้พาเฮ่อเหลี่ยนไปห้องโถงไหว้บรรพบุรุษ
เฮ่อจางกลับมานั่งที่เก้าอี้ หายใจเข้าออกดีขึ้นเล็กน้อย ค่อยสั่งพ่อบ้าน “ไปส่งข่าวบอกกพระชายารอง บอกว่าอีเอ๋อร์โดนกระทำอย่างอำมหิต เรื่องอื่นไม่ต้องบอก นางรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
พ่อบ้านรับคำสั่ง แล้วเดินออกไป
เฮ่อจางนั่งอยู่บนเก้าอี้ กัดฟันแล้วกล่าวว่า “หวงฝู่จิ่ง ความแค้นที่ฆ่าลูกสาวข้านี้ ข้าไม่จบกับเจ้าง่ายๆ แน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เลยว่าหลังจากนางออกไปแล้วที่จวนอ๋องฉีจะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ หลังจากกลับถึงจวนแล้ว รอเมิ่งฉีกลับมา จึงนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้เล่าให้เขาฟัง
หลังจากเมิ่งฉีฟังแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาตำหนินาง “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วมิใช่หรือ ช่วงนี้อย่าไปจวนอ๋องฉี เหตุใดเจ้าจึงไม่ฟังบ้างเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเขาโกรธจริงๆ จึงไม่กล้าพูดอะไร
เมิ่งฉีเห็นนางเงียบ ไม่เถียงอะไร จึงถอนหายใจ “น้องข้า ตระกูลใหญ่มีเรื่องเยอะมากมาย ยิ่งคนตระกูลอ๋องฉี เจ้ารู้ไหมวันนี้มหาเสนาบดีพาคนไปโวยวายที่จวนอ๋องฉี โชคดีที่เจ้าออกมาก่อน ไม่ได้เจอ ไม่อย่างนั้นหากมหาเสนาบดีถือโกรธพวกเรา ต่อไปชีวิตของพวกเราก็จะไม่สงบอีกต่อไป เมื่อก่อนอยู่บ้านนอก เจ้าจะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้อยู่เมืองหลวง เป็นที่ของมหาเสนาบดี ถ้าเขาคิดจะจัดการเรา เขามีโอกาสตลอดเวลา แม้ว่าเรื่องของเจ้ากับอี้เซวียนคนในเมืองจะรู้หมดแล้ว จวนอ๋องและอ๋องฉีล้วนเห็นด้วย แต่พวกเจ้ายังไม่ได้หมั้นหมายกันจริงๆ ตามหลักแล้วยังไม่ถูกต้อง เวลาลำบากเดือดร้อนไม่มีคนจะออกตัวช่วยเจ้า ฟังพี่รองเถอะ ตั้งแต่วันนี้อย่าไปจวนอ๋องฉีอีก รอให้เจ้ากับอี้เซวียนหมั้นหมายกันแล้ว พี่รองจะไม่ห้ามเจ้าอีกเลย”
รู้ว่าเมิ่งฉีหวังดีกับตน เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าสัญญา “ข้ารู้แล้ว พี่รอง ต่อไปจะไม่ไปอีก”
เมิ่งฉีถอนหายใจ “จวนอ๋องเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะกระทบงานหมั้นของเจ้ากับอี้เซวียนหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่แน่ใจนัก จึงไม่ได้พูดอะไร
เมื่อถึงวันที่สอง จวนอ๋องฉีจัดงานไว้ทุกข์ให้พระชายารองอย่างเรียบง่าย ทำให้คนในเมืองเกิดการคาดเดาต่างๆ นาๆ คำพูดอะไรก็มีหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังคำของเมิ่งฉี ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ตั้งใจทำการผสมยาสมุนไพรและรักษาเฝิงจิ้งเหวินอยู่ที่บ้าน
งานหมั้นของเฝิงจิ้งซูถูกกำหนดแล้ว โรคของตนก็ถูกรักษาหายแล้ว วันสุดท้ายเฝิงจิ้งเหวินดีใจผิดปกติ ถามว่า “วันนี้ข้ากลับบ้านได้แล้วใช่หรือไม่”
“แน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวล้อเล่นกับนางว่า “เจ้าไม่กลับบ้านนานขนาดนี้ คนที่จวนเหวินตงไม่รู้ว่าจะคิดถึงเจ้ามากเพียงใดแล้ว ไม่แน่ตอนนี้อาจจะอยู่ระหว่างทางมารับเจ้าก็เป็นได้”
เฝิงจิ้งเหวินหน้าแดงไปหมด “น้องโยวเอ๋อร์ ไม่ต้องมาล้อเล่นเลย ท่านพี่เขา……” ยังไม่ทันพูดจบ เสียงของชิงหลวนก็ดังจากข้างนอกเข้ามา “นายหญิงเจ้าคะ คนที่จวนเหวินตงมาแล้ว บอกว่ามารับนายหญิงเหวินกลับไปเจ้าค่ะ”
เฝิงจิ้งเหวินประหลาดใจเบิกตากว้าง เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ คิกๆ ออกมา
หน้าของเฝิงจิ้งเหวินแดงจนเลือดจะไหลออกมาแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วสั่งว่า “เชิญคนของจวนเหวินตงนั่งรอที่ห้องโถงสักครู่ รอซ้อรักษาเสร็จแล้วจะตามไป”
ชิงหลวนรับคำสั่ง
รอจนเสียงเดินของชิงหลวนไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป จึงหัวเราะออกมา
แรกเริ่มเฝิงจิ้งเหวินรู้สึกอาย แต่ต่อมาก็เห็นนางหัวเราะอย่างมีความสุข ก็หัวเราะตามออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ครึ่งชั่วยามผ่านไป การรักษาเสร็จสิ้นแล้ว เฝิงจิ้งเหวินลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย นั่งลงพักชั่วครู่ ค่อยเดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงห้องโถง
เหวินซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถงด้วยความสบายใจ เห็นพวกนางเดินเข้ามา จึงวางขาลงแล้วลุกขึ้น แล้วไม่ทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวเลย ตรงไปถามเฝิงจิ้งเหวินว่า “ข้านับแล้ววันนี้ครบหนึ่งเดือนพอดี เลยมารับเจ้ากลับไป วันนี้เจ้ากลับจวนกับข้าได้หรือไม่”
เฝิงจิ้งเหวินหน้าแดงและพยักหน้า
เหวินซื่อรอไม่ไหว “งั้นดีเลย เรารีบกลับบ้านกันเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ข้างๆ ใช้น้ำเสียงไม่พอใจกล่าวว่า “ฮึ่มๆ ข้ายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน คนจวนเหวินตงมองไม่เห็นเลยหรือ แค่กล่าวทักทายก็ยังไม่เลย
เหวินซื่อหน้าด้านกล่าวว่า “ไม่ใช่คนนอกสักหน่อย ทักทายทำไม ข้ารอกลับกับซ้อของเจ้าอยู่”
คำพูดตรงๆ นี้ยิ่งทำให้หน้าของเฝิงจิ้งเหวินแดงขึ้นไปอีก ยื่นมือออกมาตีเขาไปหนึ่งที เหวินซื่อไม่สนใจ ฉวยโอกาสจับมือนาง “ไป เรากลับบ้านกัน!”
พูดจบ ก็จับมือเฝิงจิ้งเหวินแล้วเดินออกไป
เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกอายเล็กน้อย “ท่านพี่ เจ้าทำอย่างนี้จะทำให้น้องโยวเอ๋อร์หัวเราะเอาได้นะเจ้าคะ”
“วางใจเถอะ เด็กสาวคนนี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ของเราหรอก” พูดจบ ก็เดินออกมาถึงข้างนอกแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นอยู่ในห้องโถงสักครู่นึง ยิ้มมองดูพวกเขาสองสามีภรรยาเดินออกจากประตูไป
หลังจากจบเรื่องของพระชายารองแล้ว หวงฝู่อวี้ทั้งป่วยทั้งเสียใจ อาการทรุดลง
หวงฝู่อี้เซวียนคิดแล้วไม่ได้ให้คนรับเมิ่งเชี่ยนโยวไป แต่เชิญหมอหลวงมาดูเขาแทน เขียนใบสั่งยาแล้ว
พระชายาฉีเฝ้าเขาด้วยตนเองสองวัน จนอาการของหวงฝู่อวี้ดีขึ้นแล้ว ค่อยไปจวนแม่ทัพ ไปช่วยเตรียมงานแต่งงานของฉู่เหวินเจี๋ย
จวนแม่ทัพทุกที่เต็มไปด้วยผ้าแดงแขวนไว้เต็มไปหมด บรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ลุงฝูและคนใช้ในบ้านยิ่งดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้ รอมานานหลายปี ในที่สุดจวนแม่ทัพก็มีนายหญิงสักที ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่าเป็นคนที่จิตใจดีมาก เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพที่เข้ากับคนได้ง่าย
ในสองสามวันนี้กองทัพทหารก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นเช่นกัน ครั้งก่อน นอกจากท่านรองแม่ทัพแล้วมีแค่นายพลยี่สิบคนตามไปสู่ขอที่จวนตระกูลเฝิง ที่เหลือทำได้แต่กระพริบตาปริบๆ แล้วรอ ครั้งนี้ท่านแม่ทัพสู่ขอฮูหยิน นายพลเกือบทุกคนแย่งกันจะไปด้วย ปกติฉู่เหวินเจี๋ยปกครองทหารด้วยความเข้มงวด แต่ก็ดีกับทหารทุกคนมาก ฉะนั้นเหล่าทหารในสังกัดทุกคนล้วนแต่เคารพนับถือท่าน และรักท่าน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทุกคนก็อยากจะช่วยท่านออกหน้าออกตากัน แสดงเป็นงานใหญ่ๆ
กองทหารฝั่งนี้วุ่นวายกัน จวนแม่ทัพฝั่งโน้นก็วุ่นวายไปหมดเหมือนกัน แม้ว่าลุงฝูจะเป็นคนเก่าแก่ของจวน แต่ก็ไม่เคยจัดงานใหญ่ขนาดนี้มาก่อน นอกจากให้คนในจวนปัดกวาดตั้งแต่ด้านในออกไปด้านนอกจวน อย่างละเอียด เช็คถูให้สะอาด นอกเหนือจากนั้นก็ให้คนเอาผ้าแดงแขวนทั้งด้านในและด้านนอกให้เต็ม ที่เหลือก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว
เมื่อพระชายาฉีมาถึง ลุงฝูก็รู้สึกเหมือนเห็นคนช่วยชีวิต รีบวิ่งมาทำความเคารพ แล้วกล่าวว่า “นายหญิงใหญ่ ท่านกลับมาเสียที ข้าน้อยไม่รู้ว่าจะเตรียมงานแต่งงานนี้อย่างไร”
พระชายาฉียิ้มแล้วกล่าวว่า “ลุงฝู ข้าดูเจ้าหน้าตาสดใส อารมณ์ดี ไม่เห็นเหมือนคนมีทุกข์เลย”
ลุงฝูยิ้มกว้างออกมา “นายหญิงใหญ่ ในที่สุดท่านแม่ทัพก็แต่งงานสักที จะให้ข้าน้อยไม่ดีใจได้อย่างไร”
พระชายาฉีก็ดีใจมากเช่นกัน “ลุงฝูพูดถูก ในที่สุดเหวินเจี๋ยก็จะแต่งงานเสียที อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ข้าก็ดีใจจนนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว”
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ ข้าน้อยแค่คิดว่าปีหน้าเวลานี้ ไม่แน่ว่าในจวนอาจมีนายน้อยเพิ่มขึ้นอีกคนก็ได้ นอนหลับก็ดีใจจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา”
พระชายาฉีตรวจตราภายในจวนด้วยตัวเองหนึ่งรอบ หาจุดต่างๆ ที่ตกแต่งไม่เหมาะสม และให้ลุงฝูสั่งให้คนมาเปลี่ยน สุดท้ายมาถึงเรือนใหม่ของทั้งสองคน ตรวจแล้วไม่มีปัญหาอะไร จึงกลับมาที่ห้องโถงด้านหน้า พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “แค่นี้ก็พอแล้ว เหลือแค่ชีโพที่รับคน”
ในจวนแม่ทัพไม่มีหญิงสาว แม้แต่สาวใช้ก็ไม่มี คิดอยู่ชั่วครู่ พระชายาฉีก็สั่งหลิงหลง “เจ้าไปที่กวางเหมย หาชีโพมา”
หลิงหลงรับคำสั่ง แล้วเดินออกไป
แล้วยังมีสาวใช้ต้อนรับแขก เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว ไปซื้อคนมาเพิ่มก็ไม่ทันแล้ว พระชายาฉีสั่งชิงเยว่ “เจ้ากลับบ้านไป หาสาวใช้ที่ฉลาดมาหลายๆ คน แล้วกำชับด้วยว่า ถึงวันแต่งงานวันนั้นให้พวกนางตามไปรับเจ้าสาวด้วย”
ชิงเยว่จดไว้
สั่งทุกอย่างแล้ว ก็ถามอีก “ลุงฝู ชุดเจ้าบ่าวของเหวินเจี๋ยทำเสร็จแล้วหรือยัง”
“สั่งคนไปสั่งจองแล้วขอรับ แจ้งว่าสองสามวันนี้จะส่งมาขอรับ”
พระชายาพยักหน้า คิดๆ ดูว่ายังมีจุดไหนที่ละเลยไปหรือเปล่า คิดไปชั่วครู่ ทันใดนั้นก็คิดเรื่องสำคัญได้ว่า
“ลุงฝู เรายังไม่ได้เตรียมสินสอดทองหมั้นใช่หรือไม่”
ลุงฝุใช้มือตีหน้าผากตัวเองหนึ่งครั้ง “ข้าน้อยมัวแต่หลงระเริงดีใจ แม้แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังลืมได้”
“เจ้ารีบไป ดูห้องเก็บของว่ามีอะไรบ้าง ขอแค่เป็นสิ่งที่เอาได้เจ้าเรียบเรียงออกมาให้ข้าดู นอกเหนือจากนั้นค่อยไปร้านผ้าไหมยวิ่นเชียงไปจองผ้าไหมชั้นดีหลายๆ ผืนมา แล้วยังต้องจองของว่างที่ประณีตสิบห่อ” พูดจบ คิดได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเปิดสาขาร้านผ้าไหมยวิ่นเชียง จึงกล่าวต่อไปว่า “ผ้าไหมยวิ่นเชียงไม่ต้องไปจองแล้ว ไปจองของว่างก่อน”
ลุงฝูรับคำสั่ง แล้วรีบเดินออกไปสั่งการ
พระชายาฉีนึกย้อนถึงความทรงจำ ในปีนั้นที่จวนอ๋องฉียกสินสอดให้ตัวเองนั้น ได้ให้อะไรบ้าง แต่เวลาเนิ่นนานไปแล้ว คิดยังไงก็คิดไม่ออกเลย จึงรีบร้อน สั่งชิงเยว่ “เจ้าใช้คนหนึ่งไปหนานเฉิงรับโยวเอ๋อร์มา ข้าจะปรึกษาหารือกับนางหน่อย”
พระชายาฉีเสมือนกับป่วยแล้วหาหมอไปทั่ว เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน นางจะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร แต่ว่าหลายปีนี้เพราะว่าพระชายาฉีสุขภาพร่างกายไม่สู้ดีนัก เพื่อนที่สนิทก็มีแค่สองคน คนหนึ่งคือฮูหยินราชเลขา ตอนนี้มีปัญหาขัดแย้งกัน ไม่เชิญนางมาช่วยแน่นอน อีกคนคือกูกูผู้ดูแลตำหนักพระพันปี มันไม่ง่ายที่นางจะสามารถออกมาช่วยได้ ฉะนั้นตอนนี้คนเดียวที่สามารถช่วยเหลือได้คือเมิ่งเชี่ยนโยว
ชิงเยว่รับคำสั่ง เดินออกไปสั่งการ
พระชายาฉีร้อนใจเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับคำที่ส่งมาแล้ว ให้หัวหน้าองครักษ์หลวงรีบขี่รถม้า พาชิงหลวนและจูหลีมา เมื่อเข้าห้องโถงด้านหน้าของจวนแม่ทัพแล้ว พระชายาฉีจึงรีบเรียกนางให้นั่งข้างๆ ตัวเอง แม้แต่คำเกริ่นก็ไม่มี ถามไปตรงๆว่า “โยวเอ๋อร์ พวกเราควรเตรียมสินสอดแบบไหนให้แม่นางซูดี”
ไม่คิดเลยว่าที่พระชายาฉีใช้ให้คนเรียกนางมาก็เพราะเรื่องสินสอด เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พระชายาฉี ท่านหางานยากให้ข้าแล้ว ข้าก็ไม่รู้ขนบธรรมเนียมประเพณีในเมืองเช่นกันเพคะ”
[1] กฎบ้าน คือกฎระเบียบของบ้าน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาตามกฎเกณฑ์ของแต่ละตระกูล มีทั้งบทลงโทษ และอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์หรือมรดกทรัพย์สินของตระกูล ในที่นี้หมายถึงบทลงโทษ
ตอนที่ 147 สับสน
“แล้วเจ้ามีคนอื่นที่รู้จักไหม ที่เราสามารถไปปรึกษาเขาได้” พระชายาฉีถามด้วยความร้อนใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดคิดไปชั่วขณะ ยิ้มและกล่าวว่า “มีอยู่คนหนึ่งเจ้าค่ะ แต่ว่า…”
“ใคร ไปเชิญเขามาสิ” น้ำเสียงของพระชายาฉียิ่งร้อนใจมากขึ้นไปอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา “คนเดียวที่ข้ารู้จักก็คือฮูหยินเหวิน แต่นางเป็นพี่สาวของซูเอ๋อร์ เราไปถามนางคงจะไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ”
พระชายาฉีหยุดชะงักไปแล้วหัวเราะตามออกมา “นี่มันจริงๆ เลย” ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็เปลี่ยนคำพูด “เช่นนี้ก็ดี ชื่อเสียงของร้านยาเต๋อเหรินก็ดังไม่น้อยในเมืองหลวง เมื่อครั้งที่จวนเหวินตงให้สินสอดกับนางก็ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน เราลองสอบถามกับนาง เราจะได้มั่นใจมากขึ้น”
“งั้นข้าไปเชิญนางมานะเพคะ ท่านสอบถามนางด้วยตัวเองได้เลย” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พระชายาฉีพยักหน้า “ก็ดี จะได้รวดถามว่าขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้านมีอะไรบ้าง เราควรระมัดระวังเรื่องใดบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวออกจากจวนให้กัวเฟยขี่รถม้ามาถึงร้านยาเต๋อเหริน ไม่ให้พนักงานมารายงาน เดินตรงไปชั้นสอง ผลักประตูออก
เหวินซื่อนั่งวางขาไว้บนโต๊ะทำงาน แกว่งขาด้วยความสบายใจ เห็นประตูเปิดออก เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ตกใจรีบเอาขาลง ลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”
ไม่แปลกที่เหวินซื่อจะถามเช่นนี้ เพราะทุกครั้งที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาแบบนี้จะมีเรื่องเกิดขึ้นตลอด
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขา “หุบปากเสียๆ ของเจ้าซะ ไม่มีเรื่องข้าจะมาไม่ได้หรือ”
ไม่มีเรื่องก็ดีแล้ว เหวินซื่อโล่งอก แล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้
กลับไปทำตัวสบายเหมือนเดิมแล้วถามว่า “ไม่มีอะไร แล้วเจ้ามาทำไม”
“ข้ามีเรื่องจะปรึกษาซ้อ ไม่สะดวกไปที่จวนเจ้า เลยมาที่นี่ เจ้าให้คนกลับไปรับซ้อมาที่นี่หน่อย”
เหวินซื่อมองนางด้วยความสงสัย “มีเรื่องอะไร เจ้าบอกข้าก่อน”
“เรื่องระหว่างผู้หญิงพูดกับเจ้าไม่ได้ เร็วๆ สิ”
ถ้าหากเป็นเรื่องระหว่างผู้หญิงตนก็ไม่สามารถเข้าร่วมได้ เหวินซื่อไม่ได้ถามต่อสั่งพนักงานกลับจวนไปเรียกเฝิงจิ้งเหวินมา
เมิ่งเชี่ยนโยวทนเห็นเขาทำตัวสบายแบบนี้ไม่ได้ กล่าวว่า “ท่านแท่ทัพฉู่จะแต่งงานแล้ว เจ้าเป็นเพื่อนพี่น้องที่สนิทควรจะไปช่วยงานมิใช่หรือ เหตุใดจนป่านนี้เจ้ายังไม่ไป หมายความว่าอย่างไร”
เหวินซื่อถอนหายใจแรงๆ หนึ่งครั้ง กล่าวว่า “ข้าไม่ปิดบังเจ้า ข้าไม่กล้าไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ถามว่า “เพราะเหตุใดเล่า”
“เพราะข้ากลัวโดนตีไงล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าเขาแล้วกัดฟัน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาน่ากลัวว่า “หากเจ้าไม่อยากโดนตีตอนนี้ก็พูดมาให้จบในประโยคเดียว”
ด้วยความเคยชินเหวินซื่อขยับถอยหลัง กล่าวด้วยความระมัดระวังว่า “เจ้าตัวแสบ เจ้าจะดุเช่นนี้ไปทำไม ระวังแต่งออกเรือนมิได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟัดดัง กรอดๆ
เหวินซื่อรีบกล่าวว่า “ข้าพูดแล้ว ข้าพูดแล้วก็ได้”
พูดจบ คิดอะไรขึ้นได้ หัวเราะหึๆ หัวเราะจนพอใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดดู เมื่อก่อนเป็นท่านพี่จู ต่อไปจะกลายเป็นน้องเขยแล้ว แค่ข้านึกถึงท่าทางที่เขาเรียกข้าว่าพี่เขย ข้าก็ดีใจจนนอนไม่หลับแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเสมือนว่ามองคนโง่เขลา
เหวินซื่อไม่เข้าใจ ถามด้วยความซื่อบื้อว่า “เจ้ามองข้าเยี่ยงนี้ทำไม ข้าพูดอะไรผิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรก ทำลายจินตนาการของเหวินซื่อไปหมด “ท่านแม่ทัพมีฐานะเป็นแม่ทัพ นอกเสียจากพวกเจ้าพบเจอกันเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องระวังตัวเรื่องมารยาท ถือเป็นพี่น้องกัน หากเป็นสถานการณ์ที่ทางการ เจ้าก็ต้องคุกเข่าทำความเคารพอยู่ดี เจ้าเอาสมองส่วนไหนคิดว่าต่อไปท่านแท่ทัพฉู่เจอหน้าเจ้าต้องเรียกเจ้าว่าพี่เขย”
สีหน้าแห่งความสุขของเหวินซื่อได้หายไป อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากเสียเวลาเสวนากับเขาอีก ส่ายหัวไปมา นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ
ปัง! เหวินซื่อใช้ฝ่ามือตบโต๊ะ เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขา “เจ้าเป็นบ้าอะไร”
เหวินซื่อโมโห กล่าวว่า “เรื่องดีๆ ที่ข้าคิดไว้หลายวันมันจบแล้ว จะไม่ให้ข้าเป็นบ้าได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะด่าว่าเขา เสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นชั้นบนดังขึ้น คิดว่าคงเป็นเฝิงจิ้งเหวินมาแล้ว เมิ่งเชี่ยนลุกขึ้น เปิดประตูห้อง เฝิงจิ้งเหวินเดินถึงหน้าประตูห้องพอดี เห็นนาง ยิ้มกล่าวว่า “ท่านข้านึกว่าท่านพี่ตามหาข้ามีเรื่องอะไร ที่แท้น้องโยวเอ๋อร์มานี่เอง”
“ซ้อ” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกนาง ไม่ได้ให้นางเข้ามา ก็จับมือนางออกไปข้างนอกทันที “ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องการให้เจ้าช่วย”
เฝิงจิ้งเหวินไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร หันหลังเดินลงชั้นล่างตามนางมาทันที
เหวินซื่อทนไม่ได้ วิ่งตามมาถึงหน้าประตู กล่าวถามว่า “พวกเจ้าจะไปไหน กลับมาเมื่อไหร่ ต้องการให้ข้าไปรับไหม”
สองคนเดินใกล้จะถึงชั้นล่างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเลยกล่าวตอบไปว่า “ข้าจะพาซ้อกลับมาส่งเอง เจ้าไม่ต้องยุ่ง”
เหวินซื่อไม่ได้ถามต่อ กลับไปนั่งที่ของตน ขมวดคิ้วครุ่นคิด ยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ บ่นออกมาว่า “ทั้งๆ ที่เขาเป็นน้องเขยของข้า เพราะเหตุใดข้าถึงเรียกเขาไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวจูงมือเฝิงจิ้งเหวินขึ้นบนรถม้าของตน สั่งคนขับรถม้าให้ไปจวนแม่ทัพ เฝิงจิ้งเหวินได้ยิน แสดงสีหน้าตกใจออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวกับนางว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร เฝิงจิ้งเหวินตกใจมากขึ้นไปอีก “น้องโยวเอ๋อร์ แบบนี้ไม่ดีหรือเปล่า ซูเอ๋อร์เป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า คงไม่ดีหากให้ข้าออกความคิดเห็นให้พระชายาฉี”
เมิ่งเชี่ยนโยงยิ้มโบกมือไปมา “ไม่เป็นไร ท่านพี่สามารถใช้โอกาสนี้ขอเพิ่มสินสอดให้น้องซูเอ๋อร์ อย่างไรก็ตามของดีในจวนแม่ทัพมีเยอะอยู่แล้ว ไม่เอาก็เสียดายเปล่าๆ ”
เฝิงจิ้งเหวินหลุดยิ้มออกมา กล่าวจากใจว่า “น้องโยวเอ๋อร์ เรื่องของซูเอ๋อร์ต้องขอบใจเจ้ามากจริงๆ”
“ซ้อทำแบบนี้เท่ากับตบหน้าข้าอยู่นะ เป็นเพราะข้าไม่ได้ดูแลน้องซูเอ๋อร์ดีๆ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับนาง”
เฝิงจิ้งเหวินส่ายหัวไปมา “น้องโยวเอ๋อร์ไม่รู้ จริงๆ แล้วซูเอ๋อร์เลื่อมใสท่านแม่ทัพมาก และเคยเป็นเหมือนกับหญิงสาวส่วนใหญ่ในเมืองหลวงที่ใฝ่ฝันอยากเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพ ไม่คิดว่าครั้งนี้จะเป็นจริงขึ้นมา นางขอบคุณเจ้ามากจริงๆ ยังมีท่านพ่อท่านแม่ของข้าอีก กลัวมาตลอดว่านิสัยไม่คิดอะไรนี้ของซูเอ๋อร์หากแต่งเข้าไปในครอบครัวใหญ่ที่มีฐานะ จะไม่ได้รับความเอาอกเอาใจจากแม่สามี จะเจอความลำบาก ตอนนี้ก็ตรงใจท่านทั้งสองแล้ว นายแม่ทัพใหญ่และนายหญิงก็ได้จากไปแล้ว ต่อไปซูเอ๋อร์แต่งเข้าไปก็เพียงแค่ดูแลรับใช้ท่านแม่ทัพก็พอ”
ทั้งสองพูดคุยกันตลอดทางจนถึงจวนแม่ทัพ ลงจากรถม้า เดินเข้าห้องโถงด้านหน้า
พระชายาฉียังคงนั่งรออยู่ที่นั่น ทั้งสองเดินเข้าประตู เฝิงจิ้งเหวินก็ได้ทำความเคารพพระชายาฉีก่อนเป็นมารยาท
พระชายาฉีลุกขึ้นเดินก้าวเข้าไปข้างหน้า พยุงนาง “ต่อไปนี้พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เวลาที่ไม่มีผู้อื่นการทำความเคารพแบบนี้ก็ข้ามไปเถอะ”
เฝิงจิ้งเหวินกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ
พระชายาฉีให้นางทั้งสองนั่งลง แล้วกล่าวตรงเข้าประเด็นว่า “โยวเอ๋อร์คงได้บอกเจ้าแล้วข้าอยากถามเจ้าว่าเมื่อครั้งที่จวนเหวินตงได้ให้สินสอดกับเจ้า ได้จัดเตรียมสินสอดอะไรบ้าง”
“แค่ซูเอ๋อร์ได้แต่งกับท่านแม่ทัพก็เป็นเกียรติอย่างสูงกับเราแล้ว สินสอดท่านให้แค่ไม่กี่ลังก็พอแล้วเพคะ”
พระชายาฉียิ้มโบกมือไปมา “ซูเอ๋อร์เป็นภรรยาท่านแม่ทัพที่ถูกสู่ขออย่างถูกต้องตามประเพณี สินสอดจะถูๆ ไถๆ มิได้ หากดูแย่เกินไปก็จะทำให้พวกฮูหยินของขุนนางทั้งหลายดูถูกดูแคลนเราได้ ต่อไปก็อาจก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ได้ เราไม่หวังให้สูงกว่าคนอื่น แต่ก็อย่าให้ตกเป็นขี้ปากคนอื่นเขาเด็ดขาด เชิญฮูหยินเหวินบอกสินสอดที่จวนเหวินตงได้ให้เจ้าในครั้งนั้นว่ามีอะไรบ้าง พวกเราทำตามนั้นแล้วเพิ่มเข้าไปอีกสองสามลังก็พอแล้ว”
ฟังนางให้ความสำคัญกับเฝิงจิ้งซูเยี่ยงนี้ เฝิงจิ้งเหวินก็มีความสุขใจแล้ว ยิ้มกล่าวว่า “ครั้งนั้นที่ให้สินสอดข้ามีสี่สิบแปดลัง ทุกลังล้วนเป็นสิ่งของที่ใช้การได้จริง ภาพวาดโบราณ ผ้าไหม เครื่องประดับเงินทอง อัญมณีทุกชนิด ยังมีสิ่งของหายากที่เขาไปกว้านหามาจากทุกที่ จริงๆ แล้วมีอะไรข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของพวกนี้เจ้าค่ะ”
ฟังนางพูดถึงเครื่องประดับเงินทอง พระชายาฉีถึงนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าขาดอะไรสักอย่างคือสิ่งใด สิ่งนั้นคือเครื่องประดับ จวนแม่ทัพไม่มีนายหญิง แม้แต่ของพระราชทานจากฮ่องเต้ก็ไม่มีสิ่งของพวกนี้ ฉะนั้นครั้งก่อนที่ไปสู่ขอ ก็รู้สึกว่าสินสอดนั้นขาดอะไรสักอย่าง ตอนนั้นยังต้องจัดการปัญหาของพระชายารอง ยังต้องรีบเตรียมของสู่ขอ ฉะนั้นพระชายาฉีจึงไม่ได้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าขาดสิ่งของอะไรไป ตอนนี้ฟังเฝิงจิ้งเหวินกล่าวออกมา ถึงคิดขึ้นได้ กล่าวว่า “ข้าก็รู้สึกว่าขาดอะไรบ้างอย่าง ที่แท้ก็ขาดเครื่องประดับนี่เอง” พูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ไปกันเถอะ เราไปซื้อเครื่องประดับกันตอนนี้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับเฝิงจิ้งเหวินได้สบตากัน และลุกขึ้นยืนตาม
ทั้งสามเดินออกไปข้างนอก ลุงฝูก็ได้นำรายการที่ตรวจละเอียดแล้วในห้องเก็บของมาพอดี พระชายาฉีพูดสั่งเขา “ลุงฝู นำตั๋วเงินส่วนหนึ่งมาให้ข้า ข้าจะไปซื้อเครื่องประดับให้นายหญิงของแม่ทัพพวกเจ้า”
ลุงฝูเป็นทั้งพ่อบ้านในจวนแล้วยังเป็นผู้ดูแลบัญชี เวลาที่จูเหวินเจี๋ยไม่อยู่ ก็ได้นำเงินในจวนและร้านค้า ที่ดินให้เขาดูแลจัดการ เงินที่ได้รับก็ต้องเป็นเขาที่ดูแลอยู่แล้ว ลุงฝูรับคำสั่ง ไปห้องเก็บเงิน นำตั๋วเงินหลายหมื่นตำลึงออกมาให้พระชายาฉี
พระชายาฉีรับมาแล้วให้เมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าถือไว้ ถึงเวลาเจ้าก็จ่ายเงิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับมาอย่างปกติ หลังจากนับเสร็จแล้ว ก็ใส่เข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อตน
ลุงฝูหัวเราะดีใจหึๆ เมื่อมองเรื่องราวตรงหน้าทั้งหมดนี้
พระชายาฉีตรัสสั่งลุงฝู “รายการสินสอดเดี๋ยวข้ากลับมาดูต่อ”
ลุงฝูรับคำสั่ง ส่งทั้งสามออกจากจวนแม่ทัพอย่างเคารพ
ทั้งสามเดินขึ้นรถม้าของพระชายาฉี หลังจากนั่งลงแล้ว พระชายาฉีกล่าวถามว่า “ฮูหยินเหวิน ร้านเครื่องประดับในเมืองหลวงร้านไหนดีที่สุด เราตรงไปดูเลยเถอะ”
“เครื่องประดับในร้านหลิงหลังที่ตงเฉิงมีชื่อเสียงในเมืองหลวง แต่ราคาก็สูงกว่าเล็กน้อยเพคะ”
“ไม่เป็นไร ตรงไปร้านหลิงหลังเลย” พระชายาฉีตัดสินใจ และสั่งคนขับรถม้า
คนขับรถม้าขับรถม้าตรงมาถึงร้านหลิงหลัง ทั้งสามลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปด้านในร้าน ชิงหลวนและจูหลีเดินตามหลังทั้งสาม
ร้านหลิงหลังสมกับเป็นร้านเครื่องประดับที่มีชื่อเสียง ไม่เพียงแต่ตกแต่งหรูหรากว่าร้านประดับทั่วไป แม้แต่ท่าทางของพนักงานต้อนรับก็ไม่เหมือนกัน พนักงานหลายคนแต่งกายเรียบร้อยยืนเรียงแถวกันที่หน้าประตู เห็นทั้งสามเดินเข้ามาทางร้าน ทุกคนก้มหัวทำความเคารพ ยื่นมือทำสัญญาณมือเชิญที่เหมือนกัน พูดพร้อมกันแล้วกล่าวว่า “คุณนาย คุณผู้หญิง เชิญข้างในเจ้าค่ะ”
คนพวกนี้ก็เปรียบเสมือนพนักงานสาวต้อนรับในปัจจุบัน เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชมในใจ เจ้าของร้านหลิงหลังนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงคิดวิธีแบบนี้ขึ้นมาได้
ทั้งสามเดินเข้าไปในร้านหลิงหลัง วิธีการต้อนรับแขกในร้านก็ไม่เหมือนกัน เริ่มจากพนักงานกระตือรือร้นในการเชิญนางทั้งสามคนเข้าไปในห้องที่ตกแต่งอย่างสวยหรูแล้ว ยกน้ำชามาให้ทั้งสาม ถึงกล่าวถามออกมาด้วยความเคารพว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านอยากซื้อเครื่องประดับแบบไหนขอรับ”
พระชายาฉีก็ไม่ถือตัว กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “พวกเราไม่ได้วางแผนซื้ออะไร แค่เห็นชอบสิ่งใดก็ซื้อสิ่งนั้น เจ้าช่วยนำเครื่องประดับทั้งหมดในร้านมาให้พวกข้าดูได้หรือไม่”
ทุกครั้งที่แขกพูดแบบนี้ส่วนใหญ่จะซื้อเครื่องประดับอะไรไม่ได้เลย พนักงานมั่นใจมาก แต่ท่าทางที่แสดงออกมาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่เล็กน้อย กล่าวตอบว่า “ได้เลยขอรับ ท่านทั้งหลายรอสักครู่ ข้าจะไปนำมาให้พวกท่านเป็นบางส่วนก่อนเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ก็ถอยออกไป ไม่นานก็นำถาดมาวาง ที่วางเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ประณีตถือเดินเข้ามา “ทุกท่านดูก่อน ในนี้มีที่ชิ้นไหนน่าสนใจหรือไม่ หากไม่มีข้าจะไปเปลี่ยนอีกชุดหนึ่งให้”
พระชายาฉีก้มหน้าก้มตาตั้งใจเลือกดูอย่างละเอียด เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกว่าเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยนี้งานประณีตมาก ก็หยิบขึ้นมาหลายชิ้นวางไว้บนมือแล้วดู พระชายาฉีไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่อย่างใด กล่าวกับพนักงานว่า “พวกนั้นข้าเอา”
พนักงานหยุดชะงักไป หลังจากนั้นก็ดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยุดชะงักไปเหมือนกัน รีบนำเครื่องประดับบนมือวางกลับไปที่ถาดวาง
พระชายาฉีนำเครื่องประดับพวกนั้นมาวางบนโต๊ะ กล่าวว่า “ถ้าหากชอบก็ซื้อเถอะ ถือว่าเป็นของขวัญที่ข้าให้เจ้า”
เครื่องประดับทุกชิ้นในร้านหลิงหลังงานประณีตมาก แต่ราคาก็ไม่ธรรมดา อย่ามองว่าเป็นแค่เครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตั๋วเงินที่ต้องจ่ายก็น่าจะเกือบพันตำลึงเหมือนกัน พระชายาฉีกล่าวว่าจะให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่เล็กน้อย หลังจากเฝิงจิ้งเหวินตกใจแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ชอบเครื่องประดับ ปกติแล้วนอกจากเครื่องประดับที่จำเป็นต้องสวมไม่กี่ชิ้น ที่เหลือแม้แต่มองนางยังไม่มองเลย ใส่ไว้ในกล่องตะกร้าทั้งหมด วันนี้แค่รู้สึกว่าเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยพวกนี้งานประณีตมาก เลยหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียดชั่วครู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากได้ พระชายาฉีกล่าวจบ หลังจากนางหยุดชะงักไปชั่วขณะนึง ยิ้มกล่าวว่า “ปกติแล้วน้อยครั้งที่ข้าจะสวมเครื่องประดับพวกนี้ซื้อไปก็ได้แต่วางไว้ อย่าใช้เงินเปล่าประโยชน์นั้นเลยเพคะ”
“ซื้อเถอะ แม้จะไม่ยอมสวมใส่ ซื้อกลับไปก็หยิบขึ้นว่ามองดูเป็นครั้งคราว ก็สบายตาสบายใจเช่นกัน” พระชายาฉีกล่าว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธอีก แต่ก็ไม่กล้าหยิบเครื่องประดับขึ้นมาดูเล่นอีกเลย
ตอนที่ 148 ปกป้องลูกสะใภ้อย่างดุเดือด
แต่พระชายาฉีเพ่งมองดูเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยพวกนั้นอย่างละเอียด แล้วก้มหน้าก้มตาเลือกดูชิ้นอื่นต่อ
พนักงานเห็นว่าใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ขายเครื่องประดับได้หลายชิ้นแล้ว ยิ่งกระตือรือร้นในการขายมากขึ้นกว่าเดิม พระชายาฉีเลือกดูเสร็จแล้ว ก็รีบนำอีกชุดมาเปลี่ยนทันที แต่ละชุดงานยิ่งประณีตมากขึ้นทุกชุด คุณภาพก็ยิ่งดีมากขึ้น
พระชายาฉีเลือกเครื่องประดับออกมาหลายชิ้น แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นสินสอดที่ให้กับเฝิงจิ้งซู อีกส่วนหนึ่งเลือกตามความชอบของเมิ่งเชี่ยนโยว เลือกเป็นของขวัญให้นาง
เห็นพระชายาฉีใช้จ่ายมากมายเพียงนี้ เฝิงจิ้งเหวินตกใจไม่กล้าพูดอะไรเริ่มแรกเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังมีความรู้สึกเกรงใจ แต่หลังๆ ก็แล้วแต่นาง นี่เป็นน้ำพระทัยของพระชายาฉี ตนก็ยากที่จะปฏิเสธ
พระชายาฉีป่วยติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี นอกจากงานเฉลิมฉลองปีละครั้งในวังแล้ว แทบจะไม่เคยออกจากจวนเลย แน่นอนว่าต้องไม่เคยไปร้านเครื่องประดับเลย วันนี้ดีใจเลือกเครื่องประดับออกมาสิบกว่าชิ้น ไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ ตรัสสั่งพนักงาน “ใส่ลงกล่องที่ประณีตทั้งหมด ข้าจะส่งเป็นของขวัญให้ผู้อื่น”
พนักงานไม่เคยพบลูกค้าที่ร่ำรวยขนาดนี้มาก่อน ดีใจจนสับสนงงงวย กลัวว่าจะเป็นแค่ความฝันของตัวเอง เลยฉวยโอกาสที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกต แอบหยิกขาของตัวเอง เมื่อรู้สึกได้ถึงความเจ็บ จึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริง ดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้ เมื่อฟังคำสั่งของพระชายาฉีแล้ว ก็รับคำสั่งด้วยความดีใจ แยกเครื่องประดับที่นางเลือกไว้สองส่วนวางบนสองข้างของถาดวาง ยกออกไปรายงานเจ้าของร้าน เครื่องประดับทั้งหมดนี้ลูกค้าในห้องเอาหมดเลยขอรับ เจ้าของร้านก็ดีใจจนทนไม่ไหว หลังจากคิดเงินเสร็จแล้ว ก็ทำตามความต้องการของพระชายาฉีโดยการนำเครื่องประดับทั้งหมดใส่ลงในกล่องที่ประณีตงดงาม แล้วสั่งให้พนักงานถือถาดเดินเข้าไปวางเข้างใน
พนักงานวางถาดไว้บนโต๊ะ เปิดกล่องเครื่องประดับออกทั้งหมด ให้ทุกคนสามารถมองเห็นเครื่องประดับอย่างชัดเจน
พนักงานกล่าวด้วยความเคารพว่า “นายหญิง เครื่องประดับที่ท่านเลือกทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้วขอรับ ทั้งหมดห้าหมื่นตำลึงขอรับ
พระชายาฉีพยักหน้า นำเครื่องประดับที่เลือกให้เมิ่งเชี่ยนโยวแยกมาวางข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวกับพนักงานว่า “เจ้าคิดราคาพวกนี้แยกต่างหาก แล้วไปรับเงินที่จวนอ๋องฉี” แล้วกล่าวต่อว่า “ส่วนที่เหลือพวกนี้ ข้าจะจ่ายเป็นตั๋วเงินให้เจ้า”
ได้ยินคำว่าจวนอ๋องฉี พนักงานยืนอึ้งทันที เหงื่อเริ่มออกมาจากหน้าผาก
พระชายาฉีเห็นเขาไม่ขยับเขยื้อน เริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เป็นอะไร ไม่ได้หรือ”
พนักงานคืนสติ ก้มตัวพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “ได้ขอรับ ได้ขอรับ ข้าน้อยจะทำเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” พูดจบ ก็ลากขาสั่นๆ ของตนเดินออกไปอย่างมึนงง แล้วไปรายงานเจ้าของร้าน
แม้ว่าเจ้าของร้านจะรู้สึกว่านางแต่งกายหรูหรา มีสง่าราศี แต่ก็คิดไม่ถึงว่า นางจะเป็นพระชายาฉีที่เขาลือกันว่าป่วยหนัก ไม่เคยก้าวออกจากจวนเลย ฟังคำรายงานของพนักงานแล้ว รีบเดินออกไปนอกห้อง ดูรถม้าที่จอดอยู่หน้าร้าน เป็นสัญลักษณ์ของจวนอ๋องฉีจริงๆ รีบคิดเงินให้เรียบร้อย หลังจากนั้นค่อยเข้ามาในห้อง รีบคุกเข่าทำความเคารพพระชายาฉี “ข้าน้อยไม่ทราบว่าเป็นพระชายาฉีมาเยือนที่ร้าน หากมีที่ใดที่ดูแลไม่ทั่วถึงก็ขอทรงประทานอภัยด้วยขอรับ”
พระชายาฉียิ้ม แล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด วันนี้ข้าแค่มาเลือกเครื่องประดับไม่กี่ชิ้น เถ้าแก่ไม่ต้องเกรงใจเยี่ยงนี้”
เจ้าของร้านลุกขึ้น นำจำนวนเงินที่คิดเรียบร้อยแล้วให้พระชายาฉีดู “ในส่วนที่วางข้างหน้าคุณผู้หญิงท่านนี้ ทั้งหมดสองหมื่นตำลึง ที่เหลือคือสามหมื่นตำลึง ท่านมาเยือนที่ร้านเป็นครั้งแรก ลดให้ท่านเป็นพิเศษ ท่านจ่ายเพียงร้อยละเก้าสิบก็พอขอรับ
ถ้าคิดเป็นร้อยละเก้าสิบ เครื่องประดับที่อยู่ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งหมดคือหนึ่งหมื่นแปดพันตำลึง
พระชายาฉียังคงยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้ข้ารีบออกมา ไม่ได้นำตั๋วเงินออกมา พวกเรานำเครื่องประดับไปก่อน ส่วนตั๋วเงินเจ้าก็ไปเอากับพ่อบ้านที่จวนอ๋องฉี”
เจ้าของร้านรับคำสั่ง
พระชายาฉีมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวรับทราบ นำเงินออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อ นับออกมาสองหมื่นเจ็ดพันตำลึงยื่นให้เจ้าของร้าน “เจ้านับดู”
เรื่องเงินไม่รอบคอบไม่ได้ เจ้าของร้านรับมา นับต่อหน้าทุกคน กล่าวว่า “พอดีขอรับ”
พระชายาฉีพยักหน้า ลุกขึ้น กล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวและเฝิงจิ้งเหวินว่า “เราไปกันเถิด”
ทั้งสองลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามออกไปข้างนอก พนักงานและเจ้าของร้านถือถาดวางเครื่องประดับแล้วตามข้างหลัง
เพิ่งก้าวออกจากประตูห้องที่เลือกเครื่องประดับ ก็มีเสียงต้อนรับจากพนักงานดังขึ้นอีกรอบ
ทั้งสามไม่ได้ใส่ใจ ยังคงเดินออกไปข้างนอก
ระหว่างสวนทางพบเจอกับคนที่เดินเข้ามานั้น หญิงสาวตรงข้ามออกเสียง ตะโกนเรียกว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว!”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน ยิ้มเล็กน้อย ทักทายกับนาง “คุณหนูฮั้ว บังเอิญยิ่งนัก เจ้าก็มาซื้อเครื่องประดับเหมือนกันหรือ”
เป็นเวลาเกือบเดือนที่ไม่ได้พบเจอกัน ฮั้วเซียงหลิงซูบผอมลงไปไม่น้อย เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูตัวใหญ่ คนก็ไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน ทั้งตัวเสมือนคนป่วยไม่มีแรง ดูท่าแล้วหลังจากกลับไปนายท่านฮั้วจะจัดการนางจริงๆ
ได้ยินคำถามจากเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ฮั้วเซียงหลิงขยับมุมปากไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่ไม่จริงใจ ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นออกมาชั่วพริบตาเดียว ก็หายไปเลย กล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงของแหบๆ ว่า “นั่นสิ ข้าถูกท่านพ่อขังไว้ในบ้าน ไม่ได้ออกจากบ้านนานหลายวัน วันนี้ถึงจะได้เป็นอิสระ ออกมาซื้อเครื่องประดับสองชิ้น ผ่อนคลายอารมณ์ของตน ไม่เหมือนเมิ่งเชี่ยนโยว เติบโตอยู่บ้านนอก ปกติไม่มีคนสั่งสอน สามารถไปไหนมาไหนได้ทั่วทุกที่”
หากเป็นเมื่อก่อน ฮั้วเซียงหลิงจะไม่พูดออกมาต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาดว่านางถูกนายท่านฮั้วขังไว้ในบ้าน เรื่องที่ไม่ให้ออกจากบ้าน แต่เวลาเผชิญหน้ากับเมิ่งเชี่ยนโยวนางจะเกิดความเคียดแค้นออกมาโดยไม่รู้ตัว คำพูดที่พูดออกมาก็เชือดเฉือนขึ้นเยอะ ดูหมิ่นดูแคลนว่านางเป็นหญิงสาวบ้านนอกที่ไร้มารยาท
ฟังคำพูดของนางแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีท่าทีโกรธแสดงออกมาแม้แต่เล็กน้อยแต่กลับตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “คุณหนูฮั้วพูดถูกแล้ว ท่านพ่อท่านแม่รู้อยู่แล้วว่าไม่ว่าข้าจะทำอะไรข้าจะรู้ขอบเขตดี ไม่เคยคิดอยากได้สิ่งของที่ไม่ใช่ของตนเอง ฉะนั้นจึงวางใจให้ข้าออกมาข้างนอกมาทำในสิ่งที่ข้าชอบ”
คำพูดประชดประชันนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นแรงกว่า คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ฮั้วเซียงหลิงรู้ว่านางหมายถึงอะไร หลังจากสีหน้าเริ่มเปลี่ยน โมโหจนตะโกนเรียกชื่อเต็มของนางตอบมา “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าอย่าเหิมเกริมให้มากนัก ที่นี่คือเมืองหลวงไม่ใช่บ้านนอก ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะสามารถทำอะไรก็ได้ ทำลายเรื่องดีดีของคนอื่นไปมาก ระวังออกบ้านกลางดึกเจอผี ตกใจจนเสียชีวิต”
คำพูดนี้คือคำขู่ชัดๆ เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันกล่าวอะไร พระชายาฉีไม่ยอมทนแล้ว กล่าวถามว่า “คุณหนูฮั้วใช่หรือไม่ รู้หรือไม่ว่าโยวเอ๋อร์คือใคร”
ฮั้วเซียงหลิงเพึ่งจะหันมองไปนาง ดูนางมีสง่าราศี ดูไม่ธรรมดา ตากระพริบไปมา กล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ก็เป็นเพียงแค่คนๆ หนึ่งที่เอาแต่พึ่งครอบครัวตนว่าเคยช่วยชีวิตซื่อจื่อของอ๋องฉี จับซื่อจื่อไม่ยอมปล่อย หญิงสาวบ้านนอกคนหนึ่งที่หน้าด้านตามมาถึงเมืองหลวง”
สายตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มเย็นลง
เจ้าของร้านและพนักงานในร้านหลิงหลังได้ยินคำพูดที่กล้าหาญของนางแล้ว ในใจก็เกิดความรู้สึกเหงื่อตกแทนนาง ดูท่าแล้ววันนี้คุณหนูฮั้วท่านนี้จะโชคร้ายแล้วจริงๆ ด้วย พวกเขายังคิดไม่ทันจบ น้ำเสียงเย็นชาของพระชายาฉีก็ดังขึ้นมาว่า “ดูท่าแล้ว คุณหนูฮั้วจะถูกขังเป็นเวลานาน ไม่เพียงแต่สติจะเสียแล้ว แม้แต่ข่าวคราวก็ไม่ได้รับฟัง คนในจวนของเจ้าไม่มีคนบอกเจ้าเลยหรือ ว่าโยวเอ๋อร์เป็นพระชายาซื่อจื่อของเซวียนเอ๋อร์”
หากเป็นเมื่อก่อน ตามความฉลาดของฮั้วเซียงหลิงแล้ว คำพูดนี้ของพระชายาฉี นางก็จะสามารถคาดเดาได้ถึงฐานะของพระชายาฉี แต่ตั้งแต่กลับไปวันนั้น นายท่านฮั้วได้สั่งคนขังนางไว้ในเรือนของตน ไม่มีคำสั่งของเขาห้ามนางออกมาเด็ดขาด และสั่งไม่ให้คนใช้ในจวนนำเรื่องราวข้างนอก โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับเหวินเปียวห้ามเล่าให้นางฟังแม้แต่นิดเดียว ไม่งั้นจะถูกขายทิ้ง ทำให้คนใช้ที่จวนไม่กล้าเอ่ยปากแม้นิดเดียว ฉะนั้นฮั้วเซียงหลิงไม่รู้จริงๆ ว่าหวงฝู่อี้เซวียนได้ถอนหมั้นไปแล้ว บวกกับช่วงนี้ที่นายท่านฮั้วได้ฝากคนช่วยนางหาคู่ครอง วันนี้ที่ปล่อยนางออกมาเพราะให้นางออกมาซื้อเครื่องประดับชิ้นสองชิ้น สวมใส่ในวันหมั้น.
ฮั้วเซียงหลิงโทษทุกอย่างลงที่เมิ่งเชี่ยนโยว เห็นนาง จึงโกรธจนขาดสติ พูดไม่คิด จึงทำให้ฟังไม่ออกถึงความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของพระชายาฉี ออกเสียง หึๆ ออกมา กล่าวว่า “คนอย่างนางน่ะหรือ ไก่ป่าอยากกลายเป็นหงส์ ฝันกลางวันจริงๆ”
สีหน้าของพระชายาฉียิ่งน่ากลัวมากขึ้น สีหน้าไม่ดี คนที่เข้าใจก็จะดูออกในทันที แต่วันนี้ฮั้วเซียงหลิงโดนกระตุ้นจากการถูกนายท่านฮั้วบังคับให้ดูเรื่องแต่งงาน ในใจเต็มไปด้วยความแค้น ความฉลาดในเวลาปกติไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว ทำให้มองอะไรไม่ออก
ยังคงใช้น้ำเสียงไม่ดีกล่าวว่า “คุณนายคงไม่รู้ ว่ากันว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและเจ้าของร้านยาเต๋อเหรินไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมตอนอยู่บ้านนอก ผู้หญิงหลายใจแบบนี้จะคู่ควรกับซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีได้อย่างไร”
จบคำพูดนาง ไม่เพียงแค่พระชายาฉีแม้แต่เฝิงจิ้งเหวินก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณหนูฮั้ว เจ้าเป็นกุลสตรีท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียง ไม่ใช่สุนัขบ้าที่กัดผู้อื่นไปทั่ว ช่วยระวังคำพูดของเจ้าด้วย”
“เจ้า…” ฮั้วเซียงหลิงพูดอะไรไม่ออก
แต่พระชายาฉีไม่ได้พูดง่ายขนาดนั้น กล่าวถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “คุณหนูฮั้ว ใช้คำพูดที่ไม่ให้เกียรติแบบนี้มาโจมตีว่าที่พระชายาซื่อจื่อ ข้าสั่งคนสังหารเจ้าตอนนี้ก็ยังได้”
สีหน้าของฮั้วเซียงหลิงซีดลงทันที มองไปทางนางด้วยความกลัว สมองที่โดนครอบงำด้วยความแค้นได้ตื่นขึ้นมาในทันที ตอนนี้ถึงได้เริ่มเดาฐานะของพระชายาฉีออก สาวใช้ฮั้วเซียงผิงยิ่งตกใจจนขาทั้งสองข้างหยุดสั่นไม่ได้
พระชายาฉีกล่าวต่อไปว่า “แต่ว่า ช่วงนี้มีงานที่น่ายินดีเกิดขึ้นในจวนข้าจะยังไม่อยากเอาชีวิตของเจ้า”
ฮั้วเซียงหลิงเพิ่งจะเริ่มโล่งใจได้เล็กน้อย พระชายาฉีได้ตรัสสั่งข้างนอก “ชิงหลวน จูหลี พวกเจ้าไปส่งคุณหนูฮั้ว บอกกับนายท่านฮั้วต่อไปหากยังกล้าปล่อยคุณหนูฮั้วออกมาพูดจาไร้สติอีก ตระกูลฮั้วก็จะหายไปจากเมืองหลวง”
ในร้านเต็มไปด้วยเสียงกลั้นหายใจ
ฮั้วเซียงหลิงหน้าซีดจนไม่เหลือเลือดฝากแล้วจริงๆ ร่างกายก็เอนไปมา
ชิงหลวงและจูหลีรับคำสั่ง เดินเข้ามา ยื่นมือออกมาด้านหน้าฮั้วเซียงหลิงด้วยความเกรงใจ ผายมือเชิญ “คุณหนูฮั้ว เชิญเจ้าค่ะ”
ขาฮั้วเซียงหลิงไร้เรี่ยวแรง ร่างกายเอนไปมาอย่างรุนแรง แทบจะยืนไม่ได้ จะให้ก้าวขาได้อย่างไร ชิงหลวนและจูหลีมองดู ไม่กล่าวอะไร เดินหน้าจับตัวฮั้วเซียงหลิงแล้วเดินออกไปข้างนอก สาวใช้ฮั้วเซียงผิงไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา เดินตามหลังด้วยสีหน้าซีดเผือด
พระชายาฉีก็ไม่กล่าวอะไร ใช้สีหน้าเยือกเย็นกวาดสายตามองไปรอบๆ ผู้คนในร้านหลิงหลัง แล้วเดินออกไป มิ่งเชี่ยนโยวและเฝิงจิ้งเหวินเดินตามหลัง
เจ้าของร้านหลิงหลังเป็นคนฉลาด เข้าใจความหมายในสายตานั้นของพระชายาฉีทันที ตามออกไปนอกร้าน หลังจากก้มหัวทำความเคารพแล้วมองดูรถม้าของพระชายาฉีออกไปแล้ว กลับเข้าไปในร้านแล้วสั่งพนักงาน “เรื่องวันนี้ให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีกแม้แต่คำเดียว ระวังหัวจะหลุดออกจากบ่า”
พนักงานทุกคนรับคำสั่งพร้อมกัน
ทั้งสามขึ้นรถม้า ความโกรธของพระชายาฉียังไม่หมดไป สีหน้าของเฝิงจิ้งเหวินก็ดูไม่ดีเช่นกัน แต่สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับดูปกติ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พระชายา ซ้อ พวกท่านจะไปโกรธคนแบบนี้ทำไมเพคะ”
พระชายาฉีไม่ได้กล่าวอะไร เฝิงจิ้งเหวินกล่าวถามออกมาประโยคหนึ่งว่า “คุณหนูฮั้วคนนี้ใช่คุณหนูตระกูลฮั้วที่ขายเครื่องประทินโฉมที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เฝิงจิ้งเหวินแปลกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “ในเมืองหลวงตระกูลฮั้วถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ไม่เป็นสองรองใครในวงการค้า ทำไมถึงสอนบุตรสาวให้ออกมาไร้มารยาทเช่นนี้”
“เรื่องนี้พูดแล้วยาว เกี่ยวกับคนใช้คนหนึ่งที่ข้าช่วยไว้ เดี๋ยวข้าจะค่อยๆ เล่าเรื่องให้พระชายาและซ้อฟัง” พูดจบ ยิ้มและกล่าวกับพระชายาฉีว่า “พระชายา เราอย่าพึ่งกลับจวนแม่ทัพ ไปดูร้านผ้าไหมของข้าก่อน เลือกผ้าไหมชั้นดีบางส่วนให้เป็นสินสอดของน้องซูเอ๋อร์ ทั้งถูกแล้วยังดูดีอีกต่างหาก”
เดิมทีพระชายาฉีก็ตั้งใจไว้แบบนี้ แต่ถูกความโกรธจากฮั้วเซียงหลิงจนลืมไปเลย ฟังคำของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วถึงนึกขึ้นได้ จึงพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกสถานที่กับคนรถผ่านผ้าม่านรถม้า คนรถหันรถม้ากลับ ตรงไปทางสาขาร้านผ้าไหมอวิ๋นเซียง
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้นำเรื่องที่เหวินเปียวช่วยฮั้วเซียงหลิงไว้ ฮั้วเซียงหลิงรู้สึกประทับใจ เล่าเรื่องที่เขาไม่แต่งกับนางออกมา
หลังจากพระชายาฉีฟังแล้วรู้สึกเหลือเชื่อมาก สมองของคุณหนูฮั้วคนนี้ขึ้นสนิมแล้วหรือ อย่าพูดถึงเรื่องที่เหวินเปียวมีฐานะเป็นทาสขุนนาง แม้ว่าเขาจะเป็นประชาชนที่มีฐานะยากจนคนหนึ่ง เขาไม่ตกลง ยังตื้อจนจะเป็นจะตายแบบนี้อีก
ส่วนเฝิงจิ้งเหวินนั้นตกใจจนอ้าปากค้างไป ผ่านไปซักพักถึงกล่าวออกมาว่า “คุณหนูฮั้วคนนี้นั้น จริงๆ เลย” นางหาคำที่เหมาะสมออกมาบรรยายไม่ได้แล้วจริงๆ
ตอนที่ 149 ท่านแม่ทัพแต่งเมีย
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางตกใจของทั้งสองแล้ว กล่าวว่า “หากพูดอีกมุมหนึ่ง ฮั้วเซียงหลิงก็เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง หลงใหลในตัวเหวินเปียวมากเกินไป จึงทำให้กลายเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้ แต่ถ้าพูดอีกอย่าง นี่ก็เป็นเพราะปกตินายท่านฮั้วตามใจนางมากเกินไป ไม่ว่านางต้องการอะไรไม่มีสิ่งใดที่นางไม่ได้ จึงทำให้นางเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้ หวังว่าวันนี้ หลังจากที่นางกลับจวนไปแล้ว นายท่านฮั้วจะจัดการอบรมสั่งสอนนางให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นนางจะเป็นตัวปัญหาใหญ่”
เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าเห็นด้วย “สมควรสั่งสอนดีๆ หากเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจะต้องสร้างปัญหาใหญ่ให้กับครอบครัวแน่ๆ”
ทั้งสามพูดคุยกัน จนรถม้าได้มาถึงหน้าร้าน ลงจากรถม้า ทั้งสามเดินเข้าไปในร้าน
ใกล้ปีใหม่แล้ว คุณหญิง คุณนายทั้งหลายล้วนต้องการสั่งผ้าไหมเพื่อตัดเสื้อผ้าไว้ใส่ในวันปีใหม่ ฉะนั้นลูกค้าในร้านจึงเยอะมาก ทั้งสามเดินเข้าไปในห้องผู้จัดการร้านที่กำลังยุ่งดูแลแขกไม่ได้เพ่งมองดีๆ รีบเดินมาทักทายทั้งสามท่าน “คุณนาย คุณผู้หญิง พวกท่านต้องการ…” พอเห็นหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวชัดๆ แล้ว รีบเรียกออกมาว่า “นายหญิง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า ตรัสสั่งว่า “นำผ้าไหมชั้นดีที่มาใหม่ในร้านมาให้พวกเราดู”
ผู้ดูแลร้านรับคำสั่งอย่างตั้งใจ เชิญทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องที่ทางร้านจัดไว้ต้อนรับแขกพิเศษโดยเฉพาะ ไปเตรียมน้ำชาด้วยตนเอง หลังจากนั้นก็นำผ้าไหมชั้นดีหลายชนิดของร้านมาให้ทั้งสามเลือกดู
ทั้งหมดเป็นผู้หญิง ล้วนแต่ให้ความสนใจอย่างมากกับของพวกนี้ เอามือจับดู ก็รู้ได้เลยว่าเป็นของดีหายาก พระชายาฉีรีบออกปากกล่าวว่า “ทุกแบบนี้เอามาอย่างล่ะผืน”
ผู้ดูแลร้านตกใจตาโตมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ผู้ดูแลร้านรับคำสั่งด้วยความดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวสั่งว่า “พวกนี้จดลงบัญชีก่อน รอข้ามีเวลาว่างเข้ามาค่อยคิดเงิน เจ้านำผ้าทุกผืนนี้ขึ้นไปวางบนรถม้าที่อยู่ข้างนอก”
นางเป็นเจ้าของร้าน แน่นอนว่าคำพูดนางใหญ่สุด ผู้จัดการรับคำสั่ง ออกไปสั่งพนักงานนำผ้าไหมชั้นดีที่อยู่ในห้องเก็บของออกมา วางไว้บนรถม้าที่อยู่ข้างนอก
พนักงานหอบผ้าไหมออกไปนอกประตูแล้วไม่เห็นรถม้าที่เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เป็นประจำสงสัยในใจ ไม่กล้าวางลง เลยถอยกลับเข้าไปในร้านแล้วถามผู้ดูแลร้าน
รอจนผู้ดูแลร้านออกไปแล้ว พระชายาฉีกล่าวว่า “โยวเอ๋อร์ นี่เจ้าทำอะไร”
“ข้าและท่านแม่ทัพที่รู้จักกันมาก็เป็นเวลาสี่ห้าปีแล้ว ผ้าไหมพวกนี้ถือว่าเป็นของขวัญแต่งงานของเขาจากข้า พระชายาไม่ต้องเกรงใจ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกล่าว
พระชายาฉีก็เป็นคนสบายๆ ตรงไปตรงมา ฟังคำพูดของนางแล้ว ก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก ยิ้มกล่าวว่า “ได้ ข้าจะรับแทนเขาไว้”
ทั้งสามลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก เห็นพนักงานหอบผ้าไหมกำลังถามผู้ดูแลร้านอยู่พอดี เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งว่า “นำไปวางไว้บนรถม้าของจวนอ๋องฉีเถอะ”
พนักงานไม่ชักช้า รีบนำผ้าไหมวางข้างหน้ารถม้า
กำชับผู้ดูแลร้านเสร็จแล้ว ทั้งสามก็ขึ้นรถม้า กลับจวนแม่ทัพ
ผู้ดูแลร้านมองดูรถม้าที่ออกไปไกลแล้ว เหงื่อบนหน้าผากค่อยๆ ไหลลงมา ในใจยิ่งนึกสงสัยว่าเจ้านายใหม่ของตนเองนั้น เป็นคนอย่างไรกันแน่
ชิงหลวนและจูหลีนำฮั้วเซียงหลิงมาส่งถึงหน้าประตูจวนฮั้วสั่งให้คนเฝ้าประตูรายงานให้นายท่านฮั้วออกมารับคน
คนเฝ้าประตูเห็นท่าทางของพวกนางแล้ว แล้วมองฮั้วเซียงหลิงที่มีใบหน้าซีดเซียวไม่กล่าวอะไรรีบวิ่งเข้าไปรายงาน
นายท่านฮั้วได้ยินคำของเขาแล้ว รีบเดินออกมาพร้อมกับฮูหยินฮั้วจำได้ว่าพวกนางเป็นสาวใช้ของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจเต้นเต้น ตึกตัก
ชิงหลวนนำเรื่องทุกอย่างที่ฮั้วเซียงหลิงได้กระทำในวันนี้และนำคำพูดทุกคำที่นางพูดกับพระชายาฉีเล่าออกมาทั้งหมดไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
นายท่านฮั้วฟังแล้วรู้สึกหน้ามืด ให้ตายเขาก็คิดไม่ถึงว่า แค่เวลาเพียงครู่เดียว ลูกสาวคนนี้ที่รู้กาลเทศะ ลูกสาวที่เชื่อฟังที่รู้มารยาทมาตลอด จะทำให้พระชายาฉีไม่พอพระทัย รีบยกมือขึ้นขอโทษ “ฝากบอกพระชายาฉี ต่อไปข้าน้อยจะอบรมสั่งสอนลูกสาว จะไม่ให้นางไปหาเรื่องอะไรแม่นางเมิ่งอีกแน่นอน”
ชิงหลวนจ้องมองไปชั่วขณะ จ้องจนนายท่านฮั้วเหงื่อตก จึงกล่าวถามว่า “นายท่านฮั้ว รู้หรือไม่ว่านายหญิงอีกท่านที่อยู่ข้างๆ เจ้านายข้าวันนี้คือใคร”
ในใจของนายท่านฮั้วมีลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้น
น้ำเสียงของชิงหลวนไม่เปลี่ยน แต่ทำให้นายท่านฮั้วเหงื่อออกเต็มตัวทันที “นางคือนายหญิงน้อยของร้านยาเต๋อเหริน” สังคมการค้าในเมืองหลวง ร้านยาเต๋อเหรินถือว่าเทียบเท่ากับร้านของตน แต่วันนี้ลูกสาวของตนไม่เพียงทำให้พระชายาไม่พอใจ แต่ยังทำให้นายหญิงน้อยของร้านยาเต๋อเหรินไม่พอใจด้วย ถ้าหากพวกเขาร่วมมือกัน แค่นึกถึงผลที่ตามมาเหงื่อบนตัวนายท่านฮั้วก็ไหลออกมาไม่หยุด
นายท่านฮั้วเป็นคนที่รู้ความ พูดถึงตรงนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ชิงหลวนไม่พูดมากไปกว่านี้ หันหลังกลับจวนแม่ทัพกับจูหลี
เมื่อทั้งสองคนลับตาไปแล้ว นายท่านฮั้วถึงกล้าถอนหายใจแรงๆ หมุนตัวตบหน้าฮั้วเซียงหลิง
เพียะ!
ฮูหยินฮั้วตกใจ
สาวใช้ตกใจจนขาอ่อน กราบลงบนพื้น
ฮั้วเซียงหลิงโดนตีจนงง มองนายท่านฮั้วอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
นายท่านฮั้วก็ยังไม่หายโกรธ ตะคอกด่าว่า “เจ้าลูกเนรคุณ เจ้าทำอย่างนี้เท่ากับว่าจะคร่าเอาชีวิตทั้งหมดของคนในจวน” พูดจบ สั่งด้วยเสียงโกรธว่า “พาคุณหนูเข้าไปขังไว้ในเรือนที่จวนของนาง ไม่มีคำสั่งของข้าห้ามก้าวขาออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว”
“ท่านพ่อ!” ฮั้วเซียงหลิงตกใจร้องออกมา
นายท่านฮั้วโบกมือ
“ท่านแม่!” ฮั้วเซียงหลิงร้องขอฮูหยินฮั้ว
ฮูหยินฮั้วกำลังจะขอร้องแทน แต่คำพูดถัดมาของนายท่านฮั้วทำให้นางหุปปากของนาง “หากเจ้าขอร้องแทนนาง ก็ไปขังตัวอยู่กับนางในเรือนซะ”
พูดจบ ดุคนใช้ว่า “ยังยืนเฉยกันอยู่ทำไม รีบพาตัวคุณหนูไป”
คนใช้รีบเดินเข้าไป รวบตัวฮั้วเซียงหลิงเข้าไปในจวน สาวใช้เซียงผิงดิ้นรนลุกขึ้นมา เดินตามหลังเข้าไป
นายท่านฮั้วก็สั่งอีกว่า “ฮูหยิน ตอบกลับคนบ้านหลี บอกว่าเราตกลงรับงานแต่งนี้ ให้พวกเขามาสู่ขอภายในสามวันนี้ อีกครึ่งเดือนแต่งงาน”
“ท่านพี่!” ฮูหยินฮั้วตกใจร้องออกมา “หลิงเอ๋อร์เป็นลูกสาวที่ท่านรักมากที่สุด งานแต่งของนางจะจัดแบบลวกๆ อย่างนี้ได้อย่างไร”
“หากไม่อยากให้นางทำลายตระกูลฮั้ว ทำให้คนในจวนเกือบร้อยกว่าคนต้องตายก็ทำตามที่ข้าบอก” นายท่านฮั้วไม่มีทีท่าเปลี่ยนใจแม้แต่น้อย กล่าวด้วยเสียงเข้มงวด
ฮูหยินฮั้วเป็นคนฉลาด เข้าใจความหมายของนายท่านฮั้ว แม้จะเจ็บใจแค่ไหน ก็ไม่กล้าเอาชีวิตกว่าร้อยชีวิตมาล้อเล่น ถอนหายใจหนึ่งครั้ง หันตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงเข้าไปในจวน สั่งคนให้ไปแจ้งคนตระกูลหลี
หลังจากนั้นครึ่งเดือน ฮั้วเซียงหลิงลูกสาวสุดรักสุดหวงของตระกูลฮั้วก็แต่งงานออกเรือนอย่างรีบร้อน สิ่งที่ทำให้แม่สื่อมึนงงที่สุดคือคุณหนูฮั้วผู้นี้ตั้งแต่ออกจากจวนฮั้วจนเข้าจวนหลี ก็โดนสาวใช้ร่างใหญ่สองคนพยุงไว้ตลอดเวลา นั่นนี้คือคำที่กล่าวกันภายหลัง
ทั้งสามกลับมาถึงจวนแม่ทัพ พระชายาฉีสั่งให้ลุงฝูนำผ้าไหมและเครื่องประดับลงมาแล้วใส่เข้าไปในกล่องสินสอด
ฉู่เหวินเจี๋ยก็กลับมาจากค่ายทหารแล้ว นั่งรอทั้งสามอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวและเฝิงจิ้งเหวินทำความเคารพเขา นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ อย่างเรียบร้อย
พระชายาฉียิ้มกล่าวกับฉู่เหวินเจี๋ยว่าผ้าไหมชั้นดีพวกนี้เป็นของขวัญแต่งงานจากเมิ่งเชี่ยนโยวให้เขา ฉู่เหวินเจี๋ยยิ้มพยักหน้าขอบคุณ
เมิ่งเชี่ยนโยวนำตั๋วเงินที่เหลือออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อให้พระชายาฉี พระชายาฉีเรียกลุงฝูมา ให้เขาเก็บเข้าบัญชี มอบหมายงานเสร็จแล้ว ทั้งสามลุกขึ้นขอตัวลากลับ
พระชายาฉีนั่งรถม้าตรงกลับมาที่จวนอ๋องฉี เมิ่งเชี่ยนโยวให้กัวเฟยขับรถม้าไปส่งเฝิงจิ้งเหวินที่ร้านยาเต๋อเหรินก่อนแล้วค่อยกลับจวนของตน
หลายวันต่อมา พระชายาฉีไปช่วยจัดเตรียมงานแต่งที่จวนแม่ทัพทุกวัน เจอเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ ก็สั่งคนไปเรียกเมิ่งเชี่ยนโยวมา
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้อยู่เฉย เวลาไม่ไปจวนแม่ทัพก็ไปดูโรงงานหัตถกรรม
ส่วนคนที่ปรับสภาพหน้าดินในพื้นที่ร้างนอกเมือง อากาศหนาวขึ้นมาก ดินก็ปรับไม่ได้แล้ว หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวคิดเงินค่าแรงทั้งหมดของคนงานแล้ว วันสุดท้ายก็จ่ายเงินค่าจ้างให้คนงานทุกคน แล้วบอกกับพวกเขาว่า รอให้ผ่านปีใหม่ไปแล้ว อากาศเริ่มอุ่นแล้วค่อยมาปรับสภาพหน้าดินต่อ
ทำต่อเนื่องกันหนึ่งเดือนกว่า ทุกคนก็ได้เงินกันไม่น้อย ได้ยินว่าหลังปีใหม่ยังจะจ้างพวกเขาต่อ ใบหน้าของทุกคนก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ส่วนเหวินเปียวและพี่น้องของเขา ยังคงอยู่ในโรงงานหัตถกรรม แต่เรื่องซื้อข้าวของก็ให้พวกเขาจัดการเอง
ตั้งแต่เด็กรับใช้จนมาเป็นผู้ดูแลร้านแล้ว ก็ยิ่งทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ จัดการทุกอย่างในเรื่องของโรงงานหัตถกรรมอย่างเรียบร้อย แม้แต่เรื่องสินค้าออก สินค้าเข้าก็ไม่ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวกังวลใจแม้แต่น้อย
ในส่วนของกุนเชียง ใกล้สิ้นปีแล้ว ปริมาณต้องการของเชียเจียงเฟิงก็เพิ่มมากขึ้น นำกุนเชียงที่หมักแห้งแล้วทั้งหมดไปก็ยังไม่พอ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจนพิการที่อยู่ในโรงงานหัตถกรรมพวกนั้นเห็นว่ากุนเชียงขายดีอย่างนี้ สมัครใจขอช่วยด้วยการเพิ่มเวลางานทุกวันวันล่ะครึ่งชั่วโมง
เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวปรึกษาหารือกันแล้วรู้สึกว่าดี แล้วเพิ่มค่าจ้างให้พวกเขาทุกวันวันล่ะยี่สิบอีแปะ. คนงานทุกคนดีใจมาก
ตามทางในเป่ยเฉิงเริ่มมีคนมากมายที่ออกมาหางานทำเรื่อยๆ แต่ว่ารอบนี้พวกเขาไม่ได้ทำหน้าทุกข์ใจอีกต่อไป ยิ่งคนที่ขายลูกสาวลูกชายยิ่งไม่มีอีกเลย
มีคนดีใจก็ต้องมีคนเสียใจ หญิงที่ทำอาชีพค้ามนุษย์ที่ดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาการค้ามนุษย์ร้อนใจมากที่ไม่มีคนให้ค้า ฉวยโอกาสที่ไม่มีคนอื่นแอบสาบแช่งเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องพวกนี้ ไม่งั้นต้องให้คนไปตีนางจนพูดไม่ได้อีกต่อไป
วันเวลาผ่านไป ช่วงเวลานี้พระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยก็ได้ยกสินสอดไปสู่ขอที่จวนเฝิงด้วยตนเองสินสอดทั้งหมดเจ็ดสิบสองลังทำให้ทั้งเมืองหลวงตกใจอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนรู้แล้วว่า ท่านแม่ทัพฉู่พอใจมากกับตัวเฝิงจิ้งซู พวกคนที่เกิดมามีฐานะสูง คุณนายขุนนางทั้งหลายที่ดูถูกชีวิตของเฝิงจิ้งซู ยังมีพวกผู้หญิงที่ศรัทธาท่านแม่ทัพฉู่ที่สาปแช่งตั้งแต่ยังไม่แต่งงานว่าต้องตกกระป๋องตั้งแต่วันแรกที่เข้าจวน ก็ไม่มีอะไรให้พูดอีกต่อไปจริงๆ
ฮ่องเต้ได้ยินว่าฉู่เหวินเจี๋ยสู่ขอหญิงสาวตระกูลค้าขายเป็นภรรยา อยู่ๆ ก็รู้สึกดีใจ สั่งคนพระราชทานสิ่งของมีค่ามากมาย พระพันปีก็ได้มีการพระราชทาน ไม่ได้พระราชทานให้ฉู่เหวินเจี๋ย แต่พระราชทานให้กับจวนเฝิงโดยตรง รวดฝากบอกคำพูดบางคำกับนายท่านเฝิงก็แค่จะเตือนเฝิงจิ้งซูว่าหลังจากเข้าจวนแม่ทัพแล้วให้รู้จักหน้าที่ฐานะของตัวเองให้ดี ทำในส่วนของตัวเองในดี คำพูดประมาณว่าอย่าทำเรื่องขายหน้าให้กับท่านแม่ทัพ
ไม่ว่าความตั้งใจจริงๆ ของพระพันปีคืออะไร จวนเฝิงก็ได้รับเกียรตินี้ ต่อไปสถานะทางสังคมการค้าในเมืองหลวงก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีก
ฉู่เหวินเจี๋ยทนคำรบเร้าของเหล่าพลทหารไม่ไหว จึงตอบตกลงพวกเขาให้ติดตามเขาไปแต่งเมีย ให้เหล่าพลทหารมีส่วนในวันสำคัญของเขาด้วย
หน้าประตูจวนแม่ทัพเต็มไปด้วยหัวดำๆ ของนายพลและทหารที่ยืนอยู่เป็นจำนวนมาก ทุกคนสวมใส่เสื้อเกราะชุดใหม่ ดูมีชีวิตชีวา ทุกใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ประตูจวนแม่ทัพถูกขวางกั้นไว้ รถม้าไปไม่ถึงหน้าประตูจวน กัวเฟยหยุดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงมา พาชิงหลวนและจูหลีก้าวผ่านทหารจนถึงหน้าประตูจวน
ทั้งสามล้วนเป็นหญิงสาวหุ่นดี วันนี้แต่งตัวยิ่งสวย แม้ทหารทั้งหลายจะไม่ออกเสียงแซว ออกเสียงชม แต่ตาโตโดยไร้เสียงทุกคน มองพวกนางอย่างไม่ละสายตา ชิงหลวนเกิดความรู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมา แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ใส่ใจและเดินพาทั้งสองเข้าไป
คนเฝ้าประตูจำนางได้ รีบเชิญพวกนางทั้งสามเข้าไป เห็นทั้งสามเดินไปไกลแล้ว จึงกล่าวกับรองแม่ทัพชุยอย่างเสียงเบาๆ ว่า “ท่านนี้คือว่าที่พระชายาซื่อจื่อ ดูแลจัดการทหารของเจ้าให้ดี ระวังจะสร้างปัญหาใหญ่”
รองแม่ทัพตกใจ ถึงเริ่มคิดได้ลางๆ ว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยพบเจอเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินอยู่ข้างหน้านี้ รีบออกสั่งลงไปด้วยความเข้มงวดว่า ถ้าหากยังมีคนกล้าจ้องอีก ระวังโดนควักลูกตาออกมาดอง
รองแม่ทัพปกติเป็นคนอารมณ์ดี แต่ถ้าเข้มงวดขึ้นมา ทหารทั้งหลายล้วนกลัวเขาหมด ฟังคำสั่งของรองแม่ทัพชุยแล้ว ก็รีบเก็บสายตาของตัวเองทันที แล้วยืนตัวตรง
สองวันสุดท้ายนี้พระชายาฉีไม่ได้กลับไปจวนอ๋องฉี อยู่จัดเตรียมงานแต่งงานที่นี่ตลอด เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา รีบเรียกให้นางมานั่งข้างๆ ตัวเอง ช่วงนี้หวงฝู่อี้เซวียนก็ยุ่งมาก ไม่ได้เจอหน้าเมิ่งเชี่อนโยวหลายวันแล้ว วันนี้เจอหน้าทั้งที จะให้ผ่านไปได้อย่างไร รีบลุกขึ้นขวางนางไว้ ให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ตน ยื่นมือจับมืออีกข้างของนางไว้
เริ่มแรกพระชายาฉีหยุดชะงักไป หลังจากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา “รอยุ่งงานแต่งของเหวินเจี๋ยเสร็จแล้ว ข้าจะรีบเข้าวังไปขอพระราชกฤษฎีกาให้เจ้าทั้งสองทันที กำหนดการหมั้นหมายก่อน รอปีหน้าช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิก็จัดงานแต่งเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนเฝ้ารอเวลานี้มานานมากแล้ว พอได้ยินก็ยิ้มกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความดีใจ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย
ตอนที่ 150 คึกคักไปทั้งเมืองหลวง
พระชายาฉีเกรงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเขินอาย ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร พระชายาฉีก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายต่อ นำเรื่องทุกอย่างที่เตรียมไว้เพื่อรับตัวเจ้าสาวในวันนี้เล่าให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวฟังหนึ่งรอบ และถามนางว่า “ เจ้าช่วยข้าดูซิ มีตรงไหนตกหล่นอะไรบ้างไหม”
วิธีการรับตัวเจ้าสาวก็ไม่ต่างกันมาก เมิ่งเชี่ยนโยวคิดทวนเหตุการณ์แต่งงานของเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีหนึ่งรอบ พยักหน้า “ส่วนใหญ่ก็จะประมาณนี้เพคะ ไม่มีอะไรตกหล่น”
“งั้นก็ดีแล้ว” พระชายาฉีโล่งใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้าเตรียมงานใหญ่ขนาดนี้ ข้าจึงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”
ท้องฟ้าสว่างแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยสวมเสื้อเกราะชุดใหม่ เดินมาถึงหน้าห้องโถงด้านหน้าด้วยใบหน้าที่สดใส
พระชายาฉีลุกขึ้นยืน หมุนไปรอบๆ ตัวเขา ดูว่ามีอะไรไม่เรียบร้อยหรือไม่ พยักหน้า “ฤกษ์แต่งงานใกล้จะถึงแล้ว ไปรับตัวเจ้าสาวเถิด”
ฉู่เหวินเจี๋ยยิ้มมุมปากแล้วเดินออกไป รอจนไม่เห็นร่างของเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดนินทาว่า “ดูท่าแล้วท่านแม่ทัพจะพอใจมากกับการแต่งงานนี้ ดูสิเจ้าคะ ดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้เลย”
พระชายาฉียิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่สิ เริ่มดีใจอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อวาน ดูแล้วซูเอ๋อร์คงจะถูกใจเขาจริงๆ”
ฉู่เหวินเจี๋ยออกจากประตูของจวน หน้าประตูมีเกี้ยวจอดอยู่ คนนำยกเกี้ยวแท้จริงแล้วคือรองแม่ทัพชุยและนายพลหลายคน ฉู่เหวินเจี๋ยกระโดดขึ้นบนหลังม้า โบกมือ เสียงดนตรีบรรเลงขึ้น เขาขี่ม้าอยู่ข้างหน้า รองแม่ทัพชุยและคนอื่นๆ เดินยกเกี้ยวด้านหลัง เกี้ยว ทั้วสองข้างคือแม่สื่อที่เชิญมาและสาวใช้จากจวนหวังที่ถูกสั่งให้มากะทันหัน ทหารหลายร้อยนายเดินตามหลังอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกคนออกตัวอย่างยิ่งใหญ่มุ่งหน้าไปจวนเฝิง
เรื่องที่ท่านแม่ทัพแต่งงานวันนี้ดังไปทั่วเมืองหลวงตั้งนานแล้ว ในขณะเดียวกันก็มีหญิงสาวมากมายที่เสียใจอยู่ในจวนของตนเอง แต่ก็อยากดูว่าหญิงสาวจวนเฝิงนี้มีความสามารถอะไรกันแน่ ถึงทำให้ท่านแม่ทัพหลงใหล ฉะนั้นขบวนรับตัวเจ้าสาวเดินอยู่กลางถนน สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนตั้งแต่จวนแม่ทัพจนถึงจวนเฝิง
ผู้คนที่มาล้อมดูต่างตกใจในความยิ่งใหญ่ของขบวนนี้ มีหญิงสาวมากมายทุบอกตัวเอง เสียใจที่ตนเองไม่ใช่คนที่ท่านแม่ทัพชอบ
ขบวนรับตัวเจ้าสาวบรรเลงดนตรีตลอดทั้งทางยาวจนถึงหน้าประตูจวนเฝิงโดยไม่พบเจออุปสรรคใดๆ
นายท่านเฝิงนำคนออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ฉู่เหวินเจี๋ยกระโดดลงจากม้า นายท่านเฝิงคุกเข่าก้มลงกราบลง ฉู่เหวินเจี๋ยรีบเดินเข้าไป พยุงเขา เปลี่ยนสรรพนามที่เรียกด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “เป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้วพ่อตาไม่ต้องทำความเคารพเช่นนี้”
คำเรียกพ่อตานี้ทำให้นายท่านเฝิงดีใจมาก ทำให้ทุกคนในจวนเฝิงอุ่นใจ โดยเฉพาะผู้อาวุโสในตระกูลเฝิงที่อายุมากแล้ว น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาทันที ท่านแม่ทัพยอมลดตัวลง เรียกนายท่านเฝิงว่าพ่อตา นั่นหมายความว่าในใจเห็นด้วยกับงานแต่งนี้ ต่อไปตระกูลเฝิงก็มีที่พึ่งใหญ่ในเมืองหลวงนี้แล้ว
ฉู่เหวินเจี๋ยไม่รู้ว่าทุกคนคิดอะไร แค่คิดอย่างไร้เดียงสาว่าตัวเองสู่ขอลูกสาวของคนอื่นแล้ว ก็ควรเปลี่ยนสรรพนามเรียกเขาว่าพ่อตา
แม่สื่อถือผ้าเช็ดหน้า เดินขยับตัวเข้ามา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายท่านเฝิง ถึงฤกษ์แต่งงานแล้ว เชิญคุณหนูเฝิงขึ้นเกี้ยวเถิด”
มีคนเข้าไปรายงาน ไม่นานเฝิงจิ้งซูก็ถูกคุณชายตระกูลเฝิงแบกออกมา ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นแล้ว รีบก้าวขาออกไป ท่ามกลางเสียงตกใจของทุกคนและเสียงตกใจของเฝิงจิ้งซูอุ้มเฝิงจิ้งซูลงมาจากหลังคุณชายตระกูลเฝิง
วางไว้บนอกของตน นายหญิงเฝิงที่ร้องไห้จนตาบวมเห็นภาพทีไม่ถูกต้องตามหลักนี้ ตกใจอ้าปากค้าง จนลืมร้องไห้
เฝิงจิ้งซูถูกผ้าคลุมปิดไว้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่โดยสัญชาตญาณของตน เลยยื่นมือกอดคอของฉู่เหวินเจี๋ยเช่นนี้ยิ่งทำให้ผู้คนที่มาล้อมดูอยู่ตกใจมากยิ่งขึ้น
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินไปถึงหน้าเกี้ยว อุ้มเฝิงจิ้งซูวางไว้ในเกี้ยวด้วยความระมัดระวัง
ฉู่เหวินเจี๋ยกระโดดขึ้นหลังม้า โบกมือ เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นอีกครั้ง รองแม่ทัพชุยและทุกๆ คนยกขึ้นเกี้ยวขึ้นอย่างมั่นคง เดินตามหลังม้าของฉู่เหวินเจี๋ยหมุนเกี้ยวกลับ กลับจวนแม่ทัพ ทหารหลายร้อยนายก็หันหลังกลับตามเกี้ยวอย่างเป็นระเบียบ
วิธีการรับตัวเจ้าสาวที่ไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้ดังไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
ขบวนรับตัวเจ้าสาวบรรเลงดนตรีจนถึงหน้าประตูจวนแม่ทัพ หยุดลง
คนใช้ในจวนได้เตรียมถาดวางกองไฟไว้ตรงหน้าประตู เฝิงจิ้งซูถูกสาวใช้สองคนพยุงลงจากเกี้ยวก้าวข้ามถาดกองไฟ เดินเข้าในจวนอย่างตื่นเต้น
ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีนั่งอยู่บนที่สูงในห้องโถงด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากเฝิงจิ้งซูถูกพาเข้ามาในห้องโถงแล้ว ทำการคำนับกับฉู่เหวินเจี๋ยท่ามกลางเสียงประสานของแม่สื่อ หลังจากนั้นถูกฉู่เหวินเจี๋ยใช้ผ้าสีแดงจูงไปห้องหอ
คำนับเสร็จแล้ว ท่านอ๋องฉีลุกขึ้นยืน ไปต้อนรับขุนนางในวังที่มาอวยพรวันนี้ ส่วนพระชายาฉีก็ไปต้อนรับครอบครัวของเหล่าขุนนางพวกนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวตามทุกคนไปที่ห้องหอ
ฉู่เหวินเจี๋ยพาเฝิงจิ้งซูมาส่งในห้องหอ ก็ถูกเรียกให้ออกไปดื่มเหล้า ในห้องหอเหลือแค่สาวใช้ที่มาจากหวังฝู่และสาวใช้คนสนิทของเฝิงจิ้งซู เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไป สาวใช้ทุกคนทำความเคารพนาง เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ แม่สื่อและสาวใช้ก็ถอยออกไป ตัวเองก็นั่งลงข้างเฝิงจิ้งซู หัวเราะล้อเลียนนาง “ดูท่าทางวันนี้ของท่านแม่ทัพแล้ว ต่อไปต้องเป็นตัวอย่างของคนกลัวภรรยาแน่ๆ”
เฝิงจิ้งซูรีบเปิดผ้าคลุมขึ้น แสดงใบหน้ารอยยิ้มที่แดงๆ ออกมา ลืมตาโตๆ ที่สวยงามของตน กล่าวถามด้วยความสงสัยว่า “อะไรคือคนกลัวภรรยา”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ หึๆ ออกมา
เฝิงจิ้งซูไม่เข้าใจ กระพริบตาปริบๆ กล่าวถามว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เจ้าหัวเราะอะไร”
เสียงหัวเราะใสๆ ของเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวว่า “นายหญิงเฝิงไม่ได้บอกเจ้าหรือ ว่าผ้าคลุมต้องให้ท่านแม่ทัพเป็นคนเปิดออก”
อื้ม เฝิงจิ้งซูก็นึกถึงคำสั่งของนายหญิงเฝิงขึ้นได้ รีบเอาผ้าคลุมคลุมหัวอีกครั้งทันที รีบกล่าวด้วยความตกใจว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เจ้าอย่าบอกใครเด็ดขาดนะว่าข้าเปิดผ้าคลุมหัวขึ้น”
เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งดังขึ้นไปอีก ยิ้มและถามว่า “นี่เจ้าจะโกหกหรือ”
เฝิงจิ้งซูก็รู้สึกว่าท่าทางของตนนั้นตลก จึงหัวเราะออกมาเบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจลากเสียงยาว “คนกลัวภรรยาน่ะหรือ ก็คือ…” เฝิงจิ้งซูทำตาโตรอคอยคำตอบของนางด้วยความสงสัย รอไปซักพักไม่ได้ยินนางพูดต่อ ร้อนใจมาก กล่าวขอร้องว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เจ้ารีบพูดสิ อะไรคือคนกลัวภรรยา”
เห็นนางร้อนใจ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่แกล้งนางต่อ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ความหมายของคนกลัวภรรยาก็คือต่อไปอยู่ในจวน ท่านแม่ทัพจะเชื่อฟังเจ้า เจ้าสั่งให้เขาไปทางตะวันออกเขาไม่กล้าไปทางตะวันตก เจ้าให้เขาตีสุนัขเขาไม่กล้าไล่ไก่”
ทุกครั้งที่นางพูดหนึ่งประโยค ตาของเฝิงจิ้งซูก็โตขึ้น นางพูดจบ ตาของเฝิงจิ้งซูใหญ่โตเท่ากับลูกกระดิ่ง ออกเสียงตกใจว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นท่านแม่ทัพนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาเสียงดัง หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา
เฝิงจิ้งซูมองนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะจนพอแล้ว ค่อยเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าเนี่ย เป็นคนโง่ที่มีความสุขแบบคนโง่จริงๆ”
เฝิงจิ้งซูยิ้มออกมา ลักยิ้มสองจุดก็ชัดออกมา กล่าวว่า “ท่านพ่อท่านแม่และพี่สาวของข้าก็บอกข้าแบบนี้”
มีเสียงเท้าดังมา เฝิงจิ้งซูรีบเอาผ้าคลุมคลุมลงมา สาวใช้คนหนึ่งยกถ้วยประณีตหลายใบที่ใส่อาหารว่างไว้เข้ามา ทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง พระชายากลัวคุณหนูจะหิว เลยสั่งให้ข้ายกอาหารว่างมาให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
สาวใช้วางอาหารว่างบนโต๊ะทีละอย่าง แล้วถอยออกไปอย่างเคารพ
ฟังสาวใช้เดินออกไปแล้ว เฝิงจิ้งซูก็เอาผ้าคลุมขึ้นไปอีกครั้ง มองอาหารว่างนั้นด้วยสายตาเป็นประกาย กลืนน้ำลาย กล่าวว่า “ท่านแม่บอกข้าว่าวันนี้ห้ามกินอาหารอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งนาง “เจ้าหิวหรือไม่”
เฝิงจิ้งซูรีบพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นตะเกียบให้นาง “หิวก็กินเถอะ นี่เป็นน้ำใจของพระชายาฉี เจ้าอย่าเสียน้ำใจจะดีกว่า”
รู้สึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดมีเหตุผล บวกกับตนก็หิวมากจริงๆ เฝิงจิ้งซูจึงลืมคำสั่งของนายหญิงเฝิงไปทันที หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วค่อยๆ กินเป็นคำเล็กๆ กินไปไม่กี่คำ ถึงนึกขึ้นได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ข้างๆ กล่าวด้วยใบหน้าแดงๆ และเกรงใจว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เจ้าก็กินสักนิดสิ”
“ข้าไม่ล่ะ เมื่อเช้าข้ากินมาแล้ว”
เฝิงจิ้งซูเชื่อคำพูดที่นางพูด ไม่ปฏิเสธต่อไป หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วกินต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ไปเทน้ำร้อนข้างโต๊ะแล้ววางลงบนโต๊ะให้นางหนึ่งแก้ว “ช้าหน่อย เดี๋ยวติดคอ”
เฝิงจิ้งซูกินไปด้วยพูดไปด้วยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ตั้งแต่ค่ำเมื่อวานท่านแม่ของข้าไม่ยอมให้ข้ากินอะไรเลย เมื่อเช้าก็ให้คุณยายทั้งหลายลากข้าขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง หิวตายอยู่แล้ว อาหารว่างพวกนี้ไม่ได้เพียงพอที่จะทำให้ข้าอิ่มท้องได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา กล่าวว่า “อาหารว่างพวกนี้แค่ให้เจ้ากินรองท้องไปก่อน ท้องไม่หิวก็พอ เดี๋ยวยังมีอาหารยกขึ้นมาอีก”
เฝิงจิ้งซูก็กินต่อไปอีกหลายคำ วางตะเกียบลง ยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่มหลายอึก กลืนลงไปทั้งหมดแล้วกล่าวว่า “สบายขึ้นสักที ถ้าหากเอามงกุฎบนหัวที่ทำให้คอข้าเมื่อยล้าลงมาได้ ข้าจะสบายมากขึ้นกว่านี้” พูดจบ ก็ใช้มือจับคอที่ปวดเมื่อยของตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตัวโยน “แบบนี้คงไม่ได้ เดี๋ยวจะมีคนเข้ามาแต่งบ่าวสาวในห้องหออีก ผมของเจ้าจะกระเซอะกระเซิงได้เยี่ยงไร”
เฝิงจิ้งซูยิ้มออกมาให้นาง “ข้ารู้แล้ว ข้าแค่พูดเฉยๆ น่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่คุยเป็นเพื่อนนาง ความตื่นเต้นในตัวเฝิงจิ้งซูค่อยๆ หายไป กลับมาเป็นคนเดิม พูดกับนางไม่หยุด ล้วนแต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้น กังวล กลัวที่จะได้แต่งกับฉู่เหวินเจี๋ย
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังด้วยรอยยิ้ม
เฝิงจิ้งซูพูดจบ จับมือเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณว่า “พี่โยวเอ๋อร์ ขอบคุณที่เจ้าฟังข้าพูดเรื่องพวกนี้ ตอนนี้ข้าสบายใจขึ้นเยอะเลย สองสามวันนี้ข้ากระวนกระวายใจ กังวลใจ กลัวว่าทุกคนจะหัวเราะเยาะข้าคิดว่าข้าใช้วิธีที่สกปรกแบบนี้บังคับให้ท่านแม่ทัพสู่ขอข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้ม “เจ้าเด็กโง่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ท่านแม่ทัพชอบเจ้าจริงๆ ไม่งั้นคงไม่ใช้วิธีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสู่ขอเจ้า รับเจ้าเข้ามาในจวน ส่วนงานในจวน มีลุงฝูจัดการ เจ้าอยากจัดการก็จัดการไม่อยากจัดการก็โยนให้ลุงฝู ไม่มีใครบังคับเจ้า”
เฝิงจิ้งซูพยักหน้า ยิ้มออกมา “ตอนนี้ข้ารู้แล้ว ต่อไปข้าจะดูแลท่านแม่ทัพและคนในจวนอย่างดีแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวจับหน้านาง แกล้งนางว่า “หญิงสาวคนนี้ทั้งสาวทั้งสวย หากท่านแม่ทัพของเราไม่รักไม่หวงจนเข้าเส้นเลือดนั่นสิแปลก”
ใบหน้าที่แต่งแล้วของเฝิงจิ้งซูยิ่งแดงเข้าไปใหญ่
เสียงจากคนที่อยู่ข้างนอกประตูดังขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ”
เฝิงจิ้งซูตกใจจนรีบเอาผ้าคลุมหัวลงมา นั่งอย่างเรียบร้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะลุกขึ้น ฉู่เหวินเจี๋ยก็เดินเข้ามา แม่สื่อและสาวใช้ก็เดินตามเข้ามา
แม่สื่อกล่าวด้วยความดีใจว่า “ดูท่านแม่ทัพของเราสิ ต้องชอบนายหญิงมากเพียงใดถึงใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็กลับมาแล้ว”
สาวใช้ทั้งหลายก้มหัวแล้วยิ้ม
ฉู่เหวินเจี๋ยหยิบตาชั่งเหล็กที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา เปิดผ้าคลุมหัวของเฝิงจิ้งซูขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่สวยงามของเฝิงจิ้งซูก็ออกมา
แม่สื่อตกใจ “ท่านแม่ทัพ อันนี้ไม่ถูกตามหลักประเพณีนะเพคะ ผ้าคลุมนี้ต้องเปิดยามค่ำนะเพคะ”
สาวใช้ทุกคนก็หยุดชะงักไป
มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนมองด้วยรอยยิ้ม รู้สึกว่าฉู่เหวินเจี๋ยไม่ใช่คนที่ทำเรื่องไม่เหมาะสมแบบนี้ เดี๋ยวต้องมีอะไรพูดแน่ๆ
จริงด้วย ฉู่เหวินเจี๋ยจ้องมองใบหน้าแดงๆ ที่เกิดจากความอายของเฝิงจิ้งซู กล่าวถามความคิดเห็นของนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าจะยอมตามข้าออกไปพบเจอเหล่าทหารของข้าหรือไม่”
เฝิงจิ้งซูชะงักไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็พยักหน้า แววตาเจิดจ้าเป็นประกายออกมา
ฉู่เหวินเจี๋ยยื่นมือ เฝิงจิ้งซูจับไว้ ลุกขึ้นยืนตามกัน แล้วตามเขาออกไปข้างนอก
เป็นแม่สื่อมาเกือบครึ่งชีวิต เป็นครั้งแรกที่เจอเรื่องแบบนี้ แม่สื่องง อ้าปากค้างแล้วมองดูทั้งสองเดินออกไปยังงงๆ
สาวใช้ไม่กล้าเอ่ยปากแต่อย่างใด รอทั้งสองเดินไปแล้ว ค่อยก้มหัวเดินตามหลัง
ฉู่เหวินเจี๋ยจูงมือเฝิงจิ้งซูออกมานอกประตูจวน นายพลและทหารทุกนายยืนเรียงกัน อย่างเป็นระเบียบอยู่หน้าประตู เห็นทั้งสองเดินมา ออกเสียงพร้อมกันว่า “ท่านแม่ทัพ”
เป็นครั้งแรกที่อยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เฝิงจิ้งซูตื่นเต้นเล็กน้อย ค่อยๆ ขยับตัวเข้าใกล้ฉู่เหวินเจี๋ย
ฉู่เหวินเจี๋ยยังคงจูงมือเฝิงจิ้งซูไว้ กล่าวกับทหารทุกนายด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดว่า “นี่คือนายหญิงแม่ทัพของพวกเจ้า”
ตอนที่ 151 หาเรื่อง
พลทหารทุกนายออกเสียงเรียกพร้อมกันว่า “นายหญิง”
เผชิญหน้ากับคนมากมายอย่างนี้ เฝิงจิ้งซูรู้สึกทำตัวไม่ถูก โดยสัญชาตญาณก็เริ่มค่อยๆ ขยับตัวไปทางฉู่เหวินเจี๋ย
ทหารทุกนายไม่คิดว่านายหญิงแม่ทัพจะเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าสวยงามเช่นนี้ ดูท่าทางแล้วอายุไม่น่าเกินสิบห้าสิบหกปี ดูตัวเล็ก ยืนอยู่ข้างท่านแม่ทัพที่ตัวใหญ่ ยิ่งดูตัวเล็กเข้าไปอีก แม้ว่าสีหน้าที่แสดงออกมาจะจริงจังและน่าเคารพมากแค่ไหน ในใจของทุกคนต่างดีใจมาก ไม่แปลกใจเลยที่ท่านแม่ทัพของพวกเขาจะอดใจรอไม่ไหวต้องสู่ขอคนอื่นเขาภายในครึ่งเดือน นายหญิงคนนี้ที่ตัวเล็กๆ บางๆ ทำให้คนเกิดความรู้สึกอยากปกป้องดูแลจริงๆ
ทหารทุกนายล้วนเป็นทหารที่อบรมมาด้วยตนเอง ฉู่เหวินเจี๋ยดูพวกเขาแต่ละคนทำตาโตๆ แสดงสีหน้าตกใจออกมา หลังจากนั้นทุกคนก้ยิ้นจนปากจะถึงปลายหูอยู่แล้ว ก็รู้แล้วว่าในใจของพวกเขาคิดอะไรอยู่ ในหน้าดำๆ ก็แดงระเรื่อขึ้นมา เสียงไอออกมากลบเกลื่อน ดึงดูดทุกสายตาให้มองมาทางตัวเอง แล้วกล่าวอย่างเสียงดังว่า “ต่อไปจวนแม่ทัพนี้ก็มีนายหญิงแล้ว หากใครอยากมาขอข้าวกิน ขอแค่ไม่ฝ่าฝืนกฎ ก็สามารถมากันได้”
สิ่งที่ทุกคนรอคอยก็คือคำนี้ ทุกคนออกเสียงดีใจพร้อมกัน
รอจนพวกเขาหัวเราะวุ่นวายไปสักพัก ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือ ทุกคนเงียบ “พอแล้ว รีบเข้าไปกินอาหารในจวนกันเถิด กินเสร็จแล้วก็รีบกลับค่ายทหารเสีย”
ทุกคนรับคำสั่ง
ฉู่เหวินเจี๋ยจูงมือเฝิงจิ้งซูเข้าไปข้างใน ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ ฟ้ายังสว่างอยู่ ท่านก็อดใจรอไม่ไหวขนาดนี้เลยหรือ”
ฉู่เหวินเจี๋ยสะดุดขา ใบหน้าของเฝิงจิ้งซูแดงก่ำขึ้นมาทันที ฉู่เหวินเจี๋ยหันหลังมองเขม่นนายพลทุกนาย กวาดสายตาผ่านใบหน้าของพวกเขาทุกคนหนึ่งรอบ กล่าวด้วยเสียงเข้มงวดว่า “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เพิ่มเวลาฝึกเข้าไปวันละหนึ่งชั่วโมงทุกวัน”
ทุกคนออกเสียงโอดครวญพร้อมกัน ฉู่เหวินเจี๋ยยิ้มมุมปากแล้วหันหลัง พาเฝิงจิ้งซูกลับไปที่ห้องหอ ด้านหลังนายพลทุกนายพุ่งเข้าไป ทุบตีเตะต่อยนายพลที่พูดมากเมื่อกี้ นายพลที่พูดคิดว่าวันนี้ฉู่เหวินเจี๋ยดีใจล้อเล่นนิดหน่อยคงไม่เป็นไร ไม่คิดว่าจะสร้างปัญหาใหญ่ขึ้น เจอการทุบตีเตะต่อยของทุกคน ทำได้แค่กุมหัวหลบไปมา ไม่กล้าสวนกลับ
จริงๆ แล้วงานเฉลิมฉลองแต่งงานควรเริ่มตอนค่ำ แต่ทหารเหล่านี้พิเศษ พวกเขายังต้องกลับค่ายทหาร พระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยจึงได้ปรึกษาหารือกัน ตัดสินใจเปิดงานให้พวกเขาก่อนในยามบ่าย หลังจากพวกเขากินเสร็จแล้ว ก็กลับค่ายทหารไป
ทหารทุกนายเดินเข้าจวนด้วยเสียงดังวุ่นวาย มาถึงหน้าโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้พวกเขา ก็เริ่มกินกันอย่างเต็มที่ จนเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ผ่านไป อาหารก็หมดไปในพริบตา
ลุงฝูสั่งคนใช้ในจวนเทอาหารที่เหลือทิ้งไป ทำความสะอาดโต๊ะให้เรียบร้อย กวาดพื้นให้สะอาด ทำความสะอาดทุกที่ทุกมุมให้เรียบร้อย รอเวลาเฉลิมฉลองในยามค่ำ
หลังจากฉู่เหวินเจี๋ยพาเฝิงจิ้งซูกลับเข้าห้องหอแล้ว ก็เดินออกทักทายเหล่าขุนนางทั้งหลายที่มาอวยพร
มองฉู่เหวินเจี๋ยเดินออกไปแล้ว โบกมือไล่สาวใช้ที่ดูแล เฝิงจิ้งซูทุบอกตัวเองเบาๆ ทำท่าเหมือนเจอเรื่องน่าตกใจมาก “ตกใจหมดเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา
งานเฉลิมฉลองยาวต่อเนื่องไปจนถึงยามค่ำ แขกเริ่มทยอยกลับไป พระชายาฉียุ่งต่อกันหลายวัน เหนื่อย จนไม่ไหวแล้วจริงๆ กล่าวกับท่านอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋อง ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนอนพักในจวน ท่านกับเซวียนเอ๋อร์กลับจวนเถิด รอข้านอนพักหนึ่งคืน แล้วจะกลับไป”
ท่านอ๋องนั่งนิ่ง มองนางอย่างไม่ละสายตา จะพูดไม่พูดอยู่อย่างนั้น
พระชายาฉีดูออกถึงความแปลกของเขา กล่าวว่า “ท่านอ๋องมีอะไรก็พูดออกมาเถิดเพคะ ข้าจะทำตามแน่นอน”
ท่านอ๋องฉีหยุดไปสักพักถึงกล่าวออกมาว่า “กลับจวนเถอะ หากพรุ่งนี้ไม่มีเรื่องอะไร เจ้ากับข้าเข้าวังไปขอพระราชกฤษฎีกาให้เซวียนเอ๋อร์และแม่นางเมิ่งกัน กำหนดการหมั้นของพวกเขาให้เรียบร้อย”
ฉู่เหวินเจี๋ยส่งทั้งสี่คนออกนอกจวนแล้ว มองดูทั้งสี่ไปไกลแล้วจึงกลับเข้าไปในจวน
ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีนั่งรถม้าคันเดียวกัน ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งรถม้าอีกคันของจวนอ๋อง กัวเฟยขี่รถม้าตามมาข้างหลัง
ไม่ได้เจอกันหลายวันอีกแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไม่ปล่อยโอกาสดีๆ แบบนี้แน่นอน แค่คิดว่าพรุ่งนี้ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีจะเข้าวังไปขอพระราชกฤษฏีกา ตนเองและเมิ่งเชี่ยนโยวจะได้หมั้นหมายกันเร็วๆ นี้ ในใจดีใจมาก ท่าทางก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น จูบจนเมิ่งเชี่ยนโยวหายใจไม่ทัน ทุบตัวเขาอย่างสุดแรง ถึงปล่อยปากนางอย่างอาลัยอาวรณ์ หายใจแรงๆ แล้วมองหน้านาง รอจนลมหายใจเขาเป็นปกติแล้ว ก็จูบทับลงไปใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ท่าทางอ่อนโยนกว่า เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือกอดคอเขาไว้ ปล่อยตามใจเขา
จนชิงหลวนที่อยู่นอกรถม้าออกเสียงด้วยความลังเลว่า “นายหญิง ถึงทางแยกแล้วเพคะ”
สติของเมิ่งเชี่ยนโยวถึงกลับมา รีบตอบกลับไปว่า “อืม ข้าจะลงจากรถม้าเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือขวางนางไว้ จับมือนางกอดคอตัวเองไว้เหมือนเดิม ตรัสสั่งข้างนอกว่า “ไปหนานเฉิง”
รถขี่ม้าหันรถม้า ตรงไปทางหนานเฉิง
พระชายาฉีคิดไว้อยู่แล้วว่าหวงฝู่อี้เซวียนต้องทำอย่างนี้ ฟังรายงานของคนขี่ม้าแล้ว ไม่เอ่ยอะไร สั่งคนขี่ม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าให้กลับจวนอ๋องฉี
ถึงหน้าบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนถึงลงจากรถม้าอย่างไม่เต็มใจ สุดท้ายรับตัวเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา กล่าวว่า “ค่ำแล้ว ข้าไม่เข้าไปแล้วพรุ่งนี้อยู่จวนรอฟังข่าวดีจากข้า”
เมิ่งเขี่ยนโยวพยักหน้า เดินเข้าไปในจวน
หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่กับที่ด้วยความอาลัยอาวรณ์ จนมองไม่เห็นร่างของนางแล้ว จึงนั่งรถม้ากลับจวนอ๋อง
เมิ่งฉีรู้ว่าวันนี้ฉู่เหวินเจี๋ยแต่งงาน เมิ่งเชี่ยนโยวจะกลับดึกแน่นอน เลยไม่ได้รอนาง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ก็เข้านอนแต่เช้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นลานของเขาไม่มีแสงไฟ แอบโล่งใจเบาๆ กลับไปที่ห้องตัวเอง หลังจากอาบน้ำ ก็นอนลง
ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีทั้งสองกลับเข้าไปในจวน พระชายาฉีก็เดินตรงไปที่ลานบ้านตนเอง ท่านอ๋องฉีหยุดเดิน แล้วเดินตามหลังอย่างไม่ออกเสียงใดๆ
พระชายาฉีตกใจ หันกลับไปมองท่านอ๋องฉี กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “ท่านอ๋อง ช่วงนี้ข้าเหนื่อยจริงๆ ไม่สามารถรับใช้ท่านได้”
ท่านอ๋องฉีเอ่ยออกมาว่า “ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว พระชายาฉีก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ทั้งสองกลับไปลานบ้านของพระชายาฉี ล้างตัวเล็กน้อย แล้วก็นอนเลย พระชายาฉีเหนื่อยมากจริงๆ หัวถึงหมอนก็หลับลึกไปเลยทันที ส่วนท่านอ๋องฉี ไม่มีความง่วงแม้แต่น้อย ลืมตาจ้องมองใบหน้าที่ล้างเครื่องสำอางแล้วยังคงสวยของพระชายาฉี ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
วันที่สอง ท่านอ๋องฉีตื่นนอนอย่างเงียบๆ จะไปทรงว่าราชกิจ พระชายาฉีสะดุ้งตื่น รีบลุกขึ้น “ท่านอ๋อง ข้าสวมเสื้อให้ท่าน
ท่านอ๋องฉีกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้อง ช่วงนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนเถิด รอข้าเลิกจากกิจต่างๆ แล้ว สั่งองครักษ์กลับมาเรียกเจ้า ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยไปขอโองการที่ตำหนักเสด็จแม่กัน”
ตั้งแต่แต่งงานหลายปีผ่านไปนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องฉีกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและใส่ใจแบบนี้ พระชายาฉีหยุดตกใจไปชั่วขณะ
เห็นท่าทางแบบนี้ของนาง ในสายตาของท่านอ๋องฉีมีความรู้สึกผิดออกมา ยื่นมือดึงปลายผ้าห่มให้นาง “อากาศหนาว อย่าปล่อยให้ตัวเองป่วยล่ะ”
พระชายาฉีนอนราบลงไป มองเขาอย่างงงๆ
ท่านอ๋องฉีสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็เดินออกมา กลับไปยังลานของตน เปลี่ยนเป็นชุดทรงพระราชกิจ ถึงออกจากจวน
เห็นเขาเดินออกไป พระชายาฉีเกิดความรู้สึกบอกไม่ถูกในใจ หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง หลับตาสักพักก็หลับไป
พอนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ลุกขึ้นจากเตียง หลังจากถูกหลิงหลังดูแลอาบน้ำแต่งตัวแล้ว กินข้าวเช้าแล้ว นั่งรอองครักษ์กลับมารายงานอยู่ในห้อง
เวลาประมาณเก้าโมงเช้า องครักษ์กลับมารายงานด้วยความเคารพว่า “พระชายา ท่านอ๋องถูกฮ่องเต้เรียกเข้าไปในห้องหนังสือ ให้ข้าน้อยกลับมารายงานท่าน ให้ท่านไปรอที่ตำหนักพระพันปี เขาจะตรงไปที่นั่นหลังออกจากห้องหนังสือขอรับ”
พระชายาฉีแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ได้ยินก็เดินออกจากจวน ขึ้นรถม้า มาถึงหน้าประตูวัง ให้หลิงหลังพยุงเดินเข้าไปในวัง ตรงไปทางพระตำหนักของพระพันปี
เพิ่งจะเข้าวังหลัง ก็มีสาวใช้ในวังกลุ่มหนึ่งพยุงเฮ่อกุ้ยเฟยเดินเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม พระชายาฉีรีบย่อตัวทำความเคารพ “คารวะกุ้ยเฟย”
“อ้าว นี่ไม่ใช่พระชายาฉีหรือ ดูร่างกายเจ้าแล้วคงหายดีแล้วจริงๆ สินะ อากาศหนาวเย็นขนาดยังออกจวนได้” เฮ่อกุ้ยเฟยไม่ได้สั่งนางให้ลุกขึ้น แต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สนใจอะไร
พระชายาฉีรู้อยู่แก่ใจว่านางตั้งใจหาเรื่อง ตอกกลับไปอย่างเรียบๆ ว่า “กุ้ยเฟยรู้ข่าวรวดเร็วจริงๆ ร่างกายของข้าเพิ่งจะดีขึ้นมาได้ไม่กี่วันเอง ท่านก็ทราบเรื่องแล้ว” ความหมายที่อยากบอกนางก็คือ ข้ารู้ว่าทำไมเจ้าถึงหาเรื่องข้า ไม่ใช่เพราะเจ้ารู้แล้วว่าน้องสาวของเจ้าตาย จึงตั้งใจหาเรื่องข้าหรอกหรือ
เฮ่อกุ้ยเฟยชะงัก กล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “พระชายาไม่เพียงแต่ร่างกายดีแล้ว ฝีปากก็ดีขึ้นด้วย แต่ไม่รู้ว่าเวลาหลับ เจ้าฝันร้ายบ้างหรือไม่”
“ตลอดหลายปีนี้ไม่ว่าข้าทำอะไรข้าทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรต้องละอายใจ แน่นอนว่าต้องไม่เคยฝันร้าย” พระชายาฉีตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เพียงแต่ว่า ยืนย่อตัว เป็นเวลานานอย่างนี้ ขาเริ่มอ่อนแรง ร่างกายเริ่มเอนไปมา หลิวหลังคุกเข่าอยู่ข้างหลังอยากพยุงนาง แต่ก็ไม่กล้าลุกขึ้น กลัวว่าเฮ่อกุ้ยเฟยจะทำโทษนางว่าไม่รู้จักมารยาท โทษของการถกเถียง ถึงเวลานั้นอาจทำให้พระชายาเดือดร้อนได้
เฮ่อกุ้ยเฟยตั้งใจหาเรื่องพระชายาจริงๆ เพื่อให้นางทนไม่ไหวจะได้ทำโทษนางได้
พระชายาฉีเข้าใจความหมายของนาง กัดฟันอดทน แต่อดทนไม่ไหวจริงๆ ร่างกายเอนไปมาอย่างรุนแรง
เฮ่อกุ้ยเฟยจับความผิดปกตินางได้แล้ว รีบตรัสสั่งสาวใช้ในวังที่อยู่ข้างหลัง “พระชายาฉีเป็นลูกสาวตระกูลแม่ทัพ อาจจะเรียนมารยาทไม่ตรงตามมาตรฐานพอ พวกเจ้าทั้งหลายสอนนางสิว่าเวลาเจอข้า ต้องทำความเคารพเยี่ยงไร”
สาวใช้ในวังรับคำสั่ง เดินเข้าไป
หลิงหลงตกใจ กราบลงบนพื้นแล้วออกเสียงขอร้อง “กุ้ยเฟย พระชายาของพวกข้าร่างกายอ่อนแอ ขอท่านทรงโปรดประทานอภัยด้วย ปล่อยนางเถิด”
เฮ่อกุ้ยเฟยยิ้มอย่างเยือกเย็น “มารยาทของพระชายาฉีนี่ดีจริงๆ แม้แต่คนใช้ยังกล้าเอ่ยคำไร้สาระต่อหน้าข้า ตบปากนาง สอนพวกคนไม่รู้มารยาทพวกนี้สิว่ามารยาทคืออะไร”
ถึงขนาดนี้แล้ว พระชายาฉีก็ลุกขึ้นยืน เอาตัวบังข้างหน้าหลิงหลง กล่าวด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “มารยาทในจวนอ๋องฉีของข้าเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องให้กุ้ยเฟยสั่งสอน วันนี้ข้าเข้าวังเพราะมีเรื่องปรึกษาหารือกับพระพันปี หากเฮ่อกุ้ยเฟยไม่มีเรื่องอะไร ข้าขอตัวก่อน” พูดจบ ตรัสสั่งหลิ’หลง “เราไปกันเถิด”
หลิงหลงรับคำสั่ง ลุกขึ้น
พระชายาฉีเดินก้าวออกไปข้างหน้า
“หยุดเดี๋ยวนี้”
เฮ่อกุ้ยเฟยตะคอกเรียกนาง
พระชายาฉีทำเป็นไม่ได้ยิน เดินต่อไปข้างหน้า
เสียงโมโหโกรธาของเฮ่อกุ้ยเฟยดังมาจากทางด้านหลัง “ไปขวางนางไว้เดี๋ยวนี้”
สาวใช้ในวังห้าหกคนรีบวิ่งมาขวางหน้าพระชายาฉีไว้
พระชายาฉียืนตรง หันหลัง กล่าวถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “เฮ่อกุ้ยเฟยหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าเห็นข้าแล้วไม่ทำความเคารพ ยังยอมให้สาวใช้พูดจาไร้สาระต่อหน้าข้า ลงโทษตามความผิด ลงโทษโดยการให้เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่ครึ่งชั่วโมง” เฮ่อกุ้ยเฟยกล่าวด้วยเสียงสูง
อากาศหนาวเย็น พระชายาฉีสวมใส่เสื้อบางๆ ถ้าหากคุกเข่าอยู่ที่นี่ครึ่งชั่วโมง หลังจากกลับไปจะต้องป่วยหนักอีกรอบแน่ๆ เข้าใจถึงความตั้งใจที่เลวทรามของนางแล้ว พระชายาฉี ขยับมุมปากเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงดูหมิ่นว่า “หากข้าไม่คุกเข่าล่ะ”
“ไม่คุกเข่า” เฮ่อกุ้ยเฟยยิ้มได้ใจ สั่งสาวใช้ในวัง “หากพระชายาฉีไม่ยอมคุกเข่าขอโทษ พวกเจ้าช่วยนางหน่อยสิ”
สาวใช้ในวังรับคำสั่ง สาวใช้ห้าหกคนพุ่งตัวไป กดตัวพระชายาฉีลงบนก้อนหินอย่างแรง
หลิงหลงคุกเข่าขอร้องอีกครั้ง “กุ้ยเฟย พระชายาของพวกข้าร่างกายไม่ค่อยดี ไม่สามารถคุกเข่าบนที่เย็นๆ แบบนี้ได้ ท่านปล่อยนางไปเถิด”
“หากคนใช้อย่างเจ้าไม่พูด ข้าก็ลืมไปเลย มา ตบปากสั่งสอนนางว่าอะไรคือมารยาท” เฮ่อกุ้ยเฟยตะคอกสั่งสาวใช้ในวังอีกสองคนก้าวออกมา คนหนึ่งจับนางไว้ อีกคนยื่นมือตบลงไปบนหน้านาง
“หยุดเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเยือกเย็นแฝงด้วยความโกรธของท่านอ๋องฉีดังขึ้นมา พูดจบ ตัวอ๋องฉีก็มาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว เห็นพระชายาฉีถูกหลายคนกดให้คุกเข่าอยูบนพื้น ไฟแห่งความโกรธพุ่งขึ้นมาก ถีบตรงเข้าไปที่คนพวกนั้นที่อยู่ข้างหน้า “พวกเจ้าอยากตายใช่หรือไม่ ถึงกล้าทำเช่นนี้กับพระชายาของข้า”
ตอนที่ 152 บาดเจ็บ
บ่าวใช้สองสามคนถูกถีบจนกระเด็นออกไป
พระชายาฉีกัดฟันพยายามลุกขึ้นยืน แต่ความเจ็บปวดจากหัวเข่าที่คุกจนเป็นแผลแล่นแปลบ เลือดไหลซิบๆ นางพยายามลุกหลายหน แต่ก็ลุกไม่ได้
อ๋องฉีปวดใจก้มตัวลงประคองนางอย่างระมัดระวัง เมื่อนางลุกยืนได้แล้ว อ๋องฉีหันหน้าไปพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง พระชายาของข้าทำผิดอะไร เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้”
เมื่อครั้งเกิดกบฏในวัง ตอนนั้นเฮ่อกุ้ยเฟยเข้าวังแล้ว นางได้เห็นอ๋องฉีเลือดอาบตัวบุกเข้ามาในวังกับตาตนเอง เพื่อช่วยฮ่องเต้และไทเฮาไว้ จนบัดนี้เฮ่อกุ้ยเฟยยังคงจดจำภาพความกระหายเลือดในครานั้นได้อย่างดี
เฮ่อกุ้ยเฟยสัมผัสถึงความเดือดดาลของเขา ถอยหลังไปหนึ่งก้าว กัดฟันสู้พูดอย่างไม่กลัวตายว่า “นางเจอข้าแล้วไม่คารวะ ข้าก็แค่ให้ข้าราชบริพารสั่งสอนเล็กน้อย”
อ๋องฉีไม่เชื่อสิ่งที่กุ้ยเฟยพูด “พระชายาของข้าไม่เคยทำผิดกฎอะไร ข้ออ้างที่เฮ่อกุ้ยเฟยกล่าวมาช่างน่าขัน”
เฮ่อกุ้ยเฟยกระพริบตาด้วยความรู้สึกละอายใจ ไม่ได้พูดอะไร
เสียงเคร่งขรึมของอ๋องฉีดังขึ้นอีกครั้ง “ร่างกายพระชายาข้านั้นอ่อนแอ แม้แต่เสด็จแม่ยังถนอมรักใคร่ แต่วันนี้เจ้ากลับลงโทษนางเช่นนี้ เจ้าก็แค่จงใจหาเสี้ยนเพื่อแก้แค้นแทนเหลียนอีแต่เจ้าลืมไปเสียแล้ว พระชายาข้าไม่ใช่คนที่คนอย่างเจ้าจะมารังแกได้”
เมื่อกล่าวถึงน้องสาวตัวเอง เฮ่อกุ้ยเฟยก็ลืมความกลัว พูดอย่างเย้ยหยันว่า “ท่านอ๋องยังมีหน้าพูดถึงน้องข้าอีกงั้นหรือ นางมีใจแก่ท่านคนเดียวมาตลอดหลายปี คอยดูแลทำทุกอย่างเพื่อท่าน ท่านปฏิบัติต่อนางอย่างไร จนทำให้นางประสบจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนี้”
“เรื่องของข้ากับเหลียนอีไม่เกี่ยวกับคนนอกอย่างท่าน เหลียนอีเข้ามาอาศัยในบ้านของข้า ก็คือคนของข้า ข้าจะปฏิบัติต่อนางอย่างไร มันก็เรื่องของข้า แม้ท่านจะเป็นกุ้ยเฟยก็มิอาจมายุ่งได้” อ๋องฉีกล่าวอย่างเคร่งขรึม
เสียงของเฮ่อกุ้ยเฟยแหลมดังขึ้น “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เหลียนอีเป็นน้องสาวข้า เรื่องของนางเหตุใดข้าจึงยุ่งไม่ได้”
“ได้” อ๋องฉีตอบอย่างไม่ใยดี น้ำเสียงเดือดพล่าน “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงอยากยุ่งอย่างไร อยากไปอยู่เป็นเพื่อนนางหรือ”
พระชายาฉีอยู่ใกล้ท่านจนสัมผัสได้ถึงความอาฆาต จึงรีบห้ามปรามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านอ๋อง ท่านอย่าโมโหไปเลย เราอยู่ในวัง เสด็จแม่จะเป็นผู้ตัดสินทุกเรื่องเองนะเพคะ”
อ๋องฉียังคงโกรธไม่หาย จ้องเฮ่อกุ้ยเฟยด้วยความโมโห ราวกับว่าถ้านางกล้าดีพูดอีกคำหนึ่ง เขาจะฉีกกุ้ยเฟยเป็นชิ้นๆ เสียให้ได้ เฮ่อกุ้ยเฟยเกิดรู้สึกกลัว ถอยหลังไปสองสามก้าว
กูกูผู้ดูแลวังไทเฮาพาบ่าวหญิงสองคนเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน เมื่อเห็นอ๋องฉีอยู่ข้างๆ พระชายาฉีก็โล่งอก คารวะเฮ่อกุ้ยเฟย อ๋องฉี และพูดขึ้นว่า “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง อ๋องฉี หวงเฟยเหนียงเหนียง ไทเฮามีคำสั่งให้เข้าพบเจ้าค่ะ”
สีหน้าเฮ่อกุ้ยเฟยเปลี่ยนไปทันใด บ่าวหญิงทั้งหลายตกใจพากันถอยกลับไปหากุ้ยเฟย
อ๋องฉีระงับความโกรธ ยื่นมือไปประคองพระชายาและปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เดินไหวไหม”
กูกูผู้ดูแลวังผงะไปครู่หนึ่ง แล้วจึงอดยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจ ผ่านมาหลายปี เมฆทุกก้อนมีเส้นสีเงินเสมอ ในที่สุดซู่อิงก็มีวันนี้ เมื่อเห็นท่าทางของอ๋องฉีเช่นนี้ ต่อไปต้องเป็นหัวแก้วหัวแหวนแน่ๆ
พระชายาฉีลองขยับ รู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวเข่าจนหน้าเบ้ ก่อนจะกัดฟัน และฝืนเดินไปข้างหน้า
กูกูผู้ดูแลวังเพิ่งสังเกตเห็นรอยเลือดซึมบนกระโปรง ตกใจจนรีบเข้าพยุงพระชายาไว้ และถามว่า “หวงเฟยเหนียงเหนียง เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ”
เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว เม็ดเหงื่อก็ซึมออกมาทางหน้าผาก พระชายายืนนิ่งพร้อมโบกมือไปมา “ไม่มีอะไร ประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
กูกูผู้ดูแลวังเห็นสีหน้าเจ็บปวดจนเหงื่อซึม จึงรีบสั่งบ่าวหญิงที่ตามมา “ไปสั่งคนให้ยกเกี้ยวมา”
บ่าวหญิงขานรับ และรีบเดินออกไปทันที
เฮ่อกุ้ยเฟยถอนหายใจแรง พูดขึ้นเบาๆ ว่า “เสแสร้งแกล้งทำ ก็ไม่รู้ว่าจะแกล้งทำเป็นอ่อนแอแบบนี้ให้ใครดู”
เมื่อพูดจบ อ๋องฉีหันขวับ นัยน์ตาลุกเป็นไฟ
เฮ่อกุ้ยเฟยตกใจถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว
พระชายาฉีรับรู้ถึงความโกรธของอ๋องฉี จับแขนเสื้อของเขาไว้แน่น รั้งไว้ไม่ให้เขาทำอะไรเกินเลย
ขันทีสี่คนยกเกี้ยวมา หลิงหลงและกูกูผู้ดูแลวังประคองพระชายาฉีขึ้นเกี้ยวอย่างระมัดระวัง ประกบทั้งสองฝั่งเดินตามไปที่วังไทเฮา อ๋องฉีเดินตามหลังเกี้ยว
เมื่อเห็นเกี้ยวห่างไปสักระยะ เฮ่อกุ้ยเฟยค่อยโล่งใจ กัดฟันขึ้นเกี้ยว นั่งคิดว่าจะพูดอย่างไรให้ไทเฮาลงโทษพระชายาอีก
ไม่แปลกที่เฮ่อกุ้ยเฟยจะคิดเช่นนี้ นางเข้าวังมาหลายปี ได้รับความเอ็นดูจากฮ่องเต้ตลอด ปกติก็ไม่สร้างเรื่องอะไรให้ แม้แต่ไทเฮาเองยังชื่นชอบนาง
ขันทีแบกเกี้ยวจนถึงหน้าวังไทเฮา กูกูผู้ดูแลวังและหลิงหลงขนาบด้านซ้ายและขวา คอยพยุงพระชายาฉีลงจากเกี้ยวอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ประคองพระชายาเข้าไปในวัง
ไทเฮานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา เห็นสภาพของพระชายาฉีก็ตกใจ ถามขึ้น “นี่เจ้าเป็นอะไร”
พระชายาฉีส่งสัญญาณให้กูกูผู้ดูแลวังและหลิงหลงปล่อยมือตัวเอง ฝืนตัวเองคารวะไทเฮา “หม่อมฉันขอคาราวะเสด็จแม่”
เพียงแค่ท่าทางคารวะง่ายๆ แบบนี้ก็เห็นสีหน้าเจ็บปวดจนคิ้วขมวดเป็นปม ไทเฮาพูดขึ้นทันที “รีบนำเก้าอี้มาให้พระชายานั่งเดี๋ยวนี้”
พระชายาฉีขอบพระทัย จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้
อ๋องฉีอยู่ด้านหลัง หน้าตาเคร่งขรึม คารวะไทเฮา
ลูกชายคนนี้เป็นคนอ่อนโยนมีมารยาท ยิ้มแย้มตลอด ยังไม่เคยเห็นสีหน้าท่าทางแบบนี้มาก่อนเลย ไทเฮาคิดสงสัย ครั้นกำลังจะเอ่ยปากถาม เฮ่อกุ้ยเฟยก็เดินเข้ามาพอดี คารวะไทเฮาตามธรรมเนียม
ไทเฮาเอ็นดูกุ้ยเฟยมาตลอด พูดด้วยน้ำสียงอ่อนโยนว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
ใครจะไปรู้ว่าเฮ่อกุ้ยเฟยไม่เพียงแต่ไม่ลุกขึ้น แต่กลับ พลุบ คุกเข่าลงบนพื้น น้ำตาไหลพราก ร้องไห้และพูดว่า “ไทเฮา ท่านต้องช่วยหม่อมฉันนะเพคะ”
ไทเฮาตกใจ ในวังหลังแห่งนี้ นอกจากสถานะของฮองเฮาแล้ว ก็มีเฮ่อกุ้ยเฟยอีกคนที่มีสถานะน่าเกรงขาม ได้รับความเอ็นดูจากฮ่องเต้มาหลายปี แม้แต่ฮองเฮายังชื่นชอบกุ้ยเฟย คนที่กล้าทำผิดต่อกุ้ยเฟยในวังหลังนั้นจึงหามีไม่ วันนี้เกิดอะไรขึ้น เมื่อคิดถึงตรงนี้ พลันเก็บรอยยิ้ม พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องอะไรหรือถึงต้องให้ข้าช่วย”
เฮ่อกุ้ยเฟยน้ำตาไหล พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “วันนี้พระชายาฉีเข้าวัง พอดีกับที่หม่อมฉันเดินเจอเข้า พระชายาไม่เพียงไม่คารวะหม่อมฉัน ยังปล่อยปละให้บ่าวหญิงมาชนหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงโกรธ และให้บ่าวใช้สั่งสอนพระชายาเพคะ ใครจะไปรู้อ๋องฉีเดินเข้ามาพบเข้าพอดี หน้าตาคล้ายจะเข่นฆ่าหม่อมฉันโดยไม่ถามมูลเหตุเลยเพคะ”
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เฮ่อกุ้ยเฟยถูกตามใจเกินไป แม้ภายนอกดูเป็นกันเอง อัธยาศัยกับทุกคน แต่แท้จริงแล้วในใจคิดดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ ดีใจจนลืมตัว ลืมไปแล้วว่าอ๋องฉีเป็นพระราชโอรสของไทเฮา อย่างไรกุ้ยเฟยก็ไม่สมควรมาพูดเรื่องโอรสของตน ไทเฮาได้ยินดังนั้นหน้าก็เริ่มเปลี่ยนสี เฮ่อกุ้ยเฟยมัวแต่แสร้งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ไม่เห็นสีหน้าของไทเฮาเลย ร้องไห้พูดต่อไปว่า “ตั้งแต่ที่หม่อมฉันมาอยู่ในวัง หม่อมฉันทำตามกฎระเบียบวังมาตลอด แม้แต่นางสนมที่ทำผิด หม่อมฉันยังไม่เคยลงโทษหนักเลย เหตุใดหม่อมฉันจะลงโทษหนักกับพระชายาเล่า อ๋องฉีก็แค่ต้องการลงความคับข้องใจที่หม่อมฉัน”
ความคับข้องใจเรื่องอะไร กุ้ยเฟยไม่ได้กล่าวละเอียด ไทเฮาเองก็รู้ดีว่าหมายถึงเรื่องของเฮ่อเหลียนอี
การเสียชีวิตด้วยอาการป่วยหนักของเฮ่อเหลียนอี ไทเฮาเองก็รู้สึกแปลกชอบกล คิดอยู่ว่าวันไหนจะเรียกอ๋องฉีเข้าวังมาถามไถ่เสียให้รู้เรื่องรู้ราว เมื่อฟังกุ้ยเฟยพูดจบ ไทเฮาไม่ได้พูดอะไร คิ้วขมวด ในใจรู้ดีว่าเฮ่อกุ้ยเฟยคงได้ยินอะไรมาบ้างแล้ว รู้ว่าเฮ่อเหลียนอีจากไปอย่างไร ถึงพูดจาเช่นนี้ออกมา
เฮ่อกุ้ยเฟยเองก็ฉลาด แต่กลับถูกความฉลาดทำร้าย นึกว่าไทเฮารู้สาเหตุการเสียชีวิตของเฮ่อเหลียนอีแล้ว จึงกล้าพูดจาเช่นนี้
ไทเฮาได้ยินดังนั้น ตอบเบาๆ ว่า “อือ” น้ำเสียงปะปนด้วยความโกรธ “ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคับข้องใจเรื่องอะไร ถึงมาลงกับเจ้า”
“ก็เรื่อง…” ได้ยินคำถามของไทเฮา เฮ่อกุ้ยเฟยพูดโพล่งไปทันที ครั้นรู้สึกไม่เหมาะสม ก็กลืนคำพูดทั้งหมดลงไป
เสียงไทเฮาเคร่งขรึมกว่าเดิม “ก็เรื่องอะไร เหตุใดเฮ่อกุ้ยเฟยไม่พูดให้จบ”
เฮ่อกุ้ยเฟยหยุดร้องไห้แล้ว เหงื่อกลับไหลลงมาแทน
ไทเฮาเสียงสูงถามเค้นคำตอบอีกครั้ง “เรื่องอะไร”
เฮ่อกุ้ยเฟยจะตอบก็ไม่เหมาะสม ไม่ตอบก็ไม่เหมาะสม ในขณะที่ลนลานอยู่นั้น เสียงบ่าวข้างนอกก็ดังขึ้น “ฝ่าบาทเสด็จ!”
ที่แท้หลังจากที่อ๋องฉีออกมาจากห้องหนังสือ ก็มุ่งหน้าไปวังไทเฮาทันที ระหว่างทางเห็นพระชายาฉีเข้า ทำให้เขาใช้เท้ากระทืบบ่าว ทั้งหมดนี้หนีไม่พ้นสายตาของบ่าวในวัง จึงถูกรายงานฮ่องเต้ทันที
เมื่อฮ่องเต้ได้ยิน รู้สึกชอบกล จึงวางหนังสือจดหมายเหตุลง และเสด็จมาวังไทเฮาทันที
สิ้นเสียงร้อง ฮ่องเต้ก็เดินเข้ามา ทุกคนทำการคารวะ
เฮ่อกุ้ยเฟยคุกเข่าบนพื้น เห็นฮ่องเต้เข้ามา ดั่งเห็นวีรบุรุษ โอดครวญอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฮ่องเต้เพคะ”
ฮ่องเต้มองกุ้ยเฟยเพียงครู่ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนท่าทางจะกลับมาปกติ และคารวะไทเฮา “ลูกขอคารวะเสด็จแม่”
ไทเฮาให้สัญญาณนั่งลงบนพระราชอาสน์และพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้มาได้ถูกเวลา เฮ่อกุ้ยเฟยรายงานว่าพระชายาไม่เคารพกฎระเบียบ ไม่คารวะกุ้ยเฟย ส่วนท่านอ๋องก็เอาความคับข้องใจมาลงที่กุ้ยเฟย เข้ามาถึงก็คุกเข่าร้องไห้โอดครวญ”
ประโยคเดียวของไทเฮาพูดจบทั้งสามเรื่อง บอกฮ่องเต้ว่า ไม่ใช่ข้าลงโทษให้คุกเข่า กุ้ยเฟยคุกเข่าลงเอง และเหตุผลที่คุกเข่าก็คือสองเรื่องนั้น
เสียงอันน่าเกรงขามของฮ่องเต้ดังขึ้น “เฮ่อกุ้ยเฟย เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
“กราบทูลฮ่องเต้ หม่อมฉันพูดจริงทุกอย่าง ไม่โกหกแม้แต่น้อย ทั้งหมดนี้บ่าวใช้หม่อมฉันเป็นพยานได้เพคะ” เฮ่อกุ้ยเฟยคิดว่าฮ่องเต้เชื่อสิ่งที่ไทเฮาพูด จึงตอบกลับอย่างได้อกได้ใจ
ฮ่องเต้หันไปถามอ๋องฉี “ที่เฮ่อกุ้ยเฟยพูดจริงหรือ”
อ๋องฉีคารวะ “ทูลเสด็จพี่ ไม่จริงพะยะค่ะ เมื่อตอนที่กระหม่อมเห็น เฮ่อกุ้ยเฟยสั่งคนให้กดตัวของพระชายากระหม่อมไว้บนพื้น”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” ไทเฮาถามอย่างไม่น่าเชื่อ
“นั่นเพราะว่าพระชายาไม่มีมารยาท ไม่รู้จักกฎระเบียบ หม่อมฉันจึงให้คนมาสอนเพคะ” เฮ่อกุ้ยเฟยแก้ตัว
“ช่างน่าขัน!” อ๋องฉีส่งเสียงเย็นชา “พระชายาข้าเกิดในบ้านนายพลชั้นสูง จะไม่รู้ระเบียบอะไรบ้างหรือ ยังต้องให้เจ้ามาสั่งสอนหรือ”
เฮ่อกุ้ยเฟยชะงักไป
ฮ่องเต้เหล่มองชั่วครู่ เสียงเคร่งขรึมมากขึ้น “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ใครช่วยอธิบายให้เราได้บ้าง”
พระชายาฉีกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่อาการเจ็บหัวเข่าแล่นจนร่างสะท้านไปครู่หนึ่ง กูกูผู้ดูแลวังรีบพูดขึ้นว่า “ไทเฮา ฮ่องเต้ หม่อมฉันเห็นกระโปรงของพระชายามีเลือดซึม เลือดคงไหลออกมาแล้วแน่ๆ เจ้าค่ะ”
ไทเฮาได้ยินดังนั้นก็มองไปที่กระโปรงของพระชายา เห็นรอยเลือดตามนั้นจริงๆ จึงรีบสั่งบ่าวใช้ “รีบไปเรียกแพทย์หลวงเข้าวัง” จากนั้นก็พูดกับกูกูผู้ดูแลวังว่า “รีบพยุงพระชายาไปนั่งบนเก้าอี้”
แพทย์หญิงในวังมาอย่างรวดเร็ว ไทเฮาให้กูกูผู้ดูแลวังพยุงพระชายาฉีไปหลังผ้าม่าน
แพทย์หญิงค่อยๆ ถลกกระโปรงพระชายาขึ้นอย่างระมัดระวัง เข่าที่ฟกช้ำและเต็มไปด้วยเลือดปรากฎต่อหน้ากูกูผู้ดูแลวังและแพทย์หญิง
กูกูผู้ดูแลวังร้องตกใจอย่างอดใจไม่ได้ ไทเฮานั่งไม่อยู่กับที่ ลุกตัวขึ้นเดินไปหลังม่าน เห็นเข่าของพระชายาฉีก็ตกใจ ถามแพทย์หญิง “นี่ต้องทำอย่างไร”
แพทย์หญิงใช้มือสัมผัสรอบๆ หัวเข่าของพระชายาฉี หลังจากถามอาการไปอย่างละเอียดชั่วครู่ ตอบกลับว่า “แค่แผลถลอกเพคะ ไม่เป็นปัญหาใหญ่ คอยประคบยารักษา ช่วงนี้เดินให้น้อย สองสามวันก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
ไทเฮาพยักหน้า เดินออกมาจากม่านด้วยสีหน้าหนักหน่วง
อ๋องฉีได้ยินเสียงตกใจของกูกูผู้ดูแลวัง ถ้าไม่ใช่ว่าฮ่องเต้อยู่ด้วย อ๋องฉีคงบุกเข้าไปหลังม่านแล้ว
ไทเฮาเดินออกมา พร้อมถามว่า “เฮ่อกุ้ยเฟย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดพระชายาจึงบาดเจ็บหนักขนาดนี้”
เฮ่อกุ้ยเฟยทำตาปริบอย่างรู้สึกผิด อธิบายขึ้นว่า “หม่อมฉันสั่งให้บ่าวสอนกฎระเบียบในวัง บ่าวคงลงมือหนักไปหน่อยเพคะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น