ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 140-145
ตอนที่ 140 แต่งตัวเช่นนี้ไม่เหมาะสม
หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับว่า อื้ม เสียงเบา และพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ให้เจ้าเดินเข้าไปก่อน ข้าค่อยไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบลงจากรถม้าทันที พร้อมก้าวยาวเข้าไปในจวร ดูจนกระทั่งนางลับสายตา หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งให้คนรถพากลับจวน
เมื่อถึงประตูจวนเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กลับเรือนของตนทันที แต่ไปที่เรือนของเมิ่งฉีแทน เมื่อเห็นว่าภายในห้องยังมีไฟสว่างอยู่ จึงยืนถามอยู่ในบริเวณเรือนว่า “พี่รอง ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านเข้านอนแล้วหรือยัง”
เสียงของเมิ่งฉีดังออกมาจากห้อง “เข้ามาสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง เมิ่งฉีกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะในห้อง บนโต๊ะมีสมุดบัญชีวางอยู่
“พี่ทำเช่นนี้จะเหนื่อยเกินไปนะเจ้าคะ เราจ้างคนทำบัญชีเถิด” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่ง
เมิ่งฉีรวบสมุดบัญชีและวางกองไว้อีกด้าน “ไม่ต้องหรอก ข้าตรวจสอบสมุดบัญชีทกวัน เช่นนี้เมื่อถึงสิ้นเดือนแล้วก็จะง่ายต่อการคิดบัญชี”
เมื่อพูดจบจึงถามต่อว่า “เรื่องงานแต่งของอี้เซวียนยกเลิกไปแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ยกเลิกแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าวันนี้จวนอ๋องเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย”
เมิ่งฉีมองนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เขาฟัง แน่นอนว่านางได้ปิดบังเรื่องที่ได้ฆ่าคนตายไปเมื่อครานั้น
เมื่อเมิงฉีได้ยินจึงตกใจเป็นอย่างมาก พูดว่า “เรื่องน่าตกใจอะไรเช่นนี้ พระสนมทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้เชียวหรือ อ๋องฉีมิได้ฆ่าแกงนางใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ อ๋องฉีขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือไม่ยอมออกมา หวงฝู่อวี้เองก็นั่งคุกเข่าขอร้องแทนพระสนมอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอ๋องฉีจะตัดสินใจเช่นไร”
“ไม่ว่าจะทำการตัดสินใจเช่นไรก็ไม่ใช่กงการอะไรของเรา นับแต่นี้ไปเจ้าไม่ต้องไปที่จวนอ๋องอีก เพื่อความปลอดภัย” เมิ่งฉีสั่งนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดว่า “คงเป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ วันพรุ่งพระชายาและแม่ทัพฉู่จะไปทำการสู่ขอที่จวนตระกูลเฝิง ข้าเองก็ต้องติดตามไปด้วย”
เมิ่งฉีย่นคิ้ว คิดเล็กน้อยจึงพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว วันพรุ่งเจ้าตรงไปที่จวนท่านแม่ทัพเลย ให้ชิงหลวนไปส่งข่าวให้อี้เซวียน พวกเจ้าไปพบกันที่นั่นก็พอ”
รู้ว่าเมิ่งฉีพูดไปเพราะเป็นห่วงเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ขัดข้องอะไร พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พูดว่า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่”
“ค่ำแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าตรวจสอบบัญชีวันนี้เสร็จเรียบร้อยก็จะไปพักผ่อนเช่นกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า และกลับไปยังจวนของตน
ชิงหลวนและจูหลีทำตามคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อกลับถึงเรือนก็ตรงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตนเองทันที จากนั้นก็ไปจุดไฟในห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว และยืนรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับมา จึงรีบเปิดม่านประตูให้นางอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องรับใช้ข้าแล้ว วันพรุ่งยังมีเรื่องต้องทำอีก”
ทั้งสองตอบรับ รอจนเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง จึงค่อยกลับไปพักผ่อนที่ห้องนอนของตนเอง
ได้นอนพักในจวนอ๋องไปแล้วครู่หนึ่ง ยามนี้แม้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีความรู้สึกง่วง แต่นางก็ยังคงนอนลงบนเตียง และหลับตาลง นึกทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ คิดไปคิดมา แล้วจึงผล็อยหลับไป
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ถึงเวลาฝึกซ้อมยามเช้าเสียแล้ว นางสวมใส่เสื้อผ้าและลุกจากเตียง เมื่อออกไปก็พบว่าชิงหลวนและจูหลีได้มาคอยท่าอยู่แล้ว
ทั้งสามเดินออกจากบริเวณจวนของเมิ่งเชี่ยนโยว เดินมายังบริเวณว่างของจวนดังเคย กัวเฟยและเหล่าองครักษ์ได้เดินทางมาถึงแล้ว เมื่อยืดเส้นยืดสายเสร็จ เหล่าองครักษ์บ้างก็เริ่มฝึกต่อสู้กัน บ้างก็ฝึกวิชาคนเดียว ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม ทั้งหมดจึงหยุดลงพร้อมกับเหงื่อท่วมตัว ต่างแยกย้ายกันไปชำระล้างเนื้อตัวที่ที่พักของตน
ชิงหลวนและจูหลีนำน้ำมาให้เมิ่งเชี่ยนโยว แล้วจึงค่อยกลับไปชำระร่างกายที่ห้องของตน เมื่อทุกคนทำธุระเสร็จ เป็นเวลาเดียวกับที่แม่ครัวได้เตรียมสำรับเช้าไว้เรียบร้อยแล้ว
เมิ่งฉีก็ตื่นแล้ว
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยวและทุกคนเสร็จเรียบร้อยเมิ่งฉีและองครักษ์สองสามคนก็ได้นั่งรถม้าเดินทางไปยังโรงฝีมือ องครักษ์ประจำร้านแป้งมันฝรั่งก็เตรียมตัวไปที่ร้านด้วยเช่นกัน
เมิ่งฉีสั่งกัวเฟยว่า “อีกหนึ่งชั่วโมงพวกเราจะไปจวนท่านแม่ทัพ เจ้าเตรียมรถม้าเอาไว้ให้ดี”
กัวเฟยรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินกลับเข้าเรือนของตนเอง ไปตำยาสมุนไพรกับชิงหลวนและจูหลีอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว ชิงหลวนและจูหลีจึงได้ลุกขึ้นล้างไม้ล้างมือ และช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวแต่งตัว
วันปกติแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ต้องให้พวกนางมาช่วย แต่วันนี้ไม่เหมือนเช่นเคย เพราะงานวันนี้ค่อนข้างสำคัญ นางจึงยอมตามใจทั้งสอง แต่ก็ยังสั่งว่า “อย่าแต่งเสียจนเกินหน้าไปล่ะ แต่งให้ดูสำรวมเสียหน่อยก็พอ”
ทั้งสองรู้ดีเรื่องรสนิยมในการแต่งตัวของนาง เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบกระจกมาให้นางส่อง
เมื่อส่องกระจกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวค่อนข้างพอใจ จึงพาทั้งสองออกจากจวนไป
กัวเฟยเตรียมรถม้าเอาไว้ด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะขึ้นรถม้า ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาจากไกลๆ เมื่อเห็นว่ามีสัญลักษณ์ของจวนอ๋องฉี เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยืนตรงขึ้น
รถม้ามาหยุดตรงหน้าของนาง ม่านของรถถูกเปิดขึ้น ใบหน้างดงามของหวงฝู่อี้เซวียนปรากฏอยู่ตรงหน้าของนาง “เมื่อข้ารู้ว่าเจ้าจะตรงไปยังจวนท่านแม่ทัพ ข้าจึงตั้งใจมารับเจ้าไปด้วยกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้าของเขาไป คนรถกลับรถ และเดินรถไปยังจวนท่านแม่ทัพ กัวเฟยก็ได้เดินรถม้าตามหลังมาด้วย
ในรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “ข้าและเสด็จแม่ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว รออยู่กว่าชั่วโมง ไม่เห็นวี่แววของเจ้า จึงคาดว่าเจ้าคงจะเดินทางไปที่บ้านของท่านอาโดยตรง ข้าจึงมารับเจ้า ส่วนเสด็จแม่ได้เดินทางไปก่อนแล้ว”
“พระชายาต้องดีใจเป็นแน่ใช่ไหมเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เมื่อคืนหลังจากที่ข้ากลับไป ก็บอกท่านเรื่องนี้ เสด็จแม่ดีใจเสียจนนอนไม่หลับทั้งคืน พูดตลอดว่าในที่สุดจวนท่านแม่ทัพก็จะมีนายหญิงเสียที ท่านเองก็ถือว่าได้ตอบแทนบรรพบุรุษแล้ว”
“จริงด้วย หลายปีมานี้ ท่านแม่ทัพได้แต่ตามหาเจ้า จนไม่มีเวลาได้หาภรรยา นี่ก็เป็นเรื่องหนักใจอีกเรื่องของพระชายา บัดนี้เรื่องการแต่งงานของแม่ทัพลงตัวแล้ว พระชายาก็คงจะวางใจเรื่องนี้ได้เสียที” พูดจบก็พูดต่อว่า “อีกอย่างน้องซูเอ๋อร์เองก็เป็นที่พอใจของท่าน ท่านก็คงจะมีความสุขขึ้นเป็นแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนหยอกล้อนางว่า “ยังเรียกน้องซูเอ๋อร์อยู่อีกหรือ อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเปลี่ยนไปเรียกว่าน้าสะไภ้แทนแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ข้าลืมเรื่องบรรดาศักดิ์ไปเสียเลย จริงด้วย จากนี้ต้องเรียกว่าท่านน้าแล้ว อย่างนี้ก็ดี รอถึงตรุษจีนพวกเราก็สามารถขออั่งเปาจากนางได้แล้ว”
หลายปีมานี้นิสัยชอบอั่งเปาช่วงตรุษจีนของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยเปลี่ยนไป ขอเพียงแค่เป็นอั่งเปา แม้ว่าด้านในจะมีเงินเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้นางมีความสุขได้ หวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงหลงไหลในอั่งเปาเช่นนี้ จึงยิ้มและพูดว่า “ไม่เพียงแค่นาง กับเสด็จแม่ของข้าเองก็ไม่อาจปล่อยผ่านได้ จะต้องให้ทั้งสองเตรียมอั่งเปาสองซองใหญ่เอาไว้เสียแล้ว” พูดจบ ก็เสริมอีกประโยคว่า “ส่วนอั่งเปาของข้าจะให้เจ้าทั้งหมดเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข หวงฝู่อี้เซวียนกระพริบตาถี่ ในใจรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา อยากจะกดนางลงบนรถแล้วจูบแรงๆ เสียให้เข็ด แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกครูjมีเรื่องสำคัญต้องทำ หากริฝีปากของนางบวมขึ้นมา จะเป็นที่นินทาของผู้อื่นได้ จึงพยายามหักห้ามใจของตัวเองเอาไว้ และหันไปถลึงตาให้เมิ่งเชี่ยนโยวแทน
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวถูกถลึงตาใส่อย่างไร้ที่มาที่ไป จึงได้ผงะเล็กน้อย จากนั้นก็เดาความคิดของเขาได้ จึงเอามือป้องปากแอบยิ้มคนเดียว
สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนดุขึ้นมา เป็นการข่มขู่นางโดยไร้เสียง ราวกับจะบอกว่าหากนางยังกล้าหัวเราะต่อไป เขารับรองว่าจะทำให้นางยิ้มไม่ออกเป็นแน่
เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้มอย่างรู้ตัว นั่งลงอย่างเรียบร้อย
แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะผิดหวัง แต่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
รถม้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าจวนท่านแม่ทัพ หวงฝู่อี้เซวียนลงรถม้าไปก่อน และก็ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถ
เมื่อยามเฝ้าประตูเห็นพวกเขาก็เข้ามาทำความเคารพ “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ท่านแม่ทัพได้สั่งเอาไว้ว่าหากพวกท่านมาถึงแล้ว ให้เดินทางไปที่เรือนหลักได้เลย ท่านและพระชายากำลังรอพวกท่านอยู่ที่นั่น”
ทั้งสองจูงมือกัน เดินทางมาถึงจวนหลัก ในนั้นเต็มไปด้วยสิดสอดทองหมั้น กล่องทุกกล่องถูกเปิดฝาออกหมด เหล่าเครื่องเพชรเงินทองสะท้อนแสงแวววาวใต้แสงอาทิตย์ พ่อบ้านกำลังตรวจสอบของทีละกล่องอยู่ เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้ทำความเคารพ “ซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งเดินทางมาถึงแล้วหรือ เชิญให้เข้าไปนั่งในห้องก่อนขอรับ ท่านแม่ทัพและพระชายาฉีกำลังรอพวกท่านอยู่ด้านใน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองสิดสอดทองหมั้นที่วางอยู่เต็มจวน จึงถามหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ของเยอะเช่นนี้ ท่านแม่ทัพคงมิได้ขนเอาทรัพย์สมบัติเก่าของตระกูลออกมาจนสิ้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“หลายปีมานี้ ท่านอาทำคุณงามความดีไว้มาก ฮ่องเต้จึงมอบรางวัลและเครื่องเงินเครื่องทองให้เขาไม่น้อย อีกอย่างเงินเดือนของท่านน้าก็สูง ค่าใช้จ่ายในจวนไม่มากมาย ของนี่เป็นเพียงสมบัติส่วนหนึ่งเท่านั้น”
“พระเจ้าช่วย” เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ “สมบัติของท่านแม่ทัพมีมากถึงเพียงนี้ ภายหน้าน้องซูเอ๋อร์คงสบายแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนเอียงตัว ก้มลงไปใกล้หูนางและพูดว่า “เจ้ามิต้องอิจฉานางหรอก สมบัติของจวนอ๋องมีเยอะกว่านี้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นของเจ้าทั้งสิ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองค้อนเขาไปหนึ่งที
เมื่อพระชายาได้ยินเสียงของทั้งสองพูดคุยกัน จึงพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “รีบเข้ามาเถิด กำลังรอพวกเจ้าอยู่พอดี”
ทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง พระชายาแต่งตัวสง่างามนั่งอยู่ที่ตำแหน่งหลักของห้อง ฉู่เหวินเจี๋ยสวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมนั่งอยู่ด้านข้าง
เมื่อเห็นฉู่เหวินเจี๋ยแต่งตัวเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหัวเราะพร้อมพูดว่า “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ วันนี้ท่านคงมิแต่งตัวเช่นนี้ไปสู่ขอที่จวนเฝิงใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ก้มลงมองการแต่งตัวของตนเอง ฉู่เหวินเจี๋ยคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร จึงเงยหน้าถาม “ข้าแต่งตัวเช่นนี้ไม่เหมาะสมหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงหนักแน่นว่า “ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
“อย่างไรหรือ”
“ท่านเป็นถึงท่านแม่ทัพ แต่กลับสวมใส่ชุดของชาวบ้านธรรมดาไปสู่ขอ ท่านจะให้คนที่เมืองหลวงคิดกันอย่างไรเจ้าคะ คงจะต้องคาดเดากันไปว่าท่านมิให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้ และคงจะต้องมีคนช่างสงสัยไปเที่ยวถามไถ่ ถึงตอนนั้นหากเรื่องของท่านและน้องซูเอ๋อร์แพร่ออกไป จะมีคนพูดได้ว่าท่านสู่ขอซูเอ๋อร์เพราะเสียมิได้ หากซูเอ๋อร์ยอมแต่งงานกับท่านเช่นนี้ ภายภาคหน้าจะถูกเหล่าภรรยาของชนชั้นสูงดูถูกเอานะเจ้าคะ”
เมื่อนางพูดจบ พระชายาก็ทุบหัวตนเองอย่างเสียกิริยา กล่าวว่า “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าเกรงว่าทางจวนเฝิงจะคิดว่าพวกเราใช้อำนาจไปข่มขู่ จึงได้ให้ฉู่เหวินเจี๋ยสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่กลับมิได้คิดถึงขั้นนี้เลย”
“ใช้อำนาจข่มขู่แล้วอย่างไรล่ะเจ้าคะ วันนี้พวกเราก็ใช้อำนาจเข้าสู้จริงๆ ให้ผู้คนทั้งเมืองหลวงได้รู้ว่า ท่านแม่ทัพให้ความรักซูเอ๋อร์ จะสู่ขอนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น ภายหน้าหากต้องไปร่วมงานใหญ่โต เหล่าภรรยาที่สำคัญตนพวกนั้น ก็จะไม่สามารถดูแคลนนางเพราะนางอายุน้อยกว่าได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างยิ้มๆ
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย “โยวเอ๋อร์พูดถูก ไม่เพียงแต่เท่านี้ ขบวนขันหมากจะทำแบบเล็กๆ ไม่ได้ อย่าให้คนนอกมองมาแล้วคิดว่าท่านน้าทำอย่างลับๆ ล่อๆ ขบวนขันหมากจะต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่”
พระชายาเห็นงามกับความเห็นของทั้งสอง จึงพูดว่า “เหวินเจี๋ย ทำตามที่พวกเขาบอกเถิด เจ้าไปเปลี่ยนเป็นชุดท่านแม่ทัพ และสั่งให้คนไปแจ้งเหล่านายพลของกองทัพให้มารวมตัวกัน การสู่ขอครั้งนี้ พวกเราจะต้องสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งเมือง จะต้องให้จวนแม่ทัพและจวนตระกูลเฝิงได้หน้าอย่างเต็มที่”
ฉู่เหวินเจี๋ยอยู่ในค่ายทหารมาหลายปี พบปะอยู่แต่กับพวกชายฉกรรจ์ ไม่เข้าใจว่าเรื่องพวกนี้มีเรื่องซับซ้อนเช่นนี้อยู่ เมื่อได้ยินพระชายาสั่ง จึงรีบยืนขึ้น ตะโกนเรียกลุงฝู “ลุงฝู เจ้าสั่งให้ม้าเร็วเดินทางไปที่ค่ายทหาร ไปแจ้งรองแม่ทัพชุยว่าข้าจะจัดขบวนขันหมากไปสู่ขอ ให้เขาจัดเตรียมพลทหาร 20 นายมาที่นี่ภายในครึ่งชั่วโมง”
ลุงฝูตอบรับอย่างดีใจ หันหลังเดินออกไป สั่งบ่าวไพร่คนหนึ่งให้ขี่ม้าไปแจ้งเรื่องที่ค่ายทหาร
ฉู่เหวินเจี๋ยกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตนเอง พระชายา หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวสามคนนั่งรออยู่ที่ห้องรับรองแขก
ผู้รับหน้าที่ส่งข่าวเองก็เคยไปพลทหารมาก่อน หลังจากได้รับบาดเจ็บแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยจึงให้เขามาเป็นข้ารับใช้ในจวน ไม่นานก็ขี่ม้ามาถึงหน้าค่ายทหาร ลงจากม้า ผูกม้าเอาไว้ แสดงตัวตนกับพลทหารที่ดูแลอยู่หน้าประตู และบอกว่าท่านแม่ทัพต้องการส่งข่าวถึงท่านรองแม่ทัพชุย
พลทหารเฝ้าประตูไปไม่รอช้า รีบไปตามท่านรองแม่ทัพชุยออกมาทันที
เมื่อบ่าวไพร่จำเขาได้ จึงทำความเคารพเขา “ท่านรองแม่ทัพชุย ท่านแม่ทัพให้ข้ามาแจ้งท่านว่าวันนี้ท่านแม่ทัพจะยกขบวนขันหมากไปสู่ขอ ขอให้ท่านนำพลทหาร 20 นายไปร่วมขบวนด้วย
รองแม่ทัพชุยเบิกตากว้าง อึ้งไปครู่ใหญ่ จึงได้ถามอย่างไม่เชื่อว่า “ท่านแม่ทัพจะแต่งงานแล้วหรือ”
“วันนี้เพียงแต่ไปสู่ขอเท่านั้นขอรับ เกรงว่าขบวนขันหมากจะเล็กไป ฝ่ายหญิงจะไม่ยอมรับ” คนใช้ตอบกลับ แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายนั้นเขาไปคาดเดาไปเอง
“ท่านแม่ทัพมีหญิงที่โปรดปรานตั้งแต่เมื่อใดกัน”
คนใช้ส่ายหน้า “ข้อนั้นข้อน้อยก็มิทราบขอรับ ท่านแม่ทัพสั่งว่า ให้ท่านนำพลทหารไปภายในครึ่งชั่วโมงขอรับ”
รองแม่ทัพชุยหยุดถาม แล้วพูดเสียงดังว่า “ได้ เจ้ากลับไปบอกท่านแม่ทัพว่า ภายในครึ่งชั่วโมงนี้ข้าจะไปถึง”
ตอนที่ 141 สู่ขอคู่ครองอย่างกล้าหาญ
บ่าวใช้ตอบรับ ขี่ม้ากลับ
รองแม่ทัพชุยกลับค่ายทหารมา และตะโกนพูดกับทหารที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ว่า “รีบรวมพล เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
ทหารทั้งหมดนั้นได้ล้อมเข้ามา แล้วต่างถามว่า “เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น จะต้องออกศึกอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”
รองแม่ทัพชุยได้ยื่นมือไปเคาะหัวนายทหารคนหนึ่งแล้วพูดว่า “บ้านแกสิ รู้แค่เรื่องสู้รบอย่างนั้นหรือ ทหารไม่มีเรื่องอื่นนอกจากสู้รบแล้วหรือไง”
ถ้าร้อนใจไปมากกว่านี้ก็อยากจะเตะเขาไม่ไหว “พี่ชุย ท่านอย่าเล่นลิ้นได้หรือไม่ พูดมาเร็วเข้า เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกันแน่”
รองแม่ทัพชุยตะโกนเสียงดังขึ้นไปอีกว่า “วันนี้ท่านแม่ทัพจะไปสู่ขอคู่ครอง เกรงก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบรับ ให้พวกเราคอยไปเป็นกำลังเสริม”
“ไชโย” เหล่าแม่ทัพก็ก็คึกครื้นขึ้นมา
“เรื่องจริงหรือเนี่ย แม่ทัพไปมีหญิงสาวในดวงใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” มีคนถามด้วยความสงสัย
“ท่านแม่ทัพจะสู่ขอคู่ครองอย่างนั้นหรือ” มีคนถามด้วยความตื่นเต้น
มีคนโมโหจนเหยียบเท้าเขาไปทีหนึ่ง “บ้าเอ้ย เรื่องใหญ่ขนาดนี้เหตุใดจึงไม่บอกให้เร็วล่ะ ยังจะมาแกล้งพวกเราอีก”
เหล่าทหารต่างก็คึกครื้นขึ้นมาทันทีทันใด
รองแม่ทัพชุยตะโกนเสียงดังว่า “ท่านแม่ทัพบอกว่าให้ข้านำกำลังเสริมไปยี่สิบนาย ที่เหลือกก็ให้อยู่ที่นี่ช่วยเหลือการทหาร พวกเจ้าว่า…ใครกันที่จะอยู่ที่นี่”
ท่านแม่ทัพไปสู่ขอคู่ครอง นี่เป็นเรื่องใหญ่ ทุกคนก็อยากที่จะแย่งกันไปเป็นธรรมดา จากนั้นก็วุ่นวายขึ้นมาทันที
รองแม่ทัพชุยตะโกนเสียงดังว่า “อย่าเสียงดัง ฟังข้าพูด”
เหล่าทหารนั้นเงียบลง แล้วมองไปที่เขา
“ใช้วิธีเดิม จับฉลาก ใครจับได้คนนั้นก็ได้ไป ใครจับไม่ได้ก็อยู่ที่นี่”
เหล่าทหารไม่ได้มีความเห็นอื่นอันใด เหล่าทหารประหนึ่งรังผึ้งหนึ่งรังมุ่งเข้าไปที่เต็นท์ทหาร เขียนฉลากออกมาหลายสิบใบอย่างรวดเร็ว แล้วโยนไปที่บนโต๊ะในเต็นท์ทหาร
เหล่าทหารได้แย่งกันมาไว้ในมือ ต่างรีบรนเปิดฉลากออก คนได้ที่เขียนว่าไปก็ดีใจจนกระโดด แต่คนที่ได้เขียนว่าไม่ก็แตะขาโต๊ะไปหนึ่งที รองแม่ทัพชุยไม่ได้เข้าร่วม เฝ้ามองพวกเขาจับจนหมด แล้วตะโกนบอกเหล่าทหาร ให้ไปเก็บกวาดให้เรียบร้อยโดยเร็ว ท่านแม่ทัพให้เวลาเราหนึ่งชั่วโมงในการเดินทางไปถึงค่ายทหาร
คนที่จับว่าได้ไปก็เดินไป ส่วนคนที่จับได้ว่าไม่นั้นก็ได้แต่มองเขา
“มองข้าด้วยเหตุใด รีบกลับไปฝึกเสีย ถ้าหากข้าพบว่าพวกเจ้าแอบอู้ล่ะก็ กลับมาข้าจะลงโทษตามกฎทหาร” รองแม่ทัพชุยตะโกนบอกพวกเขา
เหล่าทหารหลายคนต่างก็อาลัยอาวรณ์ที่จะออกจากลานทหารไปฝึก เป็นเพราะว่าในใจยังโกรธอยู่ เวลาที่ทำการฝึกก็จะโหดกว่าปกติเป็นธรรมดา เหล่าทหารต่างก็ร้องโอดโอยกัน และแน่นอนนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
ว่าแล้วหลังจากที่เหล่าทหารนั้นเก็บข้าวของเสร็จนั้น รองแม่ทัพชุยก็ขึ้นขี่บนหลังม้าก่อน แล้วนำหน้าเหล่าทหารมาที่ค่ายอย่างรวดเร็ว
นายประตูนั้นรู้อยู่แล้ว เลยเปิดให้พวกเขาเข้าไป
เหล่าทหารนั้นตื่นเต้นจนมาถึงที่หน้าลานหลัก มองเห็นว่าข้างในเต็มไปด้วยสินสอดที่เอาไว้ใช้สู่ขอ จึงไม่ได้เข้าไป ยืนอยู่ด้านนอกของลาน มีเพียงแต่รองแม่ทัพชุยคนเดียวที่เดินเข้าไป
ลุงฝูได้ทำการนำสินสอดของขวัญทั้งหมดมาตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว แล้วเอาผ้าคลุมเอาไว้ เมื่อเห็นท่านรองแม่ทัพชุยเดินเข้า ก็ยิ้มทักทายว่า “ท่านแม่ทัพอยู่ด้านใน ท่านเข้าไปสิ”
ท่านรองแม่ทัพชุยพยักหน้าตอบรับกลับไป แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องรับแขก แล้วรายงานอย่างเสียงดังฟังชัดก้องกังวาลว่า “ท่านแม่ทัพขอรับ พวกเรามาพร้อมแล้ว”
ฉู่เหวินเจี๋ยมองไปที่เขา แล้วออกคำสั่ง “วันนี้ เป็นวันสำคัญของข้า พวกเจ้าจงตั้งใจให้มาก”
รองแม่ทัพชุยตอบรับด้วยความตื่นเต้นว่า “วางใจเถิด ท่านแม่ทัพ ข้าทั้งหลายจะไม่ทำให้ท่านขายหน้าเป็นแน่แท้”
พระชายาฉีลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ยามนี้กำลังดี”
ฉู่เหวินเจี๋ย เมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นก็ลุกขึ้น และก็ออกมาจากห้องรับแขก
คนรับใช้ในจวนมีไม่เยอะ อีกทั้งยังมีคนพิการอีก ก็คงมีแต่แม่ทัพในกองทัพที่จะต้องยกสินสอดไปกันเอง ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือให้แม่ทัพยี่สิบนายเข้ามาที่ลาน ยกสินสอดขึ้นเดินไปที่ด้านหลังของเขาแล้วออกจากจวน
ฉู่เหวินเจี๋ยใส่ชุดเกราะแม่ทัพขึ้นหลังม้าเดินไปข้างหน้า เหล่าแม่ทัพทั้งหลายถือสินสอดตามกันมาอยู่ด้านหลัง พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนรถม้าคันเดียวกัน ตามหลังเหล่าแม่ทัพทั้งหลาย รถม้าของหวงฝู่อี้เซวียนตามอยู่ท้ายสุด
คนทั้งกลุ่มนี้เดินทางมุ่งหน้าไปที่จวนเฝิง
การศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เลยเป็นที่สนใจอย่างมากกับผู้คนที่เดินผ่านไปมา อีกทั้งคนที่รู้ว่าบนรถม้านั้นคือแม่ทัพใหญ่ ในใจก็ได้แต่คิดสงสัย เลยตามหลังรถม้าไปดูว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้น พอถึงหน้าประตูจวนเฝิง ด้านหลังก็เต็มไปด้วยผู้คนที่แห่แหนหันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นจนถนนเส้นนั้นถูกปิด
นายประตูจวนเฝิงนั้นไม่รู้จักฉู่เหวินเจี๋ย เมื่อเห็นว่ามีแม่ทัพมากมายถือของขวัญสินสอดมา ก็งงเป็นไก่ตาแตกเลย อ้าปากค้างไป แล้วมองไปที่ฉู่เหวินเจี๋ยที่กำลังลงจากม้าแล้วเดินมาที่ตรงหน้าตนอย่างฉงน
ฉู่เหวินเจี๋ยพูดอย่างดุดันว่า “ข้าคือฉู่เหวินเจี๋ย รบกวนไปรายงานเสียหน่อย วันนี้ข้ามาสู่ขอคู่ครอง”
เมื่อได้ฟังชื่อเสียงเรียงนามกันแล้ว นายประตูก็ได้รู้โดยันทีว่าเขานั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของราชสำนัก ก็ตกใจถึงขนาดที่ไม่ได้ตอบรับ วิ่งเข้าไปภายในจวนอย่างรวดเร็ว ร้องตะโกนเสียงดังอย่างไร้มารยาทว่า “นายท่านขอรับ ฮูหยินขอรับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว มีแม่ทัพใหญ่มากมายมารอที่หน้าประตูเพื่อสู่ขอคู่ครองขอรับ”
นายประตูนั้นวิ่งไปตะโกนไป กว่าจะวิ่งไปถึงลานหลัก คนทั้งจวนเฝิงก็รู้หมดแล้วว่ามีแม่ทัพใหญ่มาสู่ขอคู่ครอง
เมื่อคืนนี้ฮูหยินเฝิงเข้าใจถึงสัญญาณที่เมิ่งเชี่ยนโยวส่งมาให้ รับรู้ว่าสองวันนี้แม่ทัพใหญ่จะมาสู่ขอคู่ครอง ก็เลยได้ปรึกษากับนายท่านเฝิงว่าจะรับมืออย่างไร เมื่อได้ยินเสียงของนายประตู ทั้งสองคนก็ลุกยืนขึ้นอย่างตกใจ นายท่านเฝิงเดินมาที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว เปิดประตูออก แล้วถามอย่างรีบร้อนว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่มาสู่ขอคู่ครองนั้นเป็นความจริงหรือ”
นายประตูนั้นวิ่งมาจนหายใจแทบไม่ทัน ได้แต่พยักหน้าตอบ สูดหายใจเข้าออกแล้วตอบว่า “เป็นท่านแม่ทัพใหญ่ เขาเป็นคนบอกชื่อเอง และยังตามหลังมาด้วยแม่ทัพนายกองอีกหลายสิบ ถือสินสอดมา บอกว่ามาสู่ขอคู่ครอง กระผมยังเห็นรถม้าของจวนอ๋องฉีที่ตามหลังมาอีกสองคันอีกด้วย
ในบรรดารถม้าของชนชั้นสูงในเมืองหลวงนั้นต่างก็มีสัญลักษณ์เป็นของตัวเอง ดังนั้นนายประตูก็เลยพูดแบบนี้
นายท่านเฝิงและฮูหยินเฝิงนั้นตกใจเข้าไปอีก หันหน้าสบตากัน นายท่านเฝิงก็ได้ออกคำสั่งแก่นายประตูว่า “รีบไปรายงานผู้ดูแลเสีย ให้เขารวบรวมคนในจวนออกไปต้อนรับ”
นายประตูตอบรับแล้ววิ่งออกไป
นายท่านเฝิงยังได้ออกคำสั่งกับแม่บ้านที่ยืนอยู่ตรงปากประตูว่า “ให้ไปรายงานคุณชาย คุณหนูใหญ่ และคุณหนูรอง ให้พวกเขารีบไปที่ประตูทำการต้อนรับโดยเร็ว”
แม่บ้านตอบรับแล้วก็รีบวิ่งออกไปทันที
นายท่านเฝิงและฮูหยินเฝิงหันหน้ามองกันและกัน รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่พร้อม จึงรีบเดินมุ่งหน้าไปที่ประตูจวน
นายน้อยและฮูหยินแห่งจวนเฝิงต่างก็ได้ยินเสียงตะโกนของนายประตูเช่นเดียวกัน จึงรีบเดินออกมาจากบ้านอย่างรวดเร็ว พอดีกับที่แม่บ้านของลานหลักมาเรียกพวกเขา แล้วก็มาที่ประตูจวนอย่างทันทีทันใด
สองพี่น้อเฝิงจิ้งเหวินและเฝิงจิ้งซูกำลังพูดกันอย่างเบาๆ ใต้ผ้าห่มบนเตียงในบ้าน ก็ได้ยินเสียงของนายประตูเช่นกัน เฝิงจิ้งเหวินก็รีบออกจากผ้าห่มลงจากเตียงมาใส่รองเท้า เฝิงจิ้งซูนั้นก็อยากที่จะตามลงมาด้วย เฝิงจิ้งเหวินห้ามไว้บอกว่า “ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี นั่งอยู่บนเตียงนั่นแหละ แม่ทัพใหญ่ไม่โทษเจ้าหรอก
เฝิงจิ้งซูอาการไม่ค่อยดีมาตลอด หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเฝิงจิ้งเหวินก็ไม่ได้ดื้อดึง แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงอย่างเชื่อฟัง
แล้วเฝิงจิ้งเหวินก็วิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ไปที่ประตูจวนอย่างรีบร้อน
หลังจากที่นายประตูวิ่งเข้าไปอย่างรีบร้อนนั้น พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ลงจากรถม้าเช่นกัน เดินไปที่หน้าประตูจวนเฝิง หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้แต่นั่งอยู่บนรถม้า ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
คนในจวนมากันพร้อมหน้าแล้ว นายท่านเฝิงและฮูหยินเฝิงเดินนำออกมาจากประตูจวน เห็นฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งเชี่ยนโยวรวมไปถึงชนชั้นสูงที่อยู่ข้างๆ ตรงหน้าประตูจวน หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับฉู่เหวินเจี๋ย นายท่านเฝิงเดาว่าเป็นพระชายาฉี จึงได้ออกคำสั่งให้ทุกคนคุกเข่าทำความเคารพ “ข้าน้อยเฝิงเต๋อและเหล่าคณะขอแสดงความเคารพแด่พระชายาฉีและท่านแม่ทัพ”
พระชายาฉีรีบพยุงให้ลุกขึ้น กล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด วันนี้พวกเราบุ่มบ่ามมาสู่ขอคู่ครอง ขอให้ท่านเฝิงอย่าได้ถือสา”
พระชายาฉีและแม่ทัพใหญ่มาสู่ขอคู่ครองด้วยตนเองนั้น เป็นการให้เกียรติตระกูลเฝิงของข้าเป็นอย่างยิ่ง เฝิงเต๋อฟังคำพูดของพระชายาฉีแล้วนั้น รีบร้อนตอบกลับไปว่า “พระชายากล่าวเกินไปแล้วขอรับ”
พระชายาฉียิ้มรับแล้วผายมือว่า “ทุกท่านจงลุกขึ้นเถิด”
ทุกคนลุกขึ้น แล้วเบี่ยงตัวไปยืนเรียงกันเป็นแถว
เฝิงเต๋อได้ยื่นมือออกมาแสดงท่าทีเชื้อเชิญ “พระชายา ท่านแม่ทัพใหญ่ ถ้าหากว่าไม่รังเกียจจวนเก่าเรือนนี้ ก็เชิญเข้ามาเถิด
วันนี้มาสู่ขอคู่ครอง ก็ต้องเข้าจวนเป็นธรรมดา พระชายาฉีนั้นเดินนำเข้าไปก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวและฉู่เหวินเจี๋ยตามอยู่ข้างหลัง มีเฝิงเต๋อและฮูหยินเฝิงเดินประกบอยู่ข้างๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินอยู่ท้ายสุด ได้มีจังหวะซุกซนหันหลังไปขยิบตาให้กับให้กับเฝิงจิ้งเหวิน
เฝิงจิ้งเหวินเห็นแล้ว อดยิ้มไม่ได้ แล้วเดินมาอยู่ข้างๆ นาง
นายน้อยของจวนเฝิงและฮูหยินได้นำผู้คนมากมายตามอยู่ด้านหลังสุด
คนกลุ่มหนึ่งได้เดินเข้าไปข้างในจวนเฝิง คนด้านนอกที่ยืนมุงดูอยู่นั้นก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที แม่เจ้า พระชายาฉีนี่ ที่เขาว่ากันว่าป่วยเรื้อรัง เป็นคนที่ไม่สามารถที่จะออกจากจวนได้ง่ายๆ มาสู่ขอคู่ครองให้กับแม่ทัพใหญ่ฉู่น้องชายของพระนางด้วยตนเอง ไม่รู้เป็นบุญอะไรของนายท่านเฝิงน่ะ ถึงได้รับเกียรติที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้
ถนนทั้งสายนั้นต่างก็พูดถึงและอิจฉา แม่ทัพก็ได้นำสินสอดยกเข้ามา วางไว้ที่พื้น ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงผู้คนที่กำลังพูดถึงเรื่องนี้อย่างใดอย่างนั้น เหล่าทหารเรียบร้อยเป็นอย่างมาก ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเลยสักนิด แสดงให้เห็นถึงความดุดันของแม่ทัพของกองทัพ
แต่ทว่า ปากที่กำลังพูดอยู่นั้นกลับบอกความจริงพวกเขาอย่างหนึ่ง วันนี้ท่านแม่ทัพใหญ่จัดกองทัพเสียใหญ่ขนาดนี้มาสู่ขอคู่ครอง เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขราม ดูท่าแล้วท่านแม่ทัพนั้นใกล้ที่จะได้คู่ครองแล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็จะมีนายหญิงแล้ว
ไม่ว่าคนภายนอกจะว่าอย่างไร เฝิงเต๋อและฮูหยินเฝิงก็ได้นำคนเข้าไปที่ห้องรับแขกอย่างไม่สนสิ่งอื่นใด พระชายาฉี แม่ทัพใหญ่และเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง ส่วนคนอื่นนั้นยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
หลังจากที่นั่งลงแล้ว พระชายาฉีก็ยิ้มแล้วพูดกับเฝิงเต๋อว่า “ต่อจากนี้พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ทุกท่านไม่จำเป็นที่จะต้องมีพิธีเยอะขนาดนี้ นั่งลงเถิด”
เฝิงเต๋อทำมือคำนับแล้วพูดว่า “พระชายาเกรงใจเกินไปแล้ว นั่นจะผิดกฎเสียได้ อย่างไรเสียกระหม่อมก็ขอยืนพูดตอบจะดีกว่า”
“นายท่านเฝิง” พระชายาฉีใช้น้ำเสียงอันอบอุ่นกล่าวว่า “หลังจากนี้เหวินเจี๋ยก็จะเป็นลูกเขยของตระกูลเฝิงแล้ว ท่านเป็นผู้อาวุโส มีที่ไหนกันที่ให้ผู้อาวุโสน้อยกว่านั่งอยู่แล้วผู้อาวุโสมากกว่ายืนกันเล่า”
ฉู่เหวินเจี๋ยเปลี่ยนสีหน้าที่ดุดัน และลดน้ำเสียงที่ดุดันลง ผายมือออกเป็นสัญลักษณ์เชื้อเชิญ “เชิญนั่งลงเถิด วันนี้ข้ามาในฐานะแม่ทัพใหญ่เพื่อมาสู่ขอคู่ครอง ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”
ทั้งสองคนต่างเกรงใจซึ่งกันและกัน ถ้าหากว่าตัวเองยังไม่นั่งลงนั้นก็จะดูเหมือนไม่มีมารยาท เฝิงเต๋อส่งสายตาให้กับฮูหยินเฝิง ทั้งสองคนนั่งลง เฝิงจิ้งเหวินและนายน้อยของจวนเฝิงรวมไปถึงฮูหยินต่างก็ยืนอย่างเรียบร้อยอยู่ข้าง ๆ พวกเขา
เมื่อนั่งลงแล้ว เฝิงเต๋อออกคำสั่งให้คนยกน้ำชามาถวาย
ตั้งแต่คนเข้ามากันนั้น ผู้ดูแลก็ได้เตรียมชาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินคำสั่งของนายท่านเฝิง ก็มีแม่บ้านเข้ามาถวายชาโดยทันที แต่ว่าตำแหน่งของพระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยนั้นสูงเกินไป แม่บ้านจึงตื่นเต้น มือที่ถวายชานั้นก็สั่นเครือไปเสียหมด
พระชายาฉีนั้นทำเป็นมองไม่เห็น แล้วพูดตลกว่า “ที่พวกเรามาสู่ขออย่างกะทันหันในวันนี้ อาจจะผิดกฎเกณฑ์ไปเสียบ้าง แต่ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้น เหวินเจี๋ยนั้นกังวลว่าซูเอ๋อร์จะคิดไม่ตก จึงได้รีบมาที่นี่ อย่างไรเสียก็ขอให้ท่านทั้งสองนั้นให้อภัยใสความบุ่มบามของพวกเราด้วย”
คำพูดของนาง ทำให้หน้าดำๆ ของฉู่เหวินเจี๋ยนั้นเผลอแดงขึ้นมา เลยยกชาขึ้นมาปิดเพื่อกลบเกลื่อน
เฝิงเต๋อทำตัวไม่ถูก เขาไม่เคยคาดคิดเลยถึงเรื่องนี้ พระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยจะให้แม่สื่อมาบอกสักคำก็ไม่มี ก็ดิ่งตรงมาสู่ขอเลย ดีที่เมื่อวานได้คุยกับซูเอ๋อร์ไว้แล้ว มิอย่างนั้นวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับพวกเขาอย่างไร
คิดได้อย่างนี้ เฝิงเต๋อตอบกลับอย่างนอบน้อมว่า “ท่านพระชายา ลูกสาวข้าสามารถรักไคร่กับท่านแม่ทัพใหญ่ได้ นั่นเป็นบุญของนาง เรื่องเมื่อวานนั้นก็สมควรแล้วที่จะทำเช่นนี้ พวกเราและลูกสาวนั้นไม่ได้มีความโกรธแค้นอันใด โดยเฉพาะท่านและท่านแม่ทัพในวันนี้ที่มาสู่ขอ ให้เกียรติแก่ตระกูลเฝิงของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง การสู่ขอเรื่องนี้นั้นพวกเรานั้นก็ต้องตอบรับเป็นธรรมดา
พระชายาฉีพยักหน้า “เป็นแบบนี้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะเหตุผลของมัน เหวินเจี๋ยก็ได้มาสู่ขอซูเอ๋อร์อย่างซื่อตรง พวกท่านอย่ากังวลไป เพียงแค่ซูเอ๋อร์ได้เข้าไป ก็เป็นนายหญิงของจวนท่านแม่ทัพแต่เพียงผู้เดียว เหวินเจี๋ยนั้นจะไม่รับสนมเข้ามาเพิ่มอีก จะรักแม่นางเฝิงตลอดไป”
ผู้ชายเมียเยอะเป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ จะรับภรรยาอีกสักกี่คนกี่ห้องก็ย่อมได้ พอพระชายาให้คำมั่นสัญญาเสียขนาดนี้ เฝิงเต๋อและฮูหยินนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกัน แล้วคุกเข่าลงกับพื้น “ขอบพระทัยพระชายา ขอบพระคุณท่านแม่ทัพใหญ่ พวกท่านโปรดวางใจ เมื่อลูกสาวเข้าไปแล้วนั้นจะขยันขันแข็งทำการทำงาน จะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับท่านแม่ทัพอย่างแน่นอน พวกเราคนตระกูลเฝิงเองจะเข้มงวดมากขึ้น ไม่สร้างความอับอายให้กับท่านแม่ทัพอย่างแน่นอน”
ตอนที่ 142 ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน
พวกเขาคุกเข่าลง เฝิงจิ้งเหวินและนายน้อยแห่งจวนเฝิงรวมไปถึงฮูหยินก็คุกเข่าลงด้วยเช่นกัน
พระชายาฉีก็รีบยื่นมือออกมาพยุงขึ้นโดยทันที แล้วกล่าวว่า “ท่านเฝิง เฝิงฮูหยินได้โปรดลุกขึ้นเถิด”
ทั้งสองขอบคุณ และลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิม
พระชายาฉีกล่าวว่า “อายุของเหวินเจี๋ยก็ไม่น้อยแล้ว ในเมื่อท่านทั้งสองยินยอมในเรื่องของการสู่ขอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เป็นโอกาสอันดีที่จะต้องรีบทำให้ถูกต้อง ตีเหล็กขณะที่ยังร้อนอยู่ รีบกำหนดวันหมั้นหมายให้เรียบร้อยเถิด”
เพิ่งจะสู่ขอก็ทำการกำหนดวันหมั้นหมายแล้ว เฝิงเต๋อและฮูหยินเฝิงหยุดชะงักไปสักพัก
พระชายาฉีเห็นท่าทางชะงักเช่นนั้นเลยหัวเราะออกมาว่า “เหวินเจี๋ยและแม่นางซูเอ๋อร์นั้นเป็นกรณีพิเศษ ถ้าหากว่าปล่อยให้นานไป เกิดอะไรขึ้นกับซูเอ๋อขึ้นเข้าจะวุ่นวายไปกันใหญ่ พวกเราหาวันที่จะหมั้นหมายกันให้เร็วนั้นจะเป็นการดีกว่า พวกเราก็จะกลับไปเตรียมตัว อย่างไรเสียเหวินเจี๋ยสู่ขอคู่ครอง พิธีการต่างๆ ย่อมไม่เหมือนกับที่อื่นอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นฮ่องเต้และขุนนางบุ๋นบู๊ล้วนย่อมมาแสดงความยินดี”
จะเกิดอะไรขึ้นกับซูเอ๋อร์ สองสามีภรรยาเฝิงนั้นรู้ดี แต่ไม่ได้คิดที่จะให้นางออกเรือนไปเร็วขนาดนี้จริงๆ เฝิงเต๋อคิดไปคิดมา แล้วถามอย่างนอบน้อมไปว่า “ไม่ทราบว่าท่านพระชายาเห็นว่าวันไหนถึงจะดี”
“เมื่อคืนนี้ข้าหาฤกษ์ดีมาอย่างจริงจังแล้ว หลังจากครึ่งเดือนนี้มีวันมงคลอยู่ เหมาะแก่การจัดงานมงคล ถ้าหากว่าท่านเฝิงและฮูหยินเฝิงไม่ขัดข้องล่ะก็ พวกเราก็จะเลือกวันนั้นได้เลย”
“เอ่อ…” เฝิงเต๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอบว่า “เวลาแค่ครึ่งเดือนนั้นรีบร้อนเกินไป ยังไม่ต้องพูดถึงสินสอดทองหมั้น ขนาดชุดแต่งงานทางเรายังจะเตรียมแทบไม่ทันเลย”
“เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง” พระชายาทำการโบกมือเล็กน้อย “พรุ่งนี้ข้าจะจัดช่างตัดเสื้อฝีมือดีมาที่นี่ วัดตัวให้กับแม่นางซูเอ๋อร์ ไม่เกินสิบวัน ชุดแต่งงานก็แล้วเสร็จ ส่วนเรื่องสินสอดทองหมั้นนั้น กี่ปีที่ผ่านมานี้เหวินเจี๋ยก็ได้สร้างผลงานเอาไว้มากมาย ฮ่องเต้ได้ประทานรางวัลให้เขาก็ไม่น้อย นอกจากของที่ไม่สามารถแตะต้องได้แล้ว เมื่อถึงเวลาก็จะเอาที่เหลือทั้งหมดมาเป็นสินสอดให้กับแม่นางซูเอ๋อร์นั่นเอง”
พระชายาได้คิดทางออกของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้หมดแล้ว หากว่ายังไม่ตอบรับอีกก็จะดูไม่ดี เฝิงเต๋อโค้งคำนับแล้วตอบรับไปว่า “ทั้งหมดนั้นให้เป็นไปตามพระทัยของพระชายาเถิด”
พระชายาฉียิ้มพยักหน้ารับ
วันที่หมั้นหมายได้ถูกกำหนดแล้ว คนของจวนเฝิงเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่เหวินเจี๋ยต่างก็ทำตัวไม่ถูก พระชายาฉีก็ไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น ลุกขึ้นยืน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จะไม่เกรงใจแล้ว หากว่าท่านทั้งสองสงสัยเรื่องการหมั้นหมายล่ะก็ ให้คนไปหาข้าที่จวนอ๋องฉี เหวินเจี๋ยค่อนข้างยุ่งเรื่องการทหาร มักจะไม่อยู่ในจวน เรื่องของเขาทั้งหมดนั้นยกให้ข้าจัดการ”
เฝิงเต๋อโค้งคำนับตอบรับกลับไป แล้วนำคนในจวนโค้งคำนับส่งพระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยกลับไป
ของหมั้นและแม่ทัพทั้งหลายยังอยู่ที่หน้าประตูจวน พระชายาฉียิ้มแล้วพูดว่า “ในหมู่ชาวบ้านนั้นมีกฎอย่างหนึ่ง บอกว่าให้อวดสินสอดท่ามกลางคนจำนวนมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อวดเสียหน่อย ให้ผู้คนได้ดู”
ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือ แม่ทัพทั้งหลายก็โค้งตัวลงไปเปิดผ้าคลุมออก ข้างในนั้นเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง เครื่องประดับและผ้าชั้นดีมากมายออกมาอวดสายตาผู้คน
ถนนทั้งสายมีแต่เสียงชื่นชม ดูท่าแล้วท่านแม่ทัพใหญ่คนนี้จะถูกใจลูกสาวตระกูลเฝิงเป็นอย่างมาก สินสอดที่นำมาสู่ขอนี้ ล้วนเป็นสิ่งของที่คนธรรมดานั้นไม่ได้เห็น คนของตระกูลเฝิงก็มองตาไม่กะพริบกันเลยทีเดียว
เมื่อเห็นท่าทางของทุกคน พระชายาฉีก็พยักหน้าอย่างพอใจ เพราะต้องการให้ผลลัพธ์เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาจากผู้คนที่รู้เรื่องของเหวินเจ่ยและซูเอ๋อร์
ท่ามกลางเสียงชื่นชมของผู้คน พระชายาฉีและฉู่เวินเจี๋ยขอลาไปก่อน คนหนึ่งขึ้นรถม้าไป อีกคนหนึ่งขึ้นหลังม้าไป นำผู้คนที่ติดตามมาจากไป
เมื่อเงาของพวกเขาลับไปแล้ว คนของจวนเฝิงถึงได้มีสติ นายท่านเฝิงออกคำสั่งให้คนรับใช้นำสินสอดเข้าไปเก็บ ฮูหยินเฝิงและเฝิงจิ้งเหวินรีบเดินไปที่จวนของเฝิงจิ้งซู บอกนางเรื่องพิธีที่จะเกิดขึ้นในอีกครึ่งเดือนนี้
เมื่อมาถึงทางแยก พระชายาฉีเปิดม่านรถม้าออก แล้วพูดกับฉู่เหวินเจี๋ยที่อยู่บนหลังม้าว่า “เหวินเจี๋ย ข้าจะกลับจวนเลย เมื่อจัดการเรื่องที่จวนเสร็จแล้วเมื่อใด ข้าจะกลับไปที่จวนแม่ทัพสักระยะหนึ่ง ช่วยเจ้าจัดการเรื่องงานแต่งของเจ้า”
ฉู่เหวินเจี๋ยหยุดม้า ตอบรับคำ แล้วมองไปที่รถม้าสองคันที่ห่างออกไป แล้วนำเหล่าแม่ทัพกลับไปที่จวนแม่ทัพ
เมื่อเดินทางไปได้สักระยะหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากจะพูดอะไรสักอย่าง พระชายาฉีหยุดนางไว้ บอกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าก็อยากกลับไปแล้ว ไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับเรื่องงส่วนตัวในจวน แต่ว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นพระชายาซื่อจื่อของเซวียนเอ๋อร์แล้ว เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบโต้อันใด
เมื่อถึงจวนอ๋องฉี ทุกคนลงจากรถม้า เดินเข้าไปที่จวนไม่ทันไร ผู้ดูแลรีบเดินเข้ามาหาโดยทันที พูดอย่างร้อนใจว่า “พระชายาและซื่อจื่อขอรับ คุณชายรองเป็นลมอยู่ที่ห้องหนังสือของท่านอ๋อง ข้าน้อยกำลังจะไปเชิญหมอมาขอรับ”
หวงฝู่อวี้นั่งคุกเข่าอยู่ที่ห้องหนังสือตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว จนถึงตอนที่พวกเขาออกไปก็ยังนั่งอยู่ ร่างกายอ่อนแอที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจตั้งแต่เด็กนั่งมาจนถึงตอนนี้ได้ก็ทำให้พระชายาฉีตกใจไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเอ็นดูหวงฝู่อวี้ดั่งลูกหลานของตนเอง เมื่อได้ยินเช่นนั้จึงรีบออกคำสั่งไปว่า “รีบไปเชิญหมอมาเร็ว อวี้เอ๋อร์อยู่ที่ไหน ข้าจะไปดู”
“ข้าน้อยให้คนนำคุณชายรองกลับที่จวนของตนเองแล้ว”
ผู้ดูแลตอบกลับแล้วเดินออกไป หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนเรียกให้เขาหยุด “ไม่ต้องไปตามหมอ ให้โยวเอ๋อร์ช่วยดูอาการเขาให้ที”
“ใช่ๆ ข้าลืมโยวเอ๋อร์ไปได้อย่างไร เจ้าตามข้ามาเดี๋ยวนี้” เมื่อพูดจบ พระชายาฉีก็จับมือนาง เดินมาที่เรือนของหวงฝู่อี้อย่างรวดเร็ว คนรับใช้ยังไม่ทันได้ทำความเคารพ ก็เดินเข้าไปที่ข้างในจวน มาที่ข้าง ๆ เตียง เห็นหวงฝู่อวี้หน้าซีดเซียว ริมฝีกปากแห้งแตก หลับใหลอยู่บนเตียง ในใจนั้นเจ็บปวดรวดร้าว แล้วบอกว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าช่วยดูอวี้เอ๋อร์ให้น่อยสิ เขาเป็นอะไรมากหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง คลำชีพจรของหวงฝู่อวี้แล้วพูดเบาๆ ว่า “ร่างกายของเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก เป็นเพราะไม่ได้ทานอาหารเป็นเวลาหลายมื้อและบวกกับอากาศหนาว จนเป็นไข้ จึงได้เป็นเช่นนี้ ท่านสั่งให้คนต้มข้าวต้มให้เขาทาน แล้วให้เขานอนพักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีออกคำสั่งตามที่โยวเอ๋อร์บอก
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งแม่บ้านที่อยู่ในจวนว่า “พวกเจ้าไปเอานำอุ่นมาแก้วหนึ่ง ป้อนให้คุณชายรองดื่มเสีย ให้ร่างกายของเขาปรับสภาพเสียก่อน”
แม่บ้านตอบรับ เทน้ำอุ่นมาให้ เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน จัดที่จัดทางเรียบร้อย แม่บ้านคนหนึ่งช่วยจับตัวหวงฝู่อวี้ขึ้นมานั่ง และแม่บ้านอีกคนป้อนน้ำอุ่นเขาเข้าไปทีละหยดๆ อย่างระมัดระวัง
เมื่อดื่มน้ำหมดไปหนึ่งแก้ว หวงฝู่อวี้เหมือนได้ฟื้นฟูกำลังกาย ขยับร่างกายได้นิดหน่อย พระชายาฉีตื้นตันใจ เรียกออกมาเบา ๆ ว่า “อวี้เอ๋อร์!”
หวงฝู่อวี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองเห็นพระชายาฉียืนอยู่ตรงหน้า เลยร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและเบาว่า “เสด็จแม่” แล้วตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น
พระชายาฉียื่นมือไปห้ามเขา “อวี้เอ๋อร์ ตอนนี้ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแออยู่มาก ห้ามไปที่ห้องหนังสือแล้วคุกเข่าอีก นั่นจะทำให้ร่างกายของเจ้าทรุดลงไปอีก”
“เสด็จแม่” น้ำตาของหวงฝู่อวี้เริ่มไหล “ข้าจะไปขอร้องเพื่อเสด็จแม่ของข้า ให้เสด็จพ่อไว้ชีวิตนาง”
พระชายาฉีถอนหายใจ “อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็ได้ยินที่แม่ของเจ้าพูดแล้ว เขาทำความผิดใหญ่หลวงขนาดนั้น เสด็จพ่อของเจ้าไม่ได้ฆ่านางโดยทันที นั่นก็เป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว”
“แต่นางเป็นแม่แท้ๆ ของข้า ข้าไม่สามารถทนเห็นนางรับโทษโดยที่ไม่ทำอะไรเลย เมื่อเสด็จพ่อตัดสินใจสำเร็จโทษนางแล้วล่ะก็ นางก็เท่ากับตายทั้งเป็นแล้ว” เมื่อพูดจบ ก็พยายามลุกขึ้นนั่ง ลงจากเตียง คุกเข่าต่อหน้าพระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวว่า “เสด็จแม่ขอรับ พี่ใหญ่ขอรับ ข้ารู้ดีว่าแม่ของข้าทำเรื่องไม่ดีไว้ไม่น้อย แม้นว่าจะตายสักหนึ่งพันครั้งก็ไม่สามารถลบล้างความผิดเหล่านั้นได้ แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นแม่ของข้า ข้าไม่สามารถละเลยได้ อวี้เอ๋อร์ขอร้องพวกท่านล่ะ ให้เสด็จพ่อเว้นโทษนางเถิด”
“เมื่อปล่อยแม่ของเจ้าไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่ออย่างนั้นหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หวงฝู่อวี้หยุดชะงัก เขาก็เพียงแค่อยากที่จะร้องขอชีวิตให้กับแม่ของเขาเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงปัญหาตรงนี้เลย
“ไม่ว่าจะโดนเนรเทศกลับบ้านหรือว่าโดนกักบริเวณตลอดชีวิต ได้รับความทุกข์ทรมานเพียงใด เหล่านี้ล้วนไม่ใช่ส่งที่นางต้องการ ถ้าหากว่าเจ้าคิดอยากจะช่วยนางจริงๆ ล่ะก็ ให้เสด็จพ่อจัดการกับนางเสียเถิด” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว
“ไม่!” หวงฝู่อวี้พูดเบาๆ ว่า “ข้าไม่เอา ข้าอยากให้แม่ของข้ามีชีวิตอยู่ ได้เห็นข้ามีเมียมีลูก ได้มีบั้นปลายชีวิตที่ดี”
“อวี้เอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนใส่เขา “เจ้าก็โตแล้ว แยกถูกผิดได้แล้ว เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ได้แล้ว”
หวงฝู่อวี้ร้องไห้หนักกว่าเดิม ร้องไห้ฟูมฟายพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าขอร้องท่านล่ะ ขอเพียงท่านขอให้เสด็จพ่อปล่อยแม่ของข้าไป ต่อแต่นี้ไปท่านให้ข้าทำอะไรก็จะทำทั้งนั้น”
“เรื่องเลวร้ายที่แม่ของเจ้าทำไว้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ก็เพียงพอแล้วกับการที่นางจะตายสักหนึ่งพันครั้ง ตอนนี้ที่เจ้าร้องขอชีวิตแทนนาง ก็มีแต่จะทำให้เสด็จพ่อโกรธเจ้าเข้าไปใหญ่ และในขณะที่โกรธอยู่นี้ อาจจะไล่เจ้าออกจากจวนเลยก็เป็นได้ นับแต่นี้ไปจะไม่นับเจ้าเป็นลูก ฟังพี่นะ อย่าไปร้องขอชีวิตอีก ให้เสด็จพ่อจัดการเองเถิด”
หวงฝู่อวี้ส่งเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าว
ทั้งสามคนได้แต่ยืนมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่ห้าม ให้เขาระบายออกมา
แม่บ้านที่คอยดูแลและคนใช้ภายในบ้านเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้นี้ ต่างมองหน้ากัน หลังจากนั้นก็ได้แต่ก้มหัวลง
เสียงร้องไห้ของหวงฝู่อวี้ดังขึ้นเรื่อยๆ ร้องเสียจนพระชายาฉีก็เจ็บปวดไปด้วย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วโอบศีรษะของเขาเอาไว้ที่หน้าอก ปลอบใจว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้ายังมีข้า แม้นว่าแม่ของเจ้าจะทำเรื่องชั่วช้าเอาไว้มากมาย แต่ข้าก็จะไม่กล่าวโทษเจ้า หลังจากนี้จะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับที่ดูแลเซวียนเอ๋อร์”
หวงฝู่อวี้เหมือนเด็ก เอื้อมมือไปกอด แล้วร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด
พระชายาฉีถอนหายใจ แล้วลูบหลังเขาเบาๆ เพื่อให้อารมณ์ของเขาดีขึ้น
ฟังจากคำพูดของสนมเมื่อวานแล้ว ก็รู้แล้วว่านางจะไม่มีทางลงเอยด้วยจุดจบที่ดี หวงฝู่อวีตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็นั่งคุกเข่าอยู่ที่ห้องหนังสือทั้งวันทั้งคืน ไม่มีใครสนใจเขา ในใจของหวงฝู่อวี้ยิ่งรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่ ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉี ขนาดหวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่สนใจ หลังจากนี้ เขาจะกลายเป็นเด็กที่ไม่มีบ้านให้กลับ ดังนั้นเขาจึงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ตอนนี้พอได้ฟังคำพูดของพระชายาฉี ความกลัวภายในใจก็หายไป ความสิ้นหวังและความรู้สึกไร้ที่พึ่งกลับมาแทนที่ แล้วร้องไห้เสียงดังหนักกว่าเดิม
หวงฝู่อวี้โดนเลี้ยงอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก ขนาดอายุพอๆ กับหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว แต่ยังเหมือนเด็กน้อย ที่วันๆ เอาแต่เล่นสนุก ไม่คิดอะไร เมื่อพอเจอเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ สามารถผ่านมันมาได้จนถึงตอนนี้ก็เกินคาดของพระชายาฉีมามากแล้วจริงๆ ได้ยินเสียงร้องไห้อันเจ็บปวดของเขา พระชายาฉีทำได้แต่ลูบหลังเขาอย่างเบาๆ ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้แล้ว
ร้องไห้ได้ประมาณสิบห้านาที หวงฝู่อวี้ถึงได้เบาเสียงลง พระชายาฉีหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา จับหน้าของเขาขึ้นมา แล้วเช็ดน้ำตาบนหน้าของเขาเบาๆ “อวี้เอ๋อร์ ตอนนี้ร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรง ถ้าหากว่าร้องไห้แบบนี้ต่อไปร่างกายของเจ้าจะไม่ไหวเอา ฟังข้าเถิด ลุกขึ้น พักสักครู่ กินข้าวต้มร้อนๆ สักถ้วย สงบสติอารมณ์เสีย รอการตัดสินใจสุดท้ายของเสด็จพ่อของเจ้า ไม่แน่ เสด็จพ่อของเจ้าอาจจะนึกถึงความรู้สึกที่ผ่านมาหลายปี ปล่อยแม่ของเจ้าไปก็ได้”
เมื่อร้องไห้เสร็จ หวงฝู่อวี้ก็สงบแล้ว แล้วเอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียว ลุกยืนขึ้น พูดว่า “เสด็จแม่ ข้าหิวแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกแปลกใจในท่าทีที่แปลกไปของเขา กระพริบตามองเขา
สีหน้าของพระชายาฉีเปี่ยมด้วยความสุขแทน พยักหน้าแล้วออกคำสั่งบ่าวใช้ “เอาข้าวต้มมาถวายคุณชายรองเร็วเข้า”
แม่บ้านนำข้าวต้มมาถวายอย่างระมัดระวัง วางไว้ที่บนโต๊ะในห้อง
หวงฝู่อวี้เดินไปที่โต๊ะ สะอึกสะอื้นแล้วถือช้อนขึ้นมา แล้วอ้าปากคำโตๆ กินข้าวต้มในชาม
พระชายาฉีตกใจ หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แต่ว่าก็ไม่มีใครเข้าไปห้าม
กินข้าวต้มหมดไปหนึ่งชาม เช็ดปาก หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นยืน หลับตา แล้วทำทีท่าราวกับว่ากำลังจะตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างไรอย่างนั้น แล้วคุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียน “พี่ใหญ่ ข้าขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขาอย่างใจจดใจจ่อ เห็นรอยน้ำตาบนหน้าของเขา แต่ว่าสีหน้าสงบ ใช้น้ำเสียงหนักแน่นพูดไปว่า “เจ้าว่ามาสิ”
“แม่ของข้าทำเรื่องชั่วช้าไว้มากมาย เสด็จพ่อไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หากจะให้นางได้รับความทุกข์ทรมานและ มีชีวิตอยู่อย่างอนาถ ไม่สู้ให้เสด็จพ่อตัดให้ขาดไปเลยจะดีกว่า นี่เป็นเรื่องเดียวที่ข้าจะทำให้นางได้ ข้าขอพี่ใหญ่ล่ะ ช่วยไปพูดกับเสด็จพ่อให้ข้าที ให้เสด็จพ่อปลิดชีวิตของแม่ข้าเถิด”
มองเห็นหวงฝู่อวี้ที่โตขึ้นภายในไม่กี่วินาที พระชายาจากที่ตกใจอยู่แล้วยิ่งตกตะลึงขึ้นไปอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็แปลกใจที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น
หวงฝู่อี้เซวียนกัดริมฝีปาก มองไปที่เขาอย่างตั้งใจ หวงฝู่อวี้ไม่หลบสายตา ส่งสายตาที่มุ่งมั่นกลับไปที่เขา ไม่นาน หวงฝู่อี้เซวียนถึงตอบกลับไปว่า “เจ้าแน่ใจหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ข้าแน่ใจแล้ว อย่างไรซะ ก็ขอให้พี่ใหญ่ช่วยข้าทีเถิด น้องจะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านเลย”
ตอนที่ 143 ตัดสินใจได้แล้ว
“อวี้เอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาอย่างใจจดจ่อ พร้อมกับพูดเสียงหนักแน่นว่า “รู้หรือไม่ว่าระหว่างพวกเราคืออะไร”
หวงฝู่อวี้ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเขา เกิดความตระหนกนิดหน่อย
“พวกเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เป็นลูกของเสด็จพ่อเหมือนกัน ล้วนต้องทำหน้าที่ช่วยกันดูแลจวนอ๋อง ถ้าหากว่าเจ้าตัดสินใจแล้ว พี่จะรีบไปช่วยเจ้าบอกเจตนาของเจ้า แต่ว่าข้าไม่ต้องการบุญคุณอะไรกับเจ้า ขอเพียงแค่ให้เจ้าจงจำไว้ว่าพวกเราเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทกันมากที่สุด ถ้าหากหลังจากนี้มีคนเอาเรื่องนี้มาทำร้ายเจ้าและพี่ของเจ้า เจ้าต้องจำคำพูดของข้าในวันนี้เอาไว้”
หวงฝู่อวี้อ้าปากค้าง หยุดชะงักไป ใช้เวลานิดหน่อยกว่าจะพยักหน้ารับทราบได้ “พี่ใหญ่ ข้าจะจำเอาไว้ นับแต่นี้ต่อไปเสด็จพ่อ เสด็จแม่และท่านจะเป็นคนใกล้ชิดที่ข้ารักมากที่สุด”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มแล้วลดเสียงลง “เจ้าตัดสินใจแล้วหรือยัง ถ้าตัดสินใจแล้วพวกเราก็ไปหาเสด็จพ่อด้วยกัน
หวงฝู่อวี้พยักหน้า แล้วลุกขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับมาแล้วพูดว่า “เสด็จแม่ โยวเอ๋อร์ พวกท่านไปรอข้าที่จวนก่อนเถิด ข้าจะไปหาเสด็จพ่อกับอวี้เอ๋อร์”
พระชายาฉีอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากไม่ได้พูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝูอวี้เดินออกไป มุ่งหน้าไปที่ห้องหนังสือของอ๋องฉี
พระชายาฉีถอนหายใจแล้วพูดว่า ไปกันเถอะ โยวเอ๋อร์ ไปที่เรือนของข้า” เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าพยุงพระชายา ทั้งสองคนกลับไปที่เรือนของพระชายาฉี
หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้เดินมาอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือ หวงฝู่อวี้ไม่พูดสักคำ ถกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งคุกเข่าลง หวงฝู่อี้เซวียนก็ยืนอยู่ตรงที่หน้าประตูห้องหนังสือแล้วตะโกนว่า “เสด็จพ่อ ลูกมีเรื่องจะพูดกับท่าน”
ไม่มีเสียงตอบรับออกมาจากห้องหนังสือ
หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนเสียงดังขึ้นแล้วพูดอีกหนึ่งรอบ ก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับจากห้องหนังสือ ก็เลยยื่นมือไปผลักประตู ประตูก็ได้เปิดออก หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไป ห้องหนังสือเละเทะไปหมด สิ่งของทั้งหลายถูกโยนลงมากองอยู่ที่พื้น ขนาดจานรองหมึกที่ท่านอ๋องรักหนักหนายังลงมากองอยู่ที่พื้น พื้นห้องเลอะเทอะไปด้วยหมึกสีดำ อ๋องฉีนั่งนิ่งเครียดอยู่ที่หน้าโต๊ะหนังสือ ไม่ได้เจอกันเพียงแค่คืนเดียว บนศรีษระก็มีผมหงอกเกิดขึ้น ดูแก่ไปอีกสิบปี
“เสด็จพ่อ!” หวงฝู่อี้เซวียนตกใจแล้วเรียกอย่างเบาๆ
อ๋องฉีไม่ได้ยินเสียงอันใด ลูกตาก็ไม่ขยับ
หวงฝู่อี้เซวียนเตะข้าวของที่ระเกะระกะออกไป ถกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งคุกเข่าลง พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “เสด็จพ่อ ลูกขอให้ท่านรักษาสุขภาพด้วย”
ลูกตาของอ๋องฉีขยับแล้วเล็กน้อย แล้วมองเขา แล้วก็กลับไปสภาพเดิม
หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อว่า “เสด็จพ่อขอรับ ลูกโดนทิ้งตั้งแต่เด็กๆ ใช้เวลาตั้งสิบเอ็ดปีกว่าจะได้กลับมาอยู่กับท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะไม่คิดจะรักษาสุขภาพเพื่อตัวเอง แต่ก็ควรทำเพื่อลูกๆ เสียหน่อย ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะได้กลับมาอยู่กับท่านและเสด็จแม่ แล้วยังคิดว่าเมื่อท่านอายุมากขึ้น ก็จะตอบแทนพระคุณท่านให้เป็นอย่างดี ให้ท่านได้อุ้มลูกดูหลาน มีความสุขกับครอบครัวในบั้นปลาย ถ้าหากว่าท่านทำร้ายตัวเองเพราะเรื่องนี้ ท่านจะให้ข้าและเสด็จแม่และอวี้เอ๋อร์มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”
สีหน้าของอ๋องฉีเปลี่ยน ความเฉยชาบนใบหน้าหายไป ถอนหายใจออกมาหนึ่งที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “เซวียนเอ๋อร์ หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าขอโทษเจ้าและแม่ของเจ้าด้วยนะ”
“เสด็จแม่ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่สมัยเข้าวัง หลายปีมานี้ท่านไม่ได้ทอดทิ้งนาง เสด็จแม่ก็ซาบซึ้งในพระคุณมากแล้ว ลูกก็เหมือนกัน ตั้งแต่กลับมา ที่ท่านทำดีต่อข้า ข้าจำได้ขึ้นใจ เสด็จแม่และข้าไม่เคยคิดโกรธเคืองท่านเลย”
ในดวงตาอ๋องฉีมีแสงประกายน้ำตาอยู่ น้ำเสียงก็เปลี่ยนโทนเพิ่มเสียงขึ้น “เอาล่ะๆ ข้ามีลูกชายที่ดี ชีวิตนี้ก็ถือว่าไม่น่าอับอายแล้ว”
“อวี้เอ๋อร์ก็ดีเช่นกัน หลังจากนี้พวกเราสองพี่น้องจะช่วยกันดูแลจวนเอง”
เมื่อได้ยินชื่อของหวงฝู่อวี้ สีหน้าของอ๋องฉีก็กลับมามืดหม่นเหมือนเดิม พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เสด็จพ่อ อวี้เอ๋อร์นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว มีเรื่องขอร้องท่าน”
อ๋องฉีโบกมืออย่างหงุดหงิด “อยากมาขอร้องแทนนางสารเลวนั่นล่ะสิ ฝันไปเถอะ นางทำร้ายพวกเราจนเป็นแบบนี้ ชีวิตที่เหลือของนางอย่าหวังว่าจะว่าจะมีความสุข แม้ว่าจะต้องเคี่ยนนางสักหนึ่งพันครั้ง ก็ยังไม่สาสมกับความแค้นในใจของข้า”
“เสด็จพ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดแทรกขึ้นมา “อวี้เอ๋อร์ไม่ได้มาร้องขอชีวิต เขามีเรื่องอื่นมาพูดกับท่าน”
อ๋องฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มีเรื่องอะไรไว้วันหลังค่อยว่ากัน ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์ อยากนั่งเงียบๆคนเดียว”
หวงฝู่อี้เซวียนก็เลยต้องพูดความจริงออกมา “เรื่องเกี่ยวกับว่าจะจัดการอย่างไรกับพระชายารอง อวี้เอ๋อร์อยากร้องขอความเมตตา หวังว่าเสด็จพ่อจะปลิดชีวิตนางอย่างไม่ทรมาน”
เมื่อพูดถึงพระชายารอง อ๋องฉีก็ได้โกรธขึ้นมา มือฟาดลงไปที่โต๊ะอย่างรุนแรง พูดอย่างเกรี้ยวโกรธว่า “ฝันไปเถอะ ข้าจะไว้ชีวิตนางสารเลวนั่นไว้ทรมาน”
หวงฝู่อวี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างนอกเมื่อได้ยินดัง ก็หลับตาลงอย่างทุกข์ทรมาน กัดฟัน ลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปที่ห้องหนังสือ มานั่งคุกเข่าที่ข้าง ๆ หวงฝู่อี้เซวียน โปกๆๆ คำนับหัวโขกพื้นไปหลายครั้ง “เสด็จพ่อ ลูกรู้ว่าความผิดของแม่นั้นไม่สามารถให้อภัยได้ แต่อย่างไรเสียนางก็เลี้ยงดูข้ามา ข้าไม่สามารถทนมองเห็นนางทุกข์ทรมานโดยที่ไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ อย่างไรเสียก็ขอให้เสด็จพ่อปล่อยนางไปเถิด”
อ๋องฉีลุกขึ้น แล้วเตะเขาไปหนึ่งที ร่างของหวงฝู่อวี้กระเด็นไปข้างหลัง หวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาดึงเขาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันไม่ให้โดนเศษแก้วชาบาดเข้า
ร่างกายของอ๋องฉีโซซัดโซเซกลับไปนั่งทีเก้าอี้ แล้วถอนหายใจอย่างแรง ใช้น้ำเสียงที่แหบแห้งด่าไปว่า “ลูกอกตัญญู ในเมื่อเจ้ามาขอร้องแทนนางสารเลวนั่น วันนี้ข้าจะฟาดเจ้าให้ตาย”
ร่างของหวงฝู่อวี้โดนหวงฝู่อี้เซวียนลากกลับมา เมื่อคุกเข่าเข้าที่แล้ว ก็ยังเอาหัวโขกพื้นอีกหลายที “เสด็จพ่อจะลงโทษลูกอย่างไรก็ได้ ลูกไม่คิดโกรธเคืองอันใดเลย อย่างไรเสียก็ขอให้เสด็จพ่อเห็นแก่หน้าพี่ใหญ่ ให้เสด็จแม่ของข้าได้จากไปอย่างสบายด้วยเถอะ”
อ๋องฉีโมโหโกรธาเป็นอย่างมาก ไม่มีแรงลุกขึ้นมาเตะอีกรอบแล้ว มีก็เพียงแต่ดวงตาที่กำลังกริ้วโกรธ ท่าทางราวกับว่าถ้าหวงฝู่อวี้ร้องขออะไรอีก ก็พร้อมฉีกเนื้อหนังออกมาอย่างใดอย่างนั้น
หวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่าเสด็จพ่อจะต้องโกรธเป็นอย่างมาก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าท่านจะโกรธจนทำร้ายร่างกายของหวงฝู่อวี้ได้ เลยรีบพูดออกไปว่า “ขอเสด็จพ่ออย่ากริ้วไป เห็นแก่ร่างกายเป็นสำคัญด้วย”
“เอาไอลูกอกตัญญูนี้ออกไป ข้าไม่อยากจะเห็นหน้ามันอีก” ความโกรธของอ๋องฉีถึงขีดสุด เสียงแหบแห้งไปหมด เมื่อเห็นว่าอ๋องฉีสงบลงไม่ได้ หากเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่เกิดผลดี หวงฝู่อี้เซวียนลูบหัวแล้วพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน ข้าจะพูดกับเสด็จพ่อเอง”
หวงฝู่อวี้เห็นว่าถ้าหากตัวเองร้องขอต่อไป ก็มีแต่จะทำให้อ๋องฉีโกรธเพิ่มขึ้น ก็เลยลุกขึ้น ออกไปด้านนอก แล้วคุกเข่าอีก
อ๋องฉีได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวงฝู่อี้เซวียนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งอ๋องฉีหายใจเป็นปกติ ถึงจะพูดว่า “เสด็จพ่อ ท่านทำแบบนี้เพื่ออันใดกัน ถ้าหากท่านไว้ชีวิตพระชายารองเอาไว้ ทำโทษนางทุกวัน ท่านถึงจะมีความสุขอย่างนั้นหรือ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านก็ปล่อยนางไปเถิด นับแต่นี้ต่อไปลืมคนๆ นี้ไปเสีย มีความสุขไปกับเสด็จแม่ ข้า และอวี้เอ๋อร์อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
ท่าทางของอ๋องฉีผ่อนคลายลง
หวงฝู่อี้เซวียนยังพูดต่อว่า “ตอนนี้ข้าได้ยกเลิกเรื่องงานแต่งไปก่อน ยังรอท่านและเสด็จแม่เข้าวังไปขอราชโองการจากเสด็จย่าอยู่ เมื่อถึงเวลาท่านและเสด็จแม่ก็ช่วยข้าจัดการเรื่องงานแต่งงาน นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด แล้วท่านจะปล่อยนางไว้ให้ขัดหูขัดตาทำไมกัน”
ท่านอ๋องถอนหายใจเฮือกยาวแล้วกล่าว “เซวียนเอ๋อร์ ข้าไม่สบายใจน่ะสิ หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับนาง ว่าจะให้นางดูแลสารทุกข์สุขดิบในจวน แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เจ้าหายตัวไป ข้าก็คาดเดาได้ว่าเป็นฝีมือของนาง แต่ก็ไม่ได้กล่าวโทษนางเพิ่มแต่อย่างใด แต่ก็ไม่นึกเลยว่านางจะเป็นคนที่มีจิตใจอำมหิตขนาดนี้ วางยาให้ข้าเป็นหมัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด”
“รักมาก ก็ต้องคาดหวังมาก ตอนนั้นเป็นเพราะพระชายารองรักท่านมาก จึงยอมละทิ้งความเป็นลูกสาวคนโตของท่านอัครเสนาบดี มาเป็นพระชายารองของท่าน หลายปีมานี้ก็พยายามจัดการเรื่องในจวนอย่างขันแข็ง ถึงจะไม่มีผลงานแต่ก็มีความตั้งใจอยู่ เมื่อมองดูสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ขอให้เสด็จพ่อให้นางได้จากไปอย่างสบายเถิด”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดต่อว่า “อวี้เอ๋อร์เป็นลูกของท่าน และเป็นลูกของพระชายารองเหมือนกัน เขาไม่ได้มาขอร้องชีวิตแทนพระชายารอง แต่เพียงแค่ขอให้ท่านปล่อยนางให้ได้ไปอย่างสบาย เป็นความกตัญญูก็เท่านั้น เสด็จพ่อมองตอนที่ข้าไม่อยู่สิ อวี้เอ๋อร์ได้สร้างความสุขให้กับท่านเป็นอย่างมาก ทำให้จวนอ๋องมีชีวิตชีวาขึ้นมา เสด็จพ่อตอบรับคำขอร้องของเขาเถิด” เมื่อพูดจบ ก็เอาหัวโขกลงที่พื้น “เสด็จพ่อ ที่ลูกช่วยอวี้เอ๋อร์ขอร้องท่าน ก็เพราะว่าไม่อยากเห็นท่านต้องทรมานตัวเอง อย่างไรเสียก็ขอให้ท่านเข้าใจในความหวังดีของลูกด้วย ปล่อยนางให้ไปดีเสียเถิด”
อ๋องฉีหลับตาลงอย่างทุกข์ทรมาน สักพักหนึ่งถึงจะลืมตาขึ้นมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลงว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าพูดถูก ทรมานนางก็เหมือนกับทรมานตนเอง หลังจากนี้ข้าจะต้องมีชีวิตที่ดีไปพร้อมกับเสด็จแม่ของเจ้า ไม่จำเป็นต้องไม่มีความสุขเพียงเพราะผู้หญิงสารเลวคนนี้
หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้ายิ้มแย้ม “เสด็จพ่อ ท่านคิดเช่นนั้นก็ดีมากเลย”
อ๋องฉีพยักหน้า โบกมือ “เจ้าและอวี้เอ๋อร์กลับไปก่อนเถอะ เรียกพ่อบ้านเข้ามา ข้ามีเรื่องสั่งเขา”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น แล้วออกจากห้องหนังสือ หวงฝู่อวี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องก็ได้ยินคำที่เสด็จพ่อพูดแล้ว ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือว่ายิ้มดี เดินมาที่ข้างๆ เขา หวงฝู่อี้เซวียนใช้น้ำเสียงที่สงบพูดกับเขาว่า “อวี้เอ๋อร์ ลุกขึ้นเถอะ กลับไปรอข่าวกับข้า”
หวงฝู่อวี้ไม่ขยับ
หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าดุ และน้ำเสียงก็เปลี่ยนแกมเตือนว่า “อวี้เอ๋อร์ ไป”
หวงฝู่อวี้เงยหน้าขึ้น ดวงตาท่วมไปด้วยน้ำตา เนื้อเสียงอ้อนวอน “พี่ใหญ่ ข้าอยากเจอหน้าแม่ของข้าเป็นครั้งสุดท้าย”
พระชายารองถูกกักอยู่ในจวนทั้งวันทั้งคืนแล้ว แถมยังมีคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งอีกสองคนอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าอารมณ์จะปะทุออกมาได้ขนาดไหน ถ้าหากให้หวงฝู่อวี้ไปพบนางตอนนี้ เกรงว่าเขาจะไม่มีวันลืมความอนาถสุดท้ายของพระชายารองเลยทั้งชีวิตเป็นแน่ เมื่อคิดดังนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็กัดปาก พูดอย่างดุดันว่า “อวี้เอ๋อร์ พูดให้เสด็จพ่อยอมใจอ่อนก็ไม่ง่ายแล้ว เจ้ายังจะเรียกร้องเพิ่มอีก หากเสด็จพ่อทรงกริ้วขึ้นมาอีกแล้วเรียกคืนคำสั่ง ข้าก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้าไปคิดให้ดี”
“แต่ว่าพี่ใหญ่…” หวงฝู่อวี้ลองโน้มน้าวเขาอีกครั้ง
เขายังไม่ทันพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็แทรกขึ้นมาว่า “ไม่มีแต่ เจ้าจะกลับไปรอข่าวกับข้า หรือว่ารอเสด็จพ่อเรียกคืนคำสั่ง มีเพียงแค่สองตัวเลือก เจ้าเลือกได้อันเดียว”
หวงฝู่อวี้ก้มหน้าลง ไม่พูดจา
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปพูดกับเสด็จพ่อเอาเองก็แล้วกัน”
หวงฝู่อวี้เงยหน้ามองไปที่ด้านในห้องหนังสือ กัดฟันแล้วลุกขึ้น แล้วตามหวงฝู่อี้เซวียนไป ตามอยู่ด้านหลังเขา
พ่อบ้านได้รับคำสั่ง ก็มาถึงที่ห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นอ๋องฉีที่ดูแก่ขึ้นภายในคืนเดียว ก็ตกใจ รีบรนถามว่า “ท่านอ๋อง ท่าน…”
อ๋องฉีโบกมือแล้วแทรกขึ้นว่า “เจ้าไปเตรียมหล้าพิษมาหนึ่งแก้ว แล้วไปส่งเหลียนอีกับข้า”
พ่อบ้านไม่ได้ตกใจอะไร ถอยออกไป ไม่ช้าก็ยอกถาดที่มีแก้วสุราพิษอยู่บนมา “ท่านอ๋อง เตรียมพร้อมแล้วขอรับ”
อ๋องฉีลุกขึ้นยืน โซเซอยู่ครู่หนึ่ง พ่อบ้านร้องเรียกอย่างตกใจ “ท่านอ๋อง!”
อ๋องฉีโบกมือ เอามือยันโต๊ะสักพัก ค่อยพูดว่า “ไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะ”
อ๋องฉีเดินนำหน้า พ่อบ้านถือสุราพิษตามอยู่ข้างหลัง ไม่นานก็มาถึงที่หน้าประตูของจวนพระชายารอง
นายทหารที่เฝ้าประตูอยู่เมื่อเห็นอ๋องฉีเดินมา ก็โค้งคำนับ
อ๋องฉีออกคำสั่งอย่างดุดันว่า “เปิดประตู!”
นายทหารเปิดประตูหนักออกอย่างลนลาน อ๋องฉีเดินไปที่หน้าประตูห้อง เปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง พ่อบ้านถือสุราพิษอยู่ด้านหลัง
พระชายารองนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างชุ่ยเหลียนและสาวแก่อีกคนหนึ่ง ท่าทางนิ่งเหม่อ เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา ลูกตาขยับ
พ่อบ้านนำสุราไปวางที่โต๊ะโดยที่ไม่มองสิ่งอื่นใด แล้วถอยออกไป ปิดประตู แล้วเฝ้าอยู่ด้านนอก
อ๋องฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วจ้องไปที่พระชายารอง
พระชายารองได้สติ อยากลุกขึ้น แต่เป็นเพราะนั่งค้างอยู่ท่าเดียวนานเกินไป ร่างกายก็ชาไปเสียหมด ตะเกียกตะกายอยู่นานก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
อ๋องฉีมองนางตะเกียกตะกายอย่างเย็นชา นางตะเกียกตะกายเพียงไรก็ไม่เป็นผล พระชายารองล้มเลิกไป ใช้มือสยายผมตัวเองหนึ่งที ยิ้มเยาะแล้วถามว่า
“ท่านอ๋อง ตัดสินใจได้แล้วหรือว่าจะจัดการกับหม่อมฉันอย่างไร”
ตอนที่ 144 ความอบอุ่นครั้งสุดท้าย
“เหลียนอี” อ๋องฉีพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ้ายังจำตอนที่เรารู้กันกันครั้งแรกได้หรือไม่”
คำพูดอ๋องฉีทำให้นางหวนนึกย้อนความทรงจำ ใบหน้าของพระชายารองเผยรอยยิ้มแห่งความคิดถึงออกมา “จำได้เจ้าค่ะ ตอนนั้นข้าอายุได้สิบห้าปี แอบออกมาเที่ยวเล่นนอกจวนกับสาวใช้ เจอนักเลงระหว่างทาง เป็นท่านเอง ขณะนั้นท่านที่ยังเป็นองค์ชายอยู่ได้มาช่วยข้าเอาไว้ นับแต่นั้นมา ข้าก็ไม่เคยลืมท่านได้ลงอีกเลย”
อ๋องฉีพยักหน้า “ครานั้นหน้าตาของเจ้าน่ารักสดใส กิริยางดงาม นิสัยร่าเริง กล้าพูดกล้าทำ ข้าช่วยเจ้าแล้ว เจ้าก็ถามข้าทันทีว่าชื่อแซ่อะไร มีหญิงที่ถูกใจแล้วหรือไม่ แต่เป็นข้าเองกลับถูกความใจกล้าของเจ้าทำให้เขินอาย”
“จริงด้วย” ใบหน้าของพระชายารองเผยรอยยิ้มออกมา “ตอนนั้นท่านมิได้ตอบคำถามของข้า แต่หันหลังและรีบเดินจากไป ข้าจะตะโกนเรียกท่านอย่างไร ท่านก็ไม่หันหลังกลับมา ตอนนั้นในใจของข้ารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเมื่อถึงตรุษจีน ท่านแม่จะพาข้าและพี่สาวไปเข้าร่วมงานฉลองในวัง จึงได้พบท่านอีกครั้ง ตอนนั้นข้าจึงได้รู้ว่าท่านเป็นถึงองค์ชายรองของราชวงศ์ เป็นลูกชายแท้ๆ ของฮองเฮา”
อ๋องฉีพูดต่อว่า “ที่จริง ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งนานแล้ว หลังจากงานเลี้ยงในวังเสร็จสิ้น เราสองคนก็แอบสานสัมพันธ์กันอย่างลับๆ ความรู้สึกค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งข้าได้ให้สัญญากับเจ้าว่าจะสู่ขอเจ้ามาเป็นพระชายา และยังสัญญาว่าชาตินี้จะมีเจ้าเพียงผู้เดียว”
พระชายารองน้ำตาไหล “แต่ท่านอ๋องกลืนคำพูดของตนเอง กลับไปสู่ขอลูกสาวขี้โรคของท่านแม่ทัพมาเป็นพระชายา ใจข้ายอมไม่ได้”
อ๋องฉีมองนาง ตรงหน้ายังปรากฏภาพในวันที่พวกเขาพบกันครั้งแรก พูดว่า “ใช่ ข้ากลืนคำพูดของตนเอง เนื่องด้วยเสด็จพ่อเสด็จสวรรคตกระทันหัน ท่านพี่ที่เพิ่งรับตำแหน่งฮ่องเต้ยังไม่มั่นคง ต้องการกำลังจากภายนอกเข้าเสริม เสด็จแม่จึงได้เลือกซู่อิง ในตอนนั้นข้าปฏิเสธหนักแน่น แต่เสด็จแม่พูดว่า ท่านแม่ทัพกุมกองกำลังทหารอยู่ จะเป็นกำลังช่วยฮ่องเต้ได้มากที่สุด หากข้าสู่ขอซู่อิง ก็มิมีใครกล้าจะขัดความเห็นของฮ่องเต้ได้ ข้าทำเพื่อฮ่องเต้ ทำเพื่อท่านแม่ จึงยอมตกลงแต่งงานกับซู่อิง”
น้ำตาของพระชายารองไหลออกมามากกว่าเดิม “ท่านอ๋องไปหาข้าที่จวนมหาเสนาบดีเพื่อบอกว่าจะไปสู่ขอผู้อื่นมาเป็นชายา ให้ข้าไปหาคู่ครองอื่นที่เหมาะสม ข้ารู้สึกดั่งว่าฟ้าได้ทลายลง อยากจะตายไปเสียสิ้นเรื่อง แต่เพราะเสด็จพ่อและพี่ใหญ่ปลอบข้าไว้ บอกว่าหากข้าไม่ยอมแต่งกับใครนอกจากท่าน ก็สามารถเป็นสนมของท่านได้ ข้ารู้สึกไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก จึงตอบตกลงไปโดยไม่ได้ไตร่ตรอง ทีแรกข้าคิดว่าคนร่างกายอ่อนแอขี้โรคอย่างนังซู่อิง แม้ท่านสู่ขอนางมาแล้ว ก็คงจะปฎิบัติต่อนางเหมือนเป็นของตกแต่งเท่านั้น คงจะไม่แตะต้องนางเป็นแน่ ข้าไม่คิดเลยว่า ผ่านไปไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ขึ้น แต่นั้นมาข้าก็กลายเป็นบ้า ท่านไปแตะต้องหญิงอื่นได้อย่างไร หนำซ้ำยังให้นางมีครรภ์อีก ข้าไม่สามารถให้เรื่องเหล่านี้ดำเนินต่อไปได้ ข้าจะต้องกำจัดนาง รวมทั้งลูกในท้องของนาง และโอกาสก็มาถึง องค์ชายห้าจะมาแย่งชิงราชบัลลังก์ ท่านและท่านแม่ทัพจะต้องไปช่วยที่วัง และจัดการวางแผนให้นังหญิงนั่นออกจากจวนไปอีก”
“ดังนั้นเจ้าจึงได้สั่งคนไปลอบฆ่านาง ทำให้ข้าและเซวียนเอ๋อร์ต้องแยกจากกันถึงสิบเอ็ดปี”
พระชายารองพยักหน้า “ข้าทำเอง ในตอนนั้นท่านอ๋องฉีเองก็พอจะเดาได้ใช่หรือไม่ แต่ว่าก็มิได้ลงโทษข้า แต่กลับสั่งฆ่าคนที่เหลืออยู่ทั้งหมด แต่นั้นมา จึงไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก”
อ๋องฉีพยักหน้า “ในใจของข้ารู้สึกผิดกับเจ้ามาตลอด จึงยอมอ่อนให้เจ้า ถึงได้สั่งฆ่าปิดปากทุกคน”
“แต่ท่านอ๋องรู้หรือไม่ว่าเนื่องด้วยความใจอ่อนของท่านครานั้น ทำให้สนมอย่างข้าร้ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนตัวเองขึ้นไปทุกวัน”
อ๋องฉีพยักหน้าอีกครั้ง “ดังนั้นเจ้าจึงกล้าวางยาเป็นหมันให้ข้ากิน เมื่อรู้ข่าวเซวียนเอ๋อร์จึงได้ส่งคนไปลอบฆ่าเขา”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกชาของตัวพระชายารองได้หายไป นางยืนขึ้นช้าๆ เดินทีละก้าวไปยังตรงหน้าของอ๋องฉี นั่งลงบนตั่งอีกตัว จับผมเผ้าของตนเอง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จึงได้พูดว่า “ถูกต้อง ข้าต้องการให้สองแม่ลูกชั้นต่ำนั่นกลับไปที่นรก เช่นนี้ข้าก็จะสามารถเป็นเจ้าของท่านเพียงผู้เดียว จากนี้ไปก็ไม่มีใครมาแย่งท่านไปจากข้า เราสามคนพ่อแม่ลูกก็จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่เสียดายที่ฟ้าไม่เป็นใจให้ข้า มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด”
อ๋องฉีมองนางนิ่งๆ ไม่พูดอะไรเลยครู่ใหญ่
แต่พระชายารองกลับยิ้มอ่อน “ท่านอ๋อง เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ”
“เหลียนอี” ท่านอ๋องพูด
“เจ้าคะ” พระชายารองมองเขา ตอบอย่างยิ้มๆ
“ทั้งหมดนี้มีมหาเสนาบดีอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่” อ๋องฉีถามอย่างไม่รีบร้อน
รอยยิ้มของพระชายารองแข็งทื่อ แววตามีความตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ “ท่านอ๋องผิดแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อรับราชการมาหลายปี รู้ดีว่าเรื่องใดควรทำ เรื่องใดมิควร ท่านจะยื่นมือมายุ่งเรื่องในมุ้งเช่นนี้ได้อย่างไร”
“นั่นก็เพราะว่าพวกเจ้ารู้ว่าบนตัวของอี้เซวียนมีหยกที่สามารถเอาถ่ายโอนเอาเงินทองจากทั่วประเทศมาได้อย่างง่ายได้ พวกเจ้าอยากเป็นเจ้าของมัน จึงได้พยายามวางสุราพิษเซวียนเอ๋อร์หลายครา ใจคนเรามีความโลภทั้งนั้น มีของดีเช่นนี้พวกเจ้ามิอยากได้หรือ”
พระชายารองตกใจจนลนลาน “ท่านอ๋อง ท่านพ่อไม่ได้…”
อ๋องฉียกมือปราม ห้ามสิ่งที่นางกำลังจะพูด “ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ข้าสัญญากับเจ้า หลังเจ้าจากไปแล้ว หากพวกเขาไม่ทำเรื่องอันตรายต่อเซวียนเอ๋อร์ ข้าก็จะไม่เอาความ ถือเสียว่าไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นเลย นี่ก็ถือเป็นการชดเชยให้เจ้า จากนี้ไปข้าและจวนมหาเสนาบดีก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
เมื่อได้รับคำสัญญาจากเขา สีหน้าของพระชายารองกลับมาเป็นปกติ มองไปที่สุราพิษบนโต๊ะ จึงพูดออกมาว่า “ข้าคิดว่าท่านอ๋องจะเก็บข้าไว้ให้ทรมานเสียอีก”
“ถูกแล้ว ข้าเองอยากจะทรมานเจ้า แต่อวี้เอ๋อร์ได้คุกเข่าขอร้องแทนเจ้าที่หน้าห้องหนังสือตั้งแต่เมื่อวาน ข้าจึงสัญญากับเขาว่าจะตัดสินให้เด็ดขาด”
เมื่อพูดถึงหวงฝู่อวี้ สีหน้าของพระชายารองมีความเจ็บปวดขึ้นมา หันหน้าไปมองอ๋องฉีอย่างรอคอย “ท่านอ๋อง อวี้เอ๋อร์ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย หากข้าตายไปแล้ว ท่านจะดูแลเขาให้ดีได้หรือไม่”
“อวี้เอ๋อร์ไม่เป็นเพียงลูกของเจ้า แต่ยังเป็นลูกของข้าด้วย ขอเพียงเขาอยู่ในกรอบ ไม่ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ ไม่แย่งชิงสิ่งที่ไม่ควรเป็นของเขามาจากหวงฝู่อี้เซวียน ข้าก็จะดีกับเขา”
พระชายารองยื่นมือออกมา หยิบสุราพิษมาที่หน้าของตนเอง “อย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว ต่อไปข้าไม่อยู่แล้ว ขอให้ท่านอ๋องดูแลสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ”
อ๋องฉีมิได้กล่าวอะไร แต่มองนางอย่างนิ่งๆ
พระชายารองยิ้มออกมา หยิบสุราพิษมาดื่มจนหมด
ใบหน้าของอ๋องฉีไม่แสดงอาการใดๆ ราวกับว่ากำลังมองคนแปลกหน้าอย่างนั้น
เมื่อสุราพิษเข้าไปในท้อง ใจของพระชายารองก็ร้อนเป็นไฟ สายตามองอ๋องฉีอย่างอาลัยอาวรณ์ ราวกับว่าอยากจะจดจำใบหน้าของเขาไว้ในใจตราบชั่วนิรันดร์ ไม่นาน นางก็กระอักเลือดออกมา และนอนราบหมดลมหายใจอยู่บนโต๊ะ
อ๋องฉีนั่งลงบนตั่ง มองทั้งหมดนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เวลาผ่านไปนานแสนนาน จึงได้ตะโกนด้วยเสียงแหบว่า “พ่อบ้าน!”
พ่อบ้านเดินเข้ามาตามเสียง เดินก้มหน้าไปยังตรงหน้าของอ๋องฉี “ท่านอ๋อง”
ท่านอ๋องฉีสั่งด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ศพข้าทาสสองคนนั้นเอาไปทิ้งให้หมากิน และสั่งให้คนมาเก็บร่างของเหลียนอี ไปซื้อโลงศพอย่างดีมาบรรจุนาง หลังจากทำเรื่องพวกนี้แล้ว จึงค่อยแจ้งเรื่องเศร้ากับทางมหาเสนาบดี บอกว่าเหลียนอีป่วยกระทันหัน จึงสิ้นชีพเนื่องจากรักษาไม่ทัน และสั่งให้คนในจวนไว้ทุกข์ให้เหลียนอีสามวัน”
พ่อบ้านตอบรับอย่างนอบน้อม
อ๋องฉีลุกขึ้น เดินจากไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ และกลับไปยังหอนอนตนเอง
พ่อบ้านรีบจัดการนำสองคำสั่งแรกไปสั่งบ่าวไพร่ในจวน
เมื่อบ่าวไพร่ในจวนรู้เข้าจึงตกใจกันหมด โดยเฉพาะบ่าวไพร่ที่เคยรับใช้อยู่ในเรือนของพระชายารอง ในใจตกใจจนแทบลมจับ เกรงว่าท่านอ๋องฉีจะโกรธมาก จนทำให้ตนนั้นเดือดร้อนไปด้วย
ไม่นาน เรื่องการตายของพระชายารองก็แพร่ไปทั่วจวน บ่าวไพร่ของเรือนพระชายาเองก็รู้ข่าว และซุบซิบกันอย่างเสียงเบา
หวงฝู่อวี้เองก็อยู่ในห้องนั้น การที่อ๋องฉีไม่ได้สั่งคนมาแจ้งข่าวแก่เขาก็คงมีเหตุผลเช่นกัน หลิงหลงดุคนใช้ในจวนเสียงเบาว่า “ซุบซิบอะไรกันอีก อยากถูกถลกหนังหรืออย่างไร”
เหล่าคนใช้สลายตัวทันที รีบไปทำหน้าที่ของตนเอง
พระชายาได้ยินเสียงดุคนใช้ของนาง จึงตะโกนถามว่า “หลิงหลง เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
หลิงหลงรีบตอบว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ มีบ่าวไพร่แอบอู้งาน ข้าจึงสั่งสอนพวกนั้นไป”
พระชายาไม่ได้คาดคั้นอีก
หลิงหลงถอนหายใจอย่างโล่งอก
หวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อวี้และเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ในห้องเป็นเพื่อนพระชายา เมื่อได้ยินเสียงแจ้งข่าวจากหลิงหลง หวงฝู่อวี้ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จาก็ พรึ่บ ลุกพรวดขึ้นมาทันที และรีบวิ่งออกไปด้านนอก
พระชายาอยากขานเรียกเขา
หวงฝู่อี้เซวียนห้ามนาง “ปล่อยเขาไปเถิด อย่างไรก็เป็นแม่แท้ๆ ให้พวกเขาได้เจอหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายเถิด”
พระชายาไม่พูดอะไรอีก
หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ในจวนเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ขึ้น เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้ากลับบ้าน สองสามวันนี้หากไม่มีธุระอะไรสำคัญข้าก็คงไม่ไปหาเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หลังทำความเคารพพระชายาแล้วจึงได้เดินตามหวงฝู่อี้เซวียนออกจากจวนไป
กัวเฟย ชิงหลวนและจูหลีสามคนได้เตรียมรถม้าไว้รออยู่ด้านหน้าตลอดเวลา
เมิ่งเชี่ยนโยวออกจากประตูจวน หยุดฝีเท้าลง พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ไม่ต้องไปส่งข้าหรอก ข้ากลับเองดีกว่า”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขันขืน พยักหน้า สั่งว่า “ระวังตัวด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวสาวเท้ายาวมาถึงข้างรถม้า และขึ้นรถม้าไป กัวเฟยรีบฟาดแซ่หวดม้า เดินรถม้าจากไป ชิงหลวนและจูหลีขนาบอยู่ทั้งสองด้านของรถม้า
เมื่อเห็นรถม้าแล่นไกลออกไป หวงฝู่อี้เซวียนถึงได้เดินกลับเข้าไปในจวน
หวงฝู่อวี้วิ่งตรงไปยังเรือนพระชายารอง บริเวณนั้นถูกล้อมรอบด้วยผ้าขาว มีบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งนั่งคุกเข้าร้องไห้อยู่หน้าประตู หวงฝู่อวี้พุ่งเข้าไปในห้อง เห็นใบหน้าสะอาดสะอ้านของพระชายารอง นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเพียงแค่นอนหลับไปเท่านั้น
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปที่เตียงทีละก้าว เอื้อมมือไปแตะใบหน้าเย็นเฉียบของพระชายารอง ฟุ่บ นั่งลงที่ข้างเตียง ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
เมื่อได้ยินเสียงร้องของเขา เหล่าบ่าวไพร่ที่อยู่หน้าห้องก็ร้องตามไปด้วย
เมื่อซื้อโลงศพอย่างดีมาแล้ว จึงนำร่างไร้วิญญาณบรรจุไว้ด้านใน พ่อบ้านสั่งให้คนไปส่งข่าวร้ายที่จวนมหาเสนาบดี
หลังจากที่เฮ่อเหลี่ยนและพระชายารองได้วางแผนการณ์นีมา ก็ได้ส่งคนมาจับตามองจวนอ๋องฉีอยู่เสมอ เพียงเพื่อรอเรื่องน่าอับอายจากด้านใน เขาจะได้สั่งคนให้ไปแพร่ข่าว เพื่อที่จะให้ชื่อเสียงของจวนอ๋องฉีและตัวฉู่เหวินเจี๋ยเสื่อมเสีย แต่รออยู่นานสองนาน นอกจากเห็นว่าหวงฝู่อี้ออกมาซื้อยา และเขาได้ส่งคนไปขัดขวางแล้ว จวนอ๋องก็ไม่ได้มีข่าวอะไรแพร่ออกมาอีก และคนที่เขาส่งไปจับตามองที่จวนเฝิงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ใจของเฮ่อเหลี่ยนมีลางสังหรณ์ไม่ดี รู้ได้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว โดยเฉพาะวันนี้จวนอ๋องและฉู่เหวินเจี๋ยได้ยกขบวนขันหมากไปยังจวนเฝิง แต่พระชายารองกลับไม่ส่งข่าวอะไรมาให้เขาเลย
ขณะที่กำลังเดินวนไปมาในห้องด้วยความร้อนใจ บ่าวไพร่ก็เข้ามาแจ้งข่าวด้วยความรีบร้อน “คุณชายขอรับ เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้วขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนที่กำลังกังวลใจอยู่ ขมวดคิ้วลงมา ดุเขาว่า “กระโตกกระตากจริง ไม่สำรวมกิริยาเสียเลย”
บ่าวไพร่กลืนน้ำลาย พูดอย่างร้อนรนว่า “คุณชาย เมื่อครู่ทางจวนอ๋องได้มาส่งข่าวร้าย พระชายารองป่วยกระทันหัน รักษาไม่ทันจึงสิ้นชีพิตักษัยแล้วขอรับ”
ปัง! เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนทรุดลงกับพื้น ถามอย่างไม่เชื่อว่า “เจ้าพูดอะไร พูดอีกทีซิ”
บ่าวไพร่พูดอีกครั้งว่า “ผู้ส่งข่าวร้ายพูดว่า พระชายารองป่วยกระทันหัน รักษาไม่ทัน จึงสิ้นชีพไปแล้วขอรับ”
ครั้งนี้ได้ยินคำของบ่าวไพร่อย่างชัดเจนแล้ว เฮ่อเหลี่ยนหน้าทื่ออยู่บนพื้น ครู่ใหญ่จึงค่อยตะเกียกตะกายยืนขึ้น แต่แข้งขาเกิดอ่อนแรงขึ้นมา บ่าวไพร่รีบเข้ามาช่วยพยุงเขาขึ้น เฮ่อเหลี่ยนเดินโซเซไปยังห้องรับแขก
เฮ่อจางได้ยินการแจ้งข่าวจากบ่าวไพร่ในจวนอ๋องแล้ว เจ็บปวดจนกระอักเลือดออกมา พ่อบ้านตกใจมาก รีบสั่งคนให้ไปตามหมอมา คนส่งข่าวจากจวนอ๋องเห็นท่าไม่ดี จึงได้บ่ายเบี่ยงว่าในจวนกำลังวุ่นเรื่องศพของพระชายารอง จึงได้รีบกลับไปก่อน เฮ่อจางเป็นเช่นนี้ พ่อบ้านของจวนเฮ่อจึงไม่มีเวลาสนใจเขา จึงปล่อยเขาไป
เมื่อเฮ่อเหลี่ยนเดินทางมาถึงห้องรับแขก เห็นสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น เดินไปตรงหน้าของเฮ่อจาง ถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ”
รอยเลือดที่ปากของเฮ่อจางยังอยู่ เขาสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “สุขภาพของเหลียนเอ๋อร์แข็งแรงมาตลอด จะมาป่วยกระทันหันตายเสียได้อย่างไร ข้าเจ็บใจเหลือเกิน”
แววตาของเฮ่อเหลี่ยนเปลี่ยนไป เขาใช้สายตามองพ่อบ้าน เพื่อเป็นสัญญาณว่าให้เขาพาบ่าวไพร่ออกไปด้านนอก
ตอนที่ 145 ก่อความวุ่นวายในจวนอ๋องฉี
พ่อบ้านรู้ตัว จึงโบกมือให้คนใช้ออกไปและตัวเองก็ออกไปด้วย ปิดประตูห้องโถงอย่างเบามือแล้วเฝ้าอยู่ด้านนอกด้วยตัวเอง
เฮ่อเหลี่ยนคุกเข่าต่อหน้าเฮ่อจางแล้วพูดด้วยความโกรธแค้นว่า “ท่านพ่อ ข้าเกรงว่าน้องรองไม่ได้ตายเพราะโรคร้าย แต่ตายเพราะถูกอ๋องฉีวางยา”
เฮ่อจางตาเบิกโพลงในทันใด ตวาดถามด้วยเสียงเข้ม “มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ บอกความจริงมา”
เฮ่อเหลี่ยนไม่กล้าปิดบัง ก็เลยเอาเรื่องที่เขาตกลงกับพระชายารองว่าจะวางยาเสียสาวให้กับฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งเชี่ยนโยว หวังให้พวกเขานั้นมีอะไรกัน เพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว
ฟังเขาเล่าเสร็จ เฮ่อจางโมโหจนตาโตแล้วชี้นิ้วก่นด่าเฮ่อเหลี่ยน “ไอเจ้าโง่ เรื่องที่มันชัดเจนขนาดนี้ต่อให้อ๋องฉีโง่กว่านี้ก็เดาได้ว่าอีเอ๋อร์เป็นคนทำ นี่ไม่เท่ากับส่งนางไปตายงั้นหรอกหรือ”
“ท่านพ่อ” ตอนนี้เฮ่อเหลี่ยนก็เสียใจเป็นอย่างมาก “ในตอนแรกที่น้องสาวปรึกษาข้า พอนึกถึงไอเดรัจฉานคนนั้นที่ทำร้ายข้า มันก็ทำให้ข้ากลายเป็นคนไร้มนุษยธรรมขึ้นมาทันที เกิดความเคียดแค้นขึ้นในใจ เมื่อข้าใจร้อน จึงตอบตกลงนางไป หลังจากเรื่องนั้นจบลงข้าก็ได้ให้คนไปจัดการฆ่าปิดปากคนใช้สองคนนั้นที่เป็นคนทำ ข้าคิดว่าไม่น่าพลาด แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ยังมีช่องโหว่เกิดขึ้น จนทำให้น้องสาวต้องตาย”
เฮ่อจางโมโหจนมือสั่นไปยิ่งกว่าเดิม “ไม่ใช่ว่าข้าเคยเตือนเจ้าแล้วหรือว่าอย่าเพิ่งไปเป็นศัตรูกับไอเดรัจฉานนั่น รอให้ข้าหาวิธีฆ่ามันให้ได้ก่อนแล้วค่อยลงมือ ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อฟังคำสั่งข้า เจ้านี่มัน…”
เฮ่อจางโมโหจนพูดไม่ออก ลูกตัวเองทั้งสามคน เฮ่อเหลี่ยนคือลูกชายคนโต แต่กลับไม่ได้ความสามารถของตนไปเลย นอกเสียจากหยิ่งยโสโอหัง และอาศัยบารมีของจวนมหาเสนบาดีไปคุยโวโอ้อวดกับคนภายนอกแล้ว ก็เป็นเพียงแค่คนไม่เอาไหนเท่านั้น ลูกสาวคนที่สองหน้าตาสวยงามเพรียบพร้อม ใจเย็นและเป็นคนมีความคิด นางได้ถูกฮ่องเต้ในปัจจุบันเลือกให้เข้าไปในวัง มีเพียงลูกสาวคนที่โตเหลียนอีเท่านั้นที่ฉลาดและมีมารยาทดี เป็นที่รักใคร่ของผู้คน จนกระทั่งปีนั้น อ๋องฉีได้มีพระชายาหลวง เห็นนางเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ เขาจึงมีความคิดให้นางไปเป็นนางสนม ในตอนนั้นเขาคิดว่า อาศัยความสามารถของลูกสาว ไปการจัดการกับหญิงที่ป่วยออดๆ แอดๆ คนนั้นคงไม่ยาก ไม่คิดเลยว่าแม้แต่โชคชะตาและสวรรค์ก็ยังช่วยพวกเขา ในทุกๆ การลอบฆ่าก็รอดพ้นจากความตายมาได้ตลอด จนกระทั่งทิ้งปัญหาไว้ ทำให้ลูกสาวถูกฆ่า เฮ่อจางไม่ยินยอมและคิดว่ามีเหตุผลอะไรที่ลูกสาวเขาต้องตาย แม่ลูกสารเลวคู่นั้นยังใช้ชีวิตสุขสบายอยู่เลย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฮ่อจางก็ลุกขึ้น เช็ดคราบเลือดที่มุมปาก กลับไปมีทีท่าที่เยือกเย็นเหมือนก่อน แล้วกำชับเฮ่อเหลี่ยนด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “เรียกทหารหนึ่งร้อยนายตามข้าไปที่จวนของอ๋องฉีเพื่อทวงคืนความเป็นธรรม”
พูดจบ ก็รีบเดินไป
เฮ่อเหลี่ยนรีบลุกขึ้นตามไป แล้วกำชับพ่อบ้านให้เรียกทหารของจวนอ๋องฉี
พ่อบ้านรีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
เฮ่อจางไม่นั่งเกี้ยว นำทหารร้อยนายที่ท่าทางน่าเกรงขามมาจนถึงจวนของอ๋องฉี
หน้าประตูจวนของอ๋องฉีมีธงขาวแขวนอยู่ ขุนนางที่ทราบเรื่องแล้วต่างก็พาครอบครัวมาเคารพศพ หน้าประตูจวนของอ๋องฉีมีเกี้ยวจอดอยู่เต็มไปหมด เมื่อเห็นว่าเฮ่อจางนำคนมาตั้งมากมาย นายประตูดูท่าแล้วไม่ใช่เรื่องดี รีบวิ่งเข้าไปข้างในอย่างร้อนเพื่อไปรายงาน
เฮ่อจางและเฮ่อเหลี่ยนนำทหารหนึ่งร้อยนายเข้าจวนของอ๋องฉี
ขุนนางที่มาเคารพศพเห็นเฮ่อจางที่ดูเศร้าหมองและไม่ค่อยน่าเข้าใกล้เท่าไหร่ จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปทักทายและทำเป็นมองไม่เห็น พอทักทายพ่อบ้านของจวนอ๋องฉีแล้วก็รีบออกมาจากจวน ดูท่าแล้วการตายของสนมของอ๋องฉีจะไม่ปกติ ตำแหน่งตัวเองค่อนข้างต่ำ เช่นนั้นแล้วก็อย่าไปสงสัยเลยว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียตำแหน่งขุนนางไป
เฮ่อจางนำคนไปที่ที่ตั้งศพ เหล่าขุนนางที่ไปเคารพศพต่างพาคนของตนออกไปโดยมิได้นัดหมาย สาวใช้ในเรือนพระชายารองคุกเข่าข้างๆ ศพด้วยความเจ็บปวด และหวงฝู่อวี้ก็คุกเข่าอยู่ข้างหน้าศพ
เฮ่อจางเดินไปหน้าที่วางศพ เมื่อเห็นเฮ่อเหลียนอีนอนอยู่บนเตียงวางศพ ในใจเจ็บปวดรวดร้าวจนกลั่นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เฮ่อเหลี่ยนแกล้งทำเป็นเอาแขนเสื้อเช็ดที่ชายเสื้อแล้วพูดอย่างเจ็บปวดและมีความหมายแฝงว่า “น้องสาวพี่ พี่จะไม่ให้น้องต้องตายเปล่า”
ทหารร้อยนายคุกเข่าลงแล้วคำนับต่อหน้าศพโดยพร้อมเพรียงกัน
หวงฝู่อวี้ร้องไห้จนเสียงแหบและร้องเรียกทั้งน้ำตา “ท่านตา ท่านลุง”
มองดูหวงฝู่อวี้ที่ไร้เรี่ยวแรงที่ตรงหน้า ท่านมหาเสนบาดีเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก ถาม “อวี้เอ๋อร์ เสด็จแม่ของเจ้าตายได้อย่างไร” หลายปีมานี้หวงฝู่อวี้เรียกพระชายารองว่าเสด็จแม่ จนเขาได้ลอบสังหารเมิ่งเชี่ยนโยว หลังถูกหวงฝู่อี้เสวียนลงโทษอย่างหนัก ถึงได้แก้ไขกฎภายในจวน ให้เขาเรียกแม่ ท่านมหาเสนบาดีกลับไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นถึงได้ถามเช่นนี้
หวงฝู่อวี้ที่ตาบวมแดงพูดด้วยความสะอึกสะอื้นว่า “ท่านตา แม่ข้ายินดีที่จะตาย ท่านไม่ต้องถามอันใดแล้ว” คำพูดของเฮ่อเหลี่ยนได้รับการพิสูจน์และยืนยันแล้ว เฮ่อจางจึงโกรธมากและตะโกนด้วยความโกรธว่า “อ๋องฉีท่านวางแผนลอบฆ่าลูกสาวข้า วันนี้ถ้าข้าไม่ได้ฟังคำอธิบายจากปากท่าน ก็จะไม่ยอมเลิกราเป็นอันขาด”
นายประตูได้วิ่งไปรายงานหวงฝู่อี้เสวียนเรื่องเฮ่อจางและเฮ่อเหลี่ยนได้นำคนท่าทางน่าเกรงขามมาที่นี่
หวงฝู่อี้เสวียนรู้แล้วก็ไม่ได้อะไร สั่งคนใช้รายงานเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทราบ แล้วให้เสด็จพ่อออกหน้าจัดการเอง เรื่องนี้เขาจะไม่ก้าวก่าย
บ่าวตอบรับ และไปที่เรือนของอ๋องฉีแล้วรายงานอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ในจวนไม่มีเสียงตอบกลับ
บ่าวรออยู่อย่างเงียบๆ เป็นเวลานานกว่าในจวนจะมีคำสั่งของอ๋องฉีออกมาว่า “พาท่านมหาเสนบาดีไปที่ห้องรับแขก เดี๋ยวข้าตามไป”
คนใช้ตอบรับแล้ววิ่งไปรายงานพ่อบ้าน
พ่อบ้านบอกกับเฮ่อจางว่า “ท่านมหาเสนบาดีขอรับ ท่านอ๋องเชิญท่านไปที่ห้องรับแขก”
เฮ่อจางนิ่งเฉยแล้วตอบว่า “มีเรื่องอันใดก็พูดต่อหน้าศพลูกสาวข้า นางตายเพราะโดนใส่ร้าย วันนี้ข้าต้องล้างแค้นต่อหน้านางให้ได้”
นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ พ่อบ้านไม่ลังเลที่จะรีบไปที่จวนอ๋องฉีด้วยตัวเองแล้วนำคำพูดของเฮ่อจางไปบอกโดยไม่ตกหล่นสักคำ
สักพักหนึ่งในจวนถึงมีเสียงดังออกมา อ๋องฉีเปิดประตูแล้วเดินออกมา เดินมุ่งไปที่ที่ตั้งศพโดยไม่ปริปากพูดสักคำ ผู้ดูเดินตามหลังไปติดๆ
เห็นทหารหนึ่งร้อยนายของจวนท่านมหาเสนบาดีที่ท่าทางน่าเกรงขามยืนอยู่ด้านนอกที่ตั้งศพ อ๋องฉียิ้มมุมปากและออกคำสั่งเสียงดังว่า “เข้ามาสิ จะได้เอาไอพวกไม่รู้ที่ต่ำสูงนี้ออกไป”
พอทหารหนึ่งร้อยนายของเฮ่อจางเข้าไป ทหารจวนของอ๋องฉีก็ล้อมกันเข้ามา จ้องพวกเขาตาเขม็ง แต่ไม่มีคนออกคำสั่ง พวกเขาจึงไม่กล้าทำอันใด พอตอนนี้อ๋องฉีออกคำสั่งแล้ว ทหารของจวนอ๋องฉีก็ไม่เกรงใจผู้ใด ถืออาวุธพุ่งเข้ามา
เดิมทีทหารของอ๋องฉีนั้นเก่งกว่า บวกกับคนเยอะกว่า ทหารที่เฮ่อจางนำมาหนึ่งร้อยนาย เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ถูกจัดการออกไปนอกจวนเหมือนกับหมาไร้เจ้าของ
เห็นอ๋องฉีไม่ไว้หน้าเช่นนี้ เฮ่อจางโมโหจนเกือบจะอาเจียนเป็นเลือดแล้วพูดด้วยความโมโหว่า “ท่านอ๋อง ท่านอย่ารังแกคนให้มากนักเลย”
อ๋องฉีก้าวเดินอย่างช้าๆ เข้าไปที่ที่ตั้งศพ เขาไม่มองเฮ่อเหลี่ยนเลยแม้แต่น้อย เดินตรงมาที่หน้าเฮ่อจาง “ท่านมหาเสนบาดี ก่อนที่เหลียนอีจะตาย ข้าได้รับปากนางไว้ ถ้าหากจวนท่านมหาเสนบาดีทำสิ่งที่ไม่ควรทำต่อจวนของข้า เรื่องในอดีตข้าจะไม่ถือสา แต่หลังจากนี้ก็จะไม่ไปมาหาสู่กันอีก ถ้าหากพวกท่านยังทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก็อย่ามาหาว่าข้าไม่เกรงใจ ในอดีตท่านเคยทำอันใดไว้ ท่านรู้อยู่แก่ใจ”
เฮ่อจางโดนตอกหน้าหงายไป ไม่พูดอะไรเลยสักคำ แต่เฮ่อเหลี่ยนกลับทนไม่ไว้ตะโกนออกมาว่า “พวกข้าเคยทำอันใด ท่านมีหลักฐานงั้นหรือ ถ้าไม่มี ก็อย่ามาใส่ร้ายพวกข้า”
อ๋องฉีดูถูกเฮ่อเหลี่ยนคนไร้ค่ามาแต่ไหนแต่ไร เมื่อก่อนนั้นเห็นแก่หน้าพระชายารอง เลยไว้หน้าเขาอยู่บ้าง เวลามาจวนก็นั่งคุยเล่นเป็นเพื่อน ตอนนี้แม้แต่นางสนมเขาก็เกลียดเข้ากระดูกดำ แล้วจะให้เกรงใจเฮ่อเหลี่ยนได้อย่างไรกัน เขาตอบกลับด้วยความเย็นชาว่า “ข้าจะสอบสวนและลงโทษเจ้า เจ้ายังต้องการหลักฐานอีกหรือไม่”
ตอนนี้เฮ่อเหลี่ยนเป็นเพียงประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่ง อย่าพูดถึงเรื่องมีหรือไม่มีหลักฐานเลย ต่อให้ไม่มี หากอ๋องฉีต้องการสังหารเขา ก็ไม่มีใครกล้าเห็นต่าง พออ๋องฉีพูดออกมาเช่นนั้น เฮ่อเหลี่ยนก็เกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาในทันที
เฮ่อจางในวันปกติก็ถูกขุนนางบุ๋นบู๊เป็นร้อยประจบประแจงอยู่แล้ว ทุกวันนี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไว้หน้าเขา แต่ตอนนี้อ๋องฉีไม่มีความเกรงกลัวที่ฉีกหน้าเขาเลยสักนิด ในใจนั้นก็จะต้องโกรธเป็นธรรมดาแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านมีอำนาจ แต่ท่านไม่มีโฉมหน้าที่แท้จริงหรือ”
อ๋องฉีมองไปที่เขาด้วยความชะล่าใจแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนบาดีกำลังท้าทายอำนาจข้างั้นหรือ ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามข้าพร้อมให้ท่านท้าทายด้วยเสมอ”
เฮ่อจางโดนตอกหน้าหงายอีกครั้ง ในอดีต เป็นเพราะตำแหน่ง อ๋องฉีจึงต้องทำเป็นเคารพนับถือเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา และไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับเขามาก่อน แต่วันนี้กลับไม่ไว้หน้ากันแล้ว เฮ่อจางที่ท่าทางโมโหมากพูดอย่างไปไม่เป็นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋องก็จงฟังไว้ให้ดี นับแต่นี้จวนมหาเสนบาดีกับจวนอ๋องฉีเป็นอันอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้อีกแล้ว”
อ๋องฉีไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย พูดด้วยความเย็นชาว่า “ตามใจท่านเถิด ข้าพร้อมต่อกรกับท่านจนถึงที่สุดในทุกเมื่อ”
ฝั่งหนึ่งก็เสด็จพ่อ อีกฝั่งหนึ่งก็ท่านตา หวงฝู่อวี้ฟังคำพูดของพวกเขาแล้วคุกเข่าต่อหน้าทั้งสองคน พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า “เสด็จพ่อ ท่านตา แม่ข้าพึ่งตายไป พวกท่านก็มาทะเลาะกันต่อศพนาง แม่ข้าจะจากไปอย่างไม่สงบ ข้าขอร้องพวกท่าน ได้โปรดอย่าตั้งตัวเป็นศัตรูกันเลยเสียดีกว่า”
เฮ่อจางพูดอย่างโมโหว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าแม่เจ้าไม่ได้ตายเพราะโรคร้าย แต่ถูกวางยา เจ้าจะให้ข้ารับเรื่องนี้ลงได้อย่างไร”
อ๋องฉียอมรับตรงๆ ไม่เลี่ยงเลยสักนิดแล้วพูดว่า “การกระทำของเหลียนอี ก็เหมือนกับการโยนนางลงไปในสุสานเพื่อให้อาหารสุนัขอย่างไรอย่างนั้น ข้าให้นางตายอย่างมีเกียรติ และรักษาหน้าตาของจวนมหาเสนบาดี ข้าไว้หน้าพวกเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้ากลับยังไม่สนใจ แล้วจะมาโทษข้าว่าไม่ไว้หน้าไม่ได้”
“ได้ วันนี้ท่านก็พูดให้ชัดเจนต่อหน้าอวี้เอ๋อร์และอีเอ๋อร์ แท้จริงแล้วนางทำผิดอันใด ท่านถึงวางยานาง ขอเพียงท่านบอกเหตุผลที่อีเอ๋อร์สมควรตาย ข้าจะนำทหารกลับ และนับจากนี้ไปจะไม่มาเหยียบที่จวนของท่านและจะไม่ถามไถ่เรื่องอันใดในจวนของท่านอีก ถ้าไม่อย่างนั้น อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ ต่อให้ต้องตายกันไปข้าง ข้าก็จะล้างแค้นให้อีเอ๋อร์ให้ได้”
คนใช้ในจวนคุกเข่าอยู่รอบๆ ที่ตั้งศพเต็มไปหมด
อ๋องฉีที่ถูกวางยาเป็นหมัน นี่เป็นเรื่องน่าอับอายของอ๋องฉี เรื่องแบบนี้คนใช้จะกล้าพูดออกไปได้อย่างไร
อ๋องฉีไม่ได้พูดอันใด เฮ่อจางเริ่มมีความมั่นใจแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง เอาหลักฐานออกมาสิ ท่านไม่พูดหมายความว่าอย่างไร”
อ๋องฉีอ้าปากเมือนจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เฮ่อจางกำลังจะพูด หลิงหลงก็หยิบสมุดด้วยความว่องไว หลังจากโค้งแสดงความเคารพอ๋องฉีแล้ว ก็เอาของที่อยู่ในมือให้อ๋องฉีแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อบอกว่านี่คือหลักฐานการตายของนางสนม ซื่อจื่อยังบอกอีกว่าถ้าหากท่านมหาเสนบาดีไม่อยากเสียผู้สืบทอดเชื้อสายล่ะก็ ให้รีบไสหัวออกไปจากจวนอ๋องฉี”
อ๋องฉีแปลกใจมาก
เฮ่อจางโมโหจนเลือดขึ้นหน้า โมโหจนลุกขึ้นมา
อ๋องฉีหยิบสมุดมา พอเปิดดูก็ต้องหรี่ตาทันที แล้วหันกลับไปจ้องที่เฮ่อเหลี่ยน สายตาคู่นั้นประหนึ่งใครจะแทงเขาให้ตายอย่างไรอย่างนั้น
เฮ่อเหลี่ยนตัวสั่นเพราะรับความดุดันจากสายตาคู่นั้นไม่ไหว
อ๋องฉีขว้างสมุดใส่เฮ่อจางแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนบาดีลองดูให้ดีๆ ลูกชายและลูกสาวของท่านร่วมมือกันทำเรื่องอันใดไว้ แค่นี้ก็พอให้สังหารทั้งตระกูลแล้ว”
ไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเฮ่อจางเช่นนี้ เขาโกรธมาก ไม่สนใจสมุดที่หล่นอยู่บนพื้นเลยสักนิด ตาจ้องเขม็งไปที่อ๋องฉีแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ”
หึ อ๋องฉีตอบกลับด้วยความเย็นชา
แต่ไหนแต่ไรหวงฝู่อวี้ไม่เคยเห็นอ๋องฉีโมโหขนาดนี้ก่อน รู้ได้ด้วยตัวเองว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ เขาโค้งตัวลงไปหยิบสมุดขึ้นมาส่งให้เฮ่อจางแล้วพูดว่า “ท่านตา ท่านลองดูหน่อยเถอะ”
เฮ่อจางรับสมุดมาแล้วเปิดดู ดูแค่แวบเดียว หน้าก็ออกอาการ หลังจากกดูจนจบสีหน้าก็เปลี่ยนไป แล้วเขาก็เขวี้ยงสมุดใส่หน้าเฮ่อเหลี่ยนแล้วพูดว่า “ไอลูกไม่รักดี เจ้าเป็นคนทำเรื่องเหล่านี้หรือ”
เฮ่อเหลี่ยนถูกทุบด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่กล้าร้องส่งเสียง รีบหยิบสมุดที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมา พอเปิดดูก็ถึงกับตกตะลึงจนเหงื่อแตกพลั่ก เดิมทีสิ่งที่เขียนอยู่ในสมุดเล่นนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องที่เขาและนางสนมลักลอบปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง วันเดือนปีไหน ให้ใครเท่าไหร่บ้าง ไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อย
ดูท่าทางเขาแล้ว เฮ่อจางยังมีอะไรไม่เข้าใจอีกหรือ การลักลอบปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงนั้นมีโทษประหารมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ถ้าหากอ๋องฉีนำเรื่องนี้ไปรายงานฮ่องเต้ให้ทราบ อย่าว่าแต่ชีวิตลูกสาวตัวเองตายเปล่าเลย ชีวิตของเฮ่อเหลี่ยนก็จะรักษาไว้ไม่ได้ แม้กระทั่งจวนมหาเสนบาดีก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านมหาเสนบาดีก็จะไม่มีผู้สืบทอดเชื้อสายจริงๆ แล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น