ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 136-137
ตอนที่ 136 ข้าชอบใจนัก
พระชายารองกล่าวอย่างอาลัยว่า “มอมอ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าขอให้ความตายเป็นจุดจบ มิเช่นนั้นก็จะพาลให้เสด็จพ่อและพี่ใหญ่เดือดร้อนไปด้วย ท่านอ๋องกำลังโกรธมาก ไม่มีทางปล่อยคนที่จวนมหาเสนาบดีไปหรอก หากข้าตายไปสักคนทุกอย่างก็คงจบ จวนของมหาเสนาบดีก็ปลอดภัย ส่วนอวี้เอ๋อร์นั้น เขาเองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอ๋อง สองแม่ลูกชั้นต่ำนั่นคงมิกล้าทำอะไรเขาหรอก”
มอมอใกล้จะสิ้นลมแล้ว ตอนนี้แค่หายใจก็ยังลำบาก แม้อยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้านางอีกครั้งก็ยังไม่มีแรงพอ พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้ากระนั้นแล้ว ข้าน้อยก็ขอลาไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าน้อยจะไปรอนายหญิงที่ตรงนั้น รอนายหญิงตามมา” พูดจบมือที่ยกขึ้นมาก็ร่วงลง หมดลมหายใจลงในที่สุด
พระชายารองน้ำตาไหลอาบแก้ม ร้องอย่างเจ็บปวดว่า “มอมอ!”
กระดูกทั้งร่างของชุ่ยเหลียนถูกทุบจนหักหมดแล้ว นางรู้ว่ามอมอสิ้นลมแล้ว แต่กลับไม่มีแรงจะคลานมาหา นางสูดหายใจเข้า ใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ พูดอย่างเสียใจว่า “มอมอ!”
พระชายารองได้สติกลับมา นางรีบถามไปว่า “ชุ่ยเหลียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ชุ่ยเหลียนไม่มีแรงส่ายหน้า นางอ้าปากหลายครั้งถึงพูดออกมาว่า “นายหญิงเจ้าคะ ข้าน้อยเจ็บเหลือเกิน ท่านได้โปรดสงเคราะห์ข้าด้วยเถิด”
พระชายารองส่ายหน้าระรัว น้ำตาไหลพรากออกมา “ไม่ ไม่ ไม่…”
ตอนนี้มีเพียงดวงตาของชุ่ยเหลียนเท่านั้นที่ยังขยับไปมาได้ นางมองพระชายารอง “นายหญิง กระดูกทั้งร่างของข้าถูกตีจนหักหมดแล้ว ตอนนี้ข้าตายดีกว่าอยู่ ได้โปรดเถิด ส่งให้ข้าได้ไปสบาย อย่างน้อยข้าจะได้รีบตามมอมอไป ไปอยู่เป็นเพื่อนนาง”
พระชายารองส่ายหน้า
ชุ่ยเหลียนขอร้องอีกครั้ง “นายหญิง ชุ่ยเหลียนขอร้องท่าน ได้โปรดสงเคราะห์ข้าด้วยเถิด ชาติหน้าฉันใดข้าจะกลับมาเป็นข้ารับใช้ท่านอีก”
พระชายารองหยุดส่ายหน้า จ้องมองนางนิ่งๆ
ชุ่ยเหลียนพูดไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงกรอกสายตาไปมา ขอร้องให้พระชายารองให้ส่งนางไปสบาย
พระชายารองค่อยๆ ยืนขึ้น เดินไปที่เตียง หยิบหมอนแล้วเดินกลับมาที่เดิม นางคุกเข่าลงตรงหน้าชุ่ยเหลียน พูดทั้งน้ำตาว่า “ชุ่ยเหลียน เจ้ากับมอมอไปกันก่อน อีกไม่นานข้าจะตามพวกเจ้าไป”
ชุ่ยเหลียนยิ้มออกมา กะพริบตาให้นางเพื่อบอกว่าตนรับรู้แล้ว
พระชายารองกัดฟัน ใช้หมอนปิดจมูกของนาง ชุ่ยเหลียนไม่ดิ้นรนขัดขืน และหมดลมไปในที่สุด น้ำตาเม็ดโตของพระชายารองหยดลงบนหมอน ในห้องมีแต่ความเงียบงัน เวลาผ่านไปเนิ่นนาน พระชายารองถึงได้วางหมอนลง นางนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างร่างไร้วิญญาณของทั้งสองด้วยสายตาเหม่อลอย
เมื่ออ๋องฉีเดินออกมาจากเรือนพระชายารอง ก็ตรงไปที่ห้องหนังสือทันที
ฝีเท้าของพระชายาหยุดลลงเล็กน้อย นางพาคนจำนวนหนึ่งไปที่ห้องของนาง
หลังจากพ่อบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว จึงเดินมาถามว่า “นายหญิง จะจัดการกับเหลียนเซียงอย่างไรดีขอรับ”
“ขายนางไปเถอะ!” พระชายากล่าว
พ่อบ้านตอบรับ
พระชายายังพูดต่อว่า “ไปเก็บกวาดเรือนเต๋อซิน ให้ซื่อจื่อไปพักที่นั่นชั่วคราว”
ฉู่เหวินเจี๋ยและเฝิงจิ้งซูทำเรื่องแบบนั้นในหอนอนของหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อี้เซวียนจะกลับไปนอนที่นั่นอีกได้อย่างไร
พ่อบ้านเองกำลังจะถามถึงเรื่องนั้น เมื่อได้ยินพระชายาพูดแล้ว จึงได้โค้งคำนับและจากไปเพื่อสั่งให้คนไปเก็บกวาดจวนเต๋อซิน
อันที่จริงแล้ววันนี้ควรจะเป็นวันที่ดี ในที่สุดก็สามารถยกเลิกงานสมรสของหวงฝู่อี้เซวียนไปได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่พระชายารองสารภาพสิ่งที่ตนเองได้ทำมาตลอดหลายปี ทุกเหตุการณ์ ทุกเรื่องทำให้ทุกคนต้องตกใจ พระชายารู้สึกเสียขวัญเป็นอย่างมาก เอื้อมมือไปคว้ามือของเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ “โยวเอ๋อร์ หากไม่ได้เจ้าป่านนี้เซวียนเอ๋อร์ก็คงได้รับพิษยานั่นแล้ว ข้าไม่รู้จะขอบคุณเจ้าอย่างไรดี”
คนที่ปกติแล้วเป็นคนจริงจังอย่างหวงฝู่อี้เซวียน ก็ยอมเล่นมุขเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง และเพื่อขจัดเอาความเครียดในใจของพระชายาออกไป “ข้าก็เอาตัวข้ามอบให้นางแล้วอย่างไรล่ะ เสด็จแม่ไม่ต้องขอบคุณนางหรอกขอรับ”
พระชายายิ้มออก มองค้อนเขาเล็กน้อย “เจ้าน่ะ หากภายหน้าเจ้าทำเรื่องให้โยวเอ๋อร์ต้องเสียใจ แม่จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนตกปากรับคำทันที “ท่านแม่วางใจได้เลย ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นนั้นเป็นอันขาด”
ในที่สุดก็มีเรื่องดีขึ้นเสียที พระชายาได้ระบายเรื่องที่อยู่ในใจออกมา ก็รู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อมองไปที่ฉู่เหวินเจี๋ยที่นั่งขมวดคิ้วอยู่ จึงถามว่า “เหวินเจี๋ย เดี๋ยวคืนนี้ให้โยวเอ๋อร์ไปที่จวนตระกูลเฝิง เพื่อถามความเห็นของพวกเขา เจ้าเตรียมใจเอาไว้ ถ้าแม่นางเฝิงไม่ตกลง พวกเราก็มิอาจบังคับขืนใจได้ ให้พวกเขายื่นข้อตกลงมาตามสะดวก แต่หากยอมรับ เจ้าก็เตรียมตัวเรื่องสินสอด และไปสู่ขอนางเสีย”
สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดว่า “ท่านพี่ ข้าคิดเอาไว้แล้ว หากแม่นางเฝิงไม่ยอมรับเรื่องนี้ วันรุ่งข้าจะไปพบฮ่องเต้และลาออกจากการเป็นแม่ทัพ ข้าจะออกจากเมืองหลวง และจะไม่กลับมาอีก”
“เจ้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร” พระชายาตกใจจนยืนขึ้น พูดว่า “วันนี้จวนแม่ทัพก็เหลือแค่เจ้ากับข้าสองคนพี่น้อง หากเจ้าจากไปแล้ว พี่จะทำอย่างไร? หากยังไม่มีการตอบรับจากจวนตระกูลเฝิง เจ้าก็ห้ามมีความคิดเช่นนี้”
สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยกลับมาเป็นดังเดิม พูดว่า “ปกติแล้วข้าเข้มงวดกับทหารมาก มิยอมให้เกิดเรื่องที่เหล่าพลทหารไปรังแกแม่นางที่ใดเป็นอันขาด แต่วันนี้ข้ากลับทำความผิดเสียเอง หากไม่ลงโทษตัวเอง ภายภาคหน้าข้าจะกล้ามองหน้าพลทหารได้อย่างไร ข้าตัดสินใจดีแล้ว ท่านพี่อย่าห้ามข้าเลย หากข้าจากไปแล้วข้าจะส่งข่าวมาบอกอย่างสม่ำเสมอ”
พระชายากำลังจะเปิดปากพูด แต่เมิ่งเชี่ยนโยวชิงพูดก่อน “ท่านแม่ทัพ ข้าคิดมาตลอดว่าท่านเป็นผู้ที่ใจกล้าและมีความรับผิดชอบ คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะมีความคิดที่ไม่รับผิดชอบเช่นนี้ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ท่านได้ทำให้ซูเอ๋อร์มีมลมิน แล้วท่านก็จากไปเช่นนี้ นางจะทำอย่างไรต่อไป ชื่อเสียงของท่านนั้นรู้กันไปทั่ว คนที่เคารพท่านก็มีมาก แม้ว่าพวกเราจะทราบกันดีว่าเรื่องวันนี้ความจริงคืออะไร แต่คำคนนั้นน่ากลัวนัก จะพูดต่อกันว่าอย่างไรก็มิรู้ได้ บางทีอาจจะพูดต่อกันไปว่าซูเอ๋อร์เป็นคนยั่วยวนท่านเองก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นนางจะทำเช่นไร ตระกูลเฝิงจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้อย่างไร”
ฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้คิดรอบคอบขนาดนี้ จึงอึ้งจนพูดไม่ออก เป็นเวลานานจนกว่าจะพูดออกมาได้ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไร”
“ท่านแม่ทัพคิดว่าซูเอ๋อร์เป็นคนอย่างไรเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับย้อนถามเขาด้วยคำถามนี้
ฉู่เหวินเจี๋ยอึ้งไปเล็กน้อย ไม่รู้จะทำเช่นไร
พระชายาตอบแทนว่า “นางเป็นเด็กดี นิสัยตรงไปตรงมา น่ารัก อารมณ์ดี ใจกว้าง ไม่เสแสร้ง ข้าชอบนาง”
“ท่านแม่ทัพหล่ะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงถามฉู่เหวินเจี๋ยต่อ
ผิวสีคล้ำของฉู่เหวินเจี๋ยมีสีแดงระเรื่อออกมา สีหน้าเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็มีแผนให้ท่าน วันพรุ่งท่านจงนำขบวนขันหมากไปทำการสู่ขอที่จวนตระกูลเฝิง หากแม่นางซูเอ๋อร์ไม่ยอม ท่านก็ใช้ตำแหน่งของท่านเข้าข่ม นางเป็นคนใสซื่อ หากท่านดีกับนางรักและดูแลนางดี ไม่นานนางจะต้องยอมยกใจให้ท่านเป็นแน่”
“ความคิดนี้ดี” พระชายาเห็นด้วยเป็นอย่างมาก “อย่างนี้ถือเป็นการให้เกียรติตระกูลเฝิง แล้วยังสามารถสู่ขอแม่นางซูอย่างสมศักดิ์ศรีด้วย” ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดี จึงรีบพูดต่อว่า “เหวินเจี๋ย เจ้าอย่ามัวแต่นั่งพัก รีบกลับไปเตรียมเรื่องสินสอด วันพรุ่งข้าจะไปทำเรื่องสู่ขอกับเจ้า ต่อให้พวกเขาไม่ไว้หน้าแม่ทัพอย่างเจ้า อย่างน้อยก็ต้องไว้หน้าคนจากจวนอ๋องอย่างข้า การสู่ขอต้องเป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอน”
ฉู่เหวินเจี๋ยไม่เคยให้อำนาจข่มขู่ผู้ใดมาก่อน จึงทำให้สับสนชั่วครู่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรีบเสริมไปว่า “ท่านแม่ทัพอย่าลังเลอีกเลย รีบกลับไปเตรียมสินสอดเถิดเจ้าค่ะ เรื่องการสมรสยิ่งตกลงกันเร็วเท่าไรยิ่งดี หากยืดเยื้อออกไป มีคนนินทาว่าแม่นางเฝิงมีครรภ์จะเป็นเรื่องใหญ่”
เมื่อพูดถึงเรื่องลูก ความลังเลของฉู่เหวินเจี๋ยก็หายไป รีบลุกยืนขึ้น “ได้ ข้าจะรีบกลับไปเตรียมสินสอดเดี๋ยวนี้ วันพรุ่งข้าจะไปทำการสู่ขอแม่นางเฝิง” พูดจบ ก็เดินออกไปด้วยฝีเท้าเร่งรีบ ไม่แม้แต่จะกล่าวลาพระชายาเลย
เห็นท่าทีรีบร้อนของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวแอบยิ้มอยู่ผู้เดียว หวงฝู่อี้เซวียนมองนางด้วยสายตาเอ็นดู แล้วส่ายหัวเล็กน้อย พระชายาก็ดีใจจนยิ้มออกและต้องเชยชมนาง
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับขมวดคิ้ว พูดว่า “อี้เซวียน อี้เอ๋อร์ยังไม่ได้กลับมาเลยใช่ไหม”
หวงฝู่อี้เซวียนทำท่านึก และพบว่าไม่ได้เห็นหวงฝู่อี้มาพักใหญ่แล้ว จึงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ตั้งแต่ทานอาหารเสร็จ ข้าก็มาหาเจ้าที่จวนท่านแม่ทัพจากนั้นก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลย”
“ข้าให้เขาไปเอายาน่ะ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก”
พระชายาและหวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้เล่าเรื่องที่เฝิงจิ้งซูถูกวางยา จึงพานางไปที่ห้องของหวงฝู่อี้เซวียน จากนั้นก็วิ่งออกมาหาหวงฝู่อี้เซวียน และได้เจอกับหวงฝู่อี้พอดี จึงสั่งให้เขาไปซื้อยาให้ทั้งสองฟัง เล่าจบก็ขมวดคิ้ว “เขาออกไปใช้เวลามิใช่น้อยแล้ว ต่อให้ไปซื้อยาจากทั่วทั้งเมือง ก็ควรกลับมาได้แล้ว”
นางเพิ่งพูดจบ เสียงของหวงฝู่อี้ที่ถามหาหลิงหลงก็ดังขึ้น “แม่นางหลิงหลง ซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งอยู่ด้านในหรือไม่”
ไม่ต้องรอหลิงหลงตอบรับ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปด้านนอกพร้อมกัน แต่เมื่อเห็นหวงฝู่อี้ก็ต้องใจหาย หวงฝู่อี้ไม่เพียงเสื้อผ้าท่อนบนขาดรุ่งริ่ง แต่ใบหน้าที่ขาวสะอาดก็มีรอยม่วงช้ำ บนหน้าผากยังมีรอยเลือดซึมออกมาอีก
เมื่อเห็นทั้งสองคน หวงฝู่อี้ก็เดินโซเซเข้ามาหา พร้อมชูห่อยาขึ้นมา “แม่นางเมิ่ง ข้ากลับมาช้าไปเสียหน่อย”
“เจ้าไปทำกระไรมาเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยความห่วงใย
หวงฝู่อี้หลบสายตาเขา “ตอนข้าออกไปเอายา ม้าเกิดพยศขึ้นมา ข้าเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับชาวบ้าน จึงรีบกระโดดลงจากม้าและไปห้ามม้าไว้จึงเป็นเช่นนี้ แต่ข้าเพียงผิวถลอกเล็กน้อย ไม่มีอะไรมาก ซื่อจื่อมิต้องเป็นกังวลขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเชื่อคำพูดของเขา เมื่อตรวจดูร่างกายของเขาแล้วพบว่ามิได้เป็นกระไรมากจึงวางใจ พูดว่า “เจ้าไป…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทของเขา จ้องไปที่หวงฝู่อี้ “อี้เอ๋อร์ อี้เซวียนเห็นเจ้าเป็นน้องชายแท้ๆ คนหนึ่ง หวังว่าเจ้าจะไม่ปิดบังเขาไม่ว่าเรื่องใด มิเช่นนั้นผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรเจ้าคงรู้ดี”
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลง
หวงฝู่อี้กลืนน้ำลาย ก้มหัวลง พูดด้วยเสียงเบาว่า “ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้ซื่อจื่อเดือดร้อนก็เท่านั้น”
“เจ้าอยู่กับเขามาหลายปี มิรู้หรือว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่อปัญหา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หวงฝู่อี้พูดด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม “แต่วันนี้ที่จวนเกิดเรื่องขึ้นมิใช่หรือขอรับ”
“อี้เอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนตะคอกเขา
หวงฝู่อี้เงยหน้า
ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนจริงจัง พูดด้วยเสียงต่ำว่า “ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า เจ้าจะผิดบังข้าหรือ”
หวงฝู่อี้อึ้งเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า “ข้ามิปิดบังพี่ใหญ่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “พูดสิ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หวงฝู่อี้บอกเรื่องราวทั้งหมดตามสัตย์จริงโดยไม่ลังเล “แม่นางเมิ่งสั่งให้ข้าไปซื้อยา ข้าจึงขี่ม้าของจวนไปยังร้านยาที่ใกล้ที่สุด เมื่อพ่อค้าจัดยาให้เรียบร้อยแล้วข้าก็ถือห่อยามาและรีบเดินกลับ จู่ ๆ ก็มีชายกำยำโผล่ออกมา และมาแย่งห่อยาไปจากมือข้า พร้อมทั้งใช้เท้าเหยียบขยี้จนเละ หนำซ้ำยังข่มขู่พ่อค้าว่าห้ามมิให้จัดยาให้กับข้าอีก มิอย่างนั้นจะทำลายร้านยาของเขา เจ้าของร้านยาไม่อยากมีเรื่องกับพวกมัน จึงไม่ขายยาให้ข้า ข้าจึงไปซื้อยาที่ร้านอื่น แต่พวกมันตามข้าไปด้วย ร้านยาละแวกนั้นจึงไม่มีใครขายยาให้ข้า ข้าจึงไปจัดการกับพวกมันด้วยความใจร้อน จึงถูกพวกมันทำร้ายแบบนี้”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเคร่งขรึมขึ้น ถามว่า “เจ้ารู้ไหมว่าพวกมันคือผู้ใด”
หวงฝู่อี้ส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ตอนสุดท้ายข้าไปร้านยาเต๋อเหรินจึงได้ยามา”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน เรื่องนี้ค่อยเห็นได้ชัดว่ามีคนไม่ต้องการให้หวงฝู่อี้ซื้อยาได้สำเร็จ นอกจากพระชายารองแล้ว หากจะมีใครสักคนรู้แผนการณ์นี้ก็คงจะต้องเป็น…
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดปากพูด “อี้เอ๋อร์ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ สองสามวันต่อจากนี้ก็อย่าเพิ่งไปเข้าเฝ้าใกล้ชิด เดี๋ยวข้าจะให้พ่อบ้านไปตามหมอมาให้เจ้า ให้เขาตรวจเจ้าโดยละเอียดอีกรอบ”
“ขอบพระทัยซื่อจื่อ แต่มิจำเป็นหรอกขอรับ มีแต่แผลถลอกเท่านั้น นอนพักวันเดียวก็หาย” หวงฝู่อี้ยกมือปราม
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ตอแย เขาพยักหน้า “ไปเถอะ กลับไปพักผ่อนได้”
หวงฝู่อี้ตอบรับ หันหลังกำลังจะเดินไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนนึกขึ้นได้ว่าตนเองได้ย้ายหอนอนแล้ว จึงสั่งว่า “ข้าย้ายไปพักที่เรือนเต๋อซินเป็นการชั่วคราว เจ้าไปที่นั่นเถอะ”
ตอนที่ 137 เจ้าต้องสาบานอย่างจริงจัง
เวลานี้หวงฝู่อี้ไม่ได้อยู่ในจวน จึงไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในจวนบ้าง เมื่อได้ยินคำของหวงฝู่อี้เซวียนดังนั้น จึงเกิดความสงสัยในใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป และไปพักผ่อนที่เรือนเต๋อซินอย่างว่าง่าย
ทั้งสองเดินกลับเข้ามาในห้อง
พระชายาก็ได้ยินสิ่งที่หวงฝู่อี้พูด จึงเดาได้ในใจ เมื่อสองคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง นางจึงพูดกับทั้งสองว่า “ต้องเป็นแผนของคนในจวนมหาเสนาบดีเป็นแน่”
“เป็นฝีมือของท่านชายใหญ่เป็นแน่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างมั่นใจว่า “มหาเสนาบดีรับข้าราชการมาหลายปี ทำงานอย่างละเอียดจนเป็นนิสัย วันนี้มีเพียงไม่กี่ตระกูลมารวมตัวกัน หากทำเรื่องเลวร้ายลงไปก็จะถูกจับตัวได้ไม่ยาก มหาเสนาบดีไม่ทำเรื่องประจานตัวเองเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ จะต้องเป็นแผนการณ์ของเฮ่อเหลี่ยนเจ้าคนไม่มีสมองนั่นเป็นแน่ แสดงว่าเขาสั่งคนมาจับตามองจวนอ๋องอยู่ตลอดเวลาจึงได้รู้ทันทีเมื่อหวงฝู่อี้ออกไปนอกจวน”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
พระชายากร่นด่าด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น “เจ้าคนไร้ค่า จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักทำตัวให้ดีอีก ไม่แน่ว่าเหตุการณ์ลอบฆ่าข้าครั้งนั้น รวมถึงเหตุการณ์ลอบข้าหวงฝู่อี้เซวียนก็มีมันร่วมด้วย”
“เฮ่อเหลี่ยนเป็นคนไร้สมอง มิจำเป็นจะต้องกลัวหรอกขอรับ ข้าจะจัดการเขาอย่างสาสมในสักวัน กลับกัน มหาเสนาบดีต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ เราจะต้องหาโอกาสที่เหมาะสมแล้วกำจัดเขาเสีย” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นด้วย “ต้องมีโอกาสในสักวัน ตอนนี้พวกเราไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เรื่องสมรสของท่านแม่ทัพสำคัญกว่า อย่าให้พวกเขารู้เรื่องของพระชายารองแล้วป่าวประกาศไปทั่ว ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเกิดผลกระทบกับชื่อเสียงของท่านแม่ทัพและแม่นางเฝิงเป็นแน่”
“ใช่ ใช่ ใช่” พระชายาพยักหน้าเห็นด้วย พูดจบก็สั่งหวงฝู่อี้เซวียน “ยังเหลือเวลาก่อนถึงเวลาอาหารค่ำ เจ้าพาโยวเอ๋อร์ไปพักที่เรือนของเจ้าก่อนเถิด รอรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วเจ้าค่อยไปส่งนางที่จวนตระกูลเฝิง”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า พาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากจวนพระชายา กลับไปยังเรือนเต๋อซิน พ่อบ้านได้สั่งให้คนมาจัดการเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วเมื่อเดินไปถึงจวน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เจ้าส่งคนไปบอกข่าวกับพี่ชายสองที่โรงงานหัตถกรรมที เขาต้องรอข่าวจากข้าอยู่เป็นแน่”
ชิงหลวนและจูหลีไม่ได้มากับนางวันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่มีคนรับใช้ หวงฝู่อี้เองก็ได้รับบาดเจ็บ และกลับไปพักผ่อนตามคำสั่งแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนคิดเล็กน้อย จึงให้คนไปเรียกรถม้ามา สั่งให้เขาไปส่งข่าวให้เมิ่งฉีที่โรงงานหัตถกรรมที่เป่ยเฉิง ว่าเรื่องงานแต่งของเขากับหลินหานเยียนนั้นถูกยกเลิกไปแล้ว คืนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวจะไปรักษาเฝิงจิ้งเหวินที่จวนตระกูลเฝิง วันนี้คงไม่กลับบ้าน รอเมื่อรักษาเสร็จแล้ว เขาจะส่งนางกลับบ้านด้วยตนเอง และยังสั่งคนรถด้วยว่า ให้บอกเมิ่งฉีตามคำที่ตนบอกเท่านั้น อย่าเติมคำพูดลงไปเอง
วันนี้เรื่องที่พวกชุ่ยเหลียนถูกทำโทษได้ทำให้คนในจวนกลัวไปหมด คนม้าเองก็เช่นกัน เมื่อได้ยินคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้าระรัว พร้อมรับคำว่า “ซื่อจื่อโปรดวางใจขอรับ ข้าน้อยจะไม่แต่งเติมคำแม้แต่น้อย”
หวงฝู่อี้เซวียนยกมือเป็นสัญญาณให้ไปได้ คนม้าจึงออกไปที่หลังจวนเพื่อเตรียมรถม้า และไปยังเป่ยเฉิง
ทั้งสองกลับเข้ามาในห้อง น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความความตื่นกลัว “โยวเอ๋อร์ โชคดีที่ไม่ใช่เจ้า โชคดีนะที่ไม่ใช่เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมปลอบเขาว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้ารู้วิชาแพทย์ เรื่องเล็กน้อยพวกนี้หลอกข้าไม่ได้หรอก ครั้งล่าสุดในคุก ข้าก็มิได้ปล่อยให้พวกมันได้ใจมิใช่หรือ”
ริมฝีปากของหวงฝู่อี้เซวียนขยับเล็กน้อย ก่อนพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “โยวเอ๋อร์ สัญญากับข้านะ ภายหน้าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าต้องห้ามอยู่ห่างข้าเป็นอันขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “เรื่องงานแต่งของท่านกับหลินหานเยียนยังทำอะไรข้าไม่ได้ ข้าก็ยังมาเมืองหลวงเพื่อขัดขวางได้ บัดนี้งานแต่งถูกยกเลิกไปแล้ว ข้าก็วางใจมากขึ้น แล้วอย่างนี้ ข้าจะหนีห่างจากท่านได้อย่างไรหล่ะเจ้าคะ”
หวงฝู่อี้เซวียนดึงดันจะเอาคำสาบานจากนางให้ได้ “เจ้าต้องสัญญากับข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็จะไม่ทิ้งข้าไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา จึงหัวเราะพร้อมให้สัญญาว่า “ข้าสัญญาเจ้าค่ะ ว่าชาตินี้ข้าจะอยู่กับท่านไปตลอด”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่พอใจ เขาจ้องนาง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ได้ เจ้าจะพูดอย่างขอไปทีไม่ได้ เจ้าต้องตั้งใจสาบาน ข้าจึงจะเชื่อเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บรอยยิ้มเอาไว้ ยื่นมือขวาไปลูบใบหน้าของเขา ถามอย่างสงสัยว่า “อี้เซวียน เจ้าเป็นอะไรไป”
หวงฝู่อี้เซวียนดึงดันพูดต่อว่า “รีบให้สัญญากับข้า”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีล้อเล่น เมิ่งเชียนโยวจึงทำตามความปรารถนาของเขาอย่างจริงจังและตั้งใจรับคำ “ข้าให้สัญญา ว่าจากวันนี้ไปข้าจะไม่จากเจ้าไปที่ใด”
หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มสะกดใจออกมา รอยยิ้มนั้นทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวแสบตา
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหน้าลง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดาย “เหตุใดเจ้าจึงไม่ดื้อต่อไปเล่า อย่างนั้นข้าจะได้มีเหตุผลให้กินเจ้าเสีย”
“เจ้า…” เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งยิ้มทั้งโกรธ
หวงฝู่อี้เซวียนพูดกึ่งสัญญา กึ่งรับรองว่า “รอให้งานสมรสของท่านน้าเรียบร้อยเสียก่อน ข้าจะไปขอร้องเสด็จแม่ให้ไปเข้าวังทำเรื่อง ข้าจะรีบสู่ขอเจ้าโดยเร็ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ปฎิเสธ ตอบเบาๆ ว่า “อื้ม”
เห็นสีหน้าของนางที่อ่อนเพลีย ราวกับว่ายังไม่ตื่นนอน ใบหน้าที่มีเสน่ห์ นุ่มนวล หวงฝู่อี้เซวียนก็เกิดอาการใจเต้น แต่เมื่อนึกได้ว่าตอนค่ำนางต้องเดินทางไปจวนตระกูลเฝิง เขาจึงห้ามใจตัวเองไว้ ถอนหายใจออกเบาๆ แล้วหยิบผ้าห่มผืนบางมาห่มให้ทั้งสองคน “พักสักหน่อยเถิด ค่ำนี้เจ้ายังต้องเหนื่อยอีกมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ แล้วหลับตาลง
หวงฝู่อี้เซวียนนอนตะแคงเพื่อมองนาง ไม่ยอมหลับ ราวกับว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้ตัว นางไม่ได้พูดอะไร แต่ขยับกายเข้าไปในอ้อมอกของเขา เอาหัวมุดเข้าไปในอกของเขาแทน
หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างอ่อนโยนว่า “นอนเถิด ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วข้าจะเรียกเจ้า”
เมิ่งเชียนโยวตอบรับเบาๆ ในอ้อมอกของเขา และไม่พูดอะไรต่อ ไม่นานนางก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา
หวงฝู่อี้เซวียนปิดตาลง แต่ในหัวของเขากลับวนเวียนนึกถึงเรื่องที่เขาได้ยินเสียงแปลกๆ ขณะที่เขาอยู่ในจวนของตน เสียงนั้นร้องด้วยความเจ็บปวดปางตาย เขาลืมตาขึ้น เขามองเมิ่งเชี่ยนโยวในอ้อมอกของเขาอย่างเงียบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวหายใจสม่ำเสมอ หลับอย่างสนิท หวงฝู่อี้เซวียนมองนางอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดลง ในจวนมีเสียงฝีเท้าคนดังขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงขยับตัว ถามด้วยความงัวเงียว่า “ค่ำแล้วหรือเจ้าคะ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตา พ่อบ้านเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าในห้องไม่มีแสงไฟ จึงถามด้วยเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ ตื่นแล้วหรือยังขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนรับคำว่า “ตื่นแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าเขาไม่มีน้ำเสียงโกรธ พ่อบ้านจึงหายใจโล่งอก “อาหารค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ นายหญิงให้ข้าน้อยมาตามท่านไปรับประทานอาหารขอรับ”
“เข้าใจแล้ว เจ้าไปบอกเสด็จแม่ว่าพวกเราจะรีบตามไป” หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับ
พ่อบ้านรับคำ และเดินจากไป
หวงฝู่อี้เองก็ตื่นแล้ว เมื่อได้ยินเสียงจากด้านนอก เขาจึงเดินออกมาจากห้อง เดินไปหน้าประตูและพูดว่า “ซื่อจื่อต้องการให้ข้าเข้าไปจุดไฟให้หรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะทำเอง”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาจากไป หวงฝู่อี้เซวียนจึงขมวดคิ้วลง พูดว่า “เจ้าไม่ต้องมารับใช้ข้าหรอก ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้คนนำอาหารมาให้เจ้าที่นี่”
“ซื่อจื่อวางใจได้ ข้ามิเป็นอะไรมาก ตอนนี้หายแล้วขอรับ” หวงฝู่อี้ยังคงยืนอยู่หน้าประตู และพูดอย่างนอบน้อม
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขัดเขา เขายืนขึ้น จุดตะเกียง และปลุกเมิ่งเชี่ยนโยวให้ลุกขึ้น สวมรองเท้าให้ และพานางไปยังอ่างล้างหน้า เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้นาง ทั้งหมดนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ทำอะไรเองเลย
เมื่อเช็ดหน้าให้นางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มาเช็ดหน้าตนเอง แล้วยังช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวและตนเอง จากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนจึงจูงมือของนางออกไปด้านนอก “เมื่อไม่เป็นอะไรมาก อย่างนั้นเจ้าก็ตามข้าไปรับประทานด้วยกัน”
หวงฝู่อี้ตอบรับ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินทางมาที่ห้องอาหาร
ในห้องอาหารมีเพียงพระชายานั่งอยู่ข้างโต๊ะผู้เดียว ไม่ครื้นเครงดังก่อน เงียบเหงาลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา พระชายาโบกมือให้เมิ่งเชี่ยนโยว เพื่อบอกให้นางมานั่งข้างตน ยิ้มและถามว่า “พักผ่อนสบายดีไหม”
“นอนหลับสบายจนถึงเมื่อครู่เลยเจ้าค่ะ”
พระชายาพยักหน้า “อย่างนั้นก็ดีแล้ว ค่ำนี้เจ้าคงต้องเสียแรงอีกมาก วันนี้ทานให้มากหน่อยนะ”
พูดจบ ก็สั่งหลิงหลงว่า “ยกอาหารมาได้”
ไม่นานอาหารก็ถูกนำมาจัดเรียงตรงหน้า พระชายาหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบอาหารไปวางในจานของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ พร้อมยกตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารทาน
คนเหล่านี้ต่างรู้ใจกัน ไม่มีใครถามถึงอ๋องฉี พระชายารองและหวงฝู่อวี้ แต่ท่าทีไม่ใส่ใจของพระชายา เป็นเพียงการแสดงออกเพื่อปกปิดเท่านั้น
ทั้งสามนั่งทานอาหารเงียบๆ พระชายาคีบอาหารให้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นครั้งครา และบอกให้ทานให้มากขึ้น นอกจากนี้ก็ไม่มีบทสนทนาใดๆ ขึ้นอีก
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว จึงสั่งให้คนมาเก็บสำรับ พระชายาอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังอดทนนั่งอยู่เป็นเพื่อนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว นางถอนหายใจและพูดว่า “พ่อบ้านมาแจ้งว่า ตั้งแต่อ๋องฉีไปห้องหนังสือ อวี้เอ๋อร์ก็ตามตามไปทันที เขาไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าห้องหนังสือ เพื่อขอร้องให้อ๋องฉีปล่อยตัวเหลียนอี”
ทั้งสองสบตากัน แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
พระชายาถอนหายใจอีกครั้ง พูดว่า “อวี้เอ๋อร์เป็นเด็กดี แต่สิ่งที่เหลียนฉีทำลงไปนั้น ไม่สามารถขอร้องแล้วจะได้รับการอภัยได้ แม้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องยังไม่มีรับสั่งใด แต่เกรงว่านางคงไม่มีจุดจบที่ดีแน่”
“กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนองขอรับ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางทำตัวเอง จะโทษใครไม่ได้ วันนี้เสด็จพ่อเจอเรื่องมามาก อาจจะรับไม่ไหวในคราเดียว รอให้ท่านได้สติกลับมาจะต้องมีวิธีจัดการแน่นอนขอรับ อวี้เอ๋อร์เองก็เป็นลูกในไส้ของนาง มาขอร้องแทนนางก็เป็นเรื่องที่ควรทำ เสด็จแม่อย่าห่วงไปเลยขอรับ”
พระชายาถอนหายใจเบาๆ “คนที่น่าสงสารน่ะคืออวี้เอ๋อร์นะ เกรงว่าภายหน้าเขาคงจะมีกำแพงความรู้สึกกับพวกเราเสียแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนปลอบเขา “อวี้เอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแล้ว เขาสามารถแยกแยะถูกผิดได้ เขาต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเพราะเสด็จแม่ของเขาก่อเรื่องขึ้น จะมาโทษพวกเรามิได้ แต่หากเขาจะตีตัวออกห่างจากพวกเราด้วยเรื่องนี้ ข้าก็ยอมตัดพี่ตัดน้องกับเขา”
เมื่อพูดจบ พระชายาก็รีบยกมือขึ้นห้าม พูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อนว่า “เซวียนเอ๋อร์จะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ จวนอ๋องมีแค่เจ้าสองคนพี่น้อง อย่าให้เรื่องไปถึงขั้นที่พี่น้องต้องมองหน้ากันไม่ติดเลย”
“เสด็จแม่ ท่านอย่าลืมไปว่า เบื้องหลังของอวี้เอ๋อร์คือจวนมหาเสนาบดี หากพระชายารองถูกจัดการแล้ว พวกเขาจะต้องปัดความรับผิดชอบมาให้พวกเราเป็นแน่ ถ้าหากอวี้เอ๋อร์เชื่อคำของฝั่งนั้น ความสัมพันธ์ของเราพี่น้องก็คงต้องเป็นไปแบบนั้นขอรับ”
พระชายาเงียบลง นางไม่ได้คิดถึงความจริงข้อนี้เลย แต่นางเองเห็นหวงฝู่อวี้มาตั้งแต่เล็กๆ เขาเป็นเด็กจิตใจดี ไม่เคยทำเรื่องออกนอกลู่นอกทางมาก่อน และยังเคารพเขา นางไม่อยากให้เขาเดินไปถึงจุดนั้นได้
ทั้งสามคนไม่พูดจากัน ทั้งห้องเงียบลงทันใด
เมิ่งเชี่ยนโยวทำลายความเงียบลง “ถึงเวลาค่ำแล้ว ข้าควรไปที่จวนตระกูลเฝิงแล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาพยักหน้า “ใช่ ใช่ ใช่ พวกเจ้ารีบไปเถอะ ข้ารอฟังข่าวจากพวกเจ้านะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นใบหน้านางเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย จึงกล่าวท้วงว่า “เสด็จแม่ ท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด พวกเรามิรู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด”
พระชายายกมือปราม “เมื่อบ่ายข้าได้นอนไปบ้างแล้ว แต่นอนไม่หลับเลย พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก รีบไปรีบกลับ”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากจวนอ๋องไป เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งหวงฝู่อี้ที่ดึงดันจะไปด้วยว่า “เจ้าไปบ้านข้า ให้ชิงหลวนและจูหลีนำเข็มยาไปส่งข้าที่จวนตระกูลเฝิง”
หวงฝู่อี้รับคำ กลับจวนไปจูงม้าออกมา และขี่ม้าไปหนานเฉิงทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น