ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 126-135
ตอนที่ 126 เฝิงจิ้งซูเกิดเรื่อง
ขณะเดียวกันทั้งสองคนลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกัน แล้วแลกหยกประจำตัวให้แก่กันและกัน
พระชายาฉีชูหยกประจำตัวขึ้นแล้วกล่าวกับทุกคนว่า “นี่ก็คือของแทนใจที่มอบให้กับเซวียนเอ๋อร์และเยียนเอ๋อร์ บัดนี้พวกเราขอแลกกลับคืนต่อหน้าของทุกท่านแล้ว เพื่อให้ทุกท่านเป็นสักขีพยาน นับตั้งแต่นี้ต่อไปเด็กทั้งสองคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันอีก การแต่งงานของชายหญิงทั้งคู่ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
ฮูหยินราชเลขาก็ชูหยกประจำตัวที่อยู่ในมือให้ทุกคนเห็นชัดเช่นกันแล้วพยักหน้ากล่าว “พระชายากล่าวได้ถูกต้อง นับตั้งแต่วันนี้ถือว่าได้ยกเลิกการหมั้นหมายของลูกหญิงกับซื่อจื่อแล้ว ขอให้ทุกท่านเป็นพยานด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนมองหยกประจำตัวที่อยู่ในมือของพระชายาฉีพลางหรี่ตาลง กำลังจะลุกขึ้นยืน
แต่แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็จับเขาเอาไว้ก่อน สั่นศีรษะให้เขาเบาๆ
พระชายาฉีเห็นเหตุการณ์นี้ก็รีบเก็บหยกประจำตัวเอาไว้ทันที ลำบากยิ่งกว่าที่การหมั้นหมายนี้จะยกเลิกลงได้โดยไม่ได้ทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย แล้วจะยอมให้หวงฝู่อี้เซวียนมาทำลายหยกประจำตัวที่เอาคืนมาอย่างยากลำบากนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากว่าทำการตบหน้าจวนราชเลขาแล้วทำให้พวกเขาโกรธเกลียดขึ้นมา ต่อไปคงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกเป็นแน่
พิธีการสำหรับการยกเลิกการหมั้นหมายไม่ยาก เพียงแค่แลกหยกประจำตัวให้ทุกคนเป็นสักขีพยานก็เพียงพอ ส่วนพิธีรับบุตรบุญธรรมนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ฉู่เหวินเจี๋ยนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ พระชายาฉีสั่งให้สาวใช้เอาเบาะรองนั่งเข้ามาแล้ววางไว้ไม่ไกลจากปลายเท้าของเขา หลินหันเยียนมีสาวใช้ประคองให้ลุกขึ้น นางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะคุกเข่าลงบนเบาะรองนั่งแล้วโค้งคำนับให้เข้าสามครั้งอย่างสุภาพ “ลูกหลินหันเยียนคารวะพ่อบุญธรรม”
ฉู่เหวินเจี๋ยหน้านิ่งไร้รอยยิ้ม เพียงแต่พยักหน้าให้น้อยๆ จากนั้นก็ล้วงเอาโฉนดออกมาจากอกเสื้อแล้วมอบให้กับนาง “พ่อไม่รู้ว่าควรจะมอบของกำนัลอะไรให้ดี นี่เป็นโฉนดของร้านค้าที่ติดถนน มอบให้เจ้า”
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
ราชเลขาหลินสองสามีภรรยาคิดไม่ถึงว่าฉู่เหวินเจี๋ยจะใจกว้างเช่นนี้ ต่างก็ตกตะลึง
หลินหันเยียนยิ่งไม่รู้ตัว เงยหน้าขึ้น มองเขาอย่างประหลาดใจ
ขนาดเมิ่งเชี่ยนโยวยังมิวายประหลาดใจ
มีเพียงอ๋องฉีสองสามีภรรยากับหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า ร้านนี้เดิมทีเป็นของพระชายาฉี คิดว่าตอนนี้ยกเลิกการหมั้ยหมายไป คงมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของหลินหันเยียนไม่น้อย พระชายาฉีจึงคิดที่จะมอบร้านค้าให้นางเพื่อเป็นการทดแทน เรื่องนี้ได้ปรึกษากันกับอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ผ่านการเห็นชอบจากทั้งสองคน
หลินหันเยียนรู้สึกตัว กล่าวว่า “พ่อบุญธรรม ของขวัญนี้มันมากเกินไป ลูกไม่อยากได้เจ้าค่ะ”
ถึงแม้ราชเลขาสองสามีภรรยาจะมากไปด้วยเล่ห์กล แต่ลูกสาวกลับไม่แย่ ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ น้ำเสียงนุ่มนวลอยู่หลายส่วน “รับไปเถิด ลูกผู้หญิงมีทรัพย์สินติดตัวไว้มากดีกว่า”
“นี่…” ถึงอย่างไรหลินหันเยียนก็อายุยังน้อย ตัดสินใจเองไม่ได้ หันไปมองหน้าราชเลขาสองสามีภรรยา
ทั้งสองคนพยักหน้า
หลินหันเยียนจึงยื่นมือออกไปรับโฉนด “ขอบคุณพ่อบุญธรรมเจ้าค่ะ” พูดจบก็ส่งโฉนดให้กับสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย แล้วจึงยกน้ำชาจากสาวใช้อีกด้าน ประคองด้วยสองมือส่งให้ฉู่เหวินเจี๋ย “พ่อบุญธรรม ดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยรับมา ดื่มพอเป็นพิธี แล้ววางไว้บนโต๊ะข้างๆ “ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบคุณพ่อบุญธรรมเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนลุกขึ้นยืน
“ฮ่าๆ!”
ราชเลขาหลินส่งเสียงหัวเราะดังออกมาอย่างยินดี กล่าวอย่างพึงพอใจว่า “เยียนเอ๋อร์ พ่อบุญธรรมเจ้าให้ความสำคัญกับเจ้าเช่นนี้ ต่อไปเจ้าต้องกตัญญูต่อเขาอย่างดี”
หลินหันเยียนรับคำ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
ทุกคนในห้องต่างก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ขนาดเหวินซื่อยังไม่ได้ส่งเสียงแสดงความยินดี บรรยากาศภายในห้องเกิดความอึดอัดไปชั่วขณะ
พระชายาฉีกล่าวทำลายบรรยากาศอึดอัดนี้ขึ้นว่า “ทุกท่านนั่งพักสักครู่ ข้าจะสั่งให้คนไปเตรียมอาหารเดี๋ยวนี้”
สีหน้าของราชเลขาหยินแข็งกระด้าง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
หลินจ้งเองก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แอบบ่นในใจว่าราชเลขาสองสามีภรรยานี้มีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร เอาไมตรีจิตไปแลกกับความเฉยชา
ตอนทานอาหาร ชายหญิงแยกจากกัน ผู้ชายกินเหล้าชั้นดีอยู่ด้านนั้น ส่วนผู้หญิงกลับนั่งกินของหวานอยู่ด้านนี้
เฝิงจิ้งเหวินสองคนพี่น้องกับเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งด้วยกัน ทั้งสามคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
พระชายาฉีคุยอยู่กับฮูหยินราชเลขา สีหน้ายิ้มแย้มทว่าในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น เมื่อไม่มีคำพูดก็สรรหาคำพูดมาพูดแก้เขิน
หลินหันเยียนนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยมีสาวใช้คอยรับใช้
ผู้หญิงทางด้านนี้ทานอาหารเสร็จแล้ว ส่วนทางด้านผู้ชายนั้นยังดื่มสุรากันอยู่ พระชายาฉีสั่งให้คนนำอาหารที่เหลือออกไป แล้วก็ให้สาวใช้ชงชาร้อนๆ เข้ามา
สาวใช้หลายคนต่างก็ยกน้ำชาเข้ามา หนึ่งในสาวใช้ก้มหน้านำถ้วยน้ำชาสามถ้วยมาวางไว้ตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวกับเฝิงจิ้งเหวินสองพี่น้อง
เพิ่งจะกินข้าวเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ดื่ม และก็ไม่ได้แตะต้อง
เฝิงจิ้งเหวินยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำเล็กๆ คำหนึ่ง เฝิงจิ้งซูกลับยกถ้วยน้ำช้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของนาง ยิ้มแล้วยื่นถ้วยน้ำชาของตัวเองส่งให้นาง “เผ็ดใช่ไหม”
เมื่อกี้ตอนที่กินอาหารนางสังเกตเห็นว่าเฝิงจิ้งซูกินแต่อาหารรสเผ็ดร้อน ตอนนี้เผ็ดจนปากแดงเจ่อไปหมด
เฝิงจิ้งซูแลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน พูดเสียงเบาว่า “มันอร่อยจริงๆ ข้าก็เลยอดไม่ได้กินไปหลายคำเลย”
เฝิงจิ้งเหวินยิ้มอย่างจนปัญญาแล้วอธิบายว่า “นางน่ะ ชอบทานเผ็ดตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่กินเสร็จ วันต่อมาก็จะมีผื่นขึ้น ท่านแม่ข้ากลัวว่าจะทำลายผิวของนาง จึงสั่งไม่ให้นางกินอีก วันนี้ไม่มีคนห้าม นางก็เลยดีใจ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หน้าของนางจะดูได้ไหม”
“ถึงจะดูไม่ได้ แต่ผ่านไปสองวันก็ดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก” เฝิงจิ้งซูไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าใบหน้าของตัวเองจะกลายเป็นเช่นไร ว่าแล้ว ก็ยกถ้วยน้ำชาของเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นดื่มจนหมดถ้วยโดยไม่รู้สึกเกรงใจ
“ยังต้องการอีกไหม จะได้ให้สาวใช้ไปชงมาให้เจ้าอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เฝิงจิ้งซูส่ายหน้า เขยิบเข้าไปใกล้นาง พูดเสียงเบาว่า “กินอิ่มแล้ว ไม่ได้ทำอะไรแล้ว พวกเราไปเดินเล่นได้หรือยัง”
ช่างเป็นนิสัยของเด็กจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางโคลงศีรษะ ลุกขึ้น แล้วกล่าวกับพระชายาฉีว่า “พระชายาเพคะ หม่อมฉันกับน้องซูเอ๋อร์ขอไปเดินเล่นสักครู่”
พระชายาฉีเพิ่งจะรับปากเฝิงจิ้งซูไป ว่าจะให้ไปพานางไปเดินสำรวจดูรอบๆ จวน ได้ยินเช่นนั้นจึงสั่งหลิงหลงว่า “หลิงหลง เจ้าพาโยวเอ๋อร์กับคุณหนูเฝิงไปเดินเล่นเถิด”
หลิงหลงรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันไปเดินเล่นกับน้องซูเอ๋อร์สองคนก็ได้”
พระชายาฉีพยักหน้า “ก็ได้ ไปเถอะ อีกสักครู่ทางด้านนั้นแยกน้ายกันแล้ว ข้าจะส่งคนไปเรียกพวกเจ้า” พูดจบก็หันไปถามเฝิงจิ้งเหวิน “ฮูหยินเหวินจะไปด้วยกันไหม”
“ให้พวกนางไปกันเถอะเพคะ หม่อมฉันจะอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนท่าน” เฝิงจิ้งเหวินตอบด้วยรอบยิ้ม
ทั้งสองคนทำความเคารพ แล้วก็เดินเคียงคู่กันออกไป
เฝิงจิ้งซูมีนิสัยร่าเริงมีชีวิตชีวา ตอนที่มีคนอยู่ด้วยก็จะแสดงเป็นคุณหนูกุลสตรีผู้เพียบพร้อม ทำให้คนมองไม่เห็นนิสัยซุกซน ตอนที่ไม่มีคนก็กลับคืนนิสัยเดิม พอเดินออกจากประตูห้องโถงกินข้าว ก็โอบไหล่ของเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงสดใสว่า “พี่เมิ่ง คราวนี้ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาข้าแล้ว จวนอ๋องฉีไม่ธรรมดาเลย สูงศักดิ์ มีราศี ทุกที่ดูหรูหราไปหมด บ้านหลังเล็กๆ ของเราถ้าเทียบกันแล้วดูไร้ค่าไปเลย”
บ้านตระกูลเฝิงเป็นตระกูลคหบดี อยู่ในเมืองหลวงถือว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตา แต่พอเฝิงจิ้งซูพูดเช่นนี้ก็แทบจะเปรียบได้กับบ้านของชาวบ้านทั่วไป
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ “จวนอ๋องฉีย่อมต้องตกแต่งอย่างหรูหราเป็นธรรมดา แต่ว่าไม่ได้เกินไปอย่างที่เจ้าพูด ข้ารู้สึกว่าไม่แตกต่างจากจวนของเจ้าเลย”
“แตกต่างมากเลย แค่ลานบ้านก็ยังใหญ่กว่าของบ้านพวกเราตั้งหลายเท่า”
ทั้งสองพลางพูดพลางเดินเล่น
ไม่มีผู้นำทาง เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่ค่อยจะคุ้นเคยภายในจวนนี้ ทั้งสองคนเดินไปถึงไหนก็ถึงที่นั่น โชคดีที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีความสามารถในการจดจำเป็นอย่างดี จำไว้ว่าเดินผ่านตรงไหนไปบ้างแล้ว จะได้ไม่ลืมทางกลับ
ทั้งสองคนเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย มีสาวใช้คนหนึ่งเดินตามเข้ามา แล้วคารวะทั้งสองคน “แม่นางทั้งสอง พระชายาบอกว่าอีกพักใหญ่ทางด้านนั้นถึงจะเลิกดื่มสุรา กลัวว่าพวกท่านจะเดินเหนื่อย จึงให้บ่าวพาพวกท่านหาทั่งนั่งพักผ่อนอยู่ใกล้ๆ แถวนี้เจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สงสัยอะไรมาก พยักหน้า “ขอบใจ”
ทั้งสองคนเดินตามสาวใช้ไปถึงลานบ้านที่เรือนหนึ่ง
สาวใช้กล่าวว่า “นี่เป็นเรือนรับรองเจ้าค่ะ พระชายาบอกให้ท่านทั้งสองพักผ่อนอยู่ที่นี่สักครู่ รอให้แขกใกล้จะกลับแล้ว ถึงจะถึงคนมาตามพวกท่านอีกครั้ง”
ทั้งสองคนพยักหน้า
สาวใช้ถอยออกไปอย่างนอบน้อม แล้วปิดประตูให้อย่างเบามือ ส่งสายตาบอกอะไรบางอย่างกับสาวใช้ที่ดูแลอยู่ข้างนอก
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนในห้อง
สาวใช้ที่ดูแลอยู่ข้างนอกยกถ้วยน้ำชาเข้ามาสองถ้วย แล้ววางตรงหน้าทั้งสองคน กล่าวอย่างสุภาพว่า “แม่นางทั้งสองเชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
แล้วสาวใช้ก็ถอยออกไป
เฝิงจิ้งซูยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เมิ่งเชี่ยนโยวก็เลื่อนถ้วยน้ำชาของตัวเองส่งให้นางเหมือนเดิม เฝิงจิ้งซูก็ไม่ได้เกรงใจ ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
ทั้งสองคนพูดคุยหยอกล้อกันสักพัก ใบหน้าของเฝิงจิ้งซูก็ค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้น แววตาเลือนรางล่องลอย กล่าวว่า “พี่เมิ่ง ข้ารู้สึกร้อนจัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของนาง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือไปตรวจชีพจรให้นาง สีหน้าเคร่งขรึมลง “น้องสาว น่องสาว อดทนอีกหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปหายาถอนพิษ”
เฝิงจิ้งซูควบคุมตัวเองไม่ค่อยแล้ว
เดิมทีเมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าจะอุ้มนางออกไป แต่ท่าทางเช่นนี้ของนางถ้าถูกคนเห็นเข้า จะเสื่อมเสียชื่อเสียง เกรงว่าจะมีแต่ทางตันเท่านั้น ไตร่ตริงได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็กัดฟัน ร้องตะโกนออกไปด้านนอกว่า “มีใครอยู่ไหม!”
ไร้เสียงตอบรับจากนอกประตู
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเข้าใจได้ในทันที นางกับเฝิงจิ้งซูทั้งสองคนติดกับดักแล้ว มองดูท่าทางเจ็บปวดไม่น้อยของเฝิงจิ้งซู เมิ่งเชี่ยนโยวขบกรามแน่น แล้วใช้กำปั้นทุบไปที่ต้นคอด้านหลังของนาง เฝิงจิ้งซูตัวอ่อนทันที ซบเข้าไปในอกของนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวประคองนาง แล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอก ตอนที่เดินผ่านโต๊ะไปนั้น ก็ฉวยเอาถ้วยน้ำชาสองถ้วยติดมือไปด้วย
เดินออกมาจากประตู ถึงได้มองเห็นสาวใช้คนหนึ่ง เดินเข้ามา สั่งนางทันทีว่า “เจ้าไปตามซื่อจื่อกลับเรือน บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนต้องเจอเขา”
สาวใช้มองดูเฝิงจิ้งซูที่อยู่ในอ้อมแขนของนางแวบหนึ่ง แล้วก็รีบพยักหน้า หมุนตัวเดินไปยังห้องโถงรับแขกทันที แต่พอลับหลัง ก็หยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองทุกการกระทำของเมิ่งเชี่ยนโยว
เฝิงจิ้งเหวินถูกตีจนสลบไป น้ำหนักของร่างกายทั้งหมดตกอยู่ที่ตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงนางเดินบ่ายหน้าไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างลับๆ ล่อๆ
สาวใช้จดจำทุกการกระทำของนางอย่างชัดเจน รอจนกระทั่งร่างของทั้งสองคนลับหายไปจากสายตาแล้ว กลับหมุนตัววิ่งบ่ายหน้าไปยังเรือนของพระชายารอง ไม่รอให้รายงาน ก็เปิดม่านประตูเดินเข้าไป พูดขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “เหนียงเหนียง สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วเจ้าค่ะ เมิ่งเชี่ยนโยวผู้นั้นประคองแม่นางอีกคนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเรือนของซื่อจื่อ”
“พวกเศษสวะ” พระชายารองดุด่าเสียงดัง “ไม่ใช่บอกพวกเจ้าแล้วหรือว่าให้ใส่ปริมาณมาก ทำไมเด็กชั้นต่ำนั่นถึงยังไม่มีอาการ”
สาวใช้ตอบอย่างหวาดกลัว “บ่าวได้ใช้ปริมาณมากกว่ายามปกติถึงสองเท่าแล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กคนนั้น แต่ว่าบ่าวเห็นว่านางเดินไม่ค่อยมั่นคงนัก คิดว่าน่าจะเกิดอาการขึ้นแล้ว คงจะทนไม่ได้นานเจ้าค่ะ”
“ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ลงมือแล้วหรือยัง” พระชายารองถาม
“เสี่ยวอันจื่อส่งชาไปแล้วเจ้าค่ะ เห็นชัดกับตาว่าเขาดื่มแล้ว”
“ดี” พระชายารองพยักหน้า “เจ้าไปบอกเสี่ยวอันจื่อ ให้เขาคิดหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจให้คนไปที่เรือนของเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่น จากนั้นพวกเจ้าก็รีบหนีไป หนีไปไกลเท่าไหร่ได้ก็ยิ่งดี”
สาวใช้รับคำสั่ง แล้วก็วิ่งออกไป
พระชายารองยิ้มอย่างลำพองใจ “หลังจากวันนี้ ข้าจะดูสิว่าพวกเจ้าจะยังยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร”
สาวใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องต่างก็ก้มหน้า ทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของนาง
โมโม่กับสาวใช้ติดตามก็ยิ้มอย่างสมความปรารถนา
จินตนาการภาพที่กำลังจะเกิดในอีกสักครู่ พระชายารองจีบปากจีบคอพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี “มา แต่งตัวให้ข้าดีๆ หน่อย อีกสักครู่ข้าจะไปดูเรื่องสนุก”
สาวใช้ติดตามขานรับ แล้วก็เริ่มแต่งตัวให้นางใหม่
เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงพาเฝิงจิ้งซูเข้ามาถึงจวนของหวงฝู่อี้เซวียน วางนางลงบนเตียงด้วยเสียงหายใจหอบ
จากนั้นเดินมาที่โต๊ะข้างๆ เทน้ำเย็นใส่แก้ว เดินกลับไปยังเตียง ประคองเฝิงจิ้งซูขึ้น แล้วเอาน้ำให้นางดื่ม
น้ำเย็นนิดๆ ทำให้ความร้อนในร่างกายของเฝิงจิ้งซูลดลงไปบ้าง แล้วก็สงบลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ เอาแก้ววางกลับบนโต๊ะเช่นเดิม
เฝิงจิ้งซูส่งเสียงดังขึ้นมาอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวบ่นพึมพำคาถาเสียงต่ำ หยิบกาน้ำชา ประคองเฝิงจิ้งซูให้ลุกขึ้น แล้วก็กรอกน้ำเย็นเข้าไปในปากของนาง
ตอนที่ 127 ถูกคนวางแผนร้าย
เหมือนเฝิงจิ้งซูจะรู้ว่าการได้ดื่มน้ำเย็นลงไปจะทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง จึงอ้าปากดื่มน้ำเย็นเข้าไปหลายอึกอย่างให้ความร่วมมือ
ดื่มน้ำเข้ากาหนึ่ง เฝิงจิ้งซูจึงค่อยประพฤติตัวดีขึ้นบ้าง นอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่บิดตัวอีก และไม่ได้ส่งเสียงขึ้นมาอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการของนางแล้วก็รู้ทันทีว่ามีคนแอบวางยาใส่ลงไปในปริมาณมาก แม้จะดื่มน้ำเข้าไปกาหนึ่งก็ทานไว้ได้ไม่นาน วิธีที่เห็นผลเร็วที่สุดก็คือให้เฝิงจิ้งซูนอนแช่อยู่ในน้ำเย็น เพียงแต่ตอนนี้อากาศเย็นมาก หากแช่ในน้ำเย็นในยามที่อากาศเย็นเช่นนี้เกรงว่ากว่าจะสลายยาไปได้ เฝิงจิ้งซูกลับต้องเสี่ยงที่จะหนาวตายก่อน ยังมีอีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้ยาช่วยบรรเทา แต่ตอนนี้หวงฝู่อี้เซวียนกลับชักช้าไม่ยอมมาถึงเสียที ในจวนก็ไม่มีคนให้ใช้ ถ้าปล่อยให้เฝิงจิ้งซูอยู่คนเดียวแล้วตัวเองก็ไปหาคนให้ไปซื้อยา แล้วเกิดหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาตอนนี้ก็จะยุ่งเอา แต่ถ้าขืนยังรีรอไม่ไปเอายา และไม่มีคนช่วยรักษาให้นาง เกรงว่าเฝิงจิ้งซูอาจจะอกแตกตาย
ชั่งน้ำหนักครั้งแล้วครั้งแล้ว เหลือบมองบนเตียงที่เฝิงจิ้งซูนอนอยู่อย่างถือได้ว่าเรียบร้อยดี เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟันแล้วผุดลุกขึ้น รีบก้าวเท้าวิ่งออกจากประตูไป รีบวิ่งไปตามหาหวงฝู่อี้เซวียนตามทิศทางในความทรงจำ
นางออกไปไม่นาน คนที่แต่งตัวเหมือนกับเด็กรับใช้คนหนึ่งได้พาฉู่เหวินเจี๋ยมาถึงหน้าประตูเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ซื่อจื่อเราบอกไว้แล้ว ว่าให้ท่านเข้าไปรอในห้องสักครู่ เขามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาท่าน บ่าวไม่เข้าไปกับท่านแล้วขอรับ ซื่อจื่อเคยสั่งไว้ ไม่อนุญาตให้บ่าวคนใดก็ตามเข้าไปในเรือนของเขา มิเช่นนั้นต้องตายสถานเดียว”
ที่เด็กรับใช้กล่าวมาก็มีเหตุผล ฉู่เหวินเจี๋ยจึงไม่ได้คิดอะไรมาก สาวเท้าเดินเข้าประตู ผลักประตูเข้าไป
มองดูเขาเดินเข้าไป เด็กรับใช้วิ่งกลับไปที่ห้องของเหล่าคนรับใช้ ดึงผ้าปูที่นอนออก หยิบตั๋วเงินที่ซ่อนไว้อย่างดีเอาซุกเข้าไปในอกเสื้อ แล้วจึงรีบเดินออกไปจากจวนอย่างรีบร้อน เดินมุ่งหน้าไปยังรถม้าคันหนึ่งที่อยู่ไกลๆ
พอได้ยินเสียงฝีเท้า ม่านหน้าต่างก็เปิดขึ้น สาวใช้โผล่หน้าออกมา “เร็วเข้า ถ้าพวกเขาเห็นเข้าจะแย่เอา”
เด็กรับใช้เข้าไปในรถม้าอย่างคล่องแคล่ว แล้วดึงม่านลง
สารถีเผยยิ้มอย่างมีเลศนัย ขับรถม้าบ่ายหน้าไปยังสุสานอนาถาที่อยู่นอกเมือง
สาวใช้กับเด็กรับใช้ที่อยู่ในรถม้าต่างกำลังฝันหวาน กลับไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขากำลังเดินทางเข้าสู่ความตาย
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนมาจนถึงนอกเรือนที่จวนอ๋องฉีใช้รับรองแขกผู้ชาย พบเข้ากับหวงฝู่อี้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านนอกพอดี กวักมือเรียกเขาทันที เป็นความหมายว่าให้เข้ามานี่
หวงฝู่อี้วิ่งเหยาะๆ มาถึงตรงหน้านาง “แม่นางเมิ่ง ท่านเรียกข้า”
“อี้เซวียนล่ะ” อารามรีบร้อนทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวได้ถามถึงอย่างตรงไปตรงมา
“ซื่อจื่อเพิ่งจะไปที่ด้านของพระชายาเหนียงเหนียงเพื่อไปหาท่าน ท่านไม่เจอกันกับเขาหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบ พูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “อี้เอ๋อร์ ข้าจอกบอกตัวยาให้ เจ้าจดจำไว้ แล้วก็รีบไปซื้อยากลับมา”
เห็นสีหน้าของนางดูกระวนกระวาย หวงฝู่อี้จึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “อย่าเพิ่งถามเรื่องพวกนี้ เจ้าจำให้ละเอียด”
ว่าแล้ว ก็รีบร่ายชื่อตัวยาออกมายาวเหยียด
หวงฝู่อี้ไม่รู้จักยาสมุนไพร ชื่อยาตัวสองตัวก็พอจะจำได้อยู่ พอต้องจำเยอะก็ค่อนข้างสับสนอยู่บ้าน นวดคลึงศีรษะของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “แม่นางเมิ่ง มากเกินขอรับ ข้าจำไม่ได้”
“รีบไปเอาหมึกกับพู่กันมา ข้าจะเขียนให้เจ้า” เมิ่งเช่นโยวสั่งเขาอย่างฉุกละหุก
ไม่ว่าเวลาใดเมิ่งเชี่ยนโยวมักจะใจเย็นสุขุม ไม่เคยมีท่าทางเช่นนี้มาก่อน หวงฝู่อี้รู้สึกได้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งวิ่งทั้งกระโดดใช้วิชาตัวเบารีบไปเอากระดาษกับพู่กันมา
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เขียนตัวยาออกมาอย่างรวดเร็ว ส่งให้เขา “ขี่ม้าเร็วไปซื้อยามา ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” พูดจบก็กำชับเขาอีกประโยคหนึ่งว่า “อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
หวงฝู่อี้รับเอารายชื่อตัวยามา แล้วก็ทั้งวิ่งทั้งกระโดดใช้วิชาตัวเบาไปยังโรงเลี้ยงม้า จูงม้าเร็วออกมา ควบตะบึงออกไปซื้อยา
เมิ่งเชี่ยนโยวไปที่เรือนของพระชายาฉีอย่างเร่งรีบ ประจวบเหมาะกับพระพระชายารองกำลังเดินออกไปส่งฮูหยินราชเลขากับหลินหันเยียนพอดี เห็นสีหน้านางดูรีบร้อน พระชายาฉีจึงถามขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดแม่นางเฝิงถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจพิธีรีตองแล้ว เอ่ยถามขึ้นทันควันว่า “พระชายาเพคะ อี้เซวียนอยู่ข้างในไหม”
“เซวียนเอ๋อร์มาแล้ว ข้าบอกเขาว่าเจ้าพาแม่นางเฝิงออกไปเดินเล่น คิดว่าเขาน่าจะออกไปหาพวกเจ้าแล้ว”
ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี หมุนตัวกลับคิดจะวิ่งไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ครั้นแล้วเสียงกรีดร้องเล็กแหลมของสตรีเพศก็ดังขึ้นมา ดังออกไปทั่วจวนอ๋องภายในพริบตา ดังเข้ามาในโสตประสาทของทุกคน ณ ที่นี้
ได้ยินเสียงดังออกมาจากเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวร้อนใจ รีบก้าวเท้าวิ่งมุ่งไปทางด้านนั้นทันที
พระชายาฉีก็ได้ยินเสียงนี้เช่นกัน ตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต้องเป็นเด็กคนใดคนหนึ่งที่ร้องตกอกตกใจขึ้นอย่างไรมารยาทเป็นแน่ ไม่มีอะไร ให้ข้าออกไปส่งพวกเจ้าเถอะ”
ได้ยินเสียงก็รู้แน่ว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฮูหยินราชเลขาเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ว่านี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่นเขา ตัวเองจะไปยุ่งไม่ได้ ฮูหยินราชเลขาจึงยิ้มพลางพยักหน้า “ขอบคุณซู่อิงแล้ว เดี๋ยวนี้ร่างกายของเจ้าดีขึ้นมาก อยู่เป็นเพื่อนพวกเราตั้งนานสีหน้าก็ไม่ได้ดูเหนื่อยล้าลงไปเลย”
พระชายาฉีโบกมือ แสร้งสุภาพว่า “คนเราแข็งแรงในยามที่มีความสุข เหวินเจี๋ยอยู่ดีๆ ก็ได้ลูกสาวที่ดีเช่นนี้ ข้าดีใจแทนเขาจริงๆ ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าแข็งแรงขึ้นอยู่บ้าง หากเป็นวันอื่นทั่วไป ข้าก็คงจะเหนื่อยขอตัวออกไปพักนานแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินราชเลขายิ้มแกล้มปริ จับมือนางขึ้น กล่าวว่า “ถึงต่อไปพวกเราจะไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นลูกเขยลูกสะใภ้ แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์ทางด้านแม่ทัพฉู่กับความสัมพันธ์ตั้งแต่เด็กของเรา พวกเราจะยังเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนเดิมถ้ามีสิ่งใดที่ต้องการให้จวนราชเลขาช่วยเหลือก็บอกมาได้เสมอ”
พระชายาฉีก็แสดงท่าทางดีใจจนออกนอกหน้า “เตี๋ยชิงพูดถูกแล้ว พวกเรายังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อไปต้องสนับสนุนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”
สิ่งที่ฮูหยินราชเลขาต้องการก็คือประโยคนี้ ได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่ได้รับการบำรุงมาอย่างดีก็ยิ้มจนแก้มแทบแตก “ใช่ๆ ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”
ในระหว่างที่คุยกัน ก็มาถึงประตูเรือนที่รับรองผู้ชายทางด้านนี้พอดี
อ๋องฉีกับทุกคนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้นเช่นกัน แต่ว่าทุกคนต่างก็เป็นขุนนางในท้องพระโรงที่รู้เรื่องอะไรดีอยู่แล้ว เห็นชัดว่าเกิดเรื่องขึ้น แต่ก็ไม่มีใครพูดถึง ราชเลขาหลินยิ่งรีบเดินอย่างไม่ติดใจสงสัย เดินออกมาจากเรือน เห็นฮูหยินราชเลขาก็มาแล้ว จึงรีบประกบมือคำนับกล่าวลา “ลูกหญิงร่างกายไม่แข็งแรง พวกเราขอตัวกลับก่อน อีกสักครู่ถ้าท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว หวังว่าจะช่วยกล่าวขออภัยเขาแทนข้าด้วย”
อ๋องฉีกับพระชายาฉีไปส่งพวกเขาที่ประตูจวน เสร็จแล้วมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วจึงเดินบ่ายหน้าไปที่จวนของหวงฝู่อี้เซวียนพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งเร็วประหนึ่งสายลมมุ่งหน้าไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน มองเห็นว่ามีทั้งสาวใช้และคนรับใช้ยืนออกันอยู่เต็มหน้าเรือนจากที่ไกลๆ ขณะเดียวกันก็ยังชี้ไม้ชี้มือเข้าไปด้านใน หัวใจหายแวบ เร่งฝีเท้ามากขึ้น วิ่งไปจนถึงประตูจวน แหวกทางฝูงชนให้หลีกทางแล้วก็วิ่งเข้าไป
เสียงโกลาหลวุ่นวายดังออกมาจากในห้อง
หวงฝู่อี้เซวียนตัวแข็งทื่อยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ข้างในเรือน สายตาจับจ้องอยู่ภายในห้อง
หวงฝู่อวี้เบิกตากว้างมองเหตุการณ์ภายในห้องอย่างตกตะลึง
พระชายารองยืนข้างอย่างยินดีกับความทุกข์ของคนอื่น “ซื่อจื่อ ข้าว่า เจ้าสั่งให้คนบุกเข้าไปดูเลยว่าใครกันที่บังอาจเช่นนี้ กล้ามาทำเรื่องบัดสีอยู่ในห้องของเจ้า”
“อี้เซวียน!” เมิ่งเชี่ยนโยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนตัวสั่นเทิ้ม หันกลับไปอย่างไม่อยากเชื่อ เห็นว่านางยืนอยู่ต่อหน้าของตัวเองจริงๆ ริมฝีปากสั่นระริกพูดไม่ออก
พระชายารองมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา ถามด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมว่า “ทำไมเจ้าถึงอยู่นี่” พูดจบก็รู้ตัวว่าตัวเองเผลอปากหลุดพูดออกไป จึงหุบปากทันที
หวงฝู่อวี้ก็ไม่อยากจะเชื่อ “สาวใช้บอกว่าเจ้าอยู่ในห้องพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นคนที่อยู่ในห้องคือใคร”
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางนิ่งๆ แล้วยิ้มสดใสออกมาน้อยๆ พร่ำพูดขึ้นไม่หยุดว่า “โชคดี โชคดี…”
ฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาเจือความหวาดกลัวอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ใช้มือที่สั่นน้อยๆ ของตัวเองจับมืออันสั่นเทาของเขาขึ้นมา ส่งยิ้มปลอบใจให้กับเขา “ใช่แล้ว โชคดีเหลือเกิน”
โชคดีอะไรหรือ สาวใช้กับคนรับใช้ที่ล้อมรอบเรือนอยู่ต่างก็ไม่เข้าใจ หวงฝู่อวี้ก็ไม่รู้ ส่วนพระชายารองนั้นเข้าใจดี หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจ โชคดีที่คนในห้องนั้นไม่ใช่หนึ่งในพวกเขาทั้งสองคน มิเช่นนั้นชีวิตนี้ของพวกเขาก็ไม่มีทางอยู่ด้วยกันแล้ว
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวปรากฏตัวออกมาอย่างปลอดภัย พระชายารองก็รู้แล้วว่าแผนการที่ตัวเองวางเอาไว้นั้นได้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น พลันบังเกิดความไม่พอใจออกมา กรีดร้องชี้นิ้วสั่งคนรับใช้ทั้งหลาย “พวกเจ้าทั้งหลาย ไปเปิดประตูออก ดูสิว่าใครกันที่หน้าไม่อายเช่นนี้ กล้ามาทำเรื่องบัดสีในห้องของซื่อจื่อ”
คนรับใช้รับคำ เดินเข้าไปในเรือน
“ช้าก่อน!” เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนหยุดพวกเขาไว้
มีหรือที่พระชายารองจะยอมให้นางได้ดั่งใจ ตวาดชี้หน้าคนพวกนั้น “ยืนเหม่ออะไร ยังไม่รีบเปิดประตูออกอีก!”
คนรับใช้ไม่กล้าชักช้า รีบเดินเข้าไปในห้อง
น้ำเสียงเยือกเย็นของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “พวกเจ้าทุกคนลืมคำสั่งของข้าแล้วหรืออย่างไร”
คนรับใช้ที่กำลังเดินเข้าไปพลันหยุดชะงัก พลันในสมองก็นึกถึงคำพูดที่หวงฝู่อี้เซวียนเคยสั่งไว้ “ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า แอบเข้าไปในเรือนของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ประหาร!” ต่างก็พากันตัวสั่นเทิ้ม คุกเข่าขอร้อง “ซื่อจื่อได้โปรดไว้ชีวิตด้วย! ซื่อจื่อโปรดไว้ชีวิตด้วย!”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้จะมองหน้าพวกเขา
ตัวเองที่ไม่สามารถสั่งการคนรับใช้ได้ พระชายารองโมโหจนหน้าเปลี่ยนสี โพล่งขึ้นโดนไม่ได้ผ่านการกรองจากสมองว่า “ไอ้หยา คนที่อยู่ในห้องคงไม่ใช่คุณหนูเฝิงกับฉู่เหวินเจี๋ยกระมัง ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ช่างน่าขันยิ่งนัก อายุอานามขนาดนี้แล้ว ยังไม่สนแม้แต่หน้าตาของตัวเอง ขนาดห้องของหลานตัวเองยังเข้ามาโดยไม่สนใจอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา จ้องนางเขม็งพร้อมทั้งถามขึ้นว่า “ทำไมท่านรู้ว่าในห้องนั้นเป็นใคร”
พระชายารองจึงรู้ตัวว่าตัวเองพูดผิดไป รีบพูดขึ้นอีกว่า “ย่อมต้องคาดเดาอยู่แล้ว ห้องของซื่อจื่อไม่ใช่ว่าใครคิดจะเข้ามาก็เข้ามาได้ ถ้าไม่ใช่พวกเขาทั้งสองคนแล้วจะเป็นใครได้”
“ท่านโกหก!” เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือของหวงฝู่อี้เซวียน ขยับเข้าไปใกล้นาง “เป็นฝีมือของท่านใช่หรือไม่”
“เจ้าอย่ามาใส่ความข้า!” พระชายารองปฏิเสธ “วันนี้ข้าอยู่ในเรือนตัวเองทั้งวันยังไม่ได้ออกมาเลย แล้วข้าจะไปมีปัญญาทำเรื่องพวกนี้หรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเค้นเสียงพูดออกมาทีละคำ “อย่าให้ข้าสืบได้ว่าใครที่ลงมือลับหลัง ไม่เช่นนั้นข้าจะเฉือนเนื้อมันทีละชิ้นทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่”
ตอนที่ 128 อ๋องฉีพิโรธ
พระชายารองตัวสั่นสะท้านขึ้นทันที
ข้างนอกเสียงดังออกปานนี้ แต่ผู้ที่อยู่ในห้องกลับไม่ได้รับผลกระทบเลย เสียงแปลกๆ ยังคงดังออกมาจากในห้อง
หวงฝู่อี้เซวียนมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ส่งสายตาเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวกระซิบบอกว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่กับน้องซูเอ๋อร์ น้องซูเอ๋อร์โดนคนวางยา ข้าเป็นคนประคองนางมาที่ห้องของเจ้า ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่มาได้อย่างไร ฟังจากเสียงแล้วก็น่าจะโดนวางยาเช่นกัน”
ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นผู้ที่รู้จักควบคุมตัวเอง ปกติต่อให้มีผู้หญิงที่ตัวเปล่าล่อนจ้อนยืนอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็จะไม่มีวันทำเรื่องที่ไม่มีความยับยั้งชั่งใจเป็นอันขาด ได้ยินเสียงอันบ้าคลั่งดังออกมาจากในห้อง น่าจะเป็นอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว คือโดนวางยาเสน่ห์ ถึงได้ทำเรื่องน่าอับอายขึ้นในห้องของเขาเช่นนี้
อ๋องฉีกับพระชายาอ๋องยังเดินมาไม่ถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ก็เห็นว่าคนรับใช้ทุกคนภายในจวนต่างก็มามุงอยู่ที่หน้าประตู มองแวบหนึ่ง ก็รู้แล้วว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิด ต่างก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไป
“มามุงดูอะไรกัน ยังไม่รีบไปทำงานอีก” อ๋องฉีตวาดเหล่าคนรับใช้ที่ยืนมุงอยู่หน้าประตูอย่างสอดรู้สอดเห็น
พอคนรับใช้ได้ยินเสียงของเขาดังขึ้น ต่างก็พากันวิ่งหนีกระเจิงไปอย่างตกใจ หน้าประตูเรือนเงียบสนิท และเสียงที่ดังออกมาจากข้างในห้องกลับดังขึ้นอย่างชัดเจนในโสตประสาทของเขาทั้งสอง
พระชายาฉีหน้าถอดสี ตอนที่เห็นหวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ในเรือนอย่างไม่ได้เป็นอะไร ก็ถอนหายใจโล่งอกเบาๆ
กล้ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในเรือนของตัวเอง กลางวันแสกๆ ยังกล้ามั่วโลกีย์ อีกทั้งยังวิ่งมาทำอะไรกันถึงในห้องของหวงฝู่อี้เซวียนอีก ไม่บอกก็รู้ว่าอ๋องฉีเกรี้ยวกราดขนาดไหน ตะเบ็งเสียงดังขึ้นว่า “มานี่!”
แล้วก็มีคนสองคนใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้ามาอย่างเงียบเชียบ กล่าวอย่างสุภาพว่า “ขอรับท่านอ๋อง!”
“ไปลากตัวชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นออกมาให้ข้า ดูสิว่าใครกันที่ช่างบังอาจเช่นนี้ กล้าเมินต่อกฎเกณฑ์ของจวนอ๋อง!” อ๋องฉีสั่งทั้งสองคนนั้นด้วยเสียงเย็น
ไม่รอให้ทั้งสองคนนั้นรับคำ หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบร้อนเข้ามายั้งเขาไว้ “เสด็จพ่อ ไม่ได้นะ!”
เสียงข้างในห้องดังขึ้นจนทนไม่ได้
สีหน้าของอ๋องฉีดำคล้ำจนเกือบจะดำเท้าก้นหม้อก็มิปาน รอบตัวแผ่กลิ่นอายอำมหิตออกมา เหมือนกับว่าจะไม่ได้ยินคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียน สั่งทั้งสองคนนั้นอย่างดุดันว่า “ไปลากตัวมันออกมาให้ข้า”
หวงฝู่อี้เซวียนเคลื่อนกายเข้าไปขวางหน้าคนทั้งสองไว้
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ อ๋องฉี แล้วกระซิบข้างหูว่า “เป็นท่านน้ากับแม่นางเฝิง”
อ๋องฉีตะลึงงัน
“ใครนะ” พระชายาฉีกลับกรีดร้องขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หวงฝู่อี้เซวียนกระซิบพูดขึ้นอีกว่า “เป็นท่านน้ากับแม่นางเฝิง”
“ทำไมเป็นพวกเขาไป” พระชายาฉีกรีดร้องถามขึ้นอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เววียนหันไปมองหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะพูดอะไรขึ้น แต่พระชายารองกลับพูดขัดขึ้นว่า “นี่เป็นเพียงการคาดเดาจาดซื่อจื่อเท่านั้น เชื่อถือไม่ได้ ท่านอ๋ฮงให้คนไปเปิดประตูออกเถอะเพคะ ดูว่าเป็นใครกันอน่ ถ้าหากไม่ใช่แม่ทัพใหญ่กับแม่นางเฝิง พวกเราหลายคนที่ฟังการบรรเลงรักอยู่ในเรือนเช่นนี้ หากเรื่องแพร่ออกไปจะมิเป็นเรื่องขบขันหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง น้ำเสียงแข็งกระด้าง “การตัดสินของข้ากับเสด็จพ่อ เมื่อใดกันที่ให้ท่านสงสัยได้”
พระชายารองแสดงท่าทางอ่อนลง พูดอะไรไม่ออก ก้มหน้าก้มตาอย่างขลาดกลัว ทว่าแววตากลับปรากฏเพลิงอาฆาตแค้น ขยำผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือจนแน่น เส้นเลือดปรากฏออกมาจากเรียวมือขาวผ่อง
หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้ได้ว่าท่าทางของนางเปลี่ยนไป รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเวลาไปสนใจนาง พูดกับอ๋องฉีว่า “ท่านน้ากับแม่นางเฝิงน่าจะโดนคนวางยา จนพลาดมาอยู่ด้วยกันโดยไม่รู้ตัว และตอนนี้ก็ไม่อาจไปขัดขวางพวกเขา ไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็…”
ไม่เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้น อ๋องฉีเป็นผู้ที่ผ่านอะไรมามากมาย จึงเข้าใจได้
พระชายาฉีกลับรู้สึกว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ มืดลง ยืนโงนเงน ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “เซวียนเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ เรื่องมาจนถึงขนาดนี้แล้ว สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือจะไปบอกเรื่องนี้กับเถ้าแก่เหวินและฮูหยินเหวินเช่นไร”
เสียงในหัวของพระชายาฉีเสียงดังขึ้น เฝิงจิ้งซูเป็นเพียงเด็กสาวที่อายุเพียงสิบห้าเท่านั้น เพียงแต่มีความสงสัยเกิดขึ้นไปขณะหนึ่ง ติดตามพี่สาวกับพี่เขนมายังจวนอ๋อง แต่กลับเสียตัวให้กับฉู่เหวินเจี๋ยที่อายุห่างกันมาก เรื่องนี้จะไปบอกกับเหวินซื่อสองสามีภรรยาอย่างไร
สิ่งที่อ๋องฉีเป็นห่วงมิใช่ตรงนี้ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ในจวนอ๋องกลับมีคนกล้าวางยา ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร”
“ไม่ว่างอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่อาจไปขัดจวางพวกเขาได้ พวกเราถอยออกไปก่อนเถิด สั่งให้คนเฝ้าอยู่ที่ลานหน้าเรือน รอให้พวกเขาได้สติแล้ว เสด็จพ่อค่อยสืบหาความอีกครั้ง ส่วนเรื่องการวางว่า จะต้องเกี่ยวกับคนภายในจวนอย่างแน่นอน เสด็จพ่อสั่งให้ตรวจสอบ เชื่อว่าไม่นานก็จะเจอตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเสียงภายในห้อง ทั้งสองคนเสร็จสิ้นกิจกรรมกันแล้ว ถึงตอนนี้จะไปแยกพวกเขาออก ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น… พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของอ๋องฉีก็เคร่งขรึมลงอย่างน่ากลัว เดินออกไปข้างนอกโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ตอนนี้พระชายาฉีก็สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี มองดูอ๋องฉีที่หมุนตัวเดินออกไป จึงเดินตามออกไปอย่างไม่รู้ตัว
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ ปรายตามองหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง
หวงฝู่อวี้เข้าใจ จึงเดินตามออกไป พลางเดินพลางเงี่ยหูฟังถึงความเคลื่อนไหวข้างใน
พระชายารองก้มหน้าก้มตาตลอด ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองเข้าไปในห้องอย่างไม่พอใจ ประจวบเหมาะกับสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนที่จับจ้องมาอยู่ แล้วก็รีบก้มหน้าลงเพื่ออำพราง เดินออกจากเรือนตามไป
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วจึงเดินออกจากเรือน
ทุคนต่างก็ยืนอยู่นอกประตูเรือน
รังสีอำมหิตที่แผ่ออกจากรอบกายของอ๋องฉีมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง กวาดตามองทุกคนมีมามุงดูด้วยสีหน้าดำคล้ำ
พ่อบ้านที่รีบเดินเข้ามาถึงระยะห้าเมตรก็ได้รับความกดดันนี้ ร่างกายสั่นสะท้านขึ้น รีบวิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าของอ๋องฉี ไม่กล้าเช็ดเหงื่อบนใบหน้า รีบเรียกขึ้นอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋องขอรับ”
น้ำเสียงของอ๋องฉีเกรี้ยวกราดราวกำว่าต้องการที่ฆ่าคนให้ได้ “ไปรวบตัวทุกคนในจวนมา ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้ ก็สังหารทิ้งให้หมด!”
พ่อบ้านตัวสั่นสะท้านขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ เหงื่อนที่หลังไหลพรูออกมา พริบตาเดียวเสื้อผ้าก็เปียกชื้นไป เขาอยู่ในจวนอ๋องฉีมานานหลายปี มีเพียงแค่สิบปีก่อนตอนที่พระชายาถูกปล้น จนเสียซื่อจื่อไป อ๋องฉีได้ออกคำสั่งอย่างรุนแรง ให้สังหารสาวใช้กับคนรับใช้ที่อยู่กับพระชายาในตอนนั้นจนหมด เป็นจำนวนหลายสิบคน เลือดที่ไหลนองทำให้ถนนหน้าจวนอ๋องฉีกลายเป็นสีแดง ตอนนี้ยังมาได้ยินอ๋องฉีออกคำสั่งเช่นนี้อีก เห็นได้ว่าเขาโกรธจนถึงขีดสุด ถ้าหากตรวจสอบไม่ได้จริง ไม่ต้องพูดถึงแค่พวกคนรับใช้ เกรงว่าแม้แต่ชีวิตของตนก็ไม่อาจรักษาได้
รับคำสั่งทันที หันกลับไปสั่งสาวใช้ทั้งหลาย ให้คนรับใช้ทุกคนไปถ่ายทอดคำสั่งบอกให้ทุกเรือนทราบ
สาวใช้ คนรับใช้พอได้ฟังคำของอ๋องฉี ต่างก็แข้งขาอ่อนแรง ล้มลุกคลุกคลานวิ่วออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
ไม่นานคนใช้ทุกคนในจวนอ๋องต่างก็ทราบถึงคำสั่งของอ๋องฉี ต่างก็วิ่งไปรวมกันอยู่ที่ลานโล่งกลางจวนด้วยสองขาอันสั่นเทา แม้แต่สาวใช้ที่รับใช้เหวินซื่อกับเฝิงจิ้งเหวินอยู่ก็ต้องบอกกล่าวกับทั้งสองคน แล้วจึงรีบวิ่งออกไปทันที
เหวินซื่อกับเฝิงจิ้งเหวินสบตากันแวบหนึ่ง เหวินซื่อผุดลุกขึ้นยืน คิดจะออกไปดู เฝิงจิ้งเหวินรั้งเขาไว้ “รอดูสถานการณ์ไปก่อน ภายในจวนต้องเกิดเรื่องอะไรรุนแรงขึ้นเป็นแน่ ท่านกับข้าเป็นคนนอก ไม่ต้องไปดีกว่า”
แต่ละบ้านต่างก็มีความลับด้วยกันทั้งนั้น ตัวเองเป็นคนนอกถ้าหากไปถามดูมันจะเป็นการไม่ดีแน่ เหวินซื่อได้ยินดังนั้นก็นั่งลงตามเดิม กล่าวว่า “แม่นางเมิ่งกับซูเอ๋อร์ออกไปนานแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาเสียที”
“ซูเอ๋อร์ชอบเล่นซุกซน จะต้องรบเร้าให้แม่นางเมิ่งเดินเล่นไปทั่วจวนเป็นแน่ ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นในจวน พวกนางน่าจะรู้อะไรบ้าง เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะกลับมา”
พ่อบ้านเข้ามารายงานด้วยเม็ดเหงื่อที่อยู่เต็มใบหน้า “ท่านอ๋อง คนมาครบแล้ว”
“ตรวจสอบ ตรวจสอบทีละคน ถามดูว่าเมื่อกี้พวกเขาทำอะไรอยู่ ภายในครึ่งชั่วยามข้าต้องทราบผล” อ๋องฉีออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมอีกครั้ง
พ่อบ้านรับคำอย่างหวาดกลัว แล้วก็วิ่งกลับไป
“พวกเจ้าทั้งสองก็ไปด้วย” อ๋องฉีสั่งสาวใช้ติดตามทั้งสองคนของตัวเอง
หลิงหลง ซุ่ยเซียงรับคำสั่ง แล้วรีบเดินเข้าไปทางด้านนั้นอย่างเป็นปกติ
พระชายาทำเช่นนี้แล้ว พระชายารองจึงต้องทำตาม สั่งให้สาวใช้ติดตามของตัวเองไปเช่นกัน
พระชายาทำท่าราวกับเพิ่งจะมองเห็นนาง คำพูดแฝงไปด้วยการถากถาง “มิฝช่ว่าน้องสาวไม่สบาย นอนพักอยู่ในเรือนของตัวเองมิใช่หรือ ทำไมถึงได้ปรากฏตัวอยู่ในเรือนของเซวียนเอ๋อร์เล่า”
พระชายารองยังไม่ได้ตอบ หวงฝู่อวี้ก็เอ่ยพูดขึ้นก่อนว่า “เป็นหม่อมฉันเรียกท่านแม่ไปเอง หลังจากกินข้าวเสร็จก็ว่างไม่ได้ทำอะไร หม่อมฉันจึงไปหาพี่ใหญ่ในเรือนของเขา พบว่าพี่ใหญ่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ในเรือน ในห้องกลับมีเสียงการเคลื่อนไหวที่ไม่อาจทนได้ ข้าคิดว่าจะไปบอกกับเสด็จแม่ แต่ก็คิดว่าท่านกำลังต้อนรับแขกอยู่ จึงไม่ได้ไปหาท่าน รีบไปเรียกท่านแม่มา”
ตามหลักแล้วหวงฝู่อวี้ไม่กล้าเรียกพระชายารองว่า “ท่านแม่” แต่ที่จวนอ๋องฉีกรุณา ถึงได้อนุญาตให้เขาเรียกเช่นนี้ได้ แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกติดขัดอะไร วันนี้พอได้ยินอ๋องฉีกลับรู้สึกขัดหูเป็นพิเศษ ขมวดคิ้วมุ่น ฝืนทนไว้ไม่ให้สั่งสอนเขา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรแล้ว น้องสาวกลับเรือนไปพักก่อนเถิด” พระชายาฉีกล่าว จากนั้นพูดเสริมขึ้นอีกว่า “อวี้เอ๋อร์ก็ไปด้วยเถอะ”
แผนการก็เกิดความผิดพลาด ความวุ่นวายก็ไม่ได้เห็น ถึงแม้พระชายารองจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำเรื่องไว้เยอะ กลัวว่าจะมีพิรุธ ย่อตัวลงแล้วพูดอย่างง่ายๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นน้องก็ต้องขอตัวกลับก่อน ยืนในเรือนแค่เพียงไม่นาน ก็รู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้าเหลือเกิน”
พระชายาฉีไม่ได้พูดอะไร
อ๋องฉีก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
พระชายารองยืดตัวขึ้น หวงฝู่อวี้ประคองพานางกลับเรือนของนาง
ภายในเรือนนั้นว่างเปล่า ขนาดโมโม่ก็ถูกเรียกตัวไป หวงฝู่อวี้ประคองให้นางนั่งลง แล้วเทน้ำชามายื่นให้นางอย่างเอาใจใส่ “ท่านแม่ ถ้าสิ่งที่พี่ใหญ่พูดเป็นจริงว่าท่านแม่ทัพใหญ่กับแม่นางเฝิงโดนคนวางยา ถ้าเช่นนั้นควรจะเป็นใครที่ทำเรื่องบัดสีร้ายกาจเช่นนี้ได้”
พระชายารองที่กำลังจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มหยุดชะงัก ทำหน้าแปลกๆ เล็กน้อย
หวงฝู่อวี้นั่งเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง แล้วก็ฉวยมือเทน้ำชาให้ตัวเอง ดื่มคำหนึ่ง แน่นอนว่าไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของนาง กล่าวว่า “ในจวนวันนี้แขกน้อย คนติดตามรับใช้ก็มีแค่ไม่กี่คน คาดว่าอีกไม่เกินครึ่งชั่วยามก็จะตรวจสอบได้ว่าใครเป็นคนทำ เห็นอาการโกรธของเสด็จพ่อกับพี่ใหญ่แล้ว เกรงว่าคนที่วางยาคงมีจุดจบที่ไม่ดีเป็นแน่”
“เพล้ง!” ถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือของพระชายารองหล่นลงบนพื้น หลังจากเกิดเสียงดังขึ้น ก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
หวงฝู่อวี้ตกใจ รีบถามขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไปหรือ”
ดูเหมือนว่าพระชายารองเองก็ตกใจจากเสียงนี้เช่นกัน ก้มหน้าเหม่อมองดูเศษถ้วยน้ำชาที่แตกอยู่บนพื้น ได้ยินหวงฝู่อวี้ถามนางขึ้น จึงรู้สึกตัวในทันที เงยหน้าขึ้นมองเขา ฝืนส่งยิ้มให้เขา กล่าวขึ้นด้วยริมฝีปากสั่นระริกว่า “แม่ เมื่อครู่นี้ยืนอยู่ในเรือนนานเกินไป มือจึงไม่ค่อยมีแรง”
หวงฝู่อวี้มองมือของนาง เห็นมือของนางยังสั่นไม่หยุด ก็ตื่นตระหนก ผุดลุกขึ้น ถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านแม่ ข้าจะไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องหรอก เจ้าพาแม่ไปนอนพักอยู่ที่เตียงสักครู่ก็จะดีขึ้นเอง”
“ท่านไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม” พยุงนางขึ้นไปนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อวี้ถามขึ้นอย่างไม่วางใจ
“อวี้เอ๋อร์วางใจ แม่ไม่เป็นอะไรจริงๆ”
แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่ามือกลับสั่นอย่างแรง ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ร่างกายยังสั่นเช่นกัน
หวงฝู่อวี้ตกใจ “ไม่ได้ ข้าจะไปหาเสด็จพ่อ ให้เขาส่งคนไปตามหมอหลวงจากในวังมา” ว่าแล้วก็หมุนตัวกำลังจะวิ่งออกไป
“อวี้เอ๋อร์” พระชายารองหยุดเขาไว้ “ในจวนเกิดเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ขึ้น เสด็จพ่อของเจ้ากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ เรื่องเล็กแค่นี้เจ้าไม่จำเป็นต้องไปรบกวนเขา แม่ไม่เป็นอะไรจริงๆ พักสักครู่ก็หายแล้ว”
พูดจบก็สูดลมหายใจเข้า พยายามฝืนร่างกายตัวเองไว้ไม่ให้สั่น
หวงฝู่อวี้เห็นว่าอาการของนางดีขึ้นบ้างแล้ว เอี้ยวตัวไปดึงผ้าห่มมาห่มให้นาง “ถ้าเช่นนั้นท่านพักผ่อนสักครู่ ข้าจะคอยนั่งเฝ้าท่านอยู่ที่นี่ ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหน ก็บอกข้า”
พระชายารองพยักหน้า หลับตาลง
หวงฝู้อวี้หมุนตัว คิดจะเก็บเศษถ้วยน้ำชาที่แตกกระจาย
พระชายารองลืมตาขึ้นพลัน ถามอย่างหวาดหวั่นว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าไปไหน”
หวงฝู่อวี้ชะงักฝีเท้า หันกลับมา “ข้าจะเก็บเศษถ้วยน้ำชาบนพื้น ท่านจะได้ไม่โดนบาด”
“ไม่ต้องหรอก รอให้พวกนางกลับมาเก็บกวาดเถอะ เจ้ามานั่งข้างๆ แม่เถอะ”
หวงฝู่อวี้รู้สึกว่าวันนี้พระชายารองค่อนข้างแปลกพิกล อ้าปากกำลังจะถามว่านางเป็นอะไร ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ จึงกลืนคำพูดลงคอไป นั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ขอรับ ข้าจะอยู่กับท่าน ท่านพักผ่อนเถอะ”
ตอนที่ 129 นึกกลัว
พระชายารองจ้องมองเขาโดยไม่ละสายตาครู่หนึ่งแล้วจึงหลับตาลง ทว่าเปลือกตาที่ขยับอยู่ตลอดกับร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่มกลับสั่นขึ้นไม่หยุด แสดงได้ชัดว่านางไม่ได้หลับไป
หลังจากพระชายารองกับหวงฝู่อวี้เดินออกไป หน้าประตูเรือนจึงเหลือแค่อ๋องฉี พระชายาฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนรวมถึงเมิ่งเชี่ยนโยวสี่คน ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้องดังขึ้นมา สีหน้าของอ๋องฉีก็ยิ่งมืดครึ้มลง
กลับเป็นพระชายาฉีที่สงบเยือกเย็น “ท่านอ๋องเพคะ ท่านให้คนเฝ้าอยู่ที่ประตูเรือนก่อน พวกเราไปหาสถานที่อื่นปรึกษากันสักครู่ จะได้ช่วยกันคิดว่าจะบอกกับเถ้าแก่เหวินเช่นไร”
นี่ก็คือภาระอันเร่งด่วน ร้านยาเต๋อเหรินมีความสำคัญมากในเมืองหลวง ตระกูลเฝิงก็เป็นตระกูลคหบดีที่ทำการค้ามาหลายชั่วอายุคนภายในเมืองหลวง มิอาจดูแคลนฐานะได้เช่นกัน ถ้าหากจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี ไม่เพียงแต่จะไม่สารถรักษาตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้แล้ว แม้แต่ชื่อเสียงของจวนอ๋องฉียังต้องแปดเปื้อนไปด้วย
อ๋องฉีพยักหน้า ตะโกนบอกกับความว่างเปล่าว่า “เฝ้าเรือนไว้ให้ดี ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไป ถ้าเหตุการณ์ภายในห้องสงบลงแล้ว รีบไปรายงานข้าทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” มีเสียงตอบดังมาจากความว่างเปล่า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปประคองพระชายาฉี ทุกคนหาเรือนที่อยู่ใกล้ๆ ละแวกนั้น แล้วก็เดินเข้าไป ดีที่คนรับใช้ในจวนอ๋องไม่กล้าขี้เกียจ เรือนหลังนี้ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ได้ถูกทำความสะอาดไว้อย่างเรียบร้อย
ทุกคนผลักประตูเข้าไปด้านใน พระชายาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง เอ่ยปากถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าแม่นางเฝิงอยู่กับเจ้าหรือ ทำไมถึงมาปรากฏในเรือนของเซวียนเอ๋อร์ได้”
อ๋องฉีก็นั่งลงเช่นกัน มองนางด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จนหมดเปลือก
พระชายาฉีได้ฟังเรื่องราวที่สำคัญ กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ส่งคนไปเรียกพวกเจ้าเลย ดูเหมือนว่าจะมีคนมาถ่ายทอดคำสั่งของข้าอย่างผิดๆ จะได้วางยากับพวกเจ้าได้ง่ายๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ยาน่าจะใส่ไว้ในแก้วน้ำสองใบนั้น ตอนนั้นมันฉุกละหุกเหลือเกิน หม่อมฉันไม่ได้ตรวจดูให้ละเอียด แต่ก็ฉวยถ้วยน้ำสองใบนั้นติดมือไปวางไว้ในห้องของอี้เซวียน อีกสักครู่พวกเราไปตรวจสอบก็รู้แล้ว คนที่วางยาช่างร้ายกาจนัก หม่อมฉันคิดว่าเขาต้องการที่จะทำลายชื่อเสียงของเราทั้งสองคน เพียงแต่ว่าน้องซูเอ๋อร์คอแห้ง หม่อมฉันจึงส่งถ้วยชาของตัวเองให้นางดื่มด้วย ถึงได้เกิดเรื่องหลังจากนั้น หากว่าหม่อมฉันก็ดื่มน้ำชาถ้วยนั้นไปเช่นกัน บางทีอาจจะตรวจพบอะไรได้ทันท่วงที จะได้ไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น”
พระชายาฉีโบกมือ “เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว จะมาเสียใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ คนที่วางยาช่างมีจิตใจโหดเ**้ยม กล้าคิดที่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเจ้าทั้งสองไปพร้อมกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น…”
พอพูดถึงตรงนี้พระชายาฉีตัวสั่นสะท้านขึ้น ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง เมิ่งเชี่ยนโยวถูกทำลาย หวงฝู่อี้เซวียนจะต้องบ้าคลั่งอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นศัตรูกับฉู่เหวินเจี๋ย ไม่แน่ว่า ฉู่เหวินเจี๋ยที่มีนิสัยซื่อตรงอาจจะทำลายชีวิตตัวเองจากเหตุผลนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ พระชายาฉีจะได้ทนรับผลกระทบนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะไม่ตามฉู่เหวินเจี๋ยไป แต่คงจะป่วยขึ้นมาอีก แล้วต่อมายังจะมีอะไรเกิดอะไรขึ้นอีก…
ยิ่งคิดก็ยังกลัว พระชายาฉีเหงื่อไหวออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ “ท่านอ๋องเพคะ วันนี้จะต้องตรวจสอบความจริงให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด”
อ๋องฉีก็นึกถึงผลสุดท้ายนี้ได้เช่นกัน ใบหน้าอึมครึมจนแทบจะมีหยดน้ำไหลออกมา โมโหจนตบโต๊ะฉาดใหญ่ “ช่างมีจิตใจโหดเ**้ยมจริงๆ นี่มันยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ทั้งคิดที่จะทำลายเหวินเจี๋ย อีกทั้งยังคิดทำลายจวนอ๋องฉีข้า อีกสักพักตรวจสอบมาไม่ว่าใครที่ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ข้าจะไม่มีวันปล่อยมันไปแน่นอน”
พอได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็มีเหงื่อผุดซึมออกมาเต็มหลัง ไม่สนว่าจะมีอ๋องฉีกับพระชายาฉีอยู่ตรงนั้นด้วย ใช้มือข้างหนึ่งรั้งตัวเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา แล้วกอดนางไว้ในอ้อมแขนของตัวเองแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ว่าตัวเขานั้นสั่นระริก ยื่นมือออกไปลูบหลังเขาเบาๆ “เจ้าลืมแล้วหรือ ข้ารู้วิชาแพทย์ ถ้าหากข้าจะดื่มน้ำชาถ้วยนั้นจริง ข้าก็จะรู้ตัวก่อน เรื่องหลังจากนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด แต่ว่าตอนนี้…น้องซูเอ๋อร์ยังเด็กนัก ถ้านางรู้สึกตัว ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับทั้งหมดนี้อย่างไร”
พอได้ยินคำพูดของนาง พระชายาฉีก็เกิดหน้ามืดขึ้นอีก จนถึงเดี๋ยวนี้ฉู่เหวินเจี๋ยก็ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่เคยสัมผัสความใกล้ชิดแบบชายหญิงเลย วันนี้ก็โดนวางยาเสน่ห์อีก โดนกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังไม่รู้ว่าแม่นางตระกูลเฝิงผู้นั้นจะมีสภาพเช่นไรบ้าง ถ้าหากแม่นางผู้นั้นทนไม่ไหว…
พระชายาฉีไม่กล้าคิดต่อ อยู่ดีๆ ร่างกายก็สั่นเทิ้มขึ้นมาหลายครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยมีประสบการณ์ความใกล้ชิดของชายหญิงเลย จึงไม่ได้คำนึงถึงข้อนี้ ตั้งแต่ที่นางรู้ว่าคนที่กำลังทำอะไรอยู่ในห้องนั้นเป็นใคร ก็คิดเพียงแต่ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี ฉู่เหวินเจี๋ยกับเหวินซื่อเป็นเพื่อนรักกัน เหวินซื่อก็เป็นผู้จัดหายาให้กับกองทัพ ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเลย เกรงว่าเหวินซื่อจะโกรธจนเลิกจัดหายาให้กับกองทัพ อีกอย่าง เฝิงจิ้งซูออกมาพร้อมกับตัวเอง ตอนนี้เรื่องที่โดนฉู่เหวินเจี๋ยทำชำเรานั้นตัวเองก็ไม่อาจบอกว่าไม่เกี่ยวข้องได้ ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะถูกลดทอนความสัมพันธ์กับเหวินซื่อรวมถึงเฝิงจิ้งเหวินลงไป จนอาจจะถึงขั้นกลายเป็นศัตรูต่อกัน
นึกถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวกัดริมฝีปากครุ่นคิดอยู่นาน ถึงเพิ่งจะรู้สึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนปล่อยตัวเองแล้ว นางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของพระชายาฉี สบตากับนางอย่างแน่วแน่ กล่าวว่า “พระชายาเพคะ ตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวที่จะจัดการเรื่องนี้ได้”
พระชายาฉีที่กำลังทำใจให้สงบอยู่ ตอนนี้คิดอะไรไม่ออก พอได้ฟังคำของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “วิธีอะไรหรือ เจ้ารีบพูดมา”
“ให้ท่านแม่ทัพใหญ่ไปสู่ขอซูเอ๋อร์เป็นภรรยาเพคะ”
พระชายาฉีตกใจตาแทบถลนออกมานอกเบ้า “นี่ นี่ นี่…”
“เรื่องในวันนี้ ถ้าหากถูกแพร่ออกไป ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของท่านแม่ทัพใหญ่จะย่อยยับ ต่อไปน้องซูเอ๋อร์ก็จะออกไปพบผู้คนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นจะจะจบชีวิตตัวเองลงเพราะเรื่องนี้ โชคดีที่ท่านแม่ทัพใหญ่ยังไม่มีภรรยา อย่างไรเสียให้ท่านออกหน้าจัดการดีกว่า จัดการกับเรื่องนี้ได้ เช่นนี้แล้วก็จะปิดปากผู้คนได้ เรื่องซุบซิบนินทาก็จะน้อยลง ถือว่าเราให้คำตอบที่ดีกับจวนตระกูลเฝิงได้” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้าเห็นด้วย “ข้าก็คิดว่าความคิดนี้ของโยวเอ๋อร์ดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านกำลังคิดที่จะเข้าวังไปขอพระราชทานการแต่งงานจากเสด็จย่าให้กับท่านน้าหรือ แม่นางเฝิงก็ประจวบเหมาะพอดี”
อ๋องฉีก็พยักหน้าเป็นความหมายว่าเห็นด้วย “นี่เป็นวิธีการจัดการที่ดีที่สุดแล้ว”
ในที่สุดพระชายาฉีก็พูดขึ้นได้ “แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่า…”
“เสด็จแม่กังวลเรื่องอะไรหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
พระชายาฉีโบกมือ “แม่หรือจะกังวลอะไร เพียงแต่ว่าแม่นางตระกูลเฝิงผู้นี้อายุยังน้อยนัก พวกเขาจะเห็นชอบให้นางแต่งงานกับน้าของเจ้าหรือ”
“น้องซูเอ๋อร์มีอายุพอที่จะแต่งงานได้แล้วเพคะ เพียงแต่เป็นเพราะว่าตระกูลเฝิงนั้นรักทะนุถนอมนางมาก จึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานให้กับนางจนถึงเดี๋ยวนี้ ท่านแม่ทัพใหญ่อายุค่อนข้างมากไปบ้าง แต่ว่าฐานะนั้นเหมาะสมกับนางมากจนล้นเหลือ อีกทั้งแม่นางเฝิงก็เสียตัวให้กับท่านแม่ทัพใหญ่แล้ว เชื่อว่าพวกเขาจะต้องยอมรับการแต่งงานนี้ดด้วยความเต็มใจเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
คิ้วของพระชายาฉีที่ขมวดคิ้วปมอยู่ก็คลายออก “ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ประเสริฐอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เพียงแค่คนตระกูลเฝิงตกลง แม้จะให้ข้าละทิ้งตำแหน่งพระพระชายารองก็ยินดี”
“ไม่หรอกเพคะ ข้ารู้จักคุ้นเคยกับคนตระกูลเฝิงดี พวกเขาต่างก็เป็นคนตรงไปตรงมาเปิดเผยมีไมตรีจิต ได้ยินครั้งแรก อาจจะรับไม่ได้ แต่ถ้าได้ไตร่ตรองดู ก็จะตกลงเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พระชายาฉีกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นจะรออะไร ข้าจะไปสู่ขอก็ฮูหยินเหวินเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน
“พระชายาอย่าเพิ่งใจร้อนเพคะ แม้จะบอกว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด พวกเราก็ต้องรอให้ท่านแม่ทัพใหญ่กับซูเอ๋อร์ได้สติก่อน ถามความเห็นจากพวกเขาก่อนค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ถ้าหากให้ตายอย่างไรน้องซูเอ๋อร์ก็ไม่ตกลง ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะบีบให้นางตายหรอกหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พระชายาอ๋องกระวนกระวายใจจนเหงื่อผุดซึมออกมาเต็มหน้า มองออกไปข้างนอกตลอดเวลา
กว่าจะได้ยินเสียงองครักษ์เงาเข้ามารายงาน “นายท่าน ความเคลื่อนไหวภายในห้องได้สงบลงแล้ว มีเสียงร้องไห้ของแม่นางดังออกมา”
พระชายาฉีโล่งอก “มีเสียงร้องไห้ แสดงว่าคนไม่เป็นอะไร นี่ก็นีบว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดแล้ว”
“ข้าจะออกไปดูหน่อย” จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง
อ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินตามออกไป
พระชายาฉีได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลัง เห็นว่าทุกคนต่างก็เดินตามหลังนางไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ชะงักฝีเท้าลง พูดกับอ๋องฉีแล้วหวงฝู่อี้เซวียนว่า “โยวเอ๋อร์ตามข้าเข้าไปด้วยเถอะ ส่วนท่านอ๋องกับเซวียนเอ๋อร์ไม่ต้องตามเข้าไป”
เรื่องเช่นนี้หากทั้งสองคนตามเข้าไปด้วยก็ไม่เหมาะจริงๆ พยักหน้า อ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนจึงเดินไปดูที่เหล่าคนรับใช้รวมกลุ่มกันอยู่
พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ประตูห้องยังปิดสนิทอยู่ ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดของเฝิงจิ้งซูดังออกมา
“เหวินเจี๋ย! พวกเจ้าจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ข้ากับแม่นางเมิ่งจะเข้าไปเดี๋ยวนี้” พระชายาฉีพูดเสียงดัง
พลันประตูห้องถูกเปิดออกทันที เกิดความเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง ฉู่เหวินเจี๋ยที่เผชิญหน้ากับกองกำลังของศัตรูนับพันก็ไม่เคยหวาดหวั่นกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู ตะโกนขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านพี่”
ฉู่เหวินเจี๋ยอารามตื่นตระหนก แม้แต่เสื้อคลุมด้านนอกยังติดกระดุมผิด เสื้อผ้าทั้ถูกสวมอยู่บนตัวข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่งต่ำ
พระชายาฉีลอบถอนหายใจ เดินเข้าประตูไป
ฉู่เหวินเจี๋ยหลีกทางให้ พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง
เฝิงจิ้งซูเอาผ้าห่มคลุมโปงยังนอนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดอยู่ เสื้อผ้ายังกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าไปข้างในทันที ร้องเรียกขึ้นอว่างระมัดระวังว่า “ซูเอ๋อร์”
ซูเอ๋อร์พอได้ยินเสียงของนาง ก็เลิกผ้าห่มออก ลุกขึ้นนั่ง กอดเมิ่งเชี่ยนโยวแน่น เสียงร้องมห้ดังขึ้นกว่าเดิม
นางไม่ได้สวใส่เสื้อผ้า การทำเช่นนี้แทบจะเป็นการเปิดเผยร่างด้านบนของตัวเองออกมา ฉู่เหวินเจี๋ยรีบหลับตาลงทันที พระชายาฉีกลับสูดลมหายใจเข้า เห็นบนผิวตัวส่วนที่โผล่ออกมาของเฝิงจิ้งซูต่างก็มีรอยเขียวรอยม่วงเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมด แม้แต่ข้อศอกยังไม่เว้น
เฝิงจิ้งซูร้องไห้จนแทบจะขาดใจ ไม่ได้สังเกตเห็นจุดนี้เลยด้วยซ้ำ
เมิ่งเชี่ยนโยวมือไวตาไวรีบดึงผ้าขึ้นมาคลุมร่างให้เฝิงจิ้งซูอย่างรวดเร็ว ลูบหลังของนางแผ่วเบา
พระชายาฉีถอนหายใจ ลองเรียกขึ้น “แม่นางเฝิง”
เหมือนกับว่าเฝิงจิ้งซูจะไม่ได้ยินเสียงของนาง ยังร้องไห้เสียงดังเช่นเดิม
พระชายาฉีหมดหนทาง จำต้องหันกลับไปมองฉู่เหวินเจี๋ย
ฉู่เหวินเจี๋ยรู้สึกตัวขึ้น ก็พบว่าตัวเองได้ทำเรื่องอันรับไม่ได้กับแม่นางน้อยคนหนึ่ง ตกใจจนโง่งม จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระชายาฉีมองหน้าเขา ร้องขึ้นด้วยริมฝีปากอันสั่นเทา “ท่านพี่”
พระชายาฉีถอนหายในอย่างหนักหน่วง น้องชายคนนี้ของตน แม้จะเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสารทิศ แต่ทว่าก็ยังไม่เคยมีครอบครัวมาก่อน เมื่อประสบกับเรื่องเช่นนี้ ในใจก็ตื่นตระหนกไม่น้อยไปกว่าเฝิงจิ้งซูเลย
ครั้นแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พระชายาฉีเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา ถามเสียงแผ่วเบาว่า “เหวินเจี๋ย เรื่องในวันนี้เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร”
ฉู่เหวินเจี๋ยสับสนจนแยกแยะไรไม่ได้แล้ว ไหนเลยจะมีความคิดอะไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเฝิงจิ้งซูดังขึ้นตลอดเวลา ยิ่งไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เห็นท่าทางของเขา พระชายาฉีก็ทราบว่าเขาไม่รู้ว่าควรจัดการเรื่องเช่นไรดี แล้วจึงถอนหายใจอีกครั้ง กล่าวว่า “ข้ากับท่านอ๋องเพิ่งจะปรึกษากับไปเดี๋ยวนี้เอง เจ้าไม่อาจที่จะทำลายความบริสุทธิ์ของแม่นางได้โดยเปล่า ข้าจะเป็นคนไปสู่ขอกับตระกูลเฝิงให้เจ้าแต่งงานกับแม่นางซูเอ๋อร์ เจ้าจะยอมไหม”
ฉู่เหวินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ รีบร้องขึ้นว่า “ท่านพี่!”
พระชายาฉียกมือขึ้น ยับยั้งคำพูดของเขา “ข้ารู้ เจ้าจะบอกว่าแม่นางเฝิงอายุยังน้อย เราทำเช่นนี้ก็ออกจะเกินไปบ้าง แต่ถ้าหากเจ้าไม่ไปสู่ขอแต่งงานให้แม่นางเฝิงเป็นภรรยา ต่อไปนางก็จะเผชิญหน้าผู้คนไม่ได้อีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในเมื่อเจ้าทำเรื่องนี้ลงไปแล้ว ก็ควรที่จะรับผิดชอบแม่นางเค้า ยังดีที่เจ้าไม่มีภรรยา สามารถแต่งให้นางเป็นภรรยาเอกได้ สามารถชดใช้ได้ก็ชดใช้ให้เต็มที่”
ฉู่เหวินเจี๋ยอ้าปาก คิดจะพูดอะไรอีก พอได้ยินเสียงร้องไห้ของเฝิงจิ้งเหวินดังขึ้น ก็กลืนลงคอไป พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ยกให้ท่านพี่เป็นคนจัดการทุกอย่าง”
พระชายาฉีหมุนตัว เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง
เฝิงจิ้งซูร้องไห้จนหายใจไม่ทัน เห็นอาการกระตุกได้อย่างชัดเจนแม้จะมีผ้าห่มปิดตัวไว้ก็ตาม
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่ปลอบนางโดยไม่ส่งเสียง ตบหลังนางอย่างแผ่วเบา
นางร้องไห้ต่อไปไม่หยุดเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น พระชายาฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งลงบนเตียง เรียกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างละอายใจ “แม่นางเฝิง”
เฝิงจิ้งซูหยุดร้องไห้ หันหน้ามองนางอย่างสะอึกสะอื้น ใบหน้าแดงเถือก ดวงตาแดงก่ำ
พระชายาฉีกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “แม่นางเฝิง เจ้ามาเป็นแขกของจวนอ๋อง แต่กลับต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ พวกเราต้องขอโทษเจ้าแล้ว”
ตอนที่ 130 ปรึกษาหารือร่วมกัน
น้ำตาของเฝิงจิ้งซูไหลลงมาไม่หยุด
พระชายาฉียิ่งปวดใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาให้นาง
แต่ราวกับว่าเฝิงจิ้งซูหวาดผวาอะไรบางอย่างจึงถอยหลบทันที
พระชายาฉีไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ จึงได้แต่ส่งผ้าเช็ดหน้าในมือให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมันเอาไว้ แล้วก็เข้าไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเฝิงจิ้งซู
เฝิงจิ้งซูขยับเข้ามาใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งสองมือกอดกันไว้แน่น
ดูก็รู้ว่าเฝิงจิ้งซูตกใจมาก ไม่สามารถพูดคุยเรื่องต่อจากนี้ได้เลยจริงๆ แต่หากว่าวันนี้ไม่ตกลงเรื่องการแต่งงาน ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีข่าวลือแปลกๆ ทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างไรบ้างในเมืองหลวง พระชายาฉีขบกรามแน่น น้ำเสียงอ่อนโยนลงมากทีเดียว “แม่นางเฝิง เรื่องมาจนถึงขนาดนี้แล้วจะพูดอะไรก็ไม่ทันการณ์แล้ว เมื่อครู่ข้ากับโยวเอ๋อร์เพิ่งจะคิดวิธีรับมือได้ เจ้าลองฟังดูก่อน หากเจ้ายอมก็ให้พยักหน้า แต่หากเจ้าไม่ยอมก็ถือเสียว่าพวกเราไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน เจ้าจะลงโทษเหวินเจี๋ยอย่างไรก็ได้”
เฝิงจิ้งซูมองนางด้วยดวงตาพร่า ผ่านหยดน้ำตาออกไป
“เหวินเจี๋ยไม่สนว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร เรื่องทำลายความบริสุทธิ์ของเจ้าเป็นความจริง หากเจ้ายินยอม พวกเราจะไปสู่ขอเจ้าที่จวนตระกูลเฝิงเดี๋ยวนี้เลย ให้เขาแต่งงานกับเจ้า เจ้าวางใจ พวกเราจะไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบ เจ้าน่าจะเคยได้ยินมาบ้างว่าเหวินเจี๋ยยังไม่ได้แต่งงาน เพียงแค่เจ้าแต่งเข้าจวน ก็จะได้เป็นฮูหยินท่านแม่ทัพ”
เฝิงจิ้งซูหยุดสะอื้น อ้าปากเล็กๆ พร้อมกับมองไปที่พระชายาฉีอย่างประหลาดใจ แล้วก็มองไปที่ฉู่เหวินเจี๋ย จากนั้นน้ำในตาก็ไหลออกมาอีก
“ถ้าแม่นางเฝิงไม่ยอม พวกเราก็ไม่บังคับ เจ้าลองดูว่าต้องการให้ชดใช้สิ่งใด ก็พูดขึ้นมาได้เลย ขอเพียงพวกเราสามารถทำได้ พวกเราก็จะรับปากเจ้า” พระชายาฉีกล่าว
เฝิงจิ้งซูที่ร้องไห้จนคอแห้ง น้ำเสียงแหบแห้ง พูดเสียงฟึดฟัดดังขึ้นจมูกเบาๆ ว่า “ข้าจะไปหาท่านพี่ข้า”
พระชายาฉีมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
คนรับใช้ที่อยู่ในห้องต่างก็ออกไปรับการสืบสวนทุกคน ไม่มีคนคอยรับใช้แม้แต่คนเดียว เฝิงจิ้งซูก็กอดเมิ่งเชี่ยนโยวแน่นไม่ยอมปล่อย
พระชายาฉีลุกขึ้น เตรียมที่จะเดินออกไปตามเฝิงจิ้งเหวินด้วยตัวเอง
ตอนที่เกินผ่านฉู่เหวินเจี๋ยนั้น ก็ส่งสายตาให้กับเขา
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินตามนางออกไปข้างนอก
“สวมใส่เสื้อผ้าของเจ้าให้เรียบร้อยก่อน ไปรอในเรือนข้างๆ รอให้ฮูหยินเหวินมาก่อน พวกเราค่อยมาปรึกษากันได้แล้ว เจ้าค่อยมา” พระชายาฉีกล่าว
ฉู่เหวินเจี๋ยก้มหน้าลง ถึงได้รู้ตัวว่าเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่อยู่นั้นติดกระดุมผิด จึงรีบติดกระดุมใหม่อีกครั้ง กล่าวว่า “ท่านพี่ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า เป็นข้าที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ถ้าหากแม่นางเฝิงไม่ยอม ท่านอย่าบังคับนาง ไม่ว่าเรื่องนี้แพร่ออกไปแล้วจะมีผลเช่นไร ข้าจะรับไว้แต่เพียงผู้เดียว จะไม่เลี่ยงความผิดเด็ดขาด”
พระชายาฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่อีก “เหวินเจี๋ย ตอนนี้ไม่เจ้าที่ควรจะรับผิดชอบ และเรื่องนี้ได้ทำร้ายแม่นางเฝิงอย่างร้ายแรง ที่ข้าให้เจ้าแต่งงานกับนาง ไม่ใช่กลัวว่าเจ้าจะไม่รับผิดชอบ แต่เป็นเพราะนึกถึงอนาคตของแม่นางเฝิง ถึงอย่างไรนางก็เสียตัวให้เจ้าแล้ว ต่อไปใครจะกล้าแต่งกับนางอีก”
ฉู่เหวินเจี๋ยเต็มไปด้วยความละอายใจ นิ่งเงียบไม่ปริปาก
พระชายาฉีไม่พูดอะไรอีก เดินบ่ายหน้าไปยังเรือนรับรอง
นานแล้วก็ยังไม่มีคนมา เหวินซื่อนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปกลับมาอยู่ในเรือนรับรอง อีกทั้งยังมองออกไปนอกประตูไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวกับเฝิ่งจิ้งซูยังไม่กลับมา เฝิงจิ้งเหวินก็รู้สึกตงิดๆ ว่าอาจจะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ผุดลุกขึ้นเช่นกัน กล่าวว่า “ท่านพี่ เราออกไปดูเถอะ บางทีอาจจะเกิดเรื่องขึ้นกับน้องโยวเอ๋อร์และซูเอ๋อร์”
พอนางพูดเช่นนี้ เหวินซื่อก็ชะงักฝีเท้า โบกมือ “เจ้าวางใจเถอะ ที่ไหนที่มีเด็กคนนั้นอยู่ มีแต่คนอื่นที่จะโชคร้าย”
เฝิงจิ้งเหวินขมวดคิ้ว “แต่ข้ารู้สึกไม่สงบ เหมือนจะรู้สึกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกนางทั้งสอง”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว นั่งทำใจให้สงบเถอะ คิดว่าอีกสักครู่น่าจะมาแล้ว”
พูดจบ พระชายาฉีก็เปิดม่านประตูเดินเข้ามา
ทั้งสองคนรีบคำนับ “พระชายาเหนียงเหนียง”
พระชายาฉีรับเข้าไปประคองเฝิงจิ้งเหวินขึ้น “ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย ฮูหยินเหวินไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
เฝิงจิ้งเหวินยืนตัวตรง
พระชายาฉีมองหน้าเหวินซื่อแวบหนึ่ง แล้วกล่าวกับเฝิงจิ้งเหวินว่า “ฮูหยินเหวิน ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน ไม่ทราบว่าพวกเราจะพูดคุยเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้หรือไม่”
เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกแปลกใจ พยักหน้าทันที
“ถ้าเช่นนั้นเถ้าแก่เหวินโปรดรอตรงนี้สักครู่” พระชายาฉีพูดกับเหวินซื่อ
เหวินซื่อพยักหน้า กลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างเรียบร้อย
พระชายาฉีพาเฝิงจิ้งเหวินเข้าไปในเรือนของตัวเอง เทน้ำชาให้นางด้วยตัวเอง
เฝิงจิ้งเหวินตกใจที่ได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้ ลุกขึ้นยืน แล้วยื่นทั้งสองมือออกไปรับ “พระชายา ท่านเกรงใจไปแล้วเพคะ ไหนเลยหญิงชาวบ้านจะรับไหว”
พระชายาฉีผายมือเป็นความหมายให้นางนั่งลง
เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกได้ว่าพระชายาอ๋องมีท่าทีที่แปลกไป ใจเต้นตึกตักราวกับเสียงกลอง นั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่สงบใจ
พระชายาฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินเหวิน มีเรื่องบางเรื่องที่ข้าไม่รู้ว่าจะพูดกับท่านอย่างไรดี”
“พระชายามีเรื่องอะไรก็พูดตรงๆ ได้เพคะ หม่อมฉันจะปฏิบัติตามอย่างแน่นอน”
สีหน้าของพระชายาฉีเต็มเปี่ยมไปด้วยความละอายใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากพูดอย่างไรดี”
เห็นนางพูดจาลังเลเช่นนี้ ในใจของเฝิงจิ้งเหวินยิ่งบังเกิดความไม่สบายใจมากขึ้น ฝืนยิ้มออกมา ไม่ได้พูดอะไร
พระชายาฉีกัดฟัน แล้วจึงเล่าเรื่องที่เฝิงจิ้วซูโดนวางยา แล้วฉู่เหวินเจี๋ยก็โดนยาเสน่ห์เข้าไปเช่นกันจนทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น เล่าให้นางฟังโดยไม่ปิดบัง
เฝิงจิ้งเหวินผุดลุกขึ้นยืนทันที ถามขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า “ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ น้องสาวหม่อมฉันเป็นอย่างไรบ้าง”
พระชายาฉีก็ลุกยืนขึ้นตาม “สถานการณ์ทางด้านน้องสาวของเจ้าไม่ดี เอาแต่ร้องไห้”
“หม่อมฉันจะไปดู!” เฝิงจิ้งเหวินวิ่งโซซัดโซเซออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน
“ฮูหยินเหวิน” พระชายาฉีร้องตามหลัง “ท่านหยุดก่อน ข้ายังมีเรื่องที่จะปรึกษากับท่าน”
“ปรึกษาอะไร มีอะไรที่ต้องปรึกษา นี่เป็นวิธีต้อนรับแขกของพวกท่านพระชายาอ๋องหรือ ทำให้น้องสาวข้าประสบเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ รู้ไหมว่านางเพิ่งจะอายุสิบห้าปีเอง พวกท่านจะให้นางมีชีวิตต่อไปอย่างไร” เฝิงจิ้งเหวินหันกลับมาตอบทันควัน ตะเบ็งเสียงดังลั่น ร้องถามขึ้น
“เพราะเหตุนี้ พวกเราจึงควรที่จะปรึกษากันก่อนให้ดี ดูว่าจะทำอย่างไรถึงดีต่อน้องสาวท่านที่สุด”
เฝิงจิ้งเหวินหันกลับมา เดินเข้ามาใกล้พระชายาฉี ร้องขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ดีต่อน้องสาวข้าทั้งนั้น ผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไป น้องสาวที่น่ารัก ไร้เดียงสา ไร้ความกังวลวุ่นวายใจจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
พระชายาฉีไม่โกรธ เดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ฮูหยินเหวิน เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงพวกเราจะมามัวเสียใจก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราคิดถึงวิธีจัดการที่ดีได้แล้ว ท่านจะไม่ใจเย็นแล้วลองฟังข้าพูดหน่อยหรือ”
เฝิงจิ้งเหวินยิ่งเกรี้ยวกราดขึ้น “ดี วิธีการแก้ปัญหาเช่นนั้นหรือ จะบอกให้พวกท่านรู้ ต่อให้พวกท่านเป็นอ๋องสูงศักดิ์กับแม่ทัพใหญ่ ตระกูลเฝิงของเราก็ไม่เกรงกลัวท่าน อย่างมากพวกเราก็สู้กันอย่างมัจฉาตายตาข่ายขาด* อย่างไรข้าก็จะไม่ยอมให้น้องสาวต้องโดนลบหลู่เกียรติไปโดยเปล่า”
“ฮูหยินเหวิน ท่านผลีผลามเกินไป พวกเราไม่เคยคิดว่าจะใช้อำนาจไปบีบบังคับพวกท่าน พวกเราเพียงแต่คิดที่จะให้แม่นางเฝิงโดนทำร้ายน้อยที่สุด”
เห็นชัดว่าเฝิงจิ้งเหวินไม่เชื่อ “น้องสาวข้าเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว พวกท่านจะทำอย่างไรนางถึงจะได้รับความเสียหายน้อยที่สุด”
“แต่อย่างน้อยพวกเราก็ได้ชดใช้”
“ชดใช้อย่างไร เอาอะไรมาชดใช้ ต่อให้สังหารฉู่เหวินเจี๋ยไปตอนนี้ก็ชดใช้ไม่ได้” เฝิงจิ้งเหวินสูญเสียความสุขุมเยือกเย็นไปแล้ว หลุดปากพูดออกมา
นางพูดจบ พระชายาฉีก็มีสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงที่พูดออกไปก็ดุดันขึ้นหลายส่วน “ฮูหยินเหวิน เกิดเรื่องเช่นนี้ในจวนกับน้องสาวท่าน พวกเราต้องขออภัยเป็นอย่างมาก ท่านอ๋องกับเซวียนเอ๋อร์ก็ได้ไปตรวจสอบแล้ว เชื่อว่าไม่นานก็จะให้คำตอบกับท่านได้ เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้ว ว่าเหวินเจี๋ยโดนวางยาเสน่ห์ ทำอะไรโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าจงใจรังแกน้องสาวของท่าน เรื่องนี้ถึงท่านจะไปฟ้องร้องกับศาลยุติธรรมแล้วอย่างไร อย่างมากก็ได้รับโทษโบยแค่ห้าสิบไม้เท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายแค่เหวินเจี๋ยทั้งหมด แต่หากทำเช่นนี้ ก็จะไม่มีผลดีต่อน้องสาวท่านแม้แต่น้อย กลับยิ่งทำให้ต่อไปนางอยู่ในเมืองหลวงจะไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นได้ วิธีแก้ปัญหาที่พวกเราคิดได้ในวันนี้ ถึงแม้จะไม่ดีที่สุด แต่ก็จะไม่ทำลายชื่อเสียงของนางเด็ดขาด”
เฝิงจิ้งเหวินกล่าวเช่นนั้นออกไปเพราะความโกรธ ตอนนี้ก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง จะต้องรู้ว่าฉู่เหวินเจี๋ยเป็นแม่ทัพใหญ่ที่รบสำเร็จมากมาย นางกล้าพูดด้วยถ้อยคำที่ไม่ให้เกียรติออกมา หากเป็นเมื่อก่อน คงต้องถูกลากตัวไปนานแล้ว โชคดีที่วันนี้พวกเรารู้สึกผิด จึงไม่ได้โทษนาง แต่ว่า นางก็ไม่เกรงกลัวมากนัก
เฝิงจิ้งเหวินยืดตัวตรง กล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “ได้ ท่านว่ามา ข้ากำลังฟัง หากไม่เป็นผลดีต่อน้องสาวข้า ข้าก็จะสู้กับพวกท่านจนสุดชีวิต”
พระชายาฉีกลับไปที่โต๊ะ ผายมือเป็นความหมายบอกให้นางนั่งลง “ฮูหยันเหวิน ท่าทางเช่นนี้ของท่านไม่เหมือนท่าทางที่จะพูดคุยกันเลย ท่านใจเย็นก่อน ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้ท่านฟัง”
ครั้งแรกที่ได้ยินว่าเฝิงจิ้งซูเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เฝิงจิ้งเหวินก็กระวนกระวายจนมือไม้พันกันแล้ว วันนี้เพียงแต่มีความโกรธที่ช่วยประคองอยู่ ตัวเองถึงได้ไม่เป็นลมล้มไปกับพื้น พอได้ยินคำพูดของพระชายาฉี ก็เดินกลับมานั่งลงเก้าอี้ สูดหายใจเข้าหลายครั้ง “เชิญพระชายาพูดเถอะ ข้ากำลังฟังอยู่”
พระชายาฉีก็นั่งลงเช่นกัน กล่าวว่า “เรื่องที่เหวินเจี๋ยยังไม่แต่งงานเจ้าทราบหรือไม่”
เรื่องนี้รู้กับทั่วทั้งเมืองหลวง เฝิงจิ้งเหวินเองก็ไม่ต่างกัน พยักหน้า “ทราบ”
“ข้าคิดว่าจะให้เหวินเจี๋ยสู่ขอแม่นางเฝิงมาเป็นฮูหยินแม่ทัพ…”
ยังพูดไม่จบ เฝิงจิ้งเหวินก็ผุดลุกขึ้นทันที เบิกตากว้าง ถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ท่านว่าอะไรนะ”
พระชายาฉีพูดขึ้นอีกครั้ง “ฮูหยินเหวินไม่ได้ฟังผิดไป ข้าคิดว่าจะให้เหวินเจี๋ยไปสู่ขอแม่นางเฝิงมาเป็นฮูหยินแม่ทัพ”
เฝิงจิ้งเหวินอ้าปากค้าง ขยับปากอยู่หลายครั้ง แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
พระชายาฉีถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าแม่นางเฝิงอายุยังน้อย แต่งงานกับเหวินเจี๋ยนั้นลำบากนางไปบ้าง ข้าขอรับรองกับเจ้า ขอเพียงนางแต่งเข้าจวน เหวินเจี๋ยจะปฏิบัติต่อนางอย่างดี และชั่วชีวิตนี้จะแต่งงานกับนางเพียงคนเดียว ไม่มีอนุเป็นอันขาด”
เฝิงจิ้งเหวินคิดไม่ถึงว่าที่พวกเขาบอกว่าวิธีการแก้ปัญหาก็คือให้เฝิงจิ้งซูแต่งงานกับฉู่เหวินเจี๋ย ต้องรู้ ว่าฉู่เหวินเจี๋ยนั้นรบชนะศึกมากมาย มีชื่อเสียงเกรียงไกร เป็นคนในดวงใจของหญิงสาวน้อยใหญ่ทั่วทั้งเมืองหลวง เพียงแค่เขาพูดว่าต้องการแต่งงาน ไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าสตรีชาวบ้านยากจนเลย แม้แต่สตรีที่เป็นบุตรสาวของขุนนางที่มีอายุพอที่จะแต่งงานได้ก็พากันต่อแถวตั้งแต่หน้าประตูเมืองทิศใต้ยาวไปจนถึงประตูเมืองทิศเหนือ บัดนี้โชคกลับหล่นทับน้องสาวของตัวเอง เฝิงจิ้งเหวินไม่กล้าเชื่อ ตกตะลึง
พระชายาฉีกลับเข้าใจนางผิดไป ขมวดคิ้วมุ่น “ข้ากับโยวเอ๋อร์ต่างก็คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อแม่นางเฝิง ฮูหยินเหวินไม่ยอมหรือ”
เฝิงจิ้งเหวินได้สติกลับคืนมา โบกมือพัลวัน น้ำเสียงที่ดุเดือดลดน้อยลง มีความตื่นเต้นดีใจมากขึ้นหลายส่วน “ไม่ใช่ ไม่ใช่ หม่อมฉันเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าวิธีแก้ปัญหาที่ท่านพูดถึงคือวิธีนี้ หม่อมฉันคิดว่า คิดว่า…”
เมื่อได้ยินว่านางไม่ปฏิเสธ พระชายาฉีก็ถอนหายใจโล่งอก “ฮูหยินเหวินไม่ปฏิเสธก็ดีแล้ว ข้าพูดเรื่องนี้กับน้องสาวของท่านแล้ว นางเพียงแต่ร้องไห้ บอกว่าอยากเจอท่าน ข้าก็ไม่รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร หวังว่าอีกสักครู่เมื่อท่านได้พบกับน้องสาวของท่านแล้วจะพูดจาหว่านล้อมนาง แม้ว่าเหวินเจี๋ยจะอายุมากไปบ้าง แต่ก็รู้จักทะนุถนอมคนท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ไม่อยู่แล้ว รอให้น้องสาวของท่านแต่งงานเข้าจวนแล้ว ทุกอย่างภายในจวนให้นางเป็นผู้จัดการ คงไม่มีเรื่องวุ่นวาย”
เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าหงึกหงัก “หม่อมฉันทราบแล้ว ทราบแล้วเพคะ อีกสักครู่ตอนที่พบน้องสาว จะต้องเกลี้ยกล่อมนางแน่นอน”
พระชายาฉีลุกขึ้น “ถ้าเช่นนี้พวกเราก็ไปกันเถอะ อันที่จริง ข้าเห็นน้องสาวท่านร้องไห้เช่นนั้น ข้าก็ปวดใจไม่น้อย”
เฝิงจิ้งซูก็ลุกขึ้น เดินตามหลังพระชายาฉีมาถึงห้องของหวงฝู่อี้เซวียน
เฝิงจิ้งซูหยุดร้องไห้แล้ว เพียงแต่ซบอยู่ในอ้อมแขนของเมิ่งเชี่ยนโยวสะอื้นไม่หยุด ดวงตาทั้งคู่ผ่านการร้องไห้จนแดงก่ำ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกปวดใจไม่น้อย
ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เฝิงจิ้งซูเงยหน้าขึ้น พอเห็นว่าเป็นเฝิงจิ้งเหวินก็ร้องไห้น้ำตาไหลพราก ร้องตะโกนขึ้นว่า “พี่ใหญ่!”
แม้ว่าเฝิงจิ้งเหวินจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว พอเห็นความสกประเละเทะภายในห้องก็ตกใจมาก เดินไม่กี่ก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าของเฝิงจิ้งซู โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน “ซูเอ๋อร์ พี่มาช้าไป”
พอนางพูดออกมาเฝิงจิ้งซูก็ร้องไห้โฮ ร้องเรียกพี่ขึ้นไม่หยุด
คิดว่านางเมื่อกี้นี้นางต้องเจอกับอะไร เฝิงจิ้งเหวินก็ปวดหัวใจ น้ำตาไหลออกมาอย่างทนไม่ได้
ในที่สุดเฝิงจิ้งซูก็เห็นคนในครอบครัวของตัวเอง ครั้งนี้ได้ระบายความกลัว ความอัดอั้นตันใจ ความเสียใจ การไร้การช่วยเหลือพรั่งพรูออกมาจนหมด ร้องไห้ปานว่าแผ่นดินจะถล่มทลาย จนเกือยจะเป็นลมถึงได้หยุด
เฝิงจิ้งเหวินลูบหลังนางเบาๆ น้ำตาไหลไปกับนาง
ตอนที่ 131 เจอตัวแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งเม้มปากอยู่เงียบๆ นัยน์ตาของพระชายาฉีก็ชื้นไปด้วยน้ำตา หลังจากร้องไห้ไปยกใหญ่ เฝิงจิ้งซูกอดเฝิงจิ้งเหวินไว้แน่นแล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “พี่ใหญ่ ข้าอยากกลับบ้าน”
เฝิงจิ้งเหวินเองก็ร้องไห้จนตาแดงก่ำ พยักหน้าพร้อมพูดว่า “ได้สิ พี่จะพาเจ้ากลับบ้านนะ แต่ว่าพี่มีเรื่องจะพูดกับเจ้าเสียหน่อย”
เฝิงจิ้งซูพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน “ข้าไม่ขอฟังเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ เรากลับบ้านกันตอนนี้เลยไม่ดีกว่าหรือ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าตอบรับ “ได้ๆ เราจะกลับบ้านกันตอนนี้เลยนะ”
เฝิงจิ้งซูพยักหน้า และพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “พี่โยวเอ๋อร์ รบกวนพี่ช่วยเอาเสื้อผ้าของข้ามาให้ทีเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมา แต่เสื้อผ้าเหล่านั้นถูกฉู่เหวินเจี๋ยฉีกขาดจนแทบจะเป็นชิ้นๆ ไม่สามารถใช้ปกปิดร่างกายได้อีก
“ในห้องของข้ามีเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้ให้โยวเอ๋อร์แล้ว ข้าจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้” พระชายาฉีเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้แล้วพูดขึ้นพลางเดินออกไป
หลังจากพระชายาฉีเดินออกไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงแค่เมิ่งเชี่ยนโยวและสองพี่น้องตระกูลเฝิง
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้าปากเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นว่า “ซ้อคะ ข้าขออภัยด้วยที่ข้ามิได้ดูแลซูเอ๋อร์ให้ดี”
เฝิงจิ้งซูพูดด้วยเสียงงัวเงียว่า “เรื่องนี้ไม่อาจโทษเป็นความผิดของพี่โยวเอ๋อร์ได้หรอก เมื่อตอนข้ายังพอมีสติอยู่บ้าง ข้ารู้ตัวนะว่าทำอะไรกับพี่ไว้บ้าง”
เฝิงจิ้งเหวินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเปิดปากถามออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เรื่องนี้มันซับซ้อน อารมณ์ของน้องซูเอ๋อรยังไม่นิ่ง ซ้อพานางกลับบ้านก่อนเถอะ รอถึงตอนกลางคืน ข้ากลับไปรักษาอาการของท่านที่จวน แล้วจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง” แล้วพูดต่อว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ อย่าให้ตระกูลเหวินตงทราบเป็นดีที่สุดนะเจ้าคะ”
เหวินซื่อและฉู่เหวินเจี๋ยเป็นเพื่อนรักกันมาก หากเขาทราบเรื่องนี้เข้าจะลำบากใจเอาได้ และที่สำคัญเขาคงจะทนไม่ได้ พาลจะต้องโวยวายขึ้นมา ถึงตอนนั้นใครก็ไม่อาจห้ามได้
เฝิงจิ้งเหวินรู้จักเหวินซื่อดีกว่านาง จึงพยักหน้าพร้อมพูดว่า “รอให้พวกข้ากลับไปก่อน เจ้าค่อยไปบอกพวกท่านว่าพวกข้ากลับไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ
พระชายาฉีได้นำเอาเสื้อผ้าที่ทำไว้มาให้ เมิ่งเชี่ยนโยวและเฝิงจิ้งเหวินจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เฝิงจิ้งซู และพยุงร่างที่อ่อนแรงของนางเดินไปยังรถม้าด้านนอก
พระชายาฉีเดินตามมาด้านหลัง รอจนกระทั่งเฝิงจิ้งซูขึ้นรถม้าไปแล้วจึงค่อยกระซิบกับเฝิงจิ้งเหวิน “เหวินฮูหยินว่าหวังว่าท่านจะให้คำตอบรับข้าเรื่องนั้นโดยเร็ว ข้าจะได้จัดเตรียมเรื่องสินสอด”
เฝิงจิ้งเหวินไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นางเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยและขึ้นขนรถม้าไป พร้อมกับพยุงเฝิงจิ้งซู และสั่งให้คนม้าส่งพวกนางกลับจวน
หลังจากพระชายาฉีเห็นรถม้าแล่นออกไปก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงแขนของนางกลับมายังจวน พระชายาฉีไปหาฉู่เหวินเจี๋ย และบอกกับเขาว่าสองสาวตระกูลเฝิงได้กลับไปแล้ว เรื่องที่จะสู่ขอเฝิงจิ้งซูก็ยังไม่ได้ตกลงเรียบร้อย
ฉู่เหวินเจี๋ยเองก็ได้ปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว สายตาของเขาเย็นชา บรรยากาศรอบข้างจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านพี่ เมื่อครู่ข้านั่งตรงนี้และคิดได้ว่า วันนี้หลังจากที่ข้าออกจากห้องไป ข้าได้ดื่มเพียงน้ำชาที่คนใช้ในจวนยกมาถวายเท่านั้น เห็นทีว่าจะมีผู้ปองร้าย ใส่ยาลงไปในน้ำชา ทำให้ข้าทำเรื่องชั่วช้าดังสัตว์เดรัจฉานลงไปได้”
“เมื่อครู่โยวเอ๋อร์ได้บอกพวกเราแล้ว คุณหนูเฝิงก็ได้ดื่มน้ำชาที่สาวใช้นำมาให้ ผู้ที่ทำการวางยานั้นก็ช่างเลวทรามยิ่งนัก มันไม่เพียงแต่วางยาคุณหนูเฝิงเท่านั้น แต่ยังวางยาโยวเอ๋อร์ด้วย แต่สุดท้ายคุณหนูเฝิงเป็นคนดื่มเองทั้งหมด ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงเกิดเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว”
หลังจากที่นางพูดจบ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ตกใจจนเหงื่อไหลท่วมตัว ถ้าหากเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ดื่มยานั้นเข้าไปด้วยล่ะก็ เรื่องราวจะเป็นยังไงเขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดบรรยากาศรอบตัวดุเดือดขึ้นกว่าเดิม น้ำเสียงของเขาก็แข็งกระด้างจนน่าแปลกใจ “หากวันนี้จับตัวคนที่วางยามาได้ ข้าจะจัดการเองกับมือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง เหวินซื่อเห็นว่านางเดินมาผู้เดียว จึงถามว่า “เหวินเอ๋อร์กับซูเอ๋อร์ล่ะ พวกนางไม่ได้มาด้วยหรือ”
“ไม่ได้มาด้วยเจ้าค่ะ ซูเอ๋อร์ไม่ค่อยสบาย ซ้อจึงพานางกลับบ้านแล้วเจ้าค่ะ”
“ร้ายแรงหรือไม่ เหตุใดไม่เรียกข้าให้ไปที่ร้านยาเต๋อเหริน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวว่าเขาจะถามมากไปว่านี้ จึงโกหกไปว่า “มิได้เป็นกะไรเจ้าค่ะ เป็นปัญหาของผู้หญิงน่ะค่ะ”
เหวินซื่อทราบเป็นอย่างดีว่าปัญหาของผู้หญิงหมายถึงอะไร แต่พอได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดออกมาตรงๆ ก็ทำเขาหน้าแดงด้วยความเขิน จึงแสร้งเป็นกระแอมและพูดว่า “หากพวกนางกลับกันหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัวล่ะ”
“ในจวนเกิดเรื่องนิดหน่อยเจ้าค่ะ ท่านอ๋องกับท่านแม่ทัพต่างกำลังยุ่งอยู่ ให้ข้าไปส่งท่านเถอะ”
ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องครัว มองเห็นได้จากไกลๆ ว่าเหล่าคนใช้ได้มารวมตัวกันที่หน้าจวนทั้งหมด แม้ว่าเหวินซื่อจะช่างสงสัย แต่เขาก็รู้จักกาลเทศะ รู้ว่าเรื่องใดควรถาม เรื่องใดไม่ควร เขาเพียงชายตามองเพียงนิดเดียวก็ดึงสายตากลับมา เขาเดินตามเมิ่งเชี่ยนเหวินออกจากจวนของพระชายาฉีอย่างเงียบๆ หลังขึ้นรถม้าก็ได้สั่งให้ไปส่งที่ร้านเต๋อเหริน
หลังจากรถม้าลับตาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ละสายตาและรีบไปรวมตัวกับเหล่าคนใช้ทันที พระชายาฉียังคงมีใบหน้าตึงเครียด สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่สู้ดีนัก ทั้งสองคนกำลังดูพ่อบ้านไต่สวนเหล่าคนใช้
ทำเช่นนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนและพูดว่า “ข้าจำสาวใช้ที่ปล่อยข่าวลวง และนำชามาถวายได้เจ้าค่ะ ท่านช่วยสั่งให้หญิงและชายแยกออกจากกัน ข้าจะขอดูทีละคน”
หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่งด้วยใบหน้าบูดบึ้งว่า “หญิงชายแยกกันยืนคนละฝั่ง ให้แม่นางเมิ่งดูหน้าทีละคน” เหล่าคนใช้ก็ทำตามคำสั่งทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปทางเหล่าสาวใช้ และพูดว่า “คนใช้และแม่ครัวคนไหนที่อายุเกินสามสิบแล้วเดินออกไป”
เหล่าสาวใช้ก็พากันเดินกรูออกไป มีเหลืออยู่เพียงแค่สามสี่คนเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวนึกถึงใบหน้าของสาวใช้คนนั้นในหัว แล้วเดินไปดูหน้าของสาวใช้ทีละคน ทุกคนต่างมองนางอย่างพร้อมเพรียง มีเพียงสาวใช้ที่เป็นคนก่อเหตุเท่านั้นที่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าสบตา ยืนตัวสั่นโทนอยู่ตรงนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้าของนาง แผดเสียงออกไปว่า “เงยหน้าขึ้นมา!”
สาวใช้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้านางเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนาง และเดินไปดูคนอื่นต่อ สาวใช้คนนั้นลูบอกตัวเองอย่าโล่งอก สาวใช้ที่ทำงานกับนางทุกวันยืนอยู่ข้างๆ เห็นว่านางเหงื่อออกจึงกระซิบถามว่า “เหลียนเซียง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหนหรือ”
เหลียนเซียงตอบว่า “เห็นท่านอ๋องและซื่อจื่อ มีสีหน้าไม่สู้ดี ข้ารู้สึกกลัวน่ะ”
สาวใช้ข้างๆ พยักหน้าเห็นด้วย พูดว่า “ข้าก็รู้สึกกลัว ท่านอ๋องและซื่อจื่อนั้นดุร้ายเสียยิ่งกว่าอะไร มิรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันโชคร้ายของผู้ใดกัน” เหลียนเซียงได้ยินแล้วก็ขาอ่อนแรง
หลังจากพิจารณาดูทุกคนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวตอบพ่อบ้านไปว่า “คนใช้ในจวนมีเพียงเท่านี้หรือเจ้าคะ มีใครยังไม่ได้มาหรือเปล่า”
“มีคนใช้ผู้ชายหนึ่งคนและสาวคนครัวหนึ่งคนไม่ได้มา ข้าส่งคนไปตามหาทั่วจวนแล้วก็ยังไม่พบ” พ่อบ้านตอบด้วยความนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ข้าหาเจอเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น อีกคนคงจะหนีไปแล้วเจ้าค่ะ”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเคร่งเครียดขึ้น น้ำเสียงของเขาไม่อ่อนโยนเช่นเคย เขาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ใคร”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมา มองไปทางเหลียนเซียง ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงัด ทุกคนต่างมองตามสายตานางไป เหลียนเซียงที่รู้สึกได้ว่าสายตาทุกคู่กำลังจ้องมาที่ตัวนาง หัวใจที่เพิ่งจะสงบลงก็กลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลงเพื่อมองสาวใช้คนนั้น
ใบหน้าของอ๋องฉีแสดงความโกรธออกมาถึงขีดสุด แผดเสียงออกไปว่า “เอาตัวมันมานี่!”
พอสิ้นเสียง ขณะที่ทุกคนยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ก็มีร่างหนึ่งเดินออกมาจากความมืด ยกร่างของเหลียนเซียงขึ้น ฉุดกระชากลากดึงร่างไปยังตรงหน้าของอ๋องฉีแล้วโยนเหลียนเซียงลงพื้น จากนั้นก็รีบหลบหายไปในความมืดอีกครั้ง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนเห็นเพียงแค่มีร่างหนึ่งเดินผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเหลียนเซียงก็ถูกโยนไปยังตรงหน้าอ๋องฉีด้วยความหวาดกลัว แต่สำหรับด้านของเหลียนเซียงนั้น นางยังไม่ทันได้ออกเสียงร้องเลยด้วยซ้ำ ก็ถูกโยนลงพื้นอย่างโหดร้าย นางเจ็บจนแทบจะเป็นลม ใจเต้นระรัวจนแทบจะกระเด็นออกมา
พ่อบ้านเองก็ตกใจจนเหงื่อท่วมเช่นกัน กระทั่งเห็นชัดว่าสาวที่ถูกโยนลงพื้นเป็นเหลียนเซียง เขาก็ตกใจจนแทบจะทรุดลงกับพื้น เหลียนเซียงเป็นข้ารับใช้ที่เพิ่งจะซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ยังไม่ได้อบรมสั่งสอนเป็นอย่างดี สองสามวันนี้ในจวนเกิดเรื่องขึ้น พระชายาจึงออกคำสั่งให้ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมของจวน เนื่องจากคนใช้ไม่พอ เขาจึงให้สาวใช้ที่เพิ่งซื้อมาไปช่วยงาน และยังกำชับพวกนางว่าตั้งใจทำงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับการงานอย่างอื่นเด็ดขาด ต่อให้มีคนสั่งให้นางไปช่วยยกถ้วยน้ำชา ก็ห้ามไปยุ่งเด็ดขาด คิดไม่ถึงเลยว่าสาวใช้คนนี้จะสร้างเรื่องวุ่นวายเพียงนี้ขึ้นมาได้
เหลียนเซียงโดนทุ่มลงพื้นจนมึนงง หลังจากเรียกสติกลับมาได้ ก็มองไปที่อ๋องฉีอย่างตื่นตระหนก
ท่านอ๋องพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “บอกมา ใครเป็นคนสั่งให้เจ้าทำ”
เหลียนเซียงรู้สึกหวาดกลัวมาก มือเท้าสั่นไปหมด แม้จะพยายามอ้าปากพูดหลายครั้งแต่ก็พูดไม่ออก
อ๋องฉีเข้าใจว่านางกำลังปกป้องผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เขาโกรธมากจึงยกเท้าขึ้นยันไปกลางอกของเหลียนเซียง “ชักจะกำเริบไปใหญ่แล้วนะ จนป่านนี้แล้วยังจะปากแข็งอีก”
เหลียนเซียงโดนถีบหงายหลังกลิ้งไปหลายตลบจนคลานไปกับพื้นมีเลือดไหลออกมาจากปากไม่หยุด สาวใช้ที่ขวัญอ่อนทั้งหลายเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้วก็ตกใจจนกรีดร้องออกมา ข้าทาสที่เหลือก็ไม่กล้ามอง ต่างพากันหลบสายตาไปทางอื่น ในใจพ่อบ้านก็สั่นเล็กน้อย เหตุการณ์นองเลือดของจวนในวันวานได้ย้อนกลับมาอีกครั้งในวันนี้
เหลียนเซียงเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น จะมีปัญญารับมือกับแรงเท้าของท่านชายได้อย่างไร หลังจากกระอักเอาเลือดออกมาจำนวนมากแล้ว ก็ฟุบลงไปกับพื้น อาการเป็นตายเท่ากัน สาวใช้และคนครัวต่างก็ตกใจและกรีดร้องดังกว่าเดิม
อ๋องฉียืนนิ่ง พูดต่ออย่างเย็นชาว่า “เอาน้ำมาราดมันให้ตื่น!”
องครักษ์ตอบรับ ไม่นานก็แบกน้ำเย็นจัดมาหนึ่งถัง และสาดไปบนตัวของนาง เหลียนเซียงสะดุ้งตื่น นางหนาวจนสั่นสะท้าน อ๋องฉีไม่ได้ใส่ใจนางเลย
เขาถามอีกครั้งด้วยเสียงโกรธ “บอกมา ว่าใครเป็นคงบงการเจ้า”
เหลียนเซียงก้มหัวขอร้อง “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด บ่าวมิได้ทำการอันใดเลยเจ้าค่ะ”
ท่านอ๋องฉีโกรธมาก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ “เจ้าช่างไม่กลัวตายเสียจริง จนถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมรับอีก อยากตายนักใช่มั้ย”
น้ำเสียงน่ากลัวของอ๋องฉีบวกกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นกลัวจนตัวสั่น ต่างยืนชิดกับคนข้างๆ หวังจะให้คนข้างๆ เป็นที่พึ่งได้
เมื่อครู่เหลียนเซียงถูกถีบเข้าไปกลางอก ก็แทบจะตายแล้ว ตอนนี้ยังมาถูกน้ำเย็นๆ สาดเข้าใส่อีก นางในตอนนี้แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ถ้าหากยังถูกลงโทษอีก เห็นทีว่าจะไม่รอดแน่ เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวงฝู่อี้เซวียนเล็กน้อย
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจความหมายที่สื่อผ่านสายตา จึงพูดว่า “เสด็จพ่อ เรายังสืบหาคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้ อย่าเพิ่งลงโทษสาวใช้เลยนะขอรับ”
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในจวนของตัวเอง พื้นที่ที่อยู่ในสายตาของเขาเองแท้ๆ อ๋องฉีพยายามสะกดอารมณ์ไว้ตลอด แต่เมื่อเจอเหลียนเซียงเข้า อารมณ์ดุร้ายที่สะกดไว้ก็ปะทุออกมาจนหมด และถึงแม้ว่าจะถีบเหลียนเซียงจนกระเด็นไปแล้ว ก็ยังไม่ทำให้เขาหายโกรธได้ เขาแทบอดไม่ได้ที่หั่นนางเป็นชิ้นๆ แต่นึกถึงคำที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดแล้วเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ บังคับให้ตัวเองสงบลง และพูดอย่างน่าเกรงขามว่า “ถ้าหากเจ้ายอมพูดความจริงออกมา ข้าสัญญาว่าจะไม่ฉีกศพเจ้าเป็นชิ้นๆ ให้ครอบครัวเจ้ายังนำไปฝังได้ แต่ถ้าหากยังกล้าโกหกอีกล่ะก็ แม้แต่ครอบครัวของเจ้า ข้าก็จะไม่ไว้ชีวิต”
เหลียนเซียงเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงจากครอบครัวยากจนเท่านั้น ฐานะทางครอบครัวยากจนมาก ก็เลยขายนางมาเป็นทาสรับใช้ในจวนอ๋องฉี แต่นางกลับละโมบเห็นแก่เงินไม่กี่สิบอัฐ จึงทำเรื่องแบบนี้ลงไปได้ หลังจากได้ยินสิ่งที่อ๋องฉีพูดออกมาแล้ว นางกลัวจนแทบจะเป็นลม รีบก้มหัวขอร้องว่า “โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด มิใช่ว่าข้าน้อยไม่พูดความจริง แต่ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ว่าข้าน้อยทำผิดอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหานาง ถามว่า “ข้าถามเจ้า ใครใช้ให้เจ้ายกน้ำชามาให้ข้ากับคุณหนูเฝิง”
“พี่หลิวเซียงเจ้าค่ะ นางสั่งให้ข้าดักรอที่หน้าเรือนนั่น รอเมื่อพวกท่านมาถึงแล้วก็ให้นำน้ำชาไปให้เจ้าค่ะ” เหลียนเซียงตอบอย่างหวาดกลัว
“ใครคือหลิวเซียง” เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าถาม
พ่อบ้านรีบตอบไปว่า “หลิวเซียงก็คือสาวใช้ที่ข้าให้คนไปตามหาขอรับ”
“นางเป็นคนของเรือนไหน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
ตอนที่ 132 คนทำผิดย่อมมีพิรุธ
“นางเป็นเพียงข้ารับใช้คนหนึ่งในจวนเท่านั้นขอรับ มีหน้าที่ทำความสะอาดภายในจวน ข้าเป็นคนจัดการดูแลนางเองโดยตลอด”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าลงถามเหลียนเซียงว่า “นางเคยพูดอะไร ทำอะไรกับเจ้าบ้าง”
จนถึงตอนนี้แล้ว เหลียนเซียงไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป นางตอบอย่าสัตย์จริงว่า “เมื่อวานพี่หลิวเซียงมาหาข้า บอกว่าอยากให้ข้าช่วยอะไรเสียหน่อย เสร็จเรื่องแล้วจะให้ข้าสามสิบอัฐเป็นค่าตอบแทน ข้าน้อยเกิดโลภจึงตอบตกลงไป แต่หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว วันนี้ข้าน้อยก็ยังไม่ได้พบหน้านางอีกเลยเจ้าค่ะ”
“นางให้เจ้าทำอะไร”
“นางสั่งให้ข้ารอที่หน้าจวนนั่น เมื่อถึงเวลาแล้วจะมีแขกมา ให้ข้านำน้ำชาไปถวายและเดินออกมาเป็นพอ นอกจากนี้ก็ไม่ได้ให้ข้าทำอะไร แต่…”
“แต่อะไรล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวรีบถามต่อ
“แต่ว่าตอนนั้นนางบอกข้าเพียงแค่ว่าจะมีแต่ท่านมาผู้เดียว แต่ว่าท่านมากับคุณหนูอีกสองท่าน ข้าน้อยก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี ข้าเดินไปบอกนางนอกจวน นางก็เดินหายไป จากนั้นก็ยกน้ำชามาอีกสองถ้วย มอบให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็ยกมาถวายให้เจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าในถ้วยชานั้นมียาอยู่”
เหลียนเซียงรีบก้มหัวลงกับพื้นอย่างลนลาน จนกระทั่งเริ่มมีเลือดซึมออกมาบนหน้าผากของนาง “คุณหนูได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย หากว่าข้าน้อยรู้ว่าในชานั่นมียา ข้าน้อยคงไม่กล้าทำเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่กล้างั้นหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาตรงหน้านาง พร้อมก้มลงมองนาง ในดวงตาที่สวยงามมีสายตาแน่วแน่ “หลิวเซียงเป็นเพียงข้าทาสรับใช้ จะมีอัฐมากขนาดนั้นมาให้เจ้าได้อย่างไร แต่เจ้ากลับเชื่อในสิ่งที่นางพูด แสดงว่าเจ้าเชื่อว่านางจะต้องมีอัฐจำนวนมากขนาดนั้นให้เจ้า อย่างนั้นเจ้าบอกข้าทีสิ ว่าตรงไหนที่เรียกว่าเจ้าไม่กล้า”
เหลียนเซียงตกใจ พ่อบ้านเองตกใจมาก รีบสั่งให้เหลียนเซียงสารภาพผิด “ยังไม่รีบสารภาพอีกรึ หรือว่าเจ้าอยากจะให้คนในครอบครัวต้องมาตายเป็นเพื่อนเจ้า”
เหลียนเซียงรีบก้มหัวขอร้อง “ซื่อจื่อได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ซื่อจื่อได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างไม่รีบร้อน แต่ทุกคำเต็มไปด้วยความโกรธ “เจ้าอายุเพียงเท่านี้ แต่ในใจกลับคิดมีแผนการชั่วร้ายเช่นนี้ ข้าคงไว้ชีวิตเจ้าไม่ได้ หากเจ้ายอมสารภาพผิด ข้าก็จะจัดการอย่างสมเหตุสมผล แต่หากเจ้ายังไม่ยอมพูดความจริงล่ะก็ ข้าจะลงโทษให้เจ้าต้องตายทั้งเป็นเลยทีเดียว”
เหลียนเซียงถูกพูดแทงใจดำเข้า นางพูดทั้งน้ำตาว่า “ข้าน้อยยอมพูดความจริงแล้ว ขอให้ซื่อจื่ออย่าทำอะไรครอบครัวข้าน้อยเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนตวาดเสียงดังว่า “ก็พูดมาสิ!”
“เมื่อวานตอนข้าน้อยทำความสะอาดในจวน ข้าเห็นพี่หลิวเซียงและพี่ชุ่ยเหลียนแอบคุยกันในที่ลับๆ พี่ชุ่ยเหลียนพูดว่าเจ้าก็เป็นแค่ข้ารับใช้ธรรมดาๆ วันพรุ่งนี้ก็คงไม่มีใครสนใจเจ้าหรอก แค่เจ้าทำเรื่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อย เจ้าก็เอาอัฐนี่ไป แล้วจะหนีไปที่ไหนกับเจ้าอันจื่อก็ได้ แล้วยังได้มอบถุงถุงหนึ่งให้พี่หลิวเซียง ข้าน้อยรู้ดีว่าถุงนั้นเป็นอัฐ จึงเกิดความโลภขึ้น เมื่อตอนที่พี่หลิวเซียงไหว้วานข้า ข้าจึงตอบรับไป”
ชุ่ยเหลียนเป็นข้าติดตามรับใช้ของพระชายารอง อ๋องฉีรู้จักนาง แต่หวงฝู่อี้เซวียนไม่เคยสังเกตเห็นนางมาก่อน เขากวาดตาไปที่เหล่าคนรับใช้ แล้วถามว่า “ใครคือชุ่ยเหลียน”
ตอนที่เหลียนเซียงเอ่ยชื่อของตนเองออกไป ชุ่ยเหลียนรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะมีเรื่องเดือดร้อน เมื่อได้ยินที่หวงฝู่อี้เซวียนถาม นางก็ตกใจจนลนลานรีบคุกเข่าลง ตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ข้าน้อยคือชุ่ยเหลียนเจ้าค่ะ”
อ๋องฉีขมวดคิ้วลงเมื่อได้ยินชื่อของชุ่ยเหลียน เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของนาง เขาก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาเบิกตาโตขึ้นเพราะไม่อยากเชื่อ ไฟแห่งความโกรธในใจประทุแรงขึ้นทุกที
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนจำหน้านางได้ เขาก็แสยะยิ้มออกมา “เจ้าจะสารภาพออกมาเอง หรือจะให้ข้าลงโทษเจ้าเดี๋ยวนี้เลย”
“ข้าน้อยถูกใส่ความเจ้าค่ะ สองสามวันมานี้สุขภาพของพระชายารองไม่ค่อยสู้ดี ข้าน้อยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายตลอด จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้อย่างไรเจ้าคะ แม่นางผู้นี้จะต้องใส่ร้ายข้าน้อยเป็นแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนกระแอม “อืม” ออกมาเบาๆ “งั้นเจ้าบอกข้าทีสิว่าทำไมแม่นางคนนี้จะต้องใส่ร้ายเจ้า พวกเจ้ามีความแค้นเรื่องอะไรกัน”
ชุ่ยเหลียนกำลังจะเปิดปากพูด แต่อ๋องฉีทนไม่ไหว เขาพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“ขอกำลังพลมาที มาจัดการนางชั้นต่ำผู้นี้เสียที ดูซิว่านางยังจะกล้าปากแข็งอยู่อีกหรือไม่”
องครักษ์รับคำสั่ง ถือกระบองเดินมาตรงหน้าของชุ่ยเหลียนแล้วออกแรงฟาดลงบนตัวนาง ชุ่ยเหลียนร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เหล่าคนใช้ใจเสาะต่างพากันปิดตา ไม่กล้าแม่แต่จะมอง
เสียงน่ากลัวของอ๋องฉีแผดขึ้น เสียงนั้นดั่งจะฆ่าคนให้จงได้ “ลืมตามาดูกันให้ชัดๆ หากใครกล้าหลับตา ถือว่ามีโทษเท่ากันกับนาง”
เหล่าคนใช้ใจเสาะก็พากันเปิดตา มองไปยังชุ่ยเหลียนที่ร้องอย่างเจ็บปวดตาไม่กระพริบ อ๋องฉีและซื่อจื่อก็อยู่ตรงนั้น องครักษ์ไม่กล้าออมมือ เขาฟาดเต็มแรงทุกไม้ ชุ่ยเหลียนรู้สึกว่ากระดูกในตัวของนางถูกทุบจนแหลกหมดแล้วเป็นแน่ ทีแรกนางยังมีแรงกรีดร้อง แต่ตอนนี้เสียงร้องของนางค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ
อ๋องฉีโบกมือให้สัญญาณ องครักษ์ถึงหยุด ทั้งตัวของชุ่ยเหลียนเต็มไปด้วยเลือด นางนอนแน่นิ่งหายใจโรยรินอยู่บนพื้น เขาเดินไปตรงหน้านาง และก้มลง สายตาของท่ายชายฉีเต็มไปด้วยความโกรธจนแทบจะลุกเป็นไฟ “บอกมาเดี๋ยวนี้ ใครให้ท้ายเจ้าจนกำเริบกล้าทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้”
ชุ่ยเหลียนพยายามขืนตัวไม่ให้ตนเองเป็นลมล้มไป นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา ปากของนางมีเลือดออดเต็มไปหมด นางพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ท่านอ๋องเจ้าขา ข้าน้อยไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ นะเจ้าคะ นางคนนั้นให้ร้ายข้าน้อยจริงๆ”
อ๋องฉีไม่โกรธแต่กลับยิ้มเยาะ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ นังคนปากแข็ง ข้าจะรอดูว่าคืนนี้คนอย่างเจ้าจะทนได้สักกี่น้ำ” ไม่พูดเปล่า เขาถอยไปหนึ่งเก้า และสั่งองครักษ์ว่า “ทุบนางจนกว่ากระดูกทั้งตัวนางจะหักหมด เริ่มตั้งแต่ปลายนิ้วเลย”
ทุกคนในที่นั้นตกใจกลัวกันหมด คนใช้เก่าแก่ที่คอยรับใช้ข้างกายของสนมรองตกใจกลัวจนตัวสั่นโยน นางรู้สึกผิดที่ไม่ได้ห้ามพระชายารองที่ทำเรื่องแบบนั้น ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เหงื่อพ่อบ้านไหลท่วมเต็มตัว เขาหวังในใจว่าชุ่ยเหลียนจะฉลาดกว่านี้ และยอมบอกว่าใครเป็นคนบงการเรื่องนี้ นางจะได้ไม่ต้องรับโทษหนักปางตายเช่นนี้
องครักษ์ทำตามคำสั่ง กุลีกุจอไปหาท่อนเหล็กมาทันที แล้วก็เล็งไปยังข้อนิ้วของชุ่ยเหลียนและฟาดลงไปอย่างแรง
ชุ่ยเหลียนกรีดร้องดังไปทั่วจวนด้วยความเจ็บปวด พระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยได้ยินเข้า ก็รับรู้ได้ว่าจะต้องเจอเบาะแสอะไรบ้างแล้ว จึงลุกขึ้นเดินไปออกไปด้านนอก
พระชายารองที่กำลังแกล้งหลับอยู่ เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องน่าเวทนาเช่นนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง ถามด้วยความตระหนกว่า “อวี้เอ๋อร์ นั่นเสียงใครน่ะ”
หวงฝู่อวี้ก็ได้ยินเช่นกัน แต่กลับไม่ได้สนใจอะไร “เสด็จพ่อกับพี่ใหญ่คงเจอเบาะแสอะไรแล้ว กำลังลงโทษบ่าวไพร่อยู่ก็เป็นได้ เสด็จแม่อย่าไปใส่ใจเลยขอรับ”
นางสนมเลิกผ้าห่มขึ้น สวมรองเท้า พลางเปิดปากก็พูดอย่างรีบร้อนว่า “ไม่ได้ ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
“เสด็จแม่” หวงฝู่อวี้ห้ามปรามนาง “ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา ท่านไม่ค่อยสบายอยู่ ข้าว่าท่านพักผ่อนในห้องดีกว่าขอรับ”
พระชายารองอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
หวงฝู่อวี้ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของนาง จึงพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “เสด็จแม่นอนพักผ่อนเถอะขอรับ”
นางสนมยืนนิ่ง นั่งลงที่ข้างเตียง “อวี้เอ๋อร์เจ้าไปเอาน้ำมาให้แม่ทีสิ”
หวงฝู่อวี้ลุกขึ้น เดินอย่างระวังเศษแก้วบนพื้น ไปเทน้ำมาให้แม่ และนำมามอบให้นางกับมือ มือของพระชายารองสั่นเล็กน้อยตอนที่รับแก้วน้ำมา หวงฝู่อวี้เข้าใจว่าเป็นเพราะนางเพิ่งตื่นนอนจึงหนาว เลยรีบเอาผ้าห่มมาห่มให้นาง
“เสด็จแม่ ข้าว่าให้เสด็จพ่อตามแพทย์มาดูอาการท่านดีกว่า”
นางสนมดื่มน้ำด้วยอาการตัวสั่นเทิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก นอนพักผ่อนสองสามวันก็ดีขึ้น”
“ข้าว่า ตั้งแต่ที่ท่านไม่ได้ไปดูแลเรื่องในจวน สุขภาพของท่านก็เริ่มเหมือนพระชายาเลย มักจะป่วยออดๆ แอดๆ เรื่องในจวนเยอะไปจนทำร้ายสุขภาพหรือเปล่าขอรับ” หวงฝู่อวี้ถาม
นางสนมไม่ตอบ จ้องหน้าของเขาครู่หนึ่ง
หวงฝู่อวี้จับใบหน้าของตนเองพร้อมถามอย่างแปลกใจว่า “เสด็จแม่ เหตุใดจึงจ้องหน้าข้าเช่นนี้”
พระชายารองยื่นมือออกไป ลูบไปที่ใบหน้าของเขา พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าว่า “อวี้เอ๋อร์หากแม่ไม่อยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร”
หวงฝู่อวี้เซวียนถามอย่างงงๆ ว่า “เสด็จแม่ เหตุใดท่านพูดเช่นนี้ ท่านจะไปไหนหรือ”
พระชายารองวางมือลง ถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง ทอดสายตาว่างเปล่ามองลงไปที่พื้น ไม่อาจรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่
กระดูกนิ้วก้อยมือขวาของชุ่ยเหลียนถูกทุบจนแหลก พอเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาจนดั่งสนั่นแล้วก็เจ็บจนใจจะขาด แต่องครักษ์ยังทุบนิ้วนางข้างขวาของนางต่อไป โดยไม่ได้แสดงอาการสงสารออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เสียงร้องโหยหวนของชุ่ยเหลียนดังขึ้นอีกครั้ง ดังสนั่นไปทั่วจวน ทำเอาคนที่ได้ยินรู้สึกหวาดกลัวมาก
สาวใช้ของพระชายารองยืนขาสั่นอ่อนแรง นางอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็ล้มลงข้างๆ ตัวสาวใช้นางหนึ่ง เห็นภาพน่าอนาถใจของชุ่ยเหลียนเช่นนั้น สาวใช้ในจวนของนาวสนมก็พากันกลัวจนตัวสั่น และตอนที่ทุกคนกำลังหวาดกลัวอยู่นั้น แม่บ้านคนเก่าคนแก่ยังมาเป็นลมล้มพับมาบนตัวนางอีก นางตกใจจนกรีดร้องโวยวาย
ผู้คนตกใจเสียงร้องของนางจนหัวใจแทบจะหลุดออกมา ต่างพากันมองมาตามเสียง สาวใช้ตกใจขีดสุด ยังคงกรีดร้องอย่างขาดสติ เมื่อไม่มีที่พิง ร่างของสาวใช้แก่ก็ล้มลงกับพื้น
เมื่อเห็นเหตุการณ์อย่างนี้ อ๋องฉีก็หรี่ตาลงอย่างมีเลิศนัย
สาวใช้แก่พยายามจะยันตัวขึ้นหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถยืนจากพื้นได้ นางเงยหน้ามองอ๋องฉีอย่างหวาดกลัว และประจวบสบตาพอดีกับสายตาอันโหดร้ายของท่านอ๋อง ใจของนางเต้นระรัวกว่าเดิม ตอนนี้นางไม่มีแม้แต่แรงจะยันตัวขึ้น นางจึงลุกนั่งที่พื้นเสียเลย
ทางนั้นเป็นเสียงกรีดร้องของชุ่ยเหลียน ทางนี้ก็เป็นเสียงกรีดร้องของสาวใช้ ทุกคนในจวนต่างหวาดกลัวกันมากขึ้น โดยเฉพาะสาวใช้ในจวนของพระชายารอง ต่างพากันเป็นลมล้มพับตามกันไป
เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ อ๋องฉีเริ่มสงสัยบางอย่าง น้ำเสียงของท่านแข็งกระด้างขึ้น ป่าวประกาศกับข้าทาสบริวารว่า “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกสักครั้ง หากใครพูดความจริงออกมา ข้าก็จะไว้ชีวิตผู้นั้น”
แผนการของพระชายารองมีเพียงชุ่ยเหลียนและสาวใช้เก่าแก่รู้เพียงสองคนเท่านั้น คนอื่นที่เหลือไม่รู้อะไรเลย ได้ยินคำของท่านอ๋อง ก็พากันมองกันไปมองกันมา แล้วคุกเข่าขอร้องโดยพร้อมกัน “ท่านอ๋องไว้ชีวิตข้าด้วย พวกข้าน้อยไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเลยเจ้าค่ะ”
ด้านชุ่ยเหลียนที่ถูกทุบกระดูกอย่างต่อเนื่อง ก็สลบไปในที่สุด แต่คราวนี้ไม่ต้องรอคำสั่งจากท่านอ๋อง องครักษ์ไปเอาน้ำเย็นมาหนึ่งถัง และสาดลงไปบนตัวนางทันที
ชุ่ยเหลียนสะดุ้งตื่นขึ้น นิ้วของนางทำนางเจ็บจนจะขาดใจ
แต่หากอ๋องฉีไม่ได้สั่งให้หยุด องครักษ์ก็หยุดไม่ได้ เมื่อเห็นนางฟื้นขึ้นมา ก็เริ่มทุบนิ้งกลางขวาของนางทันที และก็เหมือนสองนิ้วที่ผ่านมา ทุบครั้งเดียวกระดูกนิ้วก็แหลกละเอียดทันที
ชุ่ยเหลียนเจ็บจนไม่มีแรงจะร้องออกมา มีแค่ร่างกายนางที่สั่นไม่หยุด
องครักษ์ยกค้อนขึ้นอีกครั้ง
ชุ่ยเหลียนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว นางพูดแบบเสียไม่ได้ว่า “ข้ายอมแล้ว ข้ายอมพูดแล้วเจ้าค่ะ”
องครักษ์ยอมหยุดมือ แล้วยืดตัวยืนตรง
เมื่อแม่บ้านเก่าแก่ได้ยินดังนั้น จึงตะโกนขึ้นว่า “นังชุ่ยเหลียน เจ้าอย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้านะ!”
อ๋องฉีมองนางด้วยสีหน้าอำมหิต
สาวใช้เก่าแก่กลัวจนหัวหด
“เจ้ากล้ามากนะที่กล้าโวยวายต่อหน้าเจ้านาย ส่งคนมา โบยนางสักสิบทีให้นางหุบปากซะ” ท่านอ๋องสั่งอย่างเย็นชา
ครั้งก่อนที่โดนโบยสิบครั้งก็แทบจะทำนางตายแล้ว ครั้งนี้ท่านอ๋องสั่งด้วยความโกรธ เห็นทีนางจะทนไม่ได้ คงตายก่อนจะถูกโบยครบด้วยซ้ำ สาวใช้แก่กลัวจนตัวสั่น
องครักษ์มาเอาตัวนางวางไว้กับพื้น และเริ่มโบยนางทันที
คนของพระชายารองถูกลงโทษคนแล้วคนเล่า ต่อให้คนโง่แค่ไหนก็พอจะเดาออกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างพากันกลัวจนถอยห่างออกจากพวกนางกันหมด
เหล่านางรับใช้และข้าทาสพวกนี้ถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ความกลัวตอนแรกก็มากอยู่แล้ว กลับทวีคูณเพิ่มไปอีก พรึ่บ พรึ่บ ทั้งหมดพากันคุกเข่าอ้อนวอน
“ท่านอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย พวกข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
เสียงอ้อนวอน และเสียงโบยดังขึ้นสลับกัน ทำให้ทุกคนต่างกลัวจนถึงขึดสุด ต่างพากันก้มหัวด้วยความกลัว กลัวว่าคนต่อไปจะเป็นตัวเอง
หลังโบยเสร็จสิบครั้งแล้ว สาวใช้แก่คนนั้นก็เกือบจะหมดลมหายใจ
แต่อ๋องฉีไม่แม้แต่จะมองนางสักนิด เขาพูดกับชุ่ยเหลียนว่า “พูดมา ใครเป็นคนบงการให้เจ้าทำ”
จนถึงตอนนี้แล้ว ชุ่ยเหลียนรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น กระดูกนิ้วของนางโดนทุบจนแหลกละเอียด นางไม่อยากต้องเจอกับความรู้สึกที่นิ้วทั้งสิบโดนทุบจนแหลกละเอียดแบบนั้นอีกแล้ว นางคิดดีแล้ว จึงพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “ท่านอ๋องเจ้าคะ ไม่มีใครบงการข้าเลย เป็นข้าเองที่สั่งให้หลิวเซียงวางยาลงไปในน้ำชาเจ้าค่ะ”
“เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้” อ๋องฉีตะเบ็งเสียงถาม
ตอนที่ 133 ความจริงถูกเปิดเผย
ถึงแม้ว่าจะเจ็บจนแทบจะเป็นลม ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะพูดจา แต่ว่าน้ำเสียงของชุ่ยเหลียนก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น นางยกมือซ้าย ชี้นิ้วไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว พลางพูดอย่างอ่อนแรงว่า
“คราก่อนข้าไปขายของแทนพระชายารอง แต่สาวชั้นต่ำผู้นี้สั่งคนให้ปลอมตัวเป็นคนต่างถิ่น มาซื้อของทั้งหมดไปในราคาต่ำ ทำให้ข้าต้องถูกพระชายารองลงโทษ แต่นั้นมาข้าก็จำใส่ใจไว้ตลอดว่าจะต้องแก้แค้นนาง และในที่สุดข้าก็มีโอกาสจนได้ วันนี้ข้าจึงใช้โอกาสที่นางมาเป็นแขกที่เรือนหลักสั่งให้หลิวเซียงหลอกล่อให้นางไปที่จวนนั้น หวังจะให้นางดื่มชาที่ใส่ยาลงไปโดยไม่มีใครรู้ เพื่อทำลายความบริสุทธิ์ของนาง”
ยังไม่สิ้นเสียงนาง เสียงเย็นชาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น “เจ้าหยุดแต่งเรื่องเสียเถอะ แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าน่ะเป็นเพียงบ่าวรับใช้ใกล้ตัวเท่านั้น เงินเก็บแต่ละเดือนก็คงไม่ถึงสองอัฐ ต่อให้เจ้าไม่กินไม่ใช้เลย ทั้งปีก็คงเก็บได้ไม่เท่าไหร่ แล้วเจ้าจะเอาอัฐมากเช่นนั้นจากที่ไหนไปให้หลิวเซียง”
พระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยมาถึงได้พักใหญ่แล้ว เห็นเหตุการณ์ที่อ๋องฉีลงโทษบ่าวไพร่ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร ตอนนี้ได้ยินชุ่ยเหลียนพูดแบบนี้เข้า ฉู่เหวินเจี๋ยก็โกรธขึ้นมาทันที เขาเดินตรงไปหานาง แล้วใช้เท้าเหยียบลงบนนิ้วมือขวาที่เพิ่งโดนทุบจนหักของนาง พูดเสียงน่ากลัวว่า “อย่างนั้นใครเป็นผู้ใส่ยาลงไปในน้ำชาที่ข้าดื่มกันล่ะ”
ชุ่ยเหลียนเจ็บจนทำหน้าบูดเบี้ยว แต่ก็ยังอดทนพูดต่อไปว่า “เรื่องนั้นข้าน้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ วันนี้ข้าน้อยยังไม่ได้ออกจากจวนของพระชายารองเลยเจ้าค่ะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยจ้องนางตาเขม็ง แผ่เอาความรู้สึกอาฆาตออกมา ออกแรงเหยียบแรงขึ้น พูดว่า “เจ้านี่ช่างไม่รักตัวกลัวตายเอาเสียจริง วันนี้ข้าจะทดสอบดูหน่อยว่ากระดูกของเจ้ามันแข็งเพียงใด” เมื่อพูดจบก็มีเสียงดังขึ้น กระดูกนิ้วมือขวาที่เหลืออีกสองนิ้วของชุ่ยเหลียนถูกเหยียบจนหัก
ชุ่ยเหลียนร้องดังสนั่นจนสลบไปอีกครั้ง
สาวใช้ในจวนของพระชายารองเห็นด้านโหดร้ายของฉู่เหวินเจี๋ยก็พากันกลัวเข้าไปใหญ่ พวกนางกลัวจนตัวสั่นเหมือนผีเข้า มอมอคนใช้เก่าแก่นอนเลือดอาบอยู่ไกลๆ แต่ทั้งๆ ที่เกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ขึ้นแต่ตัวนางกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย นอนแน่นิ่งราวกับว่าตายไปแล้วอย่างนั้น
พระชายาฉีขมวดคิ้วลง แต่ว่าไม่ได้กล่าวอะไร
ฉู่เหวินเจี๋ยดึงเท้ากลับ และก็มีองครักษ์นำน้ำเย็นหนึ่งถัง พร้อมมาสาดลงบนตัวนางทันที
พอชุ่ยเหลียนเพิ่งจะเริ่มได้สติ ความเจ็บปวดจากปลายนิ้วก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของนาง ฉู่เหวินเจี๋ยเอาเท้าวางบนมือซ้ายของนาง พร้อมพูดว่า “สำหรับทหารแล้ววิธีการทรมานคนน่ะมีหลายแบบ นี่เป็นเพียงวิธีที่เบาที่สุดวิธีหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเจ้ายังไม่ยอมพูดความจริง ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้ลิ้มรสบทลงโทษทุกแบบเป็นแน่” พูดจบ เขาก็ออกแรงเหยียบจนกระทั่งนิ้วมือของนางหักลงเป็นท่อนๆ
ชุ่ยเหลียนเจ็บจนขดตัวไว้ด้วยกัน นางทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จึงรีบพูดว่า “ข้ายอมพูดแล้ว ข้ายอมพูดแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยดึงเท้ากลับ ชุ่ยเหลียนเจ็บจนอยากจะกุมมือตัวเองไว้ แต่ก็ไม่มีแรงมากพอ
“พูดสิ ขอแค่เจ้าบอกว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร ข้าก็จะจัดการเจ้าอย่างดีเลยล่ะ” ใบหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยกลับไปไร้ความรู้สึกเช่นเดิม และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ชุ่ยเหลียนเจ็บจนอยากร้องขอความตาย นางจึงไม่ปิดบังอะไรอีก นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง ใช้แรงทั้งที่มีพูดออกไปว่า “เป็นพระชายารองเจ้าค่ะ ที่สั่งให้ข้าทำเช่นนี้”
จริงๆ แล้วหลายคนต่างก็ทราบคำตอบกันดีอยู่แล้ว เพียงแต่อยากได้ยินความจริงออกจากปากของชุ่ยเหลียนก็เท่านั้น
เมื่อชุ่ยเหลียนพูดจบ อ๋องฉีก็หันหลังกลับ เดินตรงไปยังจวนของพระชายารองทันที พร้อมสั่งเสียงแข็งว่า “ทุบกระดูกนางให้แหลกทั้งร่าง และนำร่างหญิงแก่นั่นมาด้วย”
ชุ่ยเหลียนอ้อนวอนว่า “ท่านอ๋องเจ้าคะ ข้าน้อยรู้ดีว่าจะต้องตาย ขอให้ข้าน้อยตายแบบไม่ทรมานได้หรือไม่เจ้าคะ”
อ๋องฉีทำราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น เขาเดินจากไปด้วยเสียงฝีเท้าแห่งความโกรธ
องครักษ์รับสั่ง และปฎิบัติตามทันที
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งพ่อบ้านว่า “ให้ทุกคนดูการลงโทษไว้ และจงจำเอาไว้ว่า ต่อไปหากใครกล้าทำผิดอีกจะต้องเจอจุดจบเช่นเดียวกับนาง”
พูดจบก็หันหลังกลับไปพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว เดินไปพยุงพระชายาฉีเดินไปที่จวนของพระชายารอง
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินตามหลังไปด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
เมื่อคนเหล่านั้นเดินจากไปไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเจียนตายของชุ่ยเหลียนคล้อยตามหลัง เสียงนั้นดังอยู่ไม่กี่ครั้งก็เงียบลง
พระชายาฉีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน ไม่ต้องพูดถึงเมื่อคราวอยู่ที่จวนแม่ทัพ เพราะตั้งแต่แต่งเข้ามาเป็นพระชายาของอ๋องฉีนางก็ไม่เคยลงโทษบ่าวไพร่เลยสักครั้ง อย่างมากก็เพียงดุกล่าวตักเตือนเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ หากเกิดขึ้นในสมัยก่อน นางก็จะต้องออกตัวห้ามปราม ให้ลงโทษชุ่ยเหลียนแบบเด็ดขาด ไม่ให้นางทรมาน แต่วันนี้นางโกรธมากจนทนไม่ไหว เรื่องที่พระชายารองทำนั้นร้ายกาจเกินไป ถ้าหากปล่อยไว้จนได้ใจ อาจจะส่งผลให้จวนฉีและจวนแม่ทัพกลายเป็นศัตรูกันได้
พระชายาฉีไม่เพียงแค่จะถูกบังคับให้ตัดขาดความสัมพันธ์กับฉู่เหวินเจี๋ยเท่านั้น แต่กระทั่งความสัมพันธ์กับหวงฝู่อี้เซวียนก็คงจะต้องมีช่องว่างเกิดขึ้น และจะกลับมาเป็นเหมือนตอนที่เขาเพิ่งมาแรกๆ ที่มีท่าทีห่างเหินกับนางอย่างมาก อีกอย่าง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่มีทางหยุดเป็นแน่ ถ้าไม่ทำลายอ๋องฉี นางก็จะต้องทำลายจวนแม่ทัพเป็นแน่ เมื่อนึกถึงผลที่จะเกิดเป็นเช่นนี้แล้วนางก็คิดได้ จึงไม่รู้สึกสงสารในสิ่งที่ชุ่ยเหลียนถูกลงโทษในวันนี้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าชุ่ยเหลียนจะสลบไปแล้ว เหล่าองครักษ์ก็ยังคงทำทุบนางจนกว่ากระดูกแหลกทั้งร่างตามคำสั่ง จากนั้นก็ให้ลากร่างนางและหญิงแก่ไปที่หน้าจวนพระชายารอง
เมื่อเจ้านายจากไปหมดแล้ว องครักษ์ก็ลากเอาร่างที่กำลังจะหมดลมของชุ่ยเหลียนและหญิงแก่ออกไป พวกบ่าวไพร่เองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเสื้อผ้าของตนเปียกจนหมด เกือบทั้งหมดรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงจนทรุดลงที่พื้น
พ่อบ้านเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเหงื่อออกไปมากเท่าไรแล้ว ยืนเซสองสามครั้งก็พยุงตัวตรงขึ้นได้ ไม่ได้ล้มลงไปบนพื้นเช่นเดียวกับเหล่าบ่าวไพร่ เขากวาดสายตามองไปยังเหล่าบ่าวไพร่เล็กน้อย แล้วพูดเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าเห็นจุดจบของชุ่ยเหลียนและเหลียนเซียงแล้วใช่หรือไม่ นับแต่นี้ไป พวกเจ้าจงจำไว้ว่าจะต้องซื่อสัตย์กับนายท่าน ห้ามมิให้ทำเรื่องที่เป็นภัยต่อเจ้านายเป็นอันขาด และก็อย่าไปถูกพวกสัมภเวสีมันหลอกล่อจนต้องทำเรื่องหักหลังเจ้านาย”
ทุกคนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน ใครจะกล้ามีความคิดเป็นอย่างอื่น ต่างก็พยักหน้ารับคำเป็นพัลวัน
พ่อบ้านเช็ดหยาดเหงื่อบนหน้าผากเล็กน้อย และสั่งไปว่า “กลับไปทำงานที่จวนของพวกเจ้าเถอะ ส่วนเหลียนเซียงน่ะ รอให้นายท่านออกคำสั่งมาก่อนค่อยลงโทษ” พูดจบก็หันหลังกลับไปห้องของตนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
เหล่าบ่าวไพร่ก็ช่วยพยุงกันและกัน เกาะกลุ่มกันเดินกลับไปที่เรือนพักบ่าวไพร่เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
อ๋องฉีที่ล่วงหน้ามาถึงหน้าจวนของพระชายารองก่อนแล้ว เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูก็ใช้เท้าถีบประตูออกอย่างแรง และเดินเข้าไปด้านในด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
พระชายารองกำลังนั่งพูดกับหวงฝู่อวี้ข้างเตียง เมื่อได้ยินเสียงดังจึงตกใจจนสะดุ้งขึ้น
อ๋องฉีไม่พูดพล่ามทำเพลง เดินตรงไปที่หน้านาง แล้วบีบไปที่คอนางจนเกือบจะลอยขึ้นมา พร้อมถามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้”
พระชายารองหายใจไม่ออก มือทั้งสองข้างพยายามจะแกะมือของอ๋องฉีออก
หวงฝู่อวี้รีบเข้ามาห้ามอย่างตกใจ เขายื่นแขนออกมาจับแขนของอ๋องฉีเอาไว้ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่จะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว ท่านรีบปล่อยนางลงเถอะ”
อ๋องฉีออกแรงเตะหวงฝู่อวี้ออก จนเขาเองก็ต้านไม่ไหว ต้องปล่อยมือที่จับแขนของอ๋องฉีอยู่ พร้อมกับเซถอยหลังไป และเสียหลักหงายหลังล้มลงบนพื้น
อ๋องฉีพูดด้วยเสียงน่ากลัวเช่นเดิมว่า “บอกมา เหตุใดเจ้าจึงทำเรื่องเช่นนี้”
หวงฝู่อวี้ตกใจมาก เขาไม่สนใจความเจ็บ และรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาหาเสด็จพ่อ และยังดึงแขนของเขาเหมือนเดิม “เสด็จพ่อ รีบปล่อยมือเถิดขอรับ”
อ๋องฉีออกแรงเตะหวงฝู่อวี้อีกรอบ ราวกับว่าเขาได้เสียสติไปแล้ว
ครั้งนี้หวงฝู่อวี้เตรียมตัวป้องรับไว้แล้ว รับแรงเตะนี้เข้ายังจัง แต่ยังคงเกาะแขนของเสด็จพ่อไว้แน่น
พระชายารองถูกยกขึ้นจากพื้นแล้ว นางหายใจไม่ออก และเริ่มตาเหลือก
ด้านฝั่งพระชายาฉีเมื่อเดินทางมาถึงก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
พระชายาฉีพูดอย่างร้อนใจว่า “ท่านอ๋อง รีบปล่อยนางเถิดเจ้าค่ะ หากนางตายไป เราก็คงไม่มีทางได้รู้ความจริงของเรื่องนี้นะเจ้าคะ”
ตอนนี้เอง อ๋องฉีถึงยอมปล่อยมือออกจากพระชายารอง
พระชายารองล้มลงบนพื้น และรีบหายใจหอบเอาอากาศเข้าไปทันที
ความโกรธของอ๋องฉีก็ยังไม่จางหายไป เขากระโดดเตะที่นาง
หวงฝู่อวี้มายืนกั้นไว้ที่หน้าพระชายารอง อ๋องฉีจึงถีบเข้าที่กลางอกของเขาอย่างจัง
หวงฝู่อวี้กระอักเลือดออกมา
พระชายารองกรีดร้องว่า “ท่านอ๋อง อวี้เอ๋อร์เป็นลูกในไส้ของพวกเรานะเจ้าคะ ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร”
อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกชายที่ตนอุ้มชูมาตั้งแต่เล็ก เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้กระอักเลือดออกมา เขาก็เจ็บลึกในใจ แต่ไม่นานก็ถูกความโกรธเข้าแทนที่ “เจ้าก็รู้นี่ว่าเขาคือลูกชายเจ้า แล้วตอนที่เจ้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ลงไปเจ้าไม่คิดถึงหน้าลูกบ้างหรือ”
พระชายารองปฎิเสธเสียงแข็ง “ข้าก็อยู่ในห้องของข้าดีๆ มิได้ออกไปไหนเลย ข้าทำเรื่องเลวร้ายอะไรหรือเจ้าคะ”
“จนป่านนี้แล้ว เจ้ายังกล้าปฎิเสธอีกรึ เจ้าจะบังคับให้ข้าต้องฆ่าเจ้าด้วยมือตัวเองเลยใช่หรือไม่” อ๋องฉีพูดด้วยความโกรธ
“หม่อมฉันมิได้ทำอะไรเลยเจ้าค่ะ ท่านอ๋องจะให้หม่อมฉันยอมรับอะไรหรือเจ้าคะ ท่านอ๋อง ท่านจะให้ข้ารับผิดในเรื่องที่ไม่ได้ก่อหรือเจ้าคะ” พระชายารองยังคงดื้อด้านโกหก
อ๋องฉีพยักหน้าอย่างโกรธเคือง “ได้ เจ้านี่มันไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ ที่ผ่านมาข้าคงประเมินเจ้าต่ำไป” ไม่พูดเปล่า เขาตะโกนบอกว่า “เอาตัวมา!”
องครักษ์พาชุ่ยเหลียนที่นอนขดตัวและคนใช้แก่ที่อาบไปด้วยเลือดโยนลงบนพื้นด้านใน และรีบถอยหลังออกไป
เมื่อเห็นสภาพของทั้งสองคน พระชายารองตกใจมาก รีบคลานไปหาทั้งสองคน และร้องว่า “มอมอ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
พระชายารองหันกลับมาหาชุ่ยเหลียน “ชุ่ยเหลียน ตื่นสิ เจ้าเป็นอะไรไป”
ไม่มีเสียงตอบรับจากชุ่ยเหลียนเช่นกัน
พระชายารองเงยหน้า ถามอย่างลืมตัวว่า “ท่านอ๋อง พวกเขาอยู่ข้างกายข้ามาหลายปีแล้ว ท่านยังทำได้ลงคอหรือเจ้าคะ”
อ๋องฉีเดินมาตรงหน้านาง ย่อตัวลง สบตากับนางตรงๆ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ลึกลับว่า “เหตุใดข้าจึงต้องลงโทษพวกมันเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือ”
พระชายารองกลัวจนถดถอยออกไปเล็กน้อย พร้อมส่ายหัว “หม่อมฉันมิทราบเจ้าค่ะ”
อ๋องฉีจ้องมองนางสักครู่ ด้วยสายตาอาฆาตเหมือนมองคนแปลกหน้า แล้วจึงลุกยืนขึ้น ตะโกนเสียงดังว่า “เอาน้ำมาสาดปลุกพวกมัน ให้เจ้านายที่แสนดีของพวกมันได้รู้ว่าเหตุใดพวกมันจึงต้องโทษ”
“อย่านะเจ้าคะ” พระชายารองคลานมาข้างหน้าเล็กน้อย กอดขาของอ๋องฉีเอาไว้ “มอมออายุมากแล้ว หากท่านอ๋องสาดน้ำใส่นาง นางคงทนไม่ได้เป็นแน่”
อ๋องฉีไม่ขยับ พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็บอกข้าสิ ว่าเจ้าทำอะไรลงไป”
พระชายารองปล่อยมือออกจากขาของอ๋องฉี กุลีกุจอถอยหลังไปพร้อมกับสายหัวปฎิเสธ “ข้ามิได้ทำอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ! ข้ามิได้ทำอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ!”
หวงฝู่อวี้เองก็คลานมาด้านหน้า และบังพระชายารองเอาไว้ “เสด็จพ่อ วันนี้เสด็จแม่ของข้ามิได้ออกไปไหนทั้งสิ้น ท่านไม่ได้ทำกระไรเลยจริงๆ ขอรับ”
“องครักษ์ มาเอาตัวคุณชายรองออกไปข้างนอก!” อ๋องฉีสั่งเสียงเย็นชา
องครักษ์ตอบรับ เปิดม่านประตูเข้ามา ยื่นมือมาที่หวงฝู่อวี้
หวงฝู่อวี้ยื่นมือไปตบพวกนั้นทันที “พวกหมารับใช้ เจ้ากล้าแต่ต้องข้ารึ”
หวงฝู่อวี้เป็นคุณชายรองของจวน ตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่กลับมานั้น เขาถูกตามใจมาก ทำให้เหล่าองครักษ์ไม่กล้าหือด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดปากพูดว่า “เสด็จพ่อ อวี้เอ๋อร์อายุไม่น้อยแล้ว เรื่องนี้ควรให้น้องรับรู้ด้วย ให้น้องอยู่ฟังด้วยกันในนี้เถิดขอรับ”
อ๋องฉีโบกมือ เหล่าองครักษ์จึงคำนับและถอยออกไป
“เสด็จพ่อ หลายปีมานี้ เสด็จแม่ดูแลจัดการเรื่องในจวนต่อให้ไม่มีผลงาน แต่ก็ได้ลงแรงไปมาก และต่อให้คืนอำนาจการดูแลจวนไปแล้ว นางก็ยังเป็นสนมของท่านอยู่ ต่อให้นางผิดอะไร ท่านก็ไม่ควรทำกับนางเช่นนี้ขอรับ” เมื่อองครักษ์ออกไปจนหมดแล้ว หวงฝู่อวี้ก็กล่าวโทษอ๋องฉีเบาๆ
แม้ว่าหวงฝู่อวี้จะถูกตามใจมานาน แต่ว่าเขาก็กลัวเสด็จพ่อของเขามาตลอด ก่อนหน้านี้ เขาไม่กล้าที่จะกล่าวโทษเสด็จพ่อของเขาเช่นนี้ แต่ว่าวันนี้ชุ่ยเหลียนและมอมอถูกลงโทษจนเกือบตาย ด้านพระชายารองก็ยังน่าสงสารเช่นนี้ อีกอย่างการกระทำเมื่อครู่ของอ๋องฉีทำให้เขารู้สึกกลัว หวงฝู่อวี้ทนต่อไปไม่ได้แล้ว เขาไม่เพียงกล้าพูดจากล่าวโทษเสด็จพ่อ แต่เขายังกล้าจ้องเขม็งไปที่ท่านอีก
หลังจบคำของหวงฝู่อวี้ อ๋องฉีจ้องไปที่สนมอีกครั้ง “ข้าให้โอกาสเจ้าอีกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากเจ้ายังไม่พูดความจริงอีก ข้าก็จะลงโทษทั้งเจ้าและลูกของเจ้า”
หวงฝู่อวี้เป็นแก้วตาดวงใจของพระชายารอง เมื่อคำพูดของท่านฉีเข้าไปในหูของนางแล้ว พระชายารองก็กลัวมาก รีบก้มหัวลงเพื่อขอร้อง “ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรเลยเจ้าค่ะ ท่านอย่าลงโทษอวี้เอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นว่านางเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมรับ ความโกรธของอ๋องฉีก็ทวีขึ้นไปจนถึงขีดสุด แผดเสียงว่า “สาดน้ำให้เจ้าสองคนนั่นตื่น!”
องครักษ์สองคนตอบรับ ไปเอาน้ำมาสองถัง แล้วก็สาดลงบนตัวของชุ่ยเหลียนและมอมอสาวใช้แก่ โดยที่พระชายารองยังไม่ทันได้ออกปากห้ามปราม
พระชายารองและหวงฝู่อวี้ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ พวกนางเองก็ถูกน้ำกระเด็นใส่เช่นกัน แต่หวงฝู่อวี้ว่องไว ก่อนที่องครักษ์จะเอาน้ำมาสาดเขาก็ได้เอาตัวเองไปกันไว้ที่ด้านหน้าของพระชายารอง แต่ถึงอย่างนั้นตัวของพระชายารองก็ถูกสาดจนเปียกอยู่ดี ส่วนตัวของหวงฝู่อวี้นั้นไม่ต้องพูดถึง ตัวของเขาเปียกไปชุ่มหมด หลังจากเช็ดน้ำเย็นที่กระเด็นมาบนหน้าของเขาแล้ว หวงฝู่อวี้ก็กล่าวโทษพ่อของเขาอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อ ท่าน…”
ตอนที่ 134 ความปรารถนาอันชั่วร้าย
ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกอ๋องฉีตัดบทด้วยเสียงอันโหดร้าย “หุบปากซะ ถ้ายังกล้าพูดมากอีกข้าจะ จับเจ้าโยนออกไปเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่อวี้กลัวอ๋องฉีเข้ากระดูกดำ ได้ยินดังนั้นจึงนั่งเงียบอย่างเชื่อฟัง
เมื่อชุ่ยเหลียนและมอมอถูกสาดน้ำปลุก พวกเขาก็ร้องออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
พระชายารองคลานออกมาจากข้างตัวหวงฝู่อวี้ไปยังมอมอสาวใช้แก่ ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “มอมอ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
มอมอลืมตาขึ้นก็เห็นพระชายารองมีท่าทางร้อนรน มีสีหน้าเป็นห่วงตน ก็รู้สึกอุ่นใจ ฝืนตอบเสียงอ่อนแรงว่า “นายหญิง ข้าน้อยเกรงว่าวันนี้ข้าน้อยคงต้องบอกลาท่านแล้ว คงไม่สามารถอยู่ดูแลท่านอีกแล้ว”
มอมอดูแลพระชายารองมาตั้งแต่เด็ก ดูแลดีราวกับลูกแท้ๆ ของตน พระชายารองได้ยินดังนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาทันที พร้อมส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่หรอก มอมอ ข้าจะให้คนไปตามหมอหมาเดี๋ยวนี้แหละ”
มอมอทำไม่ได้แม้แต่จะสายหน้า ได้เพียงขยับหัวเล็กน้อยเท่านั้น “ร่างกายของข้า ข้ารู้ตัวดีเจ้าค่ะ พระชายารองอย่าเป็นห่วงไปเลย” พูดจบ สายตาของนางก็หันไปทางอ๋องฉีที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างๆ กัดฟันพูดว่า “ท่านอ๋อง ขอให้ท่านมองความดีที่พระชายารองรักเดียวใจเดียวกับท่านมาโดยตลอดหลายปี ให้อภัยกับความผิดครั้งนี้ของนางเถิดเจ้าค่ะ”
อ๋องฉีไม่ใส่ใจนาง แต่กลับถามพระชายารองว่า “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมพูดความจริงอีกหรือ”
พระชายารองไม่ปริปากพูด
อ๋องฉีโกรธมาก รับสั่งว่า “เอานังแก่นี่ไปโยนทิ้งให้หมามันกิน!”
องครักษ์ตอบรับ
พระชายารองกลัวจนลนลาน รีบมาขวางทางเอาไว้ “ข้ายอมพูดแล้ว ข้ายอมพูด ท่านอ๋องได้โปรดเมตตาด้วย อย่าให้ศพของมอมอและชุ่ยเหลียนไม่สมบูรณ์เลย”
“พูดสิ เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้ ขอแค่เจ้าพูดออกมา ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำลายศพของสองคนนี้”
“นายหญิง อย่านะเจ้าคะ” มอมอจับมือของพระชายารองเอาไว้ รีบอ้อนวอนอ๋องฉี “ท่านอ๋อง เรื่องทุกอย่างข้าน้อยเป็นผู้สั่งให้ชุ่ยเหลียนไปทำเองเจ้าค่ะ ไม่เกี่ยวกับนายหญิงเลย ท่านอ๋องฆ่าข้าน้อยเถิดเจ้าค่ะ ”
พระชายารองยิ้มอย่างเวทนา “มอมอ อย่าเสียแรงเปล่าเลย ท่านและชุ่ยเหลียนเป็นคนใกล้ชิดของข้า ต่อให้ข้าบอกว่าข้าไม่ได้สั่งการก็คงไม่มีใครเชื่อหรอก ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องทั้งหมดนี่ข้าก็เป็นคนสั่งให้พวกเจ้าทำจริงๆ แล้วข้าจะยอมให้ศพพวกท่านไม่สมบูรณ์เพราะข้าได้อย่างไร”
พระชายารองนำมือของมอมอวางกลับคืนที่ร่างของนาง และยืนขึ้นช้าๆ หันกลับไปพยุงหวงฝู่อวี้ที่นั่งงงอยู่ให้ขึ้นไปนั่งบนเตียง และหยิบผ้าออกมาเพื่อเช็ดน้ำบนตัวของเขา
“เสด็จแม่ ท่าน…” ใจของหวงฝู่อวี้กระวนกระวายมากขึ้น จึงเปิดปากถามนาง
นางพูดตัดบทเขา “อวี้เอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้ากำลังจะได้ยินอะไรต่อจากนี้ เจ้าจงอย่ากลัวไป”
หวงฝู่อวี้เห็นนางสงบลง จึงได้เพียงอ้าปาก แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
พระชายารองหันหลังกลับ ลงนั่งหลังตรงที่ตั่งข้างเตียง พูดอย่างใจเย็นว่า “ท่านอ๋องอยากทราบอะไร ได้โปรดถามมาเลยเจ้าค่ะ ข้าจะยอมพูดทุกอย่างที่ข้าทราบ”
“เรื่องวันนี้เจ้าเป็นคนบงการใช่หรือไม่”
พระชายารองพยักหน้า “เจ้าค่ะ ทั้งหมดเป็นฝีมือของข้าเอง ชุ่ยเหลียนและมอมอแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”
เมื่อได้ยินนางสารภาพผิด อ๋องฉีคำรามอยู่ในหัว และถามต่อไปว่า “คุณหนูเฝิงไม่ได้มีเรื่องคับแค้นใจอะไรกับเจ้า เจ้าทำเยี่ยงนี้กับนางทำไม”
พระชายารองแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา ชี้ไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวและพูดว่า “ท่านอ๋องพูดผิดแล้ว ข้าตั้งใจจะให้นังเด็กคนนี้เป็นคนดื่มชาต่างหาก ใครจะไปคิดว่าระหว่างทางจะไปเจอกับเด็กนั่นเข้า จนทำแผนของข้าพัง”
เมื่อสิ่งที่หวงฝู่อี้เซวียนคาดเดาได้รับคำตอบแล้ว ทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก จึงรีบรุดไปด้านหน้า เมิ่งเชียนโยวรีบดึงตัวเขาไว้ ส่ายหัวให้เขาเล็กน้อย
พระชายารองเห็นปฎิกิริยาของเขาแล้ว สายตาก็เปล่งเอาความเกลียดชังออกมา “ซื่อจื่อคงอยากจะสูบเลือดสูบเนื้อของข้าใจจะขาดแล้วล่ะสิ ข้าก็เช่นกัน ข้าเองก็อยากจะสูบเลือดสูบเนื้อของท่านเช่นกัน”
หวงฝู่อวี้ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
“เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเช่นนี้กับเซวียนเอ๋อร์” พระชายาฉีทนไม่ได้แล้ว นางถามไปด้วยความโกรธ
“ทำไมน่ะหรือ” พระชายารองยิ้มอย่างเลือดเย็น “ก็เพราะเขากำลังขวางทางของอวี้เอ๋อร์น่ะสิ หลายปีมานี้ เขาไม่เคยได้รับการเรียกตัวกลับมา แล้วทำไมจะต้องโผล่มายามที่จะแต่งตั้งซื่อจื่อ มาแย่งตำแหน่งซื่อจื่อของอวี้เอ๋อร์ไป ทำให้ลูกของข้าต้องกลายเป็นคุณชายรองของจวนแทน”
ในที่สุดหวงฝู่อวี้ก็เปล่งเสียงออกมา “เสด็จแม่ ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ตำแหน่งซื่อจื่อมันควรเป็นของพี่ใหญ่อยู่แล้วนะขอรับ”
พระชายารองเอียงหัวไปทางเขา “เด็กโง่ หากเจ้าไม่ได้เป็นซื่อจื่อ ในสายตาผู้คนในเมืองเจ้าก็เป็นเพียงคุณชายรอง ไม่มีทางจะได้สู่ขอหญิงสาวที่เจ้ารัก ไม่มีทางได้ครอบครองทรัพย์สินของจวน ไปที่ใดก็มีแต่คนชี้นิ้วสั่งเจ้า”
“แต่ข้ากลับคิดว่าชีวิตที่อิสระแบบนี้ดีกว่านะขอรับ ข้าไม่เคยอยากเป็นซื่อจื่อเลย” หวงฝู่อวี้กล่าว
“ก็เพราะว่าเจ้าไม่มีความคิดแบบนี้ แม่จึงต้องคิดให้รอบคอบ เจ้าจะได้มิต้องถูกใครเขารังแกในภายภาคหน้า”
หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า “ไม่มีทางขอรับ พี่ใหญ่ดีกับข้ามาก เขาไม่มีทางทำแบบนั้นกับข้าแน่”
พระชายารองมองเขาอย่างเวทนา “เด็กโง่ พวกเขาก็เพียงเสแสร้งให้คนนอกเห็นเท่านั้น รอถึงเวลาที่เขาเข้าพิธีสมรสแล้ว เขาก็จะหาทางกำจัดเจ้าเอง ดังนั้น…” พระชายารองชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียน “แม่ต้องกำจัดเขาเพื่อลูก”
“เสด็จแม่ ท่านเสียสติไปแล้วหรือ เขาเป็นพี่ใหญ่ของข้า ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” หวงฝู่อวี้พูดอย่างตกใจ
พระชายารองยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าไม่ได้เสียสติ ข้าเพียงแค่ต้องการกำจัดเขา เพื่อให้เจ้าได้ขึ้นตำแหน่งซื่อจื่อ”
เป็นครั้งแรกที่หวงฝู่อวี้รู้ว่าเสด็จแม่ของเขามีความคิดเช่นนี้ เขาตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเคร่งขรึม ไม่ได้พูดอะไรออกมา
อ๋องฉีมองว่าพระชายารองคือคนที่ตนรักคนหนึ่ง เมื่อได้รู้ว่านางมีความคิดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกผิดหวัง “เจ้า…”
พระชายารองยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “ท่านอ๋องเองก็ตกใจใช่ไหมเจ้าคะ แผนของข้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ถ้าหากไม่ใช่เด็กนั่นมาทำเสียเรื่องล่ะก็ เกรงว่าในตอนนี้พวกท่านก็คงไม่ได้มายืนซักไซร้ข้าเช่นนี้หรอก แต่คงจะได้ไปเก็บร่างศพของลูกชายสุดที่รัก หรือไม่ก็ของน้องชายของพระชายาฉีแล้ว”
พูดถึงขนาดนี้แล้วคงไม่มีใครไม่เข้าใจอีก เป้าหมายของพระชายารองก็เป็นดังที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ พร้อมกันนั้นก็ได้วางยาฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งเชี่ยนโยว ให้พวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพังเพราะฤทธิ์ยา และก็จะทำลายชื่อเสียงของฉู่เหวินเจี๋ย หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสามคน
อ๋องฉีโกรธไปทุกอนุของร่างกาย พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “คนชั้นต่ำ ทำแบบนี้ก็เท่ากับทำลายจวนอ๋องไปด้วย แล้วเจ้าจะได้อะไร”
พระชายารองยิ้มอ่อน จัดผมเผ้าที่รุงรังของตนเอง พูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “ทำอย่างนี้แม้ไม่มีผลดีอะไรกับตัวข้า แต่อย่างน้อยใจข้าก็สาแก่ใจแล้ว เพราะตั้งแต่หญิงคนนี้เข้ามาในเมือง ก็ไม่เพียงจงใจจะเล่นงานพวกข้า แต่ยังทำลายชีวิตที่เหลือของพี่ชายข้าอีกด้วย หากข้าไม่ลงมือแก้แค้นนาง ใจข้าคงอยู่อย่างสงบไม่ได้”
พระชายาฉีโกรธจนตัวสั่น พูดด้วยเสียงแหลมว่า “จวนนี้เป็นบ้านของเจ้า เจ้าทำลายลงแบบนี้ ตัวเจ้าเองก็ไม่ได้ตายดีแน่”
“บ้าน?” พระชายารองยิ้มเยาะตนเอง “ที่นี่ไม่เคยเป็นบ้านของข้า บ้านของข้าถูกคนชั้นต่ำอย่างเจ้าทำลายไปแล้ว ข้ากับท่านอ๋องรักกันดีอยู่แท้ๆ สัญญากันไว้ว่าจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า แต่เพราะว่ามีคนชั้นต่ำอย่างเจ้าเข้ามาทำลายความสัมพันธ์ของเรา ทำให้พวกเราต้องอยู่อย่างทรมานหัวใจมาตลอด”
พระชายาฉีเองรู้เรื่องที่ท่านอ๋องมีคนรักอยู่แล้วหลังพิธีสมรสเสร็จสิ้น และก็รู้สึกว่าตนเองนั้นมาแทรกกลางระหว่างพวกเขา ดังนั้นหลายปีมานี้นางจึงปิดตาข้างเดียวเกี่ยวกับเรื่องที่พระชายารองทำมาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าการทำแบบนี้จะเป็นการส่งเสริมให้ความแค้นในใจนางฝังลึกขึ้น จนทำให้นางกล้าทำเรื่องร้ายแรงเช่นวันนี้ได้
คิดถึงตรงนี้ พระชายาฉีพูดด้วยความโกรธว่า “งานสมรสที่ไทเฮาประทานให้ ไม่ว่าเจ้าหรือข้าก็มิอาจขัดขืนได้ ตั้งแต่เข้ามาในจวน ข้าก็ยอมให้เจ้ามาตลอด ไม่เพียงแต่มอบอำนาจจัดการดูและจวนให้เจ้า แม้กระทั่งท่านอ๋องก็ยังร่วมห้องกับข้าน้อยครั้ง แล้วเจ้ายังจะมีอะไรไม่พอใจอีก”
พระชายารองพ่นลมออกมา “เจ้าคิดว่าทำแค่นี้จะสามารถชดใช้ข้าได้หรือ ข้าจะบอกให้ว่าไม่มีทาง เจ้าแย่งตำแหน่งพระชายาฉีไปจากข้า ต่อให้ข้ามีอำนาจดูแลจวนก็ตาม แต่พระชายารองก็คือพระชายารอง ผู้มีตำแหน่งนี้ไปที่ใดก็มีแต่คนดูถูก และยังมีลูกชายของเจ้าที่ได้เป็นถึงซื่อจื่อ แต่ลูกชายของข้าเป็นได้เพียงคุณชายรองที่ไม่มีใครเคารพ เจ้าคิดว่าข้าควรพอใจหรือไม่ ในเมื่อพวกเจ้าไม่ให้ข้ามีความสุข พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะมีเลย”
“เรื่องที่ข้าเสียใจที่สุดก็คือ ปีนั้นที่เจ้าป่วยหนัก ข้ากลับไม่ได้กำจัดเจ้าให้พ้นเสียด้วยตนเอง ตอนนี้กลับถูกพวกเจ้าคิดบัญชี จนมีสภาพแบบนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดปาดพูด “ครานั้นที่เจ้าไม่ได้ฆ่าแม่ของข้า มิใช่เพราะความเมตตาใด แต่เป็นเพราะเจ้าคิดว่าเสด็จแม่ของข้าคงจะไม่มีทางรอด จึงไม่ได้ลงมือจัดการด้วยตัวเองมิใช่หรือ”
พระชายารองพยักหน้า “ซื่อจื่อนี่ช่างฉลาดเสียจริง ไม่เลวเลย ข้าเห็นสารรูปนางนอนกึ่งเป็นกึ่งตายแบบนั้น ข้าก็คิดว่านางคงอยู่ได้อีกไม่เกินสองปี จึงไม่อยากทำให้ตัวเองต้องมือเปื้อนเลือด คิดไม่ถึงเลยว่านางจะไม่ตาย” พูดถึงตรงนี้ ก็ยิ้มแสยะ “แต่ว่า ข้าจะไม่ให้นางอยู่อย่างมีความสุขหรอก ต่อให้นางมีชีวิตอยู่นานกว่าข้า อย่างไรก็จะต้องมีวันที่นางทุกข์ทรมานเช่นกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก “เจ้าหมายถึงเรื่องที่เจ้าวางยาให้หวงฝู่อี้เซวียนเป็นหมันใช่หรือไม่”
พระชายารองสะดุ้งตกใจ เลิกตาโต แล้วถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรียบๆ ว่า “ข้าไม่เพียงแต่รู้เท่านั้น แต่ข้ายังให้ยาถอนพิษเขาไปแล้ว เห็นทีท่านคงจะเสียแรงเปล่าเสียแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้!” พระชายารองตกใจเป็นอย่างมาก พูดด้วยน้ำเสียงตีโพยตายว่า “ไม่มีทาง เจ้าจะถอนพิษให้เขาได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงตอบกลับด้วยเสียงเรียบว่า “ท่านไม่ต้องคิดมากเรื่องนั้นหรอก ท่านคิดถึงแค่จุดจบของตนเองจะดีกว่า”
นอกจากหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว คนที่เหลือตะลึงกันหมด โดยเฉพาะหวงฝู่อวี้ อึ้งจนดวงตาแทบจะถลนออกมา เขายืนขึ้น ถามพระชายารองด้วยความสงสัย “เสด็จแม่ เสด็จแม่พูดจริงหรือ”
พระชายารองไม่ตอบเขา แต่กลับนั่งลงบนตั่ง ปากพึมพำกับตนเองว่า “เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรกัน”
หวงฝู่อวี้ยื่นมือออกมาเขย่าตัวนาง พูดอย่างร้อนรนว่า “เสด็จแม่ รีบบอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง ท่านไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้”
อ๋องฉีโกรธจนเส้นเลือดบนหน้าปูดขึ้น เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าสนมที่เขารักใคร่มาตลอดจะวางยาให้หวงฝู่อี้เซวียนไม่สามารถมีทายาทได้ มือที่วางอยู่ข้างตัวของเขากำหมัดแน่น
พระชายาฉีโกรธจนตัวสั่น หยิบแก้วชาบนโต๊ะแล้วเขวี้ยงไปที่พระชายารองทันที “เจ้าช่างเป็นหญิงที่ชั่วร้ายนัก เจ้าไม่ตายดีแน่”
ถ้วยชากระทบกับตัวพระชายารอง แล้วก็ตกลงพื้นจนแตกละเอียด
ราวกับว่าเสียงนี้ได้ปลุกพระชายารองให้รู้สึกตัว นางจ้องมองพระชายาฉีด้วยสายตาอาฆาตแค้น จนอยากจะตรงเข้าไปฉีกนางเป็นชิ้นๆ ใจจะขาด นางพูดอย่างบ้าคลั่งว่า “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายข้า หากไม่ใช่คนเลวอย่างเจ้า ลูกสาวคนรองของมหาเสนบาดีอย่างข้า จะกลายมาเป็นพระชายารองเช่นนี้หรือ ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า เป็นเพราะเจ้าคนเดียว เหตุใดเจ้าถึงไม่ตายไปซะ ทำไม!”
พระชายารองเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็แสร้งว่าเป็นคนดี ใจกว้างและมีมารยาท นางไม่เคยแสดงกิริยาเสียสติเช่นนี้เลย หวงฝู่อวี้อยู่ใกล้นาง เห็นภาพนางเสียสติชัดเจนที่สุด เขาตกใจมาก รีบจับตัวนางเอาไว้ “เสด็จแม่ ใจเย็นๆ ก่อน ท่านกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เมื่อได้ยินเสียงของเขาแล้ว พระชายารองก็ได้สติกลับมา ใช้มือลูบใบหน้าของเขา พูดพึมพำว่า “อวี้เอ๋อร์ พวกมันบังคับให้แม่ต้องกลายเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะพวกมัน”
อ๋องฉีคลายหมัดที่กำไว้แน่น แล้วก็กำใหม่อีกครั้ง กดอารมณ์โกรธจนอยากฆ่าคนเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่มีใครบังคับเจ้า ครานั้นตอนที่เสด็จแม่มีรับสั่งเรื่องการสมรส ข้าก็ได้ไปถามเจ้าถึงจวนมหาเสนบาดี เจ้าเองเป็นคนตอบว่าเจ้าไม่ใส่ใจเรื่องนี้ เจ้ายอมเป็นพระชายารอง ข้าจึงตอบตกลงเสด็จแม่ไป และตั้งแต่เข้าจวนมา ข้าก็ดูแลเจ้าอย่างดีมิใช่หรือ”
พระชายารองเงยหน้าหัวเราะ ปล่อยมือจากหวงฝู่อวี้ เดินไปหาอ๋องฉีช้าๆ พูดชัดถ้อยชัดคำว่า
“ท่านอ๋องพูดออกมาได้ง่ายดายเสียจริง ใครกันล่ะที่ตกหลุมรักข้าตั้งแต่แรกพบ สัญญากับข้าว่าจะมีข้าเป็นพระชายาฉี แต่พอข้าตกลงปลงใจแล้ว ท่านกลับไปสู่ขอคนอื่นแทน”
ตอนที่ 135 ที่แท้ก็เพราะเหตุนี้
อ๋องฉีพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “เป็นอย่างที่เจ้าพูดไม่ผิดเลย เจ้าตราตรึงใจข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจ้าที่จวนมหาเสนาบดี และเป็นข้าเองที่สัญญากับเจ้าว่าจะสู่ขอเจ้ามาเป็นพระชายาแต่เรื่องที่เกิดก็มีเหตุผล เสด็จแม่รับสั่งมา ข้ามิอาจขัดคำสั่งได้ ข้ากลัวว่าจะเจ้าจะไม่สบายใจ คิดอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์ของเราเสีย จึงได้ส่งคนไปที่จวนมหาเสนาบดีเพื่อถามความเห็นของเจ้า แม้ว่าข้าจะทำผิดต่อเจ้า แต่เรื่องเลวร้ายที่เจ้าทำลงไปวันนี้ เป็นความผิดที่ยากจะอภัยได้”
พระชายารองจ้องมองเขา ถามอย่างไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดว่า “อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ถ้าเช่นนั้นท่านอ๋องจะจัดการกับข้าเยี่ยงไร”
อ๋องฉีปิดตาลง และลืมขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาเด็ดขาด กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เหลียนอี ตลอดหลายปีมานี้ข้าเป็นหนี้เจ้า เห็นแก่สิ่งที่เจ้าทำเพื่อจวนหลักมาตลอดหลายปีนี้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ข้าจะเขียนจดหมายส่งตัวให้เจ้า เจ้ากลับจวนมหาเสนาบดีไปเถิด ต่อแต่นี้ไป เจ้าก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องฉีอีก”
หวงฝู่อวี้ตกใจ “ท่านพ่อ!”
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวและพระชายาไม่ได้กล่าวอะไร
ฉู่เหวินเจี๋ยเองไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้น
“อวี้เอ๋อร์ในใจของแม่เจ้ามีแต่ความคิดชั่วร้าย หวังจะทำลายจวนอ๋องและจวนของท่านแม่ทัพ ข้าไม่สามารถให้นางอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก ข้าเห็นแก่ที่ข้าติดค้างนางมาหลายปีจึงไว้ชีวิตแก่นาง หากเจ้าฉลาดพอ ก็มิต้องขอร้องอีก มิเช่นนั้นเจ้าก็จงไปกับเสด็จแม่ของเจ้าเถิด”
ในยุคนั้นมีเพียงหญิงที่ต้องโทษหนักถึงจะถูกขับไล่กลับบ้าน ถึงแม้ว่าจะกลับไปที่บ้านแล้ว ก็มิมีผู้ใดยอมรับ นอกจากจะทำให้คนในครอบครับขายหน้าแล้ว ยังต้องกลายเป็นที่ติฉินนินทาของชาวบ้านไปตลอด จวนมหาเสนาบดีเป็นตระกูลสูงส่ง ถึงแม้ว่าคนในตระกูลจะยอมรับนางได้ แต่นางเองก็คงไม่ต้องการให้คนในครอบครัวต้องอับอาย นางขอแค่ความตายเป็นทางออก เมื่อได้ยินดังนั้นพระชายารองจึงยิ้มเยาะใส่อ๋องฉี และพูดกับเขาว่า “ข้ามิรู้มาก่อนเลยว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญกับข้าถึงเพียงนี้ ท่านไว้ชีวิตข้า และยังคิดหาทางออกให้กับข้าอีก”
อ๋องฉีหรี่ตาลง
พระชายารองหันไปหาพระชายาและพูดอย่างโอ้อวดว่า “เห็นหรือไม่ แม้ว่าเจ้าจะได้ครองตำแหน่งพระชายาแต่ในใจของท่านอ๋องก็ไม่มีเจ้า เจ้ามันก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของราชวงศ์เท่านั้น หากท่านพ่อของเจ้าไม่ใช่แม่ทัพในครานั้น มีหรือผู้ที่สภาพเหมือนคนตายอย่างเจ้าจะได้แต่งเข้ามาในจวนอ๋องฉี”
ตั้งแต่วันที่ไทเฮาได้พระราชทานงานอภิเสกสมรส แม่ทัพฉู่เดาออกนานแล้ว และบอกนางทั้งหมดแล้ว
พระชายามิได้ยินดียินร้ายกับคำพูดของนางเลย แต่พูดอย่างเรียบๆ ว่า “ถ้าใช่แล้วอย่างไร แม้ว่าหลายปีมานี้ท่านอ๋องไม่ได้ดีกับข้ามาก แต่ก็มิเคยทำให้ข้าเสียใจ ทำตามที่ข้าขอทุกอย่าง คนที่ร่างกายอ่อนแออย่างข้า ได้มีสามีที่ดีเช่นนี้ ข้าก็เพียงพอใจแล้ว”
พระชายารองจ้องนางอย่างเกลียดแค้น กัดฟันพูดว่า “ฉู่ซู่อิง ครานั้น ข้าสั่งให้คนตั้งมากมายไปลอบฆ่าเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่ตาย เจ้าคววรจะตายไปตั้งนานแล้ว ไม่ควรอยู่จนถึงทุกวันนี้ มาเป็นมารผจญของลูกชายข้า” พูดจบก็ชี้หน้าฉู่เหวินเจี๋ย “เจ้าก็เช่นกัน คนพวกนั้นไม่ได้ฆ่าเจ้า แล้วเจ้ายังพาเจ้ามารผจญน้อยนี้หนีไปด้วย สวรรค์ไม่เข้าข้างข้าเลย ข้าเกลียดสวรรค์ข้าเกลียดพวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนต้องไม่ได้ตายดี”
“คนที่ไม่ตายดีน่ะคือเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “นอกจากที่เจ้าจะใช้โอกาสตอนท่านอ๋องออกรบ จ้างวานคนมาลอบฆ่าพระชายาที่เพิ่งให้กำเนิดบุตรแล้ว หลายปีมานี้ เจ้าก็มิได้หยุดมือเลย โดยเฉพาะตั้งแต่ที่เจ้าได้ยินมาว่ามีคนใช้ป้ายหยกที่เมืองชิงซี เจ้าก็สั่งให้คนจำนวนมากไปค้นหา หวังจะให้ค้นเจอหยกบนตัวของหวงฝู่อี้เซวียนและฆ่าเขาซะ”
พระชายารองเบิกตาโตถามอย่างสงสัยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าทำอะไรมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมุมปาก พูดอย่างดูถูกว่า “น่าเสียดาย คนที่เจ้าส่งไปฆ่าพวกข้านะมันช่างไร้น้ำยา ทั้งๆ ที่เจอพวกข้าแล้ว แต่กลับถูกพวกข้าจัดการได้โดยง่าย เกรงว่าตอนนี้คนพวกนั้นคงจะไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูกแล้ว”
พระชายารองพุ่งเข้าหานาง “นังนี่ทำแผนของข้าพังอีกจนได้ วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
หวงฝู่อี้เซวียนรีบอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว หลบนางได้อย่างง่ายดาย พระชายารองทรงตัวไม่อยู่ พุ่งเข้าไปหากำแพงอย่างจัง เลือดที่หน้าผากไหลดั่งสายน้ำ ร่างของนางล้มลงบนพื้น
“เสด็จแม่!” หวงฝู่อวี้ร้องอย่างตกใจพร้อมวิ่งเข้าไปหาพระชายารอง แต่ลืมไปว่าชุ่ยเหลียนนอนอยู่ที่พื้น จึงทำให้สะดุด และเซล้มไปด้านหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนหูตาว่องไว เขายื่นเท้าไปกั้นไว้ด้านหน้าเขา รับไว้ไม่ให้เขาล้มลง
หวงฝู่อวี้รีบลุกขึ้น รีบวิ่งไปหาพระชายารองที่นอนอยู่บนพื้น พูดอย่างรีบร้อนว่า “เสด็จแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” พูดจบก็หันไปท่านอ๋องฉี แล้วตะโกนว่า “ท่านพ่อ รีบไปตามหมอมาให้เสด็จแม่เร็ว!”
ปีนั้นอ๋องฉีเองก็สงสัยเช่นกันว่าพระชายารองสั่งคนไปลอบฆ่าพระชายาที่เพิ่งให้กำเนิดบุตร แต่ตอนนั้นฮ่องเต้เพิ่งจะได้ขึ้นครองราชย์ ทุกอย่างยังไม่ลงตัว หากสอบสวนพระชายารองในตอนนั้น ก็คงจะต้องเชิญจวนมหาเสนาบดีมา อาจจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายในวังขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ประหารคนของพระชายาทั้งหมด เพื่อเป็นการปิดปาก ไม่ให้ใครพูดออกไปได้ และเพื่อเป็นสัญญาณเตือนแก่จวนมหาเสนาบดีว่าอย่าคิดทำอะไรไม่ดี มิเช่นนั้นเขาจะไม่ไว้หน้าใครอีกแล้ว และก็เพราะเขารู้สึกผิด จึงไม่ยอมแต่งตั้งหวงฝู่อวี้เป็นซื่อจื่อเสียที เพราะหวังว่าสักวันหวงฝู่อี้เซวียนจะกลับมา แล้วมารับตำแหน่งอย่างสมเกียรติ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าพระชายารองยังมีแผนหลังจากนั้น นางกลับรู้ข่าวก่อนเขา หนำซ้ำยังสั่งคนไปตามฆ่าหวงฝู่อี้เซวียนอีก
สีหน้าของอ๋องฉีหน้ากลัวมากขึ้น แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
สีหน้าของอีกสี่คนที่เหลือเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน
อ๋องฉียังคงเห็นแก่ความดีของพระชายารองเมื่อสมัยก่อน จึงไม่ได้ถือโทษนาง พระชายาเองก็โกรธเป็นอย่างมาก กำลังจะอ้าปากพูด แต่หวงฝู่อี้เซวียนชิงพูดเสียก่อน เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสด็จแม่ เรื่องนี้กระจ่างมากพอแล้ว พวกเราออกไปเถิด ปล่อยให้ท่านพ่อตัดสินใจเอง”
แม้จะพูดด้วยเสียงเบา แต่กลับทิ่มแทงไปในใจของอ๋องฉี เขารู้ดีกว่าหวงฝู่อี้เซวียนโกรธเขาที่เขายอมไว้ชีวิตพระชายารอง แต่ครานั้นเขารู้สึกผิดกับพระชายารองจริงๆ เนื่องจากไม่ได้ทำตามสัญญา จึงทำให้นางกลายเป็นเช่นนี้ แล้วเขาจะฆ่านางลงได้อย่างไร
อ๋องฉีสับสนเป็นอย่างมาก พระชายารองก็มิได้สำนึก ตอนนี้นางขอแค่ความตายเท่านั้น นางใช้มือเช็ดเลือดบนหน้าของตน ห้ามไม่ให้หวงฝู่อวี้ขอร้องอีก พร้อมแสยะยิ้มอย่างน่าขนลุกออกมา ยืนขึ้น ผลักหวงฝู่อวี้ออก เดินโซเซไปยังอ๋องฉี ยืนนิ่ง จ้องหน้าเขา พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋อง ท่านรู้หรือไม่ว่าหลายปีมานี้ นอกจากเจ้าเด็กบ้านั้นกับอวี้เอ๋อร์แล้ว เหตุใดท่านจึงไม่ได้มีบุตรอีกเลย”
ลางร้ายผุดขึ้นมาในใจของอ๋องฉี
พระชายารองยิ้มเล็กน้อย จากนั้นคำพูดของนางก็เป็นดั่งการทิ้งระเบิดออกมา “นั่นก็เป็นเพราะว่า หลังจากที่ข้าให้กำเนิดอวี้เอ๋อร์แล้ว ข้าก็วางยาไม่ให้ท่านมีบุตรได้อีกอย่างไรล่ะ”
ทุกคนกลั้นหายใจ หวงฝู่อวี้ยืนอึ้งอยู่กับที่ ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน
อ๋องฉียื่นมืออกไปคว้าคอของนางทันที พูดด้วยเสียงน่ากลัวว่า “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้ ข้าปฎิบัติกับเจ้าไม่ดีหรือ”
ใบหน้าของพระชายารองไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำกลับยิ้มออกมา “ท่านอ๋องดีกับข้ามาก แต่ข้าต้องมั่นใจว่าลูกชายของข้าต้องได้รับตำแหน่งซื่อจื่อ หากข้าไม่ทำเช่นนี้ หากนางชั้นต่ำผู้นั้นตั้งท้องลูกของท่านอีก อย่างนั้นอวี้เอ๋อร์ของข้าก็คงได้เป็นแค่ชายรอง เป็นคนที่ศักดิ์ต่ำกว่าผู้อื่นไปตลอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะยังมีชีวิตมาได้ และมารับตำแหน่งซื่อจื่อดังเดิม”
ไม่มีชายผู้ใดรับได้ที่ภริยาของตนทำเช่นนี้ โดยเฉพาะหากหญิงคนนั้นเป็นคนที่ตนเองรักมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความโกรธในใจของอ๋องฉีนั้นมีมากเพียงใด เขาบีบคอพระชายารองแน่นขึ้น
เหตุผลที่พระชายารองพูดสิ่งเหล่านี้ออกไป ก็เพราะนางต้องการความตาย ดีกว่าถูกเนรเทศกลับบ้านให้ครอบครัวต้องอับอาย ให้ต้องเป็นที่ติฉินนินทาของสะไภ้ในวัง นางจึงไม่ขัดขืน และปิดตาลงอย่างสงบ รอให้ถึงเวลาที่คอของตนหักลง
หวงฝู่อวี้ได้สติกลับมา เขารีบคุกเข่าก้มหัวขอร้อง “ท่านพ่อ ไว้ชีวิตเสด็จแม่ด้วยเถิด”
พระชายา หวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยว ฉู่เหวินเจี๋ยเองก็ตกใจ ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่าพระชายารองจะใจกล้าจนถึงขั้นวางยาอ๋องฉี จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวของหวงฝู่อวี้ที่โขกกับพื้นดังขึ้น ทุกคนจึงได้สติกลับมา
มือของอ๋องฉีบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของพระชายารองเปลี่ยนเป็นสีเขียวม่วงช้ำ ดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำตาไหลออกมา
อยู่ดีๆ อ๋องฉีปล่อยมือลง เขายิ้มและพูดอย่างเลือดเย็นว่า “ข้าไม่ฆ่าเจ้าเองหรอก ข้ามิต้องการให้มือเปื้อน ข้าจะให้เจ้าใช้ชีวิตต่อไปอย่างทุกข์ทรมาน”
พระชายารองที่ล้มลงบนพื้น ยังไม่ทันสูดลมหายใจ ก็ต้องเบิกตาขึ้น มองอ๋องฉีที่แผ่เอารังสีความโกรธไปรอบๆ เมื่อรู้ว่าเขาจะทำเช่นนั้นจริงๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง คลานไปข้างหน้าเล็กน้อย และกอดขาของอ๋องฉีเอาไว้ “ท่านอ๋อง ข้อขอร้องล่ะ ท่านฆ่าข้าเถิด”
อ๋องฉีเตะนางจนกระเด็น แล้วหันหลังเดินจากไป พร้อมสั่งการเสียงเย็นชาว่า “ตั้งแต่นี้ไปปิดล้อมจวนนี้เอาไว้ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกเด็ดขาด หากผู้ใดขัดคำสั่งก็ฆ่าทิ้งได้เลย”
เสียงตอบรับดังมาจากหน้าประตู
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวช่วยกันพยุงพระชายาและเดินออกไปด้านนอกโดยที่ไม่หันมามองพระชายารองเลยแม้แต่น้อย
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินตามไปด้านหลังด้วยสีหน้าหม่นหมอง
หวงฝู่อวี้คลานไปด้านหน้า หวังจะช่วยพยุงพระชายารอง แต่องครักษ์สองคนก็ได้เดินเข้ามาและพูดว่า “คุณชายรองขอรับ เชิญออกไปด้านนอกขอรับ!”
หวงฝู่อวี้จ้องพวกเขาด้วยความโกรธ “ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่กับเสด็จแม่”
องครักษ์ทั้งสองคำนับเขาหนึ่งครั้งและพูดว่า “อย่างนั้นขออภัยด้วยนะขอรับ” พูดจบ ก็เดินเข้ามาลากตัวของหวงฝู่อวี้ออกไป
หวงฝู่อวี้ตะเกียกตะกายและตะโกนด่าทอ “พวกหมารับใช้ ปล่อยข้านะ พวกเจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าเชียวหรือ”
องครักษ์แสร้งเป็นไม่ได้ยินอะไร และพาเขาออกมาจากจวน พร้อมปิดประตู ถึงได้กล่าวขอโทษว่า “คุณชายรองอภัยให้พวกเราด้วย นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋อง คุณชายรองได้โปรดอย่าทำให้พวกเราลำบากเลย”
หวงฝู่อวี้ยืนขึ้น ถีบพวกเขาทั้งสองและพูดว่า “พวกหมารับใช้ เปิดประตูให้ข้า ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่”
องครักษ์ทั้งสองยืนนิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย
แม้ว่าหวงฝู่อวี้จะใช้แรงมากเท่าไรก็ไม่สามารถผลักสองคนออกนั้นได้ เขาโกรธจนถีบองครักษ์อีกครั้ง แล้วตะโกนเข้าไปในจวนว่า “เสด็จแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าจะไปขอร้องท่านพ่อให้ปล่อยตัวท่าน” พูดจบก็หันหลังกลับและเดินไปยังจวนพระชายาด้วยความโกรธ
เมื่อคนในห้องออกไปหมดแล้ว พระชายารองล้มลงบนพื้นด้วยความรู้สึกเหมือนร่างกายว่างเปล่าดวงตาทั้งสองไร้แววตา สายตาเหม่อลอยไปบนพื้นโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
แม้ว่ามอมอและชุ่ยเหลียนจะไม่มีสติมากนัก แต่เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ สิ่งที่พระชายารองได้พูดไปนั้น ทั้งสองคนได้ยินเต็มสองรูหู มอมอรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย พูดอย่างอ่อนแรงว่า “นายหญิงเจ้าขา!”
พระชายารองได้สติขึ้นมา รีบคลานไปหามอมอ หวังจะพยุงนางขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าขยับตัวนาง เกรงว่าหากไปถูกตัวนางจะทำให้นางตายได้
มอมอใกล้หมดลมแล้ว นางใช้แรงที่มีทั้งหมดพูดออกมาว่า “นายหญิง ท่านใจร้อนเกินไปแล้ว ท่านอ๋องจะไว้ชีวิตท่านแล้ว เหตุใดจึงเอาเรื่องพวกนั้นมาพูดอีก”
พระชายารองส่ายหน้า “ข้ารู้จักเขาตั้งแต่อายุ 15 เรารักใคร่กันอย่างมีความสุข ข้าคิดไว้ว่าฐานะของข้า อย่างไรก็จะต้องได้เป็นภริยาเอกของเขาเป็นแน่ ผู้ใดจะไปรู้ ว่าจะมีหญิงชั้นต่ำอย่างซู่อิงโผล่มา หลายปีมานี้ นางอยู่ค้ำหัวข้า แล้วยังมามีบุตรชายก่อนข้าอีก ข้าจะยอมได้อย่างไร ตอนนี้หากเขาจะเนรเทศข้า ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องทำให้จวนมหาเสนาบดีต้องอับอาย”
มอมอถอนหายใจเบาๆ “หม่อฉันเข้าใจความรู้สึกของท่าน แต่มีชีวิตอยู่อย่างไรก็ดีกว่าตายไป มีชีวิตอยู่ท่านยังได้มีโอกาสแก้แค้น หากตายไปแล้วก็ไม่เหลือโอกาสใด และยังเหลือคุณชายรองให้หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีใครปกป้องดูแล”
เมื่อพูดถึงหวงฝู่อวี้ ก็ทิ่มแทงเข้าไปในใจของพระชายารอง นางร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น