ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 124-125

ตอนที่ 124 แผนการของพระชายารอง

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับ


 


 


หวงฝู่อี้หยิบชุดมอบให้นางสองชุด “ชุดนี้เป็นชุดที่พระชายาเหนียงเหนียงตัดเย็บให้ท่าน พี่ใหญ่ให้ท่านเลือกสวมในวันนั้นชุดหนึ่ง”


 


 


ทั้งสองชุดต่างเป็นผ้าสีแดงสดเหมือนกัน แต่มีลายดอกไม้แตกต่างกัน ดูท่าพระชายาจะอ่านความคิดของจวนราชเลขาได้ทะลุปรุโปร่ง จึงจงให้เมิ่งเชี่ยนโยวสวมใส่ไปเพื่อเป็นการตบหน้าของพวกเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว กลับไปบอกอี้เซวียน ว่าข้าจะใส่”


 


 


อาภรณ์กับคำพูดได้ถูกถ่ายทอดเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงเดินทางกลับจวนอ๋องฉี วันที่สอง เฝิงจิ้งซูมาด้วยกันกับเฝิงจิ้งเหวินมารักษาเหมือนวันที่ผ่านมา มองเห็นชุดสีแดงสดที่อยู่บนตู้ จึงถามด้วยความแปลกใจว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เสื้อผ้านี้ท่านทำเองหรือเจ้าคะ ช่างงดงามสวยสดเหลือเกิน ไม่เหมือนเสื้อผ้าที่ท่านใส่ในวันปกติ”


 


 


“ข้าจะเย็บเสื้อผ้าเป็นที่ไหนกัน นี่เป็นชุดท่านพระชายาทำให้ข้า อีกสองวันให้ข้าใส่” พูดจบ ก็เล่าเรื่องที่จวนราชเลขาตกลงว่าจะยกเลิกการหมั้นหมายให้พวกนางสองคนพี่น้องฟัง


 


 


เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกดีใจแทนนางจากใจจริง “ในที่สุดซื่อจื่อก็ยกเลิกการหมั้นหมายได้แล้ว ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองก็คบกันได้อย่างเปิดเผยแล้ว”


 


 


เฝิงจิ้งซูก็ดีใจแทนนางเช่นกัน “พระชายาดีต่อท่านจริงๆ หลังจากที่ท่านกับซื่อจื่อแต่งงานกันแล้วก็จะไม่เกิดความขัดแย้งอย่างแม่ผัวลูกสะใภ้อย่างที่ท่านแม่ข้าพูด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้มๆ “พระชายามาจากตระกูลแม่ทัพ นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา ถ้าชอบใครก็ดีต่อคนนั้นอย่างจริงใจ”


 


 


เฝิงจิ้งซูเขยิบเข้ามาอยู่ข้างหน้านาง กะพริบตาอันกลมโตบริสุทธิ์ทั้งสองข้างปริบๆ ถามอย่างสงสัยว่า “พี่โยวเอ๋อร์เจ้าคะ ในจวนอ๋องดีหรือไม่เจ้าคะ แตกต่างกับบ้านของพวกเราคนธรรมดาใช่ไหม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเผลอหัวเราะออกมา “เหมือนกันสิ เพียงแต่ดูจะมั่งคั่งมีเกียรติกว่าบ้านพวกเราไปบ้าง คนรับใช้ก็มากกว่าบ้านของเราไปบ้าง”


 


 


เฝิงจิ้งซูยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น กระซิบถามเสียงเบาว่า “ถ้าเช่นนั้นพี่โยวเอ๋อร์พวข้าไปดูด้วยได้ไหมเจ้าคะ ข้าไม่เคยไปจวนอ๋องมาก่อนเลย รู้สึกสงสัยเหลือเกิน”


 


 


“ซูเอ๋อร์” เฝิงจิ้งเหวินตำหนินาง “อย่าพูดจาเหลวไหล จวนอ๋องเป็นที่ที่เจ้าจะไปได้หรือ”


 


 


เฝิงจิ้งซูแสดงสีหน้าผิดหวังร้อง “อ้อ” ขึ้นมาคำหนึ่ง ลุกขึ้นยืน เดินไปยืนอยู่อย่างเบื่อๆ อยู่อีกด้าน


 


 


เฝิงจิ้งเหวินกล่าวขอโทษขึ้นว่า “ซูเอ๋อร์ถูกพวกเราตามใจจนเสียนิสัยแล้ว มีบางเรื่องที่ไม่รู้จักมารยาท น้องโยวเอ๋อร์อย่าได้ใส่ใจ”


 


 


“น้องซูเอ๋อร์อายุยังน้อย รู้สึกสงสัยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก พี่สะใภ้อย่าได้เป็นกังวล” พูดจบ ก็หันไปพูดกับเฝิงจิ้งซูว่า “ถึงอย่างไรวันนั้นข้าก็ไม่มีธุระของข้า ถ้าน้องซูเอ๋อร์อยากไป ข้าจะพาเจ้าไปด้วยก็ได้ แต่ว่า พอไปถึงจวนอ๋องแล้ว เจ้าต้องอยู่กับข้าตลอด วิ่งเที่ยวเล่นไปมั่วไม่ได้เด็ดขาด”


 


 


พอได้ยินว่าจะได้ไปดูจวนอ๋อง เฝิงจิ้งซูรู้สึกดีใจขึ้นทันที แววตาส่องประกายยินดีออกมา พยักหน้ารัวๆ “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไม่วิ่งเที่ยวเล่นไปมั่วเด็ดขาด จะอยู่ใกล้พี่โยวเอ๋อร์ตลอดเวลาเลยเจ้าค่ะ”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินห้ามนางเสียงดัง “ไม่ได้ ซูเอ๋อร์ทำอะไรไม่ระวัง ความสงสัยมีมากมายเหลือเกิน เกรงว่าจะทำให้เจ้าเดือดร้อนเอาได้ ไม่ให้ตามเจ้าไปดีกว่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่เป็นไร ข้าจะดูแลนางอย่างดี”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินยังไม่เห็นด้วยเหมือนเดิม “การยกเลิกการหมั้นหมายเป็นเรื่องที่เจ้ากับซื่อจื่อเฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนาน ถึงตอนนั้นพวกเจ้าต้องมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย จะให้ซูเอ๋อร์ไปรบกสนพวกเจ้าได้อย่างไรกัน”


 


 


พอได้ยินคำพูดของเฝิงจิ้งเหวิน เฝิงจิ้งซือก็รู้ตัวว่าตัวเองทำตัวไม่เหมาะสม กล่าวว่า “ท่านพี่พูดถูก ข้าไม่ไปแล้ว รอให้ท่านกับซื่อจื่อแต่งงานกันก่อนข้าค่อยไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ชิงหลวนก็เดินเข้ามารายงานอย่างสุภาพ “นายหญิง มีพนักงานจากร้านยาเต๋อเหรินมารอที่ด้านนอกเจ้าค่ะ บอกว่าเถ้าแก่เหวินให้เขามาส่งจดหมายให้”


 


 


ทั้งสามคนตกตะลึงพร้อมกัน จากนั้นเฝิงจิ้งเหวินถามขึ้นมาอย่างกระวนกระวายใจ “เกิดอะไรขึ้นกับท่านพี่หรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผุดลุกขึ้นยืน “พี่สะใภ้อย่าร้อนใจไป ข้าจะออกไปดูกับน้องซูเอ๋อร์”


 


 


ทั้งสองคนเดินออกจากห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “คนอยู่ที่ไหน”


 


 


“อยู่นอกจวนเจ้าค่ะ ไม่มีคำสั่งจากท่าน คนเฝ้าประตูก็ไม่กล้าให้เขาเข้ามา” ชิงหลวนตอบ


 


 


“ไปเรียกเขาเข้ามา”


 


 


ชิงหลวนตอบรับ เดินออกไปข้างนอก ไม่นานก็พาพนักงานของร้านยาเต๋อเหรินเข้ามาด้วย เมื่อเห็นทั้งสองคน เขาก็คำนับอย่างสุภาพ “แม่นางเมิ่ง คุณหนูเฝิง เถ้าแก่ให้ข้ามาส่งข่าวกับฮูหยิน ว่าวันมะรืนนี้แม่ทัพใหญ่ฉู่จะรับบุตรบุณธรรมที่จวนอ๋องฉี ได้เชิญให้เถ้าแก่ไปเป็นเข้าร่วมพิธีด้วย เถ้าแก่บอกว่าอีกสักครู่ให้ฮูหยินไปที่ร้านยาเต๋อเหริน ปรึกษากันว่าจะเตรียมของกำนัลใดไปมอบให้ดี”


 


 


เฝิงจิ้งซูแสดงสีหน้ายินดีปรีดา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองนางยิ้มๆ กล่าวว่า “รุ้แล้ว กลับไปบอกเถ้าแก่พวกเจ้า อีกสักครู่พี่สะใภ้จะตามไป”


 


 


พนักงานตอบรับ เดินออกจากเรือน กลับไปที่ร้านยาเต๋อเหริน


 


 


ทั้งสองคนเดินกลับเข้าไปในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สะใภ้ได้ยินคำพูดของพนักงานชัดแล้วนะเจ้าคะ คราวนี้พวกท่านก็พาน้องซูเอ๋อร์ไปด้วยได้แล้ว”


 


 


เฝิงจิ้งซูถามอย่างคาดหวังว่า “พี่ใหญ่ ได้ไหมเจ้าคะ”


 


 


ตัวเองกับสามีต้องไปร่วมพิธีอยู่แล้ว หากพาเฝิงจิ้งซูไปด้วยก็ไม่ถือว่าลำบากอะไร จึงพยักหน้าอนุญาต “ได้ แต่ว่าถึงตอนนั้นเจ้าต้องอยู่ใกล้ข้าตลอดเวลา อย่าวิ่งเที่ยวเล่นไปมั่ว”


 


 


เฝิงจิ้งซูพยักหน้าอย่างรู้งาน


 


 


และขณะนี้ในจวนอ๋องฉี พระชายารองได้ฟังสาวใช้รายงาน แววตาฉายแววอาฆาตชิงชัง ยื่นมือไปปัดถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะ กล่าวอย่างดุร้ายว่า “ข้าไม่มีวันยอมให้พวกเขาสมปรารถนาหรอก”


 


 


สาวใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องต่างก็ทรุดตัวคุกเข่าด้วยอารามตกใจ ส่วนคนรับใช้ที่ทำความสะอาดอยู่นอกห้อง พอได้ยินเสียงภายในห้อง ก็ตกใจจนถึงขึ้นเดินเขย่งเท้า ไม่กล้าส่งเสียงใดออกมาแม้แต่น้อย


 


 


อาการบาดเจ็บของโมโม่ติดตามก็ดีขึ้นจนเกือบจะหายดีแล้ว ตอนนี้กำลังชี้นิ้วสั่งงานคนรับใช้นอกห้อง พอได้ยินเสียงดังขึ้นก็รีบวิ่งเข้ามา “เหนียงเหนียงของข้า ผู้ใดที่ทำให้ท่านโกรธ จนท่านต้องโมโหเช่นนี้ ท่านบอกบ่าวมาเจ้าค่ะ บ่าวจะไปลอกหนังพวกมันเสีย”


 


 


“โมโม่ พวกเขารังแกข้าเช่นนี้ ข้าไม่มีวันให้พวกเขาสมความปรารถนาเด็ดขาด” ชายารอบกัดฟันพูด


 


 


โมโม่ไม่เข้าใจ หันไปมองสาวใช้ติดตาม


 


 


สาวใช้ติดตามจึงได้เล่าเรื่องที่ได้ยินมาว่าจวนราชเลขายอมยกเลิกการหมั้นหมายแล้วให้เขาฟังอีกรอบหนึ่ง


 


 


หลังจากที่แม่นมได้ยิน พริบตาเดียวกลับปรากฏสีหน้ายินดี “เหนียงเหนียง นี่เป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ ท่านไม่จำเป็นต้องโมโหเช่นนี้เลย”


 


 


พระชายารองโมโหจนอกกระเพื่อม “สำหรับพวกเขานั้นย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ข้าไม่ยอมให้พวกเขาสมปรารถนาหรอก”


 


 


โมโม่เดินเข้ามาพยุงให้นางนั่งลง ยื่นมือไปช่วยลูบหลังให้นางใจเย็น “เหนียงเหนียงของข้า ท่านเข้าใจผิดแล้ว ที่บ่าวพูดก็คือเรื่องดีของเราเจ้าค่ะ”


 


 


“เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นสมปรารถนาแล้ว จะมีผลดีอะไรต่อเราอีก”


 


 


โมโม่บอกให้สาวใช้ถอยออกไปจากห้อง แล้วกระซิบเสียงเบาว่า “เหนียงเหนียง ท่านลองคิดดู ปีนี้คุณหนูหลินผู้นั้นก็อายุได้สิบห้าปีแล้ว ถึงเวลาแต่งงานได้แล้ว แต่จู่ๆ ก็ถูกยกเลิกการหมั้นหมาย ดังนั้นต้องมีข่าวลือต่างๆ นานากระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงไม่น้อย ถ้าหากตอนนี้พวกเราไปสู่ขอให้คุณชายรอง ไม่แน่ว่าพวกเขาจะตกปากรับคำทันที”


 


 


พระชายารองมองนางแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วครุ่นคิดสักครู่ ส่ายหน้า “ไม่หรอก เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นมีตำแหน่งซื่อจื่อ ตอนนี้อวี้เอ๋อร์ยังมีฐานะเป็นเพียงบุตรสามัญ ราชเลขาหลินสามีภรรยาจะไม่ยอมรับการแต่งงานครั้งนี้”


 


 


“แม้จะพูดเช่นนี้ก็ตาม แต่ในเมืองหลวงมีใครที่ไม่ทราบบ้างว่าซื่อจื่อเปรียบคุณชายรองเป็นดั่งน้องชายแท้ๆ ยิ่งไปกว่านั้น คุณหนูก็สนิทสนมคุ้นเคยกับคุณชายรองมาตั้งแต่เด็ก มีความผูกพันแน่นแฟ้น บัดนี้พวกเราไม่สนใจอดีตแล้วไปสู่ขอ ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รับปาก ขอเพียงพวกเราร่วมมือกับจวนราชเลขา ต้องไปไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต่อกรกับพวกเขาไม่ได้”


 


 


“ความหมายของเจ้าก็คือราชเลขาหลินสองสามีภรรยาจะรับปาก” พระชายารองระงับโทสะ ถามอย่างไม่มั่นใจ


 


 


โมโม่พยักหน้า “บ่าวคิดว่าน่าจะสำเร็จแปดถึงเก้าในสิบส่วนเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายารองไตร่ตรองอย่างละเอียดสักพัก พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี รอให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปก่อน ข้าจะส่งคนไปสู่ขอ”


 


 


โมโม่กระซิบแนะนำอีกว่า “ถึงตอนนั้นเหนียงเหนียงก็ให้นายท่านเสนาบดีไปลองเปรยดูก่อน ถ้าหากเขาประสงค์เช่นกัน ท่านก็รีบส่งคนไปสู่ขอทันที ถ้าหากพวกเขาไม่ได้คิดเช่นกัน ท่านก็ให้คุณชายรองชวนคุณหนูหลินออกมาเที่ยวเล่นบ่อยๆ นานวันเข้า ข่าวลือเรื่องพวกเขาก็จะแพร่ออกมา จวนราชเลขาไม่อยากตกลงก็ต้องได้ตกลงแล้ว”


 


 


พระชายารองพยักหน้า “แผนของโมโม่ไม่เลว พวกเราก็ทำเช่นนี้” พูดจบก็กัดฟันพูดอีกว่า “ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าเดรัจฉานน้อยนั้นสมหวังได้ ไม่เช่นนั้นความแค้นที่อัดอั้นอยู่ในจ้าคงไม่มีวีนสงบ”


 


 


โมโม่ติดตามพระชายารองมาหลายปีขนาดนี้ รู้จักนิสัยของนางเป็นอย่างดี สิ่งที่ต้องการทำไม่ว่าใครก็มาห้ามไม่ได้ จึงไม่ได้พูดจาหว่านล้อมอะไรอีก แต่กลับกระซิบถามว่า “เหนียงเหนียงคิดจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ”


 


 


“ข้ายังคิดไม่ออก เจ้าให้คนไปบอกพี่ชายข้า บอกว่าข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเขาโดยเร็วที่สุด”


 


 


โมโม่รับคำสั่ง เดินออกสั่งให้คนไปส่งข่าว


 


 


ไม่นานเฮ่อเหลี่ยนก็เดินทางมาถึง ทั้งสองปรึกษาหารือกันอยู่ภายในห้องของพระชายารอง หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม จึงจากไปด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม


 


 


สองวันผ่านไป


 


 


ถึงวันที่สาม เมิ่งฉีดูร้อนใจมากกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเสียอีก เร่งรัดให้เมิ่งเชี่ยนโยวกินข้าวเช้าโดยเร็ว จัดเก็บอะไรเรียบร้อย แล้วจึงนั่งรอการมาถึงของหวงฝู่อี้เซวียนอยู่เป็นเพื่อนนางในห้อง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็แทบจะทนรอเพื่อมาเจอเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ไหว หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จก็รีบมารับเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นเมิ่งฉีก็อยู่ด้วย ตกตะลึงสักพัก พลันร้องขึ้นว่า “พี่รอง”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า “พอพ้นวันนี้ไป ข้าก็ถือว่าสบายใจไปเปลาะหนึ่ง รอให้มีกำหนดการแต่งงานของพวกเจ้า ข้าถึงจะสบายใจได้จริงๆ ก่อนถึงตอนนั้น ข้ายังยืนยันคำเดิม พวกเจ้าห้ามทำอะไรที่ผิดธรรมเนียม”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนตัวตรงอย่างสุภาพเรียบร้อย กล่าวรับรองว่า “พี่รอง วางใจเถอะ พวกเรารู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดควรไม่ควร”


 


 


เมิ่งฉีลุกขึ้น ตบบ่าของเขา “ถ้าไม่อยากให้พี่รองขัดขวางพวกเจ้า ก็รีบแต่งงานเสีย”


 


 


“พี่รองกล่าวเหมือนรู้ใจข้า พรุ่งนี้ข้าจะขอร้องให้เสด็จแม่เข้าวังไปขอพระราชเสาวนีย์ ไม่นานพวกเราก็จะได้แต่งงานกันแล้ว”


 


 


เมิ่งฉีตบไหล่ของเขาอีกหลายครั้ง “หวังว่าเรื่องจะราบรื่นอย่างที่เจ้าพูด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้าใจ


 


 


เมิ่งฉีไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก กล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ไปเถอะ เสร็จธุระแล้วก็ให้คนไปส่งข่าวกับพี่รองที่โรงหัตถกรรม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน เดินตามหลังหวงฝู่อี้เซวียนออกจากบ้าน ขึ้นไปนั่งบนรถม้า


 


 


ชิงหลวนกับจู๋หลีไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวในวันนี้ จึงไม่ได้ตามไป


 


 


วันนี้กัวเฟยก็ไม่ได้ตามไปด้วยเช่นกัน ไปส่งเมิ่งฉีที่โรงหัตถกรรม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงจวนอ๋องฉี ไปคำนับพระชายาฉีก่อนเป็นอันดับแรก


 


 


พระชายาฉีกำลังวุ่นวายอยู่กับพิธีการรับบุตรบุญธรรม ไม่ว่างคุยเป็นเพื่อนนาง จึงบอกนางว่าจะทำอะไรก็ได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเห็นโอกาสนี้ จึงดึงนางเข้าไปในเรือนของตัวเอง แล้วก็จูบอย่างหื่นกระหายอีก


 


 


จนกระทั่งฉู่เหวินเจี๋ยมาถึงแล้ว พระชายาฉีสั่งให้คนไปตามพวกเขาไป หวงฝู่อี้เซวียนจึงปล่อยนาง จูงแขนนางพาไปยังห้องโถงรับแขก


 


 


พระชายาฉีมองปราดเดียวก็เห็นความผิดปกติบนริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยว ดีใจจนยิ้มไม่หุบ


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยย่อมไม่สังเกตเห็นจุดนี้ รอหลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง จึงได้สอบถามนางถึงการทำงานของพวกพลทหารพิการทำงานในโรงหัตถกรรม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขาว่าพลทหารพวกนั้นทำไส้กรอกได้อย่างชำนาญแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีใครที่แอบหลบงานสักคน


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “ถ้าหากพวกเขาทำผิด แม่นางเมิ่งจะลงโทษอย่างก็ทำตามที่เห็นสมควร ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ


 


 


ผ่านไปสักพัก เหวินซื่อสองสามีภรรยาที่พาเฝิงจิ้งซูมาด้วยก็เดินทางมาถึง คำนับพระชายาฉีแล้วจึงนั่งลง


 


 


ตั้งแต่ฉู่เหวินเจี๋ยกลับมาก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการดูแลเรื่องราวภายในกองทัพ ส่วนเหวินซื่อก็บาดเจ็บไม่กล้าเที่ยวเตร่ไปทั่ว วันนี้เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ทั้งสองเจอหน้ากัน เหวินซื่อแสดงท่าทางตื่นเต้นยินดีอย่างเห็นได้ชัด “พี่ฉู่ ข้าคิดถึงท่านจะตายแล้ว ท่านไม่อยู่ในเมืองหลวงหลายปีนี้ ข้ารู้สึกว่าตัวเองไร้ที่พึ่งพิง เวลามีเรื่องอะไรจะหาคนปรึกษาก็ไม่มี”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยค่อนข้างเป็นสงบเงียบ เพียงแต่พยักหน้าน้อยๆ “เรื่องของเจ้าข้าก็ได้ยินมาบ้าง ตอนนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปหมดแล้ว ต่อไปข้าก็จะมาพักอยู่ที่เมืองหลวงถาวร ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้มาหาข้า”


 


 


เฝิงจิ้งซูนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย ทว่าดวงตาทั้งคู่ก็อดที่จะสอดส่ายสายตามองอย่างซุกซนไม่ได้ ส่งประกายตาชื่นชมมาเป็นระยะ


 


 


พระชายาฉีเห็นท่าทางน่าเอ็นดูรู้ความของนาง ก็รู้สึกชอบพอ ถามขึ้นว่า “คุณหนูผู้นี้คือ”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินรีบนั่งตัวตรง แล้วตอบอย่างสุภาพว่า “นี่คือน้องสาวที่บ้านหม่อมฉันเพคะ เดิมทีไม่ควรพานางเข้ามาด้วย แต่เพราะนางสงสัยว่าจวนอ๋องเป็นอย่างไร จึงขอร้องอ้อนวอน หม่อมฉันก็ที่รักทะนุถนอมนางอยู่แล้ว จึงพานางมาด้วย ขอพระชายาอย่าได้ตำหนิเลยเพคะ”


 


 


เหวินจิ้งซูลุกขึ้นยืน แล้วยอบกายแสดงความเคารพพระชายาฉีอีกครั้ง “หม่อมฉันเฝิงจิ้งซูถวายพระพรพระชายาเหนียงเหนียงเพคะ”


 


 


พระชายาฉีกล่าวด้วยรอยยิ้มละไมว่า “คุณหนูเฝิงไม่ต้องมากพิธี ในเมื่อเจ้าสงสัย อีกสักครู่ข้าจะให้สาวใช้พาเจ้าออกไปเดินดูรอบๆ”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินโบกมือพัลวัน “พระชายา ไม่ได้เพคะ”


 


 


ทางด้านเฝิงจิ้งซูกลับกล่าวขอบคุณอย่างยินดีว่า “ขอบพระทัยพระชายาเหนียงเหนียงเพคะ”


 


 


พระชายาฉียิ่งแสดงว่าชื่นชอบนางมากขึ้น “คุณหนูเฝิงนิสัยตรงไปตรงมา ทำให้คนรู้สึกเอ็นดูจริงๆ”

 

 

 


ตอนที่ 125 เจ้าทึ่มหวงฝู่อวี้

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยขึ้น “ไม่เพียงเท่านี้นะเพคะ ยังเป็นผลไม้แห่งความสุขอีกด้วย เพียงแค่นางไปกับฮูหยินไปหาหม่อมฉันที่จวน เสียงหัวเราะแห่งความสุขก็ดังออกมาจากในห้องของหม่อมฉันไม่หยุดเลยเพคะ”


 


 


เรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวรักษาอาการป่วยให้กับฮูหยินเหวินซื่อนั้นพระชายาฉีก็ได้ยินมาบ้างแล้ว ได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้า “ข้าก็ชอบคนนิสัยอย่างคุณหนูเฝิง รอหลังจากเซวียนเอ๋อร์กับโยวเอ๋อร์แต่งงานกันแล้ว เจ้าต้องมาที่จวนคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าบ่อยๆ นะ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเยาว์วัยขึ้นไปอีกหลายปีเลย”


 


 


“ตอนนี้พระชายาก็ยังสาวอยู่เลยเพคะ นั่งอยู่กับพวกเรา ดูไม่แก่ไปกว่าพวกเราเลยแม้แต่น้อย” เฝิงจิ้งซูพูดจาหวานหู


 


 


พระชายาฉีมีความสุขมาก “ข้ายิ่งชอบเจ้ามากขึ้นแล้ว เอาอย่างนี้นะ ต่อไปเจ้าต้องมาเที่ยวเล่นที่จวนข้าบ่อยๆ แล้ว”


 


 


เฝิงจิ้งซูตอบรับอย่างไม่อ้อมค้อม ไม่มีท่าทางดัดจริตมารยาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้พระชายาฉีชื่นชอบนางมากขึ้น


 


 


เห็นพระชายาฉีมีความสุขจริงๆ เฝิงจิ้งเหวินก็สบายใจได้


 


 


วันนี้ไม่ใช่วันหยุด อ๋องฉีกับราชเลขาหลินต่างก็ไปประชุมเช้า รอเสร็จสิ้นการประชุมแล้วถึงได้เดินทางกลับมา


 


 


พอทุกคนเห็นอ๋องฉีต่างก็ลุกขึ้นมาคำนับ


 


 


อ๋องฉีปรากฏสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน


 


 


จวนราชเลขาได้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ราชเลขาหลินเลิกประชุมเช้าแล้วก็เดินทางกลับบ้าน เปลี่ยนไปใช้เครื่องแต่งกายธรรมดา แล้วจึงขึ้นรถม้ามากับฮูหยินราชเลขากับหลินหันเยียน หลินจ้งขี่ม้า ทั้งสี่คนในครอบครัวจึงพาสาวใช้เดินทางมาถึงจวนอ๋องฉี


 


 


อ๋องฉีกับพระชายาฉีไว้หน้าพวกเขามาก โดยออกไปต้องรับถึงประตูจวนด้วยตัวเอง


 


 


ทันทีที่ฮูหยินราชเลขาลงจากรถม้า ก็รีบตรงเข้าไปหาพระชายาฉี ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “ซู่อิง ข้างนอกอาการเย็น ทำไมเจ้าถึงออกมาด้วยตัวเอง”


 


 


พระชายาฉีรู้แล้วว่าหลายปีมานี้ราชเลขาหลินสองสามีภรรยาเห็นนางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ท่าทีจึงดูไม่กระตือรือร้นเช่นแต่ก่อน กล่าวเรียบๆ อย่างเฉยชาว่า “ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วง สุขภาพข้าดีขึ้นแล้ว ลมหนาวแค่นี้ยังรับได้อยู่”


 


 


ฮูหยินราชเลขาทำราวกับว่าไม่ได้ยินน้ำเสียงเฉยชาของนาง ยังแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยเหมือนเดิม “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าไม่รู้ว่าตลอดหลายปีที่เจ้าไม่สบาย ข้าเป็นห่วงมากเพียงใด ทุกครั้งที่กลับจากจวนเจ้าไปก็มักจะนอนไม่หลับอยู่เสมอ”


 


 


ฮูหยินราชเลขาลดท่าทีของตัวเองลงอีก พระชาอ๋องฉีจะทำอะไรเกินเลยไปก็ไม่ค่อยดี ผ่อนคลายท่าทีลง กล่าวว่า “ตอนนี้สุขภาพร่างกายของข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องมาเป็นห่วงแทนข้าแล้ว”


 


 


หลินหันเยียนลงจากรถม้าโดยมีสาวใช้ช่วยพยุง เดินมาหยุดตรงหน้าของพระชายาฉีอย่างแช่มช้า ยอบกายลงคำนับนาง


 


 


พระชายาฉีเห็นนางซูบผอมไปมาก บอบบางราวกับจะโดนลมพัดปลิวไปตลอดเวลา ร้องขึ้นอย่างตกใจ “เยี่ยนเอ๋อร์ ทำไมเจ้ามีสภาพเช่นนี้”


 


 


กลัวว่าหลินหันเยียนจะพูดอะไรที่ไม่สมควรออกมา ฮูหยินราชเลขารีบพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้เยียนเอ๋อร์โดนลมหนาว กินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงได้ผอมลงไปบ้าง แต่ว่าท่านหมอบอกแล้ว ว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ดูแลกันไปอีกสักพักก็จะดีขึ้น”


 


 


พระชายาฉีเห็นการเติบโตของหลินหันเยียนมาตลอด รู้ว่าสุขภาพร่างกายของนางแข็งแรง ในปีหนึ่งๆ มักไม่ค่อยป่วยไข้ บัดนี้เพียงแค่ไม่ได้เจอกันช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนเท่านั้น กลับผอมจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว ในใจรู้สึกเจ็บปวด เอื้อมมือไปจับมือของหลินหันเยียน กล่าวว่า “โตเป็นสาวแล้ว ทำไมยังไม่รู้จักดูแลตัวเอง ข้าเห็นแล้วก็ปวดใจ”


 


 


หลินหันเยียนฝืนยิ้มออกมา ทว่ามือกลับสั่นน้อยๆ


 


 


พระชายาฉีรู้สึกถึงความผิดปกติของนาง ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”


 


 


หลินหันเยียนสั่นศีรษะ “หม่อมฉันเห็นท่านแข็งแรงสบายดี จึงรู้สึกซาบซึ้งใจเพคะ”


 


 


น้ำเสียงของพระชายาฉีเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสารเวทนา “เจ้าเด็กคนนี้ มีอะไรให้น่าซาบซึ้งใจ ร่างกายของตัวเองสำคัญที่สุด”


 


 


หลินหันเยียนตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นจึงดึงมือที่ยังสั่นเทาของตัวเองออกมาอย่างไม่มีตำหนิ


 


 


อ๋องฉีกับราชเลขาหลินก็ได้ทักทายกันแล้ว ทุกคนจึงเดินเข้าไปในจวน


 


 


พวกนึกถึงท่าทางโหดเ**้ยมอำมหิตของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว หลินหันเยียนยิ่งเดินเข้าไปในจวนยิ่งรู้สึกหวาดกลัว ขาทั้งคู่เกิดไร้เรี่ยวแรงโดยไม่รู้ตัว สาวใช้ที่ช่วยประคองนางอยู่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ให้นางพิงตัวของตัวเองไว้ กัดฟัน แล้วพานางเข้าไปโดยมีแสดงความผิดปกติ


 


 


อ๋องฉีและคนอื่นเดินอยู่ข้างหน้า ไม่สังเกตเห็น หลินจ้งที่เดินตามหลัง กลับสังเกตเห็นความผิดปกติ รีบก้าวยาวๆ เข้าไปอยู่ข้างๆ หลินหันเยียน ส่งสายตาเป็นเชิงถามสาวใช้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


สาวใช้ที่ใช้แรงทั้งหมดในการประคองหลินหันเยียนให้เดินไป หน้าผากมีเม็ดเหงื่อเกาะพราว จับขาตัวเองด้วยมือข้างซ้าย


 


 


หลินจ้งมองไป เห็นสองขาของหลินหันเยียนดูเหมือนว่าจะไร้เรี่ยวแรง ขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกปวดใจมาก ตำหนิสาปแช่งหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง


 


 


ทุกคนมาถึงห้องโถงรับแขก ทุกคนต่างก็ทักทายกันอีกครั้ง


 


 


วันนี้หวงฝู่อวี้ไม่ได้ไปที่กั๋วจื่อเจียน พอได้ยินว่าหลินหันเยียนมา ก็จะเข้าไปเล่นกับนางอย่างดีใจ พอเห็นท่าทางของนางก็ตกใจ หลุดปากถามขึ้นว่า “เยียนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าดูเหมือนซากศพเช่นนี้”


 


 


ภายในห้องโถงรับแขกเกิดเสียงกระแอมไอขึ้นมา


 


 


อ๋องฉีหน้าแดงก่ำ ตำหนิเขาว่า “อวี้เอ๋อร์ อย่าไร้มารยาท”


 


 


หวงฝู่อวี้เกิดกระวนกระวายใจ ดึงมือหลินหันเยียนขึ้นโดยไม่สนใจอะไร “เจ้าไม่สบายหนักใช่หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อวี้พาหลินหันเยียนไปที่ร้านบะหมี่มันฝรั่งจนทำให้เกิดเรื่องขึ้น หลังจากกลับมาก็โดนหวงฝู่อี้เซวียนลงโทษอีก นับตั้งแต่นั้นหวงฝู่อวี้จึงไม่ได้เจอกับหลินหันเยียนอีก มีหลายครั้งที่อดใจไม่ไหวอยากแอบไปเยี่ยมนาง แต่ก็มักจะได้ยินเสียงเตือนจากหวงฝู่อี้เซวียนดังอยู่ข้างหูตลอดว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังข้า แอบไปพบกับคุณหนูหลิน ข้าจะตัดขาเจ้าให้ขาดไปข้างหนึ่ง” จึงต้องทำลายความคิดนั้นไปเสีย ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอหน้ากัน เขาที่ทำอะไรผลีผลามย่อมคิดไม่ถึงว่าหลินหันเยียนจะตกใจจนล้มป่วยไปเช่นนี้ อีกทั้งผ่านมาระยะหนึ่งแล้วยังไม่ดีขึ้น


 


 


ตั้งแต่หลินหันเยียนเดินเข้ามาในจวนอ๋องฉี พอคิดว่าจะเจอกับหวงฝู่อี้เซวียน ก็รู้สึกขาอ่อน และตอนที่นางก้าวเท้าเข้าประตู พอนางเงยหน้าขึ้น ประจวบเหมาะกับสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนที่ปรายตามาทางด้านนางอย่างไม่ใส่ใจพอดี ตื่นตระหนกหัวใจสั่นสะท้าน หน้าซีดเผือด คนทั้งคนดูอ่อนแอลงอย่างน่าใจหาย


 


 


พอทุกคนได้ยินหวงฝู่อวี้พูดขึ้น ต่างก็มองดูหลินหันเยียนเป็นตาเดียว


 


 


รับรู้ได้ว่าสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนกำลังจับจ้องมองตัวเองอยู่ หลินหันเยียนก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว หน้าซีดขาวราวกับไม่มีสีเลือด หน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมา


 


 


ดูอย่างไรก็เหมือนกับว่ากำลังป่วยหนักอยู่


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองนางอย่างเย็นชา แล้วก็ละสายตากลับมาทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ใส่ใจมองมากนัก จากนั้นก็ลดสายตาลง


 


 


คนอื่นภายในห้องต่างก็ใช้สายตาจับจ้องมองที่นาง


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยวขมวดคิ้วมุ่น


 


 


ฮูหยินราชเลขารู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ถ้าหากถูกคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าหลินหันเยียนป่วยแล้วล่ะก็ เกรงว่าการรับบุตรบุญธรรมในวันนี้อาจจะมีสิ่งใดเปลี่ยนไป รีบเดินเข้าไปประคองหลินหันเยียนไว้ เอ่ยพูดขึ้น ทำลายความเงียบถายในห้อง อธิบายข้อสงสัยของทุกคน “หลายวันก่อนเยียนเอ๋อร์ตากลมหนาว สุขภาพร่างกายยังไม่ดีขึ้น จึงอ่อนแอไปบ้าง ดูแลไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว”


 


 


ทุกคนจึงพยักหน้าเข้าใจ


 


 


หวงฝู่อวี้ที่เป็นเพื่อนเล่นกับหลินหันเยียนตั้งแต่เด็กจนโต ได้มีนางอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัวมานานแล้ว ดังนั้นจึงสังเกตทุกอย่างของนางเป็นพิเศษ


 


 


พอได้ยินฮูหยินราชเลขากล่าวเช่นนั้นก็สบายใจ แต่ก็ยังถามนางอย่างเป็นห่วงว่า “ทำไมบนหน้าผากของเจ้าถึงได้มีเหงื่อมากมายเช่นนี้”


 


 


ปกติฮูหยินราชเลขารู้สึกถูกชะตากับหวงฝู่อวี้มาก ไม่วางมาด มีไมตรีต่อคน ทั้งยังดีต่อหลินหันเยียนมาก คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะดีจนเกินไป ทำให้ทุกคนเห็นความไม่ปกติของหลินหันเหยียนครั้งแล้วครั้งเล่า โมโหอยู่ในใจ น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไม่ค่อยดีนัก “คุณชายรอง ลูกหญิงไม่สบาย รบกวนท่านอย่าไปขวางทางนาง ให้นางได้นั่งพักสักครู่ดีหรือไม่” 


 


 


หวงฝู่อวี้มีมีนิสัยโผงผางฟังไม่ออกว่านางมีน้ำเสียงไม่พอใจ กลับใช้มือพยุงหลินหันเยียนอย่างเคยชิน ในน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เยียนเอ๋อร์ นั่งลงก่อน มีตรงไหนที่ไม่สบายหรือไม่ ให้เสด็จแม่ข้าเรียกมาหลวงมาตรวจดูการของเข้าไหม”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพยายามอดทนอย่างสุดความสามารถ ถึงทนไม่ผลักหวงฝู่อวี้ออกไปต่อสายตาของทุกคน ได้แต่แกล้งยิ้มทว่าแววตาไม่ยิ้ม พูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่บ้าง “ไม่รบกวนคุณชายรองแล้ว ลูกหญิงไม่เป็นอะไร พักผ่อนสักครู่ก็ดีขึ้น”


 


 


หวงฝู่อวี้มองดูหลินหันเยียนอย่างเป็นห่วง ท่าทางราวกับว่าไม่อยากเชื่อ


 


 


มือที่ฮูหยินราชเลขาช่วยประคองหลินหันเยียนบีบแรงขึ้น หลินหันเยียนไม่เข้าใจ หันไปมอง ฮูหยินราชเลขาจึงส่งสายตาเป็นความหมายให้นางไล่หวงฝู่อวี้ไป


 


 


หลินหันเยียนจึงเข้าใจ เอ่ยพูดขึ้นว่า “ขอบคุณคุณชายรอง ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ พักสักครู่ก็ดีขึ้นแล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้กระวีกระวาดตอบรับขึ้นมา คิดจะประคองพานางไปนั่ง


 


 


ฮูหยินราชเลขาดึงมือเขาออกอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต แล้วก็ประคองพาหลินหันเยียนนั่งลงข้างๆ ตน


 


 


ในที่สุดก็ไม่รู้สึกถึงสายของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว หลินหันเยียนจึงโล่งอก นั่งอยู่บนเก้าอย่างเรียบร้อย


 


 


อ๋องฉีเห็นทุกอย่างนี้แล้ว ขมวดคิ้ว ดุหวงฝู่อวี้ว่า “อวี้เอ๋อร์ ไปนั่งทางด้านนั้นให้เรียบร้อย”


 


 


หลินหันเยียนไม่ได้เป็นอะไร หวงฝู่อวี้จึงไม่ได้เป็นห่วงอะไรอีก พอได้ยินอ๋องฉีพูดขึ้น จึงรับคำ แล้วเดินไปนั่งข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


ทุกคนต่างก็นั่งกันอย่างเรียบร้อย แล้วก็สนทนาปราศรัยกันอีกรอบหนึ่ง ฮูหยินราชเลขาเงยหน้าขึ้น เห็นว่าภายในห้องยังมีสตรีอีกหลายคนที่นางยังไม่รู้จัก ขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


 


พระชายาฉีทราบว่านางคิดเช่นไร จึงแนะนำให้นางรู้จักทีละคน เริ่มจากเฝิงจิ้งเหวินสองคนพี่น้อง “นี่ก็คือฮูหยินน้อยเหวินกับน้องสาวของนางจากร้านยาเต๋อเหริน เถ้าแก่เหวินกับเหวินเจี๋ยเป็นเพื่อนที่สนิทกัน วันนี้จึงเชิญพวกเขามาร่วมพิธีโดยเฉพาะ”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินสองคนพี่น้องลุกขึ้น แล้วคำนับนาง


 


 


ร้านยาเต๋อเหรินเป็นร้านขายยาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง อีกทั้งฮูหยินราชเลขายังเคยได้ยินใต้เท้าราชเลขาพูดถึง ว่าร้านยาเต๋อเหรินยังเป็นผู้ดูแลเรื่องยาในกองทัพ ดูถูกไม่ได้ จึงแสดงใบหน้ายิ้มแย้ม ยกมือเหมือนว่าจะประคองเฝิงจิ้งเหวินกลายๆ “ฮูหยินน้อยเหวินไม่ต้องมากพิธี”


 


 


ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณ แล้วจึงเดินกลับไปยังที่นั่งของตน


 


 


พระชายาฉีชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกล่าวขึ้นว่า “นี่ก็คือนางในดวงใจของเซวียนเอ๋อร์แม่นางเมิ่ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะลุกขึ้นไปคำนับ หวงฝู่อี้เซวียนก็ดึงนางไว้ ส่งถ้วยน้ำที่ชาอยู่ในมือให้นาง กล่าวนุ่มนวลเอาอกเอาใจว่า “รอตั้งนาน คอแห้งแล้วกระมัง ดื่มน้ำก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตามองเขาอย่างจนปัญญา รับถ้วยน้ำชามาดื่ม


 


 


ตั้งแต่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในเมืองหลวง ฮูหยินราชเลขาก็สนใจเรื่องของนางมาตลอด แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าจริงๆ เสียที วันนี้ได้เห็น ว่านางน่าตาสวยอย่างทั่วๆ ไปเท่านั้น ห่างไกลจากคำว่าสาวงามล่มเมืองนัก ไม่รู้ว่าใช้เล่ห์กลมารยาอะไร ถึงได้ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนหลงเสน์ได้ จนทำให้เขาต้องทอดทิ้งบุตรสาวที่งดงามราวกับดอกไม้ของตนได้ โยเฉพาะเมื่อเห็นว่าวันนี้นางสวมใส่ชุดสีแดงสด ในใจก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา น้ำเสียงจึงฉายแววเย้ยหยันถากถางขึ้นว่า “ได้ยินชื่อเสียงแม่นางเมิ่งมานานแล้ว วันนี้ได้พบก็รู้สึกว่าสมคำร่ำลือ ขนาดชุดที่ใส่ยังดูพิเศษต่างจากผู้อื่น”


 


 


คำพูดนี้แม้ภายนอกจะฟังดูเหมือนชมเชย แต่ความจริงแล้วกลับกำลังถากถางที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จักกฎเกณฑ์ พิธีเช่นนี้ไม่เหมาะกับหญิงชนบทอย่างเจ้าที่จะเข้ามาร่วมงานสักนิด อีกทั้งยังใส่ชุดอย่างเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าภาพหลักถึงจะสามารถใส่ได้อีก นี่มองดูก็รู้ว่าไม่รู้จักความเหมาะสม ไร้การอบรมที่ดี


 


 


คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็เป็นคนฉลาด มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของนาง หวงฝู่อี้เซวียนหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย พระชายาฉีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่วนเมิ่งเชี่ยนกลับยิ้มน้อยๆ ตอบกลับอย่างไม่อ่อนข้อไม่ก้าวร้าวเกินไปว่า “ขอบคุณคำชมของฮูหยินราชเลขาแล้ว อี้เซวียนกับข้าต่างก็คิดว่าชุดที่พระชายาทำให้นี้งดงามมาก”


 


 


เพียงประโยคเดียวแต่ก็มีความหมายซ่อนอยู่มากมาย หนึ่งคือเรียกชื่อเล่นของหวงฝู่อี้เซวียน เป็นการบอกกับฮูหยินราชเลขาว่าตัวเองนั้นได้รับความรักมากเพียงใด สองชุดนี้คือชุดที่พระชายาอ๋องเป็นคนทำ นี่พิสูจน์อะไรหลายอย่างได้โดยไม่ต้องอธิบาย


 


 


หากไม่กลัวว่าผิดกาลเทศะ เหวินซื่อก็คงจะปรบมือพร้อมทั้งร้องตะโกนว่าดีให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว เพียงคำพูดง่ายๆ ประโยคเดียวก็สามารถหยุดคำพูดถากถางจากฮูหยินราชเลขาที่กำลังจะพูดต่อจากนั้นได้หมด


 


 


แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ฮูหยินราชเลขาถูกตอกกลับจนหน้าแดง อ้าปากพะงาบๆ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก


 


 


ใต้เท้าราชเลขาย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว แม้จะโกรธที่นางทำให้ฮูหยินของตนต้องอับอายต่อหน้าผู้คน แต่ถึงอย่างไรจิ้งจอกเฒ่าก็ยังเป็นจิ้งจอกเฒ่า รู้ว่าถ้าขืนยังพูดอีกต่อไปฮูหยินของตนคงไม่ได้ผลดีอะไร ครั้นแล้วจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง เปลี่ยนหัวข้อการสนทนา “นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราเริ่มพิธีเถอะ”


 


 


อ๋องฉีพยักหน้า หันไปมองทางด้านพระชายาฉี


 


 


พระชายาฉีกวักมือเรียกเป็นความหมาย สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังก็ยกถาดที่มีผ้าสีแดงคลุมอยู่มาข้างหน้านาง


 


 


พระชายาฉีเปิดผ้าสีแดงออก ข้างในนั้นคือหยกชิ้นหนึ่ง


 


 


ฮูหยินราชเลขาก็ส่งสัญญาณ สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังก็ส่งของบางอย่างที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้า รับมา แล้วเปิดออก ข้างในนั้นก็คือหยกชิ้นหนึ่งเหมือนกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)