ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 12.2-15

ตอนที่ 12-2 กระอักเลือด

 

พอเดินมาถึงประตูลานเรือน ก็กดเสียงต่ำสั่งบ่าวทั้งสองคน “พวกเจ้าเข้าไปเช็ดคราบเลือดในห้องให้สะอาด จำไว้ว่า ห้ามให้คนอื่นรู้เรื่องนี้เด็ดขาด” พูดจบ รีบร้อนเดินออกไปทันที


 


 


บ่าวเดินตรงเข้ามาในเรือน ตักน้ำใส่กะละมัง หยิบผ้าสะอาดหนึ่งผืนเดินมาถึงหน้าประตู เคาะอย่างเบามือ พูดอย่างอ่อนน้อม “ซื่อจื่อ พวกเราจะเข้าไปเช็ดคราบเลือดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ครู่หนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนของอี้เซวียนก็ดังออกมา “เข้ามาเถอะ”


 


 


ทั้งสองรับคำ ผลักประตูเดินเข้าไป


 


 


อี้เซวียนชี้คราบเลือดบนพื้นแล้วสั่งพวกเขา “เช็ดล้างคราบเลือดตรงนี้ให้สะอาด แล้วออกไปได้”


 


 


ทั้งสองยกกะละมังน้ำเดินมุ่งตรงเข้ามา คุกเข่าลง เช็ดล้างคราบเลือดบนพื้นอย่างสะอาดโดยไว จากนั้นก็รีบถอยหลังออกไป ประตูเพิ่งจะปิดสนิท น้ำเสียงละมุนของอี้เซวียนก็ดังลอยออกมา “โยวเอ๋อร์ ยังเจ็บหรือไม่?”


 


 


บ่าวทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วคิดถึงเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ของเมิ่งเชี่ยนโยว พยักหน้าเข้าใจทุกอย่าง


 


 


อี้เซวียนที่อยู่ภายในห้องยังไม่รู้ว่าทั้งสองคนเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ถือวิสาสะลูบศีรษะเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างปวดใจ “ข้าเก็บจดหมายพวกนี้เองก็ได้ ดูเจ้าเถิด ชนเข้าแล้วสิ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียบขยี้เท้าเขาเต็มแรง พูดอย่างฉุนเฉียว “เจ้าหลีกไปเลย ข้าเก็บจดหมายพวกนี้เอง ไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามา”


 


 


อี้เซวียนเจ็บปวด ปล่อยมือจากศีรษะนาง กอดขาตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง เก็บจดหมายทั้งหมดขึ้นมาจัดเรียงวางลงในกล่อง จากนั้นวางกล่องไว้บนโต๊ะ


 


 


หวงฝู่อี้ถือห่อยาวิ่งตะลีตะลานเข้ามา เห็นบ่าวทั้งสองยังยืนอยู่ด้านนอก จึงถามความ “เช็ดคราบเลือดสะอาดเรียบร้อยแล้ว?”


 


 


บ่าวทั้งสองรับคำ “เช็ดสะอาดแล้วขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้ไม่ทันได้ซับเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง ก็รีบเดินเข้าไปในลานเรือน พลันนึกเรื่องบางอย่างได้รีบถอยหลังกลับมา สั่งกำชับทั้งสองคน “เรื่องในวันนี้ห้ามนำไปพูดกับใครเด็ดขาด”


 


 


บ่าวเห็นห่อยาในมือเขา ยิ่งตอกย้ำความคิดของตัวเอง พยักหน้ารู้ความ “ท่านวางใจเถอะ พวกเราจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครแน่นอน”


 


 


หวงฝู่อี้รีบร้อนเดินมาถึงหน้าประตู เคาะประตูอย่างเบามือ ถามเสียงแผ่ว “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง จัดยามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เข้ามาได้” อี้เซวียนเปล่งน้ำเสียง


 


 


หวงฝู่อี้ผลักประตูเข้าไป แล้วงับประตูปิดทันที นำห่อยาในมือวางบนลงโต๊ะ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดห่อยาออกมาตรวจดู พูดว่า “ไม่มีปัญหา หนิวตั้น เจ้ารีบไปต้มยา จำไว้ว่า อย่าให้คนอื่นทำเด็ดขาด”


 


 


หวงฝู่อี้รับคำ หยิบห่อยาน้อมคำนับถอยออกไป เดินตรงไปในครัว


 


 


อี้เซวียนทำหน้าแป้นฟุบลงไปกับโต๊ะ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ


 


 


อี้เซวียนเก็บคืนรอยยิ้ม ยืดตัวตรงพูดว่า “ตอนนี้เขามีชื่อว่าหวงฝู่อี้ ไม่ใช่หนิวตั้น ยังดีคนที่เรียกเขาคือเจ้า ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่พอใจนานแล้ว”


 


 


“หวงฝู่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างกังขา


 


 


อี้เซวียนพยักหน้า อธิบาย “ในตอนนั้นท่านน้าเพียงเล่าเรื่องโดยสังเขปแก่พระบิดา มิได้บอกเรื่องที่สองสามีภรรยาหนิวทารุณกรรมข้า ดังนั้นหลังจากหนิวตั้นตามข้ากลับมา ข้าจึงขอให้พระบิดาประทานแซ่ของพวกเราให้เขา พระบิดาซาบซึ้งที่พวกเขาสองสามีภรรยาเลี้ยงดูข้ามาหลายปี จึงยอมตกลง และข้าก็ได้ตั้งชื่อให้เขาว่าหวงฝู่อี้ ข้าหวังว่าเขาจะเป็นคนแน่วแน่เด็ดเดี่ยว”


 


 


“ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาได้ถามเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ช่วงแรกที่เขาตามข้ากลับมา ก็ตามติดข้าแจ พระบิดาและพระมารดาไม่พอใจเขามาก ข้าบอกพวกเขาว่าหนิวตั้นเป็นน้องชายที่ข้าเห็นมาแต่เกิด พวกเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง บัดนี้บิดามารดาเขาจากไปแล้ว เขาจะติดข้าแจก็เป็นเรื่องสมควร พวกเขาได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่ถามความอีก ต่อมาหนิวตั้นค่อยๆ เติบใหญ่ เริ่มรู้กาลเทศะ เรียนรู้ที่จะช่วยจัดแจงเรื่องต่างๆ ให้ข้า ตอนนี้กลายเป็นข้าที่ขาดเขาไม่ได้ไปเสียแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงภาพเช้าวันที่หนิวตั้นตื่นขึ้นมา ร้องเรียกพ่อแม่อย่างไรก็ไม่ตื่น ร้องกระจองอแงวิ่งไปหาอี้เซวียน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดขึ้นว่า “โชคดีที่ตอนนั้นแม่ทัพฉู่อำพรางเรื่องไว้ หากให้หนิวตั้นรู้เข้า ไม่รู้ว่าเขาจะคิดเช่นไร”


 


 


อี้เซวียนพยักหน้า “ท่านน้ากระทำการรอบคอบ ไม่ให้มีใครรู้เรื่องนั้น เจ้าวางใจเถอะ”


 


 


“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด แล้วถามอีกว่า “ท่านแม่ทัพฉู่เล่า ยังไม่กลับมาหรือ?”


 


 


อี้เซวียนส่ายหน้า “หลายปีก่อนต่างเผ่ารุกราน เสด็จลุงจึงส่งเขาไปเฝ้าระวังแนวพรมแดน ข้าเองก็ไม่ได้พบเขามาหลายปีแล้ว”


 


 


“ข้ารู้ สองสามปีก่อนพอฉั่งฉิกเจริญเติบโตเต็มวัย ข้าฝากจดหมายหนึ่งฉบับไปบอกแม่ทัพฉู่กับพนักงานที่มารับยาจากร้านยาเต๋อเหริน กลับไม่เคยได้รับการตอบกลับ ภายหลังเป็นเหวินซื่อที่เขียนจดหมายมาบอกข้า บอกว่าแม่ทัพฉู่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เขาจะเป็นคนซื้อฉั่งฉิกไว้เอง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย “ร้านยาเต๋อเหรินเป็นผู้จัดหายาสมุนไพรให้กองทัพมาโดยตลอด ทว่าพอเอ่ยถึงเหวินซื่อ ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องบอกเจ้า เจ้าฟังแล้วอย่าได้ร้อนใจ”


 


 


“เจ้าพูดมา”


 


 


อี้เซวียนมองนางแวบหนึ่ง พิจารณาถ้อยคำพูดว่า “ได้ยินว่าหลายปีก่อน ภรรยาของเหวินซื่อตั้งครรภ์ ตอนที่อายุครรภ์ได้สี่เดือน หมอชราที่มีประสบการณ์มากที่สุดของร้านยาเต๋อเหรินจับชีพจรรู้ว่าเป็นเด็กผู้ชาย ทั้งครอบครัวต่างดีอกดีใจ โดยเฉพาะนายท่านใหญ่ร้านยาเต๋อเหริน ท่านปู่ของเหวินซื่อ คอยกำชับบ่าวให้เสาะแสวงหาของดีของอร่อยมาให้ภรรยาเหวินซื่อ ทั้งครอบครัวต่างเอาใจนางเหมือนที่เอาใจเด็กในครรภ์ ไม่คิดว่าจะคลอดทารกตายออกมา หมอตรวจดู บอกว่าได้กินของมีพิษเข้าไปก่อนคลอด เหวินซื่อโมโหคลุ้มคลั่ง สั่งให้ตรวจสอบ แต่สืบมาสืบไป กลับพบว่าภรรยาเขากินสิ่งของไม่พึงประสงค์เข้าไปเอง ทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนั้น หมอยังบอกพวกเขาว่า ภรรยาของเหวินซื่อคลอดลูกก่อนกำหนดกระทบกระเทือนอวัยวะภายใน เกรงว่าภายหน้าจะมีบุตรยากแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วถาม “มีเรื่องบังเอิญได้ถึงเช่นนี้?”


 


 


“ข้าเองก็ฟังมาจากอี้เอ๋อร์ คาดว่าเขาก็คงไปฟังคนบอกเล่ามาอีกที ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร คิดว่าคงมีแต่เหวินซื่อที่รู้” อี้เซวียนกล่าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “รอให้ข้าซื้อเรือนมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ข้าค่อยไปหาเหวินซื่อ จากกันครานั้น พวกเราก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย”


 


 


อี้เซวียนได้ฟังลุกขึ้นยืน เดินมาหน้าตู้ เปิดแล้วหยิบ**บขนาดย่อมใบหนึ่งออกมาวางไว้เบื้องหน้านาง พูดว่า “หลังจากข้ากลับมา พระมารดาก็มอบบ้านเรือนและร้านค้าที่เป็นสินเดิมของนางมาให้ข้าดูแล นี่เป็นเงินรายได้ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา เจ้ารับไปซื้อเรือนดีๆ สักหลังอยู่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แม้แต่จะมอง ผลัก**บนั้นกลับไปตรงหน้าเขา “ไม่ต้อง เงินของข้าก็ใช้ไม่หมดแล้ว พี่ใหญ่และพี่รองก็ให้ข้ามาอีกไม่น้อย เจ้าเก็บไปเถอะ”


 


 


อี้เซวียนผลักกลับมาอีกครั้ง “ค่าใช้จ่ายในจวนก็ได้มากโขแล้ว ข้าเองก็น้อยครั้งจะมีพบปะสังสรรค์ แทบจะไม่ได้ใช้เงินเลย เจ้านำไปซื้อเรือนดีๆ สักหลัง ทางที่ดีเลือกที่อยู่ใกล้กับจวนอ๋องฉี ข้าจะได้ไปหาเจ้าได้ทุกวัน”


 


 


หวงฝู่อี้ต้มยาด้วยตัวเองเสร็จ ผึ่งเย็นครู่หนึ่ง ถึงยกตรงเข้ามา เคาะประตูพูดว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ยาต้มเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อี้เซวียนดัน**บเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว ถึงเอ่ยปากพูดว่า “เข้ามาได้”


 


 


หวงฝู่อี้รับคำเดินเข้ามา ยกถ้วยยามาไว้เบื้องหน้าอี้เซวียน “ผู้น้อยผึ่งลมครู่หนึ่งแล้ว อุ่นกำลังดี ซื่อจื่อรีบดื่มเถอะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อี้เซวียนรับมา ดื่มพรวดๆ โดยไม่ขมวดคิ้วจนหมด ส่งถ้วยคืนให้หวงฝู่อี้


 


 


หวงฝู่อี้กำลังจะออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขา พูดว่า “เขาถูกพิษมาเป็นเวลานาน พิษได้แทรกซึมไปทั่วร่างแล้ว ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวกำจัดพิษออกไม่หมด ให้เจ้าต้มยาทุกวันวันละสองเทียบมาให้เขาดื่ม จำไว้ว่า ต้องจัดการกากยาให้เรียบร้อย ห้ามให้ใครรู้เรื่องที่เขาได้รับพิษเด็ดขาด อีกไม่กี่วันพอข้าซื้อบ้านได้ พวกเจ้าค่อยมาต้มยาที่บ้านข้า จะได้ไม่ต้องระแวดระวังเช่นนี้อีก”


 


 


หวงฝู่อี้รับคำ โน้มคำนับถอยออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพูดว่า “ข้าสมควรไปแล้ว เรื่องที่เหลือเจ้าจงจัดการให้เรียบร้อย”


 


 


แม้อี้เซวียนจะอาวรณ์ กลับไม่ได้เหนี่ยวรั้งนางไว้ กอดกล่องและ**บไว้แนบอก “ข้าส่งเจ้าออกไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยกเท้าก้าวออกไป


 


 


อี้เซวียนเดินตามหลัง


 


 


ทั้งสองเดินพ้นเรือนออกมา มุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ สาวใช้และบ่าวตามทางเดินน้อมคำนับอี้เซวียน ก้มหน้าแอบมองหญิงสาวที่ทำให้ซื่อจื่อกล้าทำเรื่องสั่นสะเทือนเลือนลั่นกลางวันแสกๆ ว่าเป็นคนเช่นไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ถึงแววตาประเมินมองของพวกเขา อมยิ้มเล็กน้อย เบียดตัวเข้าใกล้อี้เซวียน พูดคุยหยอกล้อกับเขาออกมาจากจวนอ๋องฉี


 


 


กระทั่งพวกเขาเดินออกไป พวกบ่าวรับใช้ก็สุมหัว กระซิบกระซาบเป็นนกแตกรังทันที


 


 


พวกกัวเฟยเห็นพวกเขาออกมา น้อมเรียกพลัน “นายท่าน”


 


 


อี้เซวียนผงกศีรษะเล็กน้อง สั่งการพวกเขา “หลังจากเกิดเรื่องในวันนี้ เมืองหลวงจะไม่สงบสุขอีก พวกเจ้าจักต้องคอยติดตามแม่นางเมิ่งเหมือนเงาตามตัว หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง พวกเจ้าทั้งหมดจงตัดหัวมาพบข้าแทน”

 

 

 


ตอนที่ 13 อ๋องฉีเดือดดาล

 

พวกกัวเฟยน้อมรับคำ


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่เดินขึ้นหน้าไปรับกล่องและ**บมาจากอี้เซวียน


 


 


อี้เซวียนเบี่ยงตัวพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยน้ำเสียงห้ามปฏิเสธ “ให้ข้าไปส่งเจ้านะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจากน้ำเสียงเขา รู้ว่าต่อให้ปฏิเสธก็ไม่มีประโยชน์ จึงพยักหน้าพูดว่า “ไปเถอะ ตอนขามาข้าไม่ทันได้สนใจดูทิวทัศน์โดยรอบพอดี เจ้าจะได้พาข้าเดินชมเมืองหลวงไปด้วยกัน”


 


 


อี้เซวียนผงกศีรษะ ยื่นมือออกไปหมายจะจับมือนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลบเลี่ยง เดินขึ้นหน้าไป


 


 


อี้เซวียนลูบจมูกแก้เก้อ เดินขนาบข้างนาง


 


 


พวกกัวเฟยก้มหน้า ตามหลังไปด้วยใจจดจ่อ


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่เดินรั้งท้าย


 


 


คนทั้งหมดเดินอย่างไม่รีบไม่ร้อน ใช้เวลามากกว่าตอนขามาหนึ่งก้านธูปถึงมาถึงโรงเตี๊ยมอวิ๋นเค่อไหล


 


 


แขกในร้านที่ตามไปดูเรื่องสนุกเมื่อครู่ต่างกลับกันมาหมดแล้ว ใส่สีตีไข่เล่าเรื่องที่ตัวเองเห็นให้คนอื่นในโรงเตี๊ยมฟังอย่างออกรสออกชาติ


 


 


คนในโรงเตี๊ยมต่างใคร่รู้ว่า หญิงสาวนางนี้มีสถานะเช่นใด ถึงเป็นที่พึงใจของอี้เซวียนจวนอ๋องฉีได้ ในตอนนี้มีคนที่พอจะรู้เรื่องเล่าเรื่องที่ซื่อจื่อหายสาบสูญไปหลายปี กระทั่งสี่ปีก่อนถึงได้ตัวกลับมาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมิ่งเชี่ยนโยวเลย


 


 


มีคนที่พอจะมีสติปัญญาคาดเดาว่าหญิงสาวนางนี้อาจจะเป็นบุตรสาวของครอบครัวที่เลี้ยงดูซื่อจื่อมาตลอดหลายปี พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ก่อเกิดสายใยผูกพันธ์กันก็เป็นได้


 


 


มีคนไม่น้อยเห็นด้วยกับการคาดเดานี้ บางคนอิจฉา บางคนก็ริษยา ทั้งมีคนนึกเสียดายแทนเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “ได้ยินว่าพอซื่อจื่อจวนอ๋องฉีถือกำเนิดก็หมั้นหมายกับธิดาราชเลขาฝ่ายการทหารไว้แล้ว ต่อให้หญิงสาวนางนี้ดีเพียงใด อย่างไรก็เกิดในครอบครัวชาวบ้าน อย่างมากก็เป็นได้เพียงอนุภรรยา น่าเสียดายยิ่งนัก”


 


 


ผู้คนต่างแสดงความคิดเห็น พูดไปต่างๆ นานา


 


 


หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมได้ฟังตื่นตกใจไม่น้อย ที่แท้แม่นางท่านนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดา โชคดีที่ตัวเองปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพนอบน้อม มิได้มีสิ่งใดล่วงเกิน


 


 


พอมาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ๋อร์ต้อนรับเห็นพวกเขาในแวบแรก รีบเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม พูดว่า “หลงจู๊ขอรับ แม่นางท่านนั้นกลับมาแล้ว มีคุณชายสูงศักดิ์ท่านหนึ่งเดินขนาบข้างมาด้วย ไม่ทราบว่าจะใช้ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีหรือไม่”


 


 


ผู้คนที่กำลังนั่งวิพากษ์กันอยู่ในห้องโถงได้ฟังดังนั้น มีคนรีบวิ่งออกไปดู พอเห็นว่าเป็นอี้เซวียน ก็ร้องอุทานดังลั่น “ใช่ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีจริงๆ”


 


 


หลงจู๊ได้ยินเช่นนั้น ตกใจมือไม้อ่อน ฝืนยันร่างออกมาจากโต๊ะเก็บเงิน เดินมาถึงด้านนอกโรงเตี๊ยม


 


 


คนทั้งหมดเดินมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหลงจู๊เดินตัวสั่นงันงกออกมา ยิ้มพูดทักทายกับเขา “หลงจู๊ พวกเรากลับมาแล้ว”


 


 


หลงจู๊ลนลานประสานมือขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพินอบพิเทา “ผู้น้อยไม่ทราบสถานะของแม่นาง หากมีสิ่งใดบกพร่องไป ขอแม่นางโปรดให้อภัย”


 


 


พูดจบ ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ก็หันไปหาอี้เซวียน ถวายคำนับชุดใหญ่ “ซื่อจื่อมาที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ของพวกเรา ถือเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว”


 


 


อี้เซวียนยิ้มละไม ยื่นมือออกไปประคองหลงจู๊ พูดว่า “ข้ามาส่งโยวเอ๋อร์ หากเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้ท่าน ขอท่านอย่าได้ถือสา”


 


 


หลงจู๊ได้รับการปฏิบัติต่อด้วยมารยาท ตื้นตันใจ โบกมือที่สั่นเทิ้มนั้น “ไม่ยุ่งยาก ไม่ยุ่งยากเลย พวกเรายินดีอย่างที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ว่าแล้วก็แผ่มือออกมา พูดด้วยความอ่อนน้อม “ห้องของแม่นางอยู่ชั้นสอง เชิญซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อี้เซวียนหันมองเมิ่งเชี่ยนโยว ส่งสายตาให้นางเข้าไปก่อน ตนเองเดินตามหลัง ส่วนคนอื่นๆ ก็เดินตามติดเข้าไป


 


 


หลงจู๊เพียงพูดเชิญพวกเขา ตัวเองยืนรอหน้าประตู มองดูแผ่นหลังของคนทั้งสอง ทอดถอนใจขึ้นอีกครั้ง “แม่นางท่านนี้ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากซื่อจื่อ ดูท่าจะมีสถานะภายในใจซื่อจื่อที่ไม่ธรรมดาเลยเชียว”


 


 


พอเห็นอี้เซวียนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม ผู้คนที่วิพากษ์เซ็งแซ่ในห้องโถงต่างสงบปาก ทั้งห้องโถงเงียบกริบในพริบตา


 


 


อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่แยแส เดินนวยนาดขึ้นไปชั้นบน


 


 


กัวเฟยเปิดประตูห้องเมิ่งเชี่ยนโยวออก ทั้งสองเดินเข้าไป เหวินเปียวและเหวินหู่ก็เดินตามเข้าไป นำกล่องและ**บเหล็กวางไว้บนโต๊ะภายในห้อง แล้วโน้มคำนับถอยออกมา


 


 


กัวเฟยโน้มตัวปิดบานประตู ยืนเฝ้าหน้าห้องด้วยตัวเอง


 


 


คนในห้องโถงถึงถอนใจโล่งอก ส่งเสียงกระซิบกระซาบต่อ


 


 


ภายในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับอี้เซวียน “สถานะซื่อจื่อของเจ้าช่างมีประโยชน์นัก แม้แต่หลงจู๊ยังพินอบพิเทาต่อข้าไปด้วย”


 


 


อี้เซวียนคลี่ยิ้มน่าหลงใหล พูดยั่วเย้า “สถานะพระชายาซื่อจื่อก็มีประโยชน์ เจ้าอยากลองดูหรือไม่?”


 


 


ครั้นได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ของขึ้น ร้องเรียกชื่อเขาเต็มยศ “หวงฝู่อี้เซวียน ข้าขอบอกเจ้า หากภายในสามเดือนยังจัดการเรื่องการแต่งงานกับธิดาราชเลขาไม่ได้ ชาตินี้เจ้าอย่าหวังจะได้เห็นข้าอีก”


 


 


อี้เซวียนได้ฟังร้อนรนพลัน “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าครึ่งปีไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นสามเดือนเสียแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเล่นแง่ “เมื่อครู่ข้าอารมณ์ดี ไม่คิดหยุมหยิมกับเจ้า ตอนนี้ข้าหงุดหงิดแล้ว จึงเปลี่ยนให้เหลือแค่สามเดือน”


 


 


รู้จักกันมานาน อี้เซวียนไม่เคยเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเล่นแง่บิดพลิ้วมาก่อน ให้นิ่งอึ้งจังงัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้สึกว่าพูดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เห็นเขาตะลึงอึ้ง นึกว่าเขาลำบากใจ ยิ่งให้โมโหลมออกหู พูดว่า “ว่าอย่างไร? เวลาสามเดือนทำเจ้าลำบากใจ?”


 


 


อี้เซวียนตื่นจากภวังค์ รู้ว่านางเข้าใจผิดแล้ว ลุกลนพูดว่า “หาใช่ไม่ เมื่อก่อนเพราะข้ายังเยาว์ เจ้าก็มิได้อยู่ข้างกาย จึงทิ้งเรื่องเอาไว้เช่นนั้น ตอนนี้เจ้ามาแล้ว การแต่งงานนี้ย่อมไม่อาจปล่อยให้ยืดเยื้ออีกได้ เจ้าวางใจ ภายในสามเดือนข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ


 


 


อี้เซวียนรีบคลี่ยิ้มหวาน ประจบเอาใจนาง


 


 


“ตึงๆๆ” นอกห้องมีเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังเข้ามา ตามมาด้วยเสียงร้อนรนของหวงฝู่อี้ซักถามกัวเฟยดังลอดเข้ามา “ซื่อจื่ออยู่ด้านในหรือไม่?”


 


 


ได้ยินน้ำเสียงเขา อี้เซวียนขมวดคิ้วมุ่น ไม่รอกัวเฟยตอบก็เปล่งเสียงพูดว่า “อี้เอ๋อร์ มีอะไรเข้ามาพูดเถอะ”


 


 


กัวเฟยเปิดประตู หวงฝู่อี้เดินเหงื่อโทรมกายเข้ามา


 


 


กัวเฟยเพิ่งจะปิดประตู เขาก็พูดขึ้นทันควัน “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องกลับมาแล้ว ได้ยินเรื่องที่ท่านสั่งขังพระชายารองและคุณชายรอง ก็ให้เดือดดาล ให้ท่านรีบกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


คล้ายว่าอี้เซวียนจะคาดเดาทั้งหมดนี้ไว้แล้ว สีหน้าไม่ตื่นตระหนก ลุกขึ้นยืนอย่างจนใจ หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ ข้าต้องกลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็มิได้แสดงอาการใด ราวกับไม่ได้ยินเรื่องที่อ๋องฉีบันดาลโทสะ พูดเบี่ยงไปอีกเรื่อง “ช่วงนี้เจ้ายังไม่ต้องเข้ามา เลี่ยงไม่ให้พวกคนประสงค์ร้ายรู้เรื่อง จะสร้างความยุ่งยากให้โรงเตี๊ยมเปล่าๆ พรุ่งนี้ข้าจะให้เหวินเปียวและเหวินหู่ไปหาบ้าน เมื่อจัดการเรียบร้อยข้าจะให้กัวเฟยไปแจ้งเจ้า”


 


 


อี้เซวียนพยักหน้า มองนางอย่างอาวรณ์ หันหลังเดินมาถึงหน้าประตู สั่งการกัวเฟยอีกครั้ง “ระวังตัวให้มาก!”


 


 


กัวเฟยรับคำ อี้เซวียนก้าวเท้าไปชั้นล่าง


 


 


หวงฝู่อี้เร่งตามไปติดๆ


 


 


หลังเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม หวงฝู่อี้ถึงเร่งฝีเท้าเดินขนาบข้างเขา พูดกระซิบกระซาบ “ท่านอ๋องปล่อยพระชายารองและคุณชายรองออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ พอเห็นคุณชายรองถูกทำร้ายแทบไม่เหลือเค้าเดิม ก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ สั่งให้คนไปจับตัวแม่นางเมิ่งทันที โชคดีที่พระชายาเอกห้ามเขาไว้ บอกว่าแม่นางเมิ่งและคุณชายรองไม่รู้จักกัน ไม่มีทางทำร้ายคุณชายรองโดยไร้สาเหตุ ให้รอท่านกลับไปถามความให้แน่ชัดก่อนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วลดความเร็วลง ถามหวงฝู่อี้ขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “อี้เอ๋อร์ เจ้าวิ่งตรงมาตั้งไกล เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่?”


 


 


หวงฝู่อี้มึนงงเล็กน้อย เช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วตอบอย่างระวัง “ไม่เหนื่อยพ่ะย่ะค่ะ ไกลกว่านี้ข้าก็วิ่งมาแล้ว”


 


 


น้ำเสียงอ่อนโยนของหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มแข็งกร้าว “ข้าบอกว่าเจ้าเหนื่อยเจ้าก็ต้องเหนื่อย พวกเราเดินช้าหน่อย เจ้าจะได้พักไปด้วย”


 


 


หวงฝู่อี้เข้าใจความหมายของเขาทันที หยั่งเชิงพูดขึ้น “ซื่อจื่อ เช่นนี้จะไม่ค่อยดีนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องโมโหมาก หากท่านกลับไปช้าเกรงจะถูกลงโทษได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเบ้ปากอย่างไม่แยแส “สี่ปีแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะกระทำสิ่งใด ขอเพียงไม่แตะถูกขีดความอดทนของข้า ข้าไม่เคยถือสาพวกเขา ท่านพ่อลำเอียงเข้าข้างพวกเขาสองแม่ลูก ท่านแม่ไม่เคยปริปาก ข้าจึงยอมทน แต่วันนี้พวกเขาแตะโดนขีดความอดทนของข้า ข้าจักไม่ทนต่อไปแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้ตกตะลึง พูดเกลี้ยกล่อม “ซื่อจื่อ ตอนนี้ท่านหัวเดียวกระเทียมลีบ จะใช้ไม้แข็งปะทะกับท่านอ๋องไม่ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแสยะยิ้มวิปลาศ


 


 


หวงฝู่อี้ไม่เคยเห็นเขายิ้มเช่นนี้มาก่อน หัวใจสั่นวูบ รีบปิดปากเงียบ ก้มหน้าเดินไล่หลังเขา


 


 


ทั้งสองเดินเรื่อยเฉื่อยกลับมา เพิ่งจะถึงหน้าประตูจวน พ่อบ้านก็กระวีกระวาดวิ่งออกมา พอเห็นหวงฝู่อี้เซวียนก็ลนลานพูด “ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้ว หากท่านยังไม่กลับมา ท่านอ๋องได้จับคนทั้งจวนไปขายทิ้งแน่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกเท้าก้าวเข้ามาในจวน เดินไปถามไปว่า “พวกเจ้าทำเรื่องอันใด ท่านพ่อถึงระเบิดอารมณ์เช่นนี้”


 


 


พ่อบ้านเห็นเขาเดินเอ้อระเหย ยิ่งให้กระสับกระส่าย แต่ก็ไม่กล้าเร่งเร้า ทำได้เพียงเช็ดเหงื่อไปพลางตอบความ “พวกผู้น้อยไฉนเลยจะกล้ากระทำผิด ท่านอ๋องบอกว่าตอนที่ท่านสั่งให้ขังพระชายารองและคุณชายรองเอาไว้ พวกผู้น้อยมิได้ขวางรั้ง ไม่มีใจภักดีปกป้องนาย จึงจะจับพวกเราไปขายทิ้งพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยุดชะงักเล็กน้อยอย่างไม่ทันสังเกตเห็น แล้วเดินต่อไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


 


 


ยังไม่ถึงเรือนหลัก เสียงเกรี้ยวกราดของอ๋องฉีก็ดังลอยมา “พวกไพร่สวะ ให้พวกเจ้าไปตามซื่อจื่อ เวลาล่วงมานานเช่นนี้ยังตามกลับมาไม่ได้ จะมีพวกเจ้าไปทำไมอีก”


 


 


สาวใช้และบ่าวในเรือนตกใจไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในเรือน แสร้งตีมึนพูดว่า “ท่านพ่อบันดาลโทสะเช่นนี้ด้วยเรื่องอันใด ลูกอยู่นอกประตูเรือนก็ได้ยินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พูดจบ ก็ปรายตามองพระชายารองและหวงฝู่อวี้ที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้


 


 


อ๋องฉีแค่นเสียงหึ พูดอย่างกราดเกรี้ยว “เจ้าทำอะไรไว้เจ้าไม่รู้เรอะ อวี้เอ๋อร์ถูกทำร้ายจนไม่เหลือเค้าเดิม เจ้าไม่เพียงไม่แก้แค้นให้เขา ยังเอาตัวเขาไปขังในห้องเก็บฟืน เจ้ามีจุดประสงค์ใด?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านพ่อกำลังเสียใจที่ตอนนั้นไม่ควรตามหาลูกกลับมาใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


สี่ปีที่ผ่าน หวงฝู่อี้เซวียนไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับใครมาก่อน อ๋องฉีให้ตะลึงงัน


 


 


พระชายาเอกก็ตะลึงค้าง


 


 


พระชายารองและหวงฝู่อวี้ต่างนั่งนิ่งอึ้งบนเก้าอี้ เบิกตาโพลงมองเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจ้องตาอ๋องฉี รอฟังคำตอบจากเขา


 


 


อ๋องฉีได้สติกลับมา ประเมินมองโอรสองค์โตที่ว่านอนสอนง่ายมีมารยาทในสายตาคนอื่นมาตลอด ให้รู้สึกว่าวันนี้เขามีบางสิ่งผิดแปลกไป สีหน้าไม่อ่อนโยน รอบกายฉาบแฝงรังสีสะพรึง


 


 


อ๋องฉีกะพริบตาปริบ เอ่ยคำตำหนิ “พูดเหลวไหลอันใดของเจ้า พ่อดีใจมาตลอดที่ตามหาเจ้าพบในตอนนั้น”


 


 


“เช่นนั้นท่านพ่อเสียใจที่ลูกได้รับสืบทอดเป็นซื่อจื่อหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงเย็นเยียบ


 


 


อ๋องฉีหัวใจกระตุกวูบอย่างประหลาด น้ำเสียงโอนอ่อนลงไม่น้อย “เจ้าเป็นโอรสองค์โตของข้า ตำแหน่งซื่อจื่อนี้เป็นของเจ้ามาตั้งแต่แรก ข้ามีอะไรต้องเสียใจ?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคาดคั้นไม่หยุด “เมื่อเป็นเช่นนี้ น้องอวี้กระทำผิด ลูกขังเขาในห้องเก็บฟืน มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง? เหตุใดท่านพ่อต้องถามว่าลูกมีจุดประสงค์ใด?”


 


 


อ๋องฉีถูกถามจนพูดไม่ออก


 


 


พระชายาเอกรีบเข้ามาแก้สถานการณ์ “เซวียนเอ๋อร์ นั่นเป็นคำที่ท่านพ่อกล่าวตอนโมโห มิได้…”


 


 


“ท่านแม่” หวงฝู่อี้เซวียนตัดบทนาง “ท่านพ่อยังไม่ทันไต่ถามเรื่องราว มาถึงก็ติเตียนว่าลูกมีจุดประสงค์ใด เพียงพลั้งปากพูดด้วยความโมโหเช่นนั้นหรือ?”


 


 


พระชายาเอกก็ถูกถามจนอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก


 


 


น้ำเสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ “ข้าในฐานะซื่อจื่อแห่งอ๋องฉี ย่อมต้องคิดคำนึงถึงชื่อเสียงของจวนอ๋องเป็นใหญ่ น้องอวี้กระทำความผิดร้ายแรง ข้าเพียงนำเขาไปขังในห้องเก็บฟืน มิได้ส่งเขาไปรับโทษในคุก นั่นเพราะเขาเป็นน้องชายข้า ข้าเห็นแก่ตัว หรือที่ข้าทำเช่นนี้มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง?”


 


 


อ๋องฉีถึงกับตอบไม่ถูก


 


 


พระชายารองเห็นอ๋องฉีไม่พูด กลัวว่าเขาจะหวั่นไหวไปกับคำพูดของอี้เซวียน จับตัวหวงฝู่อวี้ไปขังในห้องเก็บฟืนอีก ทำให้นางนั่งไม่ติด พูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ อวี้เอ๋อร์เป็นน้องชายแท้ๆ ของท่าน ต่อให้เขาไม่ทันยั้งคิดกระทำเรื่องผิด ท่านตักเตือนเขาก็พอแล้ว ให้นำตัวเขาไปขังในห้องเก็บฟืนได้อย่างไร เขาเติบโตมาอย่างสุขสบาย จะทนความลำบากเช่นนั้นได้อย่างไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่แยแสนาง แต่เอ่ยปากพูดกับอ๋องฉีว่า “ท่านพ่อ สมควรแก้ไขกฎระเบียบในจวนแล้วหรือไม่ เป็นเพียงพระชายารองกลับกล้ามายืนชี้นิ้วสั่งข้า ตำแหน่งจะมีไปเพื่ออะไร?”


 


 


หลายปีมานี้พระชายารองมีสิทธิ์ขาดในการดูแลกิจการภายใน คิดว่าตัวเองเป็นนายโดยสมบูรณ์ของจวนแห่งนี้นานแล้ว แม้ภายหลังพระชายาเอกจะมีสุขภาพดีขึ้น ก็หาได้ยุ่งย่ามเอาความกับนาง ทำให้นางยิ่งได้ใจ ทว่าที่ผ่านมานางปิดบังเอาไว้ได้ดี เบื้องหน้าทำตามระเบียบอย่างเคร่งครัด จึงไม่มีใครหาจุดบกพร่องของนางได้ วันนี้ด้วยความหุนหันพลันแล่นกล่าวประนามอี้เซวียน ไม่คิดว่าอี้เซวียนกลับนำข้อผิดพลาดนี้เค้นถามอ๋องฉี


 


 


พระชายารองตะลึงค้าง


 


 


อ๋องฉีก็ให้ตะลึงงันอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง จ้องตาอ๋องฉีกล่าวว่า “ตอนข้าเติบโตในชนบท พี่น้องรักใคร่ปรองดอง ถ้อยทีถ้อยอาศัย ดังนั้นหลังจากข้ากลับมา ก็เห็นอวี้เอ๋อร์เป็นน้องชายแท้ๆ มาตลอด รักใคร่เขาตามใจเขาเหมือนพวกท่านทุกอย่าง เพราะไม่อยากให้เกิดการแก่งแย่ง ห้ำหั่นกันเองระหว่างพี่น้องในภายหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปฏิบัติตัวไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ได้ ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือว่าเขามีอายุเท่าลูก เขาสมควรที่จะต้องรู้ว่าเขาต้องเคารพกฎเช่นไรแล้วหรือไม่?”


 


 


อ๋องฉีอ้าปากค้าง ตะลึงค้างมองโอรสตรงหน้าที่คล้ายว่าจะโตขึ้นในชั่วพริบตา กลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบก็ยืนนิ่ง รอคำกล่าวจากอ๋องฉี


 


 


พระชายารองมองอ๋องฉีด้วยใบหน้าร้อนรน ขยิบตาถี่ๆ ให้เขา เสียแต่ว่าอ๋องฉีกำลังอยู่ในอาการตกตะลึง จึงไม่เห็นการบอกใบ้ของนาง


 


 


เงียบ


 


 


เงียบสงัด


 


 


เงียบสงัดราวกับอากาศค้างแข็ง


 


 


เงียบจนภายในห้องไม่ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจ


 


 


จวบจนตอนที่อ๋องฉีเปล่งน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นออกมา สาวใช้และบ่าวต่างได้ยินอย่างแจ่มชัดถึงน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของเขา


 


 


อ๋องฉีพูดว่า “เซวียนเอ๋อร์ หลังจากเจ้าหายไป ในบ้านมีอวี้เอ๋อร์เป็นเด็กเพียงคนเดียว เลี่ยงไม่ได้ที่พ่อจะตามใจเขาไปบ้าง แต่สิ่งของที่เป็นของเจ้าพ่อไม่เคยคิดจะให้แก่เขา แม้ในช่วงหลายปีนั้นจะยังหาเจ้าไม่พบ แม้เสด็จลุงเจ้าจะให้พ่อแต่งตั้งอวี้เอ๋อร์เป็นซื่อจื่อ พ่อก็ไม่เคยยินยอม เจ้าไม่รู้หรอกว่า สี่ปีก่อนหลังจากได้รับแจ้งข่าวเกี่ยวกับเจ้า พ่อดีใจเพียงใด แม้จะมิได้ปิติยินดีน้ำตาอาบแก้มเช่นท่านแม่เจ้า แต่น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า หลังจากเจ้ากลับมา พ่อเข้มงวดกับเจ้ามาก นั่นเพราะเจ้าเป็นซื่อจื่อแห่งอ๋องฉี เป็นเสาหลักของจวนอ๋องนี้ สำหรับอวี้เอ๋อร์ไม่เหมือนกัน เขาเพียงได้ใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชีวิตก็พอแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ลดราวาศอก คาดคั้นด้วยเสียงเย็นชา “เช่นนั้นเมื่อครู่ท่านพ่อถามลูกว่ามีจุดประสงค์ใด หมายความว่าอย่างไรกัน?” 

 

 


ตอนที่ 14 ข่าวลือโหมสะพัด

 

อ๋องฉีตอบอย่างกระท่อนกระแท่น “นั่นด้วยอารามโมโห ทำให้พ่อพลั้งปากพูดออกไป หาได้มีนัยแฝงอื่นไม่” 


 


 


สีหน้าและน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนยังคงเยียบเย็นดุดัน “ท่านพ่อทราบหรือไม่ว่า เหตุใดลูกต้องลงโทษน้องอวี้?” 


 


 


อ๋องฉีส่ายหน้าตามตรง “พอพ่อกลับมาได้ยินว่าเจ้าขังอวี้เอ๋อร์ไว้ในห้องเก็บฟืน ก็เดือดดาลให้คนไปตามหาเจ้า มิได้ถามความว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” 


 


 


“เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้อวี้เอ๋อร์พูดต่อหน้าทุกคนเองเถอะ เดี๋ยวลูกจะพูดคลาดเคลื่อนไป” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว 


 


 


พระชายารองเห็นอ๋องฉีจะพยักหน้าก็ทนต่อไม่ไหว บิดผ้าเช็ดหน้าในมือร้องกระซิกๆ “ท่านอ๋อง” 


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้วมุ่น สั่งการสาวใช้ “ประคองพระชายารองกลับไปที่เรือนตัวเอง หากข้าไม่อนุญาตห้ามออกจากเรือนแม้แต่ครึ่งก้าว” 


 


 


พระชายารองเป็นที่โปรดปรานมานาน ไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน โพล่งปากร้องตะโกนลั่นอย่างไม่เชื่อ “ท่านอ๋อง!” 


 


 


อ๋องฉีโบกมือ 


 


 


สาวใช้กำลังจะก้าวเข้ามา 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนห้ามพวกนางไว้ หันไปพูดกับอ๋องฉี “ท่านพ่อ เพื่อให้มีความเป็นธรรม ให้พระชายารองอยู่รับฟังความเป็นมาเป็นไปด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


สาวใช้หยุดฝีเท้า 


 


 


อ๋องฉีมองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง แล้วส่งสายตาให้พระชายารองนั่งลง 


 


 


พระชายารองหย่อนก้นยังไม่ทันถึงเก้าอี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็เปล่งเสียงดังขึ้น “นับแต่บัดนี้ไป โปรดเคารพกฎของจวนอ๋องด้วยเถอะ” 


 


 


พระชายารองค้างเติ่งอยู่ในท่านั้น มองเขาแล้วมองอ๋องฉีอย่างไม่เชื่อสายตา 


 


 


อ๋องฉีเห็นนางเอาแต่อยู่ในอิริยาบถไม่น่ามอง ขมวดคิ้วว่ากล่าว “อยู่ต่อหน้าซื่อจื่อ ทำท่าทางอะไรของเจ้า ยังไม่รีบไปยืนอีกด้าน” 


 


 


หลายปีมานี้พระชายารองและพระชายาเอกปฏิบัติตนเท่าเทียมมาจนชินแล้ว ลืมกฎที่ตนเองต้องรับใช้อยู่อีกด้าน เคืองแค้นจนเกือบขบฟันเงินหลุด 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชำเลืองหางตาเห็นกิริยาของนาง เจตนาถามขึ้น “พระชายารองมีความเห็นต่างต่อคำกล่าวของท่านพ่อ?” 


 


 


พระชายารองได้ยินวาจาจงใจยุยงให้แตกแยกของเขา ก่นด่าเขาภายในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง 


 


 


อ๋องฉีได้ยินคำพูดเขาเบือนหน้ามองไปทางพระชายารอง 


 


 


พระชายารองรีบยกยิ้มหวาน พูดด้วยใบหน้ายิ้มใจไม่ยิ้มว่า “ซื่อจื่อเอาอะไรมาพูดเพคะ กฎของจวนอ๋องยิ่งใหญ่คับฟ้า ต่อให้ข้ามีความกล้าเป็นร้อยก็ไม่กล้าขัดต่อกฎระเบียบนี้” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นก็ดี” 


 


 


พระชายารองถอยไปยืนอีกด้าน บิดดึงผ้าเช็ดหน้าจนเกือบขาด 


 


 


อ๋องฉีมองดูโอรสองค์โตที่นับวันก็ยิ่งคล้ายตนเอง แล้วหันมองโอรสองค์เล็กที่ยังอยู่ในภวังค์ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงมีความรู้สึกเอือมระอาต่อหวงฝู่อวี้ ตำหนิเขาเสียงเขียว “ไม่รู้จักกฎรู้จักระเบียบ ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก!” 


 


 


หวงฝู่อวี้ผู้น่าสงสารไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิด ลนลานลุกขึ้นยืน ตัวสั่นสะทกมองอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนที่แตกต่างไปจากในอดีต 


 


 


อ๋องฉีเอ็ดเขา “ยังไม่สารภาพสิ่งที่เจ้าก่อไว้ออกมาอีก?” 


 


 


หวงฝู่อวี้ได้สติกลับมา แอ่นอกพูดอย่างมั่นใจ “หลายวันก่อน ท่านพ่อหารือกับพี่ใหญ่เรื่องการแต่งงานของเขากับเยียนเอ๋อร์มิใช่หรือ? พี่ใหญ่ไม่ยินยอม ท่านพ่อบันดาลโทสะ ข้าได้ยินทั้งหมด จึงสืบถามที่อยู่ของนังตัวดีคนนั้นจากบ่าวติดตามในอดีต นำองครักษ์ลับในเรือนเดินทางไป เดิมลูกมิได้คิดจะฆ่านาง เพียงคิดจะทำลายการค้าของนาง แล้วเจรจาต่อรองกับนาง ไม่คิดว่านังตัวดีนั่นจะจับไต๋ได้ ด้วยความจำใจลูกจึงส่งคนบุกเข้าบ้านนางยามวิกาล หมายจะฆ่านางให้ตาย ให้พี่ใหญ่ตัดขาดจากความคะนึงหานี้ แต่งกับเยียนเอ๋อร์ด้วยความยินยอมพร้อมใจ ใครจะไปรู้ว่านังตัวดีเจ้าเล่ห์เพทุบายนั่นจะจับลูกเป็นตัวประกัน ข่มขู่พวกเขากลับ” 


 


 


พูดถึงตรงนี้ ยังปรับน้ำเสียงพูดขอความเป็นธรรมกับคนทั้งสอง “ท่านพ่อ ท่านพี่ นังตัวดีนั่นเ**้ยมโหดนัก หากข้าไม่เชื่อฟังนาง ก็จะถูกนางสั่งสอนจนสะบักสะบอม ท่านดูเอาเถิด…” 


 


 


ยังพูดไม่ทันจบ อ๋องฉีก็โมโหควันออกหู ไม่แปลกที่วันนี้เซวียนเอ๋อร์เย็นชาต่อเขากว่าปกติ ที่แท้เป็นเพราะเจ้าลูกไม่ได้ความ มือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำคนนี้เกือบจะก่อภัยพิบัติครั้งร้ายแรง 


 


 


หวงฝู่อวี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองจุดไฟโทสะของอ๋องฉีให้ปะทุแล้ว ยังคงพูดว่าร้ายเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นต่อยหอย 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วมุ่น คิดจะดุว่าเขา ครั้นเห็นสีหน้าอ๋องฉี กลืนคำพูดที่ปลายลิ้นกลับลงไป 


 


 


อ๋องฉีที่ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งโมโห กระทั่งได้ยินว่าองครักษ์ลับหลายสิบนายถูกผู้ว่าการตำบลนำตัวไปขังคุก ก็ควบคุมไฟโทสะไม่อยู่อีกต่อไป ยกเท้าถีบเข้าไปเต็มรัก  


 


 


หวงฝู่อวี้ผู้น่าสงสารถูกถีบล้มกลิ้งไม่เป็นท่าสองตลบ นอนแบหลามึนงง 


 


 


พระชายารองที่กำลังจมดิ่งอยู่ในความคิดเคียดแค้นชิงชัง มิได้ตั้งใจฟังเลยว่าหวงฝู่อวี้พูดอะไรบ้าง เห็นอ๋องฉีถีบหวงฝู่อวี้ล้มกลิ้ง ตกใจกรีดร้อง วิ่งเข้าไปหมายจะพยุงเขาขึ้น 


 


 


สาวใช้และบ่าวที่ยืนรับใช้อีกด้านก็คิดจะวิ่งเข้าไปช่วย อ๋องฉีตวาดเสียงลั่น “ใครก็ห้ามเข้าไป!” 


 


 


สาวใช้และบ่าวหันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก ถอยกลับมายืนที่เดิม ก้มหน้าไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง 


 


 


พระชายารองประคองหวงฝู่อวี้ที่ยังอยู่ในภวังค์ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล หันไปหวีดร้องตำหนิว่าอ๋องฉี “ท่านอ๋อง ท่านทำเช่นนี้กับอวี้เอ๋อร์ได้อย่างไร เขาเป็นบุตรที่ท่านโปรดปรานตามใจมาจนโตนะเพคะ” 


 


 


อ๋องฉีโมโหจนมือสั่น “เพราะว่าตามใจเขามากเกินไป ทำให้เขามีนิสัยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่ถามสาเหตุแน่ชัด ก็กล้าไปฆ่าคนส่งเดช” 


 


 


พระชายารองแย้งกลับ “ก็แค่สาวชนบทไร้ราคาคนหนึ่ง อีกอย่างอวี้เอ๋อร์ก็ฆ่านางไม่สำเร็จ กลับถูกนางทำร้ายจนบอบช้ำไปทั้งร่าง” 


 


 


อ๋องฉียิ่งให้เดือดดาล “โชคดีที่ฆ่านางไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าเตรียมรอประชาชีมาแช่งชักหักกระดูกข้าเถอะ” 


 


 


พระชายารองเห็นเขาโมโหกระฟัดกระเฟียด ไม่กล้าโต้เถียงอีก ถามหวงฝู่อวี้เสียงแผ่ว “อวี้เอ๋อร์ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก?” 


 


 


หวงฝู่อวี้ยังอยู่ในภวังค์ หันไปถามพระชายารองด้วยความตื่นตระหนก “ท่านแม่ เหตุใดท่านพ่อต้องถีบลูก…” 


 


 


“หุบปาก!” อ๋องฉีตวาดเขา “เจ้าเด็กไม่รู้จักอาวุโส ไม่มีคนสอนกฎระเบียบเจ้าเรอะ? เจ้าควรเรียกใครว่าท่านแม่?” 


 


 


หวงฝู่อวี้ถูกเขาเตะจนกลัวตัวสั่น ได้ยินเสียงของเขา ตกใจร่างสั่นสะท้าน ซุกเข้าไปในอ้อมกอดพระชายารอง 


 


 


อ๋องฉีเห็นสภาพของเขายิ่งให้โกรธเกรี้ยว ออกคำสั่งเดียวกับหวงฝู่อี้เซวียน “ใครอยู่ข้างนอก เข้ามานำตัวคุณชายรองไปขังในห้องเก็บฟืน ห้ามกินห้ามดื่มสามวัน” 


 


 


“ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป ห้องเก็บฟืนสกปรกเกินไป หาใช้ที่ให้คนอยู่อาศัยได้” หวงฝู่อวี้เขยิบซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกพระชายารอง ปากร้องโวยวาย 


 


 


พระชายารองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เปล่งเสียงหวีดร้อง “ท่านอ๋อง วันนี้อวี้เอ๋อร์ถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืนมาตลอดช่วงบ่ายแล้ว ต่อให้กระทำผิดร้ายแรงก็ได้ชดใช้แล้ว เขาเองก็บาดเจ็บ เหตุใดท่านถึงยังทำใจสั่งขังเขาในห้องเก็บฟืนได้อีกเพคะ?” 


 


 


“พ่อแม่รังแกฉัน เจ้านั้นตามใจลูกมากเกินไป ทำให้เขามีนิสัยลำพองไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดิน” อ๋องฉีกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด 


 


 


พระชายารองสวนกลับเสียงลั่น “ท่านอ๋อง จะเป็นหม่อมฉันตามใจได้อย่างไร ที่ผ่านมาท่านเองก็ตามใจเขาทุกอย่าง บัดนี้เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ท่านกลับโยนมาที่หม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียวหรือเพคะ?” 


 


 


ตลอดหลายปีที่ผ่านมายามเมื่ออยู่ต่อหน้าอ๋องฉี พระชายารองมีแต่ความอ่อนโยนนุ่มนวล ว่าง่ายเอาอกเอาใจ กิริยาวาจาอ่อนหวาน ละมุนละไม ไม่เหมือนพระชายาเอก สมกับที่เป็นธิดาแห่งสกุลทหาร แม้ร่างกายจะทรุดโทรมอ่อนแอ แต่หาเปลี่ยนวิสัยองอาจห้าวหาญได้ กระทำตัวฉอเลาะเหนียมอายไม่เป็น บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต อ๋องฉีละอายใจต่อพระชายารอง ทำให้โอนอ่อนตามใจนางมากกว่าปกติ ไม่คิดว่าวันนี้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย พระชายารองจะกล้าโต้เถียงกับเขา อ๋องฉีด้วยอารามโกรธ สั่งสาวใช้ของพระชายารอง “นำตัวนางกลับไปยังเรือนตัวเอง จับตาดูให้ดี ไม่มีคำสั่งของข้าห้ามออกจากเรือนแม้เพียงก้าวเดียว” 


 


 


นี่ถือเป็นการกักบริเวณนาง พระชายารองไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน ถามด้วยความขุ่นข้อง “ท่านอ๋อง หม่อมฉันทำอะไรผิด ท่านถึงสั่งกักบริเวณหม่อมฉัน?” 


 


 


อ๋องฉีกล่าวเป็นข้อๆ “ไร้กฎระเบียบ ไม่รับใช้พระชายาเอก โต้เถียงข้า เหตุผลเท่านี้เพียงพอหรือไม่?” 


 


 


พระชายารองโมโหกระฟัดกระเฟียด กำลังจะแย้งกลับอีกครั้ง 


 


 


แม่นมที่เลี้ยงดูนางมารีบเดินจ้ำเข้ามา ขยิบตาส่งสัญญาณพลางพูดว่า “เหนียงเหนียง ท่านอย่าได้โต้เถียงท่านอ๋องอีกเลย รีบกลับเรือนไปกับผู้น้อยเถอะเพคะ” 


 


 


คำพูดนี้หากเป็นในอดีตคงไม่มีปัญหา พูดแล้วก็แล้วกัน แต่วันนี้อ๋องฉีกำลังโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ยังระบายออกไม่ได้ ครั้นได้ยินคำเรียกของแม่นม ก็เจอข้ออ้างระบายโมหะทันที สั่งการบ่าวอีกคน “ลากตัวทาสผู้ไม่รู้จักอาวุโสออกไปโบยยี่สิบไม้” 


 


 


แม่นมเรียกขานพระชายารองเช่นนี้มาโดยตลอด วันนี้ก็ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม กระทั่งอ๋องฉีลั่นวาจาสั่ง ถึงเข้าใจว่าตัวเองเรียกผิด ตกใจคุกเข่าดัง “พลั่ก” โขกศีรษะเต็มแรง วิงวอนร้องขอ “ท่านอ๋องให้อภัยด้วย บ่าวสำนึกผิดแล้ว ต่อไปไม่กล้าอีกแล้วเพคะ” 


 


 


พระชายารองได้รับสัญญาณที่แม่นมส่งให้ รู้สึกตัวแล้วว่าวันนี้ตนเองเกรี้ยวกราดเกินพอดี การปะทะกับอ๋องฉีเช่นนี้ไม่มีจุดจบที่ดี กำลังจะพูดปลอบหวงฝู่อวี้ แล้วตามสาวใช้กลับเรือนตนเอง อ๋องฉีกลับสั่งลงโทษออกมา กว่านางจะได้สติกลับมา แม่นมก็โขกศีรษะไปหลายครั้ง จนหน้าผากแตกมีเลือดซึมไหลออกมา 


 


 


พระชายารองลุกลนประคองหวงฝู่อวี้ลุกขึ้นอย่างเบามือ จากนั้นก็คุกเข่าขอร้องอ๋องฉี “ท่านอ๋อง แม่นมอายุมากแล้ว ขอท่านเห็นแก่ที่นางทุ่มเทรับใช้หม่อมฉันอย่างเต็มที่มาหลายปี อภัยให้นางสักครั้งเถอะเพคะ หม่อมฉันรับประกัน เมื่อกลับไปจะสั่งสอนนางให้ขึ้นใจ ไม่ให้กระทำผิดอีกแล้วเพคะ” 


 


 


แม่นมตกใจอกสั่นขวัญแขวน เอาแต่โขกศีรษะไม่หยุด 


 


 


อ๋องฉีไม่เก็บคืนคำสั่ง โบกมือให้บ่าวลากแม่นมออกไป 


 


 


บ่าวไม่กล้าลังเล เข้ามาลากตัวแม่นมที่ศีรษะชุ่มเลือดออกไป 


 


 


“แม่นม” พระชายารองร้องลั่น แล้วโขกศีรษะสุดแรงให้อ๋องฉี ร้องคร่ำครวญ “ท่านอ๋อง ขอร้องท่านให้อภัยแม่นมด้วยเถิด ถูกโบยยี่สิบไม้นี้ จักถึงแก่ชีวิตนางได้นะเพคะ” 


 


 


ที่ผ่านมาแม่นมปฏิบัติต่อหวงฝู่อวี้ราวกับลูกในไส้ ดังนั้นหวงฝู่อวี้จึงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อนาง เห็นแม่นมถูกลากออกไป ก็ฟุบตัวลงขอร้อง “ท่านพ่อ ท่านโปรดให้อภัยแม่นมสักครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


อ๋องฉีชักสีหน้าไม่เอ่ยปาก น้ำเสียงอ่อนละมุนของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “ท่านพ่อ เมื่อน้องรองขอร้องแทนนางแล้ว ท่านก็โปรดลดโทษโบยลงเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


อ๋องฉีมองพระชายารองที่คุกเข่าตรงหน้าแวบหนึ่ง แค่นเสียงหึ สั่งบ่าวที่ยังไม่ลงมือ “เมื่อซื่อจื่อเอ่ยปากขอร้องแทน ให้โบยสิบไม้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง” 


 


 


สิบไม้ก็เพียงพอจะเอาชีวิตของแม่นมแล้ว แต่พระชายารองไม่กล้ารบเร้าอีก ตอนนี้อ๋องฉีกำลังโมโห หากนางช่วยแม่นมขอร้องอีก จะไม่มีผลดีอะไรเลย 


 


 


บ่าวได้รับคำสั่งอีกครั้งจากอ๋องฉี กดร่างแม่นางกับพื้น ใช้กำลังที่มีทั้งหมดหวดไม้ไปบนร่างนาง 


 


 


เพียงไม้แรก แม่นมก็ร้องโหยหวนดังลั่น เสียงนั้นทำเอาบ่าวคนอื่นๆ สะดุ้งตกใจตัวสั่น 


 


 


หัวใจของพระชายารองดั่งถูกมีดกรีด น้ำตาไหลอาบเบี่ยงหน้าไปอีกด้าน 


 


 


หลังจากโบยได้สี่ห้าไม้ แม่นมก็ร้องแผ่วลง พอโบยครบสิบไม้ แม่นมที่ก้นลายพร้อย นอนฟุบไม่ไหวติงอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร 


 


 


พระชายารองตะเกียกตะกายลุกขึ้น วิ่งไปหาแม่นม ยื่นมือสั่นระริกเข้าไปอังดู รู้สึกได้ถึงลมหายใจรวยริน รีบสั่งการสาวใช้ “เร็ว รีบหามแม่นมกลับไป” 


 


 


สาวใช้ต่างตกใจกลัว ไม่มีคำสั่งอ๋องฉี ใครก็ไม่กล้าขยับ 


 


 


พระชายารองวิงวอนร้องขออีกครั้ง “ท่านอ๋อง ท่านช่วยให้คนหามแม่นมกลับไปที่เรือนหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ” 


 


 


อ๋องฉีสั่งการทุกคนในห้องเสียงกร้าว “ต่อไปหากใครกล้าไม่เคารพอาวุโส จะมีจุดจบที่น่าสังเวชกว่านาง จำได้แล้วหรือไม่?” 


 


 


เสียงสั่นเครือของสาวใช้และบ่าวดังขึ้นพร้อมกัน “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” 


 


 


อ๋องฉีเห็นพวกเขาขลาดกลัวบรรลุเป้าประสงค์ พยักหน้าพึงพอใจ แล้วโบกสะบัดมือ 


 


 


สาวใช้ทยอยกันออกมา ช่วยกันยกแม่นมขึ้น สาวใช้อีกสองนางเข้าไปประคองพระชายารองกลับเรือนไปพร้อมกัน 


 


 


ภายในห้องเงียบสงบลง 


 


 


หวงฝู่อวี้มองอ๋องฉีที่ยังเคืองโกรธ เงยหน้าร้องเรียกหวงฝู่อี้เซวียนเสียงกระท่อนกระแท่น “ท่านพี่” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงละมุน “ไปเถอะ เจ้าเป็นผู้ชาย ทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ยอมไป 


 


 


อ๋องฉีได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยวาจาเรียบเรื่อย ยิ่งให้รู้สึกว่าสภาพหวงฝู่อวี้ในตอนนี้ยิ่งน่าเอือมระอา ตวาดสั่งบ่าวเสียงเข้ม “ยังไม่รีบพาตัวคุณชายรองไปห้องเก็บฟืนอีก” 


 


 


บ่าวลนลานรับคำ เดินมาตรงหน้าหวงฝู่อวี้ กล่าวอย่างอ่อนน้อม “คุณชายรอง เชิญขอรับ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่กล้าต่อต้าน เดินตามบ่าวออกไปแต่โดยดี 


 


 


ภายในห้องเหลือเพียงอ๋องฉี พระชายาเอกและหวงฝู่อี้เซวียนสามคน บรรยากาศให้กระอักกระอ่วน 


 


 


อ๋องฉีกระแอมหนึ่งครั้ง พูดว่า “เซวียนเอ๋อร์ เรื่องในวันนี้…” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดตัดบทเขา “ท่านพ่อ วันนี้ท่านทำได้ดีมาก ต่อไปลูกจะเรียนรู้จากท่านพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


วาจาชมเชยที่แฝงด้วยการจิกกัดนี้ทำเอาใบหน้าชราของอ๋องฉีแดงเรื่อ หัวเราะแห้งๆ แก้เก้อออกมา 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนทำความเคารพคนทั้งสอง พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกขอตัวลา” 


 


 


ทั้งสองพยักหน้า 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหมุนตัวเดินออกไป 


 


 


อ๋องฉีมองเขาเดินออกไปอย่างรักใคร่ คิดจะพูดกับพระชายาเอกเล็กน้อย 


 


 


พระชายาเอกกลับลุกขึ้น ถวายคำนับเขา กล่าวอย่างเหินห่างเฉยชา “หากท่านอ๋องไม่มีอะไรแล้ว หม่อมฉันขอตัวลานะเพคะ” 


 


 


ว่าแล้ว ไม่รอให้อ๋องฉีตอบรับ ก็ให้สาวใช้ประคองเดินออกไป 


 


 


คำที่กำลังจะเปล่งออกมาของอ๋องฉีสะอึกค้างอยู่ในลำคอ ลูบจมูกตัวเองแก้เก้อ เดินออกไปห้องหนังสือ 


 


 


หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนกลับไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งผ่อนคลายอยู่บนเก้าอี้ นำ**บเหล็กบรรจุเงินวางไว้อีกด้าน เปิดกล่องออก หยิบจดหมายตามวันที่ที่ระบุไว้ออกมาทีละฉบับ นั่งอ่านอย่างตั้งใจ 


 


 


อ่านมาจนถึงกลางดึก กระทั่งเสียงของกัวเฟยดังขึ้นนอกประตู “นายท่าน นี่ก็ดึกมากแล้ว หากยังไม่นอนจะรุ่งเช้าแล้วขอรับ” เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถอนตัวออกมาจากห้วงคำนึงในจดหมาย รับคำเสียงเบา “รู้แล้ว ข้าจะนอนเดี๋ยวนี้ เจ้าเองก็กลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้พวกเราจะตามเหวินเปียวและเหวินหู่ไปหาบ้านกัน” 


 


 


กัวเฟยน้อมรับคำ กลับรอจนเมิ่งเชี่ยนโยวเป่าดับตะเกียงในห้อง ถึงได้ยินเสียงเขาเดินออกไป 


 


 


วันรุ่งขึ้น หลังจากคนทั้งหมดกินข้าวเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวนำพวกเขาเดินผ่านเสียงกระซิบกระซาบของคนในโรงเตี๊ยมออกไป นั่งบนรถม้าทั้งสองคัน เริ่มเสาะหาบ้านที่เหมาะสมทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้ของเมืองหลวง ภายใต้การนำทางของเหวินเปียวและเหวินหู่ 


 


 


หนึ่งวันผ่านไป เห็นบ้านมาไม่น้อย กลับยังไม่มีที่เหมาะสม 


 


 


หลังจากนั้นอีกสองวัน พวกเขายังคงออกไปหาบ้านแต่เช้าตรู่ กลางคืนถึงกลับมานอนที่โรงเตี๊ยม โดยที่ไม่รู้เลยว่าข่าวลือเกี่ยวกับเมิ่งเชี่ยนโยวได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว 


 


 


ข่าวลือเสกสรรปั้นแต่งว่า “หลังซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีแบกเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าจวน ก็บดขยี้ร่างของนางโดยไม่รีรอ” 


 


 


พูดว่า “เพราะซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีมีประสบการณ์ราคะเป็นครั้งแรก ทำเมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บ จึงให้หวงฝู่อี้คนสนิทข้างกายไปจัดยากลับมาต้มให้นางดื่ม เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านในตลอดช่วงบ่าย ถึงฟื้นตัวขึ้น” 


 


 


ยังพูดอีกว่า “ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีรู้สึกว่าตนเองทำเกินกว่าเหตุ จึงชดใช้ของมีค่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นกล่องและ**บเหล็กหนึ่งใบ ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวก็รับไว้อย่างหน้าไม่อาย อีกทั้งเดินเคียงไหล่ พูดคุยหัวร่อต่อกระซิบออกมาจากจวน” 


 


 


ข่าวลือโหมสะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง รวดเร็วราวสายลมพัด ไม่ถึงครึ่งวันก็แทรกซึมไปทั่วทุกหัวระแหงของเมืองหลวง 


 


 


และข่าวลือนี้ก็แพร่มาถึงหูของฮูหยินราชเลขาฝ่ายการทหารและพระกรรณพระพันปีหลวง 


 


 


ฮูหยินราชเลขาโมโหเขวี้ยงถ้วยชาในมือทิ้ง หายใจกระฟัดกระเฟียดพูดว่าจวนอ๋องฉีทำเกินไปแล้ว เริ่มจากคิดจะถอนหมั้น ตอนนี้ถึงกับทำเรื่องบัดสีให้ลือกันไปทั่ว 


 


 


ภายในวังหลวงหลังจากพระพันปีได้ยินเรื่องข่าวลือ กลับดีใจยิ้มไม่หุบ ครึ้มใจเอาแต่พูดว่าหลานชายตนเองโตเป็นหนุ่มแล้ว 


 


 


ข่าวลือย่อมลือมาถึงหูหวงฝู่อี้ 


 


 


หลังจากคิดรอบคอบแล้ว หวงฝู่อี้ก็ตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับหวงฝู่อี้เซวียน 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสะท้อนแววตาดุดัน สั่งหวงฝู่อี้เสียงกร้าว “ไปนำตัวบ่าวทั้งหมดในเรือนเข้ามา ข้าจะสังคายนาเกลือเป็นหนอนพวกนั้นเอง!” 

 

 

 


ตอนที่ 15 เขย่าขวัญสั่นประสาท

 

“ขอรับ ซื่อจื่อ” หวงฝู่อี้รับคำเสียงกังวาน เดินออกไป เปล่งเสียงลั่นบอกทุกคนในทุกแผนกหน้าที่ “ซื่อจื่อมีเรื่องจะพูด ให้ทุกคนรีบเข้ามายืนรวมกัน” 


 


 


พวกบ่าวต่างทิ้งงานในมือ กระวีกระวาดเข้ามายืนรวมตัวกัน 


 


 


หวงฝู่อี้มองสำรวจ เห็นบ่าวทุกคนในเรือนอยู่กันครบ จึงหันไปที่ห้องน้อมพูดว่า “ซื่อจื่อ รวมคนมาครบแล้วขอรับ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินแผ่รังสีอำมหิตออกมา 


 


 


บ่าวในเรือนไม่เคยเห็นท่าทีเช่นนี้ของซื่อจื่อมาก่อน ต่างตื่นกลัว หันหน้าสบตากัน มีลางสังหรณ์ว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น 


 


 


เป็นดังคาด หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก น้ำเสียงไร้ความอ่อนละมุนที่เคยมี “ดูท่าที่ผ่านมาข้าจะดีกับพวกเจ้ามากเกินไป ทำให้พวกเจ้าไม่รู้อะไรควรไม่ควร นำเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนของข้าแพร่งพรายออกไป” 


 


 


คนทั้งหมดตกใจงง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร มีเสียงบ่าวสองคนในนั้นที่ใบหน้าซีดเผือก ห่อหดตัว ก้มหน้างุด 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามองคนทั้งหมด สุดท้ายสายตามาหยุดที่บ่าวสองคนนั้น 


 


 


บ่าวสองคนนั้นรับรู้ได้ถึงแววตาดุดันจากเขา ตกใจแข้งขาอ่อน “พลั่ก” คุกเข่าลงพร้อมพูดขอชีวิต “ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วย ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วยเถอะ” 


 


 


“อ่อ พวกเจ้าลองพูดมาสิ พวกเจ้าทำอะไรผิด ถึงต้องให้ข้าไว้ชีวิตพวกเจ้า?” หวงฝู่อี้เซวียนผ่อนปรนน้ำเสียง ถามด้วยน้ำเสียงเช่นในอดีต 


 


 


บ่าวสองคนนั้นกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหาร ตื่นตกใจร้องขอชีวิตตัวสั่น “ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วย บ่าวมิได้ตั้งใจจะพูดเรื่องแม่นางเมิ่งออกไป วันนั้นบ่าวเพียงคุยสัพเพเหระกับคนข้างนอก เอ่ยออกมาประโยคเดียว บ่าวก็ไม่รู้ทราบว่าเขาป่าวประกาศออกไปได้อย่างไร” 


 


 


หลายวันมานี้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง บ่าวในจวนต่างรับรู้เรื่องนี้ พอได้ยินคำพูดของพวกเขา ถึงได้รู้ว่า ที่แท้ข่าวลือพวกนี้มากจากพวกเขาพูดออกไป มองพวกเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ ที่ทำความผิดมหันต์แพร่งพรายเรื่องของนาย ในจุดนี้ตอนที่พวกเขาจะเข้ามาทำงานในจวน พ่อบ้านได้ย้ำเตือนพวกเขาดิบดีแล้ว 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเก็บคืนรังสีดุดันรอบกาย 


 


 


บ่าวสองคนนึกว่าเขาให้อภัยตนเองแล้ว ลอบถอนใจโล่งอก 


 


 


คำสั่งต่อมาของหวงฝู่อี้เซวียนกลับทำให้ทั้งสองคนตกอยู่ในอาการขวัญผวาแห่งห้วงความเป็นตายอีกครั้ง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งหวงฝู่อี้เสียงเย็น “อี้เอ๋อร์ เจ้าจงไปตามพ่อบ้านมา” 


 


 


หวงฝู่อี้รับคำ วิ่งจ้ำออกไปจากเรือน 


 


 


บ่าวสองคนนั้นยิ่งให้สั่นผวา “โป๊กๆ”โขกศีรษะกับพื้นเต็มแรง “ซื่อจื่อโปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด อย่าเอาพวกเราไปขายเลย ต่อไปพวกเราไม่กล้าอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่หวั่นไหว กวาดตาเยียบเย็นมองบ่าวที่เหลือ 


 


 


บ่าวที่เหลือสัมผัสได้ถึงลมเย็นวาบพัดผ่านต้นคอ ตกใจรีบก้มหน้างุด 


 


 


พ่อบ้านลุกลนตามหวงฝู่อี้เข้ามา เห็นเหตุการณ์ในเรือนก็ชะงักเล็กน้อย แต่ภายในใจพอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว รีบถวายคำนับหวงฝู่อี้เซวียน โน้มตัวพูดว่า “ซื่อจื่อ เพราะผู้น้อยมิได้สอนสั่งบ่าวพวกนี้ให้ดี ทำให้ท่านต้องขุ่นเคือง” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเขาทันที “พ่อบ้าน การที่บ่าวในจวนนำเรื่องของนายแพร่งพรายออกไปตามอำเภอใจ สมควรลงโทษเช่นไร?” 


 


 


พ่อบ้านหัวใจกระตุกวูบ มองบ่าวสองคนที่โขกศีรษะจนหน้าผากมีเลือดไหลซึมอย่างเวทนา แล้วน้อมพูดว่า “เรียนซื่อจื่อ โบยจนตายพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


สิ้นเสียง บ่าวสองคนนั้นต่างตกใจจนลืมโขกศีรษะ เงยหน้ามองพ่อบ้านอย่างหวาดผวา 


 


 


คนอื่นที่เหลือก็ตกใจเบิกตาโพลง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งพ่อบ้านเสียงดุดัน “ไปเกณฑ์บ่าวทั้งหมดในเรือนเข้ามา ให้พวกเขาดูการลงทัณฑ์” 


 


 


พ่อบ้านนิ่งตะลึงค้าง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาด้วยแววตาอำมหิต 


 


 


พ่อบ้านร่างกายสั่นเกร็ง รีบก้มหน้ารับคำ “ผู้น้อยจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


บ่าวทั้งสองคนได้ยินวาจาหวงฝู่อี้เซวียน ตกใจขวัญกระเจิง คลานเข่าขึ้นหน้า พร่ำวิงวอนร้องขอชีวิต 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเกร็ง 


 


 


พ่อบ้านรีบโบกมือ ทหารสองสามนายเข้ามาปิดปากปิดจมูกบ่าวทั้งสอง แล้วลากตัวออกไป 


 


 


พ่อบ้านรีบเดินตามออกไปเรียกระดมพลบ่าวในจวน 


 


 


คนที่เหลือในเรือนตกใจจนไม่กล้าหายใจแรง ในตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าความคิดในอดีตของตัวเองนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ นายท่านตรงหน้านี้หาใช่คนสุภาพอ่อนโยนไม่ หากบังอาจแตะโดนขีดความอดทนของเขาเข้า ก็จะมีจุดจบที่น่าสังเวชเหมือนบ่าวสองคนเมื่อครู่ 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้แต่จะมองบ่าวที่ต่างตกใจตัวสั่นระริก ยกเท้าเดินไปยังลานกว้างของจวน 


 


 


พ่อบ้านให้คนไปเรียกระดมบ่าวและสาวใช้ทั้งหมดของจวนเข้ามาโดยไวที่สุด แม้แต่คนสนิทข้างกายอ๋องฉีและพระชายารองก็ไม่ละเว้น ถูกเรียกเข้ามาทั้งหมด 


 


 


คนทั้งหมดไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น กำลังวิพากษ์บ่าวสองคนที่ถูกปิดปากปิดจมูกกลางลานกว้างไม่หยุด 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา คนทั้งหมดถึงหยุดปาก ยืนเงียบราวจั๊กจั่นในเหมันต์ฤดู 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่ง ออกคำสั่งทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “พ่อบ้าน เริ่มได้!” 


 


 


พ่อบ้านโบกมือให้ทหารที่ปิดปากบ่าวทั้งสอง มีทหารอีกสี่นายเดินเข้ามา ผลักคนทั้งสองลง หวดไม้พองลงไปบนร่างพวกเขา 


 


 


บ่าวสองคนส่งเสียงร้อยโหยหวน 


 


 


สาวใช้ที่ขลาดกลัวตกใจหลับตาปี๋ 


 


 


บ่าวที่เหลือก็ทนดูสภาพน่าสังเวชของพวกเขาไม่ได้ ต่างเบือนหน้าหนีเป็นแถบ 


 


 


ในช่วงแรกบ่าวสองคนยังส่งเสียงแผดร้องได้ ต่อมาเสียงค่อยๆ แผ่วเบาลง กระทั่งตอนที่ทหารโบยไม้ที่สามสิบ ทั้งสองก็ขาดใจตาย 


 


 


ทหารหยุดมือ ทหารนายหนึ่งย่อตัวลง ตรวจลมหายใจของพวกเขา แล้วลุกขึ้นรายงานอย่างอ่อนน้อม “ซื่อจื่อ พวกเขาตายแล้วขอรับ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองดูกระบวนการทั้งหมดด้วยใบหน้าเรียบเฉย กวาดสายตามองบ่าวเกือบร้อยชีวิตที่ยืนโดยรอบ พูดว่า “หากภายหน้ามีใครกล้านำเรื่องของนายออกไปพูดโดยพลการ จะมีจุดจบเหมือนพวกเขาทั้งคู่” 


 


 


บ่าวทั้งหมดมองบ่าวเนื้อแตกเหวอะหวะไร้ลมหายใจทั้งสองคน ตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม เกิดความพรั่นกลัวสุดจิตสุดใจต่อหวงฝู่อี้เซวียน  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นแววตาพวกเขา ก็รู้ว่าเกิดเป็นความสั่นประสาทแล้ว สั่งการพ่อบ้าน “นำตัวพวกเขาไปฝัง แล้วนำตัวบ่าวที่เหลือในเรือนข้าไปขายทิ้งทั้งหมด” 


 


 


พูดจบก็หมุนตัวเดินกลับเรือนตนเอง 


 


 


หวงฝู่อี้เดินตามหลังไปติดๆ 


 


 


พวกบ่าวที่อยู่รับใช้ในเรือนเขา ตกใจทรุดนั่งไปกับพื้น มองแผ่นหลังเขาอย่างสิ้นหวัง ไม่กล้าแม้แต่จะขอร้องวิงวอน 


 


 


พ่อบ้านถอนหายใจ อย่าว่าแต่พวกบ่าวเลย แม้แต่เขาเองก็ตกใจกลัวไม่น้อย สี่ปีแล้ว ซื่อจื่อมีมารยาทสุภาพอ่อนโยนกับทุกคนมาตลอด จนทุกคนลืมไปแล้วว่าเขาเป็นโอรสของอ๋องฉี พ่อเสือไม่มีลูกสุนัข ในตอนนั้นอ๋องฉีสามารถนำกองกำลังบุกเข้าวังหลวงที่ถูกศัตรูดักซุ่มแน่นหนา สังหารโอรสกุ้ยเฟย สนับสนุนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ครองราชย์ โอรสของเขาจะเป็นคนอ่อนโยนถ้อยทีถ้อยอาศัยได้อย่างไร 


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ พ่อบ้านก็หันไปพูดกับคนทั้งหมดว่า “พวกเจ้าได้เห็นจุดจบของทั้งสองคนนี้แล้ว นับแต่วันนี้ไป แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดี ห้ามปากมาก ห้ามนินทาเจ้านายลับหลัง” 


 


 


หลายปีมาแล้ว ไม่เคยเกิดเรื่องโบยบ่าวจนตายคาจวนเช่นนี้มาก่อน วันนี้บ่าวทุกคนได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตา ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปนานแล้ว พอได้ยินคำพูดของพ่อบ้าน ต่างรับคำเสียงสั่นโดยพร้อมเพรียง 


 


 


พ่อบ้านสะบัดมือ “กลับไปเรือนของตัวเอง ทำตามหน้าที่ตัวเองให้ดี” 


 


 


บ่าวที่ตกใจจนมือเท้าอ่อนช่วยกันประคองกันและกันเดินกลับไปเรือนของนายตัวเอง 


 


 


พ่อบ้านสั่งทหาร “อุดปากบ่าวที่เหลือพวกนี้ รอหยาผอ[1]มารับตัวพวกเขาไป” 


 


 


ทหารรับคำ เดินขึ้นหน้า อุดปาก มัดแขนพวกเขาที่นอนแผ่หลาไม่รับรู้อะไรแล้ว โยนทิ้งไว้อีกด้าน 


 


 


บ่าวรับใช้ในเรือนถูกเรียกตัวไปหมด เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลังจากบ่าวกลับเรือนของตัวเอง พระชายารองก็อดใจไม่ไหวซักถามสาวใช้ข้างกายว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น 


 


 


สาวใช้ฝืนสะกดกลั้นความหวาดผวา แล้วบอกเรื่องที่เพิ่งพบเห็นมาแก่นาง 


 


 


พระชายารองได้ฟังโมโหกวาดถ้วยชา ชามชาทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะทิ้งลงพื้น ขบกรามก่นด่า “เป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวได้ดีนัก เขาต้องการจะแสดงศักดากับข้า ข้าอยากจะดูนักว่าเขาจะมีชีวิตไปได้นานแค่ไหน?” 


 


 


สาวใช้ได้ฟังหน้าเปลี่ยนสี ก้มหน้าขาวซีด ไม่กล้าโต้ตอบ 


 


 


พระชายาเอกกลับไม่สนใจเรื่องนี้ ไม่คิดไต่ถาม เป็นแม่นมข้างกายที่ทนไม่ไหวบอกเรื่องนี้ด้วยความตกใจระคนดีใจ สุดท้ายกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “เหนียงเหนียง ซื่อจื่อน้อยโตเป็นหนุ่มแล้ว ท่านมีหลักพึ่งพาในจวนอ๋องแล้วเพคะ” 


 


 


พระชายาเอกถอนหายใจ พูดว่า “แม่นม ท่านรู้หรือไม่เหตุใดวันนี้เซวียนเอ๋อร์ถึงกระทำการเ**้ยมโหด?” 


 


 


แม่นมตอบความ “ผู้น้อยสืบถามมาแล้ว เห็นว่าเป็นเพราะบ่าวสองคนนั้นนำเรื่องของแม่นางในวันก่อนพูดออกไป ซื่อจื่อด้วยอารามโมโห สั่งโบยพวกเขาจนตายเพคะ” 


 


 


พระชายาเอกส่ายหน้า “แม่นม ท่านรู้เพียงส่วนหนึ่ง ไม่รู้อีกส่วนหนึ่ง เซวียนเอ๋อร์นอกจากต้องการแจ้งเตือนบ่าวในจวน ยังด้วยเพราะเรื่องที่ทั้งสองพูดออกไปเป็นข่าวเสียๆ หายๆ ของแม่นางผู้นั้น แตะถูกขีดความอดทนของเขาเข้า” 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าแม่นมจางหาย ถามด้วยความประหวั่น “ซื่อจื่อปกป้องแม่นางผู้นั้นถึงขั้นนี้เลยหรือเพคะ?” 


 


 


พระชายาพยักหน้า “เกรงว่าจะมากไปกว่านี้ เขากำลังบอกพวกเราว่าเขาตัดสินใจจะแต่งงานกับแม่นางผู้นั้นแล้ว” 


 


 


แม่นมอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก 


 


 


หลังจากอ๋องฉีกลับมาจากท้องพระโรง ได้ยินรายงานจากพ่อบ้าน ก็มิได้คิดมากความ กลับพยักหน้าชื่นชม สั่งกำชับพ่อบ้าน “เลือกบ่าวที่มีไหวพริบสักสองสามคนส่งเข้าไปแทน” 


 


 


พ่อบ้านรับคำ เลือกเฟ้นบ่าวที่มีไหวพริบจากบ่าวทั้งหมดเตรียมจะส่งไปที่เรือนหวงฝู่อี้เซวียน ยังไม่ทันก้าวพ้นประตู ก็ถูกหวงฝู่อี้ขวางเอาไว้ตรงหน้าประตู 


 


 


หวงฝู่อี้พูดกับพ่อบ้านอย่างอ่อนน้อม “ท่านพ่อบ้าน ซื่อจื่อกำชับไว้ ภายในเรือนนี้ให้มีข้าคอยดูแลเพียงคนเดียวก็พอแล้วขอรับ” 


 


 


หวงฝู่อี้ไม่มีสัญญาทาส ไม่ถือเป็นบ่าวในเรือน พ่อบ้านไม่เข้าใจความหมายของเขา จึงพูดประเหลาะขึ้นว่า “คุณชายอี้ เรือนหลังใหญ่เช่นนี้มีท่านคอยปรนนิบัติเพียงคนเดียว จะเหนื่อยเกินไปหรือไม่ เอาอย่างนี้ ท่านรับผู้ช่วยเก็บไว้คอยช่วยท่านปัดกวาดเรือนสักสองคนดีหรือไม่” 


 


 


หวงฝู่อี้โบกมือ “ไม่ต้อง คำสั่งซื่อจื่อข้าไม่อาจฝ่าฝืน” 


 


 


ตอนนี้ในใจพ่อบ้านก็ให้กริ่งเกรงหวงฝู่อี้เซวียน ได้ฟังดังนั้นก็ไม่ยืนหยัด สะบัดมือให้บ่าวพวกนั้นกลับไปทำงานตามเดิมของตัวเอง ส่วนตนเองเข้าไปรายงานเรื่องนี้กับอ๋องฉี 


 


 


อ๋องฉีได้ฟังเงียบงันครู่หนึ่ง พูดว่า “ตามใจเขาเถอะ หากเขาต้องการ เจ้าค่อยส่งคนเข้าไปรับใช้” 


 


 


พ่อบ้านรับคำ น้อมคำนับถอยออกไป 


 


 


ไม่นานข่าวนี้ก็ถึงหูพระชายารอง 


 


 


ในขณะนั้นพระชายารองกำลังตรวจดูบาดแผลบนร่างแม่นม ได้ฟังก็หัวเราะเยาะหยัน พูดกับแม่นมที่เพิ่งจะฟื้น “เขาคิดว่าทำเช่นนี้ก็จะป้องกันชีวิตตนเองพ้นหรือ? คิดในแง่ดีเกินไปแล้ว” 


 


 


แม่นมสะท้อนแววตาเคียดแค้น สะใจ 


 


 


พระชายารองถามสาวใช้คนสนิท “คุณชายรองเป็นอย่างไรบ้าง?” 


 


 


สาวใช้ย่อตัวตอบความ “เรียนเหนียงเหนียง คุณชายรองพักฟื้นได้หนึ่งวัน พอจะมีเรี่ยวแรง ก็ไปหาซื่อจื่อที่จวนทันทีเจ้าค่ะ” 


 


 


สาวใช้นึกว่าพระชายารองจะโมโห ไม่คิดว่านางเพียงแสยะยิ้มวิปลาสออกมา 


 


 


สาวใช้ตกใจตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่รู้ตัว ก้มหน้าถอยไปยืนอีกด้าน 


 


 


ส่วนหวงฝู่อวี้ในตอนนี้นั้น กำลังจ้องมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยแววตาน้อยเนื้อต่ำใจ และใบหน้าที่ยังช้ำเขียวช้ำม่วง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร มองเขาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ 


 


 


หวงฝู่อวี้ที่คิดถึงความทุกข์ทรมานที่ได้รับตลอดสามวัน เบะปากกำลังจะร้องไห้ 


 


 


น้ำเสียงนุ่มละมุนของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น ทว่ากลับทำให้หวงฝู่อวี้ตกใจสะดุ้งโหยง “หากเจ้ากล้าร้องไห้ ข้าจะให้อี้เอ๋อร์โยนเจ้าไปไว้ในห้องเก็บฟืนอีกครั้ง” 


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจโบกมือเป็นพัลวัน “ข้าไม่ร้อง ข้าไม่ร้องแล้ว” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลูบศีรษะเขา ถามเสียงนุ่ม “ชิงชังพี่นักใช่หรือไม่?” 


 


 


ความน้อยใจตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง หวงฝู่อวี้เบะปาก พูดเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ไม่เคยปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้มาก่อน แต่เพื่อนังสารเลวนั่นเพียงคนเดียว…” 


 


 


“หุบปาก!” หวงฝู่อี้เซวียนชิงตัดบทเสียงกร้าว 


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจตัวสั่น กลืนคำพูดที่ยังพูดไม่จบลงไป มองเขาตาปริบๆ 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชักสีหน้าเข้ม ไม่เหลือความอ่อนโยนนั้นแล้ว พูดว่า “ภายหน้าหากข้าได้ยินเจ้าพูดให้ร้ายโยวเอ๋อร์อีก ข้าจะให้นางจับเจ้ามัด แล้วเอาไปแขวนใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือน” 


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจคอหัวหด ถอยหลังสองก้าว อยู่ให้ห่างจากเขาออกมา 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเขาเริ่มหวาดกลัว ผ่อนสีหน้าลง พูดว่า “เจ้าจงจำไว้ให้ดี ในจวนอ๋องแห่งนี้มีพวกเราเป็นพี่น้องกันเพียงสองคน ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ขอเพียงไม่เกินขอบเขต ข้าก็จะโอนอ่อนผ่อนตามเจ้า แต่โยวเอ๋อร์ไม่ได้ นางจะเป็นพระชายาซื่อจื่อในอนาคต เป็นพี่สะใภ้เจ้า ดังนั้นต่อไปเมื่อเจอนางเจ้าจะต้องอ่อนน้อม มีมารยาท” 


 


 


หวงฝู่อวี้เห็นสีหน้าเขาเป็นปกติแล้ว โพล่งปากถามอย่างลืมอาการบาดเจ็บ “เช่นนั้นเยียนเอ๋อร์จะทำอย่างไร เยียนเอ๋อร์รอท่านมาหลายปี หากท่านไปแต่งกับ…” กำลังจะพูดว่านังสารเลว พลันนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเขา รีบแก้คำพูดทันที “หากท่านไปแต่งแม่นางเมิ่งมาเป็นพระชายา เยียนเอ๋อร์จะกลายเป็นตัวตลกให้คนทั้งเมืองหลวง ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหาได้มีอารมณ์หวั่นไหว พูดว่า “หาได้เกี่ยวกับข้าไม่ การแต่งงานถูกกำหนดโดยพระมารดา ตอนข้ากลับมาก็บอกให้พวกเขาถอนหมั้นแล้ว เมื่อพวกเขาไม่ยินยอม ก็ปล่อยให้พวกเขาไปจัดการเองเถอะ สำหรับโยวเอ๋อร์นั้น ข้าแต่งกับนางแน่แท้แล้ว” 


 


 


“ท่านพี่!” หวงฝู่อวี้ร้องเรียกอย่างไม่พอใจ “ท่านทำเกินไปแล้ว เยียนเอ๋อร์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เหตุใดท่านถึงใจร้ายใจดำเช่นนี้?” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินประชิดตัวเขา ถามว่า “ข้ายังทำได้มากกว่านี้ เจ้าอยากรู้หรือไม่?” 


 


 


หวงฝู่อวี้รู้สึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนในตอนนี้เริ่มไม่น่าไว้วางใจ ก้าวถอยไปอีกสองก้าว แต่ก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ถามออกไปว่า “ท่านจะทำอะไร?” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนประชิดตัวเขาอีกครั้ง พูดเสียงเยียบเย็น “หากเจ้ากล้าเอ่ยถึงธิดาราชเลขานั่นต่อหน้าข้าอีก ต่อไปเจ้าอย่าหวังจะได้เข้ามาในเรือนข้าอีก” 


 


 


หวงฝู่อวี้ทรุดนั่งลงกับพื้น แหงนหน้าตะลึงงันมองเขา 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก้มหน้าจ้องเขากลับ รอฟังคำตอบจากเขา 


 


 


หวงฝู่อวี้กลืนน้ำลายหลายอึก เผยอปากออก กลับไม่มีคำพูดออกมา 


 


 


พวกเมิ่งเชี่ยนโยวออกเดินหาบ้านหลายวัน ในที่สุดก็พบเรือนเหมาะสมหลังหนึ่งทางฝั่งใต้ของเมือง เจ้าของเป็นพ่อค้า ระยะหลังการค้ามีปัญหา ต้องการเงินมาหมุนเวียน จึงยอมตัดใจขายเรือนสี่ประสานสองชั้นที่อาศัยมานานหลายปีทิ้ง อีกทั้งไม่ต้องการเครื่องเรือนภายใน ยกให้ผู้มาซื้อทั้งหมด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถูกใจเรือนหลังนี้ตั้งแต่แวบแรก หลังจากเดินดูอย่างละเอียด ก็ซักถามราคา 


 


 


เจ้าของบ้านกัดฟัน “หากเป็นเมื่อก่อนการซื้อเรือนเช่นนี้สักหลังต้องใช้เงินเจ็ดถึงแปดหมื่นตำลึง ข้าบอกเจ้าตามตรงแล้วกัน ตอนนี้ข้าร้อนเงิน เจ้าให้ข้าหกหมื่นก็พอ ทว่าข้ารับแต่ตั๋วเงินที่ขึ้นเงินได้ทั่วประเทศอู่เท่านั้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันมองเหวินเปียว 


 


 


เหวินเปียวพยักหน้า แสดงว่าราคานี้พอรับได้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับทันควัน “ได้ ตกลงตามนี้ วันพรุ่งข้าจะนำตั๋วเงินมา พวกเราไปดำเนินเรื่องโอนบ้านให้เรียบร้อย” 


 


 


เจ้าของบ้านรับคำ สั่งคนดึงประกาศขายบ้านออก นัดเวลาโอนบ้านในวันพรุ่งนี้ 


 


 


จัดการเรื่องบ้านเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง สั่งการกัวเฟย “วันพรุ่งหลังจากทำเรื่องโอนบ้านเสร็จ เจ้าจงไปแจ้งข่าวแก่อี้เซวียน” 


 


 


กัวเฟยน้อมรับคำ คิดจะพูดบางอย่าง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน นึกประหลาดใจ พูดว่า “มีอะไรก็พูดออกมา อย่ามัวอมพะนำ” 


 


 


กัวเฟยตัดสินใจ กัดฟันหน้าดำหน้าแดง พูดข่าวลือตลอดหลายวันในเมืองหลวง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังแล้วตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วฉีกยิ้มเจิดจ้า พูดอย่างมีนัยแฝง “กัวเฟย พรุ่งนี้หลังจากย้ายเข้าบ้านแล้วค่อยส่งข่าวบอกซื่อจื่อ บอกว่าข้าอยากทดสอบเขาเสียหน่อยว่า ข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?” 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] หยาผอ คือ สตรีที่มีอาชีพเป็นนายหน้าค้ามนุษย์ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)