ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 122-123
ตอนที่ 122 หลอกล่อ
ทั้งสองคนต่างก็ยุ่งอยู่ในห้องครัว ลูกชายของแม่ครัววิ่งโร่เข้ามา พอเข้ามาก็ร้องเสียงดังว่า “แม่ ข้าหิว…” แต่พอมองเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็หยุดกะทันหัน ยืนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เรียกอย่างสุภาพว่า “สวัสดีขอรับนายหญิง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพยักหน้า
แม่ครัวรีบลุกขึ้น หยิบชามมาใบหนึ่งแล้วก็ตักน้ำร้อนที่อยู่ในหม้อใหญ่มาครึ่งชามให้เขา ผึ่งลมสักพัก แล้วก็ส่งให้ร่างเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า “เสี่ยวเป่า ระวังร้อนนะ ค่อยๆ ดื่ม เดี๋ยวจะลวกเอา”
เสี่ยวเป่ารับมาอย่างน่าเอ็นดู ยกชามขึ้นมาแตะบนริมฝีปากคำเล็กๆ รู้สึกว่าอุณหภูมิได้ที่แล้ว จึงยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วก็ส่งชามเปล่าส่งให้มารดา “ท่านแม่ ข้าออกไปทำงานแล้ว”
แม่ครัวพยักหน้า
หลังจากที่เสี่ยวเป่าทักเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสุภาพ แล้วก็วิ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวมองหลังไวๆ ของเขา ถามเรื่อยเปื่อยว่า “วันนี้เสี่ยวเป่าทำอะไรหรือ”
“หลายวันนี้มีใบไม้ร่วงอยู่เต็มเรือน บ่าวให้เขาตามซุ่ยฮวาพวกนางไปเก็บกวาดใบไม้ด้วยกันเจ้าค่ะ”
ซุ่ยฮวาก็คือหนึ่งในสาวใช้ที่ซื้อมา ส่วนอีกสองคนก็คือซุ่ยจวี๋กับซุ่ยจู๋ ปกติจะทำหน้าที่ซักเสื้อผ้ากับทำความสะอาดภายในจวน
“เสี่ยวเป่าก็ไม่เด็กแล้ว รอให้ผ่านปีใหม่ก่อนข้าจะให้หาโรงเรียนให้เขา มีความรู้ไว้บ้าง ไม่แน่ว่าต่อไปจะได้เป็นผู้ช่วยของข้า”
แม่ครัวตกตะลึง มองนางอย่างไม่เชื่อสายตา ริมฝีปากสั่นระริกอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งแล้วจึงกล่าวอย่างตื้นตันใจว่า “นายหญิง นี่ นี่ นี่…”
“ไม่ต้องนี่ ต้องนั่นแล้ว ข้าเคยพูดไว้ ว่าขอเพียงพวกเจ้าทำงานให้ดี ข้าจะปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างดี”
ในดวงตาของแม่ครัวมีน้ำตาแห่งความตื้นตันใจเอ่อไหลออกมา แล้วก็รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา ก้มลง และโค้งคำนับให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสุดซึ้งหัวใจ “ขอบคุณนายหญิง ของคุณนายหญิงเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน มาขอบคุณอะไร!”
แม่ครัวยิ่งรู้สึกตื้นตันใจมากขึ้น มือที่กำลังหั่นผักอยู่สั่นขึ้นมาไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเห็นทุกอย่างแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อยทั้งสี่อย่าง หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่มา คิดว่าเขาอาจจะไม่มาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้แม่ครัวไปเรียกทุกคนมากินข้าว ส่วนตัวเองกลับไปเปลี่ยนชุดในห้อง เพิ่งจะเปลี่ยนไปได้ครึ่งเดียวประตูก็ถูกเปิดออก
เมิ่งเชี่ยนโยวถามโดยไม่เงยหน้าว่า “อะไรหรือ”
เสียงฝีเท้าอันเงียบเชียบค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้ถึงลมหายใจอันคุ้นเคย เงยหน้าขึ้นโดยพลัน กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มาได้พอดีเลย ข้าเพิ่งจะทำอาหารที่เจ้าชอบกินเสร็จพอดี”
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องนางเขม็งไม่พูดไม่จา
เมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจ ก้มมองดูตัวเอง แม้เสื้อคลุมด้านนอกจะยังไม่ได้กลัดกระดุมไว้เรียบร้อยดี แต่เสื้อผ้าข้างในนั้นก็ดูเรียบร้อย เงยหน้าขึ้น กำลังจะเอ่ยถาม ริมฝีปากของหวงฝู่อี้เซวียนกดลงมา
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงร้องอย่างแปลกใจ แต่ก็ถูกริมฝีปากของหวงฝู่อี้เซวียนประกบอุดไว้
ปลดปล่อยร่างกายไปตามสบาย ยกมือขึ้นมากอดตอบเขา เผยอปากเล็กน้อย รับการจุมพิตจากเขาอย่างอ่อนหวาน ทั้งยังสอดแทรกลิ้นเล็กๆ ของตนเองลองจูบตอบเขาไป
ร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนตื่นเต้น การเคลื่อนไหวรุนแรงรวดเร็วกระหายยิ่งขึ้น ราวกับว่าต้องการจะกลืนกินนางเข้าไปฉะนั้น
สุดท้ายเมิ่งเชี่ยนโยวกระหืดกระหอบหายใจไม่ทัน ทุบตีเขาไปหลายครั้ง
นั่นจึงทำให้หวงฝู่อี้เซวียนยอมปล่อยนางไปอย่างสุดแสนเสียดาย ริมฝีปากยังคงดูดดึงไปมาบนริมฝีปากของนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวหายใจหอบ ตะกุกตะกักถามขึ้นว่า “เรื่องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนตระกองอุ้มนางขึ้นมา แล้ววางนางลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน แล้วก็จูบไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง พอรู้สึกว่าความกระหายของตนคลางลงบ้างแล้ว ค่อยเงยหน้าขึ้น ใบหน้าแสดงอารมณ์ยินดีปรีดาเต็มที่ “แก้ปัญหาได้แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะยกเลิกการแต่งงานได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อนข้างแปลกใจ “จวนราชเลขารับปากว่าจะยกเลิกการแต่งงานแล้วหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “อืม”
พูดจบก็จ้องริมฝีปากบวมเจ่อของนาง กลืนน้ำลายลงคอ ริมฝีปากก็กดลงมาอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามไว้ได้ทันการณ์ กำลังจะถามอะไรบางอย่าง ชิงหลวนก็ส่งเสียงดังออกเข้ามาในเรือน “นายหญิง จะกินข้าวตอนนี้ไหมเจ้าคะ”
ในเวลาปกติชิงหลวนกับจู๋หลีต่างก็เฝ้าอยู่ที่หน้าห้อง รอให้นางเรียกใช้พวกนางได้ตลอดเวลา แต่พอหวงฝู่อี้เซวียนมา พวกนางก็ถอยออกไปเฝ้าอยู่หน้าเรือนอย่างรู้งาน ประการแรกก็เพื่อไม่ให้ใครเข้ามารบกวนพวกเขา ประการที่สองก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเสียงที่ตนไม่ควรได้ยิน แต่วันนี้ไม่มีทางเลือก อาหารก็ทำเสร็จนานแล้ว หากไม่กินก็จะเย็นชืดเอา ชิงหลวนจึงต้องแข็งใจเดินเข้ามาเรียกข้างในเรือน
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ ผลักเขาออกไป “ลุกขึ้นเถอะ ข้าก็หิวแล้วเหมือนกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนจำใจต้องลุกขึ้นยืน ถือโอกาสฉุดนางลุกขึ้นด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น จัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ของตัวเองให้เรียบร้อย หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกมาช่วยนางติดกระดุม
จัดแจงอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงส่งเสียงออกไปข้างนอกว่า “นำอาหารเข้ามาเถอะ”
ชิงหลวนกับจู๋หลีรับคำครั้งหนึ่ง แล้วก็ยกอาหารเข้ามารวดเร็ว เอามาวางไว้บนโต๊ะสายตาไม่ล่อกแล่ก
“ที่นี่ไม่มีอะไรให้รับใช้แล้ว พวกเจ้าก็ไปกินข้าวเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
ทั้งสองคนรับคำ ก้มหน้าก้มตาเดินออกไป ปิดประตูให้อย่างเบามือ
ทั้งสองคนล้างมือ แล้วจึงลงมานั่ง หวงฝู่อี้เซวียนใช้ตะเกียบคีบกับข้าวมาใส่ชามของของเมิ่งเชี่ยนโยวก่อน แล้วจึงคีบกับข้าวใส่ชามของตัวเอง พลางกินพลางพูด “ตอนบ่ายข้าไม่ได้ทำอะไร มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกินข้าวอีกหลายคำ จึงถามว่า “ทำไมจวนราชเลขาถึงได้ยกเลิกการแต่งงานไปง่ายๆ ล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนกลืนอาหารที่อยู่ในปาก ร้องเหอะขึ้นมาคำหนึ่ง “พวกเขาวางหมากได้ดีมาตลอด มีหรือที่จะยอมยกเลิกการแต่งงานนี้ไปง่ายๆ ย่อมจะเรียกร้องเงื่อนไขเป็นธรรมดา”
“เงื่อนไขอะไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนคีบกับข้าวให้นางอีก แล้วตอบว่า “ให้ท่านน้าเป็นพ่อบุญธรรมของหลินหันเยียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักตะเกียบ กล่าวว่า “ไม่เสียทีที่เป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าในราชสำนักมาหลายปี รู้จักวางแผนมาก คราวนี้ไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์กับจวนแม่ทัพเท่านั้น แม้แต่จวนอ๋ฮงฉียังตัดความสัมพันธ์นี้ไม่ได้ด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “พูดถูกแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ไม่กล้าเรียกร้องอะไรมาก บอกว่าเป็นการรับบุตรบุญธรรมแต่เพียงในนามเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ขนาดตอนที่หลินหันเยียนจะแต่งงานให้ท่านน้าเป็นคนมอบสินเดิม ราชเลขาหลินก็ปฏิเสธไป”
“แม้จะกล่าวเช่นนั้นก็ตาม แต่แม่ทัพใหญ่รับนางเป็นบุตรบุญธรรมจริง มีหรือที่จะไม่มอบสินเดิมแก่นาง ใต้เท้าราชเลขาคาดคะเนได้ถึงข้อนี้ ถึงได้ตั้งใจปฏิเสธกระมัง” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ได้คิดอย่างละเอียด แต่ว่าเรื่องสินเดิมเป็นเรื่องเล็ก ถึงตอนนั้นพวกเราก็แค่เป็นคนมอบให้แทนท่านน้า เพียงแต่ว่าข้อเรียกร้องหนึ่งข้อที่ทำให้ข้าไม่สบายใจ”
“ข้อเรียกร้องอะไรหรือ”
“บอกว่าพิธีการรับบุตรบุญธรรมต้องจัดอยู่ที่จวนอ๋องฉี”
เมิ่งเชี่ยนโยวประหลาดใจอย่างยิ่งยวด “เจ้ากับแม่ทัพใหญ่ก็รับปากไปแล้ว”
“ถึงแม้ข้าจะไม่สบายใจ แต่ราชเลขาหลินบอกว่าการยกเลิกการแต่งงานกับการรับบุตรบุญธรรมต้องจัดพิธีอยู่ที่จวนอ๋องฉีพร้อมกัน ข้าร้อนใจต้องการยกเลิกการแต่งงาน จึงรับปากไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยววางชามกับตะเกียบลง ส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย็นชา “ที่เขาเรียกร้องเงื่อนไขเช่นนี้ออกมา เพราะคิดที่จะตบหน้าพวกเราอย่างร้ายกาจแท้ๆ เป็นการประกาศต่อทุกคนทั่วทั้งเมิ่งหลวงอย่างชัดเจน ว่าพวกเรายอมแพ้ อ่อนแอ”
“ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งหลับจวนมาแล้วทำใจให้สงบ ค่อยมานึกถึงความลึกลับซับซ้อนในเบื้องหลังของเรื่องนี้ได้ ดังนั้นจึงมาขอความคิดเห็นจากเจ้า ถ้าหากเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ ก็ยังไม่ต้องยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ รอให้ข้าหาโอกาสไปบีบบังคับพวกเขาอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่นศีรษะ “ราชเลขาหลินเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่ง ถ้าไม่บรรลุตามเป้าหมายก็จะไม่ยอมรามือ ถึงเจ้าจะจับจุดอ่อนของเขาได้ก็ตาม แต่ถ้าเขาดื้อดึงไม่ยอมยกเลิกการแต่งงาน เจ้าเองก็ไม่มีทางเลือก จนอาจจะต้องไปบีบบังคับเขามากขึ้น ทำให้เขาต้องไปขอพระราชโองการจากฮ่องเต้ ถึงตอนนั้นพวกเราจะยิ่งลำบากขึ้น รับปากเขาไปดีกว่า แก้ปัญหาไปได้เปลาะหนึ่งก็ยังดี ต่อไปถ้าเขาไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่ใช้ประโยชน์จากพวกเรา เราทุกคนก็จะอยู่รอดปลอดภัย แต่ถ้าเขาเกิดความทะเยอะทะยานที่ไม่สมควรขึ้นมา ก็ตัดขาดกันไปเท่านั้น ขนาดพ่อลูกกันโดยสายเลือดแท้ๆ ยังตัดขาดกันได้เลย นับประสาอะไรกับพ่อลูกบุญธรรม”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ถามความเห็นชอบจากเสด็จแม่กับท่านน้า แต่ว่ากลัวว่าเจ้าจะไม่สบายใจ จึงมาบอกเจ้าโดยเฉพาะ”
“ข้าไม่มีอะไรที่ไม่สบายใจ ถึงวันนั้นข้าก็จะไปด้วย ในเมื่อพวกเขาคิดจะกดหัวข้าลง ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจ ข้าก็จะไม่ให้พวกเขาสมความปรารถนา จะไปทำให้พวกเขาไม่มีความสุข”
“อืม รอให้พิธีการยกเลิกการแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ข้าก็จะไปขอร้องให้เสด็จแม่เข้าวังไปขอพระราชเสาวนีย์ ขอร้องให้เสด็จย่ากำหนดการแต่งงานของเรา เสด็จแม่บอกแล้ว ว่าก่อนวันสิ้นปีเป็นวันที่เหมาะสมที่สุดที่จะจัดงานแต่งงาน”
“ก่อนวันสิ้นปี!” เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ “ยังมีเวลาอีกแค่เดือนกว่าๆ จัดการอะไรไม่ทันแน่ๆ”
“เป็นเสด็จแม่ที่ใจร้อนมากเกินไป ข้ายังไม่ได้รับปาก โน้น้าวนางไปแล้วว่าถึงอย่างไรก็ต้องให้ท่านพ่อท่านแม่ได้เตรียมตัวบ้าง อีกอย่างข้าก็ยังไม่ได้ไปสู่ขอถึงที่บ้านเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยสบายใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาใหม่ แล้วก็ลงมือกินข้าวต่อ
หวงฝู่อี้เซวียนนึกอะไรขึ้นได้ กลืนอาหารที่อยู่ในปาก ขยับเข้ามาใกล้นาง พูดขึ้นอย่างมีลับลมคมในว่า “วันนี้ข้ามีของดีบางอย่างมาด้วย อีกสักครู่จะเอาให้เจ้าดู”
“ของดีอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มทว่าไม่ปริปากพูด
กินข้าวเสร็จ สั่งให้ชิงหลวนกับจู๋หลีสองคนมาเก็บกวาดให้สะอาด ทั้งสองคนเดินเล่นภายในเรือนรอบหนึ่ง ย่อยอาหาร แล้วกลับเข้ามาให้ห้องอีก
พอเข้าห้อง หวงฝู่อี้เซวียนก็อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่เตียงอย่างอดรนทนรอไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวเคยชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้ว จึงไม่ได้ตกใจอะไร ปล่อยให้เขาอุ้มตัวเองไปวางไว้บนเตียง
หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่ได้นอนตามลงไป ทว่ายืนอยู่ข้างเตียง ก้มหน้ามองนางด้วยดวงตาวาววับเป็นประกาย
ทุกครั้งที่เขาแสดงอาการเช่นนี้ มักจะมีเรื่องที่ตัวเองนึกไม่ถึงเกิดขึ้นเสมอ เมิ่งเชี่ยนโยวระมัดระวังตัว ดวงตากลมโตจ้องมองตอบกลับ
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหน้าลง แล้วก็ปลดกระดุมเสื้อของนางออกโดยไม่พูดไม่จา
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปห้ามเขา
“พวกเราพักเที่ยงสักครู่ ชเสื้อนอกตัวนี้มันอึดอัดไป ข้าจะช่วยถอดออกให้เจ้า” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวอย่างอ่อนโยน แต่การกระทำของมือกลับแข็งขัน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สามารถห้ามเขาได้เลย ไม่นานเขาก็ปลดกระดุมออกหมด ช่วยถอดเสื้อคลุมตัวนอกให้นาง
จากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองออก นอนลงบนเตียง เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มผืนบางมาคลุมตัวทัง้สองคน
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าเขาต้องไม่ได้มาเพื่อกล่อมตัวเองนอนอย่างง่ายๆ เช่นนี้
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ ดึงตำราเล่มหนึ่งออกมาจากอกของตน ชูต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “เสด็จแม่สั่งให้คนนำมาให้ข้า ข้าเลือกมาได้เล่มหนึ่ง วันนี้พวกเรามาศึกษาด้วยกันนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตา บนหนังสือเขียนคำว่า “ชุนกงถู*” สามคำปรากฏชัดในดวงตาทันที
“หวงฝู่อี้เซวียน เจ้า…” เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นทันที กระหืดกระหอบร้องเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ และก็คลานหนีผุดลุกขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนรู้ก่อนแล้วว่านางจะมีท่าทีเช่นนี้ เอาตัวเข้าไปกดร่างนางไว้ และยื่นนิ้วชี้ออกมาแตะที่ปากของนาง “ชู่ว์ อย่าตะโกนสิ ถ้าคนรับใช้ได้ยินจะไม่ดีนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขยับไม่ได้ แก้มแดงเถือก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด่าขึ้นว่า “เจ้า เจ้าคนหน้าไม่อาย”
หวงฝู่อี้เซวียนที่นอนคร่อมร่างของนางก้มหน้าหัวเราะเบาๆ “โยวเอ๋อร์ เจ้าคิดอะไร ก่อนแต่งงานข้าไม่เคยจะทำอะไรเจ้า วันนี้เพียงแต่เอามาศึกษากับเจ้าก่อนเท่านั้น รอให้ถึงตอนที่เราเข้าหอกันก่อน ค่อยให้เจ้าทรมานน้อยลง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟันกรอด “ข้าไม่ดู อยากดูก็เชิญเจ้าดูไปคนเดียว”
หวงฝู่อี้เซวียนเลิกคิ้ว “เจ้าแน่ใจหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตาเขาเขม็ง “ข้าแน่ใจ! เจ้าไสหัวออกไปเลย!”
ริมฝีปากของหวงฝู่อี้เซวียนเคลื่อนลงมา ไม่บ้าคลั่งเหมือนเมื่อกี้ แต่กลับเคลื่อนไหวช้าๆ อย่างอ่อนโยน ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวกระสับกระส่าย พลางจูบพลางเล้าโลม “โยวเอ๋อร์ดูกับข้าไม่ดีหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามรักษาสติเส้นสุดท้าย กัดฟันไม่ยอมตอบ
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่รีบร้อน พยายามอย่างอดทน จนกระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวไม่สามารถทนการยั่วยวนนั้นไม่ได้ ยื่นมือออกไปโอบลำคอของเขา นั่นเองทำให้เขาแสดงอารมณ์บ้าคลั่งออกมา
หลังจากที่จูบอย่างเร่าร้อนกันไป ทั้งสองคนต่างก็หายใจหอบ
ฉวยโอกาสที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น หวงฝู่อี้เซวียนก็กระซิบหลอกล่อที่ข้างหูของนางอีก “โยวเอ๋อร์ ดูด้วยกันกับข้าดีไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพยักหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาอย่างลิงโลด แล้วก็ก้มหน้าลงไปจูบนางอีกครั้ง จึงค่อยถอนริมฝีปากออกมา กลิ้งตัวลงมานอนอยู่ข้างๆ รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกตัว
สติสัมปชัญญะของเมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ กลับคืนมา นั่นจึงรู้สึกตัวว่าเมื่อกี้นี้ตัวเองรับปากอะไรลงไป ทั้งอายทั้งโมโห
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ปล่อยนางไป ชูตำราขึ้นต่อหน้าของทั้งสองคน เปิดออกมาหน้าหนึ่ง “โยวเอ๋อร์ เจ้าดูสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแก้มแดงปลั่ง หลับตาทันที
หวงฝู่อี้เซวียนกระซิบครึ่งหนึ่งข่มขู่อีกครึ่งหนึ่งหลอกล่อ “โยวเอ๋อร์ เจ้ารับปากข้าแล้วนะ ถ้าเจ้าไม่ลืมตา ข้าจะทำอะไรเกินเลยแล้วนะ!”
ตอนที่ 123 จัดพิธี
เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้นพลันเงยหน้าขึ้นมอง ตำราที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่มีรูปภาพอนาจารที่ตัวเองจินตนาการไว้เลย จึงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“นี่เป็นเล่มที่เก่าแก่ที่สุด ภาพคนในนี้มีเพียงแค่จูบกัน ไม่มีภาพอย่างอื่นเลย” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว
เมิ่งเชี่ยนโยวสบายใจมากขึ้น
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนยังคงดังขึ้นมาอีก “แต่ว่าในนี้มีหลากหลายรูปแบบ วันนี้ข้าจะลองให้หมดเลย”
ครั้นแล้วการพักเที่ยงของทั้งสองคนก็เปลี่ยนรสชาติไป
อวี้ฝู่อี้เซวียนทำได้อย่างที่พูด นำการจูบรูปแบบต่างๆ ที่อยู่ในตำราออกมาทดลองจนหมด สุดท้ายก็ยับยั้งใจตัวเองไว้ ไม่ได้ทำอะไรต่อจากนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมือไม่ไหว ร่างกายอ่อนไร้เรี่ยวแรง ได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ถึงขนาดคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วเขาไม่หยุดจริงๆ นางก็จะไม่ขัดขืนเขา
แน่นอนว่าหากหวงฝู่อี้เซวียนได้ทราบว่านางมีความคิดเช่นนี้ น่ากลัวว่าเขาคงจะกลืนกินนางไปอย่างเช่นหมาป่าที่กำลังหิวกระหายเลยทีเดียว
ทั้งสองคนใกล้ชิดสนิทสนมแนบแน่นกันตลอดทั้งยามบ่าย จนกระทั่งดวงตะวันบ่ายคล้อยลง คิดว่าเมิ่งฉีใกล้จะกลับมาแล้วหวงฝู่อี้เซวียนจึงลุกขึ้น แล้วเอาผ้าห่มผืนบางมาห่มคลุมตัวเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเอาใจใส่ สวมเสื้อผ้าให้กับตัวเองแล้วกล่าวว่า “ข้าไปก่อนนะ คืนนี้ไม่มาแล้ว รอให้ด้านจวนราชเลขาหลินมีข่าวคราวที่ชัดเจน ข้าจะให้อี้เอ๋อร์มาส่งข่าวให้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างเขินอาย
ต่อหน้าของตน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยมีท่าทีเขินอายเช่นนี้มาก่อน หวงฝู่อี้เซวียนรั้งใจไว้ไม่ไหว ก้มลงไปจูบนางอีกครั้งแล้วจึงเดินออกไปด้วยความพึงพอใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนอยู่บนเตียง มองดูแผ่นหลังของเขาที่เดินลับหายออกจากประตูเงียบๆ อยู่ๆ ก็รู้สึกจิตใจห่อเ**่ยวขึ้นมา
หวงฝู่อี้เซวียนออกไปแล้ว ภายในห้องไม่มีความเคลื่อนไหวใด ชิงหลวนตะโกนหยั่งเชิงดังออกมาจากนอก “นายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ ผุดลุกขึ้นนั่ง “เข้ามาเถอะ!”
ชิงหลวนเดินเข้ามาในห้อง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวสวมใส่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย มีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ ปรากฏบนผิวกายอันเกลี้ยงเกลา กลับอ้าปากสูดลมหายใจเข้า “นายหญิง ท่าน ท่าน…”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้รู้สึกตัว แก้มแดงปลั่ง รีบติดกระดุมอกเสื้อทันที กล่าวว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าอย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไป”
ชิงหลวนไม่ได้ตอบว่าอะไร รอจนกระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วจึงกระวีกระวาดเข้าไปช่วยนางพับผ้าห่มผืนบาง เห็นผ้าคลุมเตียงสีขาวไร้รอยตำหนิ จึงโล่งอก บ่นเบาๆ ว่า “นายหญิง ท่านกับซื่อจื่อยังไม่ได้มีการกำหนดการแต่งงานเลย ไม่อาจให้เขาปฏิบัติเช่นนี้ต่อท่านได้”
หากเป็นเจ้านายคนอื่นที่ได้ยินสาวใช้พูดเช่นนี้ จะต้องตำหนินางอย่างแน่นอน แต่กับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เหมือนกัน รู้ว่าชิงหลวนทำเพื่อนางอย่างบริสุทธิ์ใจ อธิบายให้นางฟังว่า “จวนราชเลขาตกลงยกเลิกการหมั้นหมายแล้ว อี้เซวียนบอกว่าจะให้พระชายาเข้าวังไปขอพระราชเสาวนีย์การแต่งงานของพวกเราโดยเร็วที่สุด”
ชิงหลวนดีใจ “นั่นช่างดีเหลือเกินเจ้าค่ะ นายหญิงกับซื่อจื่อจะได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้นวันนี้ข้าถึงได้อนุญาตให้เขาทำอะไรเกินเลยไปบ้าง”
ชิงหลวนพยักหน้า “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่านายหญิงยับยั้งซื่อจื่อไว้บ้างดีกว่า ท่านดูสภาพของท่านตอนนี้ อีกหน่อยถ้าคุณชายรองเห็นเข้า ก็จะห้ามไม่ให้ซื่อจื่อเข้าจวนไปอีกนานเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยว “อืม” เบาๆ
เมิ่งฉีที่เหนื่อยมาตลอดทั้งวันได้กลับมาถึงบ้าน แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากที่กินอาหารเย็นอย่างรีบร้อน แล้วก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจอย่างโล่งอก
ผ่านไปสองวัน ทางด้านหวงฝู่อี้เซวียนยังไม่มีข่าวคราวใดส่งมา เมิ่งเชี่ยนโยวไปที่โรงหัตถกรรม องครักษ์จากร้านบะหมี่มันฝรั่งต่างก็มาที่นี่กันแล้ว เมิ่งฉีแบ่งงานให้พวกเขาไปดูแลโรงหัตถกรรมต่างกันไป
มีพวกเขามาช่วย ภาระอันหนักอึ้งของเมิ่งฉีก็ลดน้อยลง คนจึงไม่ได้เหน็ดเหนื่อยมาก
ผ่านไปหลายวัน เหล่าพลทหารที่บาดเจ็บและพิการต่างก็เข้าใจในกรรมวิธีการผลิตไส้กรอก ทำงานกันว่องไวมากขึ้น ของที่ทิ้งก็น้อยลงมาก แต่ก็ใช้เปลือกของไส้กรอกจนเกือบจะหมดแล้ว
ทั้งสองคนต่างก็คิดเช่นเดียวกัน ตัดสินใจว่าจะว่าจ้างผู้หญิงมาทำความสะอาดเปลือกของไส้กรอก โดยให้เงินค่าแรงเท่ากับพวกผู้ชายที่อยู่ในโรงหัตถกรรม
มีโรงหัตถกรรมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งโรง ตัวเมิ่งฉีเองก็ดูแลไม่ทั่วถึงจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงปรึกษากันกับเขาว่าจะไปนำสัญญาซื้อขายทาสของเสี่ยวซือที่จวนใต้เท้าเปา ยกให้เขาเป็นผู้จัดการใหญ่ของโรงหัตถกรรม ต่อไปเรื่องภายนอกก็ให้เขาดูแลเช่นเดิม
ทั้งสองคนมีความประสงค์เช่นนี้มานานแล้ว เพียงแต่เปาอีฝานได้รับบาดเจ็บถึงได้ต้องล่าช้าไป ตอนนี้พอเมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยขึ้นมาอีก เมิ่งฉีจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดีเช่นกัน วันนี้เจ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปถามดูเถอะ”
“รอให้เสี่ยวซือกลับมาก่อน จะได้ถามความเห็นจากเขา ข้าค่อยไป” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
ในระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้น เสี่ยวซือซื้ออาหารกลับมา เดินเข้าไปในโรงหัตถกรรมแล้วเรียกให้พวกผู้หญิงที่ทำอาหารมาเอาอาหารที่ต้องใช้ภายในโรงหัตถกรรม
เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือเรียกเขาเข้ามา
เสี่ยวซือเดินเข้ามา ถามอย่างสุภาพว่า “แม่นาง เรียกหาข้าด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “สัญญาทาสที่เจ้าลงนามกับจวนใต้เท้าเปานั้นคือสัญญาผูกขาดหรือว่าสัญญาชั่วคราว”
เสี่ยวซืออึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงรีบตอบว่า “เรียนแม่นาง เป็นสัญญาผูกขาดขอรับ บิดามารดาตายไปตั้งแต่ข้าน้อยยังเป็นทารก ถูกลุงฝ่ายแม่ขายตัวให้เป็นทาส นับตั้งแต่จำความได้ข้าก็ติดตามใต้เท้าเปาแล้ว”
“เป็นเช่นนี้เอง โรงหัตถกรรมของข้าขาดผู้จัดการโดยรวมคนหนึ่ง คือช่วยพี่รองข้าจัดการดูแลโรงหัตถกรรมภายนอก ดูเจ้าเฉลียวฉลาด มีไหวพริบในการทำงาน ระยะนี้ก็แสดงฝีมือได้ดี ข้ารู้สึกพอใจมาก ข้าคิดว่าจะไปขอตัวเจ้ามาจากใต้เท้าเปา มาเป็นผู้จัดการที่นี่ ไม่ทราบว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่”
เสี่ยวซือไม่คาดคิดว่าเรื่องดีๆ เช่นนี้จะเกิดกับตัวเองได้ โง่งมไปชั่วขณะ ขนาดจะพูดยังพูดไม่ออก มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “ทำไม เจ้าไม่ยอมหรือ”
เสี่ยวซือจึงรู้สึกตัวขึ้นมา โค้งตัวก้มลง น้ำเสียงตื้นตันใจ กล่าวซ้ำๆ ขึ้นว่า “ข้าน้อยยินยอมขอรับ ข้าน้อยยินยอม ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นางขอรับ”
“ดี ข้าจะไปจวนเปาเดี๋ยวนี้ ไปซื้อสัญญาทาสของเจ้า ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าก็คือผู้จัดการใหญ่ของโรงหัตถกรรมนี้ จำไว้ ว่าต้องทำงานของเจ้าให้ดี ห้ามมีใจคิดเป็นอื่นเด็ดขาด”
เสี่ยวซือรีบร้อนตอบรับ “ข้าน้อยทราบแล้ว แม่นางโปรดวางใจ ชั่วชีวิตนี้ของข้าน้อยจะไม่ทำเรื่องที่เป็นการหักหลังนายหญิงเด็ดขาดขอรับ”
“พี่รอง ข้าจะไปจวนเปาแล้ว ท่านไปแนะนำให้คนในโรงหัตถกรรมรู้เถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เมิ่งฉีพยักหน้า บอกเสี่ยวซือว่า “เจ้าตามข้ามา”
เสี่ยวซือกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วก็ตามเมิ่งฉีไปยังโรงหัตถกรรม
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินทางมาถึงจวนเปา คนเฝ้าประตูพานางเข้าไปไปในเรือนของซุนฮุ่ย แล้วตะโกนรายงานอยู่ภายในเรือนอย่างสุภาพว่า “ฮูหยินน้อย แม่นางเมิ่งมาขอรับ”
มั่วเอ๋อร์สาวเท้าวิ่งเข้ามาหาด้วยสองขาน้อยๆ ร้องเรียก “ท่านน้า” แล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดของนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มเขาขึ้น แล้วหมุนไปรอบๆ มั่วเอ๋อร์หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ
ซุนฮุ่ยเดินออกมาจากห้องอย่างดีใจ “น้องโยวเอ๋อร์ ทำไมวันนี้เจ้าถึงว่างมานี่ได้ รีบเข้าไปนั่งข้างในห้องเร็วเข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยววางมั่วเอ๋อร์ลง จูงมือเล็กๆ ของเขาเดินเข้าไปในห้อง เดินมาถึงข้างเตียงของเปาอีฝาน
ไม่ได้เจอกันหลายวัน เปาอีฝานมีสีหน้าสดชื่นขึ้นมาก ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาด ดูมีชีวิตชีวา เวลานี้กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ครึ่งตัว เห็นนางเดินเข้ามาก็ยิ้มให้ทันที แล้วกล่าวว่า “หลายวันก่อนสะลึมสะลือมึนงง มองอะไรไม่ชัด วันนี้ได้เห็นชัดๆ แม่นางเมิ่งยิ่งมีสง่าราศีจับมากขึ้น มิน่าเล่าซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีถึงได้หลงเสน่ห์จนหัวปักหัวปำ”
“สามารถพูดจาเชือดเฉือนเช่นนี้ได้ เห็นทีว่าจะไม่ตายแล้ว ข้ารู้สึกเสียดายแทนพี่ฮุ่ยจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะได้หาพี่เขยดีๆ ให้เขาใหม่” เมิ่งเชี่ยนโยวตอกกลับอย่างไม่เกรงใจ
เปาอีฝานโดนยอกย้อนจนอึ้ง รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของเขาแข็งกระด้างเล็กน้อย
เห็นท่าทางราวกับถูกบีบให้ยอมแพ้ของเขาแล้ว ซุนฮุ่ยก็หัวเราะคิกคักออกมา “ท่านน่ะ เห็นชัดว่าเป็นห่วงนางมาก แต่คำพูดที่พูดออกมานั้นกลับเป็นคำที่คนไม่ชอบ สมแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวโอบไหล่ของซุนฮุ่ย แลบลิ้นปลิ้นตาทำหน้าทะเล้นใส่เปาอีฝาน “เห็นหรือยัง นี่คือพี่สาวแท้ๆ ของข้า ท่านสำคัญน้อยสุดเลย”
เปาอีฝานโคลงศีรษะ “เจ้านี่นะ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังไม่เปลี่ยน ไม่ยอมลงให้กับใคร”
“สันดอนขุดได้ สันดานขุดไม่ได้ ข้าก็เป็นเช่นนี้ไปตลอดชีวิต เปลี่ยนไม่ได้แล้ว” พูดจบ ก็นั่งลงบนตั่งข้างเตียง บอกเป็นความหมายว่าให้เปาอีฝานยื่นมือมา จะได้ตรวจชีพจรให้เขา
เปาอีฝานยื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย เมิ่งเชี่ยนโยวเอามือไปวางไว้บนจุดชีพจรของเขา
ซุนฮุ่ยสั่งให้สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เพียงแค่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอไป อีกอย่างตอนนี้ท่านอย่าขยับเท้ามากนัก ดีที่สุดคือนอนพักอีกสักหลายวัน”
ซุนฮุ่ยได้ยินดังนั้นจึงเดินเข้ามา ช่วงพยุงให้เขานอนลงอย่างระมัดระวัง “ข้าบอกเขาตลอด ว่าบาดแผลที่ขายังไม่หายดี ให้เขาระมัดระวังบ้าง แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง จะขึ้นมานั่งให้ได้”
“ข้านอนอยู่สิบกว่าวันแล้ว นอนกระดูกกระเดี้ยวขึ้นสนิมแล้ว ถ้าไม่เคลื่อนไหวร่างกายบ้าง ประเดี๋ยวตอนบาดแผลที่ขาหายดี จะกลายเป็นคนพิการเอา”
“พิการก็ดี หากเป็นเช่นนั้นพี่ฮุ่ยจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนเรื่องของท่านทุกวัน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
“เฮ้ยๆ” เปาอีฝานที่นอนอยู่ร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ “ข้าไปล่วงเกินเจ้าตรงไหน เจ้าอย่ามาแช่งข้าเช่นนี้นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจพูดขึ้นว่า “ท่านไม่ได้ล่วงเกินข้าตรงไหนเลย ข้าแค่รู้สึกว่าท่านขัดลูกหูลูกตาเท่านั้น”
เปาอีฝานโดนตอกกลับจนอึ้งไปอีกครั้ง
ซุนฮุ่ยส่งเสียงหัวเราะออกมา
มั่วเอ๋อร์ก็ปิดปากตัวเองแอบหัวเราะ
ทุกคนพูดคุยหยอกล้อกันสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวบอกจุดประสงค์ของการมาให้เขาทราบ
ซุนฮุ่ยกล่าว “เรื่องนี้ไม่ยาก เจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปเอาสัญญาทาสของเสี่ยวซือออกมาให้เจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ฮุ่ย”
ซุนฮุ่ยโบกมือ เดินเข้าไปในห้องใต้เท้าเปา
เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มมั่วเอ๋อร์ขึ้นมานั่งบนตักของตน ถามเปาอีฝานว่า “คิดจะทำอะไรหรือ”
“ดูว่าการฟื้นฟูขาของข้าว่าเป็นอย่างไร ถ้าหากดีขึ้นเป็นปกติเหมือนก่อน ข้าก็จะไปที่ค่ายทหาร ไปรับใช้ท่านแม่ทัพใหญ่ ถ้าหากไม่ไหว ข้าก็จะช่วยท่านแม่ข้าจัดการดูแลร้านค้าพวกนั้น” เปาอีฝานกล่าว
“การบาดเจ็บของท่านสาหัสมาก จะหายดีเป็นปกติไหมข้าก็ยังไม่มั่นใจ ท่านเตรียมตัวไว้เช่นนี้ก็ดี”
เปาอีฝานพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกฮุ่ยเอ๋อร์ นางจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
สักพักซุนฮุ่ยก็กลับมา นำสัญญาขายตัวเป็นทาสของเสี่ยวซือมาให้เมิ่งเชี่ยนโยว “พอท่านแม่ข้าได้ยินว่าเจ้าต้องการ ก็รีบเอาสัญญาการขายตัวเป็นทาสให้ข้าทันที ยังบอกอีกว่า ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็ให้บอกมาได้เลย”
เอาสัญญาขายตัวเป็นทาสใส่ไว้ในอกเสื้อ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ ถ้ามีสิ่งใดที่ต้องการให้พวกท่านช่วยเหลือข้าจะไม่เกรงใจแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้ากับข้ามิใช่คนนอก ข้าก็ไม่อยากให้เจ้ามาเกรงใจกับข้า” ซุนฮุ่ยกล่าว
สัญญาขายตัวเป็นทาสมาอยู่ในมือแล้ว นั่งพูดคุยกันสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นกล่าวลา ซุนฮุ่ยรั้งนางให้อยู่กินมื้อเย็นที่บ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวบอกปัดไปว่ายังมีธุระอยู่ที่โรงหัตถกรรมอีก จึงไม่ได้อยู่ด้วย
กลับมาที่โรงหัตถกรรม เสี่ยวซือไปส่งอาหารให้กับหมู่บ้านนอกเมืองแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาสัญญาขายตัวเป็นทาสส่งให้เมิ่งฉีดู กล่าวว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้ ก็ให้เขาช่วยท่านอยู่ในโรงหัตถกรรมเถอะ ส่วนเรื่องอาหารของหมู่บ้านนอกเมืองนั้น ให้เหวินเปียวส่งคนไปซื้อทุกวันเถอะ ผ่านมาหลายวันแล้ว ทางด้านตระกูลโฮ่วก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ คิดว่าระยะนี้น่าจะไม่มีความคิดไม่ซื่อแล้วล่ะ อีกอย่างอากาศก็หนาวขึ้นแล้ว การบุกเบิกที่ดินร้างก็ทำได้อีกไม่กี่วันแล้ว”
เมิ่งฉีพยักหน้า “ดี แบบนี้ข้าก็จะได้สบายขึ้นบ้าง หลายวันมานี้ข้าเหนื่อยแทบแย่จริงๆ”
“ข้ารู้ ตอนที่อยู่บ้านมีพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ช่วยเหลือ จึงไม่เหนื่อยอะไร อยู่ที่นี่ดูแลประคับประคองคนเดียวนั้นเหนื่อยเกินไป ข้าก็ยุ่ง ช่วยท่านไม่ได้เลย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ท่านก็เลือกคนที่พอจะใช้ได้จากคนงานเหล่านี้มาช่วยท่าน”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าอย่าสนใจแล้ว จัดการกำหนดวันแต่งงานของพวกเจ้าก่อนดีกว่า ไม่เช่นนั้นหลังจากผ่านวันสิ้นปีไป ไม่แน่ว่าท่านพ่อท่านแม่จะไม่ยอมให้เจ้ามาอีก”
“จวนแล้ว ข้าขบคิดเรื่องนี้ได้หลายวันแล้ว รอให้อี้เซวียนยกเลิกการหมั้นหมาย อีกไม่นานก็จะกำหนดเรื่องการแต่งงานของพวกเรา”
ถึงแม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะบอกเมิ่งฉีไปแล้วว่าจวนราชเลขาตกลงที่จะยกเลิกการหมั้นหมายแล้วก็ตาม แต่ทางด้านจวนราชเลขานั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดมาหลายวันแล้ว เมิ่งฉีกลัวว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง รู้สึกร้อนใจ กล่าวว่า “วันนี้เจ้าส่งคนไปจวนอ๋องฉีถามอี้เซวียนดู ว่าทำไมทางด้านจวนราชเลขาถึงยังไม่ส่งข่าวมา”
“พี่รอง เรื่องนี้ใจร้อนไม่ได้ ยิ่งกังวลก็ยิ่งโดนกลั่นแกล้ง เพื่อการแต่งงานของพวกเราแล้ว ขนาดท่านแม่ทัพใหญ่ยังถูกดึงเข้ามาเกี่ยวด้วย ถ้าหากยังไปเร่งรัดพวกเขาอีก ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะมีเรื่องเดือดร้อนอะไรขึ้นมาอีกก็ได้ ปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า พวกเรารอมาได้จนถึงขนาดนี้แล้ว จะไปสนใจเวลาที่เหลือทำไม”
เมิ่งฉีถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก
ผ่านไปอีกวันหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนส่งหวงฝู่อี้มาบอกกับนางว่า “จวนราชเลขากำหนดวันที่แน่นอนมาแล้ว หลังจากนี้อีกสามวันจะจัดพิธีการรับเป็นบุตรบุญธรรม พระชายาเหนียงเหนียงได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว พี่ใหญ่ให้ข้ามาบอกพี่เมิ่งไว้ก่อน ถึงวันนั้นให้ท่านรออยู่ที่จวน เขาจะมารับท่านด้วยตัวเองขอรับ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น