ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 116-119

ตอนที่ 116 งานแต่งงานของท่านแม่ทัพ

 

การที่คุยเรื่องนี้ต่อหน้าคนรุ่นเด็กกว่าทั้งสองคน ทำให้ใบหน้าอันหยาบคล้ำของฉู่เหวินเจี๋ยปรากฏริ้วแดงขึ้น “ท่านพี่ เรื่องการแต่งงานของข้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอให้ยกเลิกการแต่งงานระหว่างเซวียนเอ๋อร์กับคุณหนูหลินก่อนเถิด ค่อยว่ากันทีหลัง”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน ยกเลิกการแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์ได้แล้ว ข้าจะรีบเข้าวังไปหาเสด็จแม่ทันที คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจขัดขวางข้าได้อีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาแล้ว ความละอายที่อัดอั้นอยู่ในใจของฉู่เหวินเจี๋ยมานานหลายปีก็ถือว่าได้ระบายออกไปแล้ว คิดว่าอันที่จริงก็สมควรแก่เวลาที่ตนควรจะหาศรีภรรยาเพื่อมาสืบสกุลแก่ตระกูลฉู่ได้แล้ว จึงพยักหน้ายินยอม “ทุกอย่างมอบให้ท่านพี่เป็นคนจัดการ”


 


 


เวลาที่พูดคุยกันมักจะผ่านไปเร็วเสมอ เวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่ายคล้อยโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่ฉู่เหวินเจี๋ยกับหวงฝู่อี้เซวียนตกลงกันได้แล้วว่าวันพรุ่งนี้จะไปที่จวนราชเลขาเวลาใด พระชายาฉีหยัดกายลุกขึ้น พาหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากจวนแม่ทัพ


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยมาส่งพวกเขาที่หน้าประตูจวน มองดูพวกเขาขึ้นรถม้าไปไกลแล้ว จึงเดินกลับเข้าจวนไปอย่างมีความสุข


 


 


การสนทนากินเวลาไปครึ่งค่อนวัน พระชายาฉีจึงค่อนข้างเหนื่อยล้าอยู่บ้าง พอขึ้นรถม้า ก็หาหมอนพิงแล้วก็เอนหลังพิงลงไป น้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “นับตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่ข้าจากไป เป็นเวลาหลายปีแล้ว นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ข้ากลับบ้าน ในจวนนอกจากจะดูเงียบเหงาขึ้นบ้าง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบใจนาง “ในจวนไม่มีนายผู้หญิง ขนาดคนรับใช้ก็ยังเป็นพวกผู้ชาย ย่อมไม่รู้จักเรื่องการจัดการภายในจวนอยู่แล้วเพคะ รอให้ท่านไปขอพระราชทานงานแต่งให้ท่านแม่ทัพ สู่ขอฮูหยินท่านแม่ทัพ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองเพคะ”


 


 


ท่าทีของพระชายาฉีไม่ได้ดูมีความสุขเลยแม้แต่น้อย “ถึงจะพูดเช่นนั้นก็เถอะ แต่ถึงอย่างไรท่านน้าของเจ้าก็อายุมากแล้ว ผู้ใดจะยินยอมมอบบุตรสาวที่หวงแหนราวกับหยกให้แต่งงานกับเขาเล่า”


 


 


“เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวยิ้มๆ “ท่านไม่ได้เห็นเหตุการณ์ตอนที่ท่านแม่ทัพใหญ่เดินทางเข้ามาเมืองหลวงในวันนั้น สตรีทุกนาง ไม่ว่าแก่ก็ดีเด็กก็ดี อัปลักษณ์ก็ดีงดงามก็ดี สูงก็ดีเตี้ยก็ดี ล้วนแต่อยากจะกระโจนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา ดังนั้นเรื่องการแต่งงานของท่านแม่ทัพใหญ่มิใช่ปัญหาเลย ถ้าหากไม่ได้จริงๆ ท่านก็ให้เขายืนตะโกนอยู่ที่หน้าจวนคำเดียว รับรองว่าสตรีทั่วทั้งเมืองหลวงก็จะวิ่งเข้าหา เบียดกันจนเต็มหน้าประตูจวนแม่ทัพแน่เพคะ”


 


 


พระชายาฉีขบขันจากคำพูดของนาง กล่าวติดตลกว่า “ถือเป็นวิธีที่ดีเลยทีเดียว ถ้าหากเสด็จแม่หาคู่แต่งงานที่เหมาะสมแก่เหวินเจี๋ยไม่ได้ ข้าจะลองทำตามวิธีของเจ้าดู อย่างไรเสียจวนแม่ทัพของเราก็รุ่งโรจน์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้การแต่งงานมาทำให้ตัวเองมีเสถียรภาพทางฐานะสูงขึ้น”


 


 


เมื่อรถม้ามาถึงทางแยก เมิ่งเชี่ยนโยวให้สารถีหยุดรถม้าลง ยิ้มแล้วพูดกับพระยาชาอ๋องฉีว่า “หม่อมฉันออกมาทั้งวันแล้วเพคะ นี่ก็เย็นมาก หม่อมฉันจะไม่กลับจวนอ๋องไปด้วยกันกับท่านแล้วเพคะ พี่รองกลับบ้านแล้วไม่เห็นหม่อมฉัน จะเป็นห่วงได้เพคะ”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรอมานานหลายวันแล้ว กว่าจะมีโอกาสได้เจอหน้ากับเมิ่งเชี่ยนโยว จึงไม่ยอม และไม่สนใจว่าพระชายาฉีจะอยู่ด้วยหรือไม่ เอื้อมมือไปจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ “ประเดี๋ยวข้าจะให้อี้เอ๋อร์ไปส่งจดหมายกับพี่รอง บอกว่าเจ้ากำลังปรึกษาเรื่องยกเลิกการแต่งงานอยู่ที่จวนอ๋อง พี่รองคงไม่เป็นกังวล เจ้าไปที่จวนอ๋องกับข้าเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นกลัวท่าทางบ้าคลั่งครั้งที่แล้วของเขาอยู่ จึงไม่กล้าตามไปที่จวนอ๋องฉีด้วย ทั้งสองจะได้ไม่ทำเรื่องเลยเถิดอะไรได้ ถึงแม้นางจะเป็นจิตวิญญาณที่มาจากยุคสมัยปัจจุบัน เปิดใจกว้างรับเรื่องแบบนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ข้ามเวลามาอยู่ในสมัยนี้แล้ว มีครอบครัวที่ตนต้องใส่ใจ เรื่องบางเรื่องต้องทำตามขนบธรรมเนียมประเพณีไว้ดีกว่า คิดได้เช่นนั้นจึงยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ช่วงนี้โรงหัตถกรรมมีคนมาเพิ่มเยอะ ข้าเองก็ต้องยุ่งอยู่กับการรักษาอาการป่วยของฮูหยินเหวิน และปรุงยาให้กับร้านยาเต๋อเหริน จึงไม่ได้มีเวลาว่าง ในวันหนึ่งพี่รองก็ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็นมากพอแล้ว ข้าไม่อาจทำให้เขาต้องเป็นห่วงเรื่องของข้าอีก วันนี้หลังจากที่ข้ากลับไป จะเล่าเรื่องที่เจ้ากับท่านแม่ทัพใหญ่จะไปที่จวนราชเลขาในวันพรุ่งนี้ให้เขาฟัง ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง บางทีตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเขาอาจจะไม่ห้ามไม่ให้เจ้าไปหาข้าที่บ้านก็ได้นะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจเมิ่งเชี่ยนโยว หากเรื่องใดที่นางได้ตัดสินใจไปแล้วจะเปลี่ยนแปลงได้ยาก ขบฟันแน่น พูดเสียงแผ่วเบาว่า “วันนี้เจ้าไม่กลับจวนอ๋องไปกับข้า ถ้าหากว่าพรุ่งนี้จัดการแก้ปัญหาเรื่องการแต่งงานกับหลินหันเยียนได้แล้ว คืนนั้นข้าจะไปพักอยู่ในห้องของเจ้า”


 


 


เมื่อได้ยินบุตรชายพูดเช่นนี้ต่อหน้าของนาง พระชายาฉีก็สำลักน้ำลายตัวเอง ไอแค่กๆ ออกมาไม่หยุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอื้อมมือออกไปลูบหลังให้นางอย่างลนลาน อีกด้านก็ขึงตามองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างฉุนๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจ้องนางเขม็ง ประหนึ่งว่าถ้าหากนางไม่ยอมเข้าก็จะไม่ปล่อยให้นางลงจากรถม้าไป


 


 


พระชายาฉีเห็นสายตาของเขา เข้าใจว่าบุตรชายของตนอดใจรอไม่ไหวแล้ว มันก็ไม่แปลก เป็นเพราะว่าตอนนี้อยู่ในวัยคึกคะนอง เพิ่งจะรักกันหวานชื่น แต่กลับไม่อาจอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน หากเป็นใครก็คงจะโมโหกันทั้งนั้น ถือว่าบุตรชายของตนนั้นมีความยับยั้งชั่งใจแล้ว พอนึกถึงตรงนี้ ก็แกล้งทำเป็นไอแค่กๆ ขึ้นอีกหลายครั้ง กล่าวว่า “แม่นางเมิ่ง เอาเช่นนี้ เจ้าไปนั่งเล่นในจวนกับข้าก่อนเถอะ”


 


 


ถ้าหากเมิ่งเชี่ยนโยวทราบว่าว่าพระชายาฉีคิดอย่างไร คาดว่าคงจะทุบตีหวงฝู่อี้เซวียนอย่างแรงสักที พูดคำพูดที่ไม่ยั้งคิดเช่นนี้เข้า หากใครได้ฟังก็คงจะคิดมากด้วยกันทั้งนั้น


 


 


แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่เข้าใจในความหมายของพระชายาฉี จ้องมองนางอย่างใจจดใจจ่อ รอคำตอบจากนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีทางเลือก เม้มริมฝีปาก กล่าวขึ้นอย่างจนปัญญาว่า “ถ้าเจ้าไม่กลัวว่าพี่รองจะตีจนเจ้าลุกไม่ไหว เจ้าก็ไปเถอะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเผยยิ้มชั่วร้าย “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร จะไม่ให้พี่รองเห็นเข้า”


 


 


เห็นท่าทางยินดีพออกพอใจของเขา พระชายาฉีกลับรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าบุตรชายของตนช่างน่าสงสารยิ่งนัก ลอบคิดอย่างหมายมั่นปั้นมือ รอให้ยกเลิกการแต่งงานกับจวนหลินได้แล้ว จะจัดการแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่ให้พวกเขาทันที


 


 


หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวลาพระชายาฉีอีกครั้ง ก็ลงจากรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนเป็นคนไปส่งนางขึ้นรถม้าของนางด้วยตัวเอง มองดูรถม้าวิ่งออกไปไกลแล้ว จึงกลับขึ้นไปบนรถม้าของตัวเอง


 


 


พระชายาฉีมองดูหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังอารมณ์ดี อ้าปากจะเอ่ยอะไรอยู่หลายครั้ง คิดจะตักเตือนอะไรเขา แต่ต่อมาก็นึกได้ว่าบางที่อีกไม่นานพวกเขาก็จะแต่งงานกันแล้ว ถึงเมิ่งเชี่ยนโยวจะตั้งครรภ์จริง ถึงตอนนั้นทำชุดแต่งงานให้หลวมๆ หน่อยก็ตบตาคนได้แล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคิดถึงแต่ว่าวันพรุ่งนี้ตอนเย็นจะได้อยู่กับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็ให้ดีใจ จึงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางของพระชายาฉี


 


 


สองคนแม่ลูกเดินทางกลับถึงจวนอย่างปลอดภัย อ๋องฉีกลับมาแล้ว พระชายาฉีเล่าเรื่องที่ได้ปรึกษากันไว้ให้เขาฟัง


 


 


อ๋องฉีพยักหน้า “ให้เหวินเจี๋ยกับอี้เซวียนไปสักครั้งก็ดีเหมือนกัน แก้ปัญหาเรื่องการแต่งงานกับจวนหลินไม่ได้วันหนึ่ง ข้าก็ไม่สบายใจไปอีกวันหนึ่ง หากวันใดเสด็จพี่ฮ่องเต้เกิดฉุกใจคิดมาอย่างฉับพลัน มีพระราชโองการให้พวกเขาแต่งงานกันมันจะยุ่งเอา”


 


 


เป็นครั้งแรกที่พระชายาฉีเห็นอ๋องฉีแสดงความเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ตกตะลึงไปชั่วขณะ ในใจเกิดความรู้สึกอ่อนไหวราวกับสายน้ำ น้ำเสียงที่พูดออกมาก็อ่อนโยนไม่น้อย “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้องแล้วเพคะ กำหนดการแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์กับแม่นางเมิ่งยิ่งเร็วก็ยิ่งดี ถ้าเกิดมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมา พวกเราจะได้จัดการได้ทันท่วงที”


 


 


อ๋องฉีไม่เข้าใจ โพล่งถามขึ้นง่ายๆ ว่า “อะไรคือเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือ”

 

 

 


ตอนที่ 117 เบิกบานใจหลายเท่า

 

พระชายาฉีกระดากปากที่จะพูดออกมาตรงๆ พูดอย่างคลุมเครือขึ้นว่า “เซวียนเอ๋อร์กับแม่นางเมิ่งมักจะอยู่ด้วยกันบ่อยๆ พวกเป็นหนุ่มเป็นสาว อาจจะทำเรื่องที่คิดไม่ถึงก็ได้เพคะ”


 


 


อ๋องฉีเป็นคนที่ผ่านโลกมานักต่อนักแล้ว จึงเข้าใจความหมายจากคำพูดนางทันที แล้วก็ขมวดคิ้วก่อน ต่อมาก็รู้สึกยินดี ถามตรงๆ ว่า “ความหมายของเข้าก็คือ พวกเราอาจจะได้เป็นท่านปู่กับท่านย่าแล้ว”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า “หม่อมฉันกังวลว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ จึงคิดที่จะยกเลิกการแต่งงานกับจวนราชเลขาโดยเร็ว จะได้เตรียมจัดงานแต่งงานให้พวกเขา”


 


 


“ดี” น้ำเสียงของอ๋องฉีตื่นเต้นดีใจมากขึ้น “รอวันพรุ่งนี้ให้เหวินเจี๋ยพวกเขากลับมาแล้ว ถ้าราชเลขาหลินรับปากยกเลิกการแต่งงาน พวกเราก็รีบเขาวังไปขอพระราชทานการแต่งงานทันที กำหนดวันแต่งงานของพวกเขา เช่นนี้แล้ว ต่อให้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น คนข้างนอกก็จะติฉินนินทาไม่ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทราบว่าอ๋องฉีกับพระชายาฉีเริ่มที่ปรึกษากันเรื่องงานแต่งงานของเขาแล้ว กลับเรือนตัวเองไปอย่างครึ้มอกครึ้มใจ นอนแผ่หลาอยู่บนเตียง นึกถึงว่าคืนพรุ่งนี้ก็จะได้แอบไปที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว รู้สึกเบิกบานใจหลายเท่านัก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับบ้านบ้านไป เมิ่งฉีก็ได้กลับมาแล้ว แม่ครัวกับสาวใช้ทั้งหลายทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว


 


 


คนงานในโรงหัตถกรรมมีเพิ่มขึ้นมามาก เมิ่งฉีกลับเหนื่อยกว่าแต่ก่อนอีกไม่น้อย ทุกวันหลังจากที่กลับมา ก็เหน็ดเหนื่อยจนแทบจะไม่ไหว แต่ว่า ถึงจะเหนื่อยเพียงใดก็ไม่ลืมที่จะใส่ใจเรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยว วันนี้พอเข้าบ้านมาแล้วไม่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากที่ทราบข่าวว่านางไปที่จวนอ๋องฉี สีหน้าทะมึนขึ้นทันที สั่งคนรับใช้เอาไว้ ว่าถ้าหากเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้วให้นางไปพบเขาทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเดินเข้าประตูมา คนรับใช้ก็บอกมาว่าเมิ่งฉีต้องการให้นางไปหา คิดว่าโรงหัตถกรรมอาจจะมีเรื่องอะไร จึงรีบไปหาเมิ่งฉีที่เรือนทันที เปิดม่านประตูเข้าไป ถามขึ้นว่า “พี่รอง โรงหัตถกรรมมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งฉีนั่งอยู่ในห้องด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ถามเสียงต่ำขึ้นว่า “วันนี้เจ้าไปที่ไหนมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้ว่าเขากำลังโมโห มองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ตอบไปตามตรงว่า “ตอนแรกไปที่จวนอ๋องฉี จากนั้นก็ตามพระชายาฉีกับอี้เซวียนไปที่จวนแม่ทัพฉู่ พอออกมาจากที่นั่นก็ตรงกลับบ้านเลยเจ้าค่ะ”


 


 


สีหน้าของเมิ่งฉีก็ดีขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “ต่อไปถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นก็อย่าไปที่จวนอ๋องฉีบ่อยนัก อย่าให้คนนินทาเอาได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเข้าใจทันทีว่าเมิ่งฉีโกรธด้วยเรื่องอะไร ลอบรำพึงกับตัวเองว่าโชคดีที่วันนี้มีญาณทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า รีบกลับบ้านเร็ว เห็นท่าทางของพี่รองแล้ว ถ้าวันนี้มาช้าหน่อย คิดว่าเขาอาจจะไปหาคนถึงที่จวนอ๋องฉีเลยกระมัง กลับยิ้มบนใบหน้าแล้วกล่าวว่า “พี่รองเจ้าคะ ท่านคิดไปถึงไหนกัน ข้ากับอี้เซวียนรู้จะแยกแยะถึงความเหมาะสมอยู่”


 


 


“รู้จักแยกแยะแล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน ข่าวลือที่แพร่ออกมาไม่มีผลดีต่อเจ้าเลย! อีกอย่างเรื่องการแต่งงานของเขาก็เป็นอุปสรรคอันใหญ่ รอให้เขายกเลิกการแต่งงานได้ก่อน พี่รองถึงจะอนุญาตให้พวกเจ้าได้อยู่ใกล้ชิดกัน”


 


 


“ข้ากำลังจะเล่าเรื่องนี้ให้พี่รองฟังพอดี” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวยิ้มๆ


 


 


เมิ่งฉีมองหน้านาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าเรื่องที่ไปจวนแม่ทัพวันนี้ให้เขาฟัง


 


 


เมิ่งฉีได้ยินแล้วก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นยินดีเท่าใดนัก “นี่เป็นเพียงความคิดของพวกเจ้า ส่วนเรื่องที่จะไปจวนราชเลขา แล้วคุยกันได้ผลอย่าวไรนั้น ทุกอย่างยังไม่ได้แน่เลย เจ้าอย่าดีใจเกินไป ข้ายังยืนยันคำเดิม ก่อนวันสิ้นปี ถ้าการแต่งงานของเขายังยกเลิกไม่ได้ พี่รองก็จะพอเจ้ากลับบ้านเดิม ต่อไปเรื่องของเขาก็จะไม่เกี่ยวกับเจ้าอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเขายังโกรธอยู่ จึงไม่กล้าเอ่ยคัดค้าน


 


 


รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องฉีวันหนึ่ง เมิ่งฉีก็สบายใจขึ้น จึงเปลี่ยนเรื่องคุย บอกเล่าถึงสถานการณ์ในโรงหัตถกรรมให้นางทราบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาหน้าตอบลงทุกวัน รู้สึกว่าเขาในเวลานี้ลำบากเกินไปแล้ว คิดว่าจะหาคนมาช่วยดูแลดีหรือไม่ คิดนิดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “พี่รอง ให้องครักษ์ที่ร้านบะหมี่มันฝรั่งมาช่วยดีไหมเจ้าคะ”


 


 


องครักษ์ที่อยู่ในร้านบะหมี่มันฝรั่งนั้นตอนที่อยู่บ้านเดิมก็เคยทำงานที่โรงหัตถกรรม จึงมีประสบการณ์ ไปก็ช่วยเหลืองานได้ไม่น้อย หลายวันมานี้เมิ่งฉีก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด จึงพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดีเหมือนกัน ให้พวกเขามาเป็นผู้ดูแล ข้าจะสบายขึ้นมาก”


 


 


หลังจากที่รับประทานมื้อเย็นเสร็จ เมิ่งฉีก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับห้องของตัวเอง ไม่ได้ให้ชิงหลวนจุดตะเกียง นั่งอยู่ในห้องทั้งที่มืดๆ คิดว่าถ้าหากย้ายองครักษ์ที่ร้านบะหมีมันฝรั่งไปที่โรงหัตถกรรมแล้ว จะไปหาคนมาแทนจากที่ไหนได้ทันที


 


 


วันต่อมา หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จรียบร้อย เมิ่งฉีไปที่โรงหัตถกรรม เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ชิงหลวนรอเฝิงจิ้งเหวินสองคนพี่น้องอยู่ที่จวน รอบอกพวกนางว่าตัวเองมีธุระที่ต้องออกไปทำสักพัก ให้พวกนางสองพี่น้องรอสักครู่ แล้วก็พาจู๋หลีไปที่เหลาจวี้เสียน


 


 


พนักงานที่เหลาจวี้เสียนเพิ่งเดินหาวลงมาเปิดประตู พอเปิดประตูก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมารออยู่ที่ข้างนอก อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “แม่นางขอรับ ท่านมาเช้าเกินไปแล้ว พวกเรายังไม่ได้เปิดร้านเลย”


 


 


“ข้ามาหาเถ้าแก่ของพวกเจ้า รบกวนเจ้าไปบอกเขาด้วย ว่าเจ้าของร้านบะหมี่มันฝรั่งที่อยู่ร้านตรงข้ามมีธุระต้องการจะปรึกษาหารือกับเขา” เห็นท่าทางเพิ่งตื่นนอนของพนักงานแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่าเถ้าแก่ร้านคงจะยังไม่ตื่นนอน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเปลี่ยนความคิด ให้เถ้าแก่จัดการอะไรให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปหาตัวเองที่ร้านแทน


 


 


พนักงานรับคำ “ได้ขอรับ ข้าจะรีบไปรายงานเถ้าแก่เดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ไปที่ประตูร้านของตัวเอง


 


 


เมิ่งอี้ถือกุญแจร้านเข้ามา เขาตื่นมาแต่เข้าทุกวัน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรออยู่ที่หน้าประตู รีบถามขึ้นอย่างร้อนใจว่า “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้ามารอที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ มีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “พี่เมิ่งอี้อย่าร้อนใจไป ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก ข้าเพียงแต่นัดเถ้าแก่เหลาจวี้เสวียนมาปรึกษาเท่านั้น”


 


 


เมิ่งอี้จึงวางใจ รีบหยิบกุญแจมาเปิดประตูร้านทันที แล้วทุกคนก็เดินเข้าไปในร้าน


 


 


“พี่สะใภ้กับหงเอ๋อร์สบายดีไหมเจ้าคะ ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก จึงไม่มีเวลาไปเยี่ยมพวกเขา” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


“สบายดีมาก หงเอ๋อร์สดชื่นแจ่มใสดี หงเอ๋อร์เริ่มที่จะเรียนอักษรกับท่านตาแล้ว แม่ลูกสองคนสุขสบายยิ่งนัก”


 


 


“ท่านล่ะ ปรับตัวได้ไหมเจ้าคะ ข้าไม่ค่อยเห็นท่านกลับมาพักที่บ้าน”


 


 


เมิ่งอี้ผลิยิ้มน้อยๆ “แต่ก่อนข้ามักจะคิดว่าตัวเองเรียนน้อย ไม่เหมาะกับท่านพ่อตาที่เป็นตระกูลปราชญ์เช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่อยากไปที่บ้านของท่านพ่อตา ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าข้าคิดผิดไป ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายกับท่านปู่ ลุงรอง ป้ารอง พวกเขาต่างก็ดีต่อข้า ไม่เคยคิดดูถูกที่ข้าเรียนน้อยเลย กลับกัน ยังมอบความสนิทสนมให้ข้าเป็นอย่างดี มีเรื่องอะไรก็ถามความคิดเห็นจากข้าก่อนเสมอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ครอบครัวของท่านราชครูเป็นครอบครัวสูงศักดิ์ แต่ก็ไม่วางอำนาจเหมือนกับขุนนางระดับสูงคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ไปสั่งสอนอี้เซวียนถึงชนบท ยิ่งจะไม่ยอมให้พี่สะใภ้อิ๋งเอ๋อร์แต่งงานกับท่าน”


 


 


เถ้าแก่เหลาจวี้เสียนได้ยินพนักงานมารายงาน จึงรีบสวมเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นจากเตียงทันที หวีผมหวีเผ้าเรียบร้อยแล้วก็มาที่ร้านบะหมี่มันฝรั่ง ถามอย่างสุภาพว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางเมิ่งมาหาข้าแต่เช้าด้วยธุระอันใดหรือ”

 

 

 


ตอนที่ 118 มารอที่หน้าประตู

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาบอกให้เขานั่งลง กล่าวว่า “ข้าอยากให้ท่านช่วยหาองครักษ์มาทำงานให้ข้า”


 


 


“แม่นางจะขยายสาขาร้านอีกหรือ” เถ้าแก่ถามขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ แล้วก็บอกเขาเรื่องที่ตนเปิดโรงหัตถกรรมต้องการคนงานให้เขาทราบ กล่าวว่า “พี่รองคนเดียวทำงานไม่ไหวจริงๆ ข้าจึงอยากให้องครักษ์ที่ร้านนี้ไปเป็นผู้ดูแลที่นั่น จึงต้องรบกวนให้ท่านหาคนงานมาช่วยข้า”


 


 


ตอนแรกองครักษ์สามพันคนต่างก็แยกย้ายอยู่ตามเหลาจวี้เสียน ตอนที่ไม่มีอะไรก็ทำตัวเช่นเดียวกับคนทั่วไป ดังนั้นคนที่ทำงานปะปนกับคนทั่วไปก็มี การมาทำงานที่ร้านบะหมี่มันฝรั่งจึงเป็นเรื่องง่าย ทุกคนสามารถทำได้สบาย เถ้าแก่พยักหน้า “ได้ขอรับ ไม่ทราบว่าแม่นางจะให้พวกเขามาเมื่อใด”


 


 


“ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี!”


 


 


“ถ้าเช่นนั้นแม่นางกรุณารอสักครู่ ข้าจะไปเรียกพวกเขามาเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า


 


 


เถ้าแก่กลับไปที่เหลาจวี้เสียน ใช้เวลาเพียงครึ่งเค่อก็พาองครักษ์กลับมาห้าคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นแล้วก็รู้จักทุกคน ก่อนหน้านั้นตอนที่เหวินเป้ากับเหวินซงบาดเจ็บตอนนั้น ก็คือกลุ่มองครักษ์หนึ่งในนั้นที่ช่วยขนย้ายมันฝรั่งมาที่บ้าน ครั้นแล้วก็ยิ้มแล้วกล่าวกับทุกคนว่า “ในเมื่อพวกเราเป็นคนคุ้นเคยกันดี ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว ต่อไปภายในร้านต้องพึ่งพวกท่านแล้ว”


 


 


องครักษ์ทุกคนคำนับอย่างสุภาพ “แม่นางเกรงใจไปแล้ว พวกข้าจะพยายามทำงานอย่างสุดความสามารถ”


 


 


“พวกเจ้าก็เริ่มงานวันนี้เถอะ ส่วนเรื่องที่พักอาศัย ถ้าหากยินดีก็ย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ที่จวนของข้า ถ้าหากไม่ก็สุดแล้วแต่พวกเจ้า”


 


 


ทุกคนรับคำ


 


 


“เรื่องทุกอย่างภายในร้านมีญาติผู้พี่รองข้ารับผิดชอบอยู่ ถ้ามีสิ่งใดที่พวกเจ้าไม่เข้าใจก็ถามเขาได้ ส่วนค่าตอบแทนก็เหมือนกับคนอื่น มีใครที่ทำไม่ไหว หรือปรับตัวไม่ได้ ก็มาบอกข้าได้เลย ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าลำบากใจเด็ดขาด เราต่างก็เป็นคนกันเอง เรื่องอื่นข้าก็ไม่มีอะไรแล้ว ทุกท่านตั้งใจทำงานให้ดี พอถึงสิ้นปีจะได้รับรางวัล”


 


 


ทุกคนต่างก็รับคำอย่างยินดี


 


 


หลังจากสั่งงานทุกอย่างเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็กำชับกับเมิ่งอี้อีกสองสามคำ แล้วก็เดินออกจากร้านบะหมี่มันฝรั่งไปกับเถ้าแก่ หลังจากที่ขอบคุณอีกครั้ง ก็กลับไปที่บ้านของตัวเอง


 


 


พระชายาฉีนอนไม่หลับทั้งคืน พอรุ่งสางก็สั่งให้คนทำอาหารเช้า เร่งรัดให้หวงฝู่อี้เซวียนกินเสร็จแล้ว ก็ให้เขาไปที่จวนแม่ทัพตั้งแต่เช้าตรู่


 


 


ตอนที่เขาไปถึงนั้น ฉู่เหวินเจี๋ยก็กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวมใส่เสื้อนอกที่ดูธรรมดา เก็บของเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนก็เดินทางไปที่จวนราชเลขา


 


 


ทั้งสองคนยังไม่เคยมาที่นี่มาก่อน คนเฝ้าประตูเห็นพวกเขาไม่คุ้นหน้าจึงสอบถามอย่างละเอียด จากนั้นพอได้ยินว่าเป็นแม่ทัพใหญ่กับซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี ก็ตกอกตกใจจนวิ่งล้มหกคะเมนเข้าไปภายในเรือน ร้องตะโกนขึ้นอย่างขาดวินัย “นายท่าน ฮูหยิน แย่แล้วขอรับ”


 


 


วันนี้เป็นวันหยุดของใต้เท้าราชเลขา ไม่ต้องไปประชุมที่ราชสำนัก จึงคิดจะพักผ่อนสักครู่ เพิ่งจะลุกขึ้นจากเตียง ยังไม่ได้กินอาหารเช้า พอได้ยินเสียงคนเฝ้าประตูร้องตะโกนขึ้น จึงเดินออกไปตวาดเขาเสียงดัง “เจ้าสารเลว ไม่รู้จักระเบียบ มาร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายอะไรแต่เช้า”


 


 


คนเฝ้าประตูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้นอย่างกระวนกระวายใจว่า “นายท่าน แย่แล้วขอรับ ท่านแม่ทัพกับซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีมารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว”


 


 


“เจ้าบอกว่าใครนะ” ใต้เท้าราชเลขาถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ


 


 


คนเฝ้าประตูกลืนน้ำลายดังเอื้อก แล้วพูดอีกครั้งว่า “ท่านแม่ทัพฉู่กับซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี ตอนนี้มารออยู่ที่หน้าประตูขอรับ ดูท่าทางแล้วเหมือนว่าจะมาอย่างประสงค์ร้าย”


 


 


ฮูหยินราชเลขาที่อยู่ในห้องก็ได้ยินเขาพูดเช่นกัน รีบออกมาอย่างร้อนรน ถามด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมว่า “พวกเขามาทำไม”


 


 


“ไม่ทราบขอรับ พวกเขาบอกแค่ว่ามาหาใต้เท้าเท่านั้น”


 


 


ใต้เท้าราชเลขาเป็นขุนนางมาหลายปี จึงพอจะรู้จักคาดเดาได้อยู่บ้าง ไม่นานก็สงบใจลงได้ ถามว่า “พวกเขาแต่งกายอย่างไร”


 


 


“เสื้อผ้าปกติธรรมดาขอรับ”


 


 


ใต้เท้าราชเลขาพยักหน้า สั่งเสียงดังว่า “พ่อบ้าน เจ้ารีบไปเชิญพวกเขาเข้ามาเร็วเข้า”


 


 


พ่อบ้านรับคำ กำลังจะเดินออกไป


 


 


ใต้เท้าราชเลขารู้สึกว่าค่อยไม่เหมาะสม จึงยับยั้งเขาเอาไว้ “ให้ข้าออกไปต้อนรับเองดีกว่า ฮูหยิน รีบมาใส่เสื้อผ้าให้ข้าเร็วเข้า”


 


 


ทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าปกติธรรมดา ใต้เท้าราชเลขาย่อมจะไม่กล้าอวดเบ่ง มีหรือจะกล้าสวมชุดขุนนางไปพบพวกเขา ฮูหยินราชเลขาได้ยินดังนั้นก็กลับห้อง แล้วก็หาเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้เขาอย่างรวดเร็ว ช่วยเขาใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ใต้เท้าราชเลขาจึงรีบออกออกไปต้อนรับพวกเขาที่หน้าจวนอย่างรีบร้อน


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยยังดี แต่หวงฝู่อี้เซวียนรออยู่นานแล้วค่อนข้างรู้สึกเบื่อหน่าย สีหน้าเคร่งขรึมลง


 


 


ใต้เท้าราชเลขาเดินออกมาก็เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหวงฝู่อี้เซวียน รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการใดออกมา โค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่กับซื่อจื่อจะมาทำไมไม่ส่งคนมาบอกก่อน ข้าจะได้เตรียมตัว ออกมารอต้อนรับท่านทั้งสอง” ความหมายก็คือพวกเจ้าบุ่มบ่ามมาถึงบ้านโดยพลการ อย่ามาโทษว่าข้าไม่มีมารยาท ที่ให้พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นขุนพลทหาร จึงไม่ได้รู้สึกถึงคำพูดที่ว่ากล่าวอย่างเลี้ยวลด ยกมือขึ้นคำนับ กล่าวว่า “อันที่จริงเหวินเจี๋ยละลาบละล้วงมาโดยพลการ หวังว่าจะไม่ได้รบกวนใต้เท้าราชเลขา”


 


 


สีหน้าของใต้เท้าราชเลขาดูดีขึ้นเล็กน้อย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับปรายตามองใต้เท้าราชเลขาอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาหน้ายิ้ม แต่ทว่าดวงตาแข็งกระด้างว่า “นี่ใต้เท้าราชเลขาโทษว่าพวกเรามาไม่รู้จักเวล่ำเวลาหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขออภัยด้วย ข้าไม่ได้เจอว่าที่ภรรยามานานแล้ว เกิดความรู้สึกคิดถึงคำนึงหาเหลือเกิน เช้าวันนี้อดใจไม่ได้จึงรีบมาหา”


 


 


เขาพูดจบ ฉู่เหวินเจี๋ยก็มองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ใต้เท้าราชเลขาตัวสั่นสะท้านขึ้นทันที เพิ่งจะเข้าใจว่าซื่อจื่อผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้แม้จะอายุยังน้อย แต่กลับเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวเหลือเกิน เมื่อตกอยู่ในกำมือของเขาแล้วก็หาประโยชน์ให้กับตัวเองไม่ได้เลย จึงคิดกลับใจ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ซื่อจื่อล้อเล่นแล้ว จวนราชเลขาของเราเปิดรอต้อนรับซื่อจื่อตลอดเวลา ท่านจะมายามใดก็มาได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแอบเบ้บาก


 


 


ใต้เท้าราชเลขาทำเป็นว่ามองไม่เห็น ทำท่าทางเชื้อเชิญแล้วก็พูดขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่ ซื่อจื่อ เชิญทางนี้”


 


 


ทั้งสองคนเดินเข้าจวน ตามใต้เท้าราชเลขาไปที่ห้องโถงรับแขก ทรุดกายนั่งลง


 


 


สั่งให้คนรับใช้เอาชาร้อนมา ใต้เท้าราชเลขาถามเข้าประเด็นว่า “แม่ทัพใหญ่กับซื่อจื่อมาหาถึงบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือ”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยกำลังจะพูด ทว่าหวงฝู่อี้เซวียนกลับชิงพูดขึ้นก่อนว่า “วันนี้ข้าพาท่านน้ามาเยี่ยมว่าที่ชายาของข้า รบกวนใต้เท้าราชเลขาตามนางเข้ามาพบด้วย”


 


 


ใต้เท้าราชเลขายิ้มตาม “ซื่อจื่ออภัยด้วย บุตรสาวของข้าล้มป่วยลงตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว ตอนนี้ยังลุกจากเตียงไม่ได้ เกรงว่าวันนี้คงไม่อาจออกมาพบทั้งสองท่านได้”


 


 


“ใต้เท้าราชเลขาก็เหลือเกิน ว่าที่ชายาของข้าล้มป่วย แต่ไฉนถึงไม่ให้คนไปบอกข้าบ้าง ข้าจะได้มาเยี่ยมนาง” หวงฝู่อี้เซวียนกลับกล่าวโทษขึ้นมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโบยสาวใช้ของหลินหันเยียนจนตายต่อหน้าต่อตานาง ทำให้คนเป็นลมไปทั้งอย่างนั้น ตอนนี้กลับแกล้งทำเป็นว่าไม่ทราบว่านางตกใจจนล้มป่วย ใต้เท้าราชเลขาพยายามอดทนแล้วอดทนเล่า ถึงจะทนไม่หยิบถ้วยน้ำช้าที่อยู่บนโต๊ะมาขว้างใส่หน้าเขา


 


 


ไม่นึกว่าหวงฝู้อี้เซวียนยังพูดไม่จบ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “รบกวนใต้เท้าให้คนพาข้าไปเยี่ยมทีเถอะ ว่าที่ชายาของข้าป่วย แต่ข้ากลับไม่เคยมาเยี่ยมเลยสักครั้ง คนอื่นอาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขันไปได้”


 


 


ใต้เท้าราชเลขาเกือบจะกระอักเลือดออกมา ใบหน้าค่อนข้างย่ำแย่ นึกอยากจะโมโหแต่ก็หาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้ ถึงอย่างไรคนเขาก็มาเยี่ยมว่าที่ชายาที่กำลังป่วยก็เป็นเหตุผลที่เหมาะสมแล้ว จะไม่โมโห ในใจก็ตื่นตระหนก ทำไมหวงฝู่อี้เซวียนถึงทำท่าทางราวกับว่าต้องการจะเข้าไปเยี่ยมหลินหันเยียนอย่างอดรนทนไม่ได้เช่นนั้น

 

 

 


ตอนที่ 119 เงื่อนไข

 

หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรงเป็นเวลานาน ใต้เท้าราชเลขาถึงกัดฟันระงับโทสะเอาไว้ได้ กัดฟันฝืนพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อไม่ต้องไปดีกว่า บุตรสาวป่วยมานานแล้ว อาจจะทำให้ท่านติดไปด้วย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่งไม่ไหวติง กล่าวอย่างดื้อรั้นว่า “ที่ใต้เท้าราชเลขาขัดขวางไม่ให้ข้าไปเยี่ยมว่าที่ชายาของข้า คิดว่าคงไม่พอใจลูกเขยผู้นี้เป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ยกเลิกการแต่งงานนี้ไปต่อหน้าท่านน้าเลยดีกว่า”


 


 


นี่เองเป็นจุดมุ่งหมายที่พวกเขามาในวันนี้ ใต้เท้าราชเลขาจึงเข้าใจทันที โมโหจนมือสั่น พยายามฝืนอยู่นาน ถึงสงบลงได้ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ กล่าวว่า “ที่สองท่านมาถึงบ้านตั้งแต่เช้า มาด้วยเรื่องการยกเลิกการแต่งงาน ใช่ไหม”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “เป็นเช่นนั้น หลังจากที่ข้ากลับเมืองหลวงแล้วก็ได้ยินเรื่องของคุณหนูหลินกับเซวียนเอ๋อร์ ในเมื่อเซวียนเอ๋อร์ไม่ยอม ถึงคุณหนูหลินแต่งงานไปก็ไม่ได้รับความรัก หวังว่าใต้เท้าราชเลขาจะไตร่ตรองดูให้ดี อย่าได้ดึงดันจัดงานแต่งงานนี้ต่อไปเลย ฉวยโอกาสนี้ที่คุณหนูหลินอายุยังน้อย หาคู่แต่งงานที่เหมาะให้นางใหม่ดีกว่า”


 


 


ใต้เท้าราชเลขาคำรามเหอะ “แม่ทัพใหญ่ช่างพูดง่ายเหลือเกิน ในเมืองหลวงผู้ใดบ้างที่ไม่ทราบว่าบุตรสาวของข้ากับซื่อจื่อได้หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งสองครอบครัวก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ถ้าหากบุตรสาวยกเลิกการแต่งงานนี้ไป ใครยังจะกล้ามาสู่ขอนาง”


 


 


“ความจริงเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเรา ขอเพียงใต้เท้าราชเลขารับปากว่าจะยกเลิกการแต่งงานนี้ ไม่ว่าท่านจะมีเงื่อนไขอะไรก็ตาม พวกเรายินดีรับปาก” ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าว


 


 


ช่วงที่ผ่านมานี้ใต้เท้าราชเลขากับฮูหยินราชเวลาก็เคยครุ่นคิดปรึกษาหารือกันมาก่อน ตั้งแต่ครั้งนั้นที่หลินหันเยียนตกใจจนสิ้นสติ พอเอ่ยถึงชื่อหวงฝู่อี้เซวียนหวาดกลัวแทบแย่ ถ้าให้บุตรสาวแต่งงานไปจริง หลินหันเยียนคงจะถูกทำลายไปชั่วชีวิต แต่ว่าถ้าหากไม่แต่งงาน บุตรสาวก็คงจะหาชายตระกูลดีๆ จากเมืองหลวงมาแต่งงานด้วยไม่ได้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้บุตรสาวกลับไปแต่งงานที่บ้านเดิม ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาวที่ตนเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งสองคนก็ทนไม่ได้ คิดไปคิดมา ก็คิดหาวิธีดีๆ ไม่ได้ จนปล่อยให้ยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ และในวันนี้ทั้งสองคนก็มาพูดคุยเรื่องนี้ถึงที่บ้าน ใต้เท้าราชเลขาให้คำตอบไม่ได้ นิ่งเงียบไปชั่วขณะ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองหน้าเขาแล้วพูดแหย่ขึ้นว่า “นานจนถึงป่านนี้แล้ว ใต้เท้าราชเลขายังคิดเงื่อนไขไม่ได้อีกหรือ นี่ไม่เหมือนตัวท่านเลย”


 


 


ใต้เท้าราชเลขาปั้นหน้าไว้ไม่อยู่ กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ที่พูดซื่อจื่อหมายความว่าอย่างไรหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียเจือแววเหยียดหยามว่า “ท่านวางหมากไว้อย่างดีแต่แรกแล้ว มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายที่ข้าพูด”


 


 


ใต้เท้าราชเลขาหน้าแดงก่ำ


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยตำหนิเขา “เซวียนเอ๋อร์ อย่าไร้มารยาท”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเบ้ปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าว “ใต้เท้าราชเลขา วันนี้พวกเรามาพูดเรื่องนี้อย่างจริงใจตรงไปตรงมา ถ้าหากท่านยังคิดไม่ออก ก็ไปปรึกษากับฮูหยินหลินสักครู่เถิด พวกเราจะรออยู่ที่นี่”


 


 


ดูเหมือนว่าวันนี้ถ้าพวกเขาไม่บรรลุเป้าหมายจะไม่ยอมรามือเป็นแน่ ใต้เท้าราชเลขากัดฟันกรอด ผุดลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปปรึกษากับฮูหยินสักครู่ ขอให้แม่ทัพใหญ่กับซื่อจื่อกรุณารอสักครู่”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า


 


 


ใต้เท้าราชเลขาเดินออกไปด้านนอก หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวเรื่อยๆ อย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ไปถามว่าที่ชายาของข้าด้วย”


 


 


ใต้เท้าราชเลขาชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง แล้วก็เดินออกไป


 


 


ได้ยินเสียงใต้เท้าราชเลขาเดินออกไปไกลแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าทำเกินไปแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มเผล่ หรี่ดวงตาอันกลมโตที่ใสบริสุทธิ์ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มละไมว่า “ท่านลุง ต้องแสดงอำนาจให้เขาเห็นก่อน กดอำนาจพวกเขาไว้ พวกเขาจะได้ไม่เรียกร้องเงื่อนไขที่เกินไปนัก”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยโคลงศีรษะอย่างจนใจ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ


 


 


ไม่รู้ว่าพวกเขามาทำอะไรตั้งแต่เช้า ฮูหยินราชเลขากังวลใจ เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องอย่างกระวนกระวายใจ เห็นใต้เท้าราชเลขารีบร้อนเดินเข้ามา ถามขึ้นทันควันว่า “นายท่าน วันนี้พวกเขามาบีบให้พวกเรายกเลิกการแต่งงานใช่หรือไม่”


 


 


ใต้เท้าราชเลขาพยักหน้า กล่าวว่า “มาอย่างไร้ซึ่งความปรานี เกรงว่าวันนี้ถ้าพวกเขาไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่ยอมรามือไปง่ายๆ”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพอจะคาดการณ์เรื่องนี้ได้บ้าง พอได้ยินก็กล่าวอย่างโมโหว่า “พวกเราก็ไม่ต้องรับปาก พวกเขาไม่ยอมรามือแล้วจะทำอะไรได้ หรือว่าจะก่อกวนจวนราชเลขาของเราให้ได้หรืออย่างไร”


 


 


ใต้เท้าราชเลขาโบกมือ “ฮูหยินอย่าพูดด้วยอารมณ์ บัดนี้ฉู่เหวินเจี๋ยกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เบื้องหลังของซื่อจื่อก็มีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง แม้ว่าวันนี้พวกเราจะไม่ยอมยกเลิกการแต่งงาน แต่จะยื้อไปได้จนถึงเมื่อไหร่ หรือว่าเราจะให้เยียนเอ๋อร์แต่งงานไปจริง”


 


 


“ไม่ได้ ข้าไม่มีวันยอมให้เยียนเอ๋อร์แต่งไปเด็ดขาด” ฮูหยินราชเลขาโบกมือ “หากเป็นเช่นนั้นก็เหมือนการส่งนางไปตายชัดๆ”


 


 


“ดังนั้นวันนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดี ฉู่เหวินเจี๋ยพูดแล้ว ว่าให้พวกเราเรียกร้องเงื่อนไขได้ตามใจ เขาจะรับปากพวกเราทุกอย่าง”


 


 


“ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าวเช่นนั้นหรือ”


 


 


ใต้เท้าราชเลขาพยักหน้า “ข้าคิดว่านี่ก็คงเป็นความคิดของอ๋องฉีกับพระชายาฉี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเราถึงไม่เรียกร้องเงื่อนไข ถือโอกาสนี้ยกเลิกการแต่งงานไป เช่นนี้พวกเราก็จะได้รับประโยชน์ อีกทั้งยังไม่ต้องกลายเป็นศัตรูกับพระชายาฉีด้วย”


 


 


“ตอนนี้ท่านเป็นราชเลขาที่มีตำแหน่งสูง ในบ้านก็ไม่ขัดสนเงินทอง พวกเราจะเรียกร้องเงื่อนไขอะไร” ฮูหยินราชเลขากล่าว


 


 


“ฮูหยิน ตอนนั้นที่พวกเราหมั้นหมายการแต่งงานนี้ไว้ให้เยียนเอ๋อร์ ก็เพราะว่าหวังพึ่งร่มเงาจากต้นไม้ต้นใหญ่อย่างเช่นจวนอ๋องฉี ถ้ามีเกิดอะไรขึ้นพวกเขาจะได้ช่วยเหลือเราได้ แต่ตอนนี้พวกเขาดึงดันที่จะยกเลิกการแต่งงาน พวกเราเองก็ไม่อยากให้เยียนเอ๋อร์ต้องแต่งงานไปทนรับความทุกข์ทรมาน ถ้าหากต้องการยกเลิกการแต่งงานไปแล้วยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อจวนอ๋องฉีอยู่แล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นโอกาสอันดี”


 


 


“นายท่านคิดวิธีที่ดีได้แล้วหรือเจ้าคะ” ฮูหยินราชเลขาถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น


 


 


ราชเลขาหลินพยักหน้า “เมื่อครู่ตอนที่ข้าเดินกลับมาคิดวิธีขว้างหินก้อนเดียวได้นกสองตัวมาได้ ตอนนี้จะปรึกษากับฮูหยินสักครู่”


 


 


น้ำเสียงของฮูหยินราชเลขายิ่งกระตือรือร้นขึ้น “นายท่านรีบพูดมาเจ้าคะ มีวิธีดีๆ อย่างไร”


 


 


“ข้าคิดว่าจะให้ฉู่เหวินเจี๋ยรับเยียนเอ๋อร์เป็นบุตรบุญธรรม เช่นนี้แล้วพวกเราไม่เพียงแต่ได้พึ่งพิงต้นไม้ต้นใหญ่เช่นเขา อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับอ๋องฉีด้วย”


 


 


ฮูหยินราชเลขาดวงตาเป็นประกาย “วิธีนี้ของนายท่านประเสริฐที่สุดเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า “แต่ว่าฉู่เหวินเจี๋ยจะรับปากหรือ”


 


 


“จนถึงตอนนี้ฉู่เหวินเจี๋ยยังไม่มีบุตรแม้แต่คนเดียว เงื่อนไขนี้สำหรับเขาแล้ว ไม่ถือว่าลำบากอะไร ข้าคิดว่าเขาน่าจะรับปาก”


 


 


“ถ้าเป็นเช่นนี้ นายท่านก็รีบออกไปพูดกับพวกเขาสิเจ้าคะ”


 


 


ราชเลขาหลินโบกมือ “ไม่ต้องรีบร้อน ให้พวกเขานั่งรอที่ห้องโถงรับแขกสักพัก ทำลายความโอหังของพวกเขาเสีย อีกอย่างเรื่องนี้ต้องไปถามความคิดเห็นจากเยียนเอ๋อร์ก่อน เจ้าไปเรียกนางเข้ามาเถอะ”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า ให้สาวใช้ไปตามหลินหันเยียนเข้ามา ตั้งแต่ตอนที่ตกใจจนล้มป่วยไป หลินหันเยียนก็ผ่ายผอมลงไปมาก ราวกับว่าถ้ามีลมพายุพัดมาก็คงจะปลิวหายไปกับสายลมนั้น อ่อนเพลียทั้งวัน ไร้ชีวิตชีวาไม่เหมือนแต่ก่อน ดวงตาที่เคยเปล่งประกายสดใสก็มืดสลัวไม่มีประกาย มีสาวใช้พยุงเข้ามาในห้อง ยอบกายเคารพฮูหยินราชเลขา “ท่านพ่อ ท่านแม่ เรียกลูกมาด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”


 


 


เห็นบุตรสาวมีสภาพเช่นนี้แล้ว ฮูหยินราชเลขาก็ทนไม่ไหว หลังจากที่บอกให้นางนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวว่า “เยียนเอ๋อร์ วันนี้ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีมา…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)