ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 113-116

 ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 113 เจาะจงว่าจะพบ...

 

ในห้องโถงรับแขก ท่านอ๋องฉีถือแก้วชาด้วยท่าทางเป็นสง่า ค่อยๆ เป่าใบชาที่ลอยอยู่ข้างบน แล้วดื่มลงไปอย่างช้าๆ  


 


 


เยียลี่ว์อาเป่านั่งอยู่บนเก้าอี้ อยากจะเอ่ยออกมา เห็นท่าทางของเขา จึงกลืนคำพูดกลับไปอีกครั้ง แล้วยกแก้วชาขึ้นมาอย่างกังวลใจ 


 


 


ท่านอ๋องฉีมองเขาด้วยหางตา แล้วไม่สนใจเขาอีก 


 


 


ในขณะที่เยียลี่ว์อาเป่าเริ่มทนบรรยากาศที่กดดันนี้ไม่ไหว วางแก้วชาลง อยากจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีเสียงเท้าเดินดังมาจากข้างนอก 


 


 


ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย วางแก้วชาในมือลง เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางหน้าประตู 


 


 


พระชายาฉีเดินเข้ามาอย่างช้าๆ แวบแรก คือมองไปทางเยียลี่ว์อาเป่าก่อน แล้วตกใจไปชั่วขณะ ลูกชายของตัวเอง ถือว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตางดงามมากที่มีน้อยบนโลกนี้แล้ว แต่องค์ชายรัชทายาทรัฐหมิงคนนี้กลับมีหน้าตางดงามมากกว่าไม่น้อยกว่าเลย 


 


 


เห็นสีหน้าของนาง ท่านอ๋องฉีจึงกระแอมไอออกมาเบาๆ อย่างไม่พอใจ พระชายาฉีจึงมองไปทางเขา 


 


 


ท่านอ๋องฉีกล่าวถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “พระชายามาเพราะเหตุใด” 


 


 


ได้ยินว่าเป็นพระชายาฉี เยียลี่ว์อาเป่าจึงรีบลุกขึ้น แล้วก้มตัวทำความเคารพ “พระชายาฉี” 


 


 


พระชายาฉียื่นมือทำท่าพยุงแล้วกล่าวว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์อย่าได้เกรงใจ เชิญนั่งเถิด” 


 


 


“ขอบพระคุณพระชายาฉีขอรับ” เยียลี่ว์อาเป่ากลับนั่งที่เดิม 


 


 


พระชายาฉีเดินไปนั่งแถวหน้าอย่างช้าๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเรารู้ถึงความต้องการขององค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ที่มาที่นี่ และได้ถามความคิดเห็นของเมิ่งเอ๋อร์แล้ว เมิ่งเอ๋อร์บอกว่าอยากจะพูดคุยกับองค์ชายรัชทายาทเป็นการส่วนตัว ได้หรือไม่” 


 


 


เยียลี่ว์อาเปาหยุดชะงักไป 


 


 


ท่านอ๋องฉีโมโหขึ้นมาทันที ในขณะที่กำลังจะด่าว่าออกมา พระชายาฉีทำสัญญาณมือให้เขา ยิ้มแล้วอธิบายว่า “เป็นความต้องการของเมิ่งเอ๋อร์เองเพคะ” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งไม่ว่าทำเรื่องใดก็ใจเย็นตลอด มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่มีทางกล่าวขอร้องออกมาเยี่ยงนี้โดยไร้เหตุผลแน่นอน ท่านอ๋องฉีจึงระงับความโมโหไว้ แล้วมองไปทางเยียลี่ว์อาเป่าที่หยุดชะงักไป แล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เป็นเยี่ยงไร หรือว่าองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ไม่ยินยอม” 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่ารู้สึกตัว หัวใจพลันเต้นเร็วแรง ตื่นเต้นจนใบหน้าเริ่มแดงขึ้นมา รอยยิ้มมุมปากปกปิดไม่อยู่ ลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วทำความเคารพทั้งสอง “ขอบพระคุณท่านอ๋องฉี ขอบพระคุณพระชายาฉี” 


 


 


เห็นเขาดีใจเยี่ยงนี้ ในใจของพระชายาฉีถอนหายใจหนึ่งครั้งอย่างเงียบๆ หวังว่าหลังจากที่เมิ่งเอ๋อร์พูดคุยกับเขาแล้ว เขาจะรับได้ 


 


 


ส่งสายตาให้ท่านอ๋องฉี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋องเพคะ เราออกไปก่อนเถิด” 


 


 


แม้จะไม่รู้ว่าเมิ่งเอ๋อร์จะพูดอะไร แต่เห็นจากสีหน้าของพระชายาฉีแล้ว ท่านอ๋องฉีก็รู้ทันทีว่าหวงฝู่สือเมิ่งไม่มีทางตกลงกับการแต่งงานครั้งนี้แน่นอน ถ้าเยี่ยงนั้น ก็รีบจัดการให้มันจบๆ ก็ดี 


 


 


ท่านอ๋องฉีลุกขึ้นยืน แล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว พระชายาฉีเดินตามออกมา 


 


 


ทั้งสองเดินออกไปแล้ว 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่ายืนอยู่ที่เดิม มองดูม่านไม้ไผ่ที่เขย่าไปมาตาละห้อย ปรารถนาให้มันเขย่าไปมาอีกครั้ง 


 


 


ม่านไม้ไผ่ดังขึ้นมาอีกครั้ง เยียลี่ว์อาเป่าตกใจ แล้วมองประตูอย่างไม่ละสายตา หวงฝู่สือเมิ่งค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างช้าๆ  


 


 


สองปีแล้ว ในที่สุดก็ได้พบคนที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ใจของเยียลี่ว์อาเป่าตื่นเต้นจนแทบจะทะลุออกมา มองนางด้วยสายตาเร่าร้อนอย่างตาไม่กะพริบ ตัวสูงขึ้น รูปร่างสะโอดสะองมากขึ้น รอบตัวเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คน 


 


 


ทันทีที่เดินเข้าไป ก็รู้สึกถึงสายตาที่เร่าร้อนของเขาทันที หวงฝู่สือเมิ่งหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย ก้มศีรษะลง เดินต่ออีกสองสามก้าว แล้วย่อตัวลง ทำความเคารพเขาแล้วกล่าวว่า “ทำความเคารพองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์” 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าเก็บสายตา ยื่นมือสองข้างที่เต็มไปด้วยเหงื่อออกมาอยากจะพยุงนาง แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงรีบเก็บกลับไป แล้วซ่อนมือทั้งสองข้างไว้ข้างหลัง แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “ท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์ไม่ต้องความเคารพตามธรรมเนียมก็ได้” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งลุกขึ้นยืนตรง เงยหน้ามองไปทางเขา นี่เป็นครั้งแรกที่นางพินิจพิเคราะห์เยียลี่ว์อาเป่าอย่างละเอียด และก็เป็นครั้งแรกที่มองชายแปลกหน้าคนหนึ่งอย่างใกล้ๆ เขาดูสูงศักดิ์ อบอุ่น สง่างาม ผ่าเผย มีจุดเด่นครบทุกอย่างของชายบนโลกนี้อยู่ในตัว รูปร่างก็สูงกว่านาง แต่ไม่เพียงไม่สร้างความกดดันให้กับนาง แต่กลับทำให้นางรู้สึกปลอดภัย 


 


 


ใบหน้าแดงเล็กน้อย จึงก้าวถอยหลังอย่างเงียบๆ ไม่ได้นั่งลง แล้ว กล่าวออกมาตรงๆ ว่า “เมิ่งเอ๋อร์ได้รับรู้ถึงเจตนาขององค์ชายรัชทายาทเยลี่ว์แล้ว ข้าก็มีคำพูดอยากจะเอ่ยกับท่าน” 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าควบคุมความตื่นเต้นในใจไว้ เขาอดใจไม่ไหวกล่าวว่า “เชิญท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์พูดเถิด” 


 


 


นางกัดริมฝีปาก เงยหน้าขึ้น มองไปทางเขา แล้วกล่าวด้วยดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ว่า “เกรงว่าข้า… ข้าจะต้องทำให้ท่านผิดหวัง ข้า… ไม่ยินยอมกับการแต่งงานครั้งนี้” 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเยียลี่ว์อาเป่าหายไปทันที มองนางด้วยความมึนงง เหมือนว่ายังไม่รู้สึกตัว แต่ก็เหมือนไม่เชื่อว่านางจะเอ่ยเยี่ยงนี้ 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งใจแข็งไม่พอเล็กน้อย จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง และปลอบโยนว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์เป็นคนที่มีความสามารถ เป็นชายหนุ่มที่หญิงสาวทุกคนบนโลกนี้หมายปอง ต่อไปจะต้อง…” 


 


 


“แต่ในนี้ไม่มีเจ้ามิใช่หรือ” ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกน้ำเสียงที่เบาและเต็มไปด้วยความสิ้นหวังของเยียลี่ว์อาเป่าขัดขึ้น  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งใจสั่นเล็กน้อย เกิดความรู้สึกแปลกๆ ในใจ ความรู้สึกนี้ทำให้นางรู้สึกหวั่นไหว จึงรีบกล่าวออกมาเพื่อปกปิดความรู้สึกว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์…” 


 


 


“สามปีก่อน เจ้าเสี่ยงชีวิตช่วยข้าไว้ หลังจากที่ข้าสลบไป ลืมตาขึ้นมาเห็นเจ้าในตอนนั้น ข้าก็รู้ทันทีว่าทั้งชีวิตนี้ข้าจะไม่สู่ขอผู้ใดนอกจากเจ้า มิใช่เพราะเจ้าช่วยชีวิตข้า และก็มิใช่เพราะหน้าตาที่งดงามของเจ้า แต่เป็นเพราะใจข้าหวั่นไหว ใจเต้นไปกับหญิงสาวที่มีอายุเพียงสิบสองปีในตอนนั้น ทุกท่าทาง และทุกการกระทำของเจ้า ล้วนดึงดูดข้า ทำให้ข้ามองไปทางเจ้าอย่างไม่รู้ตัวตลอดเวลา รำพึงถึงเจ้า คิดถึงแต่เจ้า เพื่อจะได้มาสู่ขอเจ้า ข้าฝึกฝนภาษารัฐอู่อย่างหนัก ศึกษาธรรมเนียมประเพณีของรัฐอู่ แอบส่งคนมาสืบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้า มารัฐอู่และจวนอ๋องฉีครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่สนใจฐานะ แต่ตอนนี้เจ้ากลับบอกข้าว่า เจ้าไม่ยินยอมกับการแต่งงานครั้งนี้ ข้า ข้า ข้า…”  


 


 


น้ำเสียงของเยียลี่ว์อาเป่าเริ่มเบาลง เริ่มพูดต่อไปไม่ไหว จึงหยุดชะงักลง 


 


 


หวงฝู่เสือเมิ่งเหมือนได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของเขา ก็ยิ่งหวั่นไหวมากขึ้น อ้าปาก อยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าเห็นสีหน้าของนาง ในใจก็เกิดความหวังขึ้นมาทันที กุมมือข้างหลังไว้แน่น แล้วกล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์สามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ยินยอมกับการสู่ขอของข้า” 


 


 


“ข้า ข้า ข้า…” คำพูดทุกอย่างที่เตรียมไว้ติดอยู่ที่คอ ตอนนี้หวงฝู่สือเมิ่งใจสั่นจนพูดอะไรไม่ออก 


 


 


“เป็นเพราะไม่อยากไปจากเมืองหลวงหรือ” เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวถามอย่างระมัดระวัง 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที ดวงตาคู่งามฉายให้เห็นว่าไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


เมื่อได้รับคำตอบที่ชัดเจน ใจที่หยุดหายใจไปแล้วของเยียลี่ว์อาเป่าเต้นขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มก็กลับมาอยู่บนใบหน้าของเขา ยิ้มแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้าเยี่ยงนั้น ข้ารู้แล้วว่าควรทำเยี่ยงไร ท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์ให้เวลาข้าสามเดือนได้หรือไม่ ภายในสามเดือนนี้ห้ามยินยอมกับการสู่ขอของผู้อื่น” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงรีบส่ายหัวไปมาแล้วกล่าวว่า “ไม่ๆ ๆ ข้า…” 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าหัวเราะออกมา หัวเราะอย่างมีความสุข ไม่สนใจอะไรอีก ยื่นมือออกมา แล้วลูบหัวของหวงฝู่สือเมิ่งเบาๆ แล้วกล่าวว่า “รอข้า อีกสามเดือนข้าจะกลับมา” 


 


 


พูดจบ ก็ไม่รอให้หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกตัว หันหลังแล้วเดินออกไปทันที 


 


 


ม่านไม้ไผ่เขย่าจนเกิดเสียงดังออกมา ทำให้หวงฝู่สือเมิ่งที่หยุดชะงักไปตกใจตื่นขึ้นมา ในใจเกิดความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิม 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าไปแล้ว คนในจวนก็ไม่ได้เอ่ยถามหวงฝู่สือเมิ่งว่าพูดอะไรกับเขาบ้าง บรรยากาศในจวนจึงกลับมามีความสุขอีกครั้ง 


 


 


แต่ใจของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์กลับมีการเปลี่ยนแปลง หวงฝู่สือเมิ่งเหม่อลอยอย่างไม่รู้ตัวอยู่บ่อยครั้ง เสียงของเยียลี่ว์อาเป่าดังข้างหูของนางอยู่บ่อยครั้ง ส่วนหวงฝู่เย่าเย่ว์นั้นมีความสุขอยู่ทุกๆ วัน ฝึกทำชุดแต่งงานกับพระชายาฉี 


 


 


เวลาผ่านไปทุกวัน ไม่นานก็สองเดือนกว่าแล้ว เมื่อเข้าใกล้เวลาสามเดือนที่กำหนดไว้ หวงฝู่สือเมิ่งก็เริ่มรู้สึกใจสั่นขึ้นมา นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ก็ไม่อยากบอกกับคนในจวน เพราะกลัวว่าพวกเขาจะกังวลไปด้วย จนนางเริ่มผอมลงเล็กน้อย  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของนางมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปถาม เพราะรอให้เมิ่งเอ๋อร์บอกกับนางเอง แต่ผ่านไปสองเดือนกว่าแล้ว เมิ่งเอ๋อร์เหม่อลอยบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่บอกกล่าวอะไรกับนาง 


 


 


วันนี้ หลังจากทานอาหารเช้า เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกหวงฝู่สือเมิ่งมาช่วยนางดูบัญชี หนึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว บัญชีหนึ่งเล่มก็ยังดูไม่จบ เหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมา ปิดบัญชีที่อยู่ตรงหน้าของหวงฝู่สือเมิ่ง 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกตัวขึ้นมา กล่าวด้วยสีหน้าที่แดงเล็กน้อยว่า “ท่านแม่ ข้า…” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือเรียกนาง 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งลุกขึ้นมา แล้วเดินมาข้างหน้านาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองตานาง แล้วกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กที่เชื่อฟังมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยทำให้พวกเรากังวลใจเลย แม่รู้ว่าตอนนี้เจ้ามีเรื่องในใจ บอกแม่ได้หรือไม่ว่าเรื่องอันใด” 


 


 


“ท่านแม่ ข้า…” หวงฝู่เส่อเมิ่งหยุดพูด 


 


 


“หากเจ้าสามารถจัดการด้วยตัวเอง แม่จะไม่ถาม แต่เวลาผ่านไปนานแล้ว เจ้าก็ยังเป็นเยี่ยงนี้ แม่เป็นห่วงเจ้ามาก จึงอยากจะถามว่าเจ้ามีเรื่องอะไรในใจกันแน่” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกัดริมฝีปาก แล้วเอ่ยทุกคำพูดที่เยียลี่ว์อาเป่าเอ่ยก่อนจากไปให้เมิ่งเชี่ยนโยวฟัง แล้วรีบอธิบายว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ถูกใจเขา ข้าแค่กลัวว่าเขาจะทำเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้นมา เพื่อบังคับให้พวกท่านยินยอมกับการสู่ขอของเขา เหมือนอย่างที่ท่าป๋าหั่นหลินสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมาลูบหัวนาง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าคิดมากไปแล้ว เป็นเพราะเย่ว์เอ๋อร์ถูกใจท่าป๋า พวกข้าจึงยอมถอยให้หนึ่งก้าว ยินยอมให้เย่ว์เอ๋อร์แต่งงานกับเขา หากเจ้าไม่ยินยอม ไม่ว่าองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์จะทำเรื่องใหญ่โตมากเพียงใดก็ไม่สามารถทำอะไรได้”  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เมิ่งเอ๋อร์ ตอนนี้แม่ถามเจ้าจริงๆ จังๆ อีกครั้งว่า เจ้าไม่ยอมแต่งงานกับองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์จริงๆ ใช่หรือไม่” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้าอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย แล้วกล่าวว่า “เจ้าค่ะ เมิ่งเอ๋อร์ไม่อยากอยู่ห่างพวกท่าน” 


 


 


รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไป กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าคิดให้ดีๆ ว่าเจ้าไม่ยอมแต่งงานกับเยียลี่ว์อาเป่า หรือว่าไม่อยากแต่งออกเรือนไปไกลเพราะพวกเรา” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งอ้าปาก กำลังจะตอบ ก็มีเสียงรายงานของพ่อบ้านดังมาจากข้างนอกว่า “ซื่อจื่อเฟย ด้านนอกมีคนสองคน เจาะจงจะพบซื่อจื่อเฟยขอรับ” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 114 น่าพอใจ

 

คำถามถูกตัดบท เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวถามเสียงสูงว่า “ผู้ใด” 


 


 


“บ่าวถามแล้วขอรับ พวกเขาไม่ยอมบอก บอกแค่ว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะพบท่าน” นายประตูตอบอย่างเคารพ 


 


 


แปลกจริงๆ มาจวนอ๋องฉีเจาะจงอยากจะพบนาง เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวกับหวงฝู่สือเมิ่งว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าอยู่ในห้องแม่แล้วคิดคำพูดที่แม่พูดเมื่อครู่ให้ดีๆ แม่ไปพบแขกก่อน” 


 


 


“เจ้าค่ะท่านแม่” หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากห้อง แล้วสั่งชิงหลวนว่า “เชิญพวกเขาไปที่ห้องโถงรับแขก” 


 


 


หลังจากชิงหลวนรับคำสั่งแล้วก็เดินตามนายประตูออกไปนอกจวน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงห้องโถงรับแขก ครุ่นคิดในใจ ไม่ใช่คนของร้านบะหมี่มันฝรั่งแน่นอน เพราะหากพวกเขามีเรื่องอะไรจะไปหาพี่เมิ่งอี้ ไม่มาหานาง แล้วก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเดิม พวกเขาไม่มีทางมาที่จวนอ๋องฉีโดยตรง แล้วจะเป็นผู้ใดกัน ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่ ก็มีเสียงเท้าเดินดังมาจากนอกห้อง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน มองไปทางหน้าประตูของห้องโถงรับแขก 


 


 


ผ้าม่านถูกเปิดออก มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกัน อายุประมาณสี่สิบกว่าปี แม้ว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่รอบตัวของชายผู้นั้นกลับแสดงความสูงศักดิ์ออกมา แล้วทุกท่าทางที่แสดงออกมาของหญิงผู้นั้นเต็มไปด้วยความสุภาพและสง่างาม 


 


 


นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจ แล้วสั่งชิงหลวนว่า “เฝ้าเรือนห้องโถงรับแขกให้ดี ไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามให้ผู้ใดเข้ามาเป็นอันขาด” 


 


 


ชิงหลวนรับคำสั่งแล้วเดินออกไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวออกมา ย่อตัวทำความเคารพทั้งสองแล้วกล่าวว่า “เมิ่งเชี่ยนโยวคารวะฮ่องเต้รัฐหมิง และฮองเฮารัฐหมิงเพคะ” 


 


 


ทั้งสองสบตากันอย่างตกใจ แล้วแสดงรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า สตรีสูงศักดิ์ก้าวออกมาหนึ่งก้าว ยื่นมือออกมาพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยตนเองแล้วกล่าวว่า “เชิญซื่อจื่อเฟยลุกขึ้นเถิด พวกข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ซื่อจื่อเฟยอย่าได้ถือโทษพวกข้าเลย” 


 


 


ทันทีที่ได้รับการยืนยัน เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจไม่น้อยไปกว่าทั้งสองคน เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วยืนตรงด้วยสีหน้าเรียบ ทำท่าเชิญให้ทั้งสองแล้วกล่าวว่า “เชิญฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงนั่งเพคะ” 


 


 


ฮ่องเต้หมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้งต่ำ หนักแน่น และมีความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ว่า “ที่พวกข้ามาโดยที่ไม่เปิดเผยฐานะของตัวเองนั้น เพราะอยากมาอย่างเงียบๆ แล้วกลับไปอย่างเงียบๆ ไม่อยากให้เกิดเรื่องใด ฉะนั้นคำเรียกขานของซื่อจื่อเฟย ควรเปลี่ยน เพื่อมิให้ผู้อื่นได้ยิน แล้วกระจายข่าวออกไป ก่อให้เกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะอธิบายว่าแม้ว่าคนในจวนจะรู้ แต่ไม่มีทางเปิดเผยออกไปแม้แต่คำเดียวแน่นอน แต่ก็คิดขึ้นได้ว่าฮ่องเต้รัฐหมิงดำรงตำแหน่งที่สูงศักดิ์มานานหลายปี จึงมีความหวาดระแวงจนชิน แม้ว่านางจะอธิบาย เขาก็อาจจะไม่วางใจ จึงพยักหน้าทันที แล้วกล่าวตามที่ทั้งสองต้องการว่า “ทั้งสอง เชิญนั่ง”  


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ฮองเฮารัฐหมิงก็นั่งตาม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้นั่งตรงตำแหน่งหลัก แต่นั่งลงตรงตำแหน่งที่รองลงมาตรงหน้าทั้งสองท่าน กล่าวถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่รู้ว่าวันนี้ที่ทั้งสองท่านมาจวนอ๋องฉีอย่างกะทันหันนั้น มีเรื่องอันใดหรือ” 


 


 


เห็นว่านางสามารถคาดเดาฐานะของตัวเองออกตั้งแต่แรกพบ แต่กลับไม่มีความตื่นตระหนกตกใจแต่อย่างใด มารยาททุกอย่างก็ทำได้ดี คำพูดคำจาก็ดี ท่าทางใจเย็น ท่าทีก็ดี ในใจของฮ่องเต้รัฐหมิงจึงอดแปลกใจไม่ได้ ก่อนมาที่นี่ เขาได้ส่งคนไปสืบมาอย่างละเอียด ทราบว่าซื่อจื่อเฟยท่านนี้เกิดในชนบท แม้ว่าจะมีความสามารถในด้านการค้า แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอันใดในจวนอ๋องฉี เพราะว่าหลังจากนางแต่งเข้ามาในจวน ก็มิได้ทำเรื่องใหญ่อันใดเพื่อจวนอ๋องฉี แต่จากที่ดูตอนนี้แล้ว มันมิใช่เยี่ยงนั้นเลย ท่าทางและคำพูดของนางนั้นดีกว่าสตรีในตระกูลใหญ่พวกนั้นอีก มองไม่ออกเลยว่าเกิดในชนบท พอคิดถึงจุดนี้ ก็เริ่มเกิดความสนใจในตัวของหญิงสาวที่เป็นลูกสาวของนางและเป็นหญิงสาวที่ลูกชายของตัวเองคิดถึงและถูกใจคนนั้นแล้ว 


 


 


จึงเอ่ยเหตุผลที่มาจวนอ๋องในครั้งนี้ตรงๆ ไม่วกไปวนมาว่า “ซื่อจื่อเฟยฉลาดหลักแหลมเยี่ยงนี้ คิดว่าคงจะคาดเดาได้แล้ว ที่พวกข้าสองสามีภรรยามาที่นี่เพราะเรื่องแต่งงานของอาเป่าและลูกสาวของเจ้า สองเดือนก่อน หลังจากอาเป่ากลับไปแล้ว ก็บอกกับพวกข้าตรงๆ ว่าให้พวกข้าถอนตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทของเขา พวกข้าจึงได้กล่าวถามเหตุผลกับเขา ในช่วงเวลาที่ตกใจอยู่นั้น จึงได้รู้ว่าอาเป่าอยากจะสู่ขอท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉี แต่ท่านหญิงน้อยบอกว่าไม่อยากไปจากเมืองหลวง หลังจากกลับรัฐหมิง เจ้าลูกโง่ของข้าจึงอยากจะละทิ้งตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท ข้าโมโหและโกรธมาก จึงด่าว่าเขาทันที เพื่อความรักแม้แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ก็ไม่เอาแล้ว และได้กักขังเขาไว้ในวัง ห้ามเขาก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว คิดว่าไม่กี่วันความรู้สึกของเขาจะเริ่มหายไป เรื่องทุกอย่างก็จะผ่านไป แต่นึกไม่ถึงว่า ความรู้สึกของเขาจะลึกซึ้งเพียงนี้ ยิ่งเวลาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กลับใช้วิธีอดอาหารเพื่อบังคับพวกข้า หากพวกข้าไม่ยินยอม ไม่แน่เขาอาจจะอดอาหารจนเสียชีวิตก็เป็นได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งฟังอย่างตั้งใจ นิ่งเงียบไม่พูดจา 


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงพูดถึงนี่ ก็หยุดชะงักไป มองนางเล็กน้อย เห็นว่าสีหน้าของนางไม่เปลี่ยน จึงกล่าวต่อว่า “พูดตรงๆ ว่าลูกชายของข้านั้นมีไม่น้อย แค่ข้ากับฮองเฮาก็มีลูกชายสามคนแล้ว หากอาเป่าไม่อยากดำรงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท ก็มีผู้อื่นยินยอมมากมาย แต่พวกเขาไม่มีผู้ใดที่เหมือนกับอาเป่า ผู้ที่มีกลยุทธ์ที่เก่งกาจ มีความสามารถในด้านการปกครองรัฐ เห็นอกเห็นใจประชาชน ข้าไม่ยอมและไม่อยากยกรัฐหมิงให้กับพวกเขา ไม่รู้จะทำเยี่ยงไร พวกข้าจึงถามและได้รับรู้ว่าอาเป่าและท่านหญิงน้อยมีสัญญาใจกันสามเดือน พวกข้าสองสามีภรรยาจึงรีบเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อมาจวนอ๋องฉี”  


 


 


“ทั้งสองท่านมาเพื่อบอกให้ลูกสาวของข้าล้มเลิกความคิดหรือ” หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบ จึงกล่าวถามออกมา 


 


 


ฮองเฮารัฐหมิงส่ายศีรษะไปมาแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น พวกข้าได้ยินอาเป่าพูดว่าท่านหญิงน้อยไม่ได้มีใจให้เขา แต่เป็นเขาเองที่รักข้างเดียว” 


 


 


“ถ้าเยี่ยงนั้นที่ท่านสองท่านมาวันนี้…” ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นเริ่มคาดเดาได้ลางๆ แล้ว แต่ก็กล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย 


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงสบตากัน ฮองเฮารัฐหมิงกล่าวตอบว่า “เป้าหมายที่พวกข้ามาที่นี่ในวันนี้ คืออยากจะมาพูดคุยกับซื่อจื่อเฟยด้วยตัวเอง ว่าสามารถให้ท่านหญิงน้อยแต่งไปที่รัฐหมิงได้หรือไม่” 


 


 


เป็นอย่างที่ตัวเองคิดไว้จริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ทันทีที่ฮองเฮารัฐหมิงพูดจบ ก็ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านน่าจะเคยได้ยินแล้ว ว่าพวกข้าไม่เคยเข้าไปยุ่งกับการแต่งงานของลูกสาว หากนางยินยอมแต่งงานกับองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ พวกข้าไม่ขัดขวาง แต่หากนางไม่ยินยอม ผู้ใดก็อย่าคิดที่จะใช้วิธีใดมาบังคับพวกข้า” 


 


 


คำพูดนี้ฟังเหมือนไม่มีอะไร แต่ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงต่างรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังตักเตือนพวกเขาทางอ้อมว่า หากพวกเขาอยากจะใช้ฐานะ มาขอร้องให้ฮ่องเต้รัฐอู่ตกลงเรื่องแต่งงานของทั้งสองคน นั้นเป็นไปไม่ได้ 


 


 


ทั้งสองดำรงตำแหน่งฮ่องเต้และฮองเฮามานานหลายปี จะฟังความหมายของคำพูดนางไม่ออกได้อย่างไร ฮองเฮารัฐหมิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ซื่อจื่อเฟยเข้าใจผิดแล้ว หากพวกข้าสองคนจะใช้ฐานะบังคับผู้อื่น วันนี้ก็คงไม่มาอยู่ที่นี่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดจา แล้วสั่งกับข้างนอกว่า “ชิงหลวน ยกชาเข้ามา” 


 


 


นี่จะส่งแขกแล้วหรือ สีหน้าของฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงหยุดชะงักเล็กน้อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วอธิบายว่า “พอเชี่ยนโยวเห็นฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิง ก็ตกใจเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้สั่งให้คนยกน้ำชามาให้ หากมีที่ใดที่เสียมารยาทก็ต้องขอประทานโทษจริงๆ”  


 


 


อ่อ ไม่ได้จะส่งแขก ทั้งสองจึงโล่งอก สีหน้าหยุดชะงักของทั้งสองก็หายไปทันที ฮองเฮารัฐหมิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เป็นเพราะพวกข้าทั้งสองเองที่มาจวนอ๋องอย่างกะทันหัน ขอซื่อจื่อเฟยอย่าได้ถือโทษกันเลย” 


 


 


ชิงหลวนยกชาเข้ามาด้วยตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวทำท่าเชิญแล้วกล่าวว่า “เชิญทั้งสองท่านดื่มชากันก่อน มีเรื่องอะไรเราค่อยๆ พูดกัน” 


 


 


ฟังคำพูดของนางแล้ว พวกเขายังมีโอกาสอยู่ ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงจึงไม่รีบร้อนอีก ยกแก้วชาขึ้นมา แล้วดื่มหนึ่งคำพอเป็นพิธี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดื่มหนึ่งคำอย่างช้าๆ แล้ววางลง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ก่อนที่ท่านทั้งสองจะมา ข้าเพิ่งจะพูดคุยกับเมิ่งเอ๋อร์ นางผูกพันกับจวนอ๋องฉี ไม่อยากแต่งออกเรือนไปไกล ดูท่าแล้วท่านทั้งสองจะเสียเวลาเปล่า” 


 


 


มือที่ถือแก้วชาของทั้งสองคนหยุดชะงักไป แล้วหลังจากทั้งสองดื่มชาลงไปอีกหนึ่งคำอย่างไม่รีบร้อน แล้ววางแก้วชาลง 


 


 


ฮองเฮารัฐหมิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ซื่อจื่อเฟย พวกข้าสามารถพบท่านหญิงน้อยได้หรือไม่” 


 


 


ในใจของทั้งสองนั้นแปลกใจมาตลอด ว่าเป็นหญิงสาวคนไหน ที่ส่งผลกระทบต่อใจของลูกชายตัวเองเยี่ยงนี้ ทำให้เขาคิดถึงตลอดเวลาหลายปี อีกอย่างคือ ระหว่างทางที่พวกเขาทั้งสองเดินทางมาพวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า หากจวนอ๋องฉีไม่ยินยอมให้หวงฝู่สือเมิ่งแต่งออกเรือนไปไกล หลังจากที่ทั้งสองเห็นหน้านางแล้ว หลังจากกลับไปก็จะส่งคนออกค้นหาหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์เหมือนนางทั่วรัฐ จะต้องพบหญิงสาวที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันแน่นอน เมื่อถึงเวลาก็ส่งคนไปอยู่ข้างกายลูกชาย เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็จะลืมท่านหญิงน้อยแน่นอน  


 


 


เห็นท่าทางของเมิ่งเอ๋อร์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่านางมีใจให้เยียลี่ว์อาเป่าแน่นอน แต่นางยังไม่รู้ตัว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันพูดคุยกับนาง ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงก็มาแล้ว ให้พวกเขาพบเจอกันก็ดี หากนี่ทำให้เมิ่งเอ๋อร์รู้ใจตัวเอง ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี 


 


 


ยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้ ทั้งสองรอสักครู่ ข้าให้คนไปเรียกเมิ่งเอ๋อร์มาเดี๋ยวนี้” 


 


 


พูดจบ ก็เรียกชิงหลวนเข้ามา สั่งให้นางไปเรียกหวงฝู่สือเมิ่ง ไม่มีคำกำชับอื่นๆ แม้แต่ประโยคเดียว 


 


 


ในใจของฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง รับรู้ฐานะของพวกเขาทั้งสอง หากเป็นผู้อื่น จะต้องกำชับให้ลูกสาวของตัวเองสวมเสื้อผ้าใหม่ แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยมา แต่ซื่อจื่อเฟยท่านนี้กลับไม่เอ่ยแม้แต่คำเดียวหรือว่าท่านหญิงน้อยคนนี้แต่งตัวเรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา หรืออยากจะให้พวกเขาทั้งสองเห็นสภาพที่ไม่เป็นระเบียบของนาง จะได้ล้มเลิกความคิดที่จะสู่ขอนางให้กับลูกชายของตัวเอง 


 


 


ในขณะที่มีความคิดมากมายในใจ ไม่นานหวงฝู่สือเมิ่งก็ใกล้มาถึงแล้ว หลังจากเดินเข้าไป เห็นว่ามีแขกอยู่ ก็ไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด หลังจากค้อมศีรษะลงทำความเคารพทั้งสองท่านเล็กน้อย ก็กล่าวถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ท่านแม่ ท่านเรียกเมิ่งเอ๋อร์มามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วแนะนำให้ทั้งสองท่านว่า “นี่คือเมิ่งเอ๋อร์ลูกสาวของข้า” 


 


 


หลังจากนั้นก็กล่าวกับหวงฝู่สือเมิ่งว่า “เมิ่งเอ๋อร์ นี่คือฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิง วันนี้มาเพราะเรื่องแต่งงานขององค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์โดยเฉพาะ”  


 


 


บนใบหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งแสดงความตกใจออกมา เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ หันกลับไปเผชิญหน้ากับทั้งสอง ทำความเคารพแล้วกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ทำความเคารพฮ่องเต้รัฐหมิง ฮองเฮารัฐหมิงเพคะ”  


 


 


เท่านี้ ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงต่างรู้สึกถึงความใจเย็นและไม่เหมือนใครของหวงฝู่สือเมิ่งแล้ว 


 


 


พวกเขาสองคนมาแบบกะทันหัน หากเป็นหญิงสาวคนอื่น จะต้องตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแน่นอน แต่หญิงสาวตรงหน้าผู้มีใบหน้าที่งดงาม ดูฉลาดหลักแหลม กลับใจเย็นและไม่ตื่นตูมเลย 


 


 


ฮองเฮารัฐหมิงรีบยื่นมือออกมา ทำท่าพยุงนาง กล่าวด้วยรอยยิ้มที่จริงใจว่า “ท่านหญิงน้อย ลุกขึ้นเถิด” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งขอบพระทัย แล้วเดินไปยืนอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยท่าทางที่เป็นสง่า แล้วไม่พูดจาอีก 


 


 


มีความคิดหนึ่งหายไปจากใจของฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิง ฮองเฮารัฐหมิงกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ซื่อจื่อเฟย พวกข้าสามารถพูดคุยกับท่านหญิงน้อยเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 115 นางไม่ตกลง

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่สือเมิ่ง กล่าวถามว่า “เมิ่งเอ๋อร์ ได้หรือไม่” 


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงตกใจอีกครั้ง ซื่อจื่อเฟยกำลังถามลูกสาว? 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกัดริมฝีปาก พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่รอลูกที่ข้างนอกได้หรือไม่…” 


 


 


รู้สึกถึงความกังวลของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยื่นมือออกมาลูบหัวนางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่รออยู่ข้างนอก เมิ่งเอ๋อร์วางใจเถิด” 


 


 


 หวงฝู่สือเมิ่งแสดงรอยยิ้มที่ดีใจออกมา แล้วมองเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป ทันทีที่ออกมานอกประตู เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือเรียกจูหลี 


 


 


จูหลีเดินเข้ามา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าไปเรียกซื่อจื่อกลับมา อย่าให้ผู้อื่นรู้” 


 


 


จูหลีรับรู้ แล้วรีบเดินออกไปเบาๆ อย่างรวดเร็ว 


 


 


ยืนอยู่ข้างนอก ไม่ได้ยินเสียงในห้องโถงรับแขกแม้แต่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดไปสักพัก แล้วสั่งชิงหลวนด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าไปเรียกท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีมา” 


 


 


ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงโบกมือแล้วกล่าวว่า “ช่างเถิด ไม่ต้องบอกพวกเขาดีกว่า” 


 


 


ชิงหลวนจึงถอยออกไป 


 


 


จูหลีมาถึงประตูหน้าวัง หยิบป้ายห้อยเอวออกมา แล้วยื่นให้ขันทีที่เฝ้าประตูวังดู 


 


 


หลังจากขันทีถามจุดประสงค์ที่นางมาแล้ว ก็นำนางมาที่หน้าประตูห้องทรงพระอักษร 


 


 


หัวหน้าขันทีเห็นจูหลีมา จึงก้าวออกมากล่าวถาม 


 


 


จูหลีจึงกล่าวตอบเขา 


 


 


หัวหน้าขันทีให้นางรอ ส่วนตัวเองนั้นเดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ไม่นาน หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร 


 


 


จูหลีก้าวออกมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ มีแขกมาที่จวน ซื่อจื่อเฟยให้ท่านรีบกลับไปเจ้าค่ะ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้เอ่ยถามว่าเป็นผู้ใด พยักหน้า หันหลังเดินกลับไปในห้องทรงพระอักษร กล่าวกับหวงฝู่ซวิ่น แล้วรับเดินออกไปนอกวังอย่างรวดเร็ว 


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเกิดความสงสัยในใจ เดาว่าเป็นแขกแบบไหนที่ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวต้องส่งคนเรียกหวงฝู่อี้เซวียนในวัง จึงสั่งหัวหน้าขันทีทันทีว่า “ไป ออกไปสืบว่าผู้ใดมาจวนอ๋องฉี” 


 


 


หัวหน้าขันทีรับคำสั่ง แล้วสั่งคนไปทันที 


 


 


หลังจากหวงฝู่อี้เชวียนเดินออกจากประตูวัง ก็กล่าวถามว่า “ผู้ใดมา” 


 


 


จูหลีส่ายหัวไปมาแล้วกล่าวว่า “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ หลังจากมา ไม่เพียงแต่เจาะจงว่าจะพบซื่อจื่อเฟย ยังขอพบท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์ด้วย” 


 


 


พบเมิ่งเอ๋อร์หรือ หวงฝู่อี้เชวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย กระโดดขึ้นหลังม้าแล้วคาดเดาไปด้วยว่าเป็นผู้ใด 


 


 


เขารีบขี่ม้ากลับมาที่จวนอย่างรวดเร็ว มาถึงข้างนอกห้องโถงรับแขก เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ข้างนอก จึงหยุดเดิน 


 


 


เมื่อได้ยินเสียง เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับไปพอเห็นว่าเป็นเขา จึงก้าวออกมา แล้วอ้าปากกล่าวโดยไร้เสียงว่า “ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิง” 


 


 


เห็นภาษาปากของนางชัดแล้ว สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที อ้าปากอยากจะเอ่ยถามอะไรนาง แต่มองผู้คนรอบข้างแล้ว จึงกลืนคำพูดที่จะเอ่ยลงไป 


 


 


ประตูห้องโถงรับแขกถูกเปิดจากข้างใน หวงฝู่สือเมิ่งเดินออกมา เห็นหวงฝู่อี้เซวียน จึงกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่” 


 


 


ได้ยินน้ำเสียงที่ปกติของนางแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหายกังวลใจ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์กลับไปที่เรือนของแม่ก่อน แม่ส่งแขกเสร็จแล้ว มีเรื่องจะถามเจ้าอีก” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า แล้วเดินออกไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนสบตากัน แล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน 


 


 


เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงดีใจเป็นอย่างมาก รอยยิ้มบนใบหน้าแทบปกปิดไม่อยู่ เห็นทั้งสองเดินเข้ามา สีหน้าหยุดชะงักเพียงเล็กน้อย ทั้งสองลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ฮองเฮารัฐหมิงยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงที่เต็มไปด้วยความสุขว่า “ท่านนี้คือซื่อจื่อใช่หรือไม่ วันนี้มารบกวนที่จวนกะทันหัน ขออย่าได้ถือโทษกันเลย” 


 


 


“อี้เซวียนคารวะฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิง” หวงฝู่อี้เซวียนทำความเคารพด้วยท่าทีที่เคารพ 


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงยื่นมือออกมาพยุงเข้า แล้วกล่าวว่า “ซื่อจื่ออย่าได้เกรงใจ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกมาทำท่าเชิญแล้วกล่าวว่า “เชิญฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงเชิญนั่งขอรับ” 


 


 


ทั้งสี่ต่างนั่งลง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้เป้าหมายของทั้งสองท่านที่มาแล้ว ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไร 


 


 


แต่ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงกลับสบตากัน ฮ่องเต้รัฐหมิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “แท้จริงแล้วข้ากับฮองเฮายังแข็งแรงอยู่ ยังสามารถดำรงตำแหน่งฮ่องเต้และฮองเฮาได้อีกหลายปี” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเขา ต่างเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงลูบหนวดเครา แล้วกล่าวตรงๆ ว่า “ก่อนที่ข้าและฮองเฮาจะมา ก็มีความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นั่นก็คือหากสู่ขอท่านหญิงน้อยไม่สำเร็จ พวกข้าก็จะกลับไปหาหญิงสาวที่มีใบหน้าคล้ายคลึงนางส่งไปอยู่ข้างกายอาเป่า แต่จากการพูดคุยกันเมื่อครู่แล้ว พวกข้าล้มเลิกความคิดนี้ไป วันนี้จึงอยากลดตัวลงมาขอร้องทั้งสองให้ตกลงกับการแต่งงานครั้งนี้ พวกเจ้าวางใจเถิด พวกข้าไม่บังคับให้ท่านหญิงน้อยกลับรัฐหมิงทันทีหลังแต่งงาน พวกข้ายังแข็งแรง ยังสามารถช่วยพวกเขาดูแลรัฐได้อีกหลายปี รอจนพวกเจ้ายอมปล่อยคนแล้ว พวกข้าจะลงจากตำแหน่งทันที แล้วยกแผ่นดินให้กับพวกเขาปกครอง” 


 


 


หลังจากที่เขาพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวต่างตกใจ นิ่งอึ้งไปพร้อมกัน พูดไม่ออกไปชั่วขณะ 


 


 


ฮองเฮารัฐหมิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ก่อนที่พวกข้ามาพวกข้าต่างสงสัย เพราะไม่ว่าหญิงสาวที่งดงาม หรือหญิงสาวที่มีความสามารถ ลูกชายคนนั้นของข้าก็พบเจอมาไม่น้อย จึงไม่รู้ว่าท่านหญิงน้อยมีเสน่ห์อะไรที่สามารถดึงดูดเขาได้ วันนี้ได้พบท่านหญิงน้อย หลังจากพูดคุยกับนางแล้ว พวกข้าจึงจะเข้าใจว่าเหตุใดอาเป่าจึงต้องการนางเท่านั้น ท่านหญิงไม่เพียงแต่ประพฤติดี คุณธรรมดี นางดีทั้งภายในและภายนอก มีแผนการในการปกครองรัฐและมีจิตใจที่เมตตาต่อประชาชน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกข้าสองคนไม่เคยพบเห็นในตัวของหญิงสาวคนอื่นๆ ฉะนั้นพวกข้าจึงเปลี่ยนความคิด จะต้องช่วยอาเป่าสู่ขอท่านหญิงน้อยให้ได้ ไม่ว่าเงื่อนไขอะไรพวกข้าก็ยอม” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกตัวขึ้นมาจากความตกใจแล้ว ได้ยินพวกเขาชมลูกสาวตัวเองเยี่ยงนี้ ในใจก็ดีใจเป็นอย่างมาก เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอบพระทัยฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงที่ชมเมิ่งเอ๋อร์มากมายเยี่ยงนี้ แต่พวกข้าก็ยังยืนยันคำนั้น ว่าหากเมิ่งเอ๋อร์ตกลง พวกข้าไม่ขัดขวาง แต่ถ้าหากเมิ่งเอ๋อร์ไม่ตกลง พวกข้าก็ไม่บังคับ” 


 


 


ฮองเฮารัฐหมิงยิ้มแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “พวกข้ารู้ เมื่อครู่พวกข้าจึงหยั่งเชิงความคิดของท่านหญิงน้อยดู นางน่าจะมีใจให้อาเป่าอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่อยากอยู่ห่างจากพวกเจ้าเท่านั้น ฉะนั้นพวกข้าจึงกล่าวว่าหลังจากแต่งงานให้พวกเขาอยู่ที่เมืองหลวงก่อน รอจนพวกเจ้ายอมปล่อยคนแล้ว ค่อยให้พวกเขากลับรัฐหมิง” 


 


 


เป็นถึงฮ่องเต้และฮองเฮาของรัฐหนึ่ง ทำถึงขั้นนี้นั่นถือว่ายากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าเยี่ยงนั้น ท่านทั้งสองให้เวลาพวกข้าเล็กน้อย ให้พวกข้าไปถามความคิดของเมิ่งเอ๋อร์ แล้วเจรจากับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ก่อน” 


 


 


พวกเขาใจอ่อนแล้ว ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงจึงไม่อยากเซ้าซี้ให้มากความ ฮองเฮารัฐหมิงจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกข้าจะอยู่เมืองหลวงต่ออีกหนึ่งวัน หวังว่าพรุ่งนี้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยจะมีข่าวดีให้กับพวกข้า” 


 


 


พูดจบ ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นทันที 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้น แล้วส่งทั้งสองเดินออกไป 


 


 


เดินออกมาหน้าประตู หวงฝู่อี้เซวียนสั่งโจวอันว่า “ส่งแขกทั้งสองไปที่โรงเตี๊ยมเย่ว์หลง” 


 


 


โรงเตี๊ยมเย่ว์หลงเป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองหลวง วันละหนึ่งร้อยตำลึง โจวอันได้ยิน ก็อดเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงไม่ได้ แล้วรีบก้มศีรษะลงไปทันที 


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง จึงปล่อยให้พวกเขาจัดเตรียม มิได้ปฏิเสธ เดินตามโจวอันออกไป 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวส่งทั้งสองท่านออกจากจวน มองพวกเขาขึ้นรถม้า จนออกไปไกลแล้ว จึงจะหันหลังกลับเข้าจวน 


 


 


ทั้งสองไปที่เรือนหลักก่อน บอกเรื่องที่ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงมาเยือนวันนี้ 


 


 


ท่านอ๋องฉีกำมือไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ส่วนพระชายาฉีนั้นตกใจไม่น้อยจึงกล่าวว่า “พวกเขามาถึงจวนเพื่อสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์ด้วยตัวเองเลยหรือ นี่มัน…” 


 


 


“ตกใจอะไร” ท่านอ๋องฉีว่านางด้วยความไม่พอใจ “พวกเขาเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาของรัฐหนึ่งแล้วอย่างไร หากพวกเราไม่ตกลง พวกเขาก็เสียเวลาเปล่า” 


 


 


พระชายาฉีอ้าปาก พูดอะไรไม่ออก 


 


 


“เสด็จพ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยออกมา ไตร่ตรองแล้วกล่าวออกมาว่า “พวกเขาบอกว่าหากเราตกลงกับการแต่งงานครั้งนี้แล้ว สามารถให้เมิ่งเอ๋อร์และองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์อยู่ในเมืองหลวงไปก่อน รอจนกว่าพวกเราจะยอมปล่อยคน” 


 


 


“ฝันกลางวันชัดๆ” ท่านอ๋องฉีปฏิเสธทันที “ข้าไม่ตกลง” 


 


 


“เสด็จพ่อ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวออกมา 


 


 


ท่านอ๋องฉีมองไปทางนาง 


 


 


ลังเลใจเล็กน้อย แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอ่ยออกมาว่า “ลูกว่าเมิ่งเอ๋อร์ก็มีใจให้องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์อยู่ไม่น้อย” 


 


 


ทันทีที่นางพูดจบ ท่านอ๋องฉีก็ตกใจ แล้วมองนางอย่างเหลือเชื่อ 


 


 


“ข้าเคยถามแล้ว เมิ่งเอ๋อร์นาง…” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวต่อ 


 


 


“เป็นไปไม่ได้” ท่านอ๋องฉีพูดตัดบทเมิ่งเชี่ยนโยวทันที “เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีทางมีความคิดเยี่ยงนี้แน่นอน” 


 


 


เห็นว่าอารมณ์ของท่านอ๋องเริ่มรุนแรงขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนจึงพูดโน้มน้าวว่า “เสด็จพ่อ องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์นั้น…” 


 


 


ยังไม่ทันรอเขากล่าวจบ ท่านอ๋องฉีก็พูดตัดบทเขาว่า “พวกเจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ไปเรียกเมิ่งเอ๋อร์มา ข้าจะถามนางด้วยตัวเอง” 


 


 


ทั้งสองทำอะไรไม่ได้ จึงต้องส่งคนไปเรียกหวงฝู่สือเมิ่งมา 


 


 


เห็นหวงฝู่สือเมิ่งเดินเข้าห้องมา ท่านอ๋องฉีจึงกล่าวกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “วันนี้พวกเจ้าต้องดูแลพวกเขาก็เหนื่อยมากพอแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะพูดคุยกับเมิ่งเอ๋อร์ดีๆ” 


 


 


ทั้งสองสบตากัน ทำอะไรไม่ได้ จึงต้องลุกขึ้นแล้วเดินออกไป กลับไปรอที่ห้องของตัวเอง 


 


 


หลังจากสองชั่วยามผ่านไป หวงฝู่สือเมิ่งเดินเข้ามา ด้วยดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่ยินยอมที่จะแต่งงานกับองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ พวกท่านปฏิเสธฮ่องเต้และฮองเฮารัฐหมิงเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือเรียกนาง หวงฝู่สือเมิ่งเดินมาข้างหน้านาง 


 


 


มองดวงตาของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามอย่างจริงจังว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าคิดดีแล้วหรือ ไม่ยินยอมกับการแต่งงานครั้งนี้จริงๆ หรือ” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้าอย่างไม่ลังเลใจแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าคิดดีแล้ว ข้าไม่ชอบชีวิตที่อยู่ในกำแพงที่สูงเยี่ยงนั้น ข้าชอบชีวิตที่ไร้กังวลเยี่ยงนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับไปมองหวงฝู่อี้เซวียน 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งก็มองไปทางเขา แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ มิใช่เรื่องล้อเล่น เจ้าต้องคิดให้ดี การเลือกในครั้งนี้มีผลต่อทั้งชีวิตของเจ้า พ่อแม่สามารถทำเพื่อเจ้าทุกอย่าง เว้นแต่เรื่องนี้ ที่เจ้าต้องรู้ความรู้สึกของเจ้าเอง” 


 


 


“เมิ่งเอ๋อร์คิดดีมากแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ปฏิเสธพวกเขาเถิด” หวงฝู่สือเมิ่งยืนยันอีกครั้ง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจ้องนางเงียบๆ เป็นเวลานาน เห็นท่าทางที่มั่นคงและดวงตาที่หนักแน่นของนางแล้ว ก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง แล้วกล่าวว่า “ได้ พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะไปปฏิเสธพวกเขา” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอบพระคุณท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ” 


 


 


วันที่สอง หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็แต่งตัวเรียบร้อย แล้วมาที่โรงเตี๊ยมเย่ว์หลง 


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงรอนานแล้ว หลังจากพบเจอกัน ทักทายกันแล้ว ก็รอไม่ไหวรีบกล่าวถามว่า “เป็นเยี่ยงไร ท่านหญิงน้อยตกลงแต่งงานกับอาเป่าหรือไม่” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัวไปมาแล้วกล่าวว่า “เมื่อวานพวกข้าได้กล่าวถามเมิ่งเอ๋อร์แล้ว นางไม่ตกลง” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 116 เผยความรู้สึก...

 

“นี่…” ความหวังที่รอคอยสูญเปล่า สีหน้าของฮองเฮารัฐหมิงเต็มไปด้วยความผิดหวัง อ้าปากอยากจะกล่าวอะไร แต่หลังจากเอ่ยออกมาคำหนึ่งแล้ว ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก 


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงก็ไม่คิดว่าจะเป็นคำตอบแบบนี้ หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ท่าทีไม่เปลี่ยน กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้าเยี่ยงนั้น พวกข้าก็ไม่รบกวนแล้ว จะเดินทางกลับรัฐหมิงทันที” 


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงมิใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ในเมื่อเขามีความคิดที่อยากจะให้อาเป่าสู่ขอหวงฝู่สือเมิ่งแล้ว จะกลับไปง่ายๆ เยี่ยงนี้ได้อย่างไร ฮองเฮารัฐหมิงมองไปทางเขาด้วยความงุนงง 


 


 


ฮ่องเต้รัฐหมิงส่งสายตาให้นาง ความหมายคือกลับไปค่อยว่ากัน ฮองเฮาเข้าใจความหมายของเขาทันที พยักหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พวกข้าออกมานานแล้ว ก็ควรกลับไปแล้ว หวังว่าต่อไปเราจะได้พบกันอีก” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าพวกเขาพูดไปตามมารยาท จึงไม่ได้เก็บไปคิดในใจ หลังจากมองทั้งสองขึ้นรถม้าไป ก็ส่งทั้งสองออกจากเมือง เห็นรถม้าไปไกลแล้ว จึงจะหันหลังกลับจวน 


 


 


ไม่คิดว่าครึ่งทางจะถูกขันทีที่หวงฝู่ซวิ่นส่งมาขวางทางไว้ “ซื่อจื่อ ฮ่องเต้เรียกท่านให้เข้าวังทันทีขอรับ”  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ตั้งใจเข้าวังไปรายงานเขาเรื่องที่ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงมา ได้ยินดังนั้น จึงกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เจ้ากลับจวนไปก่อน ข้าไปที่วังสักครู่ แล้วจะรีบกลับไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ขี่ม้ากลับจวนทันที ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนนั้นเข้าวัง 


 


 


หวงฝู่ซวิ่นได้ยินว่าฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงมาเพื่อสู่ขอหวงฝู่สือเมิ่ง จึงหวั่นไหวเล็กน้อย แต่หลังจากเห็นสีหน้าเรียบของหวงฝู่อี้เซวียนแล้วก็ไม่กล้าเอ่ย แค่เรื่องที่เขาช่วยท่าป๋าหั่นหลิน เสด็จอาก็ไม่พอใจแล้ว ส่วนเรื่องแต่งงานของเมิ่งเอ๋อร์ ถ้าหากเขากล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว คิดว่าเสด็จอาจะต้องบุกมาที่วังแล้วเตะต่อยเขาอย่างแน่นอน โดยที่ไม่สนว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้หรือไม่  


 


 


ในเวลาต่อมา ทุกอย่างในจวนกลับมาเป็นเหมือนเดิม หวงฝู่เย่าเย่ว์มีความสุขกับการเย็บชุดแต่งงานของตัวเอง หวงฝู่สือเมิ่งนอกจากเรียนเย็บปักถักร้อยแล้ว ก็เรียนเรื่องปรุงยากับเมิ่งเชี่ยนโยวไปไม่น้อย 


 


 


เวลาผ่านไปทุกๆ วัน ความรู้สึกหดหู่ใจเพราะหวงฝู่เย่าเย่ว์จะแต่งออกเรือนไปไกลของท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีทก็เริ่มดีขึ้น ในจวนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่มีความสุข 


 


 


บ่าวใช้ในจวนก็โล่งอก เจ้านายอารมณ์ไม่ดี พวกเขาที่เป็นบ่าวก็แทบไม่กล้าเสียงดัง ตอนนี้ดีแล้ว ท้องฟ้าโปร่งใสหลังฝนตก พวกเขาสามารถพูดคุยหัวเราะกันได้แล้ว 


 


 


และภายใต้บรรยากาศที่มีความสุขนี้ มีม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งพุ่งมาทางเมืองหลวง ตรงมาที่จวนอ๋องฉี 


 


 


ถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉีแล้ว คนที่อยู่บนหลังม้าที่เต็มไปด้วยเลือดกลิ้งตกลงมาจากหลังม้า 


 


 


นายประตูตกใจมาก เดินเข้าไป ยังไม่ทันเอ่ยถาม คนที่ตกลงมากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ข้าเป็นคนขององค์ชายรัชทายาทรัฐหมิง อยากจะขอพบท่านหญิงน้อยเมิ่งเอ๋อร์ รบกวนช่วยรายงานให้ที” 


 


 


สภาพเยี่ยงนี้ของเขา นายประตูไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงลังเลใจเล็กน้อย  


 


 


คนที่มามีเลือดไหลออกตรงมุมปากแล้ว พยายามฝืนตัวขอร้องอีกครั้งว่า “องค์ชายรัชทายาทของพวกข้ามาเมืองหลวงอย่างเงียบๆ ไม่คิดว่าครึ่งทางจะถูกลอบโจมตี หากไม่มีคนไปช่วย เกรงว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ จึงขอร้องให้รีบช่วยเข้าไปรายงาน พวกข้า…” 


 


 


ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็อ้วกเลือดออกมา คนก็ล้มลงไปบนพื้น ไม่ขยับอีกเลย 


 


 


นายประตูตกใจเป็นอย่างมาก รีบหันหลังแล้ววิ่งเข้าไปในจวนทันที แต่มีไหวพริบที่ดี ไม่ได้ไปหาหวงฝู่สือเมิ่ง ตรงไปรายงานที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว “ซื่อจื่อเฟย ด้านนอกประตูมีคนบาดเจ็บมา อ้างว่าเป็นคนที่คุ้มกันองค์ชายรัชทายาทรัฐหมิง กล่าวว่าองค์ชายรัชทายาทรัฐหมิงคนนั้นถูกโจมตีระหว่างทาง ขอร้องให้ท่านหญิงน้อยไปช่วยขอรับ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “อยู่ไหนล่ะ” 


 


 


“อยู่ด้านนอกจวนขอรับ ท่าทางไม่ไหวแล้วขอรับ” 


 


 


“ชิงหลวน นำคนเข้ามา กล่าวถามให้ละเอียด” 


 


 


ชิงหลวนเดินออกไป ไม่นานก็วิ่งกลับมาด้วยตัวที่เต็มไปด้วยรอยเปื้อนเลือด กระซิบข้างหูเมิ่งเชี่ยนโยวหลายประโยค 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไปทันที “เจ้าไปหาโจวอันที่หน้าประตูวัง ให้เขาระดมองครักษ์ลับสามร้อยนายไปรอข้าที่หน้าประตูเมือง เดี๋ยวข้าและเมิ่งเอ๋อร์จะตามไป”  


 


 


ชิงหลวนรับคำสั่ง แล้วรีบเดินออกไปอีกครั้ง 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกำลังทำเม็ดยาอยู่ที่ร่มรื่นในลาน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมา จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร เม็ดยาของข้าใกล้สำเร็จแล้ว ข้าคิดไว้ว่าอีกสักครู่จะเอาไปให้ท่านดู”  


 


 


“เมิ่งเอ๋อร์ เยียลี่ว์อาเป่าเกิดเรื่องแล้ว แม่กำลังจะพาคนไปช่วยเขา เจ้า…” 


 


 


ผงยาในมือของหวงฝู่สือเมิ่งตกกระจายเต็มบนโต๊ะ คนก็รีบลุกขึ้นมากล่าวถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและร้อนใจว่า “เขาบาดเจ็บหรือไม่ อาการหนักหรือไม่” 


 


 


มองสีหน้าของลูกสาว เมิ่งเชี่ยนโยวมิได้เผยออกมา แต่กล่าวว่า “แม่ก็ไม่รู้ ตอนนี้กำลังจะรีบไป เจ้า…”  


 


 


“ลูกจะไปกับท่านแม่” ยังไม่ทันรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยจบ หวงฝู่สือเมิ่งก็รีบกล่าว แล้วรีบหันหลังกลับไปในห้องทันที เปิดกล่องยาออก หยิบขวดยาออกมาหลายขวดใส่เข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ แล้วก็รีบวิ่งออกมากล่าวว่า “ท่านแม่ ไปกันเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


ทั้งสองออกจากประตูจวน จูหลีจูงม้ามา ทั้งสามกระโดดขึ้นบนหลังม้า ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง 


 


 


โจวอันนำองครักษ์ลับสามร้อยคนมารออยู่ที่หน้าประตูเมือง เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขาว่า “เจ้าไปรอที่หน้าประตูวัง รอซื่อจื่อออกมาบอกเขาว่าพวกข้าจะรีบกลับมา บอกเขาอย่าได้เป็นห่วง” 


 


 


พูดจบ ก็ขี่ม้าพุ่งไปทางไกลอย่างรวดเร็ว 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งตามหลัง 


 


 


ชิงหลวนและจูหลีก็ตามหลังมา 


 


 


องครักษ์สามร้อยนายก็ไม่ชักช้า 


 


 


หลายร้อยคนไปอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ฝุ่นคลุ้งเต็มท้องฟ้า 


 


 


โจวอันถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วหันม้ากลับไปที่หน้าประตูวังทันที 


 


 


หลังจากวิ่งออกมาประมาณสิบกว่าลี้ ตามคำพูดของคนที่มาบอกข่าว มาถึงข้างหน้าป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ 


 


 


เสียงฟาดฟันของดาบและมีดและเสียงต่อสู้ดังมาแต่ไกล  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ทุกคนหยุด แล้วมองดูเหตุการณ์ต่อสู้ที่อยู่ไกล ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามีฝั่งหนึ่งล้มลง เยียลี่ว์อาเป่ากับอีกสิบกว่าคนถูกล้อมไว้ตรงกลาง กำลังต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่รอบข้างของพวกเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ไล่ฆ่าพวกเขา 


 


 


ได้ยินเสียง ผู้นำเพียงคนเดียวหันหลังกลับมา ทันทีที่เห็นหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวชัดๆ สีหน้าก็เปลี่ยนทันที มองเยียลี่ว์อาเป่าที่เริ่มอ่อนแรงลง แล้วมององครักษ์ร้อยกว่านายที่เต็มไปด้วยพลังอยู่ข้างหลังเมิ่งเชี่ยนโยว เปรียบเทียบกันแล้ว จึงกัดฟันสั่งว่า “ถอย!” 


 


 


ผู้คนที่ล้อมโจมตีเริ่มถอยอย่างเป็นระเบียบ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจะให้พวกเขาถอยอย่างที่หวังได้อย่างไร ไม่เพียงแค่นางเห็นชัดเจนแล้วว่าผู้นำคือผู้ใด แค่เพียงเขากล้านำผู้คนมากมายเยี่ยงนี้บุกเข้ามาในเขตของรัฐอู่โดยไม่ได้รับอนุญาต ฆ่าผู้คนมากมายเยี่ยงนี้อย่างโจ่งแจ้ง ในช่วงกลางวันแสกๆ ก็ไม่สมควรให้เขาหลบหนี จึงสั่งทันทีว่า “จับตัวพวกเขาไว้ หากขัดขืน ลงมือได้” 


 


 


องครักษ์รับคำสั่ง ก้าวออกไป ล้อมพวกเขาไว้ตรงกลาง 


 


 


ร่างกายของเยียลี่ว์อาเป่าและลูกน้องต่างเต็มไปด้วยเลือดและหมดเรี่ยวแรงแล้ว เห็นว่าองครักษ์ทั้งหลายล้อมทุกคนไว้แล้ว ในขณะที่โล่งอก ก็ล้มลงไปบนพื้น 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งใจร้อนมาก กระโดดลงจากหลังม้า ยกกระโปรงแล้ววิ่งไปทันที เห็นรอยเลือดบนใบหน้าของเยียลี่ว์อาเป่า ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “เจ้า เจ้าบาดเจ็บที่ใด” 


 


 


เห็นชัดว่าเป็นนางแล้ว เยียลี่ว์อาเป่ายิ้มกว้าง พยายามลุกขึ้นนั่ง ยกแขนเสื้อขึ้น เช็ดรอยเลือดบนใบหน้าของตัวเองแล้วกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่เป็นไร เลือดนี้มิใช่ของข้า” 


 


 


ใจที่กังวลมาตลอดทางหายไปทันที หวงฝู่สือเมิ่งกัดริมฝีปาก เพราะเพิ่งจะรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองนั้นไม่เหมาะสม หน้าแดงขึ้นมาทันที เม้มริมฝีปาก แล้วหยิบขวดยาเหล่านั้นออกมากระเป๋าแขนเสื้อ ยื่นให้เขาแล้วกล่าวว่า “ทั้งหมดนี้คือยาห้ามเลือด ให้คนของเจ้าห้ามเลือดก่อนเถิด”  


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าไม่ขยับ มองดูนางด้วยความโลภ 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกว่าใบหน้าของนางร้อนมาก มือที่ถือขวดยาเริ่มสั่นขึ้นมา กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีความเขินอายผสมอยู่อย่างไม่รู้ตัวว่า “เจ้า หากเจ้าไม่เอา ข้า…” 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่ายื่นมือออกมา  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งรีบโยนขวดยาให้เขา แล้วหันหลังเดินกลับไปทันที 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเยียลี่ว์อาเป่ายิ่งกว้างมากขึ้นไปอีก หมุนขวดยาไปมาในมือหลายครั้ง จึงจะโยนให้ลูกน้องของตัวอย่างอย่างเสียดาย แต่ทันทีที่หันหลังกลับไปเห็นผู้คนที่ถูกองครักษ์ทั้งหลายโจมตีจนเริ่มถดถอย ไม่มีแรงต่อต้านแล้ว สีหน้าก็เยือกเย็นขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนเขาจะอ่อนแอมากเกินไป ทำให้พี่ใหญ่ของตัวเองนั้นทำร้ายตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเยี่ยงนั้น ก็กำจัดก่อนที่จะเกิดปัญหาเถิด 


 


 


คิดได้ดังนี้ ก็กระโดดขึ้นมา เดินมาข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ทำความเคารพแล้วกล่าวว่า “เยียลี่ว์พบซื่อจือเฟย ขอบพระคุณที่ซื่อจื่อเฟยช่วยชีวิต” 


 


 


“ถอนหญ้าไม่ถอนราก ฤดูใบไม้ผลิมาก็โตขึ้นมาใหม่ จิตใจลังเลไม่เด็ดขาด ไม่เพียงแต่ทำการใหญ่มิได้ กลับยังทำลายชีวิตของตัวเองและคนใกล้ตัว” 


 


 


น้ำเสียงที่ไม่สูงและไม่ต่ำ ไม่ช้าและไม่เร็วของเมิ่งเชี่ยนโยว กลับมีพลังที่ทะลวงใจคนได้ 


 


 


ร่างกายและใจของเยียลี่ว์อาเป่าหยุดชะงักไปเมื่อได้ยิน ก้มศีรษะลงด้วยท่าทางที่ยิ่งเคารพมากขึ้นแล้วกล่าวว่า “เยียลี่ว์ทราบแล้วขอรับ ซื่อจื่อเฟยวางใจได้ ต่อไปจะไม่เกิดขึ้นอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เอ่ยอะไรอีก มองดูผู้คนที่องครักษ์ล้อมไว้ตรงกลาง แล้วพยายามที่จะต่อต้านอย่างสุดชีวิต สายตาขรึมลง หากนี่เป็นเพียงการต่อสู้ของพวกเขาสองพี่น้อง นางจะไม่ยุ่ง ตั้งแต่สมัยโบราณผู้ชนะคือกษัตริย์ผู้แพ้คือโจร ไม่มีผู้ใดขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งฮ่องเต้โดยที่ตัวไม่เปื้อนเลือด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ดูท่าทางของเมิ่งเอ๋อร์แล้ว เห็นได้ชัดว่ามีใจให้เยียลี่ว์อาเป่า ถ้าเยี่ยงนั้นนางจะต้องเตรียมทางให้ลูกสาวก่อน 


 


 


นางเก็บสายตา มองไปทางเยียลี่ว์อาเป่าแล้วกล่าวว่า “หากองค์ชายรัชทายาทไม่เป็นอะไรแล้ว ข้ากับเมิ่งเอ๋อร์ก็ขอตัวกลับก่อน” 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าแอบมองหวงฝู่สือเมิ่งเล็กน้อย อ้าปาก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวนว่า “เจ้าอยู่ต่อ ฟังคำสั่งจากองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์” 


 


 


ชิงหลวนรับคำสั่ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันม้ากลับ แล้วขี่ม้ากลับไปทันที 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งก้มศีรษะ แล้วตามไปอย่างไม่ลังเล 


 


 


จูหลีตามหลังทั้งสองคน 


 


 


แม้ทั้งสามจะขี่ม้าไปอย่างไม่รวดเร็ว แต่เยียลี่ว์อาเป่าก็ยังรู้สึกว่าหวงฝู่สือเมิ่งหายไปจากหน้าเขาภายในพริบตาเดียว 


 


 


จนม้าสามตัวกลายเป็นจุดดำที่อยู่ไกลพ้นไปแล้ว เยียลี่ว์อาเป่าจึงจะยอมเก็บสายตา หันกลัง แล้วมองดูสถานการณ์ต่อสู้ตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ 


 


 


ทั้งสามเดินทางกลับ ไม่พูดคุยตลอดทั้งทาง จนกลับมาถึงจวน หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาแล้ว เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูจวนด้วยความร้อนใจ เงยหน้าขึ้นมองไปทางไกลบ่อยครั้ง เห็นทั้งสามคนกลับมาอย่างปลอดภัย จึงโล่งอก ก้าวออกมา รอเมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดลงจากหลังม้า มองสำรวจทั้งร่างกายนางหนึ่งรอบ เห็นว่าบนตัวของนางไม่มีร่องรอยการต่อสู้ จึงจะวางใจจริงๆ แล้วกล่าวว่า “เข้าไปในจวนกันก่อนเถิด” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)