ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 112-115
ตอนที่ 112 จวนแม่ทัพที่แตกต่าง
พูดจบก็แนะนำกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ท่านนี้ก็คือพ่อบ้านเก่าแก่ของบ้านเรา ลุงฝู ตอนที่ท่านพ่อข้ายังอยู่ก็อยู่ในจวนของพวกเราแล้ว เป็นคนที่เห็นเราสองคนพี่น้องมาตั้งแต่เด็กจนโต”
พูดจบก็กล่าวกับลุงฝูว่า “นี่ก็คือว่าพระชายาซื่อจื่อของเซวียนเอ๋อร์ที่ยังไม่ได้แต่งเข้าจวน เมิ่งเชี่ยนโยวแม่นางเมิ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยอบกายลง กล่าวทักทายอย่างสุภาพ “ลุงฝู”
ลุงฝูรีบยกมือขวาของตัวเองขึ้นโบกอย่างลนลาน “แม่นางเมิ่งอย่างเกรงใจเช่นนี้ บ่าวชราเป็นเพียงคนรับใช้ รับการคำนับจากแม่นางเมิ่งเช่นนี้ไม่ไหว”
พูดจบก็หันไปมองหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวถามขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านนี้ก็คือซื่อจื่อกระมัง ก่อนนี้สี่ปีบ่าวชราได้พบอย่างฉุกละหุกครั้งหนึ่ง”
หวงฝู่อี้เซวียนก็กล่าวทักทายอย่างเคารพ “ลุงฝู”
ลุงฝูหัวเราะฮ่าๆ เป็นการตอบรับ กล่าวว่า “บ่าวชราขอกล่าวต้อนรับซื่อจื่อแล้ว”
พูดจบก็โค้งตัวลง กล่าวว่า “ข้างนอกอากาศเย็น คุณหนูใหญ่เข้าไปข้างในก่อนค่อยคุยกันเถิดขอรับ”
พระชายาฉีพยักหน้า เดินตรงเข้าไปข้างในจวน โดยไม่ต้องมีคนคอยประคอง ฉู่เหวินเจี๋ยเดินอยู่ด้านข้าง
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลังทั้งสองคนเข้าไป
ลุงฝูเดินตามเข้าไปเป็นลำดับสุดท้าย
พระชายาฉีเดินเข้าประตูจวน แต่กลับมีเพียงฉู่เหวินเจี๋ยกับพ่อบ้านชราสองคนที่ออกมาต้อนรับ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งรู้สึกแปลกใจ
ภายในจวนแม่ทัพค่อนข้างเงียบเหงา ตลอดทางที่เดินเข้ามานี้ แทบจะไม่เห็นคนรับใช้คอยดูแลเลย
ทุกคนเดินไปในจวนเข้าไปนั่งที่ห้องโถงรับรองแขก ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งคนให้ไปนำน้ำชามา พลันก็มีคนรับใช้ที่ไม่มีขาข้างหนึ่งยกน้ำชาร้อนๆ เอามาให้ หลังจากที่วางไว้ข้างหน้าของแต่ละคนอย่างนอบน้อม แล้วก็ถอยออกไป
พระชายาฉียกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มหลายอึก พักผ่อนให้สบายขึ้นบ้างแล้ว ก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “เหวินเจี๋ย แต่ก่อนข้าร่างกายอ่อนแอ มักจะนอนอยู่บนเตียงตลอดทั้งปี หลายปีแล้วที่ไม่ได้กลับมาจุดธูปให้ท่านพ่อท่านแม่ เจ้าพาข้าไปจุดธูปให้ท่านพ่อท่านแม่ทีเถอะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยลุกขึ้นยืน
พระชายาฉีกล่าวว่า “เซวียนเอ๋อร์ ข้ากับท่านน้าของเจ้ามีเรื่องต้องคุยกับท่านตาท่านยายมากมาย เจ้าไม่ต้องตามไปหรอก อยู่เป็นเพื่อนแม่นางเมิ่งเถอะ ถ้ารู้สึกเบื่อ ก็ให้ลุงฝูพาพวกเจ้าเดินเล่นภายในจวน”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นยืน “ทราบแล้ว เสด็จแม่”
พระชายาฉีกับฉู่เหวินเจี๋ยสองคนเดินออกไป
รอจนกระทั่งหวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเอ่ยถามข้อสงสัยของตัวเองขึ้นมา “ทำไมถึงไม่เห็นฮูหยินท่านแม่ทัพกับลูกหรือ?”
หวงฝู่อี้เซวียนอึ้ง ถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าไม่ทราบหรือ? ว่าท่านน้าไม่ได้ออกเรือน”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกตะลึง กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ข้าไม่รู้สิ ไม่มีใครบอกข้า”
“เจ้ามาถึงเมืองหลวงตั้งนานแล้ว ข้ายังคิดว่าเจ้ารู้แล้วเสียอีก ดังนั้นจึงไม่ได้บอกอะไรเจ้าโดยเฉพาะ ประหลาดใจแย่แล้วกระมัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ใช่ค่อนข้างแปลกใจ ทำไมท่านแม่ทัพไม่ได้ออกเรือนหรือ เกิดอะไรขึ้น?”
หวงฝู่อี้เซวียนสั่นศีรษะ “ในตอนนั้นทหลังจากที่ท่านน้าทำตัวข้าหายไป ก็เป็นทุกข์จากการละอายใจ พอมีเวลาว่างก็จะออกไปตามหาข้า ไม่มีกะจิตกะใจมาคิดถึงเรื่องการแต่งงานของตัวเอง ต่อมาก็ได้แม่ทัพใหญ่ ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทหาร ก็ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจไปใส่ใจเรื่องของตัวเองแล้ว ดังนั้นจึงได้ล่าช้ามาจนถึงป่านนี้”
“ฮ่องเต้ก็ยอมให้แม่ทัพฉู่ทำเช่นนี้ ไม่ได้ประทานงานแต่งงานให้หรือ?”
“ว่ากันว่าในตอนนั้น เสด็จลุงก็เอ่ยกับท่านน้าอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกท่านน้าปฏิเสธไป บอกว่าถ้าหากตามหาข้าไม่เจอ เขาก็จะไม่ยอมแต่งงานไปชั่วชีวิต เสด็จแม่ก็ประชวรอิดๆ ออดๆ ตลอด จึงไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องการแต่งงานของเขา ดังนั้นจึงปล่อยให้ล่าช้าไปเช่นนี้ สี่ปีก่อนกว่าจะตามหาข้าจนเจอ ก็ต้องมีเรื่องเร่งด่วนขึ้นมาอีก ท่านน้าก็ต้องนำทัพออกไปรบ นั่นจึงต้องล่าช้าไปอีกสี่ปี”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจทันที กล่าวว่า “มิน่าเล่าในจวนถึงไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ถึงท่านน้าจะอยู่ในเมืองหลวง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะพักอยู่ที่ค่ายทหาร กลับบ้านไม่บ่อยนัก ดังนั้นในบ้านจึงมีแต่พ่อบ้านชรากับคนที่ร่างกายไม่สมประกอบอีกไม่กี่คน คนเหล่านี้ก็เป็นพวกทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการรบ เป็นคนที่ไม่มีบ้านให้กลับ ท่านน้ารู้สึกว่าพวกเขาน่าสงสาร จึงให้พวกเขาคอยช่วยงานภายในจวนที่พอจะทำได้ เสด็จแม่บอกว่า คนที่อยู่ในจวนรวมทั้งเจ้านายและคนรับใช้ก็ยังไม่ถึงสิบคน”
“ก่อนหน้านี้หลายวันเสด็จแม่ยังบอกกับข้า ว่าหลายวันนี้ได้ไปหาเสด็จย่ามาครั้งหนึ่ง ดูว่ายังพอมีสตรีคนใดที่เหมาะสมที่จะแต่งงานกับท่านน้าหรือไม่”
“ก่อนนี้หลายวัน ตอนที่ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาเมืองหลวงก็ดูผู้หญิงพวกนั้นกระตือรือร้น ท่าทางราวกับว่าอยากจะแต่งงานกับท่านแม่ทัพเหลือประมาณ หาคู่ที่เหมาะสมให้กับท่านแม่ทัพน่าจะไม่ยากกระมัง” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “เรื่องการแต่งงานของท่านน้าพูดได้ยาก หากเป็นผู้หญิงชาวบ้าน ก็จะเป็นการดูหมิ่นเกียรติของเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าเสด็จแม่จะไม่ยินยอมเลย แม้แต่เสด็จลุงก็ไม่เห็นด้วย หากเป็นคู่ที่เหมาะสมทางด้านฐานะชาติตระกูล ท่านลุงก็มีอายุมากแล้ว หาคนที่เหมาะสมได้ยาก อายุน้อยเกินไป ท่านลุงก็ไม่เห็นด้วย”
ฉู่เหวินเจี๋ยอายุสามสิบกว่าปีแล้ว หากจะพูดถึงการแต่งงานกับคนที่มีอายุเหมาะสมกันก็ยากจริงๆ ผู้หญิงในยุคสมัยนี้ โดยทั่วไปอายุสิบห้าสิบหกปีก็ออกเรือนกันแล้ว ไหนเลยจะมีกุลสตรีในห้องหอที่อายุสามสิบกว่าปีที่ยังไม่ออกเรือน ต่อให้มีจริงแล้วล่ะก็ จะต้องเป็นหญิงที่มีปัญหาหรือไม่ก็เป็นหญิงที่เคยออกเรือนมาก่อนแล้ว คนเช่นนั้นย่อมไม่เหมาะสมกับแม่ทัพใหญ่เป็นธรรมดา
เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ดังนั้นรู้จักกับฉู่เหวินเจี๋ยมานานหลายปีแล้ว ก็ยังไม่ทราบจริงๆ ว่าเขายังไม่แต่งงาน ขนาดเหวินซื่อยังไม่ได้บอกนาง พอได้ยินที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี เงียบขรึมลง
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็รู้สึกละอายใจ ในตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะว่าต้องการตามหาตัวเองแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็คงจะแต่งงานไปแล้วไม่ต้องรอจนอายุล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่ความผิดของตัวเอง แต่สุดท้ายก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเอง
บรรยากาศภายในห้องเงียบเชียบสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวหยัดกายลุกขึ้น กล่าวว่า “ห้องครัวอยู่ที่ไหน? ไม่รู้ว่าพระชายากับแม่ทัพใหญ่จะกลับมาเมื่อไหร่ พวกเราสองคนก็อย่านั่งเฉยๆ เลย ไปทำกับข้าวอร่อยๆ ในห้องครัวสักสองสามอย่าง วันนี้เลี้ยงฉลองให้กับแม่ทัพใหญ่สักมื้อ”
หวงฝู่อี้เซวียนเองสี่ปีก่อนนั้นก็เคยมาที่จวนก่อนที่ฉู่เหวินเจี๋ยจะออกรบอย่างฉุกละหุก จึงไม่ค่อยคุ้นเคยภายในจวนนัก เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า แล้วลุกขึ้น
ทั้งสองคนเดินออกจากห้องโถงรับแขก
ลุงฝูยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องโถงรับแขกอย่างมีระเบียบ พอเห็นทั้งสองคนเดินออกมา จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเคารพ “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ท่านทั้งสองต้องการสิ่งใดก็สั่งบ่าวชราก็พอแล้วขอรับ”
“ลุงฝู ห้องครัวอยู่ที่ไหน ข้ากับโยวเอ๋อร์ตั้งใจจะลงมือทำอาหารให้ท่านน้าได้ลองชิม” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว
ลุงฝูรีบโบกไม้โบกมือพัลวัน “ซื่อจื่อ เรื่องนี้ทำไม่ได้นะขอรับ ท่านมีฐานะสูงส่ง จะทำงานหยาบเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านอยากจะกินอะไรก็บอกบ่าวชรา บ่าวชราจะให้คนไปสั่งซื้อมาจากเหลาจวี้เสียนก็ได้ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ “ไม่ต้อง วันนี้ข้ากับโยวเอ๋อร์อยากจะกตัญญูบ้าง ท่านไม่ต้องห้ามพวกเราแล้ว พาพวกเราไปที่ห้องครัวก็พอ”
ลุงฝูโค้งตัวรับคำ “มีหลานอย่างซื่อจื่อ ถือเป็นวาสนาของท่านแม่ทัพแล้ว เชิญท่านทั้งสองตามบ่าวชราไปยังห้องครัวเถิด”
ลุงฝูนำทาง ทั้งสองคนเดินตามเขามุ่งหน้าไปยังห้องครัว
ชิงหลวนกับจู๋หลีทั้งสองคนเดินตามอยู่ด้านหลัง
ถึงแม้ภายในห้องครัวจะเงียบเหงา ไม่มีเงาของใครแม้แต่คนเดียวก็ตาม แต่กลับมีการจัดเก็บวางสิ่งของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน
ตอนที่ 113 ลุงฝูตกใจ
หวงฝู่อี้เซวียนบอกลุงฝูว่า “ในรถม้าพวกเรานำวัตถุดิบสำหรับทำอาหารมาไม่น้อยมาด้วย ท่านให้คนรับใช้ไปขนย้ายเข้ามาในจวนด้วย”
ลุงฝูตอบรับ เดินออกไปด้านนอก ไม่นานกัวเฟยกับคนรับใช้ที่พิการไม่กี่คนก็ขนสิ่งของจากรถม้าเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวให้ชิงหลวนกับจู๋หลีเปิดสิ่งของที่อยู่ข้างในนั้นออกมาทั้งหมด นางมองดูสักครู่ ไตร่ตรองดูว่าจะทำอาหารอะไรบ้าง จากนั้นกล่าวถามขึ้นว่า “ลุงฝู พวกท่านภายในจวนมีคนทั้งหมดกี่คนเจ้าคะ?”
“มีหนึ่งคนเฝ้าประตู หนึ่งคนดูแลม้า สองคนทำความสะอาดภายในเรือน หนึ่งคนทำอาหาร รวมกับบ่าวชราแล้วทั้งหมดก็เป็นหกคนขอรับ แม่นางเมิ่งต้องการจะให้ทำสิ่งใดหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว อีกสักครู่ข้าจะทำกับข้าวเพิ่มอย่างละชุด ท่านกับคนอื่นภายในจวนก็ต้องลองชิมฝีมือของข้านะเจ้าคะ”
“ไอ้หยา แม่นางเมิ่ง ทำไม่ได้นะขอรับ จะให้ท่านที่เป็นแขกสำคัญทำกับข้าวให้พวกเรากินได้อย่างไร พวกเราทำเองก็พอแล้วขอรับ” ลุงฝูลนลานรีบกล่าวขึ้นเป็นพัลวัน
“ไม่เป็นอะไรหรอก ในจวนของข้า ตอนที่ข้าว่างไม่ได้ทำอะไรก็มักจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกินอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องห้ามแล้วเจ้าค่ะ มื้อเที่ยงวันนี้คอยชิมฝีมือข้าเถิด”
ถึงแม้ลุงฝูจะเป็นเพียงคนรับใช้ ทว่าตั้งแต่ตอนที่ท่านแม่ทัพอาวุโสยังมีชีวิตอยู่นั้นก็ได้เป็นพ่อบ้านแล้ว ในตอนนั้นท่านแม่ทัพอาวุโสกับฮูหยินยังมีชีวิตอยู่นั้น คนในจวนก็ไปมาหาสู่กับพ่อบ้านจากจวนอื่นในเมืองหลวง ที่ต้องการพาบุตรสาวของตนเองมาเพราะหวังจะให้แต่งงานมาเป็นฮูหยินน้อยที่จวนแห่งงนี้ แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่เหมือนเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่เพียงแต่ลงมือทำอาหารให้กับท่านแม่ทัพด้วยตัวเอง อีกทั้งยังทำอาหารเผื่อคนรับใช้อย่างพวกเขาอีก
ลุงฝู่พูดจากใจว่า “ซื่อจื่อสามารถแต่งงานกับแม่นางเมิ่ง ได้สตรีที่ดีเช่นนี้มาเป็นพระชายาซื่อจื่อ ช่างมีวาสนายิ่งนัก”
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวเห็นด้วยอย่างภาคภูมิใจ “ลุงฝู ท่านพูดได้ถูกต้อง โยวเอ๋อร์น่ะ ดีกว่ากุลสตรีในห้องหอทุกคนที่อยู่ในเมืองหลวงมากนัก”
ลุงฝูหัวเราะฮ่าๆ พยักหน้าเห็นพ้องด้วย “ใช่แล้วขอรับ ซื่อจื่อมีวาสนานัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบกลอกตาขาวใส่หวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนส่งยิ้มละไมกลับให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวละสายตา สั่งให้ชิงหลวนกับจู๋หลีเด็ดผัก ส่วนนางหยิบเนื้อสัตว์ขึ้นมาวางบนเขียง จากนั้นก็หั่นเนื้อสัตว์ตามที่ตัวเองต้องการ
หวงฝู่อี้เซวียนทำอย่างเช่นที่ผ่านมา เดินออกไปเอาฟืนที่อยู่หน้าประตูห้องครัวเข้ามา เตรียมช่วยก่อไฟให้เมิ่งเชี่ยนโยว
คราวนี้ลุงฝูตกใจเสียแทบแย่ รีบเข้าไปห้ามทันที ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาทำ สั่งให้คนรับใช้ที่อยู่ในจวนหอบฟืนเข้ามาทันที
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ยืนกรานที่จะทำต่อ หมุนตัวแล้วก็เดินกลับเข้าไป
ลุงฝูสั่งให้คนรับใช้ทั้งหลายเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องครัว รอรับคำสั่งจากหวงฝู่อี้เซวียนตลอดเวลา
พระชายาฉีกับฉู่เหวินเจี๋ยจุดธูปเสร็จแล้วก็กลับไปที่ห้องโถงรับแขก ไม่เห็นหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวสองคน จึงคิดว่าทั้งสองคนอาจจะเดินเล่นอยู่ภายในจวน ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ทรุดตัวนั่งลง
ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งให้คนรับใช้เปลี่ยนน้ำชามาใหม่ ร้องเรียกอยู่นานก็ไม่มีคนขานรับ เกิดความรู้สึกแปลกใจ แม้ว่าในจวนจะมีคนรับใช้อยู่น้อย แต่ก็เป็นผู้ที่รู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองดี ไม่เคยมีครั้งใดที่เรียกแล้วไม่มีคนขานรับอย่างเช่นสถานการณ์ในตอนนี้ ในใจค่อนข้างฉุนเล็กๆ สีหน้าขรึมลง กล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านนั่งรอที่นี่สักครู่ ข้าจะออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
พระชายาฉีก็ลุกขึ้นตาม “คนรับใช้ภายในจวนต่างก็อบรมมาอย่างดี จะต้องมีสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นแน่ พวกเขาถึงไม่ได้มารอรับใช้อยู่ใกล้ๆ ข้าจะไปดูกับเจ้า ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ทั้งสองคนเดินออกจากห้องโถงรับแขก ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากห้องครัว จึงรีบเดินเข้าไปทันที
ยังเดินไปไม่ถึงประตูห้องครัว ก็ได้ยินเสียงร้อนรนของลุงฝูดังขึ้นว่า “ซื่อจื่อขอรับ ท่านทำไม่ได้นะขอรับ ท่านทำงานเช่นนี้ไม่ได้นะ ถ้าหากท่านแม่ทัพทราบ คงต้องไล่บ่าวชราออกจากจวนเป็นแน่”
“ลุงฝู!” ฉู่เหวินเจี๋ยตะโกนขึ้นอย่างดุดัน
ทันทีที่ลุงฝูได้ยินเสียงตะโกนของเขา ก็รีบวิ่งออกมาจากห้องครัวอย่างลนลาน
“ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฉู่เหวินเจี๋ยถามอย่างไม่พอใจ
ลุงฝูกระวนกระวายใจจนมีเหงื่อผุดออกมาเต็มศีรษะ “ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านมาเสียที ซื่อจื่อจะช่วยก่อไฟให้ได้เลย ไม่ว่าบ่าวชราจะห้ามอย่างไรก็ห้ามไว้ไม่อยู่”
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินก้าวพรวดเข้าไปในห้องครัว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกับสาวใช้ทั้งสองนางกำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหาร ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนกลับคุกเข่าก่อไฟอยู่หน้าเตา คนรับใช้ภายในจวนทุกคนต่างก็ยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างร้อนใจ
ฉู่เหวินเจี๋ยขมวดคิ้วมุ่น
พระชายาฉีก็เดินตามเข้ามาในห้องครัว พอเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นแขก จะให้เจ้าทำอาหารได้อย่างไร เจ้ารีบหยุดเร็วเข้า มา ข้าทำเอง” พูดจบก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วก็เดินเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นมอง แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “พระชายา ท่านแม่ทัพ ข้ามิใช่คนนอกเสียหน่อย ทำอาหารให้คนในบ้านกินก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
พระชายาอ๋ฮงฉีเดินมาถึงข้างกายของนางเรียบร้อยแล้ว กล่าวขึ้นว่า “จะได้อย่างไรเล่า ให้ข้าทำดีกว่า”
หวงฝู่อี้เซวียนก็มาห้ามนางไว้ “เสด็จแม่ ท่านกับท่านน้าไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ให้ข้ากับโยวเอ๋อร์ได้กตัญญูเถิด ได้ทำอาหารให้พวกท่านทั้งสองกิน”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ เข้าประตูมาก็เป็นแขก มีที่ไหนกันที่ให้แขกลงมือทำอาหารเอง” พระชายาฉีสั่งสอนเขา
“เสด็จแม่ โยวเอ๋อร์ไม่ใช่แขก นางเป็นว่าที่พระชายาซื่อจื่อ เป็นสะใภ้ของท่าน อีกอย่าง อีกสักครู่ข้ายังมีเรื่องที่ต้องขอร้องท่านลุงอีก พอดีกับการใช้กับข้าวมื้อนี้ติดสินบนเขาไว้ก่อน”
“ไม่ต้องติดสินบนหรอก” ฉู่เหวินเจี๋ยเอ่ยขึ้น “เพียงเจ้าต้องการ น้าก็จะช่วยเจ้าให้ได้”
“ท่านน้าพูดแล้วนะ เสด็จแม่กับโยวเอ๋อร์ก็ได้ยินแล้ว อีกสักครู่ท่านจะกลับคำไม่ได้แล้วนะ” หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปเติมเชื้อฟืน ให้ไฟเผาไหม้แล้วจึงกล่าวขึ้น
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “น้าพูดคำไหนคำนั้น”
“สี่ปีมานี้ เสด็จแม่คิดถึงท่านมาก วันนี้มีเวลาได้มาเจอกันทั้งที ท่านไปพูดคุยเป็นเพื่อนท่านแม่เถิด ส่วนการทำอาหาร ท่านอย่ามาห้าพวกเราเลย อีกอย่าง ให้คนรับใช้ในจวนท่านออกไปทั้งหมดเถอะ ห้องครัวเล็ก พวกเขายืนอยู่ในนี้ก็เกะกะเปล่าๆ”
ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมา คนรับใช้ทั้งหลายก็ถอยออกไป พูดกับพระชายาฉีว่า “ท่านพี่ เอาตามที่เซวียนเอ๋อร์บอกเถอะ พวกเราไปรอที่ห้องโถงรับแขก”
พระชายาฉียังรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว “เสด็จแม่ ฝีมือการทำอาหารของโยวเอ๋อร์เป็นที่เลื่องลือไปทั่วว่าอร่อยนัก วันนี้ให้นางได้แสดงฝีมือให้ท่านดู รับรองว่าต่อไปท่านจะไม่อยากกินอาหารที่แม่ครัวคนอื่นทำอีก”
พระชายาฉีเผลอยิ้มออกมา “ได้ได้ได้ ข้าจะรอชิมฝีมือของโยวเอ๋อร์ก็แล้วกัน”
“วางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาด” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวอย่างโอ้อวด
พระชายาฉียิ้มพลางโคลงศีรษะ แล้วก็เดินออกจากห้องครัวไปพร้อมกับฉู่เหวินเจี๋ย
ลุงฝูเมื่อเห็นพระชายาฉีกับฉู่เหวินเจี๋ยต่างก็รับปากแล้ว จึงโบกมือให้พวกคนรับใช้ออกไปทำงานของตนเอง ส่วนเขาก็ตามทั้งสองคนกลับไปเฝ้าที่หน้าประตูห้องโถงรับแขก
ในบ้านของตัวเองเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนช่วยกันทำอาหารมาหลายครั้งหลายคราแล้ว จึงรู้แกวกันเป็นธรรมดา
เมิ่งเชี่ยนโยวต้องการจะผัดสิ่งใดต้องการไฟขนาดไหน หวงฝู่อี้เซวียนก็เข้าใจเป็นอย่างดี ไม่นาน อาหารทุกอย่างก็ทำเสร็จเรียบร้อย
ทั้งสองคนยุ่งวุ่นวายจนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
ตอนที่ 114 ท่านแม่ทัพใหญ่ได้โปรดออกหน...
หวงฝู่อี้เซวียนรอจนกระทั่งนางเอาอาหารอย่างสุดท้ายวางไว้ในถาด ส่งให้ชิงหลวนเรียบร้อย ทันใดนั้นก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาซับเหงื่อบนหน้าผากให้นางอย่างอ่อนโยน ถามเสียงละมุนว่า “เหนื่อยไหม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่นศีรษะ “ไม่เหนื่อย”
หวงฝู่อี้เซวียนช่วยซับเหงื่อให้นางเสร็จแล้ว “ที่เหลือให้พวกนางเก็บกวาดเถอะ พวกเราพักผ่อนสักครู่” พูดจบก็โอบไหล่นางเดินออกจากห้องครัว กลับไปยังห้องโถงรับแขก กล่าวกับลุงฝูที่ยืนอยู่หน้าประตูว่า “ลุงฝู อาหารทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านสั่งให้คนไปเอาอาหารเถิด”
ลุงฝูตอบรับอย่างเคารพ แล้วก็รีบร้อนสั่งคนลงไป
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องโถงรับแขก พระชายาฉีพูดขึ้นมาทันทีว่า “โยวเอ๋อร์ เหนื่อยแล้วกระมัง รีบนั่งลงพักผ่อนเถิด”
“ไม่เหนื่อยเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “ตอนที่หม่อมฉันอยู่ที่ชนบทนั้น มักจะทำอาหารให้คนกินมากมาย จนคุ้นชินไปแล้วเพคะ”
ไม่นานลุงฝูก็สั่งให้คนเอาสำรับอาหารขึ้นไปตั้งที่ห้องอาหาร แล้วก็เข้ามาเชิญให้ทุกคนไปทานอาหารอย่างสุภาพ
ทั้งสี่คนเดินไปถึงห้องอาหาร นั่งลงตามลำดับ โบกมือให้คนรับใช้ที่คอยรับใช้ออกไป เสร็จแล้วก็เริ่มลงมือกินอาหารอย่างไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก
อาหารใหม่ๆ ในเหลาจวี้เสียนต่างก็เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่เป็นคนสอนให้ ฉู่เหวินเจี๋ยรู้ว่านางทำอาหารได้เลิศรส กินลงไปหลายคำ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พระชายาฉีไม่รู้ ทุกครั้งหลังจากที่ได้ชิมอาหารแต่ละอย่าง ก็จะชมไม่ขาดปาก ยังไม่ได้ชิมอาหารจนครบทุกอย่าง ก็ประหลาดใจเสียแทบแย่ กล่าวขึ้นว่า “มิน่าเล่าเซวียนเอ๋อร์ถึงได้บอกว่าหลังจากที่กินอาหารที่เจ้าปรุงแล้ว จะไม่อยากกินอาหารที่แม่ครัวคนอื่นปรุงอีกเลย เป็นเช่นนี้จริงๆ หากเทียบกับอาหารที่เจ้าปรุงแล้ว อาหารที่พวกนางปรุงก็กลืนได้ยากจริงๆ นั่นแหละ”
หวงฝู่อี้เซวียนทำราวกับว่าตัวเองเป็นคนที่ได้รับคำชมเสียอย่างนั้น รู้สึกภาคภูมิใจเหลือเกิน ใช้ตะเกียบคีบอาหารที่เมิ่งเชี่ยนโยวโปรดปรานโดยไม่รู้สึกกระดากอาย แล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ฝีมือของโยวเอ๋อร์ไม่มีผู้ใดในแคว้นอู่เทียบได้สักคน”
พระชายาฉีเผลอหัวเราะออกมา
ฉู่เหวินเจี๋ยกลืนอาหารที่อยู่ในปาดแล้วก็พูดขึ้นว่า “ฝีมือการปรุงอาหารของแม่นางเมิ่งดีจริงๆ ที่กิจการของเหลาจวี้เสียนดีเช่นนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะความดีความชอบของนางทั้งสิ้น”
พระชายาฉีประหลาดใจ
ฉู่เหวินเจี๋ยเล่าเรื่องอาหารใหม่ๆ อันเนื่องมาจากการสอนของเมิ่งเชี่ยนโยวที่เหลาจวี้เสียนให้นางฟัง
พระชายาฉีได้ยินแล้วก็เบิกตากว่าอย่างตกใจ “ข้าก็ว่าอยู่ว่าตั้งแต่สี่ปีก่อนเหลาจวี้เสียนเริ่มที่จะมีเงินเข้าไปเก็บในธนาคาร มากกว่าปีก่อนๆ ไม่น้อย ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าโยวเอ๋อร์นี่เอง”
“ท่านอย่ากล่าวเช่นนี้เลย ที่เหลาจวี้เสียนกิจการดีเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่าเถ้าแก่ในร้านทุกคนทำงานได้ดี ไม่เกี่ยวกับข้าเลย อีกอย่างตอนนั้นสูตรอาหารที่ข้าขายให้กับเหลาจวี้เสียนข้าก็ได้รับเงินไปไม่น้อย พวกเราเพียงแต่แลกเปลี่ยนในสิ่งที่ต้องการ ไม่ถือว่าเป็นความดีความชอบของข้าแต่อย่างใด”
“แม่นางเมิ่งไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวเลย อันที่จริงเป็นเพราะว่าเหลาจวี้เสียนได้รับสูตรอาหารจากเจ้าหลังจากนั้นถึงได้เป็นกิจการชั้นหนึ่ง” ฉู่เหวินเจี๋ยที่กลืนอาหารที่อยู่ในปากเรียบร้อยแล้วกล่าวขึ้นมา
หวงฝู่อี้เซวียนก็คีบกับข้าวให้เมิ่งเชี่ยนโยวอีก แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “โยวเอ๋อร์มีความดีความชอบจริง แต่ว่าเสด็จแม่กับท่านน้าไม่ต้องชื่นชมนางอีก ไม่ว่าจาหเงินได้เท่าไหร่ สุดท้ายทั้งหมดนั้นก็ต้องเป็นของข้ากับโยวเอ๋อร์เช่นเดิม ถือว่านางเป็นคนที่มองการณ์ไกล ได้วางแผนอนาคตของพวกเราไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
พระชายาฉีเผลอยิ้ม “เจ้านี่นะ ฝันไปเสียเถอะ ตำลึงเงินที่เหลาจวี้เสียนได้กำไรก็จะเก็บไว้ในธนาคาร แตะต้องไม่ได้ง่ายๆ ไม่ใช่แค่เพื่อไว้ให้พวกเจ้าใช้เวลาตกระกำลำบากแต่เพียงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็เอาไว้เพื่อใช้ในยามแก่เฒ่า”
“ข้าทราบแล้ว ข้าก็แค่พูดเล่นไปเรื่อยเปื่อยมิใช่หรือ? ไม่ต้องพูดถึงกิจการในมือของข้าเลย ขนาดแค่เงินค่าที่ดินที่โยวเอ๋อร์ขายให้ท่านลุงก็เพียงพอให้พวกเราใช้แล้ว” พูดจบก็หันมาออดอ้อนเมิ่งเชี่ยนโยว “ใช่ไหม โยวเอ๋อร์?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง
พระชายาฉีหัวเราะพรืดออกมา “ฝันไปเสียเถอะ เรื่องอะไรเงินที่โยวเอ๋อร์หามาได้จะต้องแบ่งให้เจ้าใช้ด้วย จะบอกให้ ถ้าถึงวันแต่งงานของพวกเจ้าแล้วเจ้าหาสินสอดที่เหมาะสมมาไม่ได้ ข้าจะไม่ยอมให้โยวเอ๋อร์แต่งงานกับเจ้าง่ายๆ นะ”
“เสด็จแม่!” หวงฝู่อี้เซวียนจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง “ท่านลืมไปแล้วหรือ ว่าข้าเป็นลูกชายแท้ๆ ของท่าน สินสอดที่จะไปสู่ขอโยวเอ๋อร์ต้องเป็นท่านที่เตรียมไว้ให้”
พระชายาฉีอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา
อาหารมื้อนี้จึงกินเสร็จไปด้วยบรรยากาศที่มีความสุขเช่นนี้แล
ทุกคนต่างก็กลับไปยังห้องโถงรับแขก ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นห่วงว่าร่างกายของพระชายาฉีจะทนไม่ไหว กล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้าสั่งให้คนไปจัดเก็บห้องของท่านเรียบร้อยแล้ว ถ้าท่านรู้สึกเหนื่อย ก็ไปพักผ่อนสักครู่ ข้าจะคุยกับเซวียนเอ๋อร์อีกสักประเดี๋ยว”
พระชายาฉีโบกมือด้วยรอยยิ้มละไม “ตั้งแต่โยวเอ๋อร์ช่วยปรับรักษาสุขภาพร่างกายของข้า ข้าก็มีกำลังวังชาดีกว่าแต่ก่อนมากโขเลย พวกเราอุตส่าห์มีโอกาสได้อยู่ร่วมกันในครอบครัว จะพูดคุยกันนานไปบ้างก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นสีหน้าของนางยังดูดีอยู่ จึงไม่ได้พูดขัดอะไรขึ้นอีก หันหน้ามาพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เซวียนเอ๋อร์ มิใช่ว่าเจ้ามีเรื่องที่จะขอร้องน้าหรอกหรือ? เจ้าว่ามาเถอะ”
รอบยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนพลันเลือนหายไป หันไปมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวกับพระชายาฉี กล่าวว่า “ท่านลุง ท่านยังจำเรื่องการแต่งงานระหว่างข้ากับคุณหนูจวนราชเลขาได้ไหม?”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “จำได้ ทำไมหรือ? ยังไม่ได้ยกเลิกอีกหรือ? ถ้าเช่นนั้นการแต่งงานของเจ้ากับแม่นางเมิ่งจะทำอย่างไร?”
“ไม่ว่าวิธีใดพวกเราต่างก็ลองมาหมดแล้ว แต่ก็ยกเลิกไม่ได้”
ฉู่เหวินเจี๋ยขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”
หวงฝู่อี้เซวียนจึงเล่าทุกเรื่องให้เขาฟังตั้งแต่เรื่องที่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในเมืองหลวงตอนแรกจนถึงตอนที่เขากับพระชายาฉีเข้าวังเพื่อไปขู่ไทเฮาว่าจะคืนตำแหน่งซื่อจื่อ กล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรเสด็จลุงกับเสด็จย่าก็ไม่ทรงยอมให้ข้ายกเลิกการแต่งงานนี้ คาดว่าทางด้านจวนราชเลขาก็ยกข้อนี้ขึ้นเป็นหลัก นับตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ถึงแม้ข้าจะสร้างเรื่องข่าวลือต่างๆ นานากับโยวเอ๋อร์ไปทั่วทั้งเมืองหลวงก็ตามที แต่พวกเขาก็ยังไม่ตอบโต้ ข้าคิดว่าท่านน้ากับท่านราชเลขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ท่านช่วยไปดูลาดเลาให้พวกเราได้หรือไม่ ดูว่าพวกเขาคิดอย่างไรกันแน่?”
ฉู่เหวินเจี๋ยกับท่านราชเลขาต่างก็เป็นผู้นำทหาร ถือว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “ได้ วันพรุ่งนี้หลังจากที่กลับมาจากค่ายทหาร ข้าจะไปที่จวนราชเลขาสักครั้ง”
พระชายาฉีถอนหายใจโล่งอก “ตอนนั้นเป็นเพราะว่าข้ากับเตี๋ยชิงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตอนที่มีเซวียนเอ๋อร์จึงได้กำหนดการแต่งงานนี้ให้กับเขขา ไม่นึกเลยว่าหลังจากนั้นอีกหลายปีจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เวลานี้ไม่เพียงแต่ข้ากับเตี๋ยชิงจะกลายเป็นศัตรูต่อกัน ขนาดความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องกับใต้เท้าราชเลขายังต้องกระด้างกระเดื่องต่อกัน”
“เรื่องนี้โทษราชเลขาหลินไม่ได้ เป็นพวกเราเองที่ผิดคำสัญญาก่อน หลายปีที่เซวียนเอ๋อร์ยังไม่ได้กลับมา ฮูหยินหลินก็มักจะพาคุณหนูหลินมาพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนท่านอยู่เป็นประจำ ทำให้ท่านสบายใจขึ้น ตอนนี้ตามคนกลับมาได้แล้ว คุณหนูหลินก็มีอายุถึงคราวออกเรือนแล้ว จู่ๆ พวกเรากลับเอ่ยถึงการยกเลิกการแต่งงาน ต้องขอโทษครอบครัวหลินจริงๆ” ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าว
หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงเหอะขึ้นมา เบ้ปาก “ท่านลุงคิดหรือว่าที่ฮูหยินหลินพาคุณหนูหลินมาพูดคุยเป็นเพื่อนท่านแม่นั้นมาด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ เกรงว่าพวกเขาได้วางหมากไว้อย่างดีแล้วพวกท่านคงไม่รู้กระมัง”
ฉู่เหวินเจี๋ยมึนงง
ใบหน้าของพระชายาฉีพลันแข็งกระด้างขึ้น ครั้นแล้วก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หลายปีที่ยังตามหาเจ้าไม่เจอ เยียนเอ๋อร์เด็กคนนั้นก็ให้ความสุขแก่ข้าไม่น้อย ดังนั้นเรื่องนี้ สิ่งที่แม่ไม่อยากให้เสียใจที่สุดก็คือนาง”
แม้ฉู่เหวินเจี๋ยจะเป็นแม่ทัพ แต่นั่นก็เป็นเพียงความสามารถทางด้านทหาร อีกทั้งในจวนยังไม่มีครอบครัว ดังนั้นเรื่องความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนเหล่านี้จึงไม่ค่อยเข้าใจ หลังจากที่ฟังพวกเขาสองคนแม่ลูกคุยกันแล้วก็กลับรู้สึกสับสนขึ้นบ้าง “เซวียนเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ทำไมน้าถึงรู้สึกว่าฟังไม่รู้เรื่อง”
ตอนที่ 115 พูดคุยรายละเอียด
หวงฝู่อี้เซวียนร้องเหอะขึ้นมา “ท่านน้าไม่ทราบ ว่าจวนราชเลขานั่นวางหมากไว้อย่างดี หลายปีที่ผ่านมานั้นสาเหตุที่ฮูหยินหลินพาคุณหนูหลินไปเยี่ยมเสด็จแม่บ่อยๆ ความจริงแล้วก็เป็นแค่หน้ากากจอมปลอม เกรงว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกเขาก็เพื่อให้คุณหนูหลินกับอวี้เอ๋อร์เติบโตขึ้นมามีความผูกพันกัน เตรียมไว้ว่าหากข้าไม่กลับมา อวี้เอ๋อร์ได้เป็นซื่อจื่อ พวกเขาจะได้ให้ลูกสาวแต่งงานกับเขาได้”
ฉู่เหวินเจี๋ยตกตะลึง นานหลายอึดใจจึงกล่าวขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “เป็นไปไม่ได้กระมัง ราชเลขาหลินก็ถือว่าเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่โตคนหนึ่ง เขาจะยอมให้บุตรีของตัวเองแต่งงานกับลูกนอกสมรสได้อย่างไร”
“ถ้าหากอวี้เอ๋อร์ได้เป็นซื่อจื่อ ต่อให้เป็นลูกนอกสมรสแล้วอย่างไรเล่า?”
“นี่…” ฉู่เหวินเจี๋ยพูดไม่ออก
“เซวียนเอ๋อร์” พระชายาฉีกล่าว “ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้า นับไม่ได้”
“เสด็จแม่ ท่านจิตใจดีมากเกินไป หลายปีมานี้จึงได้ถูกปิดหูปิดตาเอาไว้ เมื่อครู่นี้ท่านน้าพูดถูกแล้ว ใต้เท้าราชเลขาจะยอมให้บุตรีแต่งงานกับลูกนอกสมรสได้อย่างไร เหตุผลข้อเดียวกันนี้ หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีความคิดเช่นนี้ แล้วจะยอมให้คุณหนูหลินเล่นด้วยกันกับอวี้เอ๋อร์ เติบโตมาด้วยกันเช่นนี้หรือ จะต้องรู้ว่าประตูสูงภายในจวนนี้ จะแยกแยะเรื่องชาติกำเนิดจากชายาเอกกับลูกนอกสมรสอย่างชัดเจน เชื่อว่าสามีภรรยาจวนราชเลขาจะต้องทราบข้อนี้ดี ถึงแม้พระชายารองจะดูแลจวนแล้วอย่างไรเล่า ลูกนอกสมรสก็คือลูกนอกสมรส นี่เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว
สำหรับจุดนี้ พระชายาฉีก็เคยคำนึงถึง แต่เป็นเพราะว่านางนั้นร่างกายอ่อนแอ เพื่อนที่รู้จักสนิทสนมนั้นมีไม่มาก ทั้งหมดมีเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งก็คือฮูหยินราชเลขา ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือกูกูที่ดูแลไทเฮาที่อยู่ในวัง พวกนางทั้งสามคนเติบโตมาด้วยกัน นิสัยใจคอก็คล้ายคลึงกัน นางยอมไม่ได้จริงๆ ที่จะคิดว่าฮูหยินราชเลขาเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ ตัวเองจะได้ไม่รู้สึกอ้างว้างหัวใจ ตอนนี้ได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนพูดออกมาจนหมดเปลือก ก็ให้นึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังที่ฮูหยินหลินพาคุณหนูหลินมาที่จวน ในใจรู้สึกเศร้าโศกอยู่บ้าง การที่ฮูหยินหลินเป็นห่วงนางนั้นแท้จริงแล้วเบื้องหลังนั้นกลับมีแผนการเตรียมไว้แล้ว เสียดายที่ตอนนั้นตัวเองยังเคยคิดจริงๆ ว่าถ้าหากตามหาเซวียนเอ๋อร์กลับมาไม่ได้จริงๆ หวงฝู่อวี้ได้เป็นซื่อจื่อ นางก็จะเอ่ยกับไทเฮาเอง ว่าให้หลินหันเยียนแต่งงานกับหวงฝู่อวี้ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เด็กคนนั้นอยู่เป็นเพื่อนตัวเองตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่กลับไม่รู้เลยว่าคนอื่นเขาได้วางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว
ฉู่เหวินเจี๋ยก็ขมวดคิ้วเป็นปม “จวนราชเลขาช่างวางหมากกระดานนี้ไว้ดีเหลือเกิน”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “วางหมากได้ไม่เลว แต่ถึงแม้พวกเขาจะวางแผนดิบดีอย่างไรก็ตาม คงคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ข้ากลับมาแล้วจะเอ่ยถึงเรื่องการยกเลิกการแต่งงาน ดังนั้นพวกเขาจึงอับอายจนพาลโกรธไปหาเสด็จย่าให้มีพระราชเสาวนีย์เรื่องการแต่งงาน เพื่อให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ทำให้พวกเราย้อนคืนไม่ได้”
“ถ้าเป็นอย่างเจ้าว่า บัดนี้การแต่งงานจึงค้างอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่เป็นฝ่ายรุก พวกเราเองก็ไม่มีวิธียกเลิกการแต่งงาน” ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าว
หวงฝู่อี้เซวียนเหยียดยิ้ม กล่าวว่า “ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าข้ารีบร้อนอยากจะสู่ขอโยวเอ๋อร์แล้วล่ะก็ ข้ากลับอยากจะให้พวกเขาเสียเวลารอแล้วรอเล่า ให้รอไปสักสามสี่ปี พวกเขาก็จะทนรอไม่ไหวเอง ถึงตอนนั้นก็จะก้มหัวมาขอร้องพวกเราอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้ว”
ฉู่เหวินเจี๋ยเข้าใจความหมายของเขา พยักหน้า “อันที่จจริงแม่นางเมิ่งก็อายุไม่น้อยแล้ว พวกเจ้าก็ไม่อาจรอต่อไปได้”
พระชายาฉีกลับเข้าใจความหมายผิดไป คิดว่าที่เขาพูดนั้นเป็นเพราะว่าเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว กลัวว่าจะมีลูก จึงจำเป็นต้องไปสู่ขอนางโดยเร็ว พยักหน้าเห็นด้วยแล้วกล่าวว่า “ใช่ใช่ใช่ จะต้องรีบสู่ขอแม่นางเมิ่งโดยเร็วจริงๆ ข้ารอที่จะอุ้มหลานเร็วๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง เกิดอาการหงุดหงิดโดยไม่ได้สนใจว่าพระชายาฉีกับฉู่เหวินเจี๋ยก็อยู่ด้วย ยกเท้าขึ้นเหยียบบนเท้าของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างแรง
หวงฝู่อี้เซวียนได้รับความเจ็บปวด ร้องโอ้ยออกมาเสียงดัง
พระชายาฉีกับฉู่เหวินเจี๋ยเห็นการกระทำของเมิ่งเชี่ยนโยวแต่แรกแล้ว ทว่าก็แกล้งทำเป็ยว่าไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหวงฝู่อี้เซวียน ยกถ้าน้ำชาขึ้นมาจิบ
หวงฝู่อี้เซวียนโดนเหยียบอย่างงงๆ คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโกรธที่ตัวเองยังไม่รีบยกเลิกการแต่งงาน หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำท่าทางน่าสงสาร
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถลึงตามองเขาอย่างขุ่นเคืองอีก
หวงฝู่อี้เซวียนรีบเก็บท่าทางน่าสงสารลง พูดรับประกันอย่างเอาใจว่า “โยวเอ๋อร์วางใจ ครั้งนี้ข้าจะต้องยกเลิกการแต่งงานได้แน่นอน ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะอยู่ด้วยกันได้อย่างถูกต้องแล้ว” พูดจบแล้วก็กล่าวเสริมขึ้นอีกว่า “พี่รองก็จะไม่มาห้ามไม่ให้ข้าเข้าห้องเจ้าอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงมากขึ้น แทบอยากจะเอาถ้วยน้ำชาปาใส่หน้าเจ้าคนหน้าไม่อายคนนี้ทีเดียว
พระชายาฉีเห็นสีหน้าที่ทางของเมิ่งเชี่ยนโยวค่อนข้างกระวนกระวายใจแล้ว จงใจกระแอมไอขึ้นมาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งก็ให้ท่านน้าของเจ้าไปดูลาดเลาของพวกเขา ดูว่าต้องทำเช่นไรพวกเขาถึงจะยอมยกเลิกการแต่งงานนี้”
“เกรงว่าหลายวันมานี้พวกเขาอาจจะเตรียมเงื่อนไขไว้เรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่านน้า ถ้าหากพวกเขาเรียกร้องเงื่อนไขออกมา แล้วพวกเราสามารถรับได้ ข้าก็จะได้ยินยอมไปในตอนนั้นเลย ถ้าหากเงื่อนไขที่พวกเขาเรียกร้องมันเลวร้ายเกินไป ถ้าเช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจ ไม่ช้าไม่นานก็จะจับจุดอ่อนที่เป็นความผิดของหลินจ้งได้ จะได้จัดการกับพวกเขาสักตั้ง ข้าไม่เชื่อว่าราชเลขาหลินจะยอมให้การแต่งงานของบุตรสาว มาทำลายอนาคตของบุตรชาย” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ถึงอย่างไรก็เป็นพวกเราที่ทำผิดก่อน เจ้าอย่าทำอะไรรุนแรงเกินไป ปรึกษากันให้ดีก่อน ต่อไปจะได้ไม่ต้องกลายเป็นศัตรูต่อกัน” พระชายาฉีกำชับเขา
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินแล้วก็พยักหน้า “ข้าจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ มีท่านลุงอยู่ด้วย ข้าจะเชื่อฟังเขาทุกอย่าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวอยู่ในใจ เจ้าคนนี้เคยชินแล้วกับการที่เป็นหมูมาหลอกกินเสือ* ครานี้รับปากเสียดิบดี วันพรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับครอบครัวราชเลขาหลินอย่างไรบ้าง แต่ว่า ถ้าหากสามารถยกเลิกการแต่งงานได้ในครั้งนี้ก็คงดี เวลาท่านพ่อท่านแม่ส่งจดหมายมาถามข่าวว่าการแต่งงานของนางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว นางจะได้ทราบว่าควรจะตอบอย่างไรเสียที
วันพรุ่งนี้ไปจวนราชเลขาจึงตกลงกันได้เช่นนี้ ทุกคนเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปเรื่องใหม่ พูดคุยถึงเรื่องเก่าก่อนหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องที่ฉู่เหวินเจี๋ยรบอยู่ในสนามรบ
ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นผู้บรรยาย สามคนที่เหลือนั่งฟังอย่างตั้งงใจ พอฟังถึงจุดที่อันตราย พระชายาฉีก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ มิหนำซ้ำยังเหงื่อไหลแทนฉู่เหวินเจี๋ย พอได้ยินเขาเล่าถึงตอนที่นำกองกำลังทหารออกไปรบกับข้าศึกทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอน ก็ปวดใจจนแทบจะทนไม่ได้ ขอบตาแดงก่ำ
ฉู่เหวินเจี๋ยจึงรีบหยุดหัวข้อนี้ทันที “ท่านพี่ ทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้ว ตอนนี้ข้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วมิใช่หรือ ไฉนท่านจึงยังเสียใจอยู่อีก”
พระชายาฉีฝืนไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “ดาบกับกระบี่ไร้ซึ่งดวงตา ต่อให้เจ้านำทหารไปมากมาย มีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใด ก็อาจจะมีช่วงที่พลั้งเผลอ วันนี้เจ้ายังไม่ได้แต่งงาน อีกทั้งยังไม่มีลูกชายลูกชายไว้สืบสกุลสักคน หากเป็นอะไรไป วันหน้าเจ้ากับข้าจะมีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่ได้อย่างไร”
“ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากครั้งนี้ ภายในช่วงนี้จะไม่มีสงครามอีก ข้าก็ไม่ต้องนำทหารไปออกรบอีกแล้ว”
“ไม่ได้ วันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปหาเสด็จแม่ ให้พระนางจัดการเรื่องการแต่งงานให้เจ้า ถือโอกาสที่เจ้าไม่ได้ออกไปรบ ให้ไปสู่ขอเข้ามา จะได้มีลูกเพิ่มขึ้น” พระชายาฉีกล่าว
*แต่งเป็นหมูหลอกกินเสือ หมายถึง เจ้าเล่ห์เพทุบาย แกล้งทำเป็นว่าอ่อนแอเพื่อให้อีกฝ่ายประมาท สุดท้ายก็ฉวยโอกาสคว้าชัยชนะไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น