ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 11-14
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 11 ตกใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองนางแวบหนึ่ง
ชิงหลวนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ในห้อง นางจึงรีบป้องปาก
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินหมดแล้ว เขาแอบยิ้มมุมปาก
เมื่อทานข้าวเย็นเสร็จ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็อยู่ดูแลหวงฝู่เย่าเย่ว์จนนางทานยาลงไป แล้วจึงประคองนางกลับไปที่ห้องของพวกนางพร้อมกับหวงฝู่สือเมิ่ง หลังจากกำชับนางให้นอนพักผ่อนดีๆ ก็หันกลับเรือนของตนไป
ชิงหลวนตั้งตารออยู่ในเรือน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับห้อง เห็นหวงฝู่อี้เซวียนแต่งตัวเสร็จแล้ว และกำลังมองไปที่นางด้วยดวงตาเป็นประกาย
นางเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร หยิบชุดดำที่ตนไม่ได้ใส่มาหลายปีออกมาจากกล่อง หลังจากสวมใส่เสร็จแล้ว ก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามหลัง
ทั้งสามไม่ได้ออกทางประตูหน้า พวกเขากระโดดข้ามกำแพงที่มืดลับมุมหนึ่ง เพื่อหลบหลีกบ่าวรับใช้ในจวน
โจวอันก็สวมชุดดำ จูงม้าสี่ตัวรออยู่นอกกำแพง
ทั้งสี่คนขึ้นควบม้าอย่างคล่องแคล่ว เมิ่งเชี่ยนโยวนำหน้า มุ่งไปทางจวนอู่โหว
ฝั่งหนึ่งของจวนอู่โหวยังคงสว่างด้วยไฟ เสียงร้องโอดครวญไปทั่วจากเรือนขององครักษ์ประจำจวน บัดนี้ ผู้คนกว่าครึ่งหนึ่งถูกพันด้วยผ้าพันแผล และร้องด้วยความทรมาน ที่ผ่านมาพวกเขาได้รับความความสำคัญมาก และได้รับสวัสดิการที่เหนือกว่าผู้อื่น แต่วันนี้พวกเขาบาดเจ็บจนพิการ ก็เหมือนคนไม่มีประโยชน์อีกต่อไป นายน้อยอู่โหวเชิญเพียงหมอธรรมดาสองสามคนมาพันแผลให้พวกเขา แม้แต่ยาตุ๋นแก้ปวดก็ไม่ได้ตุ๋นให้พวกเขาดื่ม พวกเขาทนไม่ไหว ได้แต่ร้องโหยหวนอย่างทุกร์ทรมาน จนแทบจะดังไม่ทั่วจวนอู่โหว
อันที่จริงแล้ว พวกเขาก็เข้าใจนายน้อยอู่โหวผิด ไม่ใช่เพราะเขาไม่เชิญหมอหลวงมารักษาให้ แต่เพราะเขาไม่มีเวลาดูแล เพราะว่าจนถึงตอนนี้ นายท่านอู่โหว หลิวเทา และหลิวอวี้เอ๋อร์ทั้งสามคนยังไม่ฟื้นเลย นายน้อยอู่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดอยู่ตรงมุมมืด แยกแยะทิศทางอยู่ครู่หนึ่ง นางก็นำทุกคนกระโดดข้ามไปฝั่งหนึ่งของเรือน
หวงฝู่อี้เซวียนและโจวอันตามหลังไปอย่างเงียบๆ
เมื่อถึงหน้าเรือนเรือนหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดเสียงเบากับทั้งสองว่า “นี่คือห้องของผู้หญิง พวกเจ้าสองคนรอข้างนอกเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนและโจวอันหยุดเดิน เมิ่งเชี่ยนโยวและชิงหลวนกระโดดเข้าไป
ในเรือนของหลิวอวี้เอ๋อร์ ไฟตะเกียงส่องสว่าง มีสาวใช้ที่ไม่กล้าหายใจเสียงดังอยู่บริเวณทางเข้าประตู
ในห้อง ฮูหยินมองดูหลิวอวี้เอ๋อร์ที่สลบและไม่ขยับตัวอยู่บนเตียง คอยเช็ดน้ำตาตนเองที่ไหลไม่ยอมหยุด เพียงแค่วันเดียวก็ทำเอานางหมือนชราภาพไปมาก
สาวใช้ที่เฝ้าในห้องปริปากอยากจะพูดปลอบโยน แต่ครั้นจะพูดก็กลืนคำพูดกลับลงไป นางได้แต่ถอนหายใจเสียงเบา ก่อนหน้านี้ฮูหยินนั้นเป็นคนน่าอิจฉา สถานะสูงส่ง มีทั้งลูกสาวและลูกชาย ขอลมได้ลม ขอฝนได้ฝน แต่วันนี้สถานการณ์กลับพลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ นอกจากลูกสาวตกน้ำสลบไม่ตื่น ลูกชายก็ถูกคุณชายจวนอ๋องทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก แม้จะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่อย่างน้อยก็ต้องนอนพักฟื้นระยะเวลาหนึ่ง ซ้ำร้ายยังมีเครื่องรางของขลังแห่งจวนอู่โหวอย่างท่านอู่โหวที่ตอนนี้ก็นอนสะลืมสะลืออยู่บนเตียง
จวนอู่โหวแทบสิ้นสลาย นายน้อยอู่โหวตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นอกจากเฝ้าอู่โหวแล้ว ก็ไม่รู้ทำอย่างไรดี ฮูหยินก็สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้ควรทำอย่างไรดีเช่นกัน
สาวใช้เห็นเงาที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่นอกห้องแล้ว แต่ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าคงเป็นนายน้อยอู่โหวที่ส่งคนมาถามอาการของคุณหนูอวี้เอ๋อร์อีกแล้ว เมื่อเห็นคนสองคนสวมชุดดำที่เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่งเข้ามา ก็สังเกตถึงความผิดปกติ ครั้นกำลังจะปริปากร้อง ก็ไม่ทันเสียแล้ว นางถูกชิงหลวนสกัดจุดไว้อย่างรวดเร็ว
ฮูหยินรู้สึกถึงความผิดปกติ เงยหน้าขึ้น เห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็ตกใจจนอ้าปากจะร้องขึ้นมา ชิงหลวนลงมือสกัดจุดนางไว้อีกครั้ง
ฮูหยินของนายน้อยอู่โหวตกใจจนเบิกตาโพลงมองทั้งสอง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม นำเก้าอี้มาวางข้างหน้าฮูหยินของนายน้อยอู่โหว แล้วนั่งลง ดึงผ้าปิดหน้าของตนออก ยิ้มทักทายนาง “ฮูหยิน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ดวงตาฮูหยินเบิกโตกว่าเดิม ครั้นอยากจะหันศีรษะไปมองลูกสาวของตน ก็พบว่าตัวเองขยับไม่ได้เสียแล้ว นางลนลานจนเหงื่อซึมไปทั่วหน้าผาก
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้ม “ฮูหยินไม่ต้องตื่นตระหนก วันนี้ที่ข้ามาไม่ได้จะมาเอาชีวิตลูกสาวเจ้า แต่กลับกัน ข้าจะมาช่วยนางต่างหาก”
แน่นอนว่าฮูหยินไม่เชื่อ นางอยากจะพูด แต่ก็พูดไม่ได้ ได้แต่แสดงท่าทีลุกลี้ลุกลน
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจนาง ยิ้มพูดว่า “ข้าสั่งคนให้คลายจุดฮูหยินได้ แต่ฮูหยินต้องห้ามร้องตะโกน ไม่เช่นนั้นข้าจะเอาชีวิตเจ้าได้ทุกเมื่อ”
ฮูหยินยอมเชื่อฟังคำพูดนาง รีบกะพริบตาถี่ ส่งสัญญาณว่าตนจะไม่ร้องตะโกน
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้ชิงหลวน
ชิงหลวงลงมือคลายจุดให้ฮูหยิน
เมื่อได้รับอิสระ ฮูหยินก็อ้าปากกว้าง กำลังจะตะโกนออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มบางๆ พร้อมยื่นมือไปเตรียมจะบีบคออวี้เอ๋อร์ไว้ ยิ้มข่มขู่ว่า “ฮูหยิน เรามาแข่งกันดูไหมว่าเสียงเจ้ากับมือข้าอะไรจะเร็วกว่ากัน”
ฮูหยินหยุดเสียงร้องตะโกนของตนเองไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวยังค้างท่าไว้ น้ำเสียงไมตรีนั้นเต็มไปด้วยความประชดประชัน “ข้าก็คิดอยู่ว่าทำไมคุณหนูและคุณชายจวนอู่โหวถึงลงมือลอบทำร้ายคนอื่นแบบนี้ ที่แท้จวนอู่โหวสั่งสอนกันแบบนี้นี่เอง กลับคำไปมาเก่งเสียเหลือเกิน”
สีหน้าฮูหยินเดี๋ยวดำเดี๋ยวซีด ปากก็อ้าๆ หุบๆ ไม่มีคำพูดอะไรออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเยาะ ปล่อยมือที่บีบคออวี้เอ๋อร์ออก ยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อของตนหยิบยาเม็ดออกมา วางลงบนฝ่ามือ ชูขึ้นไปต่อหน้าฮูหยิน “คุณหนูอวี้เอ๋อร์ตกใจจนขวัญหาย และสำลักน้ำจนทำให้สลบไม่ฟื้น หากทานยาเม็ดนี้ที่อยู่ในมือของข้าไป รับรองว่าจะฟื้นเร็วขึ้น”
ฮูหยินดีใจ ครั้นจะขยับมือ ก็คิดอะไรขึ้นได้ นางไม่ได้ยื่นมือออกไป แต่ถามเสียงจริงจังว่า “ซื่อจื่อเฟยมาเวลานี้คงไม่ได้มาเพื่อส่งยาให้สินะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า รอยยิ้มไม่เปลี่ยน พูดเสียงอ่อนโยน “ฮูหยินฉลาด ข้าไม่ได้มาเพื่อส่งยาให้จริงๆ แต่หากวันนี้ซื่อจื่อไม่ได้พาคนมาบุกรุกจวนอู่โหววันนี้ข้าอาจจะแอบมาเอาชีวิตคุณหนูอวี้เอ๋อร์ไปโดยไม่บอกไม่กล่าวก็ได้”
ฮูหยินตกใจ สีหน้าซีดเผือด ขยับตัวขวางหน้าอวี้เอ๋อร์ไว้ “อย่าแม้แต่จะคิด จะฆ่าลูกสาวข้า ฆ่าข้าให้ได้ก่อน”
ภายใต้สายตาที่มีเปลวเพลงร้อนระอุของฮูหยิน เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ เก็บยาเม็ดนั้นกลับเข้าไปในแขนเสื้อของตน ยิ้มพูดขึ้นว่า “ฮูหยินใจร้อนยิ่งนัก ไม่ได้ยินประโยคก่อนหน้าที่ข้าพูดหรือ ในเมื่อสามีข้าบุกรุกจวนอู่โหวแล้ว ข้าก็ไม่เอาชีวิตคุณหนูอวี้เอ๋อร์อยู่แล้ว”
ฮูหยินมองเมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังเก็บยากลับเข้าไปในแขนเสื้อ นางอยากจะเดินไปแย่งมาให้รู้แล้วรู้รอดเสีย แต่นางก็ไม่กล้าขยับ เพราะนางรู้ว่าวิชาการต่อสู้ของตนสู้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อีกอย่างข้างกายนางยังมีสาวใช้ที่ช่ำชองการต่อสู้อยู่ด้วย เมื่อได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รีบถามว่า “เจ้าจะทำอะไร”
“แม้ข้าจะไม่เอาชีวิตคุณหนูอวี้เอ๋อร์ แต่นางจงใจชนลูกสาวข้าจนตกน้ำ บัญชีนี้จะไม่คิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ข้ามีตัวเลือกให้ฮูหยิน”
“ว่ามา” ฮูหยินพูดขึ้นทันที
“ง่ายมาก จากนี้เป็นต้นไป ข้าไม่อยากเห็นคุณหนูอวี้เอ๋อร์ในเมืองหลวงแห่งนี้อีก” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
ฮูหยินตกใจเบิกตาโตถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ฮูหยินเป็นคนฉลาด ข้าหมายความถึงอะไรเจ้าไม่เข้าใจหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถามกลับ
ฮูหยินกลืนน้ำลายลงไปสองสามอึก ก่อนจะพูดโต้กลับมาว่า “อย่าแม้แต่จะคิด ให้ตายอย่างไรก็ไม่ให้อวี้เอ๋อร์จากข้าไปไหนหรอก”
“อย่างนั้นรึ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เอ่ยปากพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “หากฮูหยินส่งด้วยตนเอง คุณหนูอวี้เอ๋อร์จะได้ไปที่ที่ดี แต่หากให้ข้าลงมือเอง คุณหนูอวี้เอ๋อร์…” พูดถึงตรงนี้ ก็เว้นจังหวะ มองดวงตาที่เบิกโตของฮูหยิน แล้วยิ้มพูดต่อว่า “คุณหนูอวี้เอ๋อร์คงได้ไปบวชเป็นชี อยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต”
ร่างของฮูหยินซวนเซไปมา เกือบจะยืนไม่นิ่งล้มลงบนพื้น นางกัดฟันกรอดตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าอย่าทำเกินไปหน่อยเลย จวนอ๋องของเจ้ารังแกไม่ได้ จวนอู่โหวของเราก็ไม่ยอมให้รังแกได้ง่ายๆ เหมือนกัน”
“นั่นมันเมื่อก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดเสียงดังขึ้น พูดชัดถ้อยชัดอย่างเชื่องช้าว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป จวนอู่โหวจะล่มจม”
“เจ้า…” ฮูหยินโกรธจนหายใจหอบ จ้องนางด้วยความโกรธ แต่กลับโต้แย้งไม่ได้สักคำ
เพราะว่านางรู้ว่าสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเป็นความจริง หลังจากสู้กันวันนี้แล้ว พลังชี่ของนายท่านอู่โหวถูกทำลาย ภายในสองสามปีนี้ฟื้นคืนกลับมาไม่ได้แน่ หากอู่โหวเป็นอะไรไป จวนอู่โหวก็ถึงคราล่มสลายจริงๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองฮูหยิน ยิ้มถามว่า “เอาอย่างไรดี เงื่อนไขของข้าฮูหยินตกลงหรือไม่ตกลงล่ะ”
“ตกลงแล้วเยี่ยงไร ไม่ตกลงแล้วเยี่ยงไร” โต้แย้งกันไปมา อันที่จริงในใจฮูหยินยอมจำนนแล้ว แต่ก็ยังดึงดันถามอย่างไม่ยอม
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม พูดว่า “หากตกลงแล้ว ข้าจะให้ยาเจ้า เมื่อคุณหนูอวี้เอ๋อร์ตื่น พรุ่งนี้เจ้าส่งนางไป ส่วนเรื่องที่ว่าจะส่งไปไหน ข้าจะไม่ยุ่ง แต่หากไม่ตกลง ข้าจะให้คนส่งอวี้เอ่อร์ไปที่ที่นางควรไปทันที”
“เจ้า…” เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางแน่วแน่และบีบบังคับของนาง ฮูหยินก็พูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง หอบหายใจอยู่ครู่ใหญ่ แล้วกัดฟันกรอด ยื่นมือออกไป กว่าจะยอมพูดว่า “เอามา!” ออกจากปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ มองตานาง พูดว่า “ฮูหยินต้องคิดให้ดี หากรับปากกับข้าแล้วทำไม่ได้ สุดท้ายจุดจบอวี้เอ๋อร์จะแย่กว่านี้”
“หยุดพล่ามเสียที ในเมื่อข้าตกลงแล้ว ก็จะไม่คืนคำแน่นอน เอายามาเร็วเข้า” ฮูหยินพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจท่าทีของนาง ยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อ นำยาออกมาวางลงบนมือของนาง “พรุ่งนี้ก่อนเวลารุ่งสาง ข้าจะต้องเห็นรถม้าส่งอวี้เอ๋อร์ออกจากเมืองไป หากไม่ ในเมื่อข้ามาจวนอู่โหวได้ ย่อมจะมาอีกกี่ครั้งก็ได้” พูดจบ ก็ไม่เหลียวมองสีหน้าหม่นหมองของฮูหยินอีก นางลุกขึ้น แล้วเดินออกไปทันที
ฮูหยินกำยาในมือของตนไว้แน่น มองแผ่นหลังของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาคมกริบดั่งใบมีดที่กรีดลงบนเนื้อของนางอย่างนับครั้งไม่ถ้วน
เมิ่งเชี่ยนโยวสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง นางไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ลูกสาวของข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามรังแก หากฮูหยินกล้ากลับคำพูด ข้าจะส่งแม่ลูกทั้งสองไปพร้อมกันได้เช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนที่เฝ้าอยู่นอกเรือนเห็นนางเดินออกมา ก็รีบเดินขึ้นไป ถามเสียงต่ำว่า “เจ้าจะไปที่อื่นอีกหรือไม่”
“แน่นอน คุณชายหลิวถูกเฮ่าเอ๋อร์และรุ่ยเอ๋อร์ทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก อย่างน้อยเราก็ควรไปเยี่ยมเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นว่าเอาว่าคนจวนอ๋องไม่รู้จักมารยาท” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้ม ชี้นิ้วไป ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในเรือนของหลิวอวี้เอ๋อร์ เข้าก็ส่งโจวอันไปสำรวจเรือนของหลิวเทาไว้แล้ว
พวกเขากระโดดมุ่งไปทางเรือนของหลิวเทาพร้อมกัน
อาจจะเป็นเพราะหมอมาดูแล้วและทานยาจนเขาหลับไป เรือนของหลิวเทานั้นเงียบสงบมาก มีเพียงบ่าวรับใช้สองนายที่ผงกศีรษะสะลึมสะลือเฝ้าอยู่หน้าประตู
โจวอันและชิงหลวนสกัดจุดพวกเขาไว้
จากนั้นก็ยืนเฝ้าหน้าประตู
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง
ในห้องจุดไฟตะเกียงสองดวงไว้ สว่างสไวมาก เมื่อทั้งสองเข้าไป ก็เห็นหลิวเทาที่นอนหลับตาอยู่บนเตียง อาจเป็นเพราะยากำลังออกฤทธิ์ เขาจึงหลับลึกมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อนำยาเม็ดออกมา ส่งให้หวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนรับทราบ เดินไปข้างเตียง สกัดจุดหลิวเทาไว้ แล้วใช้มืองัดคางของเขาลง นำยากรอกเข้าไปในปากของเขา รอจนเขากลืนยาเม็ดนั้นลงไปอย่างไร้สติ ก็ปล่อยมือออก เดินไปข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดเสียงต่ำว่า “เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ”
พวกเขาออกจากจวนอู่โหวไป เมื่อเห็นท้องฟ้าที่มืดมิดก็สั่งโจวอันส่งชิงหลวนกลับไปสำนักคุ้มภัย จากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขี่ม้ากลับจวนอ๋องไป
หลังจากถอดชุดดำ และอาบน้ำเสร็จ ทั้งสองก็นอนลงบนเตียง หวงฝู่อี้เซวียนถามขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าโทษที่วันนี้ข้าให้เจี๋ยเอ๋อร์พวกเขามาช่วยหรือไม่”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 12 สมควรโมโหจนตาย
เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะออกมา ถามว่า “วันนี้เจ้าก็หลงเชื่อไปหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนกะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก ทันใดนั้นก็ตาเป็นประกายหัวเราะ “วันนี้ถูกคนสารเลวของจวนอู่โหวทำให้โกรธจนขึ้นสมอง จนไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของเจ้า ยังตกใจกลัวจนเหงื่อซึมอยู่เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “วันนี้ที่ข้าตำหนิพวกเขา ไม่ใช่เพราะพวกเขาไปช่วยเหลือ แต่เพราะกลัวว่าพวกเขาจะเลยเถิดคิดกระทำการอื่นเพราะเรื่องนี้ ต่อไปไม่ว่าใครในจวนใดทำให้สองสาวนั่นเดือดร้อน พวกเขาจะไปหาเรื่องเขาอย่างไม่คิดไตร่ตรองให้ดี สักแต่วางอำนาจรังแกคนอื่น”
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือไปลูบศีรษะนาง พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเส้าเอ๋อร์พวกเขาจะเข้าใจความหมายของเจ้าหรือเปล่า”
น้ำเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวเต็มไปด้วยความได้ใจอย่างเปิดเผย “คนบ้านตระกูลเมิ่งของเราฉลาดหลักแหลมเป็นเลิศ ตอนที่ข้าตำหนิติเตียนพวกเขา ก็เข้าใจกันแล้วล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนหน้าชา
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มส่ายศีรษะอย่างทำอะไรไม่ได้ “เอาเถอะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบเข้านอนกันเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลับตาลง ขยับตัวเพื่อได้ท่าที่สบายที่สุดในอ้อมกอดเขา แล้วหลับไป
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมองนางด้วยความรักใคร่เอ็นดูอยู่นาน แล้วจึงหลับตาลง
วันต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นเช้าไปห้องของลูกสาวทั้งสองคน เมื่อเห็นสีหน้าแดงฝาดของหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่กลับมาเป็นปกติแล้ว ก็วางใจลง ยิ้มพูดว่า “เมื่อวานท่านปู่ของเจ้าไปต่อสู้กับคนจวนอู่โหวเพื่อเอาคืนให้เจ้ามาจนได้รับบาดเจ็บ หากเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ก็รีบไปดูหน่อยเถอะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินดังนั้น ก็เด้งตัวขึ้น ใส่เสื้อผ้าเสร็จอย่างรวดเร็ว วิ่งไปที่เรือนของพระชายาฉีด้วยขาที่แทบจะอ่อนแรง นางบุกเข้าไปในห้องทันที จนทำเอาอ๋องฉีและพระชายาฉีตกใจสะดุ้งโหยง
“ท่านปู่ แม่ข้าบอกว่าท่านบาดเจ็บ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ” ไม่ทันรอให้ทั้งสองคนถาม หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ชิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ พูดจบก็วิ่งไปหาอ๋องฉี เขย่งเท้ายื่นมือออกไปลูบรอยบวมแดงที่ยังหลงเหลืออยู่เล็กน้อยบนแก้มของอ๋องฉีเบาๆ
อ๋องฉีรู้สึกใจชื้นอย่างบอกไม่ถูก ยิ้มพูดว่า “ปู่ไม่เป็นอะไร เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”
พระชายาฉีก็ซาบซึ้งใจ พูดตามว่า “ใช่แล้ว ท่านปู่ของเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วนะ”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ท่านบอกข้ามาว่าใครบังอาจต่อยท่าน รอแม่อนุญาตให้ข้าออกไปข้างนอกก่อน ข้าจะเอาคืนแทนท่าน”
“น่าจะไม่ได้แล้วล่ะ” อ๋องฉีพูดอย่างสนุกสนาน
“ทำไมเจ้าคะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกตาโตถามอย่างไม่เข้าใจ
อ๋องฉีลากเสียงยาว “เพราะว่า…” พูดถึงตรงนี้ ก็เว้นจังหวะ มองสายตาของหวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วยิ้มพูดว่า “เขาถูกปู่เอาคืนจนแพ้ราบคาบไปแล้วไงล่ะ”
สายตาหวงฝู่เย่าเย่ว์ส่องเป็นประกาย มองอ๋องฉีด้วยสายตาเคารพชื่นชม แล้วยิ้มออกมา
เมื่อเห็นหลานสาวกลับมาร่าเริงสดใสอีกครั้ง ความกังวลใจของอ๋องฉีและพระชายาฉีก็คลายลง
หลังจากทานข้าวเช้าแล้ว หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เฮ่า และหวงฝู่รุ่ยก็ไปกั๋วจื่อเจี้ยนตามปกติ ส่วนหวงฝู่เย่าเย่ว์พักอยู่บ้าน ทำเอาอ่องฉีและพระชายาฉีดีใจยกใหญ่ พวกเขาให้หวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่เรือนของตน และฟังนางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกั๋วจื่อเจี้ยนอย่างสนุกสนาน
ขณะที่ฟังอย่างออกรสอยู่นั้น เสียงรายงานของพ่อบ้านก็ดังขึ้นจากในลานบ้าน “ท่านอ๋อง มีคนจากวังมาหาขอรับ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หยุดพูด
อ๋องฉีนั่งยืดอกขึ้น ถามอย่างสง่าผ่าเผยว่า “มีเรื่องอันใด”
เสียงเล็กแหลมดังขึ้นจากลานบ้านว่า “รายงานท่านอ๋องขอรับ วันนี้หลังจากฮ่องเต้ทรงออกว่าราชกิจแล้ว อู่โหวก็ไปร้องไห้โวยวายที่ตำหนักหยางซินด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผล บอกว่าท่านและซื่อจื่อนำกองกำลังไปบุกรุกจนเกือบจะทำให้จวนอู่โหวสิ้นสลาย ฮ่องเต้จึงส่งข้าน้อยมาเชิญท่านเข้าวังขอรับ”
“รู้แล้ว เจ้ากลับไปทูลฮ่องเต้ว่าข้าจะรีบไป”
ขันทีขานรับ พ่อบ้านส่งเขาออกจากเรือนไป
อ๋องฉีลุกขึ้น จัดระเบียบเสื้อที่ตนใส่อยู่ ครั้นกำลังจะก้าวออกไป ก็ถูกพระชายาฉีห้ามไว้ “ฮ่องเต้ให้ท่านเข้าวัง แสดงว่าเป็นงานราษฎร์งานหลวง ท่านไปเปลี่ยนเป็นชุดราชสำนักเถิดเพคะ”
“มิต้อง คนชั้นสูงต่ำในวังมีใครไม่รู้หรือว่าข้าวางมือจากงานราชสำนักมานานแล้ว”
พระชายาฉีไม่ได้ห้ามเขาต่อ ยิ้มพูดกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “พูดมาตั้งนาน เหนื่อยแล้วสินะ มา มานั่งพักผ่อนบนตั่งสิ”
อ๋องฉีมาถึงตำหนักหยางซิน อู่โหวนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ฮ่องเต้จัดไว้ให้ กำลังร้องไห้พลางเล่าความเป็นมาเป็นไป เมื่อเห็นอ๋องฉีที่มีพลังงานเต็มเปี่ยมเดินเข้ามา ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็ร้องไห้พูดต่อว่า “ฮ่องเต้ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ”
จัดการงานราษฎร์งานหลวงมาตลอดทั้งเช้า เพิ่งจะเสร็จจากงานราชกิจ ก็ถูกอู่โหวดักรอในตำหนักหยางซินร้องไห้โวยวาย หวงฝู่ซวิ่นทนแล้วทนอีก หักห้ามตนไม่ให้หยิบของข้างกายโยนเข้าใส่หน้าของอู่โหว ไอ้คนหน้าด้าน เรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดเขารู้หมดแล้ว แต่เขากลับหน้าด้านร้องไห้ใส่ความ บิดเบือนความจริง ทำเอาหวงฝู่ซวิ่นปวดหัวไปหมด
อ๋องฉีโค้งลำตัวลง คารวะหวงฝู่ซวิ่น
ลำตัวหวงฝู่ซวิ่นพลันแข็งทื่อ รีบยื่นมือไป ทำทีประคองเขา “เสด็จอาอายุมากแล้ว ต่อไปเข้าเฝ้าเรามิต้องคารวะเช่นนี้หรอก”
ฮ่องเต้คิดเสียเองว่าตนพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ แต่ไม่คิดว่ากลับถูกอ๋องฉีจ้องกลับ หวงฝู่ซวิ่นชะงัก เสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าตนพูดอะไรไม่เข้าหูอ๋องฉีอีก
อู่โหวก้มหน้า จับแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลอยู่ ไม่ได้มองทั้งสองคน เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เสียงระมัดระวังของหวงฝู่ซวิ่นก็ดังขึ้น “ยกเก้าอี้ให้เสด็จอา”
นางกำนัลขานรับ นำเก้าอี้มาอย่างรวดเร็ว วางลงที่ฝั่งตรงข้ามที่เยื้องจากอู่โหว
อ๋องฉีเดินไปแล้วนั่งลง
อู่โหวหรี่ตา ไม่ได้พูดอะไร
หวงฝู่ซวิ่นเอ่ยปาก พูดอย่างน่าเกรงขามว่า “เสด็จอา อู่โหวฟ้องร้องว่าท่านและซื่อจื่อเกือบจะทำให้จวนอู่โหวสูญสิ้น จริงเท็จอย่างไร”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ตอนที่พูดก็มองอ๋องฉีไปด้วย และยังส่งสายตาให้สัญญาณแก่เขาว่าอย่ายอมรับ
ไม่คิดว่าอ๋องฉีกลับพยักหน้า ยอมรับตามนั้น “ทูลฮ่องเต้ เป็นเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นชะงัก
สีหน้าอู่โหวแสดงความดีใจ
แต่ว่า สีหน้าดีใจบนใบหน้าเขายังไม่ทันเผยได้อย่างเต็มที่ เสียงของอ๋องฉีก็ดังขึ้นอีก “แต่ว่านั่นเป็นเพราะอู่โหวหาเรื่องใส่ตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…” อู่โหวโกรธจนชี้ไปที่อ๋องฉี พูดอะไรไม่ออก
หวงฝู่ซวิ่นชะงัก
อ๋องฉีกลับพูดต่อราวกับว่าไม่เห็นสีหน้าท่าทางของทั้งสองคน “ฮ่องเต้น่าจะได้ยินมาแล้ว เป็นเพราะหลานชายและหลานสาวตัวแสบของอู่โหวลงไม้ลงมือกับเย่ว์เอ๋อร์ก่อน ข้าโกรธมาก จึงไปเจรจาที่จวนอู่โหว แต่ไม่คิดว่าทุกคนในจวนอู่โหวกลับออกมาหมด คิดจะรุมหมาหมู่ สุดท้ายกลับต้องเสียเหล่าฮูหยินไป และทหารมากมายล้มพิการ ไม่คิดว่าวันนี้กล้ามาหาท่านร้องทุกข์อย่างหน้าไม่อาย”
อู่โหวโกรธจนเลือดที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดแทบจะกระอักออกมาหมด ชี้มือไม้ที่สั่นเทาไปที่อ๋องฉี ปากสั่นอยู่นาน ไม่มีคำพูดใดๆ สักคำออกมา
เมื่อเห็นสภาพของเขา หวงฝู่ซวิ่นก็รู้สึกสะใจนัก พูดในใจว่า สมน้ำหน้า ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเจ้าเด็กน้อยสองคนนั้นเป็นหัวแก้วหัวแหวนของเสด็จอา แม้แต่ข้าเองยังไม่กล้าไปแตะต้องเลย แต่เจ้ากลับปล่อยให้หลานชายหลานสาวของเจ้ากระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ เสด็จอาไม่ทำให้จวนอู่โหวของเจ้าสูญสิ้นเสีย ก็ถือว่าบุญเก่าที่บรรพบุรุษเจ้าสั่งสมไว้นั้นมีมากหนักหนาแล้ว
ผ่านไปนาน อู่โหวสูดหายใจเข้าลึก พ่นคำหยาบออกมาอย่างไม่สนภาพลักษณ์อีก “หวงฝู่จิ้ง เจ้ามันพูดจาเหลวไหล จวนอู่โหวของเราวางอำนาจข่มท่านรึ จวนอ๋องฉีของเจ้ามากกว่าที่เรียกคนมาช่วยเหลือมากมาย”
อ๋องฉีเผยรอยยิ้ม พูดอย่างวอนหาเรื่องว่า “แน่จริงเจ้าก็เรียกคนมาด้วยสิ”
นี่มันเย้ยหยันกันเกินไปหน่อยแล้ว พูดจาถากถางจวนอู่โหวของพวกเขาที่ไม่มีใครออกมาช่วยในเวลาสำคัญ อู่โหวโกรธจนควันออกหู
หวงฝู่ซวิ่นตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก หลายปีมานี้ เขาไม่รู้เลยว่าเสด็จอามีความสามารถยั่วยุคนเช่นนี้ด้วย
กลัวว่าอู่โหวจะตายในตำหนักหยางซิน นำพาความโชคร้ายมาให้ตน หวงฝู่ซวิ่นตั้งสติ ไอกระแอมขึ้นหนึ่งที น้ำเสียงเมตตาพูดปลอบโยนว่า “อู่โหว ร่างกายท่านไม่ค่อยดีนัก อย่าโมโหเลยจะดีกว่า”
อู่โหวดึงสติกลับมา ลุกขึ้น พรวด คุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่ซวิ่นและกลับไปอยู่ในสภาพโศกเศร้าเหมือนเดิม “ฝ่าบาทต้องให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นแสดงสีหน้าลำบากใจ “อู่โหว ต้นตอของเรื่องนี้ เราส่งคนไปตรวจสอบแล้ว เป็นเพราะหลานชายหลานสาวของท่านทำร้ายท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ก่อน เรื่องนี้ผู้คนมากมายในทะเลสาบหยางเหอเป็นพยานให้ได้”
“แต่จวนอ๋องของเขาก็ใช้อำนาจข่มผู้อื่นนะพ่ะย่ะค่ะ เขาไม่เพียงเรียกคนมาช่วย ยังให้องครักษ์ลับมาต่อสู้จนทำเอาองครักษ์ประจำจวนของข้าเกือบจะพิการกันหมด” พูดถึงตรงนี้ อู่โหวก็เหมือนจะร้องไห้จริงขึ้นมา องครักษ์สองร้อยนายเลยนะ ต้องใช้เวลาและความตั้งใจมากเพียงใดกว่าจะฝึกฝนมาได้ แต่ดูตอนนี้สิ พวกเขาโดนองครักษ์ลับของหวงฝู่อี้เซวียนปราบจนแทบจะไม่เหลือซากเลย
อ๋องฉีร้อง ฮึ เบาๆ พูดว่า “ก็ว่าทำไมจวนอู่โหวถึงไม่มีลูกหลานสืบทอด ที่แท้ก็ได้วิชาอิสตรีมา ร้องไห้เป็นอย่างเดียว”
อู่โหวลุกพรวดขึ้นมาอย่างไม่สนมารยาททันที ราวกับสุนัขที่ถูกเหยียบหาง เขาเบิกตาโพลง อ้าปากกว้าง ราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออ๋องฉีเสียให้ได้ ถามอย่างโมโหว่า “หวงฝู่จิ้ง เจ้าว่าใครเป็นสตรี ใคร!”
อ๋องฉีไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆ กวาดตามองเขาอย่างไม่ลนลาน พูดอย่างเนิบช้าว่า “ก็เจ้าไง หรือว่าเจ้าหูหนวกตาลายไปหมดแล้ว ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง”
แค่ประโยคเดียวที่ว่า หูหนวกตาลาย ก็ยุแหย่อู่โหวจนอารมณ์เขาเดือดพล่านอีกครั้ง
อู่โหวถลกแขนเสื้อขึ้น ท่าทางจะสู้กับอ๋องฉีอย่างเอาเป็นเอาตาย “หวงฝู่จิ้ง ไป เราไปสู้กันข้างนอกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ดูซิว่าใครเป็นสตรีกันแน่”
“มิต้องหรอก” อ๋องฉีปฏิเสธอย่างเชื่องช้า “เมื่อวานสู้กันแล้วไม่ใช่หรือ”
เมื่อวาน? เมื่อวานตนพ่ายแพ้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ อู่โหวก็หน้ามืด เกือบจะสลบไป
หวงฝู่ซวิ่นเริ่มเห็นใจอู่โหว เพราะว่าเขาเห็นเงาตนเองเมื่อครั้งถูกรังแก จึงรู้สึกสงสารเขาขึ้นมา เอ่ยปากพูดไกล่เกลี่ย “เอาเถอะ อู่โหว ข้าพอรู้เรื่องแล้ว เรื่องเมื่อวานนี้ ถ้าพูดให้ถูกต้อง อ๋องฉีไม่ได้ใช้อำนาจข่มขู่ผู้อื่น เพราะว่าจวนอ๋องไม่ได้ใช้องครักษ์เงาและองครักษ์ประจำจวนเลย อีกอย่างเท่าที่เรารู้ เสด็จอาและซื่อจื่อก็ไม่ได้สวมชุดราชสำนัก ไม่ได้ใช้ทหารของราชวัง เราว่านี่เป็นเรื่องของพวกเจ้าสองจวนไม่ควรให้เรามาตัดสิน พวกเจ้ากลับไปเจรจากันเองเถอะ”
ที่หวงฝู่ซวิ่นพูดไปเมื่อครู่นี้ถือเป็นการช่วยเหลืออู่โหวจริงๆ อ๋องฉีได้ยินดังนั้นแล้ว ก็เหลือบมองเขา หวงฝู่ซวิ่นเสียวสันหลังวาบ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
ในเมื่ออู่โหวเคยสร้างคุณงามความดีให้แก่ราชสำนัก หากเสด็จอาทำเอาเขาโกรธจนตายต่อหน้าตนขึ้นมา ผู้คนใต้หล้าจะมองฮ่องเต้พระองค์นี้อย่างไร คงจะคิดกันว่าเขาและเสด็จอาร่วมมือกันสังหารอู่โหว เขาจึงต้องช่วยอู่โหว เพื่อหลีกเลี่ยงผลที่อาจตามมา
อู่โหวโกรธจนแทบจะหงายหลัง อะไรคือการไม่ได้ใช้องครักษ์เงาและองครักษ์ประจำจวน ก็องครักษ์ลับข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ใช่หรอกหรือที่เพียงคนเดียวก็สามารถกำจัดสิบคนได้ อีกอย่าง ตอนนี้คนจวนอู่โหวบ้างบาดเจ็บ บ้างก็สลบไป แม้แต่เขาเองก็ฝืนร่างกายของตนเพื่อมาร้องทุกข์ แต่ฮ่องเต้กลับตรัสว่าเป็นเรื่องระหว่างสองจวน แล้วก็จะไล่เขากลับไป ไม่มีข้อสรุปอย่างไรเลยหรือ
อ๋องฉีเหลือบมองหวงฝู่ซวิ่นอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นยืน ยังคงโค้งลำตัวคารวะอย่างนอบน้อม “ในเมื่อฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้ กระหม่อมจะถือเสียว่าเป็นใบ้ จะไม่ตามเรื่องนี้อีก แต่กระหม่อมขอพูดไว้ตรงนี้เลยว่า ต่อไปหากมีใครกล้าลงมือกับคนจวนอ๋องของอีก กระหม่อมจะเอาเรื่องจนเขาแพ้ราบคาบแน่”
เพียงประโยคเดียว กระชับ ได้ใจความ มีน้ำหนัก ไม่พูดจาน้ำท่วมทุ่ง ถือว่าเป็นการเตือนด้วย เมื่อพูดจบ ก็หันหลังเดินอกผายไหล่ผึ่งออกจากตำหนักหยางซินไป
เลือดที่อู่โหวอั้นมานานก็อั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป เขาอ้าปากแล้วกระอักเลือด จากนั้นก็ล้มหงายหลังดัง ตึ้งงง
“อู่โหว!” นางกำนัลเรียกอย่างตกใจ รีบเข้าไปพยุงเขา เพื่อไม่ให้เลือดของเขาเลอะตำหนักหยางซิน
หวงฝู่ซวิ่นก็ตกใจสะดุ้ง รีบลุกขึ้นและสั่งทันทีว่า “เรียกหมอหลวงมา”
อ๋องฉีกลับฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เดินออกจากวังเพื่อกลับจวนอ๋องไปโดยไม่เหลียวหลัง
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 13 เสื้อเช่นนี้ใส...
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินข่าวนี้อย่างรวดเร็ว เขายิ้มมุมปาก แล้วทำธุระของตนต่ออย่างอารมณ์ดี
หลังจากอ๋องฉีกลับจวน เขาไม่ได้ไปเรือนพระชายาฉีทันที แต่กลับไปศาลาในสวนดอกไม้ข้างหลังจวน เขาเดินมือไพล่หลัง มองดูบ่อเลี้ยงปลาที่กว้างใหญ่ และปลาหายากหลากหลายสายพันธุ์ที่เขาตั้งใจเลี้ยงดูมาปลายปี
ผ่านไปนาน เขาจึงสั่งว่า “ไปเอาคันเบ็ดมาให้ข้า”
บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่ข้างกายชะงัก ไม่ได้ขยับตัว ตั้งแต่ที่บ่อเลี้ยงปลาสร้างเสร็จ อ๋องฉีก็คิดหาทุกวิถีทางสั่งคนจับปลาหายากจากทั่วสารทิศมา ดูแลมันดั่งลูกรัก สั่งคนให้เลี้ยงอย่างดี วันนี้อยู่ๆ จะเอาคันเบ็ด หรือว่าเขาอยากตกปลา?
อ๋องฉีรู้สึกได้ว่าบ่าวรับใช้ชะงักงันไป เสียงเคร่งขรึมจึงดังขึ้น “ทำไมรึ ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง”
บ่าวรับใช้ตกใจจนเหงื่อตก รีบขานรับ แล้ววิ่งไปเอาคันเบ็ดและเหยื่อล่อมา
อ๋องฉีรับไว้ เดินออกจากศาลา หาตำแหน่งที่เหมาะสมข้างบ่อปลา แล้วนั่งลง ใส่เหยื่อล่อเสร็จ ก็เหวี่ยงคันเบ็ดลงไปในบ่อปลา
อาจจะเป็นเพราะไม่มีใครกล้ามาตกปลาในบ่อปลานี้ ปลาในบ่อจึงไม่รู้จักภัยอันตรายใดๆ เมื่อเห็นเหยื่อลงมาในบ่อ ต่างก็ว่ายเข้ามาแย่งกินเหยื่อ ปลาจึงตกเป็นเหยื่ออย่างรวดเร็ว
อ๋องฉีเม้มปากไม่พูดอะไร มองปลาที่ตกเป็นเหยื่อ ออกแรงดึงขึ้นมา ได้ปลาสวยงามมาตัวหนึ่ง
ปลาถูกดึงขึ้น เมื่อมันรับรู้ถึงอันตราย ก็ดิ้นทุรนทุรายอยู่ตรงคันเบ็ด
อ๋องฉีนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ชูคันเบ็ดขึ้นสูง จ้องมองปลาที่ดิ้นไปมาอย่างเอาเป็นเอาตายไม่พูดอะไร
บ่าวรับใช้ที่ถูกสั่งให้เลี้ยงดูแลปลาเหล่านี้เจ็บปวดเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ กลัวว่าจะทำให้อ๋องฉีโมโห จุดจบของตนคงแย่กว่าปลาเหล่านี้แน่
มองดูปลาที่ดิ้นจนค่อยๆ หมดแรงไป อ๋องฉีก็นำตัวมันออกมาจากคันเบ็ด แล้วโยนลงไปในถังน้ำที่บ่าวรับใช้เตรียมไว้ เหวี่ยงคันเบ็ดลงไปต่อ แล้วปลาก็ติดเบ็ดอย่างรวดเร็ว ตัวแล้วตัวเล่า จนราวกับว่าอ๋องฉีจะเพลิดเพลินจนหยุดไม่ได้
บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านหนึ่งปวดใจนัก เขาอยากจะตะโกนเตือนปลาเหล่านั้นเหลือเกินว่าอย่าเข้ามาอีก ถ้ายังเข้ามาอีกจะไม่มีชีวิตเอาเสีย
เสียดายที่เขาไม่กล้า แต่ถึงจะกล้า ปลาก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ปลามากมายจึงติดเบ็ดตัวแล้วตัวเล่า โดยที่อ๋องฉีไม่ต้องใช้ความพยายามหรือความอดทนใดๆ เลยก็ได้ปลาเต็มถังแล้ว
อ๋องฉียังคงตกปลาต่อไปอย่างไม่รู้จักจบ บ่าวรับใช้ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาคุกเข่าลง พลุบ ต่อหน้าอ๋องฉี น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้พูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ตกไม่ได้แล้วนะขอรับ ปลาเหล่านี้เป็นปลาหายากที่ท่านเลี้ยงดูแลอย่างดีมาหลายปีนะขอรับ”
อ๋องฉีหันหน้าไปมองเขา น้ำเสียงเย็นสบาย จนทำให้คนฟังรู้สึกสบายในฤดูร้อนที่อากาศอบอ้าวเช่นนี้ “สงสารหรือ”
บ่าวรับใช้มองปลาที่ดื้นอยู่ในถังน้ำ ก็กัดฟัน พยักหน้า “ข้าน้อยเลี้ยงพวกมันมาหลายปี จนเกิดความผูกพันแล้วขอรับ”
อ๋องฉีมองกลับมา เก็บคันเบ็ด พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ตกต่อแล้ว”
บ่าวรับใช้ดีใจ “ขอบคุณท่านอ๋องขอรับ”
“มิต้อง” อ๋องฉีลุกขึ้น น้ำเสียงแฝงความสงสาร แต่ก็พูดอย่างเด็ดขาดว่า “ปลาเยอะเกินไปแล้ว จะมาคอยตกก็ลำบากไป เดี๋ยวข้าจะสั่งคนส่งข่าวให้จวนอื่นที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน หากใครอยากได้ ให้ส่งคนมารับไปได้เลย”
พูดจบ ก็ไม่มองปลาในบ่ออีก ก้าวเท้าเดินไปทางเรือนทันที
บ่าวรับใช้ล้มนั่งลงกับพื้น เบิกตาโต มองดูเงาของอ๋องฉีที่ไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไร เหตุใดจึงให้ปลาเหล่านี้แก่คนอื่น
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินข่าวนี้ ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจทันที นางเม้มปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสั่งชิงหลวนว่า “เจ้าไปส่งข่าวให้คุณชายใหญ่ ให้เขารีบซ่อมแซมบ่อปลาในหมู่บ้านให้เสร็จเร็วที่สุด แล้วนำปลาในจวนอ๋องทั้งหมดย้ายไปที่นั่น”
ชิงหลวนขานรับ รีบเดินออกไป
เมื่อเมิ่งเสียนได้ยิน ก็ขมวดคิ้ว
บ้านตระกูลเมิ่งเป็นเพียงบ้านเล็กๆ ในหมู่บ้าน ย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านสิบกว่าปีแล้ว ยังคงใช้ชีวิตอย่างชาวไร่ชาวนา ในส่วนของงานอดิเรกหรูหราอย่างการเลี้ยงปลา พวกเขาไม่เคยคิดจะชอบเลย หากมีเวลาว่างแบบนั้น สู้เอาเวลาไปปลูกมันฝรั่งเสียยังดีกว่า แต่เมื่อคิดว่าเป็นคำพูดที่เมิ่งเชี่ยนโยวส่งมา ก็ย่อมมีเหตุผลของนาง หลังจากเมิ่งเสียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็พยักหน้า “กลับไปบอกน้องเล็กว่าข้าจะสั่งคนทำบ่อปลาให้เสร็จ”
ชิงหลวนกลับมารายงาน เมิ่งเชี่ยนโยวลุกไปเรือนพระชายาฉีทันที พูดกับอ๋องฉีว่า “เสด็จพ่อ ครอบครัวของข้าอยากเลี้ยงปลามานานแล้วเจ้าค่ะ ในเมื่อเสด็จพ่อไม่เอาปลาในบ่อนี้แล้ว ให้ครอบครัวของข้าดีไหมเจ้าคะ” พูดจบ ก็พูดเพิ่มเติมว่า “บ่าวรับใช้ที่เลี้ยงดูแลปลาข้าก็อยากส่งไปให้ที่บ้าน เพราะที่บ้านไม่มีใครมีประสบการณ์ ข้ากลัวพวกเขาจะเลี้ยงได้ไม่ดีเจ้าค่ะ”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ที่เดิมรอคำตอบอย่างเงียบๆ
ผ่านไปนาน อ๋องฉีจึงค่อยๆ พยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ หันหลังเดินออกจากห้องไป
อ๋องฉีที่อยู่ข้างหลัง ร้อง ฮึ ออกมาเบาๆ อย่างไม่พอใจนัก ก่อนหน้านี้ลูกสะใภ้คนนี้ก็ดูเป็นคนฉลาดหลักแหลม ไม่ว่าเมื่อใด ก็มองทะลุว่าตนอยากทำอะไร ทำไมวันนี้ถึงโง่เขลานัก ไม่รู้หรือว่าปลาเหล่านี้เป็นของรักของหวงของเขา ไม่พูดหน่อยเลยหรือว่าเขาจะไปดูเมื่อไหร่ก็ได้
ไม่ใช่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยคิดว่าจะพูด แต่นางก็คิดว่าอ๋องฉีน่าจะเข้าใจเจตนาที่นางนำปลาเหล่านี้ย้ายไปเลี้ยงที่บ้านตนเอง จะพูดหรือไม่พูดก็คงไม่ต่างกัน
ตกดึกกลับจวน หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินข่าวนี้ ก็ชะงักไปเช่นหัน แต่ว่าก็รู้จุดประสงค์ที่ทำเช่นนี้ของอ๋องฉีได้อย่างรวดเร็ว เขาหัวเราะแล้วส่ายศรีษะ พูดว่า “เคยเห็นคนตามใจลูกนะ แต่ไม่เคยเจอเสด็จพ่อท่านไหนตามใจลูกเช่นนี้”
หวงฝู่อวี้กลับไม่คิดเช่นนั้น หลังจากได้ยินข่าวนี้แล้วก็ตกใจและไม่เข้าใจ แต่หลังจากฟังเจียงจิ่นบอกว่าอ๋องฉีต้องการทำบ่อปลาให้แห้ง เพื่อเตรียมสร้างสระว่ายน้ำให้หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์นั้น เขาก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที บ่นว่า “ไม่ได้ เสด็จพ่อตามใจหลานสาวเกินไปแล้ว เรามีแค่เฮ่าเอ๋อร์คนเดียว เสียเปรียบเกินไป เราต้องมีลูกสาวอีกคน”
เจียงจิ่นได้ยินดังนั้นก็หัวเราะส่ายหน้า คิดว่าเขาพูดเล่น ไม่คิดว่าคืนนั้นหวงฝู่อวี้จะตามตอแยนางทั้งคืน ยาคุมก็ไม่ได้กิน ต้องการมีลูกสาวให้ได้เสียอย่างนั้น
หลังจากผ่านไปหลายวัน เมิ่งเสียนนำรถม้าสิบกว่าคันที่บรรทุกถังใหญ่กว่าสิบถังมารออยู่หน้าประตูจวนอ๋อง
เมิ่งเชี่ยนโยวไปเรือนพระชายาฉี หลังจากรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็ไปที่บ่อปลา คอยกำกับดูแลคนงานค่อยๆ ตักปลาพร้อมน้ำใส่ลงไปในถังทั้งหมด
อ๋องฉีนั่งอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงดังโหวกเหวกจากบ่อปลาหลังเรือน รู้สึกกระวนกระวายใจ ลุกๆ นั่งๆ กัดฟัน ลุกขึ้น อยากจะไปดู พอเดินได้สองก้าว ก็นึกอะไรขึ้นได้ แล้วก็หันหลังเดินกลับมาอีก
เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง พระชายาฉีสงสาร พูดว่า “หากท่านเสียดาย บ่อปลานี้ก็เก็บไว้เถอะ เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์เป็นผู้หญิง เรื่องว่ายน้ำไม่ต้องเรียนก็ได้”
เมื่อนางพูดเช่นนี้ อ๋องฉีกลับไม่รู้สึกกังวลใจแล้ว เขากลับไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างแน่วแน่ ส่ายศีรษะ “ไม่ได้ ครั้งนี้เย่ว์เอ๋อร์ตกย้ำ มีเหยาเอ๋อร์และเฮ่าเอ๋อร์อยู่จึงรอดชีวิตมาได้ หากต่อไปไม่มีใครอยู่ข้างกาย นางตกน้ำแล้วจะทำเยี่ยงไร ข้าไม่อนุญาตให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
พระชายาฉีถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างเขา ยื่นมือทั้งสองข้างไปวางบนไหล่ของเขา แล้วนวดให้เขาด้วยน้ำหนักมือกำลังดี พูดปลอบประโลมเสียงเบาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็อย่ากังวลอีกเลย หรือไม่ก็แค่รอให้เด็กๆ ว่ายน้ำเป็นแล้ว พอพวกนางโตแล้ว เราค่อยไปขอปลากลับมา อย่างไรก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร
พระชายาฉีก็ไม่พูดอะไรอีก นวดให้เขาอย่างตั้งใจ
ใช้เวลาไปครึ่งเดือนกว่า ปลาทั้งหมดในบ่อของจวนอ๋องจึงถูกย้ายไปหมู่บ้านนอกเมือง
ระหว่างนั้น หวงฝู่ซวิ่นก็ได้ยินข่าวนี้เหมือนกัน เคยลุกขึ้นหลายครั้ง เพื่อไปขอปลาหายากสักสองสามตัวมาเลี้ยงไว้ในบ่อปลาในวัง แต่เมื่อนึกถึงสายตาวันนั้นของอ๋องฉี ก็ไม่กล้าไปหา ทนทุกข์ทรมานอยู่ทุกวัน
ปลาในบ่อหายไปหมดแล้ว หลังเรือนจวนอ๋องที่เคยเสียงดังวุ่นวายบัดนี้ก็สงบลงแล้ว อ๋องฉีจึงเดินไปสวนหลังเรือน จนถึงบ่อปลา มองดูบ่อปลาที่ว่างเปล่า ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับตัวไปไหน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
บ่าวรับใช้ที่รับใช้เขาไม่มีใครกล้าพูดอะไร คอยเฝ้าอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ
เสียงค่อนข้างแหบแห้งของอ๋องฉีดังขึ้น “ทำความสะอาดบ่อปลานี้ให้เสร็จเรียบร้อยภายในสองวัน”
ทุกคนขานรับ แยกย้ายกันไปนำเครื่องไม้เครื่องมือเริ่มลงมือทำความสะอาดบ่อปลา
งานนี้ค่อนข้างเป็นงานใหญ่ จนผ่านไปอีกหลายวัน จึงทำความสะอาดเสร็จ จากนั้นก็ปูพื้น ลงอิฐหยก กว่าจะเปลี่ยนบ่อปลาเป็นสระว่ายน้ำได้ ก็เป็นเรื่องหนึ่งเดือนให้หลังแล้ว
ในระหว่างนี้ เมิ่งเชี่ยนโยววาดรูปชุดว่ายน้ำสองสามรูปให้พระชายาฉี ให้นางช่วยทอเสื้อให้หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์
ตอนที่พระชายาฉีเปิดดูรูป นางตกใจจนมือไม้สั่นไปหมด เงยหน้าขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตกใจ “โยวเอ๋อร์ นี่ นี่ นี่…”
“เสด็จแม่ ลูกเรียนว่ายน้ำ จะให้ใส่ชุดหนาๆ ลงไปไม่ได้นะเจ้าคะ ชุดเช่นนี้เบาสบายและเหมาะสมกว่า ท่านช่วยทอสักสองสามตัวเถอะนะเจ้าคะ”
“แต่ แต่ว่า…” พระชายาฉีคิดว่าตนไม่ใช่คนหัวโบราณ นางรับความคิดล้ำสมัยในการเลี้ยงดูลูกๆ ได้ทั้งหมด แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ล่อแหลมเช่นนี้ นางก็รู้สึกว่าตนเองรับไม่ได้จริงๆ จึงคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวข้าจะลองแก้ให้พวกเขาเสียหน่อยนะ ขอแค่ไม่เป็นปัญหาตอนว่ายน้ำก็ได้แล้วล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อยากฝืนบังคับ จึงได้แต่พยักหน้า “เสด็จแม่ ท่านลองทำชุดหนึ่งมาก่อน เรามาดูกันว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยทำที่เหลือนะเจ้าคะ”
พระชายาฉีพยักหน้า หลังจากสองวัน ก็นำชุดว่ายน้ำที่ทำเสร็จแล้วให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นแล้วก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ให้ตายเถอะ ไม่เพียงเป็นเสื้อแขนยาว ยังเป็นเสื้อที่ห่อหุ้มร่างกายอย่างมิดชิด ถ้าใส่เสื้ออย่างนี้ลงน้ำจริงๆ อย่าว่าแต่เรียนว่ายน้ำเลย แค่จะกางแขนกางขาในน้ำยังยากเลย
เมื่อเห็นสีหน้านางพระชายาฉีก็รู้ว่าตัวที่ตนทำนี้ไม่ผ่าน แต่นางพยายามทำให้เป็นเสื้อที่เคลื่อนไหวง่ายที่สุดแล้ว ถ้าเคลื่อนไหวง่ายกว่านี้ ก็คงต้องเปลือยแขนเปลือยขาแล้วล่ะ เป็นผู้หญิงแท้ๆ ไม่ควรใส่แบบนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวทำใจสงบลง ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มเพื่อคุยกับพระชายาฉีจนนางจำใจยอมตกลงทำเสื้อสองตัวตามแบบของเมิ่งเชี่ยนโยว
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 14 ออกรบ
เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ จึงแอบไปหาเจียงจิ่นให้มาช่วยทำที่ห้องของตน
สิบกว่าปีมานี้ เจียงจิ่นได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยินอยู่เป็นประจำของเมิ่งเชี่ยนโยว นางจึงไม่ได้หัวโบราณอย่างแต่ก่อน หลังจากที่ตกใจเมื่อเห็นภาพวาดแล้ว ก็รีบตัดผ้าและถักเย็บให้ทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอนนี้เริ่มเสียใจที่ตนไม่มีฝีมือเย็บปักถักร้อย ไม่อย่างนั้น ชุดว่ายน้ำนี้เสร็จไปนานแล้ว ลูกๆ ก็คงได้เรียนว่ายน้ำไปนานแล้ว
ชุดว่ายน้ำทั้งสามทำเสร็จ หนึ่งตัวใหญ่และสองตัวเล็ก ตัวใหญ่เป็นของเมิ่งเชี่ยนโยว ตัวเล็กเป็นของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์
เมื่อหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์รับชุดว่ายน้ำมา ก็ตกใจจนเบิกตาโต “ท่านแม่ เสื้อตัวนี้ใส่ได้หรือเจ้าคะ”
“เสื้อตัวนี้เอาไว้ใส่เวลาที่พวกเจ้าเรียนว่ายน้ำ อยู่ในน้ำจะเบาสบาย ไม่เกะกะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบาย
ทั้งสองคนสบตากัน แล้วมองชุดว่ายน้ำที่มีเพียงผ้าไม่กี่ชิ้นในมือ ในใจก็คิดพร้อมกันว่า ถ้าท่านปู่รู้เข้าว่าพวกเราใส่เสื้อเช่นนี้ คงจะสั่งคนรื้อสระว่ายน้ำทิ้งเลยทันที และไม่อนุญาตให้พวกเราเรียนว่ายน้ำอีก
ไม่ว่าทุกคนจะรู้สึกประหลาดใจอย่างไร ในคืนที่ทำชุดว่ายน้ำเสร็จ ก็ต้อนคนทั้งหมดออกจากสวนดอกไม้ และสั่งสาวใช้ให้วางงานที่กำลังทำอยู่มาเฝ้ารอบๆ สวนดอกไม้ และสั่งให้ชิงหลวนคอยเฝ้าสังเกตการณ์ เมิ่งเชี่ยนโยวพาหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ทั้งสองคนมาถึงข้างสระน้ำ
น้ำในสระใสสะอาด อุณหภูมิน้ำอุ่นกำลังสบาย หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเสื้อในที่ที่สร้างไว้เป็นที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็เดินออกมา ยิ้มบอกให้ทั้งทั้งสองก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อ
ทั้งสองคนเดินอย่างเขินอายเข้าไปเปลี่ยนจนเสร็จ แต่กลับไม่ได้ออกมาอย่างเปิดเผยอย่างเมิ่งเชี่ยนโยว พวกนางนำเสื้อคลุมคลุมตัวไว้ และเดินออกมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะหัวเราะ หันหลังค่อยๆ ลงไปในน้ำ จากนั้นก็ยื่นมือไปให้ทั้งสองคน “พวกเจ้าก็ลงมาเถอะ แม่ประคองพวกเจ้าเอง” ตั้งแต่ที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกน้ำ นางก็มีปมในใจ เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูด ก็ก้าวถอยหลังไปหลบหลังหวงฝู่สือเมิ่ง
หวงฝู่สือเมิ่งยื่นมือไปให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวจับไว้ ค่อยๆ พานางยืนในน้ำ สระน้ำไม่ลึก น้ำถึงบริเวณคอของหวงฝู่สือเมิ่ง หลังจากหวงฝู่สือเมิ่งยืนได้แล้ว ก็หันศีรษะไป ยื่นมือออกไป พูดว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ลงมาสิ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้ว่าเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี นางสูดหายใจเข้าลึก เดินไปข้างสระน้ำ ค่อยๆ ลงไปสระน้ำตามการชี้นำของเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่สือเมิ่ง
น้ำอุ่นปะทะร่างของนาง ความรู้สึกช่างแตกต่างจากน้ำในทะเลสาบอันหนาวเย็นนั้นเสียเหลือเกิน หวงฝู่เย่าเย่ว์เริ่มผ่อนคลายตัวเองลง ตัวที่แข็งเกร็งก็ค่อยๆ ผ่อนสบายขึ้น
หลังจากปล่อยให้ทั้งสองคุ้นชินกับความรู้สึกในน้ำแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มสอนวิธีการว่ายน้ำให้พวกนาง สาธิตท่าทางมากมายให้พวกนางดู
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวว่ายน้ำไปมาเหมือนกับปลาที่มีอิสระตัวหนึ่ง ทั้งสองก็รู้สึกแปลกใหม่และประหลาดใจมาก
พวกนางลุกลี้ลุกลนอยากจะลองบ้าง
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็ว่ายท่าสุนัขได้แล้ว ทั้งสองดีใจมาก เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของพวกนางดังไปทั่วทั้งสระน้ำ
พระชายาฉีไม่วางใจ สุดท้ายก็ลุกขึ้นเดินไปดูอย่างอดใจไม่อยู่ เมื่อเข้าไปในสวนดอกไม้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกนาง นางจึงยิ้มตามทันที แล้วรีบเดินเข้าไปจนถึงข้างสระน้ำ
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียง เงยหน้ามองไปเห็นว่าเป็นพระชายาฉี ก็ยิ้มเขานเรียก “เสด็จแม่”
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ได้ยินเหมือนกัน จึงขานเรียกพร้อมกันว่า “ท่านย่า”
เมื่อเห็นสีหน้าทั้งสองมีความสุข ไร้ความหวาดกลัวใดๆ พระชายาฉีจึงวางใจ ยิ้มถามว่า “ว่ายน้ำเป็นหรือยังล่ะ”
ทั้งสองพยักหน้าตามกัน พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “อื้ม เป็นแล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีตกใจ “เร็วขนาดนี้เลยหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์วางตัวนอนราบ พุ้ยแขนสองสามที แล้วลำตัวก็เคลื่อนไปข้างหน้าเล็กน้อย “ท่านย่า ดูสิ”
พระชายาฉีประหลาดใจจนเบิกตาโต พูดด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “เย่ว์เอ๋อร์ พวกเจ้าว่ายเป็นแล้วจริงๆ ด้วย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้าอย่างดีอกดีใจ น้ำเสียงอดกลั้นความดีใจไว้ไม่อยู่ “ท่านย่า น้ำในสระอุ่นมาก ท่านลงมาเล่นกับพวกเราสิเจ้าคะ”
พระชายาฉีรีบโบกมือ “ไม่ได้ ไม่ได้ ย่าแก่แล้ว เรียนไม่ไหวหรอก” แม้จะพูดเช่นนี้ แต่สายตาก็เหลือบมองสระน้ำอย่างควบคุมไม่ได้ แววตาเต็มไปด้วยความอิจฉา
เมิ่งเชี่ยนโยวสัมผัสถึงแววตานั้นได้อย่างชัดเจน ยิ้มพูดว่า “เสด็จแม่ อายุท่านกำลังดีเลย แก่เสียที่ไหนกัน รอคืนพรุ่งนี้เรามากันอีกเมื่อไหร่ จะไปเรียกท่านที่ห้องนะเจ้าคะ”
พระชายาฉียังคงปฏิเสธ “ไม่ได้ ไม่ได้”
หวงฝู่สือเมิ่งก็หัวเราะขึ้นมา ถามอย่างซุกซนว่า “ท่านย่า ท่านหมายถึงว่ายน้ำไม่ได้ หรือใส่เสื้อว่ายน้ำเช่นนี้ไม่ได้เจ้าคะ”
พระชายาฉีหน้าแดง
หวงฝู่เย่าเย่ว์หัวเราะเสียงสดใส ยั่วยวนว่า “ท่านย่า กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ไม่มีใครเห็นหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่าง น้ำในสระนี้อุ่นสบายมากเลยเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีหวั่นไหว เม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก
หวงฝู่สือเมิ่งพูดล่อใจต่อว่า “ท่านแม่ ท่านว่ายท่าสวยๆ ให้ท่านย่าดูหน่อยสิเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้น ก็พลิกตัว ว่ายเปลี่ยนท่าไปมาในน้ำ
พระชายาฉีตื่นเต้นจนเบิกตาโต คิดในใจว่าพรุ่งนี้ตอนกลางวันตนจะทำเสื้อว่ายน้ำที่เหมาะสมให้ตัวเองเสร็จทันไหม
เวลามืดค่ำแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ถูกเร่งให้ขึ้นไปยังคงอยากว่ายต่อ พวกนางจึงขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยวว่าพรุ่งนี้ให้พาพวกนางมาเร็วหน่อย
เมิ่งเชี่ยนโยวตกลง
ทุกคนก็กลับห้องของตนไปพักผ่อน
หลังจากพระชายาฉีกลับไป อ๋องฉียังไม่นอน นั่งรอฟังข่าวอยู่บนเก้าอี้ เมื่อพระชายาฉีเข้าห้องมา เขาก็รีบถามทันทีว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
น้ำเสียงพระชายาฉีเต็มไปด้วยความดีใจ “ดีมาก เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์สนุกสนานมาก บอกว่าคืนพรุ่งนี้จะไปเรียนเร็วหน่อย”
อ๋องฉีพยักหน้า
คืนวันต่อมา หลังจากทานข้าวเย็น และพักผ่อนครู่หนึ่งแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็รีบวิ่งมาเรือนของพระชายาฉี เมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังมา
อ๋องฉีก็อยู่ในเรือน มองทั้งสามอย่างแปลกใจ
หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินขึ้นหน้า ถือแขนพระชายาฉี “ท่านย่า ไปกันเถอะ”
เมื่อตอนกลางวันคิดอยู่ทั้งวัน พระชายาฉียิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่เหมาะสม จึงไม่ได้ถักเย็บชุดว่ายน้ำ ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มพลางโบกมือ “พวกเจ้าไปเถอะ ย่าไม่ไปแล้วล่ะ”
ทั้งสองคนไม่ยอม เมื่อครั้นกำลังจะออดอ้อนให้พระชายาฉีตกลง เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ ในเมื่อท่านย่าไม่ว่าง เราไปกันเองเถอะ”
ทั้งสองปล่อยมืออย่างไม่ยินยอมนัก แล้วเดินไปสระว่ายน้ำหลังเรือน
อ๋องฉีสังเกตเห็น ก็ถามขึ้นว่า “พวกนางมาหาเจ้ามีอะไรหรือ”
พระชายาฉีหน้าแดงเล็กน้อย เล่าเรื่องเมื่อวานที่ทั้งสามจะให้ตนไปเรียนว่ายน้ำด้วยให้เขาฟังอย่างเขินอาย
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร
พระชายาฉีไม่คิดจะไป ในใจก็มิได้ต้องการจะไป นางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งหนึ่ง
อ๋องฉีเอ่ยปาก พูดอย่างสนับสนุนว่า “ยากนักที่เจ้าจะมีสิ่งที่ชอบทำ หากอยากไปก็ไปเถอะ”
มือที่กำลังรินน้ำอยู่ของพระชายาฉีชะงักเล็กน้อย เงยหน้ามองอ๋องฉีอย่างประหลาดใจ
อ๋องฉีรู้สึกอึดอัด ไอกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วรีบลุกขึ้น “เพิ่งทานข้าวอิ่ม ข้าจะไปเดินเล่นในจวนสักรอบ” พูดจบ ก็เดินมือไพล่หลังออกไป
พระชายาฉีมองกลับมา วางกาน้ำชาลง ลุกขึ้นแล้วรีบนำรูปที่เมิ่งเชี่ยนโยววาดให้ตนออกมา เลือกชุดที่ปกปิดมากที่สุด จากนั้นก็นำกรรไกรตัดผ้าออกมาตัดและเย็บจนได้เสื้อชุดหนึ่งออกมา
วันหลังจากนั้น อ๋องฉีรู้สึกเสียใจอย่างมากที่ตอนนั้นตนเองตัดสินใจเช่นนั้นไป เพราะว่าไม่เพียงแต่จะไม่เห็นเงาหลานสาวทั้งสองคนแล้ว แม้แต่พระชายาฉีเองหลังจากทานข้าวเย็นแล้ว ก็หายไปเช่นกัน จนตนเองรู้สึกราวกับเป็นคนแก่ที่นั่งเหงาหงอยอย่างน่าสงสารในห้อง มองดูตะเกียงเงียบๆ นั่งเสียใจกับการตัดสินใจของตน
โชคดีที่วันแห่งความอนาถาเช่นนี้อยู่ได้ไม่นาน เพราะว่าหลังจากหนึ่งเดือน อากาศก็เริ่มหนาวเย็น อ๋องฉีจึงหาเหตุผลที่ห้ามไม่ให้พวกนางลงน้ำอีกได้อย่างสมบูรณ์แบบ “บ่อน้ำเย็นเกินไปแล้ว ต่อไปห้ามไปว่ายน้ำอีก”
ทุกคนทำตาม
จวนอ๋องกลับมามีชีวิตชีวาอย่างแต่ก่อนอีกครั้ง เด็กๆ ไปกั๋วจื่อเจี้ยนทุกวัน หวงฝู่อี้เซวียนก็ยุ่งเรื่องราชสำนักต่อไป เมิ่งเชี่ยนโยวดูแลกิจการทั้งหมด ตกดึกพระชายาฉีก็ไม่ออกจากห้องแล้ว นั่งอยู่ในห้องกับอ๋องฉี
ชีวิตของทั้งครอบครัวอยู่อย่างสงบราบเรียบ และมีความสุข
จนผ่านไปหลายเดือน
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์สิบสามขวบแล้ว ยิ่งโตยิ่งสวยเปล่งปลั่ง ผู้คนที่เฝ้ารอทั้งสองติบโตเริ่มนั่งไม่อยู่กับที่แล้ว
คนแรกคือสองสามีภรรยาเหวินซื่อ จากนั้นคือสองสามีภรรยาเปาอีฝาน และยังมีซุนเหลียงไฉที่เคยถูกอ๋องฉีถือไม้ไล่ตีออกไป จนไม่กล้ามาหาอีกหลายปี บัดนี้ลูกโตแล้ว พวกเขาต่างหาข้ออ้างพาลูกชายตนเองมาหา แสร้งพูดให้ดูดีว่าให้เด็กๆ ได้รวมตัวกัน ต่อไปมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน อันที่จริงแล้วแอบกำชับกับลูกชายของตนว่าต้องชนะใจของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์มาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนไหน ต้องมุมานะ ตบแต่งเข้าเรือนให้ได้สักคน
จวนอ๋องพลันคึกคักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ตอนนี้ในท้องพระโรงกลับไม่สงบสุขแล้ว เพราะว่ารัฐอิงที่รุกรานชายแดนมานาน ไม่ได้ถูกดูแลจัดการให้ดี เริ่มจู่โจมหัวเมืองชายแดนแล้ว
เมื่ออ่านสาสน์ที่ส่งมาจากเมืองชายแดนแปดร้อยลี้ หวงฝู่ซวิ่นก็เรียกประชุมเหล่าขุนนางและทหาร
หลายปีที่ผ่านมานี้รัฐอู่ไม่มีการสู้รบ ทหารและม้าที่เลี้ยงมาหลายปีต่างแข็งแรงสมบูรณ์ ตีเมืองเล็กๆ อย่างรัฐอิงได้อย่างง่ายดาย ทุกคนรวมถึงขุนนางฝ่ายบุ๋น ก็เห็นด้วยกับการออกรบครั้งนี้ เรื่องจึงตกลงกันตามนี้ โดยมีท่านแม่ทัพฉู่เหวินเจี๋ยเป็นผู้นำ และมีจอหงวนฝ่ายบู๊เมิ่งชิงเป็นผู้ตาม อีกสองวันนำทหารออกไปช่วยเหลือที่ชายแดน
ข่าวไปถึงบ้านตระกูลเมิ่ง เมิ่งจงจวี่ตกใจจนตกลงมาจากเก้าอี้ หนวดสีขาวสั่นเทาถามเมิ่งเจี๋ยว่า “เป็นเรื่องจริงหรือ ชิงเอ๋อร์ต้องออกรบกับท่านแม่ทัพหรือ”
เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า น้ำเสียงหนักแน่น “มีราชโองการแล้วขอรับ อีกสองวันจะออกรบพร้อมท่านแม่ทัพขอรับ”
เหล่าเมิ่งซื่อก็ตกใจมาก นางเดินวนไปวนมาในห้องอย่างร้อนรน พึมพำไม่หยุดว่า “มีดดาบไร้ตา อันตรายหนักหนา จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อก็สะท้านไปทั้งตัว ตอนนั้นเมิ่งชิงสอบติดจอหงวนบู๊ ด้วยสิทธิและอำนาจของหวงฝู่อี้เซวียน เขาสามารถจัดตำแหน่งในเมืองให้ได้ แต่เมิ่งชิงไม่ยอม เขาตั้งใจจะไปฝึกซ้อมตนในค่ายทหาร ฮ่องเต้ก็ตกลงให้เขาไป จัดแจงให้เขาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฉู่เหวินเจี๋ย เมิ่งชิงก็ไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถปีนป่ายขึ้นไปเป็นรองท่านแม่ทัพจากที่เป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่ง คนทั้งบ้านเคยรู้สึกภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่าเขาจำเป็นต้องไปสู้รบที่ชายแดนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คนบ้านตระกูลเมิ่งเป็นทุกข์หน้านิ่วคิ้วขมวด
หวงฝู่อี้เซวียนก็กังวลใจ ตกดึกหลังจากกลับจวน ก็ดูมีเรื่องครุ่นคิดในใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้น ก็ถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “วันนี้ฮ่องเต้ได้รับสาสน์จากเมืองชายแดนแปดร้อยลี้ ในที่สุดรัฐอิงก็ทนไม่ได้ ลงมือกับเมืองชายแดนแล้ว”
“ฮ่องเต้ตัดสินใจอย่างไร”
“ให้ท่านน้านำทหารไปออกรบ อีกสองวันเคลื่อนทัพ”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไปครู่หนึ่ง พูดปลอบใจว่า “อย่าเป็นห่วงเลย ท่านน้าร่างกายแข็งแรง มากประสบการณ์ ท่านไม่เป็นอะไรหรอก”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก คิดอยู่ครู่หนึ่ง มองสีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้เป็นห่วงท่านน้า ข้าเป็นห่วงชิงเอ๋อร์ เขาในฐานะที่เป็นรองท่านแม่ทัพ ต้องออกรบพร้อมท่านแม่ทัพด้วยอยู่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไปเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพูดว่า “ในเมื่อตอนนั้นชิงเอ๋อร์เลือกที่จะไปค่ายทหาร การออกรบเพื่อบ้านเมืองก็เป็นหน้าที่ของเขา ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ว่า เจ้าก็ไม่ต้องกังวล กำลังวังชาชิงเอ่อร์นั้นแก่กล้า และยังถูกฝึกซ้อมในค่ายทหารมาตั้งหลายปี ไม่เป็นอะไรหรอก”
หวงฝู่อี้เซวียนกลืนคำพูดกลับไป
“พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้าน เจ้ากลับไปกับข้าเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ขานรับ
หวงฝู่เย่าเย่ว์มีธุระมาห้องของทั้งสองพอดี เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ก็มีความคิดแวบผ่าน นางเปิดม่านลูกปัดเดินเข้าไป “ท่านพ่อ ท่านแม่ พรุ่งนี้กั๋วจื่อเจี้ยนไม่มีเรียน ข้าอยากไปหาท่านยายกับพวกท่านเจ้าค่ะ”
“เมิ่งเอ๋อร์และรุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่มีเรียนหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า
“ดีเลย เรียกพวกเขาไปด้วย เราจะไปบ้านยายกันทั้งบ้านเลย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ขานรับอย่างดีใจ รีบวิ่งไปบอกข่าวดีนี้กับทั้งสองคน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น